Wednesday, 14 May 2025
NewsFeed

‘จตุพร’ ชี้ ‘ทักษิณ’ เป็นคนไม่มีสัจจะ เกมกลับบ้าน เป็นแค่กลยุทธ์ ทางการเมืองเท่านั้น

9 มิ.ย.2566 - นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน "ใครได้...ใครเสีย..." โดยกล่าวว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา นายทักษิณ ชินวัตร หลอกคนอื่นตลอดเวลา ดังนั้นคนไม่มีสัจจะมักจะได้รับสิ่งที่ไม่มีสัจจะกลับคืน ยิ่งอ้างว่า ครอบครัวชินวัตร ยังไม่ให้กลับบ้าน เพราะกลัวถูกหลอก โดยนัยยะข่าวนี้สะท้อนถึงมีการดีลกันมาต่อเนื่องนับตั้งแต่หาแคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย ที่มีชื่อ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย แต่กลับไปไม่ถึง และไม่เป็นจริง

นายจตุพร กล่าวว่า นายทักษิณ ประกาศกลับบ้านหลายครั้งคงเชื่อว่า ประชาชนยังรักตัวเองอยู่มากมาย โดยประกาศกลับบ้านร่วม 20 ครั้งแต่ไม่กลับ เท่ากับมุ่งหวังผลเพียงคะแนนเสียง จนการเลือกตั้งปี 2566 ได้เปลี่ยนกระดานการเมืองไปมาก และเป็นบทเรียนของคนไม่ยึดมั่นสัจจะวาจา ซ้ำร้ายชอบหลอกเอาความรู้สึก ความศรัทธาของประชาชนมาเป็นของเล่น

นายจตุพร กล่าวต่อว่า ข่าวครอบครัวชินวัตรหารือไม่ให้ทักษิณกลับบ้านนั้น เริ่มออกอาการรวนมาตั้งแต่ผลเลือกตั้งไม่เป็นไปตามเป้าหมายแลนด์สไลด์ หรือพรรคเพื่อไทยไม่มาอันดับหนึ่ง แต่พรรคก้าวไกลมาแรงแซงโค้งชนะเลือกตั้งเป็นพรรคที่หนึ่ง จึงต้องมีการจัดเกมการเมืองกันใหม่ในการกลับบ้าน อย่างไรก็ตาม ตนย้ำเสมอว่า ไม่มีใครห้ามทักษิณกลับบ้านเลย แต่ผู้นำที่จิตใจมีแต่ความขลาดกลัว จึงไม่กล้าแสดงความรับผิดชอบ

“มีรองนายกฯ และรัฐมนตรีสมัยทักษิณ มีอำนาจ อย่างน้อยต้องติดคุก ส่วนเสื้อแดงก็เข้าคุก และบางคนตายในคุกก็มี แต่ทักษิณ คนเป็นหัวหน้าคนอื่นต้องมีความละอาย เมื่อลูกน้องไม่หนี ตัวเองจะหนีไม่ได้ ต้องอยู่จนวินาทีสุดท้ายของการต่อสู้หรือการทำหน้าที่นั้นๆ แต่ทักษิณหนีไป ส่วนคนไทยเป็นคนให้โอกาสตลอดเวลา และพร้อมรับคำโกหกของทักษิณ ได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า”

นายจตุพร กล่าวอีกว่า แม้มีบางคนวิเคราะห์การไม่กลับบ้านของทักษิณ เพราะพรรคเพื่อไทยไม่ได้เป็นแกนนำตั้งรัฐบาล แต่วันที่ทักษิณออกจากไทยล่าสุดเมื่อปลาย ก.ค. 2551 ก็ไปในวันที่นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน (หลังจากไทยรักไทยถูกยุบ) เป็นนายกฯ จนไม่กล้ากลับมา

ดังนั้น การไม่ได้เป็นแกนนำตั้งรัฐบาลจึงไม่เกี่ยวข้องกับการกลับบ้าน แต่อยู่ที่ตัวของทักษิณเอง จะยืนหยัดและพร้อมน้อมรับคำพิพากษาของศาลที่ตัดสินคดีจนถึงที่สิ้นสุดให้จำคุก 10 ปีหรือเปล่า รวมทั้ง ย้ำว่า ทักษิณ ไม่อยากติดคุก ตราบใดถ้ายังคิดว่าตัวเองจะต้องเข้าเรือนจำก่อนนั้น ก็ไม่มีทางได้กลับมา และยิ่งพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลก็กลับมาไม่ได้ เพราะกลับมาไม่ติดคุกคนก็ออกมาเต็มถนน

“ยังไม่เข็ดเรื่องการนิรโทษกรรมสุดซอยกันอีกหรือ ถ้าทักษิณ ประกาศกลับในช่วงวันเกิดและไม่เป็นภาระกับพรรคเพื่อไทย แล้วยังให้สัจจะวาจาจะกลับในวันที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นรักษาการนายกฯ อยู่ แค่การที่ตัวเองเบี้ยวหลายรอบ ผิดสัจจะนับสิบหน จุดจบของคนชอบหลอกคนอื่น คือ ตัวเองก็จะถูกหลอกเช่นกัน”

อีกทั้ง เห็นว่า อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวทักษิณ พูดยืนยันการกลับบ้านในเดือน ก.ค. ซึ่งใกล้มาแล้ว ขณะที่สถานการณ์ทางการเมืองยังไม่เป็นใจอะไรให้กลับบ้านเลย ดังนั้น การทรยศ หักหลัง หลอกลวง ประชาชน จะกลายเป็นโมฆะบุรุษทันที หรือจากรัฐบุรุษก็กลายเป็นทรราช

