Thursday, 15 May 2025
NewsFeed

สุโขทัย-นายกเล็กเมืองศรีสัชนาลัย ต้อนรับผู้บริหาร และบุคลากรเติมการพัฒนาสู่เมืองท่องเที่ยวศรีสัชนาลัย

นายสมศักดิ์ พุ่มชื่น นายกเทศมนตรีเมืองศรีสัชนาลัย พร้อมด้วยนางพินิจนันท์ ศรีทัศน์ รองนายกเทศมนตรีฯ และคณะผู้บริหารสภาฯ ปลัดเทศบาลฯ ผู้อำนวยการฝ่ายและบุคลากรในสังกัดเทศบาลเมืองศรีสัชนาลัย อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย ร่วมแสดงความยินดีและมอบช่อดอกไม้ต้อนรับ นายไชยา บุญเกิด ในโอกาสเข้ารับดำรงตำแหน่งรองนายกเทศมนตรีเมืองศรีสัชนาลัย เพื่อร่วมขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาเมืองศรีสัชนาลัยสู่เป้าหมายเมืองพัฒนา เมืองท่องเที่ยวต่อไป 

และร่วมให้การต้อนรับข้าราชการโอนย้ายมาดำรงตำแหน่งใหม่ในครั้งนี้ ได้แก่ นายธนธัญ โครธาสุวรรณ์ ตำแหน่ง หัวหน้าฝ่ายการโยธา (นักบริหารงานช่าง ระดับต้น) กองช่าง เทศบาลตำบลเกาะแต้ว อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา มาดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายแบบแผนและก่อสร้าง ฝ่ายแบบแผนและก่อสร้าง สังกัดกองช่าง เทศบาลเมืองศรีสัชนาลัย นางสาวกัญญาภัค สวัสดิ์รักษา ตำแหน่ง ครู สังกัดโรงเรียนบ้านวงพระจันทร์ กองการศึกษา เทศบาลตาบลเมืองบางขลัง มาดำรงตำแหน่ง ครู สังกัดศูนย์พัฒนาเด็กเล็กหนองบัว งานบริหารการศึกษา ฝ่ายแผนงานและโครงการ กองการศึกษา เทศบาลเมืองศรีสัชนาลัย ณ ห้องประชุมเทศบาลเมืองศรีสัชนาลัย

สุริยา ด้วงมา จ.สุโขทัย 081-284-4862

กระบี่-อพท ร่วม ทกจ.กระบี่ พบปะผู้ประกอบการ ผลักดันเป็นพื้นที่พิเศษคลองท่อมเมืองสปา

เวลา 13.00 น. นาวาอากาศเอก อธิคุณ คงมี ผู้อำนวยการ อพท. และคณะผู้บริหาร อพท. ร่วมกับ นายสุรัตน์ จรณโยธิน ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดกระบี่ ลงพื้นที่อำเภอคลองท่อมที่เกี่ยวข้องกับน้ำพุร้อนเค็มคลองท่อม 3 แห่ง ได้แก่ วารีรัก ฮ็อต สปริง แอนด์เวลเนส อมตยา เวลเนส และ ณัฐฐาวารีน้ำพุร้อน รีสอร์ท แอนด์ สปา พบปะผู้ประกอบการภาคเอกชน

เพื่อแนะนำบทบาทภารกิจขององค์กรรวมถึงหารือเรื่องการประกาศพื้นที่พิเศษ คลองท่อมเมืองสปา เป็นพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ตามนโยบายของนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

ทั้งนี้จะเป็นกรอบและแนวทางสำหรับบูรณาการความร่วมมือ และดำเนินงานร่วมกันของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ในการมีส่วนร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวสร้างสรรค์จากฐานทรัพยากรการท่องเที่ยวที่มีคุณค่าของน้ำพุร้อนเค็มอย่างยั่งยืนต่อไป

ประชุมอธิบดีศุลกากรอาเซียน ครั้งที่ 32

วันที่ (6 มิ.ย.66) ณ โรงแรมเคปดารา รีสอร์ท พัทยา นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร เป็นประธานเปิดการประชุมอธิบดีศุลกากร อาเซียน ครั้งที่ 32

