Wednesday, 14 May 2025
NewsFeed

‘ลุงป้อม’ ชื่นชม การแก้ไขปัญหานำร่องที่ดินคืบหน้า ย้ำ ต้องเร่งช่วยเหลือ ให้ทั่วถึงทุกภาค

พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีพร้อม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และคณะ ได้เดินทางลงพื้นที่ จ.เพชรบูรณ์ เพื่อติดตามความคืบหน้าการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำที่ดินทำกิน และการบริหารจัดการน้ำให้ทั่วถึงตามนโยบายของรัฐบาล

โดย พล.อ. ประวิตร และคณะ ได้เดินทางไปที่ว่าการ อ.หนองไผ่ มี ผวจ. เพชรบูรณ์ และ หน.ส่วนราชการต่างๆให้การต้อนรับ เพื่อรับทราบความคืบหน้าการการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล จาก ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ซึ่งในภาพรวมพื้นที่ จ.เพชรบูรณ์ สามารถบริหารจัดการพื้นที่จาก ป่าห้วยทินและป่าคลองตีบ ป่าลุ่มน้าป่าสักฝั่งซ้าย ป่าห้วยน้าโจนและป่าวังสาร ป่าวังโป่ง ชนแดนและป่าวังกำแพง ให้ชุมชนได้แล้วถึง 12,224 ไร่ ประชาชนสามารถเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าร่วมกันได้เกือบ 1,215 ราย

ต่อจากนั้นได้กระทำพิธีมอบหนังสืออนุญาตเข้าทำประโยชน์ หรืออยู่อาศัยภายในป่าสงวนแห่งชาติ ให้กับประชาชนที่ได้รับการคัดเลือกให้ทำกินในชุมชน และมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน ( ส.ป.ก. 4-01) กับประชาชน ป่าเขาโปลกหล่น ต.ทุ่งสมอ และ ต.แคมป์สน อ.เขาค้อ รวมจำนวน 231 คน พื้นที่ 261 แปลง รวม 1,722 ไร่

พล.อ. ประวิตร’ กล่าวชื่นชมและพอใจ การทำงานร่วมกันของ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ และส่วนราชการต่างๆที่ร่วมกับขับเคลื่อนแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่ไม่มีที่ดินทำกิน จากความเหลื่อมล้ำในการถือครองที่ดิน ตามนโยบายรัฐบาล

โดยย้ำขอให้ เร่งเข้าไปช่วยเหลือประชาชนอีกมาก ที่ยังไม่มีที่ดินทำกินให้ทั่วถึงทุกภาค โดยให้บริหารความสมดุลของการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ และให้ตามไปส่งเสริมพัฒนาอาชีพและสาธารณูปโภค เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของทุกคน

ต่อจากนั้น บ่ายวันเดียวกัน ได้เดินทางไปติดตามความคืบหน้า การก่อสร้างระบบส่งน้ำ อ่างเก็บน้ำคลองลำกง ต.วังดี เพื่อช่วยเหลือพื้นที่เกษตรกรรมกว่า 5,000 ไร่

‘ปรเมษฐ์ ภู่โต’ ชี้สาระสำคัญคดี ‘พิธา’ ไอทีวี ยังถือว่าเป็นสื่อ ส่วนเรื่องคลิป-รายงานประชุม ต้องไปพิสูจน์กันอีกเรื่อง

นายปรเมษฐ์ ภู่โต นักข่าวสื่อมวลชนอาวุโส และผู้ดำเนินรายการคุยถึงแก่น ซึ่งออกอากาศทางช่อง NBT ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคก้าวไกล ถึงกรณีการถือครองหุ้นไอทีวี โดยมีใจความว่า ...

คิดเอง จากข่าว....
ถ้าเอาตามที่ นางสดศรี สัตยธรรม อดีต กกต. ออกมาให้ความเห็น สาระสำคัญแห่งคดี น่าจะอยู่ที่ Itv ยังไม่ได้ไปจดเลิกกิจการ หรือเปลี่ยนวัตถุประสงค์ ดังนั้นจึงยังถือว่า เป็นบริษัทที่ยัง "ประกอบกิจการสื่อ" 

ส่วนเรื่องคลิปการประชุมผู้ถือหุ้น ไม่ตรงกับ รายงานการประชุมที่เป็นเอกสารนั้นเป็นคนละประเด็น

ประเด็นสำคัญคือ

1.พิธา ถือหุ้น Itv ณ วันสมัครรับเลือกตั้งจริง

2.บริษัท ItV ยังคงเป็นบริษัท ที่ถือว่าดำเนินการสื่อจริง
แม้ว่าวันนี้จะไม่มีสถานีโทรทัศน์ Itv แพร่ภาพอยู่ก็ตาม แต่ บริษัท ยังคงมีความประสงค์จะประกอบกิจการสื่อ ตามวัตถุประสงค์ ไม่ได้มีการแจ้งยกเลิก

3.พิธา รู้ว่า ตัวเองถือหุ้นสื่อ ซึ่งเป็นลักษณะต้องห้าม แต่ก็ยังไปสมัคร 

4.ถ้าจะสู้ว่า ก็รู้ว่าถือหุ้น แต่คิดว่าItv ไม่ได้เป็นสื่ออีกแล้ว

ฟังขึ้นหรือไม่ กะอีแค่ให้คนไปคัดเอกสาร ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เพื่อมาตรวจสอบให้แน่ใจ มันยากตรงไหน

