Friday, 9 May 2025
TheStatesTimes

ภารกิจต่อไป!! ทวงคืน 'สมบัติศรีเทพ' กลับสู่ถิ่น หลังถูก 'ปล้น' ไปโชว์อยู่เมืองนอกจำนวนมาก

ท่ามกลางความยินดีต่อ ‘เมืองโบราณศรีเทพ’ มรดกโลกแห่งใหม่ของไทย มีโจทย์ใหญ่ที่ต้องตามต่อกับการทวงคืนโบราณวัตถุล้ำค่าที่เคยถูกขุดค้น ‘ชำเรา’ และ ‘ปล้น’ ไปอยู่เมืองนอกจำนวนมาก ให้กลับคืนสู่มาตุภูมิเมืองศรีเทพ

‘มรดกโลกเมืองโบราณศรีเทพ’ หรือที่คนมักเรียกสั้น ๆ ว่า ‘มรดกโลกศรีเทพ’ มีชื่อทางการจากยูเนสโกคือ ‘The Ancient Town of Si Thep and its Associated Dvaravati Monuments : เมืองโบราณศรีเทพ และโบราณสถานในสมัยทวารวดีที่เกี่ยวข้อง’ เป็นมรดกโลกแห่งที่ 7 ของไทย และเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งที่ 4 ของไทย ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแห่งใหม่ของประเทศไทยจากยูเนสโก เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2566 ที่ผ่านมา ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 45 ณ กรุงริยาด ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย

เมืองโบราณศรีเทพ ตั้งอยู่ที่ อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ เป็นเมืองโบราณขนาดใหญ่ที่มีหลักฐานการอยู่อาศัยมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย และรุ่งเรืองมากในสมัยทวารวดี ราวพุทธศตวรรษที่ 13-15

มรดกโลกเมืองโบราณศรีเทพ มีแหล่งโบราณสถานที่สำคัญ 3 แหล่ง ที่ใช้เป็นแก่นหลักในการเสนอคณะกรรมการมรดกโลก ได้แก่ ‘เมืองโบราณศรีเทพ’ ที่มีความสำคัญมากในสมัยทวารวดี ‘เขาคลังนอก’ ศาสนสถานขนาดใหญ่ในยุคทวารวดีที่เป็นตัวแทนความเชื่อเรื่องมณฑลจักรวาล และ ‘เขาถมอรัตน์’ ที่เป็นศาสนสถานประเภทถ้ำเพียงแห่งเดียวในสมัยทวารวดีที่สะท้อนให้เห็นคติความเชื่อการนับถือพุทธศาสนามหายาน

นอกจากนี้ก็ยังมีประติมากรรม ‘สกุลช่างศรีเทพ’ อันโดดเด่นกับการแกะสลักเทวรูปลอยตัว เอียงตน มีสีหน้าผสมผสาน โดยไม่มีแผ่นโค้งด้านหลังรองรับ ที่ถือว่ามีเอกลักษณ์ที่แตกต่างไปงานงานประติมากรรมของที่อื่นในยุคเดียวกัน

อย่างไรก็ดีเป็นที่น่าเสียดายและน่าเจ็บใจว่า ประติมากรรมเทวรูปต่าง ๆ รวมถึงโบราณวัตถุสำคัญ ๆ อีกหลากหลายจากเมืองโบราณศรีเทพ ได้เคยถูกลักลอบขุดค้นและ ‘ปล้น’ ไปโดยโจรค้าของเก่าชาวต่างชาติ และขโมยคนไทยที่สมรู้ร่วมคิด เมื่อประมาณกว่า 60 ปีที่แล้ว ในยุคที่เมืองศรีเทพถูกทิ้งให้เป็นป่าเขารกร้าง

โบราณวัตถุและสมบัติแห่งศรีเทพจำนวนมากที่ถูกลักลอบปล้นไปจากแหล่ง ไม่ว่าจะเป็น พระพุทธรูป เทวรูปพระสุริยะ เศียรพระกฤษณะ แผ่นดุนทองรูปพระวิษณุ และเอกมุขลึงค์ ปัจจุบันถูกนำไปจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์บางแห่งของสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะที่ ‘พิพิธภัณฑ์นอร์ตัน-ไซมอน’ (Norton Simon Museum) รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐ ได้ชื่อว่าเป็นขุมคลังสมบัติแห่งศรีเทพกันเลยทีเดียว

ขณะที่ในแกลลอรี่ของพ่อค้าผ้าชื่อดังบางคนมีคอลเลคชั่นศรีเทพปรากฏอยู่ด้วยเช่นกัน ซึ่งนักเขียนดังอย่าง ‘กรกิจ ดิษฐาน’ ได้เคยโพสต์เกี่ยวกับเรื่องการปล้นสมบัติที่ศรีเทพไว้เฟซบุ๊กบัญชีรายชื่อ Kornkit Disthan เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ.2562 ในหัวข้อ ‘การชำเราเมืองศรีเทพ’ โดยมีข้อความส่วนหนึ่งระบุว่า

...เมื่อประมาณ 60 กว่าปีก่อน ศรีเทพถูกทิ้งร้างอยู่ในป่า ทางการยังไม่มีสติปัญญาจะไปขุดค้น จึงถูกโจรปล้นขนานใหญ่ ได้โบราณวัตถุชั้นเลิศไปมากมาย ของดีงามที่ว่านั้นไปอยู่สหรัฐเสียมาก โดยเฉพาะทีพิพิธภัณฑ์นอร์ตัน-ไซมอน (Norton Simon Museum) เรียกว่า เป็นขุมคลังสมบัติศรีเทพเลยก็ว่าได้ ที่น่าสลดก็คือศรีเทพที่เหลืออยู่ ก็ยังไม่มีอะไรที่วิจิตรขนาดนี้

เฉพาะที่ Norton Simon มีทั้งรูปพระสุริยเทพแสนหล่อเหลา เป็นประติมากรรมชั้นเอกของประเทศ (ที่น่าหัวเราะทั้งน้ำตาเพราะไม่ได้อยู่ในไทย) แผ่นทองคำดุนลายเทพเจ้าและโพธิสัตว์ รวมถึงพระพุทธรูปแบบทวารวดีสูงกว่า 2 เมตร ซึ่งไม่รู้ขนกันไปได้อย่างไร หากคนใหญ่คนโตที่ไม่รู้เห็นเป็นใจ

ศรีเทพเคยถูกชำเรามาแล้ว อย่าให้ถูกกระทำอีกเลย...

