Thursday, 15 May 2025
NewsFeed

กรมพัฒนาสังคมฯ’ จัดเวทีนวัตกรรมสร้างสรรค์รวมพลังเพื่อสังคม ส่งเสริมประชาชนให้มีอาชีพ มีรายได้ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต

(7 มิ.ย. 66) กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ได้จัดเวทีนวัตกรรมสร้างสรรค์รวมพลังเพื่อสังคม ในโครงการพัฒนานวัตกรรมเพื่อพัฒนาสังคม ที่ห้องประชุมปกรณ์ อังศุสิงห์ อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ

โดยมี นางจตุพร โรจนพานิช อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ เป็นประธานเปิดงาน ร่วมกับ ผศ.ดร.เอราวัณ ทับพลี และคณะ รวมกับกองยุทธศาสตร์และแผนงาน กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ เป็นผู้ดำเนินโครงการ รวมถึงค้นหาแนวทางการพัฒนาการพัฒนานวัตกรรม เพื่อนำมาเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาทางสังคม

นางจตุพร ได้กล่าวว่า การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ เป็นกิจกรรมที่จะนำไปสู่ความสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อสังคม โดยการบูรณาการทางสังคมจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคธุรกิจ ภาคสื่อมวลชน เพื่อใช้แลกเปลี่ยนนวัตกรรมทางสังคมเพื่อสร้างสรรค์สิ่งดีงามให้เกิดขึ้น ยกระดับผลิตภัณฑ์นำไปสู่อาชีพสร้างรายได้ โดยการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการทำงาน เพื่อให้ประชาชนในกลุ่มเป้าหมายได้ยกระดับคุณภาพชีวิต เป็นการทำงานบูรณาการในทุกภาคส่วนอย่างยั่งยืน เพื่อส่งเสริมศักยภาพของกลุ่มเป้าหมาย และสามารถพึ่งพาตนเองได้และดำรงชีวิตในสังคมอย่างมีความสุข

นางจตุพร ยังได้กล่าวอีกว่า กิจกรรมในครั้งนี้ ไม่ได้มีเฉพาะแค่ทุกภาคส่วนอย่างเดียว ยังมีภาควิชาการ และมหาวิทยาลัยต่างๆ ภายใต้การนำของ ผศ.ดร.เอราวัณ ทับพลี และคณะ ได้จับคู่นำนวัตกรรมต่างๆ นำไปสู่การปฏิบัติทำให้เกิดผลต่อกลุ่มเป้าหมายอย่างเห็นผลได้ชัด และสามารถวัดผลได้

และยังมีตัวแทนจากหลายหน่วยงาน ที่อยู่ในสังกัดกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ทั้งสิ้น 196 องค์กร โดยมีแนวทางในการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รวมกับภาคีเครือข่ายภาครัฐและภาคเอกชน 3 แนวทาง เพื่อพัฒนาการช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายผู้ประสบปัญหาทางสังคม ดังนี้

1.) แนวทางพัฒนานวัตกรรมกระบวนการเพื่อชี้เป้าความสามารถ ศักยภาพของกลุ่มเป้าหมาย โดยประยุกต์แนวคิดการสร้างคุณค่าในตนเอง

2.) แนวทางการพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อสนับสนุนการสร้างรายได้ การจัดหางาน การพัฒนาศักยภาพให้กับกลุ่มเป้าหมาย

3.) แนวทางพัฒนานวัตกรรมกระบวนการเพื่อพัฒนาศักยภาพเครือข่าย ประยุกต์ใช้กลยุทธ์การจับคู่ machine รายการเชื่อมโยงภาคี เครือข่ายกับศักยภาพของกลุ่มเป้าหมาย

จึงขอเชิญชวนท่านที่มีความสนใจ อยากเข้าร่วมเครือข่ายการพัฒนาสังคม กับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ อยากชวนทุกท่านมาร่วมกันทำความดีเพื่อสังคมเพื่อให้คนในสังคมทุกคนมีโอกาสที่เท่าเทียม สามารถมีชีวิตที่พัฒนาดีขึ้นและมีความสุขอย่างยั่งยืน
 

‘รศ.ดร.ปิติ’ โพสต์ภาพสถานที่ประสูติของในหลวงรัชกาลที่ 9 พร้อมบอกเล่าความรู้สึก “คิดถึงในหลวง ร.9 สุดหัวใจ”

(8 มิ.ย. 66) รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม อาจารย์ประจำ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เดินทางไปร่วมประชุมที่ Boston สหรัฐอเมริกา ได้โพสต์ภาพโรงพยาบาล Mount Auburn ซึ่งเป็นสถานที่ประสูติของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ 9 พร้อมข้อความระบุว่า…

เมื่อรู้ว่าจะได้มีโอกาสมาประชุมที่ Boston สถานที่แรกที่อยากมา ณ มหานครแห่งนี้คือ สถานที่ประสูติของในหลวงรัชกาลที่ 9 ในอดีตจัตุรัสแห่งนี้คือ ที่ตั้งของโรงพยาบาล Mount Auburn แห่ง #มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ในหลวงประสูติที่นี่เมื่อ 5 ธันวาคม 1927 คราวที่กรมหลวงสงขลานครินทร์มาเรียนแพทย์ที่ Harvard Medical School ปัจจุบันสถานที่แห่งนี่คือที่ตั้งของ Harvard Kennedy School 

#คิดถึงในหลวง ร.9 มากจริงๆ ครับ ดีใจที่เห็นคนนำดอกไม้ช่อเล็กๆ มาวาง ณ สถานที่นี้ด้วยครับ

เล็งชง ‘นิกม์’ อดีตผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคอนาคตใหม่ มาเป็นพยานปากเอกคดีถือหุ้นสื่อไอทีวีของ ‘พิธา’

คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ควรจะเชิญนายนิกม์ แสงศิรินาวิน ซึ่งเป็นผู้สมัคร ส.ส.พรรคภูมิใจไทย เขต 17 คลองสามวา กทม. มาเป็นพยานกรณีการถือหุ้นสื่อไอทีวีของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคก้าวไกล

นายนิกม์เป็นผู้ให้สัมภาษณ์คนแรกเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคมที่ผ่านมา ถึงการถือหุ้นไอทีวีของนายพิธา โดยนายนิกม์เคยเป็นผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคอนาคตใหม่ ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 และได้ถือหุ้นไอทีวีเช่นเดียวกับนายพิธา ซึ่งตอนนั้นพรรคอนาคตใหม่มี นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี

แต่ต่อมาศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตัดสิทธิ์นายธนาธร นายนิกม์ก็ไม่ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.แต่นายพิธาได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส. โดยที่ขณะนั้นนายพิธายังไม่ได้มีการขายหุ้น กกต.จึงควรเอานายนิกม์เข้ามาเป็นพยานบุคคล

ถ้า กกต.ไม่สามารถเชิญนายนิกม์มาให้ปากคำเป็นพยานได้ ก็ควรจะเชิญสื่อมวลชนที่สัมภาษณ์นายนิกม์เกี่ยวกับเรื่องนี้มาเป็นพยาน

‘ดร.นพดล’ ลั่น!! รู้ข้อมูลผู้อยู่เบื้องหลังม็อบปฏิรูปสถาบันฯ ชี้!! มีขบวนการคอยชักใยเพื่อบั่นทอนเสาหลักของชาติ

ดร.นพดล กรรณิกา เผยกลางรายการ รู้ข้อมูลผู้อยู่เบื้องหลังและคนปั่นกระแส จนมาเป็นการชุมนุมปฏิรูปสถาบันฯ โดยใช้เครื่องมือ และมีคณะทำงานโดยมีกลุ่มไอที (IT) ด้วยกันทั้งหมด 3 กลุ่ม จนรู้ความจริง

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ให้สัมภาษณ์ในรายการสนามข่าว ช่อง FM101 ยืนยันว่า รู้ข้อมูลผู้อยู่เบื้องหลังทั้งหมด ตลอดจนผู้ปั่นกระแสจนเป็นที่มาของการชุมนุมปฏิรูปสถาบัน และยืนยันว่ามีกระบวนการอยู่เบื้องหลังจริง ตามที่รัฐบาลตั้งข้อสังเกต

เมื่อผู้ดำเนินรายการถามว่า อาจารย์สำรวจเสียงประชาชนในโลกโซเชียล ผ่านระบบเน็ตซุปเปอร์โพล เพื่อดูความเคลื่อนไหวข้อความที่มีแฮชแท็กและติดเทรนค์ทวิตเตอร์ เช่น #เยาวชนปลดแอก, #หยุดคุกคามประชาชน, #สู้เป็นไทยถอยเป็นทาส, #whathappeninthailand แล้วอาจารย์บอกว่า ไปดูแล้วมีการปั่นจากต่างประเทศเข้ามา 7 เท่า อาจารย์ไปเช็กอย่างไร?

ดร.นพดล ตอบว่า “เรามีวิธี มีเครื่องมือ และมีคณะทำงานโดยมีกลุ่มไอที (IT) ด้วยกันทั้งหมด 3 กลุ่ม แล้วเราใช้เครื่องมือที่เรามีอยู่ ทุกอย่างที่อยู่ในโลกโชเชียล จะมีอยู่ด้วยกัน 2 กลุ่ม คือกลุ่ม structure กับ unstructure ข้อมูลที่มันมีระบบระเบียบกับข้อมูลที่ไม่มีระบบระเบียบแล้วหลังจากนั้นเราจะกวาดหาทั้งหมด แล้วนำมาจัดเป็น layer ต่างๆ ข้อมูลที่มันออกมาจากที่ไหนก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นในโซเชียลหรือนอกโลกโซเซียล ทุกอย่างมันต้องมีแหล่งที่มา เพราะฉะนั้น จะทำให้ทราบว่า มันมาจากไหน ใครเป็นคนเริ่ม และเริ่มเมื่อไร เครื่องมืออันนี้มันมีครื่องมือในการตรวจจับอยู่แล้ว และเครื่องมือที่เราใช้อยู่มันจะสามารถรู้ได้ว่ามันไม่ได้มาจาก proxy มันเป็น uique P ที่เราสามารถจับได้ แล้วก็กลุ่มคนที่ใช้ VPN มันจะเป็น privacy ของเขา”

ดร.นพดล กล่าวต่อว่า มันเริ่มตั้งแต่ต้นปี เรารู้แล้วว่าใครเป็นคนเริ่ม เริ่มวันไหน เริ่มมาตอนแรกไม่ค่อยมีคนสนใจเท่าไร แต่ดูเหมือนว่าทำกันเป็นขบวนการ เริ่มปล่อยออกมา พอปล่อยออกมาแล้วในช่วงจังหวะหนึ่งเราจะเห็นผมนำเสนอไปไม่ได้ทั้งหมด นำเสนอได้บางส่วนเพราะมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนเป็น privacy ของคน พอเราจับได้ เราจะเห็นว่ามันไม่น่าจะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ

โดยส่วนใหญ่มันมี Milestone หลักของการเคลื่อนไหว Timeline ของการเคลื่อนไหวแล้วก็จะมีช่วงเวลาหรือจังหวะเวลา หรือวันที่วันไหนที่จะเป็นช่วงที่จะปั่น โดยช่วงก่อนหน้านั้นจะเริ่มมีการปั่นมาทีละเล็กทีละน้อย เหมือนกับเป็น normal cuve ขึ้นจากจุดพีคแล้วก็ตกลง ซึ่งมีการทั้งBoostทั้งปั่น และมีที่เป็นตัวปลอม ที่หลายคนรู้จักคำว่า ‘อวตาร’ ซึ่งคนหนึ่งคน สามารถปั่นกระแสแทน ทำให้เราเห็นภาพภาพของคนป็นหลักหมื่น หลักแสน หลักล้าน จากคนคนเดียว เขาสามารถนั่งปั่นเข้าไปเรื่อยๆ และเครื่องมือที่เขาใช้ทำ ก็เป็นของบริษัทของโซเชียลมีเดียที่ต่างชาติเป็นที่นิยม

เราแยกออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 คือเชิงปริมาณ ซึ่งใช้คนๆเดียวสามารถเปลี่ยน SIM เปลี่ยน account เพิ่มaccount สร้าง account ขึ้นมา แล้วก็ปั่นคนเดียวทำได้เป็นหมื่น เป็นแสน เขาใช้เครื่องมือของบริษัทโชเชียลมีเดีย เชิงปริมาณ จำนวนคน คนคนเดียวทำมือถือไม่รู้เป็นร้อยๆ เครื่อง มีอุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ใช้แค่มือถืออย่างเดียว เครื่องมืออุปกรณ์เชื่อมต่อออนไลน์ได้ อันนี้คือปั่นยอด ผมเสนอไปหมดแล้วคำว่าช่องทาง แต่ content ใครอะไร อย่างไร ผมไม่ได้สน สุดท้ายเราเกาะคนนี้ไปเชื่อมโยงคนนั้นเป็น networkไป เห็นออกมาเลยว่าเป็นวัฏจักรแบบนี้ เป็นเครือข่ายเขาทำแบบ online - on ground - online - on ground แบบนี้ไปเรื่อยๆ

on ground ก็คือ ลงพื้นที่ปฏิบัติการลงถนน ถ้าอยู่บนโลกออนไลน์เป็นล้าน แต่ on ground หลักหมื่น หลักพัน #whathappenedinThailand ประเทศไทยมีแค่ 12,290 บัญชีผู้ใช้งานเคลื่อนไหวแต่รวมต่างชาติไปเป็น 2.3 ล้านเพราะมันก็มีเทคนิคอะไรบางอย่าง แต่ที่สำคัญก็คือ คำพูดนี้มันเห็นชัดเจนว่ามันปั่นมาจากข้างนอกเยอะ แล้วก็คือใคร มันออกมาจากทั่วโลกมาจากหลายประเทศ แต่ว่ามันไม่ใช่จะใช้ VPN กันได้หมดทุกคน ก็เรียนให้ทราบได้แล้ว เราก็สามารถรู้แล้ว ซึ่งก็คนที่รู้ได้ดีจริงๆ คือ ISP (Internet service provider) เขารู้แน่ๆ

เมื่อผู้ดำเนินรายการถามว่า อาจารย์สามารถร่าง map ได้ แล้วว่ามันเริ่มต้นจากตรงไหนเครือข่ายเป็นอย่างไร รู้เลยเหรอว่าเป็นใคร?

ดร.นพดล ตอบว่า มันเปิดเผยตัวจริง รู้เลยว่าเป็นใคร แล้วก็คนนี้ไปเชื่อมโยงกับคนนั้น แล้วสุดท้ายก็ on ground ก็ไปอยู่ในกลุ่มนั้น แล้วก็ออกมาแถลงการณ์อยู่ในกลุ่มนั้นด้วย อะไรแบบนี้ ซึ่งก็เป็นกลุ่มที่เรารู้กัน ซึ่งข้อมูลมี 2 ประเภท กลุ่มข้อมูลเปิดกับกลุ่มข้อมูลปิด ณ ตอนนี้หน่วยงานของรัฐไปจัดการกับกลุ่มข้อมูลเปิด กลุ่มข้อมูลปิดก็อยู่เบื้องหลัง จะมีเครื่องมือในการปฏิบัติการสามารถจัดการได้ ต้องพูดความจริงต้องเอาความจริงมาเปิดเผย แต่สุดท้ายก็ปั่นเป็นความเท็จ สิ่งนี้พวกเราทำกันเอง ไม่ได้หวังสิ่งใดทั้งสิ้น เราอยากเห็นความมั่นคงไม่อยากซ้ำเติมวิกฤต ซึ่งกลุ่มเคลื่อนไหวพยายามจะบั่นทอนเสาหลักของชาติ

เมื่อผู้ดำเนินรายการถามว่า ถ้าเราดูทิศทางจากการอภิปรายในสภา โดยรัฐบาลเชื่อว่ามีกระบวนการอยู่เบื้องหลัง

ดร.นพดล ตอบว่า ไม่ใช่แค่ความเชื่อ มันเป็นความจริง แต่ผมไม่ได้อยู่ฝ่ายรัฐบาล

เมื่อผู้ดำเนินรายการ ถามว่า มันจะทำให้ การมองว่ากลุ่มเยาวชนถูกปลุกปั่น

ดร.นพดล ตอบว่า ผมอยู่กับข้อมูลเยาวชนจิตใจบริสุทธิ์จำนวนไม่น้อย แรกๆ ก็จะเป็นเยาวชนพลังเงียบบริสุทธิ์ เขาเริ่มข้ามในโซเชียล มันมีขบวนการ ปฏิบัติการ 2 รูปแบบ รูปแบบแรก คือ ใช้ BOT และ A รูปแบบที่ 2 คือใช้กองกำลังหรือกำลังคน เยาวชนเข้ามาในโลกโซเซียลด้วยความบริสุทธิ์สงสัยว่า เรื่องนี้ป็นอย่างไร พอคลิกกด A และ BOT จะปฏิบัติการทันทีส่งเรื่องนั้นเข้ามาทันที ในแง่ลบต่อสถาบัน ส่งมาอีก จากสงสัย เป็นสงสัยจะจริง จากสงสัยจริงน่าจะจริง ภายหลังจะจริง สุดท้ายจริงแน่ หลังจากนั้นจะเป็น name calling ทำให้ความเห็นแตกต่างจากความคิดหลายอย่างเหลือเพียงแค่ 2 ฝั่ง คือพวกชังชาติ กับพวกสลิ่ม สุดท้ายจะเป็นเหมือนฮ่องกงใครเห็นไม่เห็นด้วยกับเรา เห็นต่างเผาเลย

