Wednesday, 14 May 2025
NewsFeed

ทางหลวงสายใหม่ อุดรธานี-บึงกาฬ มาตรฐานมอเตอร์เวย์ ไร้จุดตัดทางแยก เชื่อมต่อสะพานมิตรภาพ แห่งที่ 5

เพจเฟซบุ๊ก โครงสร้างพื้นฐานประเทศไทย Thailand Infrastructure ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ ทางหลวงสายใหม่ อุดรธานี-บึงกาฬ โดยมีใจความว่า ...

ทางหลวงสายใหม่ อุดรธานี-บึงกาฬ ร่นระยะทางกว่า 65 กม
มาตรฐานมอเตอร์เวย์ ไร้จุดตัดทางแยก เชื่อมต่อสะพานมิตรภาพ แห่งที่ 5 (บึงกาฬ-บอลิคำไซ) และสนามบินบึงกาฬ
วันนี้เอาอีกหนึ่งโครงการถนนยุทธศาสตร์ ด้านการเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน คือเส้นทางทางหลวงสายใหม่ อุดรธานี (กุมภวาปี) - บึงกาฬ เพื่อตัดตรง จากถนนมิตรภาพ เข้าสู่บึงกาฬ โดยตรง 
ซึ่งถนนสายใหม่เส้นนี้ สามารถลดระยะทาง ได้กว่า 65 กิโลเมตร จากเดิม 220 กิโลเมตร เหลือเพียง 155 กิโลเมตร 

การยกระดับมาตรฐานทางหลวง ขนาด 4 ช่องจราจร เทียบเท่ามอเตอร์เวย์ ไร้จุดตัดทางแยก และทางกลับรถกลางถนน เพื่อความปลอดภัย และความสะดวกของประชาชน
นอกจากนั้น ถนนสายใหม่นี้ จะเป็นอีกหนึ่งสายที่จะสนับสนุนการท่องเที่ยวในพื้นที่ ซึ่งเชื่อมโยงไปยังแหล่งท่องเที่ยวได้ง่ายยิ่งขึ้น เช่น

- ทะเลบัวแดง
- คำชะโนด
- หินสามวาฬ
- ถ้ำนาคา

สำคัญที่สุด จะเป็นโครงข่ายสนับสนุนการเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน คือ สะพานมิตรภาพ ไทย-ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ-บอลิคำไซ) ที่กำลังก่อสร้าง และจะเสร็จประมาณปี 67 คู่ขนานกับการเชื่อมต่อสนามบินบึงกาฬที่อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้

รายละเอียด ถนนสายใหม่ อุดรธานี-บึงกาฬ 

- ระยะทางรวม 155 กิโลเมตร 
- เป็นถนนขนาด 4 ช่องจราจร
- มาตรฐานการออกแบบ เป็นทางหลวงระหว่างเมือง ไม่มีจุดตัดทางแยก (เทียบเท่ามอเตอร์เวย์)
- มีทางต่างระดับเพื่อเชื่อมต่อทางหลวงสายหลัก 3 จุด ได้แก่ จุดตัดถนนมิตรภาพ (ทล.2) ที่ กม. 424 (ต้นทาง) , จุดตัดทางหลวงสาย 22 ที่ กม. 30 และ จุดตัด ถนนเลี่ยงเมืองบึงกาฬ ที่ กม. 2 (ปลายทาง)
- มีสะพานข้ามแยก 7 จุด เพื่อเชื่อมต่อกับถนนขนาดเล็ก 

แนวเส้นทาง
เริ่มต้นโครงการจาก ถนนมิตรภาพ กม. 424 ในอำเภอกุมภวาปี มุ่งหน้าขึ้นเหนือ ผ่านอำนาจประจักษ์ศิลปาคม เข้าสู่อำเภอหนองหาน ตัดกับทางหลวงสาย 22 (อุดรธานี-นครพนม) ซึ่งเป็นทางต่างระดับ เพื่อความสะดวกในการเชื่อมต่อทุกด้าน
จากนั้นก็มุ่งหน้าต่อผ่านอำเภอทุ่งฝน อำเภอพิบูลย์รักษ์ อำเภอบ้านดุง ตัดกับทางหลวง 2022 (สามารถเดินทางต่อยปคำชะโนดได้)
จากนั้น มุ่งหน้าต่อ เข้าเขตจังหวัดหนองคาย อำเภอโพนพิสัย ตัดกับทางหลวง 2023 และ ทางหลวง 2267 และจะมีพื้นที่จุดบริการทางหลวง อยู่ที่อำเภอเฝ้าไร่
จากนั้นเข้าสู่เขตจังหวัดบึงกาฬ ที่อำเภอโซ่พิสัย ตัดกับทางหลวง 2095 เข้าสู่เขตอำเภอเมืองบึงกาฬ
ซึ่งบริเวณ นี้จะเชื่อมต่อกับตำแหน่งสนามบินบึงกาฬ แห่งใหม่ ที่กำลังศึกษาความเป็นไปได้ และผลกระทบสิ่งแวดล้อมอยู่
สุดท้าย ปลายทางจะไปบรรจบกับถนนเลี่ยงเมืองบึงกาฬ ซึ่งจะเป็นถนนที่เชื่อมต่อกับสะพานมิตรภาพแห่งที่ 5 ด้วยเช่นกัน
 

ผบ.ตร. สั่งตั้งคณะทำงาน เตรียมยกเครื่อง ปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบ การรับบุคคลเป็นตำรวจสัญญาบัตร ให้สอดคล้อง พ.ร.บ.ตำรวจใหม่

ผบ.ตร. สั่งตั้งคณะทำงาน เตรียมยกเครื่อง ปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบ การรับบุคคลเป็นตำรวจสัญญาบัตร ให้สอดคล้อง พ.ร.บ. ตำรวจใหม่  

โดยจะเปิดกว้าง โปร่งใส ตรวจสอบได้ เน้นพิจารณาคนในเป็นพิเศษ เพื่อสร้างขวัญกำลังใจตำรวจ และความเชื่อมั่นประชาชน