ครั้นเมื่อเมืองโบราณศรีเทพได้รับการประกาศเป็นมรดกโลก กรกิจ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงเรื่องดังกล่าวอีกครั้งในหัวข้อ ‘ศรีเทพเป็นมรดกโลกแล้ว แต่มรดกของศรีเทพยังอยู่ไกลบ้าน’ ซึ่งเขาได้พูดถึงแผ่นดุนทองจำนวนหนึ่งที่ไปปรากฏในพิพิธภัณฑ์ต่างชาติหลายที่ว่า...บางชิ้นบอกว่ามาศรีเทพ บางชิ้นไม่บอกว่ามาจากศรีเทพ แต่ให้เดาก็รู้ว่ามาจากแหล่งเดียวกัน เพราะศรีเทพถูก ‘ปล้น’ จนเกือบเหี้ยน

เช่นเดียวกับ ‘นายเทพมนตรี ลิมปพยอม’ นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์ ก็เป็นหนึ่งในผู้เรียกร้องให้มีการทวงคืนสมบัติศรีเทพต่าง ๆ ที่ถูกขโมยไปอยู่ต่างแดนกลับคืนสู่บ้านเกิดมาอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดหลังจากเมืองโบราณศรีเทพถูกประกาศให้เป็นมรดกโลก อ.เทพมนตรี ได้โพสต์ถึงเรื่องนี้อีกครั้ง ผ่านเฟซบุ๊กบัญชีรายชื่อ Thepmontri Limpaphayorm เมื่อวันที่ 21 ก.ย. 66 ว่า

พระพุทธรูปถูกขโมยจากศรีเทพไปอยู่ต่างแดน
พิพิธภัณฑ์คลีฟแลนด์ แบะนอร์ตัน ไซมอน
สหรัฐอเมริกา
ศูนย์กลางแหล่งรับซื้อของโจรในรูปแบบมูลนิธิ
แต่เมื่อ….
ได้อ่านพระราชดำรัสของพระเจ้าอยู่หัวรัขกาลที่ 9 แล้ว น้ำตาจะไหล …..
ใครจะสำนึกในเมื่อเมืองไทยเป็นพุทธพาณิชย์ กรมศิลป์ออกใบอนุญาตค้าโบราณวัตถุ การเอาใจใส่ตรวจสอบบกพร่อง

“โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และโบราณสถาน ทั้งหลายนั้น ล้วนเป็นของมีคุณค่า และจำเป็น แก่การศึกษาค้นคว้า ในทางประวัติศาสตร์ ศิลปะ และโบราณคดี เป็นเครื่องแสดงความรุ่งเรืองของชาติไทย ที่มีมาแต่ในอดีตกาล สมควรจะสงวนรักษาให้คงถาวร เป็นสมบัติส่วนรวมของชาติไว้ตลอดกาล

มีผู้กล่าวว่า ขณะนี้ได้มีผู้สนใจ และหาซื้อโบราณวัตถุ และศิลปวัตถุ ส่งออกไปต่างประเทศกันมาก ถ้าต่อไปภายหน้า เราจะต้องไปศึกษา หรือชมโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุของไทยเราเองในต่างประเทศ ก็คงเป็นเรื่องที่น่าเศร้า และน่าอับอายมาก เราจึงควรจะขวนขวาย และช่วยกันหาทางรวบรวมโบราณวัตถุ และศิลปวัตถุของเรา แล้วจัดสร้างพิพิธภัณฑสถาน เก็บรักษาไว้จะเป็นการดีที่สุด”

(พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มหาราช เนื่องในวโรกาสเสด็จพระราชดำเนิน เปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา พระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๐๔)

อ่านแล้วหวังใจว่าจะนำทางให้หลวงพ่อสององค์นี้กลับสู่ประเทศไทยครับ

ขณะที่ ‘ธนัชญา เทียนดี’ นักโบราณคดีปฏิบัติการ อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ ก็ได้เปิดเผยเรื่องนี้กับสำนักข่าวเอเอฟพี สรุปความว่า โบราณวัตถุต่าง ๆ ของเมืองศรีเทพที่ถูกโจรกรรมไปอยู่ในที่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะในประเทศหรือต่างประเทศนั้น เป็นดัง ‘ตัวจิ๊กซอว์’ ที่หายไป ซึ่งสามารถนำมาต่อเล่าเรื่องราวของเมืองโบราณศรีเทพได้

ด้าน นายกฤษณ์ คงเมือง ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ ได้เปิดเผยกับสื่อมวลชยว่า ขั้นตอนต่อไปหลังเมืองโบราณศรีเทพได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกอย่างเป็นทางการก็คือ ทางจังหวัดเพชรบูรณ์จะประสานกับทุกภาคส่วน เพื่อเตรียมผลักดันให้มีการรวบรวมโบราณวัตถุที่ขุดค้นพบที่เมืองศรีเทพ ที่อยู่กระจัดกระจายตามสถานที่ต่าง ๆ ให้นำกลับคืนมารวบรวมอยู่ที่อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์

ผู้ว่าฯ เพชรบูรณ์ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ทางจังหวัดเพชรบูรณ์มีแผนและโครงการที่จะผลักดันให้มีการก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ขึ้นที่อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ สำหรับเก็บรวบรวมและจัดแสดงโบราณวัตถุล้ำค่าของเมืองโบราณศรีเทพ เพื่อให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้เข้าชม และศึกษาถึงความสำคัญของมรดกโลกเมืองโบราณศรีเทพ