“คนผิดสัจจะวาจาครั้งแรกก็เสียคนแล้ว แต่ทักษิณผิดวาจากลับบ้านมาตั้ง 20 ครั้ง จึงไม่มีความเป็นคนให้เสียได้อีกแล้ว ดังนั้น เกมนี้เหมือนโยนหินถามทาง ย่อมมีทั้งคนเชื่อและไม่เชื่อ อย่างไรก็ตาม ต้องจับตาเกมการเมืองในอนาคตที่ใครไม่คาดคิดว่า จะกล้าทำ แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นย่อมมีร่องรอยเสมอ”

ดังนั้น ตนเคยวิเคราะห์ไว้ว่า สุดทางเดินการเมืองจะนำไปสู่การรัฐประหาร และขณะนี้เกมยังเดินอยู่ระหว่างทาง และยังมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทั้งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) รอแจกใบเหลือง ส้ม หรือดำ และยังจะมีจำนวนที่มากกว่าที่ระบุออกมาด้วย เพราะนี่คือเกมระหว่างทางไปสู่การยึดอำนาจปลายทาง

อีกทั้ง การไม่กลับบ้าน โดยอ้างกลัวถูกหลอก ทั้งที่ความจริงแล้วทักษิณไม่ต้องการกลับมาตั้งแต่ต้นแล้ว แต่เอาลูกสาวสมัครแคนดิเดตนายกฯ เพื่อหลอกเอาความรู้สึกของประชาชนมาเป็นของเล่น ดังนั้น การเมืองครั้งนี้จะเห็นความตลบตะแลงที่ใหญ่มาก แต่ต้องแลกมาด้วยวิกฤตศรัทธา สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของวิกฤตศรัทธาคือ การลวงโลกและการดูถูกประชาชน โดยพยายามเจรจาแลกเปลี่ยน ถ้าทำกันจริงประชาชนจะต่อต้านอย่างรุนแรง

“เกมกลับบ้าน ใช้เป็นกลยุทธ์ทางการเมืองมาตั้งแต่ต้น จึงอย่าได้ประมาท แม้ใจของทักษิณไม่กล้าก็ตาม แต่การบอกกลับบ้าน ซึ่งเป็นการหลอกลวง เป็นธรรมชาติของผีที่ชอบหลอกมาตลอด จนไม่มีความละอายใจเลย เมื่อเป็นผู้นำแล้วประกาศกลับบ้าน ถึงจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นก็ต้องกลับ กลัวอะไรกับติดคุก ลูกน้องคุณยังไม่กลัวกันเลย”

นายจตุพร ย้ำว่า การห้ามทักษิณกลับบ้าน โดยอ้างกลัวถูกหลอก นั้นหมายความว่า มีการดีลกันมาตลอด เป็นดีลที่ถูกปัดและปฏิเสธมาแต่ต้น จนผลเลือกตั้งไม่เป็นไปตามความต้องการ แม้ปฏิเสธไม่จับมือกับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ในภายหลัง แต่คนไม่เชื่อคำพูดเสียแล้ว

“ถ้ากลับมาในวัน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ รักษาการ แล้วเข้าคุกจะกลัวเรื่องการถูกหลอกทำไม เพราะการเข้าคุกเป็นไปตามคำพิพากษา แต่การไม่กลับมาทำให้เสื่อมหนักไปอีก ยิ่งมาถึงวันเลือกประธานสภา แล้วมาโหวตนายกฯ หากเป็นไปตามการแลกเปลี่ยนกันแล้ว จะยิ่งทำให้เกิดวิกฤตศรัทธารุนแรง ประชาชนจะออกมาเต็มท้องถนนแล้วจะปกครองกันอย่างไร”

พร้อม สงสัยว่า เพียงแค่วันที่ 8 มิ.ย.เท่านั้น ทำไมต้องรีบสื่อสารจะไม่กลับบ้านกันแล้ว นอกจากต้องการตรวจสอบอาการของคนว่า ใครหลอกใคร ที่ถูกหลอกกันมาเป็นทอดๆ เช่นกัน เพราะเป็นคนไม่มีสัจจะ ชอบหลอกคนอื่น ย่อมถูกคนอื่นหลอกไม่แตกต่างกัน ซึ่งทางเดินของโมฆบุรุษจึงเป็นเช่นนี้ ต่อไปพูดอะไรก็ไม่มีใครเชื่อ นอกจากบอกชื่อตัวเองเท่านั้น ซึ่งเป็นความจริงเดียวที่เหลืออยู่

นายจตุพร ประเมินว่า เมื่อยิ่งใกล้วันทักษิณกลับบ้านใน ก.ค.นี้ เกมการเมืองเดินมาอย่างมีนัยยะสำคัญ ตนคาดว่า กรณีของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน่าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกฯ จะได้เข้าประชุมสภาผู้แทน ได้เลือกประธานสภา ซึ่งเป็นคนของพรรคเพื่อไทย โดยอาจเป็นนายสุชาติ ตันเจริญ หรือ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน เป็นตัวเลือกจะได้รับตำแหน่ง

“หลังจากนั้น ช่วงรอพระบรมราชโอกงการโปรดเกล้าฯ ตำแหน่งประธานสภาและรองประธาน จะเป็นช่วงเวลาที่นายพิธา จะถูกศาล รธน.สั่งให้หยุดปฎิบัติหน้าที่ แต่จะเห็นร่องรอยความขัดแย้งแล้ว เนื่องจากการเลือกประธานสภา ย่อมรู้ได้ชัดเจนแล้วว่า ใครจะเลือกใครอย่างไร”

กกต.ตั้งธงหนัก หยิบ ม.151 มาเล่นงาน  มีโทษทั้งจำคุก - ตัดสิทธิ์ 20 ปี

กกต.มีมติเป็นเอกฉันท์ 6 เสียง ไม่รับ 3 คำร้องที่ร้องเรียน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และคาดิเดตนายกรัฐมนตรี มีคุณสมบัติลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ ในการสมัครรับเลือกตั้งส.ส. กรณีถือหุ้น บริษัทไอทีวี จำกัด (มหาชน) จำนวน 42,000 หุ้น ทำให้บางคนรู้สึกโล่งอก มีช่องทางเดินไปได้