‘กราน-มอนเต้’ ชี้แจง!! หลังโดนอันธพาลโซเชียลโจมตี ปมเสิร์ฟไวน์ในงานประชุมผู้นำเอเปคก่อนฝันของ ‘พิธา’

ผู้ผลิต ‘กราน-มอนเต้’ ไวน์ไทยชื่อดังโพสต์ชี้แจง เป็นผู้ผลิตสุราไทยที่ไม่มีเจ้าสัวหนุนหลังธุรกิจ และได้ร่วมต่อสู้เรื่องสุราพื้นบ้านจนกฎเหล็กคลี่คลาย และไม่ได้บุกรุกป่าหลังโดนอันธพาลโซเชียลระราน ให้ข้อมูลบิดเบือน เนื่องจากไวน์ของที่นี่ได้รับเลือกให้เสิร์ฟผู้นำเอเปค 2022 ก่อนไอเดียความฝันของพิธา

จากกรณีที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ ‘เรื่องเล่าเช้านี้’ ของช่อง 3 ว่า มีความฝันอยากเห็นเหล้าไทยเสิร์ฟผู้นำเอเปคในอีก 4 ปีข้างหน้า ซึ่งก็มีชาวเน็ตเข้ามาชื่นชมแนวคิดนี้กันเป็นจำนวนมาก

อย่างไรก็ดี ในโลกโซเชียลก็มีชาวเน็ตจำนวนมากเช่นกันได้ออกมาให้ข้อเท็จจริงโต้แย้งแนวคิดดังกล่าว ว่า ในการประชุมเอเปค 2022 ที่ผ่านมา ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ได้มีการเสิร์ฟไวน์ ‘กราน-มอนเต้’ ไวน์ชื่อดังสัญชาติไทยในงานเลี้ยงอาหารค่ำสุดยอดผู้นำที่เข้าร่วมประชุมมาแล้ว

เรื่องนี้สร้างความไม่พอใจให้กับด้อมส้มจำนวนหนึ่งที่รับไม่ได้ว่า นายพิธาโดนแหกข้อเท็จจริง จึงทำตัวเป็นอันธพาลโซเชียลไประรานตามเพจที่ให้ข่อเท็จจริงที่ต่างจากที่พวกตัวเองมโo

นอกจากนี้ ยังมีการปล่อยข้อมูลผ่านสื่อดังบางสำนัก ว่า นโยบายสุราก้าวหน้าของพรรคก้าวไกล จะส่งกระทบถึงเจ้าสัวผู้ผลิตน้ำเมารายใหญ่ ซึ่งได้รวมผู้ผลิตไวน์กราน-มอนเต้เป็นหนึ่งในนั้นด้วย

ทำให้ล่าสุดผู้ผลิตไวน์กราน-มอนเต้ ได้ออกมาชี้แจงต่อสารพัดข้อมูลบิดเบือน ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ GranMonte Vineyard and Winery ว่า…

วันนี้ ไร่องุ่นไวน์กราน-มอนเต้ ขอเล่าเกี่ยวกับตัวเรา และแก้ความเข้าใจผิดนิดหน่อย เป็นข้อๆ แล้วกันค่ะ

1.) เราไม่ใช่ตระกูลเจ้าสัวหรือมีบริษัทยักษ์ใหญ่เป็นแบค สมาชิกครอบครัวโลหิตนาวีที่ทำไวน์กราน-มอนเต้ มีกันแค่ 4 คน (พ่อแม่ลูก 2) เริ่มไร่กันเองเมื่อเกือบ 25 ปีที่แล้วค่ะ ลูกสาวคนโต นิกกี้ วิสุตา โลหิตนาวี ไปเรียนปริญญาตรีการปลูกองุ่นและทำไวน์จากประเทศออสเตรเลีย กลับมาทำไวน์ที่ไร่ของครอบครัว ได้พัฒนาความรู้จากการทำงานในไทยและประเทศอื่นๆอีก จนเป็นผู้เชี่ยวชาญการปลูกองุ่นและทำไวน์ในเขตร้อนของโลก (เรียกว่า Tropical Viticulture และ Tropical Winemaking)

2.) เราไม่ใช่ไร่ที่โดนกล่าวหาหรือดำเนินคดีเรื่องบุกรุกป่านะคะ นั่นคือ รีสอร์ต ‘88 การ์มองเต้’ ที่ตั้งชื่อคล้ายเคียงเรา อยู่แถบวังน้ำเขียว สร้างความสับสนมาเป็นเวลานาน แต่เราหยุดเขาไม่ได้

3.) เราปลูกองุ่น ทำการเกษตรในพื้นที่ 100 ไร่ของเราที่เขาใหญ่ และเราผลิตไวน์จากองุ่นที่เราปลูกเองเท่านั้นในโรงผลิตไวน์ที่อยู่ในไร่ เติบโตมาเรื่อยๆจนเวลานี้ได้ประมาณ 1 แสนขวดต่อปี เราเชื่อว่าไวน์ของเราก็คือสินค้าไทย จากท้องถิ่นเขาใหญ่ และเรายังได้ขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ไทย (Geographical Indication) ด้วย ได้รับรางวัลจากการแข่งขันไวน์นานาชาติที่จัดขึ้นในเอเชียและยุโรปมาตลอด ในฐานะไวน์ที่ปลูกและทำในประเทศไทย เราไม่ใช่ “เหล้านอก” ที่มาตัดโอกาสของสุราที่ผลิตในไทยแต่อย่างใด มาเยี่ยมชมไร่และดูไวน์เนอรี่ของเราได้เลยค่ะ ท้าพิสูจน์