“เมืองโบราณศรีเทพไม่ใช่สมบัติของคนเพชรบูรณ์ เป็นของคนไทยทั้งประเทศ และยังเป็นมรดกของคนทั้งโลก เพียงแค่อยู่ในพื้นที่และใกล้คนเพชรบูรณ์ ซึ่งจะต้องมีหน้าที่ช่วยกันดูแลรักษา รวมทั้งพัฒนาต่อยอด เพื่อให้เป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศไทยและของโลกต่อไป” ผู้ว่าฯ เพชรบูรณ์ กล่าว

สำหรับการทวงคืนสมบัติศรีเทพ ถือเป็นโจทย์ใหญ่ที่ผู้เกี่ยวข้องต้องตามทวงโบราณวัตถุล้ำค่าของชาติกลับคืนมา เพราะนี่จะเป็นจิ๊กซอว์ที่นำไปสู่การสืบค้นเรื่องราวของเมืองศรีเทพในมิติที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ขณะที่คนไทยก็สามารถช่วยกันส่งเสียงทวงคืนสมบัติศรีเทพ (ผ่านทางช่องทางสื่อโซเชียลต่าง ๆ) เพื่อให้เป็นพลังสนับสนุนอันยิ่งใหญ่ในการทวงสมบัติศรีเทพกลับสู่มาตุภูมิ เพราะวันนี้เมืองโบราณศรีเทพไม่ใช่เป็นเฉพาะมรดกของชาติไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นมรดกอันทรงคุณค่าของโลกอีกด้วย

บชน.-ตร.ทางหลวง จับมือ สสส. จัดอบรมด้านวินัยจราจรให้ความรู้พนักงานขนส่งแฟลช 

พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รอง ผบช.น. กล่าวว่า จากความร่วมมือในปีที่ 3 ต่อเนื่องมาปีที่ 4 บช.น.เล็งเห็นว่า บริษัท แฟลช เอ็กซ์เพรส ให้ความสำคัญ และใส่ใจในการควบคุมดูแลให้พนักงานขับขี่ได้ตระหนักถึงความปลอดภัยบนท้องถนน บช.น.ได้พัฒนาหลักสูตรด้านวินัยการขับขี่ และกฎหมายจราจรฉบับล่าสุด ด้วยในปี 2566 นับเป็นปีแห่งการรณรงค์ด้านการลดอุบัติเหตุ ให้เป็นไปตามนโยบายการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนแห่งชาติ เพื่อให้โครงการสำเร็จลุล่วงด้วยดี อันจะมีส่วนช่วยให้เกิดการตระหนักรู้กับภาคเอกชนรายอื่นๆ ในภาพรวม เพื่อให้จำนวนการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนของประเทศไทยลดลงได้อย่างเป็นรูปธรรมในระยะยาวต่อไป 

ด้าน พ.ต.อ.สุขสวัสดิ์ คูสิทธิผล รองผบก.ทล. กล่าวว่า ตำรวจทางหลวง เล็งเห็นด้านความปลอดภัยทางถนน ได้จัดให้เจ้าหน้าที่ของทางหลวง มาให้ความรู้ด้านกฎหมาย และระเบียบกฎเกณฑ์ต่างๆ ด้านการจราจรเพื่อเป็นประโยชน์แก่พนักงานขนส่ง และประชาชน ซึ่งตลอด 3 ปีที่ผ่านมา โครงการดังกล่าวสามารถช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุได้อย่างเป็นรูปธรรมจริง

ทางด้าน นายคมสันต์ ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แฟลช เอ็กซ์เพรส จำกัด กล่าวว่า บริษัทได้ริเริ่มโครงการขับขี่ปลอดภัย มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2563 ด้วยธุรกิจหลักของบริษัทคือ ผู้ให้บริการด้านขนส่ง โดยพนักงานกว่า 70% คือ คูเรียร์ หรือเรียกว่าพนักงานส่งของ ที่ต้องใช้ชีวิตอยู่บนท้องถนนตลอดทั้งวัน การเสริมสร้างจิตสำนึกด้านความปลอดภัยในการขับขี่ถือเป็นเรื่องหลักที่บริษัทฯ ต้องการสร้างให้พนักงานคูเรียร์เกิดความตระหนักรู้ ทั้งในเรื่องกฏระเบียบวินัยจราจร และการปฏิบัติตัวเมื่อต้องใช้ถนนร่วมกับผู้อื่น 

ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า สสส. ให้ความสำคัญกับปัญหาอุบัติเหตุทางถนน โดยความปลอดภัยทางถนน โดยสสส. ตระหนักถึงอุบัติเหตุในกลุ่มรถขนส่ง ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนเพิ่มขึ้นมากตามความเติบโตของธุรกิจขนส่งโลจิสติกส์ จึงได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินโครงการขับขี่ปลอดภัยในปีนี้ เนื่องจากเล็งเห็นว่าบริษัท แฟลช เอ็กซ์เพรส มีนโยบายการดำเนินโครงการที่สอดคล้องกับการทำงานของ สสส.โดยบริษัทฯ มุ่งเน้นในเรื่องความปลอดภัยบนท้องถนน และถือเป็นตัวอย่างที่ดีในฐานะภาคเอกชนรายย่อยที่แสดงออกถึงความตั้งใจในการร่วมลดอุบัติเหตุ

นักรบราชนาวีพันธุ์แกร่ง ในโครงการ Good home and good health เพื่อกำลังพลกองเรือยุทธการ

กองทัพเรือ โดยกองเรือยุทธการและ รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ จัดโครงการ Good home and good health เพื่อกำลังพล กองเรือยุทธการ ณ ห้องประชุมภูหลวง หอประชุมโรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี จัดโครงการ Good home and good health โดยความร่วมมือของ กองเรือยุทธการ และโรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ จัดกิจกรรม "รวมพลังบูรณาการเชิงรุกสู่การดูแลชุมชนทหารเรือ"

โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อสรุปผลการดำเนินงานต่างๆ ในปี งป.66 และมอบรางวัลให้กับกำลังพลที่ทำผลงานได้ยอดเยี่ยม โดยภายในงานประกอบด้วย การชมวีดีทัศน์ สรุปผลงานโครงการ การเสวนาในกิจกรรมด้านต่างๆ ที่เกิดขึ้น อาทิ ความเป็นมาและเป้าหมายของโครงการ การรณรงค์ปลูกสมุนไพร เพื่อใช้ดูแลสุขภาพโครงการ Healthy Organization ให้ข้าราชการมีสุขภาพดี โครงการนักรบราชนาวีพันธุ์แกร่ง และการลด BMI ในข้าราชการที่มีน้ำหนักเกิน

ในงานนี้ ได้รับเกียรติจาก พล.ร.ท.วัลลภ เขม้นงาน รองผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ มาเป็นประธานในพิธี และคุณกีรตา พันธุ์เอี่ยม ประธานชมรมภริยากองเรือยุทธการ มาร่วมเป็นเกียรติในงาน

โครงการ Good Home and Good Health นับเป็นโครงการหนึ่งที่มีความสำคัญและเป็นความร่วมมือของ รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติติ์ พร. กับกองเรือยุทธการ ที่มีเป้าหมายให้กำลังพลมีสุขภาพแข็งแรง เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของข้าราชการและครอบครัว กองเรือยุทธการ

เปิดใจลูกเมีย ‘ดาบเต้ย’ นายดาบ ปส.สละชีพดวลปืนแก๊งยานรก ลูกสาว ลั่น!! โตขึ้นขอเดินตามรอยเป็นตำรวจสายสืบเหมือนพ่อ

(22 ก.ย. 66) หลังประกอบพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพพร้อมเครื่องเกียรติยศให้กับ ‘ด.ต.วีระวัฒน์ คำดี’ หรือ ‘ดาบเต้ย’ ผบ.หมู่ กก.2 บก.ปส.3 บช.ปส.ที่เสียชีวิตขณะเข้าจับกุมคนร้ายที่ขนยาเสพติดไอซ์ 1,000 กิโลกรัม เหตุเกิดคืนวันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมา ในพื้นที่อำเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย โดย พล.ต.ท.สรายุทธ์ สงวนโภคัย ผบช.ปส.นำเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ เข้าร่วม ที่ศาลาวัดเม็งรายมหาราช อำเภอเมืองเชียงราย จากนี้จะมีการสวดพระอภิธรรมศพเป็นประจำทุกคืน และจะมีพิธีพระราชทานเพลิงศพในวันอังคารที่ 26 ก.ย.นี้ เวลา 16.00 น.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางเพลินตา คำดี ภรรยาของ ด.ต.วีระวัฒน์ และบุตรสาว 1 คน คือ ด.ญ.พัทธนันท์ คำดี อายุ 14 ปี ปัจจุบันเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม อ.เมืองเชียงราย ได้คอยต้อนรับผู้ไปร่วมพิธีซึ่งหลายคนถึงกับร้องไห้เสียใจต่อการจากไปของ ด.ต.วีระวัฒน์ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ปราบปรามยาเสพติดสหรัฐอเมริกาที่เคยร่วมงานกับ ด.ต.วีระวัฒน์ มานานกว่า 2 ปีจนมีความสนิทสนมกัน

นางเพลินตากล่าวว่า ตามปกติสามีของตนจะเป็นคนตั้งใจทำงานมาก เขาจะใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ที่หน่วยและหากวันไหนไม่มีงานจึงจะไปรับส่งบุตรสาวไปโรงเรียน ซึ่งตนยอมรับว่าเขาเป็นคนรักในอาชีพ รักเพื่อนตำรวจและรักครอบครัวมากเช่นกัน และรู้ดีว่าอาชีพของเขามีความเสี่ยงและทำใจไว้แล้ว ว่าครอบครัวของเราอาจจะพบเจอกับเหตุการณ์อย่างนี้ได้ แต่ไม่คิดว่าจะมาถึงเร็วเช่นนี้

ก่อนเกิดเหตุก็ไม่มีลางบอกเหตุใดๆ เลย มีเพียงช่วงประมาณ 1 สัปดาห์ก่อนเกิดเหตุที่สามีของตนได้ไลน์ไปบอกน้องสาวของเขาที่ จ.นครราชสีมา ว่าขณะที่เขานั่งอยู่ในรถก็มีกลิ่นเหมือนอยู่โรงพยาบาล และเป็นคนสอบถามน้องสาวเองว่ามีญาติๆ เป็นอะไรบ้างซึ่งก็ทราบทุกคนยังสบายดี กระทั่งคืนเกิดเหตุวันที่ 19 ก.ย. ตนได้รับทราบว่ามีการยิงกันที่ อ.เวียงชัย ซึ่งก็ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องกับสามี พอรู้เรื่องก็ตกใจและเสียใจมาก เพราะครอบครัวเรามีอยู่กันเพียง 3 คน เขาก็เป็นเสาหลักของครอบครัว การสูญเสียเขาไปจึงทำให้ครอบครัวมีความยากลำบากในชีวิต

“เคยถามเขา ว่าทำไมทำงานเยอะขนาดนี้ เขาก็บอกว่ายาเสพติดเชียงรายมีมาก หากเขาไม่ทำก็ไม่มีใครทำ” นางเพลินตา กล่าวทั้งน้ำตา

ด้าน ด.ญ.พัทธนันท์ กล่าวว่า แม้ตนจะเสียใจแต่ก็ภาคภูมิใจที่พ่อเสียสละในหน้าที่เพื่อสังคม และไม่เคยภูมิใจในตัวใครมากเท่าพ่อ พ่อเป็นแบบอย่างที่ดีทั้งการงานและรักครอบครัว ดังนั้น จึงอยากจะบอกว่าพ่อไม่ต้องเป็นห่วงใดๆ เพราะแม่และตนดูแลตัวเองได้ ส่วนในอนาคตอยากเป็นตำรวจเหมือนพ่อ เป็นชุดสืบสวนเพื่อทำความดีให้สังคมต่อไป