5.ส่วนคลิปที่ข่าว3มิติ ที่ไม่ตรงกับเอกสารรายงานการประชุมผู้ถือหุ้น ตัดต่อ หรือ ไม่ เป็นคนละส่วนที่ต้องไปพิสูจน์ความจริง

อาจจะมีผลในแง่สนับสนุนคำกล่าวของพิธาที่ว่า มีขบวนการฟื้นItv เพื่อสกัดไม่ให้เป็นนายกฯ 
แต่ไม่น่าจะมีผลต่อคดี

จบ....สวัสดี
 

‘กระแสร์’ ว่าที่ ส.ส.พปชร. เร่งยกระดับการท่องเที่ยวแบบครบวงจร หวังสร้างรายได้ให้ชุมชน พร้อมดันรัฐสวัสดิการเพื่อคนไทยอย่างทั่วถึง

วันที่ (12 มิ.ย. 66) นายกระแสร์ ตระกูลพรพงศ์ ว่าที่ ส.ส. จังหวัดหนองคาย เขต 1 พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวว่า สำหรับพื้นที่ๆ ตนดูแลอยู่เป็นลักษณะเขตเมือง ได้รับประโยชน์จากโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง ทำให้เกิดบรรยากาศความคึกคักของพื้นที่ มีประชาชนที่เดินทางท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก เพื่อเดินทางต่อไปยัง สปป. ลาว ตนมองว่าต้องเร่งส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในจังหวัด ทั้งทางวัฒนธรรม ศาสนา ซึ่งมีวัดหลวงพ่อพระใส ที่เป็นนับถือของคนทั้งฝั่งไทยลาว ซึ่งจะสามารถสร้างรายได้ให้กับประชาชนได้เพิ่มขึ้น จึงต้องเตรียมความพร้อม โดยการประสานหน่วยงานในพื้นที่ เพื่อยกระดับการท่องเที่ยวจังหวัดหนองคายมากขึ้น

“ในส่วนของการดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนนั้น ส่วนใหญ่อยากให้มีการพัฒนาเศรษฐกิจ ความเป็นอยู่ และยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวหนองคายให้ดีขึ้น ผมก็จะดำเนินการตามนโยบายของพรรคพลังประชารัฐที่ได้หาเสียงไว้ ไม่ว่าพรรคเราจะเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาล ผมจะผลักดันเพื่อให้เกิดรัฐสวัสดิการที่ดูแลคนไทยทุกคนอย่างทั่วถึง เท่าเทียม และเป็นธรรมให้ได้ และที่สำคัญ เราจะร่วมกันพัฒนาจังหวัดหนองคาย เพราะจังหวัดหนองคายคือบ้านของเรา” นายกระแสร์ กล่าว

นายกระแสร์ ยังกล่าวถึงเกษตรกร จ.หนองคายว่า ถือว่าเป็นโชคดี ที่พื้นที่เกษตรกรตั้งอยู่ติดกับลำน้ำโขง ทำให้ไม่ต้องเผชิญปัญหาภัยแล้ง สามารถทำนาปี และนาปรังได้ตลอดทั้งปี แต่ปัญหาเรื่องของน้ำฤดูมรสุมที่จะมีปริมาณน้ำมาก ทำให้บางพื้นที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยที่ต้องรอการระบายน้ำ ทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบ เรื่องนี้คงต้องเร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ และประสานเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือเป็นการเฉพาะหน้า

‘ลุงป้อม’ แก้ปัญหาน้ำ สานต่อโครงการตามแนวพระราชดำริฯ ป้องกันราษฎรขาดแคลนน้ำ อุปโภค-บริโภค-เกษตรกรรม

วันนี้ (12 มิ.ย.66) เวลา14.00 น. พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษก รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และคณะ ลงพื้นที่ปฏิบัติราชการต่อเนื่อง จ.เพชรบูรณ์ หลังจากในช่วงเช้าได้เป็นประธานมอบหนังสืออนุญาต เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในป่าสงวนแห่งชาติ ตามนโยบายรัฐบาล (คทช.) โดยในช่วงบ่าย พล.อ. ประวิตร และคณะ ได้เดินทางไปปฏิบัติราชการ เพื่อตรวจ ติดตามความคืบหน้า โครงการก่อสร้างระบบส่งน้ำ อ่างเก็บน้ำคลองลำกุง ต.วังท่าดี อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ 

พล.อ.ประวิตร และคณะ ได้รับฟังการบรรยายสรุปและรับทราบผลการดำเนินงานจาก  นายสุชาติ กาญจนวิลัย ผอ.โครงการชลประทานเพชรบูรณ์ ซึ่งโครงการดังกล่าว เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2519 โดยความรับผิดชอบของกรมชลประทาน เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของราษฎรจากการขาดแคลนน้ำอุปโภค-บริโภค และการเกษตรกรรม ในขณะนั้น ต่อมาในปี 2547 - 2548 รัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดำริ ว่า " ควรพิจารณาวางโครงการเก็บกักน้ำตอนบน ของลำน้ำสาขาแม่น้ำป่าสัก ไว้ให้มากเพื่อใช้ในด้านการเกษตร และป้องกันอุทกภัย เนื่องจากน้ำเหนือเขื่อนป่าสักมีจำนวนมาก โดยให้พิจารณาจัดเก็บกักให้เหมาะสม " ทั้งนี้กรมชลประทานได้น้อมนำมาปฏิบัติ ซึ่งโครงการดังกล่าว มีระบบส่งน้ำแบ่งเป็นประเภท ระบบท่อส่งน้ำและระบบคลองส่งน้ำ มีความยาวรวม 99 ก.ม. และหากดำเนินการแล้วเสร็จ จะมีพื้นที่รับประโยชน์ที่เป็นพื้นที่เพาะปลูกในฤดูฝน จำนวน 50,000 ไร่ และในฤดูแล้ง จำนวน 22,000 ไร่ รองรับพื้นที่ 4 ตำบล ของ อ.หนองไผ่ จ. เพชรบูรณ์ ซึ่งการก่อสร้าง งป. ปี 62-70 ได้ดำเนินการไปแล้ว 78.93 % (1,250 ล้านบาท)