วันนี้ (12 มิ.ย.66 ) พล.ต.ท. อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ  กล่าวว่า  “  ตามที่มีข่าวประเด็นข้อสงสัยของสังคมเกี่ยวกับกรณีของ ร.ต.อ. หญิง อาทิติยา และข้าราชการตำรวจรายอื่นๆ ของหลักสูตร กอส. แม้ว่าในเบื้องต้นกระบวนการทั้งการคัดเลือก การแต่งตั้ง การเข้าเรียนหลักสูตร กอส. การบรรจุด้วยวุฒิปริญญาโท จนการเลื่อนยศ  จนถึง ร.ต.อ. จะเป็นไปตามระเบียบ กฎหมาย กฎ ก.ตร. ที่เกี่ยวข้อง

อย่างไรก็ตาม พล.ต.อ. ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ไม่ได้นิ่งนอนใจ สั่งการให้ตรวจสอบรายละเอียด หลักเกณฑ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องแล้ว โดยที่ผ่านมาตั้งแต่ช่วงที่ ผบ.ตร. เข้ามารับตำแหน่ง กว่าระยะเวลา 8 เดือน ก็ยังไม่ได้มีการเปิดรับบุคคลภายนอกมาเป็นตำรวจตามที่หน่วยงานร้องขอแต่อย่างใด
เพื่อให้การแก้ไขเรื่องนี้ให้เป็นรูปธรรม พล.ต.อ. ดำรงศักดิ์ จึงได้สั่งการ มอบหมาย ให้ พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. ฝ่ายบริหาร ตั้งคณะทำงาน เพื่อทบทวน ปรับปรุง แก้ไข ระเบียบ คำสั่ง กฏ ก.ตร และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการรับบุคคลเข้ามาเป็นตำรวจสัญญาบัตร การบรรจุ แต่งตั้ง ครองยศ

รวมถึงการเข้าเรียนหลักสูตรการอบรมบุคคลภายนอกที่บรรจุหรือโอนมาเป็นข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตร(กอส.) , หลักสูตรการอบรมบุคคลภายใน(ข้าราชการตำรวจชั้นประทวน) เป็นข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตร (กอน.) , และหลักสูตรที่เทียบเคียงอื่นๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ทันต่อยุคสมัย และสอดรับกับ พ.ร.บ. ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 ฉบับใหม่


รวมทั้งนำกรณีของ ร.ต.อ. หญิง อาทิติยาฯและข้าราชการตำรวจรายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง มอบหมายให้สำนักงานกำลังพลไปถอดบทเรียน มาประกอบการพิจารณาเพื่อยกร่างกฎระเบียบใหม่
โดยจะมีการเปิดกว้างในการรับบุคคลภายนอกที่มีคุณภาพ มาเป็นตำรวจชั้นสัญญาบัตร ให้เกิดความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ตรงกับความต้องการของหน่วยและจะมีการพิจารณาเพิ่มโควต้าคนในให้มากขึ้นกว่าเดิมโดยพิจารณาจากผู้ที่มีความรู้ความสามารถจากผลการประเมินจากผู้บังคับบัญชาหรือกรณีที่ตำรวจไปศึกษาเพิ่มเติมจนจบชั้นปริญญาตรี ปริญญาโท หรือปริญญาเอก โดยจะเปิดให้มีการแข่งขันกันเอง ให้เป็นสัญญาบัตรได้ในสายงานต่างๆ เช่นสายงานสอบสวน สายงานป้องกันปราบปราม เป็นต้น

โฆษก ตร. กล่าวอีกว่า “ สำหรับ หลักสูตร กอส. ที่สังคมตั้งคำถาม  เป็นหลักสูตรที่ใช้สำหรับการฝึกอบรมความรู้พื้นฐานสำหรับบุคคลภายนอกที่จะเข้ามาเป็นนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร โดยมีที่มาจากการสอบแข่งขัน การคัดเลือก ทายาทของตำรวจที่เสียชีวิต การรับโอนจากส่วนราชการต่าง ๆ  หรือคุณวุฒิขาดแคลนตามที่หน่วยร้องขอ  

โดยเงื่อนไขของบุคคลภายนอกที่เข้ามาเป็นนายตำรวจสัญญาบัตรทุกนาย จะต้องผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรนี้ เพื่อให้มีความรู้ ความเข้าใจในบทบาทของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลประชาชนได้อย่างแท้จริง

เพื่อให้การแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ครบถ้วนทุกมิติ คณะทำงานชุดนี้ จะมีการพิจารณาในทุกประเด็น โดยเฉพาะการรับบุคคลเข้ามาเป็นตำรวจสัญญาบัตร การเข้าเรียนหลักสูตร กอส. รวมทั้ง
หลักสูตรอื่นๆภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติด้วย

ทั้งนี้ เพื่อให้มีการเปิดกว้าง มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ เพื่อที่จะรับบุคคลภายนอกที่มีคุณภาพ ตรงกับที่หน่วยต้องการ และจะเน้นการเพิ่มจำนวนโควต้าพิจารณาคนใน เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้ข้าราชการตำรวจผูัปฏิบัติงาน  และสามารถสร้างความเชื่อมั่น เป็นที่ยอมรับของประชาชน สังคมต่อไป
 

รถไฟความเร็วสูง ไทย-จีน ระยะ 1 พร้อมรองรับ 50,000 คนต่อชั่วโมง/ทิศทาง

เพจเฟซบุ๊ก ทันข่าว Today ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ระยะที่ 1 ช่วง กทม.-นครราชสีมา โดยมีใจความว่า ...      

โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ระยะที่ 1 ช่วง กทม.-นครราชสีมา ประกอบด้วย 6 สถานี คือ สถานีกลางบางซื่อ ดอนเมือง อยุธยา สระบุรี ปากช่อง และนครราชสีมา ระยะทางรวม 250.77 กม. 