พล.ต.ต.คมสิทธิ์ รังไสย์ ผบก.ปส.3 กล่าวว่า การปูนบำเหน็จให้กับดาบเต้ย (ด.ต.วีระวัฒน์) เป็นไปตามหลักเกณฑ์ เบื้องต้นคือเลื่อน 7 ขั้นเงินเดือน และ 5 ชั้นยศ ส่วนเงินช่วยเหลือ จะมีทั้งเงินฌาปนกิจ กองทุนสวัสดิการ ตร.และ ปส.ประมาณ 2,239,000 บาท กองทุนและมูลนิธิ ป.ป.ส.คาดว่าจะได้รับอีกประมาณ 600,000 บาท

สำหรับ ด.ต.วิพู พานพิมพ์ สังกัดเดียวกับดาบเต้ยได้รับบาดเจ็บสาหัสที่แขนทั้งสองข้าง เพราะถูกทั้งรถที่พุ่งชนและถูกยิงด้วย ปัจจุบันพ้นขีดอันตรายแล้ว โดยกำลังรักษาตัวในโรงพยาบาล ก็จะได้รับปูนบำเหน็จตามระเบียบเช่นกัน

สำรวจ Lounge ผู้โดยสารชั้น 1 สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ บริการดีๆ ที่น่าชื่นชม แต่เชื่อเถอะว่า 'ทำได้ดีกว่านี้' หาก...

(22 ก.ย.66) จากเพจเฟซบุ๊ก 'โครงสร้างพื้นฐาน ประเทศไทย Thailand Infrastructure' ได้โพสต์ข้อความในหัวข้อ 'Lounge ผู้โดยสารชั้น 1 สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์เปิดแล้ว…มีบริการก็ดี แต่เชื่อเถอะว่า 'ทำได้ดีกว่านี้' ดูตัวอย่าง Lounge สถานี Amsterdam Central' ว่า...

วันนี้หลายๆ คนน่าจะเห็นโพสต์ การเปิดให้บริการ ห้องรับรอง (Lounge) สำหรับผู้โดยสารชั้น 1 โดยเปิดให้บริการอยู่บริเวณ ระหว่างชานชาลา 7 และ 8 ข้างห้องน้ำด้านเหนือของสถานี 

รายละเอียดโพสต์ ห้องรับรองผู้โดยสารชั้น 1 ตามลิงก์นี้ >> https://www.facebook.com/100064440019733/posts/702223165269011/

วันนี้ ผมก็ได้ไปเยี่ยมชมห้องรับรองผู้โดยสารชั้น 1 มา ซึ่งก็ดีใจที่การรถไฟ เพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับผู้โดยสาร

แต่…ผมคิดว่า การรถไฟฯ สามารถทำได้ดีกว่านี้ครับ

ผมเลยอยากจะเอาตัวอย่างของรับรองผู้โดยสารชั้น 1 (First Class) ของต่างประเทศ จาก สถานี Amsterdam Central มาให้เพื่อน ๆ ชม เพื่อมาเป็นตัวอย่าง และช่วยกันแสดงความคิดเห็นในการพัฒนากันครับ

ในพื้นที่อาคารสถานี Amsterdam Central มีพื้นที่รับรองผู้โดยสารชั้น 1 คือ NS International Lounge Regus Express 

ซึ่งอยู่บริเวณด้านทิศใต้ของชานชาลา 1 ซึ่งเปิดให้ผู้โดยสารชั้น 1 ของหลายเส้นทาง และหลายผู้ให้บริการเข้าใช้ได้ รวมถึงผู้ถือบัตรสมาชิกของผู้ให้บริการ ได้แก่ ...

- 1st class international ticket (incl. Interrail 1st class)
- DB BahnBonus comfort card
- SNCF Grand Voyageur Le Club
- SNCF T card
- Eurostar Carte Blanche
- Österreich card
- SBB General-subscription
- Regus Business lounge membership

ยิ่งไปกว่านั้น คนที่ไม่มีสิทธิ์ที่บอกมา ก็สามารถเข้าใช้บริการได้โดยจ่ายค่าใช้บริการเป็นรายชั่วโมง และรายวัน ...
- ชั่วโมงละ 6€ (ประมาณ 240 บาท)
- วันละ 15€ (ประมาณ 600 บาท)

ซึ่งรองรับผู้โดยสารที่รอต่อขบวนรถไฟ ได้อย่างสะดวก 

สิ่งอำนวยความสะดวก ภายใน Lounge
- โต๊ะ และพื้นที่ทำงาน พร้อมปลั๊กไฟ ทุกโต๊ะ
- มีโซฟา พร้อมกับโต๊ะส่วนตัว สำหรับบางคนที่ต้องการความสงบ หรือพักผ่อน
- WiFi ฟรี ที่เร็วพอสมควร
- มีน้ำดื่ม ชา กาแฟ ให้บริการฟรี สามารถหยิบได้เลย

ที่สำคัญที่สุดที่ผมมองว่าสำคัญ และคนที่เดินทางต้องการ ระหว่างการรอเดินทาง คือ 'บรรยากาศ' ที่ผ่อนคลาย ห้องไม่สว่างเกินไป เหมาะสำหรับการพักผ่อน และมีเจ้าหน้าที่ มาเรียกก่อนการเดินทาง ป้องกันการตกรถไฟ

กลับมามองที่ห้องรับรองผู้โดยสารชั้น 1 ของสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์

ซึ่งก็ต้องบอกว่าเราพึ่งเปิดให้บริการมาได้ 2 วัน อุปกรณ์ต่าง ๆ ก็ยังไม่พร้อม แต่ก็อยากให้ปรับปรุงให้ดีขึ้น ได้แก่ ...