พล.อ.ประวิตร ได้มอบนโยบายจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมกำชับ กรมชลประทาน ให้เร่งรัดการก่อสร้างระบบส่งน้ำอ่างเก็บน้ำคลองลำกง ให้แล้วเสร็จโดยเร็วตามแผนงาน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของราษฎรในพื้นที่ ป้องกันการขาดแคลนน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภค และเพื่อการเกษตรกรรม ตามแนวพระราชดำริฯ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการส่งเสริมการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจท้องถิ่น จ.เพชรบูรณ์ และ จังหวัดใกล้เคียงด้วย จากนั้นได้พบปะพี่น้องประชาชนที่มาให้การต้อนรับ อย่างเป็นกันเอง ก่อนเดินทางกลับ กทม.

‘สุริยะใส’ ผ่าปมคลิปบันทึกการประชุมผู้ถือหุ้นไอทีวี ชี้!! ข้อมูลมัดตัวแน่น คลิปและเอกสาร ขัดแย้งกันชัดเจน

เมื่อไม่นานนี้ ได้มีเอกสารรายงานการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2566 ที่ลงนามโดย นายคิมห์ สิริทวีชัย ประธานในที่ประชุม โดยระบุว่า มีผู้ถือหุ้นรายหนึ่งถามในที่ประชุมว่า “ไอทีวียังประกอบกิจการสื่อหรือไม่?” ซึ่งในบันทึกการประชุมระบุไว้ว่า “ปัจจุบันยังดำเนินกิจการอยู่ ตามวัตถุประสงค์ของบริษัท และมีการส่งงบการเงิน และยื่นแบบภาษีเงินได้นิติบุคคลตามปกติ”

จนกระทั่ง เมื่อไม่นานนี้ ได้มีการนำเอาคลิปวิดีโอบันทึกการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นไอทีวี ประจำปี 2566 บริษัทไอทีวี จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2566 ออกมาเปิดเผย โดยในคลิปวีดิโอดังกล่าว มีเสียงคำถามที่ถามโดยผู้ถือหุ้นว่า “บริษัท ไอทีวี มีการดำเนินงานเกี่ยวกับสื่อ หรือไม่” โดย นายคิมห์ สิริทวีชัย ประธานคณะกรรมการบริษัท ในฐานะประธานในที่ประชุม ให้ตอบว่า “ตอนนี้บริษัทยังไม่มีการดำเนินการใดๆ นะครับ ก็รอผลคดีความให้สิ้นสุดก่อนนะครับ”

ซึ่งทำให้ข้อมูลที่ถูกเปิดเผยออกมาล่าสุด มีความขัดแย้งกับเอกสารรายงานการประชุมที่ถูกเปิดเผยออกมาก่อนหน้านี้ จนทำให้เกิดการตั้งคำถามต่อเรื่องดังกล่าวในสังคมอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในทวีตเตอร์ ที่ได้มีการพูดถึงประเด็นดังกล่าวอย่างแพร่หลาย และมีการติดแฮชแท็ก #หุ้นitv ไปแล้วมากกว่า 1 แสนทวีต

ล่าสุด วันนี้ (12 มิ.ย. 66) ผศ.ดร.สุริยะใส กตะศิลา คณบดี วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต และผู้อำนวยการสถาบันปฏิรูปประเทศไทย (สปท.) มหาวิทยาลัยรังสิต ได้ออกมาโพสต์คลิปผ่านสื่อโซเชียลติ๊กต็อกส่วนตัว ชื่อ ‘suriyasai_k’ โดยได้พูดถึงประเด็นดังกล่าวนี้ ว่า…

“เรื่องหุ้นไอทีวีของคุณพิธา นับวันจะยิ่งเป็นมหากาพย์ และได้กลายเป็นมหากาพย์ของการเมืองไทยไปแล้ว และดูเหมือนไม่มีท่าทีจะจบลงง่ายๆ ประเด็นเก่าหลุดไป ก็มีประเด็นใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาอีกตลอดเวลา จนล่าสุดก็ได้มีประเด็นบันทึกการประชุมผู้ถือหุ้นหลุดออกมาเป็นคลิปวิดีโอจากสื่อมวลชนแขนงหนึ่ง และได้มีการแชร์กันอย่างแพร่หลายในโลกออนไลน์ ณ ขณะนี้”