กำหนดสร้างแล้วเสร็จในปี 2569 มี 15 สัญญา แบ่งเป็นงานโยธา 14 สัญญา งานระบบ 1 สัญญา ขณะนี้ ก่อสร้างเสร็จแล้ว 1 สัญญา อยู่ระหว่างก่อสร้าง 10 สัญญา และรอการลงนาม 3 สัญญา

คาดว่า จะใช้ขบวนรถรุ่น ฟู่ซิงห้าว (Fuxing Hao) CR300AF มาให้บริการ แบ่งประเภทที่นั่งได้ 3 ระดับ คือ ชั้น 1 แบบเก้าอี้เดี่ยว ชั้น 2 ประเภทธุรกิจ และชั้น 3 ความจุ 600 คน/ขบวน ต่อพ่วงได้ 3-10 คัน/ขบวน รองรับผู้โดยสารได้ 5 หมื่นคน/ชั่วโมง/ทิศทาง

จีนพร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยี ทักษะและองค์ความรู้เกี่ยวกับรถไฟความเร็วสูง 11 ด้านให้ไทย เช่น วัสดุที่ใช้ในการสร้างรางรถไฟ, แนวปฏิบัติในการวางรางในภูมิประเทศลักษณะต่าง ๆ, การออกแบบสถานีให้ผู้โดยสารสัญจรไปมาได้ดีขึ้น, การสร้างสะพานข้ามแม่น้ำหรือแหล่งอื่น ๆ ด้วยความเร็วที่มากขึ้นและต้นทุนที่ต่ำลง, การออกแบบและสร้างอุโมงค์ที่ปลอดภัย รวมถึงอบรมการบริหารรถไฟความเร็วสูง การซ่อมบำรุง และการขับรถไฟ

‘โบว์ ณัฏฐา’ ชำแหละรายงานการประชุมผู้ถือหุ้นไอทีวี ชี้!! เป็นข้อเท็จจริงที่นำสืบได้ ไม่มีผลต่อ ‘พิธา’ ปมถือหุ้นสื่อ

วันที่ (12 มิ.ย. 66) คุณโบว์ ณัฏฐา มหัทธนา นักกิจกรรมอิสระ และนักเคลื่อนไหวทางการเมืองของไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ชื่อ ‘Bow Nuttaa Mahattana’ ถึงกรณี ความถูกต้องของรายงานการประชุม เพื่อการตรวจสอบความโปร่งใสของไอทีวี โดยระบุว่า…

แม้การตั้งคำถามเกี่ยวกับความถูกต้องของรายงานการประชุมจะทำได้และควรทำ เพื่อการตรวจสอบความโปร่งใสของบริษัทมหาชน แต่จะไม่มีผลกับการวินิจฉัยประเด็น ‘การถือหุ้นสื่อ’ (ส่วนที่ว่าไอทีวีเป็นสื่อหรือไม่) ของคุณพิธานัก (หากถูกส่งคำร้องถึงศาลรัฐธรรมนูญหลังรับรอง ส.ส.) เพราะ

1.) หากศาลให้ความสำคัญกับพฤติกรรมการประกอบกิจการ ว่าไอทีวียังมีการผลิตสื่ออยู่หรือไม่ ก็ต้องแสวงหาพยานหลักฐานเพื่อยืนยันข้อเท็จจริงอยู่แล้ว

2.) หากศาลให้ความสำคัญกับวัตถุประสงค์ของบริษัท ตามเอกสารจดทะเบียนบริษัท ก็มีปรากฏอยู่แล้ว และไม่เคยถูกเปลี่ยน

จึงต้องพิจารณาว่าความเป็นสื่อนั้น นับตามนิตินัยจากเอกสาร หรือพฤตินัยเฉพาะช่วงเวลา หรือประกอบกัน

คำตอบในเอกสารรายงานการประชุม จึงเป็นเพียงการยืนยันว่า บริษัทยังดำเนินกิจการอยู่ตามวัตถุประสงค์อย่างกว้างๆ เท่านั้น ไม่ได้เจาะจงว่าทำอะไรแน่ชัด ซึ่งวัตถุประสงค์ทั้งหมดมีถึง 45 ข้อ

(ส่วนคดี ม.151 เป็นอีกประเด็น จะตั้งต้นได้ต้องวินิจฉัยประเด็นนี้ให้ชัดก่อน)
ที่มาเอกสารอ้างอิง : https://www.isranews.org/.../118460-inves09-545-4.html

ส่วนความเห็นส่วนตัวโบว์ที่พูดมาตลอด คือ กฎหมายนี้ไม่ควรมีอยู่แต่แรก ไม่สมเหตุสมผลทั้งในเชิงหลักการและการปฏิบัติ ทันทีที่ทำได้ควรแก้ไขค่ะ

นอกจากนี้ คุณโบว์ ยังได้โพสต์ข้อความอธิบายเพิ่มเติมอีกว่า “ประเด็น คือ ไม่ว่าจะเขียนอย่างไร คำตอบต่อคำถามนั้นในรายงานการประชุมก็ไม่มีผลต่อคดีคุณพิธา เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่นำสืบได้อยู่แล้ว คำตอบตามเอกสารนี้จึงไม่ได้ให้คุณให้โทษกับใคร ไม่ว่าคนที่โยนคำถามจะมีเจตนาพิเศษอะไรหรือไม่ก็ตาม

ด้อมส้ม อย่าอ่านโพสต์นี้ด้วยอคติ (หรือไม่อ่านแต่พิมพ์ด่า) เพราะไม่มีส่วนไหนที่เป็นโทษกับคุณพิธาค่ะ ประเด็นคือ รายงานการประชุมนี้ ไม่สามารถให้คุณให้โทษกับคุณพิธาได้ในทางคดี

ฉงชิ่ง’ เปิดเส้นทางใหม่ นำเข้า ‘ทุเรียนไทย’ ภายใน 4 วัน

(ซินหัว) — 11 มิ.ย. เทศบาลนครฉงชิ่งทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ต้อนรับรถไฟขนส่งทุเรียนไทยระบบห่วงโซ่ความเย็นขบวนแรกที่เดินทางผ่านระเบียงการค้าทางบก-ทะเลระหว่างประเทศใหม่ (New International Land-Sea Trade Corridor) ก่อนถึงจุดหมายปลายทาง

ทุเรียนจากไทยจำนวน 150,000 ลูก ถูกขนส่งไปยังลาวผ่านทางถนน ก่อนลำเลียงขึ้นรถไฟเพื่อส่งไปยังจีนผ่านทางรถไฟจีน-ลาว