- จัดหาโต๊ะทำงาน ที่สามารถให้เปิดคอมทำงานได้อย่างสะดวก พร้อม WiFi ที่เร็วสำหรับคนนั่งทำงานก่อนเดินทาง

- ปรับบรรยากาศ ทั้งแสง และสีใหม่ทั้งหมด ให้รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น คล้ายกับใน Starbuck และควรเปิดม่าน ให้มองเห็นบรรยากาศภายนอกห้องด้วย

- แยกพื้นที่ Zone ครอบครัว กับผู้ต้องการความสงบออกจากกัน

- จัดหาเครื่องดื่ม หรืออย่างน้อยก็มีตู้จำหน่ายน้ำ และอาหารอัตโนมัติ มาตั้งหน้าห้องก็ได้

- มีป้ายแสดงเวลาออกเดินทางของรถไฟทั้งสถานี เพื่อให้ผู้โดยสารไม่ร้อนใจและระแวงเวลารอรถไฟ

ซึ่งสิ่งที่ผมบอกมา มั่นใจว่ามีสถาปนิก และมันฑนากร สามารถออกแบบได้เหมาะสมไม่น้อยไปกว่า Amsterdam Central แน่นอน 

โดยถ้าทำทั้งหมด ผมอยากให้การรถไฟเปิดให้จ่ายค่าใช้บริการสำหรับผู้โดยสารชั้นอื่นๆ ด้วยเช่นกัน สำหรับเรา อาจจะ ชั่วโมงละ 100 บาท ผมว่าก็มีคนใช้บริการครับ

ซึ่งทั้งหมดนี้อยากจะติเพื่อก่อ เพื่อให้มีการพัฒนาให้ดีขึ้นนะครับ และฝากไปถึงผู้บริหารการรถไฟ ช่วยจัดสิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้เพื่อยกระดับประสบการณ์ 

การใช้บริการของการรถไฟ ไปอีกระดับ เทียบเท่าการเดินทางด้วยเครื่องบิน Business Class จะสามารถดึงดูดลูกค้าได้อีกกลุ่มแน่นอนครับ

‘เศรษฐา’ หารือ ‘อีลอน มัสก์’ ชวนลงทุนรถอีวีในไทย ชี้!! ไทยพร้อมดูแลสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุน

(22 ก.ย. 66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้พบกับ นาย Elon Musk และผู้บริหารของ Tesla SpaceX และ Starlink ผ่านระบบการประชุมทางไกล

โดยนายกรัฐมนตรีประทับใจที่ได้หารือกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมุมมองที่ทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกัน ชื่นชมความก้าวหน้าที่ ต้องการทำเพื่อมนุษยชาติ  และเพื่อโลกที่สะอาด สู่อนาคตที่ดีขึ้น

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าจะเกิดเป็นความสำเร็จ ทั้งต่อความร่วมมือด้านยานยนต์ EV และ เพิ่มความร่วมมือด้าน Space Exploration ซึ่งมีมูลค่าทางตลาดสูง และเชื่อมั่นว่าการพบกันครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์ไม่ใช่ต่อประเทศไทย แต่จะเป็นประโยชน์กับโลกด้วย

ฝ่าย Tesla กล่าวชื่นชมศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ของไทย ซึ่งเหมาะสมกับการลงทุนของ Tesla 

นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพร้อมให้การดูแล สนับสนุนตามกรอบกฎหมาย สิทธิประโยชน์ ด้านการลงทุน

‘รฟท.’ ไฟเขียว!! รถไฟฟ้าสายสีแดง 20 บาทตลอดสาย หวังช่วยลดค่าใช้จ่าย - จูงใจประชาชนใช้บริการมากขึ้น

เมื่อวานนี้ (21 ก.ย. 66) นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด รฟท.) ว่า ที่ประชุมฯ ได้อนุมัติดำเนินการตามนโยบาย 20 บาทตลอดสายของรัฐบาล สำหรับรถไฟชานเมืองสายสีแดง ช่วงตลิ่งชัน-บางซื่อ-รังสิต เบื้องต้นจะเสนอเรื่องดังกล่าวให้กระทรวงคมนาคม พิจารณาในสัปดาห์หน้า ซึ่งตามขั้นตอน ในการขอปรับค่าโดยสารจะต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง ตามมาตรา 27 ที่ระบุว่าหากหน่วยงานมีมาตรการหรือโครงการใด ๆ ที่กระทบต่อรายได้ขององค์กรสามารถดำเนินการได้ซึ่งจะต้องกำหนดแผนหรืองบประมาณที่ใช้จ่าย รวมทั้งระยะเวลาดำเนินการ และประโยชน์ที่จะได้รับด้วย หากกระทรวงคมนาคมพิจารณาเห็นชอบแล้ว จะเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป

อย่างไรก็ตาม จากผลการศึกษานโยบายดังกล่าว พบว่า รฟท.จะสูญเสียรายได้ และรัฐต้องสนับสนุนเงินชดเชยประมาณ 80 ล้านบาทต่อปี แต่การลดค่าโดยสารนั้น จะช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมประชาชนให้หันมาใช้รถไฟฟ้ามากขึ้น ซึ่งจะทำให้จำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้น 5-20% ต่อปี ซึ่งจะมีผลทำให้รายได้ของ รฟท. เพิ่มขึ้นเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันรถไฟชานเมืองสายสีแดง มีผู้โดยสารใช้บริการอยู่ที่ 2 หมื่นคนต่อวัน

‘ธนกร’ เข้าเยี่ยม ‘ลุงตู่’ หลังไม่ได้เจอกันนานนับเดือน บอกลุงตู่ดูสดชื่นแจ่มใส พร้อมฝากความคิดถึงถึงพี่น้องทุกคน

(22 ก.ย. 66) นายธนกร วังบุญคงชนะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(สส.) แบบบัญชีรายชื่อพรรครวมไทยสร้างชาติ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โพสต์ภาพการเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมข้อความ ในเฟซบุ๊ก ดร.ธนกร วังบุญคงชนะ ระบุว่า…