นอกจากนี้ ผศ.ดร. สุริยะใส ยังกล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า คลิปวิดีโอบันทึกการประชุมที่หลุดออกมานั้น มีรายละเอียดคนละอย่างกับที่บันทึกในเอกสาร ซึ่งในบันทึกการประชุมรูปแบบเอกสาร โดยเฉพาะในช่วงคำถามที่ผู้ถือหุ้นถามถึงประเด็นที่ว่า ไอทีวียังประกอบกิจการอยู่หรือไม่นั้น ในเอกสารได้ระบุไว้อย่างชัดเจน ว่า คำตอบคือ ยังประกอบกิจการสื่ออยู่ปกติ แต่ในคลิปวิดีโอที่หลุดออกมาโดยสื่อมวลชนแขนงหนึ่ง ไม่ได้กล่าวแบบนั้น และยังกล่าวตรงกันข้าม ว่า ไม่ได้ดำเนินกิจการอะไร ยังต้องรอศาลปกครองตัดสินในคดีที่เป็นคู่ขัดแย้งกับสํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี ซึ่งอาจจะมีคำตัดสินออกมาในปลายเดือน มิ.ย.นี้

คำถามที่ต้องคิดต่อจากนี้ คือ

1.) หากคลิปวิดีโอบันทึกการประชุมนี้เป็นความจริง แสดงว่าเอกสารฉบับนั้น เป็นของปลอม และมีคนไปแก้บันทึกการประชุม ซึ่งตรงนี้ก็ต้องมาไล่เรียงกันว่า ใครบ้าง ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง มีตัวละครเกี่ยวคนที่ต้องดำเนินคดีกันอย่างถึงที่สุด

2.) หากคลิปวิดีโอบันทึกการประชุมนั้นไม่ใช่ของจริง ก็ต้องมาตรวจสอบว่ามีการตัดต่อคลิปวิดีโอหรือไม่ และความจริงหรืออะไร เพราะมีผู้ที่ตั้งข้อสังเกตว่า เสียงและภาพในคลิปวิดีโอบันทึกการประชุมนั้น มีความไม่สอดคล้องกัน ไม่ตรงกัน 100% จึงตั้งข้อสงสัยว่าอาจจะมีการตัดต่อหรือไม่

ซึ่งก็เป็นเรื่องที่จะต้องมีการตรวจสอบกันต่อไป ว่าคลิปวิดีโอที่ถูกปล่อยออกมานั้น เป็นของจริงหรือผ่านการตัดต่อ และถ้าหากเป็นคลิปวิดีโอจริงที่ไม่ผ่านการตัดต่อ ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับเอกสารบันทึกการประชุมก่อนหน้านั้น ซึ่งมีรายละเอียดไม่ตรงกัน

“ประเด็นที่สำคัญที่สุด คือ สมมติว่า บันทึกที่เป็นเอกสารนั้นเป็นของปลอมก็ไปไล่จับผู้ที่ทำการแก้ไขกันต่อไป และหากคลิปวิดีโอที่ปล่อยออกมานั้นเป็นของจริง คดีจะหายไปหรือไม่? อย่าลืมนะครับว่า คดีที่มีการสอบสวนอยู่ ณ ขณะนี้ คือ “คุณพิธาถือหุ้นสื่อไอทีวีอยู่หรือไม่?” คำตอบคือ “ยังถือหุ้นอยู่จริง” และคำถามที่ว่า “ไอทีวี ยังเป็นสื่ออยู่หรือไม่?” ตรงนี้ผมไม่ทราบ แต่ ไอทีวียังไม่ได้แจ้งยกเลิกการประกอบกิจการ ซึ่งหมายความว่า ไอทีวีจะกลับมาประกอบกิจการเมื่อไรก็ได้ เพราะฉะนั้น ในประเด็นนี้ยังไม่สามารถตัดออกไปได้ อาจจะเป็นคนละประเด็นกับคลิปบันทึกการประชุมว่าเป็นของจริงหรือของปลอม แต่คดีการถือหุ้นสื่อนี้ ยังคงอยู่ บางคนอาจจะบอกว่าคดีจะเบาลง แต่ผมว่าก็คงจะเบาลงเพียงระดับหนึ่งเท่านั้น ยังคงต้องติดตามกันต่อไป เพราะเรื่องนี้จะยังไม่จบลงง่ายๆ ครับ” ผศ.ดร.สุริยะใส กล่าวทิ้งท้าย

‘ศรีสุวรรณ’ บุก กกต. จี้สอบ ‘กัณวีร์-พรรคเป็นธรรม’ ปมใช้นามสกุลตระกูลดังแอบอ้างหาเสียงหรือไม่

วันที่ (12 มิ.ย. 66) ที่สำนักงานการเลือกตั้ง (กกต.) นายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน ได้เดินทางมายื่นคำร้องชี้เบาะแสให้ กกต.ตรวจสอบการหาเสียงของนายกัณวีร์ สืบแสง ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 1 พรรคเป็นธรรม ที่ปรากฎเป็นการทั่วไปในการหาเสียงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้และในสื่อต่างๆว่าเป็นหลานปู่ของ นพ.สืบแสง หรือ ‘ขุนเจริญวรเวช’ อดีต ส.ส. ปัตตานี 3 สมัย ช่วงก่อนและหลังปี พ.ศ. 2500 ซึ่งเป็นตระกูลที่สร้างคุณงามความดีให้กับชาวปัตตานีมาอย่างยาวนาน โดยที่ตระกูลดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องใด ๆ ในทางเครือญาติหรือสายโลหิตกับนายกัณวีร์แต่อย่างใด เพียงแต่มีนามสกุลพ้องกันเท่านั้น