นายพชร เปิดเผยว่า การประชุมอธิบดีศุลกากรอาเซียน ครั้งที่ 32 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 6-8 มิถุนายน 2566 ในรูปแบบผสม ประกอบด้วย ประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ และเลขาธิการอาเซียน โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อติดตามความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ การพัฒนาศุลกากรอาเซียนของคณะทำงานที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของอธิบดีศุลกากรอาเซียน จำนวน 5 คณะทำงาน ได้แก่ คณะกรรมการประสานงานด้านศุลกากรอาเซียน (ASEAN Coordination Committee on Customs : CCC) คณะทำงานด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้าและพิธีการศุลกากร (Customs Procedures and Trade Facilitation Working Group : CPTFWG)

คณะทำงานด้านการป้องกันและปราบปรามทางศุลกากร (Customs Enforcement and Compliance Working Group : CECWG) คณะทำงานด้านการเสริมสร้างขีดความสามารถทางศุลกากร (Customs Capacity Building Working Group : CCBWG) และคณะทำงานด้านการพัฒนาระบบ(ASEAN Single Window (ASEAN Single Window Steering Committee : ASWSC)

อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวต่ออีกว่า นอกจากนี้ ได้มีการหารือร่วมกันระหว่างศุลกากรอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา ได้แก่ ออสเตรเลีย จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และองค์การศุลกากรโลก เพื่อแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติ และประสบการณ์ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับศุลกากร

รวมถึงการหารือร่วมกับตัวแทนจากภาคเอกชน ได้แก่ EU-ASEAN Business Council และ US-ASEAN Business Council เพื่อรับทราบประเด็นต่าง ๆ และข้อเสนอแนะจากภาคเอกชน โดยจะทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่ออำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายสินค้า รวมทั้งเสริมสร้างความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาค อีกด้วย

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ก012 ชลบุรี 0909535645
 

‘พิธา’ กับวิกฤตหุ้นสื่อไอทีวีที่ต้องเผชิญ เมื่อสังคมต่างตั้งคำถาม แม้จะเจ้าตัวยืนยันว่า พร้อมชี้แจง กกต. และขอเดินหน้าจัดตั้ง รบ.ต่อ

เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 66 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ได้ออกมายอมรับว่า มีการโอนหุ้นสื่อไอทีวีของตนเองแล้ว และมีความพร้อมที่จะชี้แจงต่อ กกต.

ประเด็นถือหุ้นไอทีวีของนายพิธา คงต้องรอ กกต.ว่าจะวินิจฉัยออกมาอย่างไร จะยกคำร้อง หรือจะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสิน

‘หุ้นไอทีวี’ เป็นประเด็นที่กระทบต่อการเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลของพรรคก้าวไกล ยิ่งถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ไอทีวียังอยู่ และยังผลิตสื่ออยู่ จะยิ่งเป็นอุปสรรคต่อนายพิธาในการก้าวเดินต่อไป

จากประเด็นการถือหุ้นสื่อไอทีวีของนายพิธา ทำให้เกิดข้อสงสัยและเกิดการตั้งคำถามตามมาอีกหลายประเด็น เช่น

- ข้อต้องห้ามการลงสมัคร ส.ส.ห้ามเป็นเจ้าของ หรือถือหุ้นสื่อ
- ข้อบังคับพรรคก้าวไกล ห้ามสมาชิกพรรคเป็นเจ้าของสื่อ และถือหุ้นสื่อ
- นายพิธาถือหุ้นไอทีวีมาตั้งแต่ปี 2549 หลังพ่อเสีย ทำให้หุ้นก้อนนี้ตกทอดมาถึงทายาท
- ปี 2562 นายพิธาลงสมัคร ส.ส.มาแล้วครั้งหนึ่ง และได้เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ การถือหุ้นไอทีวีของนายพิธาจะกระทบถึงการเป็น ส.ส.ปี 2562 หรือไม่?
- นายพิธาไม่มีคุณสมบัติเป็นสมาชิกพรรคก้าวไกล จะเป็นหัวหน้าพรรคได้หรือ?
- นายพิธาเซ็นรับรองผู้สมัคร ส.ส.ทั้งเขตและบัญชีรายชื่อ จะถือเป็นโมฆะหรือไม่?
- ผู้สมัครก้าวไกลที่มีคะแนนนำ จะได้เป็น ส.ส.หรือไม่?
- คะแนนพรรคจะสามารถเอามาคำนวณจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อก้าวไกลได้หรือไม่?