เติ้งฮ่าวจี๋ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของหงจิ่วฟรุ๊ต บริษัทจัดซื้อผลไม้จีน กล่าวว่าการขนส่งทั้งหมดใช้เวลาเพียง 4 วัน ลดลงจากเส้นทางขนส่งทางทะเล-ถนนก่อนหน้านี้ที่ใช้เวลาราว 8-10 วัน พร้อมเสริมว่าสำหรับผู้นำเข้าผลไม้ เวลานั้นเป็นเงินเป็นทองและทุกชั่วโมงล้วนมีค่า โดยรถไฟขนส่งทุเรียนนี้ช่วยลดต้นทุน รวมถึงลดความเสียหายระหว่างการขนส่ง

รายงานระบุว่าทุเรียนไทยเหล่านี้ส่วนใหญ่จะวางจำหน่ายที่ตลาดแห่งต่างๆ ในฉงชิ่ง ขณะทุเรียนที่เหลือบางส่วนจะถูกขนส่งด้วยรถไฟสู่มณฑลซื่อชวน (เสฉวน) ที่อยู่ข้างเคียง

อนึ่ง ทุเรียนจัดเป็นหนึ่งในสินค้าเกษตรหลายชนิดของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียน (ASEAN) ที่ถูกนำเข้าสู่ตลาดจีนเพิ่มอย่างต่อเนื่อง สืบเนื่องจากความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) และการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งข้ามพรมแดน

ส.ว.’ เพื่อนบิ๊กตู่ งัดไม้เด็ด ม.157 ขู่เตรียมสับ ‘กกต.’ เอาผิดฐานแทงกั๊ก ปมตรวจสอบคุณสมบัติ ‘พิธา’

ถ้าไม่มีอะไรผิดคิว สัปดาห์นี้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ ‘กกต.’ ก็คงจะเริ่มทยอยประกาศรับรองผลเลือกตั้งได้แล้ว ซึ่งเป็นเรื่องดีที่จะได้ช่วยให้บรรยากาศทางการเมืองให้ผ่อนคลายขึ้น…

แต่สำหรับเรื่องของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แม้จะมีความชัดเจนส่วนหนึ่งแล้ว แต่ดูเหมือนจะยังมีความร้อนแรง และเงื่อนปมความยุ่งเหยิงซุกซ่อนอยู่ไม่น้อย…

มาทำความเข้าใจกันแบบช้าๆ ชัดๆ อีกครั้ง ว่ากันแบบเนื้อๆ เน้นๆ

ปลายสัปดาห์ที่แล้ว กกต.มีมติตีตกไม่รับเรื่องของปมคุณสมบัติกรณีถือหุ้นไอทีวี อ้างเหตุเพราะยื่นเรื่องร้องช้ากว่าที่ระเบียบกฎหมายกำหนด อย่างไรก็ตาม กกต.โดยคุณแสวง บุญมี เลขาธิการสำนักงาน กกต.ได้ตอบคำถามพอที่จะสรุปทิศทางได้ว่า เรื่องคุณสมบัตินายพิธาจะดำเนินการได้ต่อเมื่อเป็น ส.ส.แล้ว ส่วนเรื่องคดีอาญาตามมาตรา 151 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง หรือ พ.ร.ป เลือกตั้ง 2560 นั้น ตอนนี้จะพิจารณาดำเนินการ

คำสัมภาษณ์ดังกล่าว คือที่มาของการจับประเด็น และพาดหัวไปในทิศทางเดียวกันของสื่อมวลชนน้อยใหญ่ว่า ‘พิธารอด” รับรองผลก่อน… สอยทีหลัง…

บางสำนักฯ ก็พาดหัวข้ามช็อต เอาบทลงโทษของ พ.ร.ป.เลือกตั้งมาตรา 151 มาพาดหัวว่า “พิธาหนักกว่าเดิม ลุ้นระทึกโดนตัดสิทธิ-ติดคุก…”

อย่างไรก็ตาม คุณแสวง บุญมี ก็ได้พูดกว้างๆ เอาไว้ตามหลักกฎหมายว่า เรื่องคุณสมบัตินั้นสมาชิกรัฐสภาและ กกต.สามารถยื่นเรื่องตาม “ความปรากฏ” ต่อ กกต.ได้ ตามมาตรา 82 (วรรคสี่) แต่ไม่ได้บอกว่า กกต.จะดำเนินการหรือไม่
.
ความที่ชอบแถลงกันแบบกำกวม หรือการ์ดสูงของ กกต.ชุดนี้นี่เอง ที่ทำให้นาทีนี้ กกต.ตกเป็นเป้าการวิพากษ์วิจารณ์ว่า หลายต่อหลายครั้งออกอาการ “เหยาะแหยะ และขาดความคมชัด”

และด้วยความไม่ชัดเจนกรณีการดำเนินการเรื่องคุณสมบัติของนายพิธานี่เอง ที่กลุ่มสมาขิกวุฒิสภาจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะ ส.ว.สายบิ๊กตู่ เตรียมทหารบกรุ่น 12 ได้จับกลุ่มหารือกันเมื่อวันสองวันที่ผ่านมา และมีความเห็นคล้ายๆ กันว่า “ใช่หรือไม่? ว่าตอนนี้ กกต.กำลังโยนเผือกร้อนให้ ส.ว.และ ส.ส.โหวตคว่ำพิธาไปก่อน” จากนั้น กกต.ค่อยไปคิดอีกทีว่าจะทำอะไรหรือไม่ อย่างไร

ส.ว.กลุ่มนี้ตั้งคำถามด้วยว่า จะดำเนินคดีอาญา ตามมาตรา 151 กับนายพิธาได้อย่างไร ถ้าปัญหาคุณสมบัติยังไม่ได้ถูกพิจารณา และใครต่อใครก็รู้ว่า คดีอาญาตามมาตรา 151 นั้นใช้เวลาอีกนานและโอกาสรอดก็มีสูง เหมือนที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เคยรอดมาแล้ว เพราะอัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้องเมื่อปี 2565 หลังจากใช้เวลาทั้งหมด 2 ปีครึ่ง…

หลายเสียงใน ส.ว.กลุ่มนี้ เลยตั้งประเด็นขึ้นมาว่า หาก กกต.ไม่ดำเนินการประเด็นคุณสมบัติของนายพิธาให้เป็นที่แจ้งชัด อาจจะต้องฟ้อง กกต.ผิดอาญามาตรา 157 ละเว้นปฏิบัติหน้าที่ก็ได้…