ทั้งนี้ นพ. เจริญ สืบแสง เคยรับราชการในกรมสาธารณสุข เป็นแพทย์หลวงประจำจังหวัดปัตตานี และยังเปิดคลินิกรับรักษาให้ประชาชนทั่วไปในรูปแบบรักษาให้ฟรีสำหรับผู้คนที่ขาดแคลนส่วนงานด้านการเมืองนั้น เคยเป็นสมาชิกสภาเทศบาลจังหวัดปัตตานี เคยเป็นนายกเทศมนตรีเมืองปัตตานี เคยเป็นประธานสภาเทศบาลจังหวัดปัตตานี และยังเคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดปัตตานีถึง 3 สมัย อีกด้วย

นอกจากนั้น ยังเคยเป็นประธานกรรมการสันติภาพแห่งประเทศไทย และเคยเรียกร้องสันติภาพ ด้วยการคัดค้านสงครามรุกรานเกาหลี ต่อมาปรากฎว่าถูกจับกุมดำเนินคดีในข้อหา “กบฏสันติภาพ” ส่วนน้องชายคือนายจรูญ สืบแสง เป็นผู้ร่วมก่อตั้งคณะราษฎรสายพลเรือนที่มีนายปรีดี พนมยงค์ เป็นแกนนำ เคยรับราชการในตำแหน่งด้านการเกษตร กรมเพาะปลูก กระทรวงเกษตราธิการ เคยเป็นอธิบดี กรมศุลกากร อธิบดี กรมชลประทาน และยังได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดปัตตานีอีกด้วย

จะเห็นได้ว่าตระกูลสืบแสงนั้น มีคุณงามความดี และมีผลงานที่สร้างชื่อคุณูปการต่อชาวปัตตานีมาอย่างต่อเนื่องทั้งในงานทางด้านสังคม การแพทย์ และการเมือง จึงเป็นที่เคารพรักใคร่กันของพี่น้องประชาชนชาวปัตตานีและจังหวัดใกล้เคียงมาโดยตลอดและอย่างยาวนาน เพราะถือว่าเป็นตระกูลนักการเมืองที่เคยมีบทบาทสำคัญ และมีคณูปการอย่างยิ่งต่อประเทศชาติ โดยเฉพาะสังคมในพื้นที่ปาตานี/จังหวัดชายแดนใต้

แต่ทว่านายกัณวีร์กลับใช้กลยุทธ์ในช่วงหาเสียงโดยการกล่าวอ้างว่า นพ.เจริญ สืบแสง เป็นปู่ เป็นบรรพบุรุษ เป็นต้นตระกูลของตนเอง เป็นรุ่นปู่ รุ่นหลาน ตนเองเป็นหลาน หรือมีศักดิ์เป็นหลาน เป็นผู้สืบเชื้อสาย นับศักดิ์เป็นญาติ ปู่เป็นญาติรุ่นเดียวกัน ฯลฯ ทั้ง ๆ ที่ข้อเท็จจริงนั้น ไม่ได้มีส่วนใดในเชิงเครือญาติที่เกี่ยวข้องกันโดยสิ้นเชิง แม้ภายหลังถูกเครือญาติของ นพ.สืบแสงออกมาเปิดโปง ก็เพียงแต่ออกมาโพสต์ขอโทษในเฟซบุ๊กส่วนตัวของตนเองหลังจากผ่านพ้นการเลือกตั้งไปแล้วเท่านั้น การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายหลอกลวง หรือจูงใจให้เข้าใจผิด ในคะแนนนิยมของผู้สมัครหรือพรรคการเมือง ตาม ม.73 (5) แห่ง พรป.เลือกตั้ง ส.ส. 2561 หรือไม่ องค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน จึงต้องนำความพร้อมพยานหลักฐานมายื่นชี้เบาะแสให้ กกต. ตรวจสอบในวันนี้ นายศรีสุวรรณ กล่าว

 

สืบนครบาลจับกุมบัญชีม้าแม่ลูกอ่อนหลอกลงทุนเทรดหุ้นคลิปโต อ้างสามีเป็นผู้ชักชวนจนทำร้ายตนเอง

ตามนโยบายของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. พล.ต.ท.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปอส.ตร. (PCT) ให้ปราบปรามกลุ่มเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมที่กระทำความผิดทุกรูปแบบซึ่งสร้างความเดือนร้อนให้กับประชาชนผู้สุจริตจำนวนมาก

โดยชุดลาดตระเวนออนไลน์ สืบนครบาลตรวจพบว่า นางสาวปรียานุช  มั่นมาก มีบัญชีธนาคาร จำนวน 6 บัญชี เป็นบัญชีม้าไว้สำหรับการหลอกลงทุนออนไลน์ประเภทหุ้นคลิบโตเพื่อสร้างรายได้ทางออนไลน์ รวมมูลค่าความเสียหายเกือบ 1 ล้านบาท

เมื่อถูกสืบนครบาลจับกุม ยอมรับว่าสามีเป็นคนชักชวนเปิดบัญชี เมื่อรู้ว่าถูกออกหมายจับ สามีชิงฆ่าตัวตาย ทิ้งให้ตนเลี้ยงลูกเพียงลำพัง 3 คน คนโตอายุ 13 ปี คนเล็ก อายุ 2 เดือน  ชุดปฏิบัติสืบนครบาลจึงประสานครอบครัวให้มาดูแลเด็กๆ และสนับสนุนค่าเลี้ยงดู