4.) ไวน์ไทย 100% ของกราน-มอนเต้ ได้เสิร์ฟในงานในงานเลี้ยงต่างๆ ของการประชุม APEC ปี 2022 รวมถึงงานเลี้ยงสุดท้ายที่เป็น gala dinner เลี้ยงผู้นำระดับโลก หน่วยงานรัฐและผู้จัดงานทั้งหลาย ต่างซื้อไวน์ของเราเพื่อใช้เสิร์ฟ ไม่ได้ขอสปอนเซอร์จากเราเลย

เราเห็นด้วยว่ารัฐต้องใช้โอกาสอย่างนี้ นำเสนอเบียร์และสุรากลั่นจากผู้ผลิตไทยรายย่อยอื่นๆด้วย เพื่อช่วยให้ผู้ผลิตรายย่อยได้ขึ้นเวทีโลกไปด้วยกัน และเป็นผู้ผลิตที่ประเทศไทยจะภาคภูมิใจได้

เราเชื่อว่า ไร่องุ่นไวน์กราน-มอนเต้ของเรา เป็นตัวอย่าง หรือ case study ที่ดี ให้เห็นว่าเกิดขึ้นได้ที่จะมีผู้ผลิตสุราแช่ (ไวน์) ที่เริ่มจากขนาดเล็ก ค่อยๆคืบคลานโตขึ้นมาจนถึงจุดกลางๆได้ แม้ในตลาดที่ยังเป็นสภาพผูกขาด และเราได้รับโอกาสที่รัฐนึกใช้สินค้าของเราในงานอย่างงานประชุม APEC ทำให้ได้เป็นที่รู้จักและยอมรับมากขึ้น

จนถึงไม่นานมานี้ กฎกระทรวงสรรพสามิตทางด้านการอนุญาตผลิต เคยเป็นโครงสร้างที่ไม่เปิดโอกาสให้ทั้งเบียร์และสุรากลั่นมีเส้นทางโตจากเล็กมาเป็นกลางอย่างที่สุราแช่อย่างเราทำได้ การเปลี่ยนแปลงกำลังค่อยๆเกิดขึ้นแล้ว

เราได้เป็นส่วนหนึ่งของการรวมตัวผู้ผลิตสุรารายย่อย ผลักดันกันทุกด้าน ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เป็นงานที่เราตั้งใจทำมาหลายปีมาก ทั้งด้านกฎหมายอนุญาตผลิต กฎภาษีสรรพสามิต และพรบ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เพียงเพื่อตัวเราเอง แต่เพื่อผู้ผลิตรายย่อยทุกคน

เพราะเราเป็นเพื่อนร่วมอุตสาหกรรมด้วยกัน อยากเห็นตลาดที่มีพื้นที่ให้กับความหลากหลายและมีสุรากลั่น, เบียร์, ไวน์น่าสนใจจากแหล่งผลิตย่อยต่างๆในไทย เน้นความครีเอทีฟและนำเสนอสนุกๆ และอยากได้มีโอกาสออกงานและการประชุมระดับโลกต่างๆด้วยกัน เพราะเรารักเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เป็นวิชาชีพของเรา และมีความสุขที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเพื่อนๆผู้ผลิตรายย่อยที่มี passion ให้กับสิ่งเดียวกัน

ยังไงกราน-มอนเต้ก็ขอเชิญมาเยี่ยมชม ทำความรู้จักงานของเรา ที่ไร่องุ่นไวน์ของเรานะคะ ไร่ของเราไม่มีค่าเข้า ส่วนการร่วมทัวร์ไร่และไวน์เนอรี่โดยมีไกด์ผู้เชี่ยวชาญ

ไทยสร้างไทย’ โพสต์แจง ถูก ‘กัลฟ์’ ฟ้อง 100 ล้านบาท โดนทั้งคดีอาญาและคดีแพ่ง ปมแถลงปัญหาค่าไฟแพง

เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. 66 รองเลขาธิการพรรคไทยสร้างไทย โพสต์ ได้รับหมายศาล ‘กัลฟ์’ ฟ้องคดีอาญาและคดีแพ่ง และเรียกค่าความเสียหายอีก 100 ล้านบาท พรรคไทยสร้างไทย กับพวกรวม 3 คน ปมแถลงค่าไฟแพง

นายตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส รองเลขาธิการพรรคไทยสร้างไทย โพสต์เฟซบุ๊กชื่อ ‘ตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส - Treerat Sirichantaropas’ ระบุถึงกรณีการได้รับหมายศาล ซึ่งบริษัท กัลฟ์ เจพี เอ็นเอส จำกัด ที่ 1 กับพวกรวม 2 คน โดยนายเนติพงศ์ โฆมานะสิน ผู้รับมอบอำนาจ เป็นโจทย์ยื่นฟ้อง พรรคไทยสร้างไทย เป็นจำเลยที่ 1 กับพวกรวม 3 คน

ทั้งนี้ นายตรีรัตน์ ระบุเนื้อหาว่า วันนี้ผมได้รับหมายศาลโดยกลุ่มบริษัท ‘กัลฟ์’ หลังจากผมได้เคยแถลงข่าวถึงปัญหาค่าไฟแพง โดยผม พร้อมด้วยคุณรณกาจ (ผู้ร่วมแถลงข่าว) และพรรคไทยสร้างไทย ร่วมกันได้ถูกฟ้องทั้งคดีอาญาและคดีแพ่ง และโดนเรียกค่าความเสียหายอีก 100 ล้านบาท