“ขอเวลาให้พวกผมดูข้อกฎหมาย รายละเอียดต่างๆ ให้รอบคอบ หาข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมอีกหน่อย” ส.ว.เตรียมทหารรุ่น 12 ท่านหนึ่งกล่าว

พูดถึง ส.ว.จากเตรียมทหารบก รุ่น 12 ก็ต้องบอกว่าพวกเขาคือขุมกำลัง ส.ว.สายทหารที่ใหญ่ที่สุดมีถึง 28 คน เสียชีวิตไปหนึ่งคน คือ พล.ร.อ.ชุมนุม อาจวงศ์ เหลือ 27 คน ที่ชื่อคุ้นๆ เช่น พล.อ.สิงห์ศึก สิงห์ไพร รองประธานวุฒิสภา, พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ, พล.อ.ยอดยุทธ บุญญาธิการ, พล.อ.อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์, พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร, พล.อ.วรพงษ์ สง่าเนตร เป็นต้น

สรุปว่า ในชั้นนี้… พิจารณาจากไทม์ไลน์แล้วอีกเดือนเศษ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ก็จะเดินเข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภา ในฐานะแคนดิเดทนายกรัฐมนตรี… แต่โอกาสผ่าน 376 เสียงนั้นยังมืดมิด ส่วนหลังจากนั้น จะถูกสอยด้วยปัญหาคุณสมบัติหรือไม่อย่างไร ก็รอดูกระบวนท่า กกต.อีกนิด ก็จะชัดเจนขึ้น

 

INTUCH เร่งสอบปมประชุมผู้ถือหุ้น ‘ไอทีวี’ หลังคลิปรายงานประชุมไม่ตรงกับเอกสาร

(12 มิ.ย. 66) จากกรณีการเปิดคลิปประชุมผู้ถือหุ้น 'ไอทีวี' เรื่องธุรกิจสื่อ ไม่ตรงกับเอกสารรายงานการประชุม จนเป็นที่จับจ้องต่อสาธารณชนอยู่ ณ ขณะนี้ โดยบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH มีหนังสือชี้แจง กรณีดังกล่าวที่เกี่ยวข้องไอทีวี ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้หุ้นใหญ่ในสัดส่วน 52.92% ปรากฏตามสื่อต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประชุมผู้ถือหุ้นของไอทีวีที่ผ่านมา 

โดย INTUCH ได้รับทราบข้อมูล และได้ให้ทางคณะกรรมการและฝ่ายจัดการของไอทีวี ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงในประเด็นดังกล่าวที่เกิดขึ้นและหากมีประเด็นใดๆ ที่จะต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง ทางไอทีวีจะดำเนินการให้เร็วที่สุด เพื่อให้มีความโปร่งใสเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลและกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง

ก่อนหน้านี้ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ มีการร้องเรียน กกต. เรื่องการถือหุ้นสื่อ หรือหุ้นไอทีวี ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเตดนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล ต่อมาเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา นายพิธาได้มีการโอนหุ้นดังกล่าวออกไปแล้วนั้น

จนกระทั่งข่าว 3 มิติ ได้มีการเปิดคลิปวิดีโอการประชุมผู้ถือหุ้นไอทีวี ซึ่งได้รับข้อมูลมาจากหนึ่งในผู้ถือหุ้นไอทีวี ที่เข้าร่วมประชุมสามัญประจำปี ผู้ถือหุ้นไอทีวี เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2566 เพื่อให้ตรวจสอบว่า บันทึกการประชุมที่มีการเผยแพร่เป็นเอกสาร ไม่ตรงกับการประชุมที่มีการถ่ายทอดผ่านอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีการบันทึกเป็นคลิปวิดีโอไว้

โดยเฉพาะช่วงคำถามว่า ไอทีวี ยังดำเนินกิจการสื่อหรือไม่ จึงอยากให้ตั้งคำถามไปยังทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากเป็นห่วงว่าจะส่งผลกระทบต่ออนาคตของไอทีวีที่อาจจะกลับมาดำเนินกิจการต่อไป หลังจากศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษา กรณี สปน. ยกเลิกสัมปทานสถานีโทรทัศน์ไอทีวี

ทั้งนี้มีการเปิดคลิปการประชุมระบุเสียงว่า “ในเดือนธันวาคม สิ้นปีนี้ บริษัทจะเปิดให้ผู้ถือหุ้นเสนอวาระล่วงหน้า สำหรับการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีถัดไป โดยผู้ถือหุ้นสามารถอ่านคำแนะนำและวิธีการเสนอวาระ ในเว็บไซต์ของบริษัท www.itv.co.th หรือติดต่อสอบถามฝ่ายเลขานุการของบริษัทได้”
 
“ไม่ทราบว่าผู้ถือหุ้นมีข้อซักถามอื่นๆ อีกรึเปล่าครับ”

“มีคำถามมาจาก คุณภาณุวัฒน์ ขวัญยืน มาด้วยตัวเองนะครับ มีการดำเนินกิจการเกี่ยวกับสื่อหรือทีวีไหมครับ”

“ตอนนี้บริษัทยังไม่มีการดำเนินการใดๆ ก็รอผลคดีความให้สิ้นสุดก่อน”

“จากคุณวิรัตน์ คล่องประกิจ หากคดีความต่างๆ จบสิ้นเรียบร้อย บริษัทจะมีปันผลไหม บริษัทจะมีแผนการดำเนินงานธุรกิจต่อไป จะเข้าตลาดหลักทรัพย์อีกหรือเปล่า บริษัทมีแผนจะชำระบัญชี หรือกิจการอื่นๆ แก่ผู้ถือหุ้นหรือไม่”