วันที่ 11 มิถุนายน 2566  พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. , พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น.
พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. /หัวหน้าชุด PCT 5 ,พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ สระทองออย รอง ผบก สส.ฯ , พ.ต.อ.วิชิต  ถิรขจรวงศ์ ผกก.สส.1ฯ  พ.ต.ต.กฤตวัฒน์ ขุนอินทร์  สว.กก.สส.1ฯ พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ (ชป.3) กก.สส.1 บก.สส.บช.น.ได้ร่วมกันจับกุมตัวนางสาวปรียานุช  มั่นมาก อายุ 31 ปีที่อยู่ 146/15 ม.2 ต.รังสิต อ.ธัญบุรี หมายจับ ศาลอาญา ที่ 550/2566 ลงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2566กระทำความผิดฐาน “ฉ้อโกงประชาชน" หมายจับ ศาลจังหวัดเชียงราย ที่ 71/2566 ลงวันที่ 3 มีนาคม 2566กระทำความผิดฐาน “ฉ้อโกงประชาชน"

โดยกล่าวว่า ฉ้อโกงประชาชน
สถานที่จับกุม ฟิวเจอปาครังสิต อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี
ในชั้นจับกุมผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยรับว่าเมื่อประมาณ เดือนเมษายน 2565 แฟนของผู้ต้องหา นายมาดแมน ศรีเพชร ได้ชักชวนให้ผู้ต้องหาได้เปิดบัญชีธนาคารกสิกรไทย จำนวน6 บัญชี เพื่อที่จะใช้ลงทุนออนไลน์ หารายได้ ต่อมาปรากฏว่า เดือนพฤษภาคม2566 นายมาดแมนฯ ได้ฆ่าตัวตายเนื่องจาก ทราบว่าตนถูกหมายจับเป็นผู้ต้องหาในคดีฉ้อโกงประชาชน ต่อมาในวันนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สืบนครบาลมาจับกุมตน ซึ่งตนรู้ตัวว่าตนนั้นจะต้องถูกดำเนินคดี ในชั้นจับกุมให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยรายละเอียดคดี  สน.สายไหม

หลอกลงทุนเทรดหุ้นคลิปโต เมื่อลงทุนแล้วไม่สามารถถอนกำไรได้ จำนวน 537,229 บาท   ส่วนสน.แม่จัน จว.เชียงรายหลอกลงทุนเทรดหุ้นคลิปโต บริษัท อมตะ ซึ่งหลอกลวงว่าให้ผลตอบแทนสูง ความเสียหายทั้งสิ้น 269,512 บาท

ต่อมาชุดสืบสวนได้ประสานครอบครัวของผู้ต้องหามารับเด็กๆไปดูแล และมอบเงิน จำนวน 2,000 บาทเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเบื้องต้นสำหรับเด็กๆ นำส่งพนักงานสอบสวน สน.สายไหม เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายและส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. /หัวหน้าชุด PCT 5 กล่าวว่าขอแจ้งเตือนไปยังผู้กระทำผิด ว่าท่านไม่สามารถหลบรอดกฎหมาย  และประชาชนหากมีเบาะแสการกระทำความผิด โปรดแจ้งมายังเพจ “สืบสวนนครบาล IDMB” ได้ตลอด 24 ชม. แม้จะเป็นคดีที่มีความเสียหายไม่มาก แต่หากเป็นคดีที่ประชาชนเดือดร้อน เราทำทันที ตามนโยบายของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.

ร่วมกิจกรรม รักษ์ทะเลและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมเกาะเกล็ดแก้ว รร.ชุมพลทหารเรือ

วันที่ 12 มิ.ย.66 นาวาเอก จิระวัฒน์ อภิภัทรชัยวงศ์ ผู้บังคับการโรงเรียนชุมพลทหารเรือ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ เป็นประธาน เปิดกิจกรรมวันทะเลโลก "รักษ์ทะเล รักษ์เกาะเกล็ดแก้ว" ว่ายน้ำเก็บขยะรอบเกาะและบนเกาะเกล็ดแก้ว ต.บางเสร่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

โดยมี องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นักเรียนจ่าทหารเรือ รร.ชุมพลทหารเรือ หน่วยงานภาครัฐ นักว่ายน้ำ จิตอาสา กลุ่มอาสาสมัครเพื่อการอนุรักษ์ทะเล ข้าราชการและประชาชน เกือบ 200 คน เข้าร่วมกิจกรรม
ผู้บังคับการ โรงเรียนชุมพลทหารเรือ กล่าวว่า สำหรับเกาะเกล็ดแก้วถือเป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรทางทะเลและระบบนิเวศในทะเลที่สำคัญแห่งหนึ่งของจังหวัดชลบุรี โดยเฉพาะหาดเกล็ดแก้วก็เช่นเดียวกัน เป็นชายหาดที่สวยงามเหมาะแก่การท่องเที่ยวและพักผ่อน ปัจจุบันประสบกับปัญหาขยะทะเล

โดยเฉพาะขยะพลาสติกที่ส่งผลให้ทรัพยากรทางทะเลได้รับความเสียหาย โรงเรียนชุมพลทหารเรือ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลพื้นที่ จึงได้จัดกิจกรรมวันทะเลโลก "รักษ์ทะเล รักษ์เกาะเกล็ดแก้ว" ขึ้น เพื่อปลุกจิตสำนึกในการรักษ์ทะเลรักษ์เกาะเกล็ดแก้ว ด้วยการจัดกิจกรรมร่วมเก็บขยะบริเวณชายหาดเกล็ดแก้ว และว่ายน้ำเก็บขยะรอบเกาะเกล็ดแก้ว ให้มีความสะอาดเป็นธรรมชาติทางทะเลที่มีความสวยงามและอุดมสมบูรณ์