ยัง….ยังไม่จบ กกต.ยังไม่ได้วินิจฉัยว่า การถือหุ้นไอทีวีของพิธาถูกหรือผิด ขาดคุณสมบัติในการลงสมัครรับเลือกตั้งหรือไม่ เพียงแต่ผู้ยื่นให้ตรวจสอบ ยื่นหลังจากเลยเวลาตรวจสอบมาแล้วเท่านั้นเอง ง่ายๆคือเลยเวลาแล้ว

แต่กกต.ได้หยิบเอาประเด็นจาก 3 คำร้องมาสั่งตั้ง “คณะกรรมการสืบสวนไต่สวน” ลุยสอบเอง ในประเด็นการฝ่าฝืนมาตรา 42 (3) และมาตรา 151 ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ต่อไป

กกต.ใช้คำว่า “สืบสวนไต่สวน” น่าสนใจกับการตั้งกรรมการชุดนี้แสดงว่า มีอำนาจทั้งสืบสวน และไต่สวนด้วย

ดูเหมือนจะหนักกว่าเดิม ถ้าผิดโทษจะหนักกว่าด้วยซ้ำ
โดยเฉพาะคดีอาญา ถ้านายพิธารู้อยู่แล้วว่าไม่มีสิทธิ์ลงสมัครรับเลือกตั้งเพราะมีลักษณะต้องห้าม แต่ยังฝืนลงสมัครเลือกตั้ง และอนุญาติให้พรรคการเมืองส่งลงสมัครรับเลือกตั้งหรือไม่

ซึ่งในกรณีนี้นายสิระ เจนจาคะ อดีตส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ เคยเจอมาก่อนแล้ว 
เมื่อถูก พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ขุดอดีตขึ้นมาร้อง อดีตที่เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกฐานฉ้อโกง โดยศาลแขวงปทุมวัน สั่งจำคุกนายสิระ ในคดีหมายเลขดำที่ 812/2538 คดีแดง หมายเลขที่ 2218/2538 อันเป็นผู้มีคุณสมบัติต้องห้ามของคนเป็นส.ส. ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (10)

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ในฐานะอดีต ผบ.ตร.นำมติ 7 ต่อ 2 เสียงที่ศาลรัฐธรรมนูญชี้ในคดีดังกล่าว ไปร้องต่อกกต.เป็นดาบสอง มาตรา 151 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.เช่นเดียวกับกรณีนายพิธาและกกต.ก็มีมติแจ้งความเอาผิด

ทั้งนี้ ตามมาตรา 151 ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ที่กกต. ตั้งกรรมการสอบสืบสวนไต่สวนมีเนื้อหาว่า

“ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่า ตนไม่มีสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะ ต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ได้สมัครรับเลือกตั้งหรือทำหนังสือยินยอมให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อเพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ 1-10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้น มีกำหนด 20 ปี”

“ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นผู้ซึ่งได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้นั้นคืนเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นที่ได้รับมาเนื่องจากการดำรงตำแหน่งดังกล่าวให้แก่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรด้วย” 

กล่าวสำหรับนายพิธาหากถูกชี้ตามมาตรานี้ นายพิธาจะมีโทษจำคุกสูงสุด 1-10 ปี ถูกตัดสิทธิเลือกตั้ง 20 ปี และยิ่งไปกว่านั้น ยังต้องคืน “เงินเดือน-ค่าตอบแทนอื่นๆ” จากการเป็นส.ส.ทุกบาท ทุกสตางค์อีกด้วย

วิบากกรรมของพิธาบนเส้นทางก้าวเดินสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมันยากยิ่งกับสิ่งที่ก่อไว้แล้วไม่ได้แก้ให้จบสิ้นก่อนกระโดดเข้าสู่เวทีการเมือง รู้ทั้งรู้ว่า เมื่อยืนอยู่บนเวทีการเมือง ประวัติทุกเม็ดจะต้องถูกขุดคุ้ย ไส้ทุกขดจะถูกลากออกมากองให้สังคมได้ตรวจสอบ

ที่เห็นๆว่าถูกขุดคุ้ย ตั้งแต่ปัญหาในครอบครัวแตกแยกเลิกรากับภรรยา ถือหุ้นสื่อ ค้ำประกันเงินกู้ และขาดคุณสมบัติในการลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.

ลำบากแท้นะ “พิธา”เสียงมหาชน 14 ล้านเสียงอาจจะช่วยไม่ได้ เมื่อทำผิดกฎหมาย เพราะกฎหมายต้องบังคับใช้โดยเสมอภาค เท่าเทียมกัน

นายหัวไทร

‘เรวดี ศรีท้าว’ อดีตสาวลมกรดทีมชาติไทย โพสต์ข้อความ จบ กอส. เหมือนกัน ย้ำ เป็นผู้กองไม่ต้องรอนาน ถ้ามีคุณสมบัติพร้อม

9 มิ.ย. 2566 - เรวดี ศรีท้าว วัฒนสิน อดีตนักวิ่งลมกรดทีมชาติไทย โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กว่า ดิฉันอบรมหลักสูตร กอส. 11 ถ้าใครเคยทราบพี่เคยเป็นตำรวจ ตอนพี่เรียนจบป.ตรี พี่ได้สมัครเข้าเป็นตำรวจร่วมกับนักกรีฑาทีมชาติหลายคน พี่เป็นรุ่นแรกของนักกรีฑาทีมชาติที่เข้าตำรวจครั้งแรกยศ พลตำรวจ จากนั้นเข้าอบรมในหลักสูตร กอส.แล้วแต่ว่าปีไหนจัดอบรม 3 เดือน หรือ 6 เดือน รุ่นพี่มีนักกีฬายิงปืน นักฟุตบอล ทีมชาติ หลายคน หลักสูตรนี้มีมานานแล้วค่ะ