“ขอเรียนอย่างนี้ ผมว่าผลของคดีเป็น เขาเรียกว่าอะไรเป็นจุดสำคัญที่สุดของบริษัท ถ้าผลคดียังไม่ได้ออกมา มันเป็นไปได้ยากมากที่เราจะดำเนินการใดๆ กับไอทีวี ณ ขณะนี้ อย่างในอดีตที่ผ่านมา เราได้ว่าจ้างที่ปรึกษาทางการเงินมาดู Option ต่างๆ ทางเลือกต่างๆ ก็ยังไม่ได้มีทางเลือกใดๆ ที่เหมาะสม ณ ขณะนี้ ทั้งหมดทั้งมวลต้องรอผลทางคดี ถ้าผลคดีสิ้นสุดลงแล้ว ทางบริษัทจะพิจารณาทางเลือกที่เหมาะสมให้กับทางผู้ถือหุ้นต่อไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการพิจารณา จะจ่ายเงินปันผลอย่างไร จะดำเนินธุรกิจต่อไปหรือไม่อย่างไร หรือจะชำระบัญชีอย่างไรทางเราจะพิจารณาทางเลือกที่มีทั้งหมดและเลือกทางเลือกที่เหมาะสมให้ผู้ถือหุ้นต่อไป”

ส่องเส้นทาง 103 ปี ‘ชาตรามือ’ ธุรกิจชาไทย ที่ดังไกลถึงต่างแดน

(12 มิ.ย. 66) ในช่วง 1-2 วันที่ผ่านมา ภาพผู้บริโภคยืนต่อคิวชิม ‘ชาตรามือ’ ในประเทศเวียดนาม ได้ถูกเผยแพร่ออกไปในวงกว้าง หลังแบรนด์เครื่องดื่ม ‘ชาไทย’ จากประเทศไทย ไปปักหมุดสาขาแรกที่นครโฮจิมินห์ และจะให้บริการเต็มรูปแบบวันที่ 12 มิ.ย.นี้

เส้นทาง ‘การเติบโตของชาตรามือ’ จากอดีตถึงปัจจุบันถือว่ากินเวลาถึง 103 ปีแล้ว แต่ชื่อแบรนด์นั้นมีอายุ 78 ปี ซึ่งสินค้าเครื่องดื่มไม่ได้ดังแค่ในประเทศไทย แต่มีร้านเปิดให้บริการในหลายประเทศของเอเชีย

ปี 2463 คือการเดินทางของ 8 พี่น้องที่อพยพจากจีน มาตั้งรกรากในเมืองไทย แต่พี่ชายคนที่ 3 นามว่า ‘ซาแป่’ เปิดร้านชาจีน ‘ลิมแมงกี’ นำเข้าผลิตภัณฑ์ชาจีนมาขาย

เมื่อการตั้งกิจการครอบครัวได้ 20 ปี โชคร้ายมาเยือน เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ทิ้งบอมบ์ระเบิดทำลายร้านพัง จึงโยกย้ายไปพื้นที่ใหม่ในเยาวราชเหมือนเดิม โดยขายสินค้าชาจีน ชาอู่หลง ชาเขียว และชาแดง
.
‘ชาร้อน’ ไม่ตอบโจทย์ผู้บริโภคไทยที่อยู่เมืองร้อน การนำเข้าชาแดงมาทำเป็นชาไทยและชาดำ คิดสูตรความอร่อยเสิร์ฟพร้อมนำแข็งให้คนไทยดับร้อน พร้อมปั้นแบรนด์ ‘ชาตรามือ’ ในปี 2488

ความนิยมของชาตรามือนั้นเติบโตทีละขั้น การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ไม่ได้มีแค่วัตถุดิบ แต่รังสรรค์สูตรเครื่องดื่มมากมาย ตอบสนองผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็น ชาเขียว ชานม และไฮไลท์ที่สร้างชื่อ เป็นกระแสช่วงหลายปีที่ผ่านมาคือ ‘ชากุหลาบ’ ทำให้แบรนด์และเครื่องดื่มแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

แม้ชาตรามือ จะทำตลาดมานาน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า 6 ปีที่แล้ว ‘ชากุหลาบ’ เป็นหนึ่งในเมนูที่สร้างปรากฏการณ์ให้แบรนด์ปัง! ในหมู่ผู้บริโภคชาวไทย กับการชูจุดขายเครื่องดื่มเย็นแต่ช่วยในเรื่องของการระบาย กลายเป็นทำให้ผู้บริโภคจำนวนมากเกิดการ ‘ทดลอง’ วัดประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ หากเทียบกับการระบายส่วนใหญ่ จะมีแค่ชาผง ‘ชงร้อน’ ที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย

เครื่องดื่มชากุหลาบ ของชาตรามือ ยังฮิตต่อเนื่อง เมื่อบรรดาบล็อกเกอร์ อินฟลูเอนเซอร์ ต่างพากัน ‘รีวิวสินค้า’ ทำให้กระแสยังติดลมบนอยู่นาน

และการต่อยอดไม่ได้หยุดแค่นั้น เพราะทางร้านยังนำชากุหลาบไปสร้างสรรค์เมนู ‘บิงซู’ เสิร์ฟลูกค้าด้วย

ความสำเร็จของแบรนด์ไม่เพียงแค่สินค้าเครื่องดื่มถูกปากคนไทย แต่บริษัทยังต่อยอดและพัฒนาเมนูใหม่ๆ ให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายด้วย เช่น ไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟ การออกสินค้าชาตามเทศกาล ฤดูกาลหรือซีซั่นนิ่ง โปรดักท์ รวมถึงสินค้าเพื่อสุขภาพ เช่น ชาเขียวผสมดอกอัญชันมะลิ เพื่อต้อนรับวันแม่ ชาเขียวใสไร้แคลลอรี ชามะนาวปั่นโยเกิร์ต เป็นต้น

ปัจจุบันชาตรามือ อยู่ภายใต้บริษัท ชาไทย อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด มีร้านให้บริการหลายรูปแบบ เช่น ร้านในห้างค้าปลีก คีออสตามสถานีรถไฟฟ้าฯ ซึ่งรวมนับ ‘ร้อยสาขา’ ทั่วประเทศ

สินค้าของแบรนด์ไม่เพียงถูกอกถูกใจผู้บริโภคชาวไทย แต่ยังเป็นขวัญใจของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะสายเอเชียด้วย ทำให้การเปิดร้านให้บริการแก่ลูกค้าเป้าหมาย มักอยู่ในทำเลที่มีนักเดินทาง หรือแทรกตัวอยู่ตามโซนของห้างที่จับกลุ่มนักท่องเที่ยว เช่น โซน HUG THAI ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เป็นต้น