ผมไม่ได้เจอลุงตู่มานานนับเดือน แต่ได้ไลน์คุยกับท่านทุกวัน วันนี้จึงไปเยี่ยมท่านด้วยความคิดถึง พูดคุยกันนานร่วม 2 ชั่วโมง เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความสุข ท่านสดชื่นมาก สุขภาพดีมาก ยิ้มแย้มแจ่มใส และยังถามถึงทุก ๆ คน ที่เคยทำงานร่วมกันมา

วันนี้ ลุงตู่ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวการเมืองแล้วแต่ยังคงเป็นห่วงบ้านเมือง ในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่อยากเห็นบ้านเมืองเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ท่านยังฝากความห่วงใย ฝากความคิดถึง ฝากความปรารถนาดีมายังพี่น้องคนไทยทุกคนครับ 

ผมสอบถามท่านว่า ได้ดู ‘ติ๊กต็อก’ บ้างไหม ท่านบอกได้ดูบ้าง ผมบอกมีแต่คนคิดถึงท่าน ผลงานท่านถูกนำออกมาโพสต์เต็มไปหมด ไม่ถูกด้อยค่าเหมือนสมัยตอนเป็นนายกเลย ท่านถามเพราะอะไร ผมบอกสงสัย AI เลิกทำงาน ท่านหัวเราะ ผมเรียนท่านว่า สิ่งที่เราเห็นในติ๊กต็อกตอนนี้ คือของจริงที่ประชาชนแสดงออก ยืนยันว่า ท่านทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง มีผลงานชัดเจน

วันนี้ ผมมีความสุขมากครับ ที่ได้เจอลุงตู่ จริง ๆ แล้วไม่อยากไปรบกวนท่านเพราะช่วงนี้ท่านคงอยากพักผ่อน ผมชวนท่านไปไหว้พระ พักผ่อนต่างจังหวัดบ้าง ท่านบอกว่า ช่วงนี้ขอให้เวลากับครอบครัวก่อน เพราะที่ผ่านมาทำงานให้ประเทศชาติอย่างเต็มที่ ไม่ได้ใช้เวลากับครอบครัวเลย จากนี้แล้วค่อยว่ากัน  

สำหรับผมแล้ว ‘ลุงตู่’ เป็นผู้มีพระคุณ เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่ผมเคารพรักตลอดชีวิต เป็น ‘สุภาพบุรุษผู้ปิดทองหลังพระ’ ตั้งใจ ทุ่มเท ทำงาน ไม่พูด ไม่อวด ถึงวันนี้ ‘แผ่นทอง คือ ผลงานของท่าน’ ถูกกล่าวขาน ชื่นชม นำเสนอทั้งในโลกโซเชียลว่า ผลงานนี้ สร้างคุณประโยชน์ต่อประเทศและคนไทยทุกคน 

ด้วยรักและเคารพ
สส. ธนกร วังบุญคงชนะ 
อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

ปล. ขอทำความเข้าใจท้ายสุดครับ วันนี้ลุงตู่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองแล้ว ผมก็ไปเยี่ยมเยียน ‘ลุงตู่’ ตามปกติในฐานะเป็นคนที่ผมเคารพรักนะครับอย่าโยงการเมืองอีกนะจ๊ะ

‘อินเดีย’ ตึง!! ระงับออกวีซ่าพลเมืองชาวแคนาดา หลังถูกกล่าวหาเอี่ยวสังหารนักเคลื่อนไหวชาวซิกข์

‘อินเดีย’ ระงับการออกวีซ่าให้กับพลเมืองชาวแคนาดา โดยอ้างเหตุผลเรื่องภัยคุกคามด้านความมั่นคงต่อเจ้าหน้าที่ในแคนาดา ในจังหวะที่ความสัมพันธ์ระหว่างสองชาติดิ่งหนัก จากประเด็นการสังหารนักเคลื่อนไหวชาวซิกข์

เมื่อวันที่ 21 ก.ย. 66 บริษัทผู้ให้บริการออกวีซ่าในแคนาดา บีแอลเอส อินเตอร์เนชันแนล ประกาศระงับการออกวีซ่าในแคนาดา ‘อย่างไม่มีกำหนด’ เนื่องจาก ‘ปัญหาด้านการปฏิบัติการ’ ตามการเปิดเผยของกระทรวงการต่างประเทศอินเดียเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา

อินเดียประกาศแผนระงับออกวีซ่าให้แคนาดา ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากสถานทูตแคนาดาในอินเดียประกาศปรับจำนวนเจ้าหน้าที่ในอินเดีย เนื่องจากเจ้าหน้าที่การทูตแคนาดาบางรายได้รับคำข่มขู่คุกคามบนสื่อสังคมออนไลน์

การเคลื่อนไหวของแคนาดาและอินเดีย ยิ่งสะท้อนถึงสัมพันธ์ร้าวลึกระหว่างสองชาติ ซึ่งมีต้นตอมาจากการที่รัฐบาลแคนาดาเดินหน้าสืบสวนข้อกล่าวหาที่ว่าอินเดียมีส่วนเชื่อมโยงกับการลอบสังหาร ‘ฮาร์ดีป ซิงห์ นิจจาร์’ นักเคลื่อนไหวชาวซิกข์วัย 45 ปี ที่มณฑลบริติชโคลัมเบีย เมื่อเดือนมิถุนายน ซึ่งรัฐบาลอินเดียออกมาปฏิเสธ

ประเด็นดังกล่าวได้นำไปสู่ความตึงเครียดด้านการทูตและเศรษฐกิจระหว่างกัน ตั้งแต่การขับทูตของอีกฝ่ายออกนอกประเทศ การแจ้งเตือนพลเมืองให้ระมัดระวังเรื่องความปลอดภัยในการพำนักอาศัยในประเทศคู่กรณี ไปจนถึงการระงับการเจรจาข้อตกลงการค้าระหว่างกัน