ทั้งนี้ เขายังระบุด้วยว่า ทั้งหมดที่ผมเคยออกมาตั้งคำถาม เป็นการทำหน้าที่ในฐานะตัวแทนพรรคการเมือง ซึ่งมีหน้าที่เป็นกระบอกเสียงแทนความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะปัญหาค่าครองชีพ ซึ่งภาครัฐหรือคู่สัญญาของรัฐ ต้องสามารถถูกตรวจสอบได้ โดยประชาชนถึงความคุ้มค่า

แต่หากการตั้งคำถามในฐานะประชาชน ทำให้ผมต้องโดนฟ้องทั้งอาญา-ทั้งแพ่ง ผมก็ใช้จังหวะนี้ที่ผมต้องขึ้นศาล เบิกความเอาเอกสารข้อเท็จจริงทั้งหมดมาแสดงให้สาธารณชนได้รับทราบร่วมกัน ถึง “สัญญาการซื้อไฟฟ้าระหว่างรัฐและนายทุน” ส่วนรายละเอียดของคดี ผมจะขออนุญาตแถลงข่าวในภายหลัง

 

พบร่าง ‘ปราโมทย์’ รอง ปธ.แผนกคดียาเสพติดศาลอุทธรณ์ ใช้อาวุธปืนยิงตัวเองเสียชีวิตคาบ้านพัก ตร.เร่งสืบสวนหาสาเหตุ

วันที่ (8 มิ.ย. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายปราโมทย์ ธรรมพนิชวัฒน์ รองประธานแผนกคดียาเสพติดในศาลอุทธรณ์ ได้ใช้อาวุธปืนยิงตัวเองเสียชีวิต เมื่อช่วงหัวค่ำวันที่ 7 มิ.ย. ที่ผ่านมา ที่บ้านพักย่านมหาวิทยาลัยราชภัฎจันทรเกษม ส่วนสาเหตุการฆ่าตัวตายรอสืบสวนสอบสวนอีกครั้ง

ขณะที่บุตรสาว โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุรายละเอียดเกี่ยวกับฌาปนกิจศพ ที่จะจัดขึ้นที่ วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขต ศาลา 13 สวดพระอภิธรรมทั้งหมด 7 วัน ระหว่างวันที่ 8 – 14 มิ.ย. 2566 และจะมีพิธีฌาปนกิจศพ วันที่ 15 มิ.ย. โดยมีรายละเอียด ดังนี้

- วันที่ 8 มิ.ย. 2566 รดดน้ำศพ เวลา 16.00 น. และสวดพระอภิธรรม เวลา 17.30 น.
- วันที่ 9-14 มิ.ย. 2566 สวดพระอภิธรรม เวลา 18.00 น.
- วันที่ 15 มิ.ย. 2566 ฌาปนกิจศพ เวลา 17.00 น.

สำหรับ นายปราโมทย์ ธรรมพนิชวัฒน์ เคยเป็นผู้พิพากษา ศาลจังหวัดเชียงราย-ศรีสะเกษ, นครนายก, ผู้พิพากษา ศาลอาญากรุงเทพใต้, ผู้พิพากษา ศาลอุทธรณ์ ภาค 8, ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ และผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

โฆษก ตร.แจงปมเลื่อนยศ ร.ต.อ.หญิงเป็นไปตามกฎ ก.ตร. ว่าด้วยวิธีการแต่งตั้งยศ มีคุณวุฒิบรรจุปริญญาโท สามารถเลื่อนเป็น ร.ต.อ.ได้ภายใน 2 ปี ย้ำ ตร.ให้ความสำคัญตำรวจชั้นผู้น้อย เปิดสอบแข่งขันเลื่อนเป็นสัญญาบัตรกว่า 880 อัตรา 

วันนี้ (8 มิ.ย.66 ) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า “ตามที่ปรากฎจากสื่อเกี่ยวกับการบรรจุและดำรงตำแหน่ง ร.ต.อ.หญิง นั้น

สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอเรียนว่า หลักสูตรการฝึกอบรมข้าราชการตำรวจและบุคคลที่บรรจุหรือโอนมา เป็นข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตร (กอส.) เป็นหลักสูตรการฝึกอบรมสำหรับข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตรซึ่งบรรจุจากบุคคลภายนอก เช่น  ทายาทตำรวจ ผู้มีวุฒิปริญญาสาขาต่างๆ ผู้มีวุฒิปริญญาในสาขาวิชาที่ขาดแคลน  นายแพทย์ รพ.ตร. ตำรวจน้ำที่รับโอนมาจากทหารเรือ นักวิทยาศาสตร์ ฯลฯ เป็นหลักสูตรตามระเบียบ ตร. ซึ่งกรณีของ ร.ต.อ.หญิง เป็นผู้มีวุฒิปริญญาซึ่งผ่านการคัดเลือกและได้รับการบรรจุแต่งตั้งเป็นข้าราชการตำรวจชั้นประทวนได้รับเงินเดือนขั้นต่ำ โดยมีเงื่อนไขเมื่อผ่านการอบรมฯ หลักสูตรตามที่ ตร. กำหนดแล้ว จึงจะได้รับการแต่งตั้งเป็นข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตรได้รับเงินเดือนตามคุณวุฒิ