การเปิดร้านชาตรามือ ในต่างประเทศ ‘เวียดนาม’ อาจเป็นน้องใหม่สุด กับการชิมลางสาขาแรกที่นครโฮจิมินห์ แต่หากสำรวจการเติบโตในต่างแดน บริษัทปักหมุดเปิดร้านราว 10 ประเทศแล้ว ได้แก่ บรูไน กัมพูชา ฮ่องกง จีน สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ เมียนมา มาเลเซีย เกาหลีใต้ และเวียดนาม

ขณะที่การดำเนินธุรกิจของบริษัท อยู่ภายใต้การนำของทายาท เช่น ดิฐพงศ์ เรืองฤทธิเดช เศรษฐิกิจ เรืองฤทธิเดช เป็นต้น

นอกจากนี้ ‘ชาตรามือ’ สามารถทำเงินในปี 2565 มีรายได้รวมกว่า 2,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.4% จากปีก่อนกว่า 1,900 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิกว่า 34 ล้านบาท

 

MIXUE' (มี่เสวี่ย)' แฟรนไชส์ร้านไอติมและชาเจ้าดังจากจีน เขย่าบัลลังก์ไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟในไทย ตั้งเป้า 2,000 สาขาใน 3 ปี

MIXUE (มี่เสวี่ย) แฟรนไชส์ร้านไอศกรีมและชาสัญชาติจีน กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในเมืองไทย ปัจจุบันมีจำนวน 14 สาขา ล่าสุดเปิดสาขาสยามสแควร์ ฝั่งถนนอังรีดูนังต์ เมื่อวันที่ 26 พ.ค. 66

MIXUE เข้ามาทำตลาดตั้งแต่เดือน ก.ย. 65 เปิดสาขาแรกแถวซอยราคมคำแหง 53 ใช้กลยุทธ์ขยายสาขาทำเลมหาวิทยาลัย ย่านชุมชน ตั้งเป้าใน 3 ปี ขยายแฟรนไชส์ 2,000 สาขา เปิดรับสมัครพนักงานมากกว่า 10,000 คนในไทย 

MIXUE มีการจัดหาวัตถุดิบทั้งชา ผลไม้จากท้องถิ่นในไทย สนับสนุน พัฒนาภาคอุตสาหกรรมการเกษตร อนาคตมีแผนสร้างคลังสินค้า โรงงานแปรรูปผลไม้ในไทย ส่งออกเป็นวัตุถดิบในร้าน MIXUE ทั่วโลก

เอกลักษณ์ MIXUE คือ ไอศกรีม Soft Serve โคนวาฟเฟิลอันใหญ่ เริ่มต้นแค่ 15 บาท มีชานมไข่มุกและชาผลไม้อื่นๆ หลากหลายเมนู ราคาสุดคุ้ม น้ำเลม่อนแก้วใหญ่ๆ ราคาแค่ 20 บาท, ชาพีชใส่เนื้อผลไม้เต็มๆ แก้วละ 45 บาท, ชานมไข่มุกแก้วละ 40 บาท ราคาย่อมเยา มีสาขาเยอะ เข้าถึงง่าย ทำให้ MIXUE ครองใจลูกค้ารวดเร็ว มีการทำตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่ โชว์ภาพลักษณ์แบรนด์ทันสมัย มีตัว Snow King ตุ๊กตาสโนว์แมน หน้าตาบ้องแบ๊วสวมมงกุฎ เป็นมาสคอตประจำร้าน

ปัจจุบัน MIXUE มีสาขาในจีนมากกว่า 25,000 แห่ง สาขาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กว่า 3,000 แห่ง เป็นแฟรนไชส์ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดสาขามากสุดเป็นอันดับ 5 ของโลก รองจาก Mcdonald, Subway, Starbucks และ KFC 

นับว่าเป็นแบรนด์แฟรนไชส์ร้านไอศกรีมและชาสัญชาติจีน ที่กำลังมาแรง สร้างกระแสฮือฮาอย่างมากในตอนนี้ เตรียมเขย่าบัลลังก์คู่แข่งสำคัญอย่าง 'แดรี่ ควีน' เจ้าตลาดไอศกรีม Soft Serve ในไทย เดินเกมกลยุทธ์ยึดทำเลมหาลัย ย่านชุมชน มีเมนูหลากหลาย ไม่มีแบรนด์ไหนทำมาก่อน ทั้งไอศกรีม ชานมไข่มุก แถมราคาถูกกว่าคู่แข่ง 15-50 บาทเท่านั้น
 

เรียกร้องไม่โหวตให้ พรรคที่คิดล้มล้างสถาบัน ด้าน ‘อกนิษฐ์’ ย้ำจุดยืนโหวตนายกฯ ต้องเป็นคนเก่งและดี

วันนี้ (วันที่ 12 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่บริเวณด้านหน้าอาคารรัฐสภา ฝั่งวุฒิสภา เวลา 05.00 น. คณะประชาชนคนรักในหลวง นำโดยนายนายประยูร จิตรเพ็ชร ประธานคณะฯ ส่วนกลาง และมวลชนซึ่งสวมเสื้อสีเหลืองจำนวนมาก รวมตัวเพื่อให้กำลังใจ ส.ว. และยื่นหนังสือขอให้ ส.ว. งดการลงมติให้กับพรรคการเมืองที่ล้มล้างสถาบันเบื้องสูง

ทั้งนี้เวลา 08.00 น. นายประยูร และแกนนำบางส่วนได้เข้าพบกับส.ว. บนตึกวุฒิสภา ชั้น2 โดยเป็นการพบปะแบบส่วนตัว ใช้เวลาประมาณ 40 นาที ก่อนที่นายประยูร จะกลับมาแจ้งให้มวลชนรับทราบว่า พล.อ. อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์ ส.ว. จะเป็นผู้รับยื่นหนังสือ และพามวลชนเข้ามารอที่ด้านในอาคารรัฐสภา บริเวณโถงหน้าพิพิธภัณฑ์รัฐสภา พร้อมยืนยันว่าการรวมตัวของกลุ่มประชาชนคนรักในหลวง ไม่มีประเด็นการเมือง ไม่มีความรุนแรง และต้องการมาให้กำลังใจ ส.ว.เท่านั้น