โดยการจัดกิจกรรมโครงการ "รักษ์ทะเล รักษ์เกาะเกล็ดแก้ว" มีวัตถุประสงค์ เพื่อเป็นการตระหนักถึงความสำคัญของท้องทะเล ปลุกจิตสำนึกให้แก่เยาวชน โดยเฉพาะนักเรียนจ่าทหารเรือ รวมทั้งทุกคนให้มีความรักทะเลและรู้จักรักษาสิ่งแวดล้อม สร้างความร่วมมือสร้างพลังรักษ์ทะเลขึ้น

ซึ่งการจัดกิจกรรมในวันนี้ ได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่ง จากหน่วยงานภาครัฐ และหน่วยงานภาคเอกชนหลายๆ หน่วยงาน อาทิ เทศบาลตำบลบางเสร่ เทศบาลตำบลเกล็ดแก้ว มูลนิธิรักษ์ปะการัง โดยความอุปถัมภ์ของ สำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 2 ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยตอนบน ฝั่งตะวันออก โรงเรียนพลูตาหลวงวิทยา  บริษัท เอจีซี วีนิไทย จำกัด (มหาชน)
รวมทั้งกลุ่มอาสาสมัครเพื่อการอนุรักษ์ทะเล นำโดย พลเรือโท ชูศักดิ์ ชูไพฑูรย์ นำกลุ่มนักว่ายน้ำจิตอาสาเพื่อการอนุรักษ์ทะเล หรือ VOSEA (Volunteers for Sea )

โดยการสนับสนุนจาก บริษัท คาราบาว กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เข้าร่วมกิจกรรมว่ายน้ำไปเก็บขยะรอบเกาะเกล็ดแก้ว "รักษ์เต่า รักษ์ทะเล ลดขยะ" เพื่อเป็นการฟื้นฟูระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่ง ลดผล กระทบของขยะทะเล ก่อให้เกิดความหลากหลายทางชีวภาพ ห่วงโซ่อาหารใต้ท้องทะเลมีสภาพดีขึ้น อีกทั้งยังสามารถพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศทางทะเล ให้เกิดความยั่งยืนในอนาคตต่อไปอีกด้วย

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ก012 ชลบุรี 909535645
วิมล 0811013663 ผู้ประสานงาน
 

“อลงกรณ์”ฟันธง”พิธา”รอดคดีหุ้นไอทีวี.เชื่อจบในชั้น กกต. ภายใน45วัน

วันนี้นายอลงกรณ์ พลบุตร อดีตรัฐมนตรีและอดีตส.ส.หลายสมัยเขียนเฟสบุ๊ควิเคราะห์คดีหุ้นไอทีวี.ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์เรื่อง “กรณีหุ้นไอทีวี.จบในชั้นกกต.เรื่องง่ายๆไม่มีอะไรซับซ้อน” โดยสรุปว่านายพิธาไม่ได้เป็นเจ้าของหุ้นไอทีวี. จึงไม่เข้าข่ายการกระทำความผิดตามมาตรา151และชี้ว่าคดีนี้จะจบลงในชั้น กกต. ภายใน45วันโดยมีข้อความดังนี้

ผมติดตามเรื่องหุ้นไอทีวี.และมีความเห็นส่วนตัวในฐานะอดีต ส.ส. และอดีตรัฐมนตรี
จึงขออนุญาตแสดงความเห็นตามข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงในข้อเขียนสั้น ๆ เรื่อง
”กรณีหุ้นไอทีวี. จบในชั้น กกต. เรื่องง่าย ๆไม่มีอะไรซับซ้อน” ดังนี้ครับ

“กรณีหุ้นไอทีวี.จบในชั้น กกต. เรื่องง่ายๆไม่มีอะไรซับซ้อน”

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มีการระบุไว้ในมาตรา 98(3) ซึ่งว่าด้วยคุณสมบัติที่ห้ามลงสมัคร ส.ส. โดยระบุว่า “ห้ามเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ”
ดังนั้นกฎหมายลูกคือพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. พ.ศ.2561 แก้ไขเพิ่มเติม 2566 จึงบัญญัติมาตรา 151 ความว่า “..ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่า ตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร …(ลักษณะต้องห้ามเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นสื่อ)

กรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ถือครองเป็นเจ้าของหุ้นไอทีวี.จะเข้าข่ายการกระทำความผิดตามมาตรา 151ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. พ.ศ.2561 แก้ไขเพิ่มเติม 2566 หรือไม่

เรื่องนี้มีหลายมุมมอง แต่สำหรับผมมีความเห็นดังนี้ครับ


1.ประเด็นหุ้นไอทีวี.ไม่มีอะไรซับซ้อนเพราะมีคำถามเดียวที่ต้องพิสูจน์คือ หุ้นไอทีวี.เป็นของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หรือเป็นของกองมรดกที่นายพิธาเป็นผู้จัดการมรดก เป็นปมสำคัญที่สุด

2.การพิจารณาข้อกฎหมายเรื่องหุ้นไอทีวี.ของนายพิธาคือ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์โดยเฉพาะ บรรพ 6 ว่าด้วยมรดก

3.จากการประมวลข้อเท็จจริงอย่างรอบคอบโดยปราศจากอคติจากทุกฝ่ายได้ความว่า นายพิธาถือหุ้นในนามผู้จัดการมรดกไม่ใช่ถือในนามส่วนตัวและในฐานะทายาทได้สละมรดกแล้วซึ่งมีผลว่าไม่ได้เป็นเจ้าของหุ้นตั้งแต่ปี2550