ร.ต.อ.หญิง ดังกล่าว ได้ผ่านการรับสมัครและคัดเลือกบุคคลภายนอกผู้มีวุฒิ ใช้วิธีการคัดเลือกตามกฎ ก.ตร.ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกหรือการสอบแข่งขันฯ และตรวจสอบคุณวุฒิและคุณสมบัติเป็นไปตามหลักเกณฑ์ จนได้บรรจุเป็นข้าราชการตำรวจ ยศสิบตำรวจตรีหญิง ในปี พ.ศ. 2563 ในตำแหน่ง ผบ.หมู่ฯ  ต่อมาผ่านการฝึกอบรมหลักสูตร กอส. ในปี พ.ศ.2564 และแต่งตั้งเป็นข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตร ยศร้อยตำรวจตรีหญิง ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.64 โดยมีคุณวุฒิที่ใช้บรรจุแต่งตั้งนิเทศศาสตรมหาบัณฑิต (ป.โท) จากนั้นจะใช้ระยะเวลาครองยศ 8 เดือน ได้รับการเลื่อนยศเป็น ร.ต.ท.หญิง และครองยศ ร.ต.ท.หญิง อีก 1 ปี จะได้รับการเลื่อนยศเป็น ร.ต.อ.หญิง รวมระยะเวลา 1 ปี 8 เดือน โดยการเลื่อนยศของ ร.ต.อ.หญิง ดังกล่าว เป็นไปตามตามกฎ ก.ตร.ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการแต่งตั้งยศ พ.ศ.2554 ข้อ 8.2.8 ที่กำหนดให้ข้าราชการตำรวจที่ได้รับยศสูงขึ้น ต้องครองยศตามจำนวนปีที่รับราชการ ยกเว้นผู้ที่บรรจุในคุณวุฒิ ปริญญาโท ให้รับราชการในชั้นยศร้อยตำรวจตรีหนึ่งปี ร้อยตำรวจโทหนึ่งปี”

โฆษก ตร. กล่าวอีกว่า “ในปัจจุบัน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความตั้งใจที่จะดูแลขวัญกำลังใจของกำลังพลในส่วนที่เป็นข้าราชการตำรวจชั้นประทวนที่มีความตั้งใจ มีความรู้ความสามารถที่จะเป็นนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร มีการเปิดสอบแข่งขันข้าราชการตำรวจชั้นประทวนเป็นตำรวจชั้นสัญญาบัตร ล่าสุด เมื่อปลายเดือน พ.ค.66 มีการเปิดรับสมัครตำรวจชั้นประทวนเป็นสัญญาบัตร จำนวน 430 อัตราสำหรับตำแหน่งทั่วไป และ จำนวน 450 อัตรา สำหรับสายงานสอบสวน”

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง - ผู้ว่าฯ ชัชชาติ เปิดโครงการ “ป่อเต็กตึ๊ง ปันยิ้ม สร้างสุข ผู้สูงวัย”  ลงพื้นที่ 50 เขตกรุงเทพฯ บรรเทาทุกข์ในยุคสังคมผู้สูงวัยในไทย

วันนี้ (วันที่ 8 มิถุนายน 2566)  มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการ พร้อมด้วย นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ ที่ปรึกษาประธานกรรมการ นายสัก กอแสงเรือง รองประธานกรรมการ นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการ และคณะกรรมการมูลนิธิฯ จัดพิธีเปิดโครงการ ป่อเต็กตึ๊ง ปันยิ้ม สร้างสุข ผู้สูงวัย ลงพื้นที่แจกจ่าย "ถุงปันสุข ป่อเต็กตึ๊ง" บรรจุเครื่องอุปโภคบริโภค มูลค่าชุดละ 1,000 บาท ประกอบด้วย ข้าวสาร บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง น้ำมันพืช น้ำปลา นม ขนม สบู่ ผงซักฟอก และผ้าขนหนู  พร้อมมอบเงินสด จำนวน 1,000 บาท ให้แก่ผู้สูงอายุและผู้ยากไร้ในชุมชน 50 เขตกรุงเทพมหานคร  รวมจำนวน 2,500 ชุด 

คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 5,000,000 บาท (ห้าล้านบาทถ้วน) โดยมี นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ร่วมในพิธี  ณ ห้องประชุมชั้น 2 อาคาร 2 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ

นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เปิดเผยว่า ด้วยประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมผู้สูงวัยโดยสมบูรณ์แล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2564 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เป็นองค์กรสาธารณกุศลเอกชนที่ไม่แสวงหาผลกำไร ดำเนินงานสาธารณกุศลทั้งงานสังคมสงเคราะห์และงานบรรเทาสาธารณภัยต่างๆ บำบัดทุกข์ สร้างสุขให้สังคมไทยมากว่า 113 ปี มีความห่วงใยในความเป็นอยู่ ทุกข์สุข ของผู้สูงอายุยากไร้ที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในสภาวะที่ยากลำบาก ขาดผู้ดูแล ขาดปัจจัยหลักในการดำรงชีพ 

สำหรับโครงการดังกล่าว มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ริเริ่มดำเนินการแล้วตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2566 เป็นต้นมา เพื่อให้ความช่วยเหลือเป็นไปอย่างรวดเร็ว โดยกำหนดลงพื้นที่ครบถ้วนทั้ง 50 เขต ในวันเสาร์ที่ 10 มิถุนายน 2566 ที่จะถึงนี้

ตลอดระยะเวลากว่า 113 ปี มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา  เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลาย ๆ ทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ดังปณิธานมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง “ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

เท่าพิภพ’ ว่าที่ ส.ส. พรรคก้าวไกล โพสต์ภาพคู่ ‘ต๊อด ปิติ’ ร่วมถกกฎ-ข้อบังคับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ต้อนรับสุราก้าวหน้า

เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. 66 นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ว่าที่ ส.ส. กทม. พรรคก้าวไกล ในฐานะผู้เสนอร่าง พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต หรือ ‘สุราก้าวหน้า’ โพสต์ภาพกับนายปิติ ภิรมย์ภักดี หรือ ‘ต๊อด’ ทายาทของตระกูลภักดี ผู้ผลิตเบียร์รายแรกของประเทศไทย ในเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยระบุข้อความว่า…