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ล้วนเป็นประเด็นคำถามทั้งสิ้น ยังไม่นับรวมเรื่องรัฐธรรมนูญอีกหลายมาตรา ตัวอย่างเช่น

1.) การเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 88 นั้น ดำเนินการก่อนปิดรับสมัคร ส.ส. ซึ่งนายพิธาถือหุ้นไอทีวีอยู่
2.) มาตรา 89 (2) ผู้ได้รับการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามเป็นรัฐมนตรีตามมาตรา 160
3.) มาตรา 160 (6) ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 98
4.) มาตรา 98 (3) ห้ามผู้สมัคร ส.ส.เป็นเจ้าของ หรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์ หรือสื่อมวลชนใดๆ

ดังนั้น ถ้าตีความตามนี้ก็น่าจะถือว่า นายพิธา ‘ขาดคุณสมบัติ’ ตั้งแต่วันปิดรับสมัครตามมาตรา 88 ในวันที่ 4-7 เมษายน 2566 แล้วครับ (ตามความเห็นของ สว.สมชาย แสวงการ)

แต่หนทางที่ถูกต้องชอบธรรมที่สุด คือ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีหน้าที่สรุปข้อเท็จจริงส่งศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยให้เป็นที่ยุติครับ คำวินิจศาลรัฐธรรมนูญถือเป็นที่สุด คำวิฉัยศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กร

‘Apple Store’ เตรียมเปิดสาขาใหม่ 15 แห่งในเอเชียแปซิฟิก ด้าน ‘เวียดนาม’ หลุดโผ ไม่มีรายชื่ออยู่ในโปรเจกต์ใหญ่ครั้งนี้

‘เวียดนาม’ ไม่ได้อยู่ในแผนของ Apple ในการเปิดตัวร้านค้าใหม่ 15 แห่ง ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกตั้งแต่บัดนี้จนถึงปี 2027

เมื่อไม่นานนี้ สํานักข่าวบลูมเบิร์ก ของสหรัฐฯ รายงานว่า บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ มีแผนที่จะสร้าง ปรับปรุง หรือย้ายที่ตั้งโรงงาน 15 แห่ง ในประเทศจีน, ญี่ปุ่น 5 แห่ง, อินเดีย 3 แห่ง, เกาหลีใต้ 2 แห่ง, มาเลเซีย และออสเตรเลียที่ละ 1 แห่ง

ซึ่งหมายความว่า มาเลเซียจะเป็นประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประเทศต่อไป ที่จะได้รับ Apple Store รองจากสิงคโปร์และไทย

เมื่อเดือนที่แล้ว Apple ได้เปิดตัวร้านค้าออนไลน์สําหรับลูกค้าชาวเวียดนาม และนักวิเคราะห์คาดว่า สิ่งนี้จะนําไปสู่การเปิดร้านค้าอิฐและปูนในประเทศ

Apple ได้แสดงความสนใจเพิ่มขึ้นในตลาดเวียดนามในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เมื่อปีที่แล้วได้แต่งตั้งผู้จัดการประเทศเป็นครั้งแรกและตั้งช่อง YouTube อย่างเป็นทางการ

นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงเวียดนามว่า บรรลุการเติบโตเป็นตัวเลขสองหลักในรายงานทางการเงิน ในช่วงครึ่งหลังของปีที่แล้ว มีร้าน Apple มากกว่า 520 แห่งใน 26 ประเทศ

‘ทางหลวงหมายเลข 12’ ผลงานความสำเร็จจากรัฐบาล ‘บิ๊กตู่’  เชื่อมโยงระเบียง ศก.ตะวันออก-ตะวันตก กระจายความเจริญสู่ภูมิภาค

ผลงานความสำเร็จ!! ยุทธศาสตร์รัฐบาล ‘พล.อ.ประยุทธ์’ ถนนสายเศรษฐกิจเส้นประวัติศาสตร์ ‘ทางหลวงหมายเลข 12’ เชื่อมต่อ 4 ประเทศอาเซียน เชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก กระจายความเจริญสู่ภูมิภาค เพิ่มมูลค่าการค้าตามแนวชายแดน

เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 66 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชื่นชมความสำเร็จจากยุทธศาสตร์สำคัญของรัฐบาล การกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค ยกระดับและพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน คู่ไปกับการพัฒนาตามแนวทางประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ใช้จุดแข็งและความได้เปรียบด้านภูมิศาสตร์ของประเทศเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงทางคมนาคม เพิ่มโอกาส ช่องทางการค้าการลงทุนกับประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งส่งเสริมบทบาทของไทย ทั้งในระดับอนุภูมิภาค ภูมิภาค และทั่วโลกชื่นชมความสำเร็จผลงาน