ผบ.ตร.เป็นประธานมอบโล่ และใบประกาศเกียรติคุณ ยกย่องเชิดชูเกียรติ แก่บุคคล หน่วยงานที่มีผลการปฏิบัติดีเด่นโครงการชุมชนยั่งยืนปี 2566 ชื่นชมความตั้งใจ ทุ่มเท เสียสละ จนโครงการประสบความสำเร็จตามนโยบายรัฐบาล นำผู้เสพสู่การบำบัดได้เกือบ 26,000 ราย

วานนี้ (21 ก.ย.66) เวลา 13.30 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. เป็นประธานพิธีมอบโล่ยกย่องเชิดชูเกียรติและใบประกาศเกียรติคุณ ให้แก่บุคคล และหน่วยงานที่มีส่วนร่วมสำคัญในการดำเนินโครงการดำเนินงานชุมชนยั่งยืน เพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดแบบครบวงจรตามยุทธศาสตร์ชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 โดยพล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.นพดล ศรสำราญ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ตร. รรท.รอง ผบช.ปส. และข้าราชการตำรวจที่ได้รับรางวัลเข้าร่วม ณ ห้องประชุมศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 ตร.

ตามนโยบายรัฐบาลที่ให้ความสำคัญต่อผู้ติดยาเสพติด โดยให้ถือว่าคือผู้ป่วยที่ต้องนำเข้ารับการบำบัดรักษาและฟื้นฟูเพื่อกลับคืนสู่สังคม สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ดำเนินโครงการชุมชนยั่งยืนเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดแบบครบวงจรตามยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งเป็นการบูรณาการในหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงาน ป.ป.ส., เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง หน่วยงานราชการส่วนท้องถิ่น สาธารณสุข เจ้าหน้าที่ทหาร และตำรวจ เพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดแบบครบวงจรตามยุทธศาสตร์ชาติ  โดยดำเนินการต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2564 จนถึงปัจจุบัน ในพื้นที่ทั่วประเทศ สถานีตำรวจละ 1 หมู่บ้าน/ชุมชน  รวมจำนวน 1,483 หมู่บ้าน/ชุมชน ต่อปี มีวัตถุประสงค์เพื่อลดอุปสงค์หรือจำนวนผู้ป่วยยาเสพติดในประเทศลง โดยบูรณาการความร่วมมือของทุกภาคส่วน ในการป้องกัน ปราบปราม บำบัดรักษา ฟื้นฟู และพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยยาเสพติด เพื่อคืนคนดีสู่สังคม โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน อย่างเป็นระบบและยั่งยืน 

โดยผลการดำเนินโครงการในปี 2566 สามารถค้นหาและนำผู้ป่วยยาเสพติดเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษาและฟื้นฟูสภาพทางสังคม ได้จำนวน 25,964 คน และจากการสำรวจความพึงพอใจของประชาชนในหมู่บ้าน/ชุมชน ที่เข้าร่วมโครงการพบว่า มีความพึงพอใจอยู่ในเกณฑ์ดีมาก โดยได้รับความร่วมมือจากบุคคลในชุมชน และหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญร่วมแรงรวมใจในการดำเนินการโครงการฯ

สำหรับวันนี้ เป็นพิธีมอบโล่ยกย่องเชิดชูเกียรติและใบประกาศเกียรติคุณ ให้แก่บุคคล และหน่วยงานที่มีส่วนร่วมสำคัญในการดำเนินโครงการดำเนินงานชุมชนยั่งยืน เพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดแบบครบวงจรตามยุทธศาสตร์ชาติประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่ชุดปฏิบัติการชุมชนยั่งยืนที่มีผลปฏิบัติงานดีเด่น และเป็นการขอบคุณในความร่วมมือของบุคคล และหน่วยงานที่มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนโครงการ  โดย ผบ.ตร.เป็นประธานมอบโล่ยกย่องเชิดชูเกียรติให้แก่ ชุดปฏิบัติการชุมชนยั่งยืน,หมู่บ้าน/ชุมชน , บุคคล และหน่วยงาน จำนวน 77 โล่ และใบประกาศเกียรติคุณ ให้แก่บุคคลและหน่วยงานจำนวน 203 ฉบับ

ผบ.ตร. ได้กล่าวขอบคุณและชมเชย เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติตามโครงการชุมชนยั่งยืนเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดแบบครบวงจรตามยุทธศาสตร์ชาติ ที่ทุ่มเท เสียสละ มีผลการปฏิบัติดีเด่น จนได้รับรางวัลชุดปฏิบัติการชุมชนยั่งยืน,หมู่บ้าน/ชุมชน , บุคคล และหน่วยงาน จำนวน 77 โล่ และใบประกาศเกียรติคุณ จำนวน 203 ราย ขณะเดียวกันได้ชื่นชมและเป็นกำลังใจให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานชุมชนยั่งยืนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และเจ้าหน้าฝ่ายปกครอง และภาคเครือข่ายที่ได้ร่วมบูรณาการการดำเนินโครงการฯ ร่วมกันทั้งประเทศ แม้จะไม่ได้รับรางวัล แต่ก็ถือว่าทุกท่านปฏิบัติหน้าที่ได้เต็มที่ จนทำให้โครงการเกิดผลสำเร็จอย่างดียิ่ง สามารถนำผู้ป่วยยาเสพติดเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษาและฟื้นฟูสภาพทางสังคม ได้จำนวน 25,964 คน และมีเสียงตอบรับที่ดีจากประชาชน ทำให้ยาเสพติดในพื้นที่ลดน้อยลง หรือหมดไป ซึ่งถือว่าโครงการชุมชนยั่งยืน เดินมาถูกทาง คือ คำตอบสุดท้ายในการแก้ไขปัญหายาเสพติดตามนโยบายรัฐบาล ช่วยให้สังคมปลอดยาเสพติด คืนชุมชนสีขาวให้ประชาชนช่วยกันดูแลรักษาให้เกิดความยั่งยืนต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top