เอาง่ายๆสมัยพี่อบรมปี 2534 สามีพี่ 2535 อบรมเสร็จก็ติดยศ ร้อยตำรวจตรี ประมาณ 6 เดือนก็เลื่อนยศเป็นร้อยตำรวจโท และเลื่อนขึ้นเป็นร้อยตำรวจเอก ตามลำดับถ้าได้อยู่ในที่ๆมีตำแหน่ง จึงไม่แปลกอะไร

สำหรับพี่ๆแค่ งง ว่าทำไมมาตีตำรวจเรื่องนี้คือพี่ขำค่ะ เพราะเลื่อนจากร้อยตำรวจตรีเป็นร้อยตำรวจเอก ถ้ามีตำแหน่งมันไม่ต้องรอนานถึง 10 ปี 20 ปีอย่างที่ออกมาพูดมาบอกกันเลยค่ะ

และหลักสูตร กอส.ก็มีไว้สำหรับอบรมตำรวจที่จบปริญญาตรีจากชั้นประทวนขึ้นเป็นสัญญาบัตร คนทั่วไปที่ไม่ได้จบโรงเรียนนายร้อยตำรวจค่ะ พี่จึงขำมาก กับน้องนักร้องคนหนึ่งติดยศจากร้อยตำรวจตรี-ร้อยตำรวจโท-ร้อยตำรวจเอก กลายเป็นประเด็นร้อนเพราะมีเงื่อนงำในหลักสูตร กอส.

เครื่องบินการบินไทย เฉี่ยวเครื่องบินของ EVA  ที่สนามบินฮาเนดะ โตเกียว เบื้องต้นไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ

โดยเครื่องบินทั้งสองลำนั้น มีผู้โดยสารและลูกเรือมากกว่า 200 คน ซึ่งทุกคนปลอดภัยดี แต่ปีกเครื่องบินของการบินไทยนั้น ได้รับความเสียหาย 

‘โชติวุฒิ’ ว่าที่ ส.ส. สิงห์บุรี เร่งประสานช่วยชาวบ้าน หลังได้รับเงินเยียวยาน้ำท่วม น้อยกว่าความเสียหาย 

นายโชติวุฒิ  ธนาคมานุสรณ์ ว่าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จ.สิงห์บุรี พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงการพัฒนาพื้นที่ จ.สิงห์บุรี ว่า หลักๆ เป็นเรื่องการส่งเสริมภาคเกษตร เพราะประชาชนส่วนใหญ่มีอาชีพเพาะปลูกข้าวเป็นหลัก น้ำจึงเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ต้องมีการบริหารให้เพียงพอในช่วงฤดูแล้ง รวมถึงการส่งเสริมการลดต้นทุนภาคเกษตรให้อยู่รอดต่อไปได้ หากน้ำสามารถบริหารจัดการได้มีประสิทธิภาพ ทำให้ชาวนาเพาะปลูกได้ต่อเนื่อง

"ปัญหาอุทกภัยคืออีกหนึ่งเรื่องที่ต้องเร่งแก้ไข เพราะพื้นที่ จ.สิงห์บุรี เป็นพื้นที่รับน้ำ ต้องผลักดันให้มีการก่อสร้างเขื่อนริมสองฝั่ง แม่น้ำเจ้าพระยา ขณะนี้คืบหน้าไปแล้ว 50-60% อย่างล่าสุดเมื่อวันที่ 2 มิ.ย.ก็ได้มีประชาชนที่ประสบอุทกภัย ปี 2565 มาร้องเรียนเรื่องการได้รับเงินช่วยเหลือเยียวยาน้อยเกินกว่าความเสียหายที่ได้รับ ซึ่งผมก็ได้ประสานไปยัง จ.สิงห์บุรี และป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้นำปัญหาที่เกิดขึ้นไปตรวจสอบและเร่งหาทางการแก้ไขให้ชาวบ้านอย่างเร่งด่วน"

นายโชติวุฒิ กล่าวต่อว่า จ.สิงห์บุรี เป็นแหล่งท่องเที่ยว ที่สำคัญของประเทศ เพราะเป็นแหล่งประวัติศาสตร์ มีแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ มีความอุดมสมบูรณ์และมีอาหารที่หลากหลาย แต่ด้วยปัจจัยระยะทาง กรุงเทพ ถึงสิงห์บุรี  ระยะทางกว่า 100 กม.ทำให้นักท่องเที่ยวที่จะพักค้างคืนมีจำนวนน้อย จึงต้องเร่งส่งเสริมให้เข้าพักมากขึ้น โดยการร่วมมือกับองค์การบริหารส่วนจังหวัด และผู้นำชุมชนสนับสนุนจัดกิจกรรม มากขึ้นทั้งในรูปแบบจัดกิจกรรมวิ่งมาราธอน หรือกิจกรรมอื่นๆ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว เพราะที่ผ่านมาเมื่อมีกิจกรรมเหล่านี้ ทำให้ประชาชนในพื้นที่มีการค้าขาย มีรายได้ เศรษฐกิจในท้องถิ่นก็จะดีขึ้น

"ตัวผมไม่เคยยึดติด วันนี้ผมได้เป็น ส.ส. แต่ผมก็ยังเป็นผมคนเดิมที่ทุกท่านคุ้นเคย และรู้จักกันดี ยังคงพบง่าย ใช้คล่อง และพร้อมทำหน้าที่รับใช้ประชาชนอย่างสุดความสามารถ เพื่อพัฒนาเมืองสิงห์บุรีของเราให้เจริญยิ่งขึ้น"

‘ขี้คุกเขียนรูป’ โพสต์ข้อความสุดซึ้ง สำนึกในพระคุณของแม่ ที่ยอมทนลำบากเพื่อลูก

ผู้ใช้เฟซบุ๊ก ที่ชื่อ ‘ขี้คุกเขียนรูป’ ได้โพสต์ข้อความสุดซึ้ง ถึงแม่ ที่ต้องทนลำบากขายของ เพื่อนำเงินมาให้ลูก โดยมีใจความว่า ...