ถนนสายเศรษฐกิจเส้นประวัติศาสตร์ ทางหลวงหมายเลข 12 สายกาฬสินธุ์-บรรจบทางหลวงหมายเลข 12 (บ้านนาไคร้) - อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการคมนาคมขนส่ง รองรับการเดินทางในพื้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด และมุกดาหาร และส่งเสริมการพัฒนาด้านเศรษฐกิจเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก - ตะวันตก (East - West Corridor)

รัฐบาลได้วางโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมอย่างเชื่อมโยง โดยทางหลวงหมายเลข 12 แนวใหม่นี้ยังเชื่อมต่อ 4 ประเทศอาเซียนเข้าด้วยกัน โดยเริ่มจากอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ผ่านไปยังจังหวัดมุกดาหารเชื่อมต่อกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ไปสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ในขณะที่อีกฝั่งสามารถวิ่งไปยังเมียนมาได้ นอกจากนี้ ยังสามารถเชื่อมทะเลจีนใต้กับมหาสมุทรอินเดียเข้าด้วยกันอีกด้วย ถือเป็นทางเศรษฐกิจใหม่ รวมทั้งยังเป็นทางลัดเชื่อมจังหวัดกาฬสินธุ์-มุกดาหาร ให้ประชาชนในพื้นที่ นักท่องเที่ยวสามารถสัญจรไปมาได้อย่างสะดวก และลดระยะการในการเดินทาง

ทางหลวงหมายเลข 12 ยังเป็นเส้นทางสนับสนุน และรองรับการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์สายเศรษฐกิจแนวตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor–EWEC) ช่วยกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค เพิ่มมูลค่าการค้าตามแนวชายแดน ลดความเหลื่อมล้ำ ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในชุมชนอีกด้วย

จากข้อมูลของกองยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2566 เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษมุกดาหารมีการดำเนินการลงทุนแล้ว 3 โครงการ วงเงิน 392 ล้านบาท จากโครงการที่ขอรับการส่งเสริมฯจาก BOI 5 โครงการ วงเงิน 2,102 ล้านบาท และมีธุรกิจตั้งใหม่ 868 ราย วงเงิน 1,655 ล้านบาท

‘ลาว’ จุดยุทธศาสตร์สำคัญในสงครามเวียดนาม ประเทศที่ถูกทิ้งระเบิดถล่มมากที่สุดในโลกที่ไม่ใครสนใจ

(7 มิ.ย. 66) ในช่วงสงครามเวียดนาม ประเทศลาวเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ถูกสหรัฐฯ ทิ้งระเบิดถล่มอย่างหนัก จนทำให้ประเทศนี้ มีอัตราระเบิดต่อหัวประชากรมากที่สุดในโลก

1.) จนถึงทุกวันนี้ยังมีชาวลาวต้องเสียชีวิตจากระเบิดที่สหรัฐอเมริกาทิ้งเอาไว้ ณ วันที่ 3 ธันวาคม 2564 เจ้าหน้าที่กวาดล้างระเบิด UXO ของลาวเสียต้องสละชีวิตไป 3 คน และบาดเจ็บ 2 คนจากเหตุระเบิดในหมู่บ้านกิโลเมตร 38 เมืองปากช่อง แขวงจำปาสัก จากการรายงานของ Laotian Times สื่อภาษาอังกฤษในลาว

2.) UXO (Unexploded ordnance) หรือระเบิดที่ยังไม่ได้ถูกจุดชนวน ถูกทิ้งไว้โดยสหรัฐอเมริกาในช่วงสงครามอินโดจีนครั้งที่ 2 (หรือสงครามเวียดนาม) ทำให้ ‘ลาวถือเป็นประเทศที่ถูกทิ้งระเบิดอย่างหนักที่สุดในโลกในอัตราต่อหัวประชากร’ จากข้อมูลของเว็บไซต์ Legacies of War องค์กรที่สร้างความตระหนักเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การทิ้งระเบิด ในยุคสงครามเวียดนามในประเทศลาว และสนับสนุนการกวาดล้างระเบิดที่ยังไม่ระเบิด