ต่อมาเวลา 10.15 น. พล.อ.อกนิษฐ์ พร้อมด้วยนายทวีศักดิ์ วัฒนพรมงคล ส.ว. เข้ารับยื่นหนังสือกับแกนนำและตัวแทน โดยนายประยูร กล่าวว่าตนขอให้กำลังใจ ส.ว. และขอเรียกร้องไม่ให้ลงมติให้กับพรรคการเมืองที่คิดล้มล้างสถาบัน ซึ่งการรวมตัวของมวลชนถือเป็นบางส่วนเท่านั้น ทั้งนี้ตนทราบข่าวว่ามีคนคิดจะล้มล้างสถาบัน หากเกิดขึ้นจริง กลุ่มประชาชนคนรักในหลวงจะออกมาชุมนุมเป็นหลักล้านคน

โดย พล.อ. อกนิษฐ์ กล่าวตอบว่า ตนในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)การบริหารราชการแผ่นดิน วุฒิสภา และ ส.ว. หลายคนที่ทำงานร่วมมกันขอให้สัญญาว่า ส.ว. ทุกคนเป็นผู้ทรงคุณวุฒิมีวุฒิภาวะดี ตนเชื่อว่าทุกคนจะทำงานเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เพื่อประโยชน์สูงสุดประเทศชาติ และประชาชน ไม่ต้องกลัว ส.ว. มีวุฒิภาวะพอ

พล.อ. อกนิษฐ์ ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า ตนจะดูรายละเอียดของหนังสือที่มายื่นว่าเข้าเงื่อนไขอะไรบ้างและต้องเดินต่ออย่างไร ส่วนที่ถามถึงจุดยืนส่วนตัวในการโหวตเลือกนายกฯ นั้น ตนบอกแล้วว่าทุกคนมีวุฒิภาวะที่ตัดสินใจบนผลประโยชน์ชาติและประชาชนเป็นหลัก และตอนนี้ยังไม่ชัดเจน คนที่เป็น ส.ส. ขณะนี้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยังไม่รับรอง ดังนั้นเร็วเกินไปที่จะตอบตอนนี้

เมื่อถามว่าส่วนตัวมองสเปคบุคคลที่เหมาะสมจะเป็นนายกฯ ที่จะโหวตให้อย่างไร พล.อ.อกนิษฐ์กล่าวว่า ต้องเป็นคนมีความรู้ ความสามารถ คนเก่ง คนดี และต้องคู่กัน ไม่ใช่ดีแล้วไม่เก่ง หรือ เก่งแล้วไม่ดี ต้องเป็นคนเก่งและคนดี เก่งด้วยดีด้วย และทำงานเพื่อประเทศชาติ ยึดมั่นในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

ต่อข้อถามว่า ตัวเลข ส.ส. ร่วมรัฐบาลจะเป็นปัจจัยโหวตนายกฯหรือไม่ พล.อ. อกนิษฐ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องของฝั่ง ส.ส. เรามีหน้าที่พิจารณาตอนเสนอชื่อใครเป็นนายกฯ เท่านั้น ซึ่งเป็นคนละขั้นตอน

เมื่อถามถึงการกดดันให้ ส.ว. โหวตเลือกนายกฯ เสียงข้างมากตามมติประชาชน โดยให้พรรคอันดับหนึ่งเป็นนายกฯ พล.อ. อกนิษฐ์ กล่าวว่า การที่บอกว่า เสียงอันดับหนึ่งเป็นนายกฯ หลายท่านเข้าใจผิด เสียงส่วนใหญ่กับเสียงส่วนน้อยเป็นอย่างไร เป็นขั้นตอนของการเลือกตั้งแต่ตอนนี้ไม่มีเสียงส่วนใหญ่ ยังไม่รู้ว่าใครเป็นเสียงส่วนใหญ่เป็นแค่การวางแผนกันเท่านั้น เมื่อมีเสียงส่วนใหญ่ต้องมีเสียงส่วนน้อย ตนไม่ได้ฟังเสียงคนที่ได้รับเลือกตั้งมามากเป็นอันดับหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่เสียงส่วนใหญ่

เมื่อถามถึงกรณีทีตัวแทนพรรคก้าวไกลมาพูดคุยส่วนตัวหรือไม่เพื่อให้โหวตนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกฯ พล.อ. อกนิษฐ์ กล่าวว่า ไม่มี ส่วนตัวพร้อมรับฟังทุกพรรค เพราะตนมีเพื่อนอยู่ทุกพรรค ไม่ใช่พรรคใดพรรคหนึ่ง เป็นเพื่อนทุกพรรค ตนรู้จักแกนนำของทุกพรรค

เมื่อถามย้ำว่าปัญหาที่นายพิธา ถูกตรวจสอบไม่ว่าจะเป็นเรื่องหุ้นสื่อ หรือเรื่อง อื่นๆจะเป็นปัจจัยตัดสินตอนโหวตหรือไม่ พล.อ. อกนิษฐ์ กล่าวว่า ตนไม่ทราบ เพราะฝ่าย ส.ส. ยังไม่นิ่ง ดังนั้นจึงตัดสินใจอะไรไม่ได้ แต่ตนมีหลักเกณฑ์ง่ายๆ ขอเลือกคนเก่ง คนดี และทำงานเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชน ยึดมั่นในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

ผู้สื่อข่าวรายงานถึงเนื้อหาของหนังสือของคณะประชาชนคนรักในหลวง ที่ยื่นต่อส.ว. ตอนหนึ่ง ระบุว่า มวลชนเดินทางมาที่รัฐสภาเพื่อให้กำลังใจและยืนเคียงข้าง ส.ว. ที่ไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และขอให้ ส.ว. ไม่ยกมือให้กับ ส.ส. ที่คิดจะยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112

ทั้งนี้พบว่าในจดหมายที่ยื่นต่อ ส.ว. ยังพบการขอรับการสนับสนุนการจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่10 ประจำปี 2566 ที่ จ. ร้อยเอ็ด ระหว่างวันที่ 22- 28 กรกฏาคม จากวุฒิสภา จำนวน 28.7 ล้านบาท ด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top