เมื่อครั้งที่เราอยู่ข้างใน…เคยสงสัยว่าแม่เอาเงินที่ไหนมาเยี่ยมเราทุกอาทิตย์เลย 
เวลาถาม..แม่จะตอบกลับมาว่า แม่ขายของมา บอมม์อย่าห่วง
พอเราได้มีโอกาศออกมา…วันนั้นแม่บอกแม่ขายของ เราผ่านทางนั้นพอดีเลยแวะไปดู
สิ่งแรกที่เห็นน้ำตามันไหลออกมาเองเลย แม่ลำบากขนของขึ้นรถมาขาย หนักมาก
ไม่เคยอายว่าจะบอกใครว่าแม่ทำอาชีพอะไร…เพราะอาชีพนี้ล่ะที่แม่ส่งเรา10ปีข้างใน
ทุกวันนี้บอกให้หยุดขายได้แล้ว…แต่แม่ก็บอกว่าออกไปขายคลายเครียดเบื่ออยู่บ้าน
#จะขับรถเก๋งหรือใส่ทองเส้นเท่าควาย แต่ถ้าพ่อแม่ยังไม่สบายผมยอมไม่มีอะไรดีกว่า
สิ่งเดียวที่แม่ขอเลยคือ #อย่ากลับไปเป็นแบบเดิมก็พอ
ไม่ว่าเราจะเป็นคนดีหรือเลวผู้หญิงคนเดียวที่ไม่เคยทิ้งเราไปไหนเลยคือ….แม่
ผมบอกรักแม่ทุกวัน…เพราะทุกวันคือวันแม่ของผม

‘กุ้ย ไห่เฉา’ นักบินอวกาศชาวจีน จากเด็กเลี้ยงควาย สุดท้ายได้บินขึ้นฟ้า ไปหาดวงดาว

เฟซบุ๊ก ลึกชัดกับผิงผิง ได้โพสต์ข้อความ เกี่ยวกับ กุ้ย ไห่เฉา นักบินอวกาศชาวจีน ที่มีความขยันหมั่นเพียร ในการเล่าเรียนหนังสือ โดยมีใจความว่า ...

กุ้ย ไห่เฉา(桂海潮)นักบินอวกาศจีน ทำให้ดิฉันเชื่อมั่นว่า การเรียนหนังสือสามารถเปลี่ยนชีวิตได้ 
ตอนอายุ 6 ขวบ เขายังเป็นเด็กเลี้ยงควายในหมู่บ้านชนบท ชอบดูดวงดาว ตอนอายุ 36 ปี เขาได้ขึ้นฟ้าไปหาดวงดาว
ตามภาษาไต คำว่า “ซื้อเตี้ยน” แปลว่าดินแดนที่สวยงาม อำเภอซื้อเตี้ยนตั้งอยู่ทางตะวันตกของมณฑลยูนนานภาคใต้ของจีน ขับรถจากอำเภอซื้อเตี้ยนไปยังชานเมืองกว่า 20 กิโลเมตร ก็จะถึงบ้านเกิดของกุ้ย ไห่เฉา 

เพื่อนบ้านเก่าของกุ้ย ไห่เฉาเล่าว่า ตอนสมัยเด็ก มักจะได้ยินเสียงท่องหนังสือจากบ้านของเขา บางที พ่อจะดึงหูของผม และพาไปดูว่า น้องกุ้ย ไห่เฉาขยันเรียนหนังสืออย่างไร 
ตอนที่เรียนมัธยมปลายปีที่ 2 กุ้ย ไห่เฉาได้ฟังข่าวที่จีนยิงส่งยานอวกาศพร้อมมนุษย์เสินโจว-5 ส่งนักบินอวกาศจีนคนแรกขึ้นสู่อวกาศได้สำเร็จ ปีต่อมา เขาสมัครสอบเข้ามหาวิทยาลัยการบินอวกาศปักกิ่งด้วยคะแนนสูงสุดด้านเทคโนโลยีของมณฑลยูนนาน 

กุ้ย ไห่เฉาจบการศึกษาปริญญาตรี ปริญญาโทและปริญญาเอก แล้วไปศึกษาต่อในต่างประเทศ ผลงานทางวิชาการของเขากว่า 20 ฉบับได้รับการเผยแพร่ในวารสารระดับสุดยอดของโลก 
ปี 2018 กุ้ย ไห่เฉาอายุ 31 ปี กลายเป็นศาสตรจารย์สอนนักศึกษาปริญญาเอกในมหาวิทยาลัยการบินอวกาศปักกิ่ง ทั้งยังเป็นนักบินอวกาศสำรอง เวลาว่าง เขามักจะวิ่งทนในสนามกีฬา ปั่นจักรยานหรือว่ายน้ำ เมื่อนักศึกษามีปัญหาไปถามเขา มักจะต้องไปตามที่สนามกีฬา 
วันที่ 30 พฤษภาคมปี 2023 จีนยิงส่งยานอวกาศพร้อมมนุษย์เสินโจว-16 ที่มีการบรรทุกนักบินอวกาศชุดใหม่จำนวน 3 คนที่จบการศึกษาระดับปริญญาเอกทั้งหมด ให้ไปขึ้นสถานีอวกาศจีน โดยเฉพาะกุ้ย ไห่เฉา เขานับเป็นนักวิทยาศาสตร์จีนคนแรกที่ขึ้นสถานีอวกาศจีน รับผิดชอบการทดลองต่างๆ บนสถานีอวกาศ 