3.) ย้อนกลับไปในช่วงสงครามเวียดนาม ขณะที่สหรัฐฯ กำลังรบในเวียดนามอยู่นั้น ในลาวก็เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นมาด้วยระหว่างฝ่ายคอมมิวนิสต์หรือ ‘ขบวนการปะเทดลาว’ ที่เอียงไปทางเวียดนามและฝ่ายรัฐบาลราชอาณาจักรลาวที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ทำให้ลาวถูกดึงเข้าสู่ความขัดแย้งครั้งใหญ่ กลายเป็นสงครามที่เรียกว่า ‘สงครามลับ’ ในลาว

4.) จากข้อมูลของ Legacies of War ระบุว่าตั้งแต่ปี พ.ศ. 2507 ถึง พ.ศ. 2516 สหรัฐฯ ทิ้งระเบิดในลาวมากกว่า 2 ล้านตัน ระหว่างภารกิจทิ้งระเบิด 580,000 ครั้ง ซึ่งเท่ากับเครื่องบินบรรทุกระเบิดไปทิ้งทุกๆ 8 นาทีตลอด 24 ชั่วโมงต่อวัน เป็นเวลา 9 ปี การทิ้งระเบิดดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของสงครามลับในลาวเพื่อสนับสนุนรัฐบาลลาว เพื่อต่อต้านขบวนการปะเทดลาวที่ปักหลักตามภูเขา และเพื่อสกัดกั้นฝ่ายเวียดนามเหนือในจากการใช้ ‘เส้นทางโฮจิมินห์’ ซึ่งเป็นทางลัดที่ฝ่ายเวียดนามเหนือตัดเข้ามาในลาวเพื่อเข้าโจมตีเวียดนามใต้

5.) แม้สงครามจะจบลงแล้ว ด้วยการถอนตัวจากสงครามเวียดนาม (หรือพ่ายแพ้) ของสหรัฐฯ และชัยชนะของเวียดนามเหนือและฝ่ายคอมมิวนิสต์ในลาว แต่ระเบิดมากถึงหนึ่งในสามไม่ระเบิด ทำให้แผ่นดินลาว ‘ปนเปื้อน’ ไปด้วย UXO จำนวนมาก ผู้คนกว่า 20,000 คนเสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บจาก UXO ในประเทศลาวนับตั้งแต่การทิ้งระเบิดยุติลง ตามข้อมูลของ Legacies of War

6.) แต่มันไม่ใช่ระเบิดเป็นลูกใหญ่ๆ เท่านนั้น เพราะส่วนใหญ่มัน คือ ‘ระเบิดลูกปราย’ (Cluster munition/cluster bomb ) ที่เป็นระเบิดลูกเล็กๆ ที่อยู่ในระเบิดลูกใหญ่อีกต่อหนึ่ง มันถูกออกแบบมาเพื่อทำลายรันเวย์หรือสายส่งกำลังไฟฟ้า เพื่อกระจายอาวุธเคมีหรือชีวภาพ หรือเพื่อกระจายทุ่นระเบิด แต่ในสงครามลับในลาว มันถูกทิ้งแบบปูพรมเพื่อทำลายขบวนการคอมมิวนิสต์ที่หลบซ่อนตามป่าทึบ

7.) ระเบิดลูกปรายลูกใหญ่แต่ละลูกบรรจุลูกระเบิดเดี่ยว หรือที่เรียกว่า ‘บอมบี’ (bombies) หลายร้อยลูก ซึ่งมีขนาดประมาณลูกเทนนิส ประมาณ 30% ของระเบิดเหล่านี้ยังไม่เกิดการระเบิด มันถูกทิ้งไว้ในแผ่นดินลาวมากมายมหาศาล รอวันที่ผู้คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่จะไปพบ แล้วหยิบมันขึ้นมาหรือโยนเล่นโดยไม่รู้เรื่อง แล้วก็เกิดโศกนาฏกรรมขึ้น ทำให้มากกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนผู้เสียชีวิตที่ได้รับการยืนยันจากระเบิดคลัสเตอร์ในโลกเกิดขึ้นที่ลาว