4.เมื่อพิจารณาข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงจึงสรุปได้ว่า นายพิธาไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 151

5.ดังนั้นประเด็นเรื่องหุ้นไอทีวี.จะปิดสำนวนในชั้นกกต.ภายใน30วันหรือ 45วัน การพิจารณาประเด็นหุ้นไอทีวี.ต้องยึดหลักความยุติธรรมโปร่งใสเป็นบรรทัดฐานในการวินิจฉัย อย่าทำให้เป็นคดีการเมือง
ผมสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งแข่งขันกับนายพิธาและพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา แต่เป็นหน้าที่ที่เราต้องช่วยผดุงความยุติธรรมเมื่อเห็นว่ามีความไม่ยุติธรรมเกิดขึ้นกับใครก็ตามแม้แต่คู่แข่งทางการเมือง

เพราะความยุติธรรมที่เที่ยงธรรมจะไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งแตกแยกในบ้านเมือง
การบริหารประเทศด้วยหลักนิติรัฐและนิติธรรมสำคัญที่สุดสำหรับประเทศไทยในวันนี้และวันข้างหน้าครับ.
 

‘อลงกรณ์’ ฟันธง ‘พิธา’ รอดคดีหุ้นไอทีวี เชื่อ จบในชั้นกกต. ภายใน 45 วัน

นายอลงกรณ์ พลบุตร อดีตรัฐมนตรีและอดีตส.ส.หลายสมัยเขียนเฟซบุ๊กวิเคราะห์คดีหุ้นไอทีวี ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์เรื่อง “กรณีหุ้นไอทีวี จบในชั้น กกต. เรื่องง่ายๆไม่มีอะไรซับซ้อน” โดยสรุปว่านายพิธาไม่ได้เป็นเจ้าของหุ้นไอทีวี จึงไม่เข้าข่ายการกระทำความผิดตามมาตรา151 และชี้ว่าคดีนี้จะจบลงในชั้น กกต. ภายใน45วันโดยมีข้อความดังนี้

ผมติดตามเรื่องหุ้นไอทีวี และมีความเห็นส่วนตัวในฐานะอดีต ส.ส.และอดีตรัฐมนตรี
จึงขออนุญาตแสดงความเห็นตามข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงในข้อเขียนสั้นๆเรื่อง
”กรณีหุ้นไอทีวี จบในชั้น กกต. เรื่องง่าย ๆ ไม่มีอะไรซับซ้อน” ดังนี้ครับ

“กรณีหุ้นไอทีวี จบในชั้น กกต.
เรื่องง่าย ๆ ไม่มีอะไรซับซ้อน”

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มีการระบุไว้ในมาตรา 98(3) ซึ่งว่าด้วยคุณสมบัติที่ห้ามลงสมัคร ส.ส. โดยระบุว่า “ห้ามเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ”

ดังนั้นกฎหมายลูกคือพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. พ.ศ. 2561 แก้ไขเพิ่มเติม 2566 จึงบัญญัติมาตรา 151 ความว่า “..ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่า ตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร …(ลักษณะต้องห้ามเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นสื่อ)

กรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ถือครองเป็นเจ้าของหุ้นไอทีวี จะเข้าข่ายการกระทำความผิดตามมาตรา 151ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. พ.ศ. 2561 แก้ไขเพิ่มเติม 2566 หรือไม่ เรื่องนี้มีหลายมุมมอง แต่สำหรับผมมีความเห็นดังนี้ครับ

1.ประเด็นหุ้นไอทีวี.ไม่มีอะไรซับซ้อนเพราะมีคำถามเดียวที่ต้องพิสูจน์คือ หุ้นไอทีวี เป็นของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หรือเป็นของกองมรดกที่นายพิธาเป็นผู้จัดการมรดก เป็นปมสำคัญที่สุด

2.การพิจารณาข้อกฎหมายเรื่องหุ้นไอทีวี ของนายพิธาคือ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์โดยเฉพาะ บรรพ 6 ว่าด้วยมรดก

3.จากการประมวลข้อเท็จจริงอย่างรอบคอบโดยปราศจากอคติจากทุกฝ่ายได้ความว่า นายพิธาถือหุ้นในนามผู้จัดการมรดกไม่ใช่ถือในนามส่วนตัวและในฐานะทายาทได้สละมรดกแล้วซึ่งมีผลว่าไม่ได้เป็นเจ้าของหุ้นตั้งแต่ปี2550 

4.เมื่อพิจารณาข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงจึงสรุปได้ว่า นายพิธาไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 151 

5.ดังนั้นประเด็นเรื่องหุ้นไอทีวี จะปิดสำนวนในชั้น กกต. ภายใน 30 วันหรือ 45 วัน
การพิจารณาประเด็นหุ้น ไอทีวี. ต้องยึดหลักความยุติธรรมโปร่งใสเป็นบรรทัดฐานในการวินิจฉัย อย่าทำให้เป็นคดีการเมือง

ผมสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งแข่งขันกับนายพิธาและพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา แต่เป็นหน้าที่ที่เราต้องช่วยผดุงความยุติธรรมเมื่อเห็นว่ามีความไม่ยุติธรรมเกิดขึ้นกับใครก็ตามแม้แต่คู่แข่งทางการเมือง เพราะความยุติธรรมที่เที่ยงธรรมจะไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งแตกแยกในบ้านเมือง การบริหารประเทศด้วยหลักนิติรัฐและนิติธรรมสำคัญที่สุดสำหรับประเทศไทยในวันนี้และวันข้างหน้าครับ.
 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top