ระหว่างวันที่ 7-9 มิถุนายนนี้ นักเรียนจีนจำนวนกว่า 12.9 ล้านคนเข้าร่วมสมัครสอบมหาวิทยาลัยทั่วประเทศจีนประจำปี 2023 หวังว่าพวกเขาประสบความสำเร็จ และสามารถที่จะจบการศึกษาด้วยคุณภาพสูง มีอนาคตที่ดีงามยิ่งขึ้น

สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (สดช.) ลงพื้นที่ติดตามประเมินผลโครงการติดตั้งเทคโนโลยี 5G

(9 มิ.ย 2566) นายภุชพงค์ โนดไธสง เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะผู้บริหารสดช. พร้อมด้วยนางสุรีพร พรโสภณวิชญ์ ผู้อำนวยการกองบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคม ลงพื้นที่เพื่อติดตามประเมินผล โครงการติดตั้งเทคโนโลยี 5G สำหรับระบบบริหาร จัดการเมืองอัจฉริยะ ครั้งที่ 2 ที่ เทศบาลตำบลบ้านฉาง อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง เทศบาลตำบลบ้านฉางดำเนินการพัฒนาโครงการสร้างพื้นฐานด้วยระบบดิจิทัล ตามนโยบายพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC)

โดยโครงการดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อการนำศักยภาพทางเทคโนโลยีและการสื่อสารโทรคมนาคมอัจฉริยะด้วยระบบ 5G สำหรับปฏิบัติงานในการบริการประชาชน และบริการสาธารณะมาใช้งาน เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาด้านโครงข่ายการสื่อสารระหว่างหน่วยงานหรือองค์กร รวมทั้งปัญหาด้านระบบจัดเก็บข้อมูล อีกทั้งการจัดทำโครงการติดตั้งเทคโนโลยี 5G สำหรับระบบบริหารจัดการเมืองอัจฉริยะ เป็นการช่วยยกระดับการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตของประชาชน และการสร้างโอกาสในการแข่งขันทางธุรกิจในพื้นที่ท้องถิ่น

โดยมุ่งเน้นไปที่มาตรฐานความปลอดภัยสำหรับการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ โดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ ประชาชน ผู้อาศัยในอำเภอบ้านฉาง นักท่องเที่ยว และเอกชนผู้ประกอบการธุรกิจ จะได้รับบริการและการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี 5G Smart city และหน่วยงานของรัฐจะพัฒนาเป็นองค์กรดิจิทัล สามารถเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลในการปฏิบัติงานเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน

ทั้งนี้ นายภุชพงค์ โนดไธสง เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พร้อมคณะผู้บริหาร ได้เดินทางไปเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการ Data Center ซึ่งเป็นห้องควบคุมระบบความปลอดภัยและกล้องวงจรปิดของตำบลบ้านฉางทั้งหมด เมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือเหตุขัดข้องทางเจ้าหน้าที่ก็จะดำเนินการลงพื้นที่ช่วยได้อย่างทันท่วงที ลดอุบัติเหตุและการก่ออาชญากรรมในพื้นที่ สร้างความปลอดภัยให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ และเดินทางไปสำรวจเสาอัจฉริยะ ณ โรงเรียนบ้านฉางกาญจนกุลวิทยา ซึ่งเป็นจุดติดตั้งเสาอัจฉริยะอีกหนึ่งจุดของโครงการติดตั้งเทคโนโลยี 5G สำหรับระบบบริหารเมืองอัจฉริยะและเป็นพื้นที่เฝ้าระวังโดยกล้องวงจรปิด CCTV พร้อมอุปกรณ์แจ้งขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน SOS และกระจายสัญญาณ Wireless Fidelity (Wi-Fi) ฟรีให้กับประชาชน

ด้าน นายภุชพงค์ โนดไธสง เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้คณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) ได้มาติดตามการจัดสรรทุนตามนโยบายของคณะกรรมการ 5G แห่งชาติ ซึ่งจะควบคุมทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็น ด้านสาธารณสุข ด้านการเกษตร การศึกษา และการคมนาคม เป็นการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการขับเคลื่อนเพื่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนในตำบลบ้านฉาง เรื่องของระบบนิเวศหรือมลพิษ จะมีเสาที่นำมาติดตั้งจำนวน 20 เสาและมีห้องควบคุมในการตรวจสอบเรื่องความปลอดภัย เนื่องจากบ้านฉางจังหวัดระยองเป็นการนำร่องจังหวัดตัวอย่าง Smart city ให้กับเมืองอื่นๆ ที่อยากจะพัฒนาในส่วนนี้

นายภุชพงค์ โนดไธสง เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ยังกล่าวต่ออีกว่า เนื่องจากปัจจุบันเทคโนโลยีเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการขับเคลื่อนด้วยข้อมูลขนาดใหญ่ จะทำให้ระบบราชการ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการส่วนกลางข้าราชการส่วนท้องถิ่น ก็สามารถที่จะนำข้อมูลนั้นnมาวิเคราะห์ประมูลข้อมูลสามารถทราบได้ว่าจำนวนครัวเรือนที่เกิดขึ้นการศึกษาความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สิน นักท่องเที่ยว แหล่งท่องเที่ยวต่างๆรวมถึงการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเพราะฉะนั้นเทคโนโลยี 5Gจึงเป็นเทคโนโลยีที่สำคัญที่จะมาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่และช่วยให้ผู้บริหารนำมาวางแผนนำมากำหนดโครงการนำมาติดตามประเมินผลเพื่อที่จะใช้แก้ไขงานที่ดำเนินไปแล้วให้ปรับปรุงได้ดียิ่งขึ้น

จากการลงพื้นที่ครั้งนี้พบว่าผลตอบรับจากประชาชนที่อยู่ในตำบลบ้านฉางต่างรู้สึกพึงพอใจกับโครงการนี้ เนื่องจากทำให้เข้าถึงเทคโนโลยีได้ง่ายขึ้นด้วยระบบ Wireless Fidelity (Wi-Fi) ฟรี และระบบการรักษาความปลอดภัยที่ครอบคลุมพื้นที่จากกล้อง CCTV ของเสาอัจฉริยะ