8.) Legacies of War เปิดเผยว่าลาวถูกทิ้งระเบิดลูกปรายกว่า 270 ล้านลูกในช่วงสงครามเวียดนาม (มากกว่าการทิ้งระเบิดในอิรัก 210 ล้านลูกในปี 2534, 2541 และ 2549 รวมกัน) มากถึง 80 ล้านลูกที่ยังไม่ระเบิด เกือบ 40 ปีผ่านไปหลังสงคราม น้อยกว่า 1% ของระเบิดเหล่านี้ที่ถูกทำลาย และพื้นที่ที่เต็มไปด้วยระเบิดมากที่สุดแห่งหนึ่งของลาวคือแถบแขวงเชียงขวาง และแขวงตอนกลางและตอนใต้ เช่น คำม่วน สะหวันนะเขต, สาละวัน, อัตตะปือ, เซกอง และบางส่วนของจำปาสัก

9.) สถานการณ์ทุกวันนี้เริ่มที่จะดีขึ้นมาบ้าง เพราะในแต่ละปีมีผู้บาดเจ็บล้มตายรายใหม่ในลาวเพียง 50 รายจากระเบิดลูกปราย ลดลงจาก 310 รายในปี 2551 อุบัติเหตุเกือบ 60% ส่งผลให้เสียชีวิต และ 40% ของเหยื่อเป็นเด็ก (เช่นไปพบลูกบอมบีแล้วคิดว่าเป็นของเล่นแล้วนำมาโยนใส่กัน) จากข้อมูลของ Legacies of War

10.) สหรัฐฯ เองก็ไม่ได้ทอดทิ้งลาว หลังจากรื้อฟื้นความสัมพันธ์แล้ว สหรัฐฯ ก็ช่วยเหลือลาวในการกู้ระเบิดอยู่เนืองๆ เพียงแต่มันเป็นเงินที่เทียบไม่ได้กับงบประมาณที่สหรัฐฯ ทุ่มเทไปกับการ ‘ทำลายล้างลาว’ เพราะในช่วงสงคราม สหรัฐฯ ใช้เงิน 13.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อวัน เป็นเวลา 9 ปีในการทิ้งระเบิดลาว Legacies of War ประเมินว่า ในเวลาเพียง 10 วันของการทิ้งระเบิดที่ลาว สหรัฐฯ ใช้เงินไป 130 ล้านดอลลาร์ หรือมากกว่าที่ใช้ในการเคลียร์ระเบิดในลาวตลอดเกือบ 30 ปีที่ผ่านมา

‘หุ้นไอทีวี’ วิบากกรรมของ ‘พิธา’ จากคดีบ่ายหน้าสู่ศาล รธน. เปิดไส้ใน ม.151 พ.ร.ป. เลือกตั้ง…ดับฝันแคนดิเดตนายกฯ?

แล้วในที่สุด นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ผู้กำลังเผชิญหน้ากับปมคุณสมบัติ ‘ถือหุ้นสื่อ’ ซึ่งเป็นปมที่เดิมพันตำแหน่งว่าที่นายกรัฐมนตรีและอนาคตทางการเมือง… ก็เปิดไพ่ เปิดปากออกมาแล้ว ว่าในฐานะผู้จัดการมรดก ได้โอนหุ้นของไอทีวีให้กับทาทายาทเรียบร้อยแล้ว เมื่อปลายเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา… นายพิธาได้ตั้งประเด็นในการชี้แจงผ่านเฟซบุ๊กว่า…

“ผมพร้อมสู้กับความพยายามคืนชีพไอทีวี เพื่อสกัดกั้นพวกเรา”

ซึ่งสรุปความได้ว่า สถานีโทรทัศน์ไอทีวีที่ได้หมดสภาพความเป็นสื่อไปตั้งแต่ปี 2551 แล้วนั้น กำลังถูกปลุกให้คืนชีพเป็นสื่ออีกครั้งด้วยกลเกมบาง…

การตั้งประเด็นดังกล่าว ทำให้เกิดการตั้งคำถาม ตีความกันมันปากของด้อมส้มว่า “ใช่เครือข่ายของเจ้าสัวพลังงานใหญ่ ที่เป็นเจ้าของไอทีวีขณะนี้หรือไม่ที่วางเกม?” ขณะที่อีกฝ่ายก็มองว่า คุณพิธาน่าจะมโนเกินจริง เขาแค่ต่อสู้เพื่อรักษาสิทธิ์ในใบอนุญาตประกอบธุรกิจสื่อแค่นั้นเอง ไม่ว่าจะอย่างไร… พลันที่ข่าวการชี้แจงของคุณพิธากระจายไปทำให้มือกฎหมายหลายคนบอกว่า โอกาสที่คุณพิธารอดมีสูงมาก… นายไพศาล พืชมงคล เจ้าสำนักกฎหมายธรรมนิติ อดีตกุนซือลุงป้อม ถึงขั้นชมเปาะว่ามือกฎหมายของคุณพิธาแน่มาก เพราะการโอนหุ้นสละหุ้นดังกล่าวเท่ากับว่า คุณพิธาไม่เคยถือหุ้นดังกล่าวมาแต่ต้น…