" เท่าต๊อด ดีลรักที่ไม่ลับ "

หากท่านได้ติดตามผมมาก่อน จะเห็นว่าในการดำเนินนโยบาย #สุราก้าวหน้า ผมมีความพยายามที่จะวางตัวเป็นคนกลางระหว่าง กลุ่มรณรงค์ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอลฮอล์ และกลุ่มผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยผมเริ่มตะเวนพบปะตัวแทนของทั้งสองฝั่งอยู่บ่อยครั้ง หรือก่อนหน้านี้ก็ได้มีการพูดคุยของเหล่า brewer เพื่อหาข้อสรุป ‘ตรงกลาง’ ของสายพานธุรกิจ #สุรา #คราฟท์เบียร์ #ไวน์ #สุราแช่ และครั้งนี้ ก็เป็นคิวของ #บุญรอด เป็นเพราะผมจะได้ทราบว่าเขาคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับ กฎของบ้านเก่าหลังนี้

ซึ่งเนื้อหาการพูดคุยสรุปได้ดังนี้ 
บทสนทนาเริ่มขึ้นถึงเรื่องของหน่วยงานบางหน่วยงานทันที หน่วยงานที่ออกกฎมาด้วยตัวเองและตั้งให้ตัวเองเป็นผู้บังคับบังคับใช้กฎนั้น หลังจากสิ้นสุดการกล่าวถึงนั้น เราต่างสบถออกมาพร้อมเพรียงกันว่า “นี่มันประเทศอะไรวะเนี่ย” เพราะมันเป็นเรื่องแปลกมาก ๆ ไม่มีที่ไหนเขาทำกัน 

การพูดคุยจุดประสงค์คือการแลกเปลี่ยนจากมุมมองที่ต่างกัน โดยที่ทั้งคู่มาเพื่อจะรับฟังและโต้แย้งกันด้วยเหตุผล เพราะเราทั้งคู่เริ่มเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในอนาคต อาจเป็นเพราะพวกเราไม่ใช้กำแพง แต่คือกังหันลม ที่พร้อมโอบรับความเปลี่ยนแปลง

การบริหารหลังบ้าน จากมุมมองนักธุรกิจอย่างพี่ต๊อด เขามองว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญและเป็นสิ่งที่ควรปรับเปลี่ยนเป็นอันดับแรก ๆ ถ้าหากมีไอเดียดีแค่ไหน ถ้าคนทำไม่ทำ ค่าก็เท่าเดิม

ต่อมาเรื่องผลิตภัณฑ์ของ SME เรามองตรงกันว่าควรมีการควบคุมคุณภาพ ด้วยกฎเกณฑ์ที่จำเป็นและไม่ยากจนเกินไป แต่ต้องสามารถบังคับใช้ได้จริง เพื่อควบคุม ‘ความปลอดภัย’ ของผลิตภัณฑ์ เพราะนั่นคือสิทธิขั้นพื้นฐานที่ผู้บริโภคควรได้รับ

ต่อมาในระดับผู้บริโภค ปัญหาที่คนธรรมดาไม่ได้มีผลประโยชน์โดนฟ้อง เพราะเผยแพร่สิ่งที่ตนเองชอบและให้ความสนใจ ซึ่งมันควรเป็นสิทธิของบุคคลนั้นๆ มากกว่า

สุดท้ายนี้ผมขอเปรียบพี่ต๊อด เป็นหนึ่งในผู้อาศัยที่อยู่บ้านหลังนี้มานานตั้งแต่รุ่นพ่อ และรับรู้ถึงปัญหามาอย่างยาวนาน 

พี่ต๊อดจึงเป็น ‘หนึ่งคน’ ที่สามารถชี้จุดปัญหาใหญ่ ๆ ในวงการนี้ได้เป็นอย่างดีและสมควรที่เราจะต้องรับฟัง

ผมก็คือผู้รับเหมา ที่หวังจะมาปรับปรุงบ้านเก่าหลังนี้ให้ทันสมัยขึ้น เหมาะสมกับการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขและมีวุฒิภาวะ การที่ผมได้มาถามข้อมูลจากผู้ที่เคยอาศัยอยู่มาก่อน ก็ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี ที่จะเข้าใจถึงปัญหาต่าง ๆ ภายในบ้านที่สมควรได้รับการปรับปรุงหลังนี้

ที่ผมเลือกที่จะเดินเข้าไปหาที่ต๊อดและบุญรอดในวันนี้ เพราะผมอยากแสดงให้เห็นว่า ผมไม่ได้ตั้งใจมาเพื่อทุบบ้านหลังนี้ทิ้ง แต่ไม้เก่าผุพัง ถึงเวลารื้อ เราก็ต้องทำ รีบปรับเปลี่ยนเป็นวัสดุอย่างอื่น ก่อนที่มดปลวดจะกัดกินจนบ้านนี้ไม่เหลืออะไร

เพื่อความโปร่งใส และตรวจสอบได้ ผมอยากจะขอยืนยันว่าบทสนทนาระหว่างเราในวันนี้ ไม่มีคำว่า “ขอ” ออกจากปากใครสักครั้ง เพราะจุดประสงค์ในการพูดคุยครั้งนี้ ไม่มีสิ่งที่เราต้องร้องขอกันเลย และคำพูดที่ถูกใช้มากที่สุดคือ “ผมเจอแบบนี้ คุณเจอมาแบบไหน? เพื่อนผมเจอมาแบบนี้ เพื่อนคุณเจอมาแบบไหน?” ซะมากกว่า โดยผมยืนยันได้ว่าพวกเราไม่ได้มีผลประโยชน์ #ใต้โต๊ะ มอบให้แก่กันแต่อย่างใด แต่สิ่งที่มอบให้กันคือมุมมองของแต่ละคนเสียมากกว่า”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top