‘จตุพร’ ฟันธง ‘พิธา’ ชวดนายกฯ โดยบางส่วนใน 312 เสียง จะย้ายไปหนุนฝ่าย 188 เสียง

10 มิ.ย.2566 - นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน "คำพูด...เป็นนาย?" โดยกล่าวถึงกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค ถือหุ้นสื่อไอทีวีว่า เป็นข้อหาที่ผสมเกมการเมืองได้จัดเตรียมไว้ หากไม่เข้ามาเล่นการเมืองแล้ว การถือหุ้นสื่อก็ไม่มีปัญหา แต่กฎหมายกำหนดห้ามนักการเมืองถือหุ้นสื่อจึงกลายเป็นปัญหา

อย่างไรก็ตาม แม้ภาพทางสังคมสื่อไอทีวีไม่ได้ออกอากาศ อีกทั้งในข้อกฎหมายแล้ว บริษัทยังไม่ได้ปิดและไม่ได้เปลี่ยนวัตถุประสงค์ ยังรายงานบัญชีทุกปี ดังนั้น กฎหมายจึงไม่ได้สนใจว่า ไอทีวีออกอากาศหรือไม่

นายจตุพร กล่าวต่อว่า วันนี้ไอทีวีไปอยู่ในเครือบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด ซึ่งเจ้าของบริษัทนี้มีความสัมพันธ์กับกลุ่มคนขายอย่างดี นอกจากนี้ ยังแต่งตัวหุ้นกรณีของนายพิธา จนครบถ้วนตามกฎหมายห้ามถือหุ้นสื่ออีกด้วย โดยมีการถาม-ตอบในที่ประชุมผู้ถือหุ้น

ดังนั้น การถือหุ้นสื่อไอทีวีจึงเป็นเรื่องการเมือง และนายพิธา ควรสงสัยมากที่สุดกับคนในฝ่ายเซ็น MOU ร่วมรัฐบาลด้วยกัน เพียงแต่จะยอมรับความจริงได้หรือไม่ อีกอย่างเรื่องนี้ไม่ได้หลุดออกมาจากทางอื่นเลย

"นายพิธา เมื่อเดิมพันด้วยแคนดิเดตนายกฯ จึงตกเป็นเป้าถูกการเมืองเล่นงาน ซึ่งในอดีตมีนักการเมืองโดนกันแทบทุกฝ่าย มีทั้งคนรอดและไม่รอดจากศาล รธน. ดังนั้น วันนี้นายพิธา จึงเจออุปสรรค ต้องต่อสู้ทุกคดีความตามกฎหมายในด่านต่างๆ ต้องมีสมาธิไปต่อสู้คดีการเมืองในทุกด่าน รวมทั้งต้องทำใจรับผลทุกกรณี แม้จะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม”

นายจตุพร กล่าวว่า นายพิธา แม้ไม่ถูกร้องเรียนเป็นคดีถือหุ้นสื่อก็ตาม แต่ความจริงไม่สามารถได้เป็นนายกฯ ถึงมี 8 พรรครวมเสียง 312 ยังจับมือกันมั่นแน่น รวมทั้งออกข่าวร่วมกันว่า กำลังประสาน ส.ว. 100 คน ซึ่งบรรดากองเชียร์ฟังแล้วคงสบายใจมีความสุขเพิ่มขึ้น ก็ว่ากันไปให้บรรเจิด

"เรื่อง 100 ส.ว. มันเป็นเรื่องร้อยเล่ห์ มันไม่มีจริง แต่สามารถนำมาคุยให้ฟังเพื่อสร้างบรรยากาศความสุขกันได้ แต่ความจริงแล้ว ตอนนี้อย่าว่าแต่ขาดเสียง ส.ว.อยู่ 64 คนเลย แค่หาเพียง 30 เสียงให้ได้ก่อนก็ยังยาก ดังนั้นความเป็นไปได้ที่จะมีเสียงอย่างน้อย 376 เสียงจากทั้งหมดของสองสภา 750 เสียง จึงมีค่าเท่ากับศูนย์ เหตุนี้นายพิธา จึงไม่มีโอกาสได้เป็นนายกฯ เลย"

พร้อมประเมินว่า ถ้านายพิธา มีอุบัติเหตุการเมืองขวางไม่ให้ไปถึงโหวตเลือกแคนดิเดตนายกฯ แล้ว แม้เปลี่ยนแคนดิเดตนายกฯ คนใหม่มาเป็นพรรคเพื่อไทยก็จะมีเสียง 8 พรรค 312 เสียงเหมือนกัน และต้องอาศัยเสียง ส.ว. อีก 64 เช่นกัน จึงยากจะตั้งรัฐบาลได้ไม่แตกต่างกัน

"ดังนั้น เมื่อหมากโหวตนายกฯ ตั้งรัฐบาลมันตัน ให้จับตาไว้จะมีปรากฎการณ์โคตรงูเห่าเกิดขึ้น โดยบางส่วนใน 312 เสียงจะย้ายไปหนุนฝ่าย 188 เสียง ซึ่งจะเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นอีกไม่นานนี้"

นายจตุพร เชื่อว่า เกมการเมืองแบบนี้ อาจะหลอกได้ในบางเวลาเท่านั้น แต่จะถูกจับได้อยู่ดี เนื่องจากคนที่ย้ายพรรคก่อนเลือกตั้งมาอยู่พรรคเพื่อไทยนั้น ส่วนใหญ่ล้วนมีชนักในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ทั้งสิ้น อีกอย่างรูปถ่ายในวันไปอำลา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่มูลนิธิป่าร้อยต่อฯ นั้น ยังสะท้อนเบื้องหลังรอยยิ้มเบิกบานเข้าตามแผนการเมืองได้ดี และไม่เพียงเท่านั้น ภาพๆนี้ ยังถูกปล่อยออกมาสื่อสารทางการเมืองเพื่อเขย่าขวัญสาธารณะ

อีกทั้งย้ำว่า การเมืองเป็นเรื่องที่ไม่มีสัจจะใดๆ ใครจะพูดอะไรก็ได้ วันนี้เรื่องไม่กลับบ้าน ทักษิณก็ไม่เหลือสถานภาพคนให้เสียอีกแล้ว แต่สิ่งสำคัญ กลับสร้างภาพให้ครอบครัวเบรคไม่ให้กลับบ้านแสดงถึงที่ผ่านมามีการดีลกันในทุกขั้นตอน เพราะหลุดคำว่า "กลัวจะถูกหลอก" ออกมา

นายจตุพร กล่าวว่า เรื่องราวของทักษิณ เราเคยพยากรณ์มาตั้งแต่ต้นแล้ว กระทั่งถึงวันนี้ สรุปได้ชัดเจน คือ ไม่กลับมา และอีกอย่างยังตอกย้ำว่ามี การดีลทางการเมืองกันจริง อย่างไรก็ตาม ตามประสาการเมืองไม่มีสัจจะ แม้คุยกันต่อหน้าราบรื่น ยิ้มรับการแลกเปลี่ยนด้วยดี แต่ลับหลังพฤติกรรมปกติของนักการเมืองมักถามพวกตัวเองว่า เราจะได้ประโยชน์อะไรบ้าง ซึ่งการเมืองเป็นเช่นนี้มาตลอด ดังนั้น ประเทศต้องเปลี่ยนแปลงโครงสร้างกันใหม่ มาจัดความสมดุลให้เป็นจริง พร้อมกับแบ่งสรรทรัพยากรของชาติกันให้เท่าเทียม ขจัดการเหลื่อมล้ำ เพื่อจะได้นับหนึ่งประเทศกันเสียที

"แต่การเปลี่ยนแปลงสู่การนับหนึ่งประเทศใหม่ เกิดได้ยากมากภายใต้สมการการเมืองแบบไร้สัจจะ เอาเปรียบและมุ่งแสวงหาประโยชน์ของตนเองเช่นนี้ นักเลือกตั้งก็คิดแต่การเลือกตั้งครั้งต่อไป แต่ไม่คิดถึงประเทศในวันต่อไป นักการเมืองจะไม่มีใจเป็นรัฐบุรุษ มีแค่จิตใจของนักเลือกตั้งเท่านั้น เราผ่านสิ่งเหล่านี้มาซ้ำแล้วซ้ำเล่า" นายจตุพร กล่าว

ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือเป็นผู้แทนผู้บัญชาการทหารเรือร่วมงานเลี้ยงรับรองเนื่องในวันชาติรัสเซีย

วันที่ 9 มิ.ย. 66 พล.ร.อ.สุวิน  แจ้งยอดสุข ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นผู้แทนผู้บัญชาการทหารเรือ พร้อมด้วยคณะผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพเรือ ร่วมงานเลี้ยงรับรองเนื่องในวันชาติรัสเซีย ตามคำเชิญของสถานทูตรัสเซีย โดยมี นายเยฟกินี โทมิคิน (H.E. Mr. Evgeny Tomikhin) เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำประเทศไทย เป็นเจ้าภาพ ณ ห้องบอลรูม โรงแรมแชงกรี-ลา ถ.เจริญกรุง กรุงเทพมหานคร

ไทยกับสหพันธรัฐรัสเซียมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 กับพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ยืนยาวมาจนถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 126 ปี 

ในส่วนกองทัพไทยกับกองทัพรัสเซียได้ยกระดับความสัมพันธ์ทางทหารโดยแต่งตั้งผู้ช่วยทูตทหารและผู้ช่วยทูตทหารบกเมื่อ พ.ศ.2521 และในส่วนกองทัพเรือได้เปิดสำนักงานผู้ช่วยทูตทหารเรือไทยประจำกรุงมอสโก เมื่อ 1 ต.ค.55 โดยมีความร่วมมือระหว่างกองทัพเรือกับกองทัพเรือรัสเซีย ประกอบด้วย

- การประชุม Navy to Navy Talks โดยมีการหารือเกี่ยวกับความร่วมมือในหลายด้านที่จะเกิดขึ้นภายหลังการลงนามในข้อตกลงความร่วมมือด้านความมั่นคงทางทะเลระหว่าง กระทรวงกลาโหม กับ กระทรวงกลาโหมรัสเซีย
- ด้านการศึกษาและดูงาน ซึ่งกองทัพเรือจัดส่งข้าราชการไปศึกษาอบรมหลักสูตรต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
- การเยี่ยมเยือนเมืองท่าของเรือรบของทั้งสองประเทศ เช่น การเยือนเมืองท่าของนักเรียนนายเรือ
- ความร่วมมือในการฝึกทางทะเล และการฝึกอื่นๆ เช่น การฝึก PASSEX
- ความร่วมมือด้านการค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยในทะเล เป็นผลจากการประชุม Navy to Navy Talks ซึงเป็นการฝึกในระดับทวิภาคี
- ความร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนข่าวสาร
- ความร่วมมือด้านการสนับสนุนการส่งกำลังบำรุง ให้มีการจัดทำแนวทางในการสนับสนุนการส่งกำลังบำรุงของเรือรบและเรือช่วยรบ ระหว่างการเยี่ยมเมืองท่าและในกรณีซ่อมทำฉุกเฉิน ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการ
- ความร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม เช่น การจัดดุริยางค์ทหารเรือเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ระหว่างสองประเทศ

อันเป็นไปตามนโยบายผู้บัญชาการทหารเรือในการเสริมสร้างความสัมพันธ์และการมีบทบาทนำด้านความร่วมมือ และความมั่นคงในภูมิภาคให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top