แต่อีกด้านหนึ่ง นักสังเกตการณ์ทางการเมืองหลายคนฟันธงว่า การโอนหุ้นดังกล่าว น่าจะเป็นการร้อนตัวของคุณพิธา และเท่ากับยอมรับว่าถือหุ้นสื่อมาแต่ต้น ความผิดสำเร็จแล้ว… คุณพิธารอดยาก

ความเชื่อของฝ่ายที่ว่า คุณพิธารอดยาก ดูจะมีน้ำหนักมากขึ้น เมื่อในวันเดียวกันมีรายงานข่าวจาก กกต.ระบุว่า คณะทำงานได้ส่งเรื่องการร้องเรียน กรณีคุณพิธามีความผิดตามมาตรา 151 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง พ.ศ.2561 หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า พ.ร.ป.เลือกตั้ง ถึงมือ กกต.ชุดใหญ่แล้ว

มาดู พ.ร.ป.เนื้อหาเลือกตั้ง 2561 กันแบบเต็มๆ…

วรรคแรก บัญญัติว่า “ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่า ตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้าม มิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้สมัครรับเลือกตั้งหรือทําหนังสือยินยอมให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อ เพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้น มีกําหนดยี่สิบปี”

วรรคสอง บัญญัติว่า “ในกรณีที่ผู้กระทําความผิดตามวรรคหนึ่ง เป็นผู้ซึ่งได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ให้ศาลมีคําสั่งให้ผู้นั้นคืนเงินประจําตําแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นที่ได้รับมาเนื่องจากการดํารงตําแหน่ง ดังกล่าวให้แก่สํานักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรด้วย”

ครับ… นั่นคือเนื้อหามาตรา 151 ที่น่าสะพรึงกลัวไม่น้อย ไม่เชื่อก็ลองไปถามอดีต ส.ส.สิระ เจนจาคะ ที่ได้สัมผัสรสชาติมาแล้ว

กรณีของคุณพิธา ตามรายงานข่าวระบุว่า ทาง กกต.ชุดใหญ่ได้ส่งเรื่องกลับให้ทำรายละเอียดเพิ่มเติม เพื่อพิจารณาต่อไปโดยไม่ชักช้า ซึ่งเอาเข้าจริงๆ อาจจะมีความผิดในมาตราอื่นๆ ด้วย

คำถามที่น่าสนใจมีอยู่ว่า เรื่องนี้ผ่านจากมือ กกต.แล้วจะไปสู่ศาลฎีกา หรือศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งแม้แต่ ดร.วิษณุ เครืองาม กูรูกฎหมายก็ไม่ยอมตอบคำถามนักข่าว…

สำหรับ เล็ก เลียบด่วน ตรวจสอบดูแล้วก็ขอฟันธงว่า ท้ายที่สุดเรื่องจะถูกส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพราะเลยช่วงการเลือกตั้งมาแล้ว ประเด็นปัญหาเป็นกรณีคุณสมบัติการเข้าสู่ตำแหน่ง ไม่ใช่การทุจริตเลือกตั้งแบบใบเหลืองหรือใบส้ม… และภายใต้ความละเอียดรอบคอบ (ซะไม่มี) ของ 7 เสือ กกต.คุณพิธาก็น่าจะได้รับรองผลความเป็น ส.ส.ไปก่อน… จากนั้นเมื่อยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ศาลจะรับเรื่องหรือไม่ หรือรับแล้วจะสั่งให้คุณพิธายุติการปฏิบัติหน้าที่ในวันใด ช่วงใด โปรดติดตามกันต่อไป… เอวัง!!

เรื่อง : เล็ก เลียบด่วน

สวนนงนุชพัทยา ช่วยเหลือปรับปรุงอาคารเรียนพร้อมสนับสนุนการศึกษาโรงเรียนบนยอดดอยเชียงใหม่ ในถิ่นทุรกันดาร

วันนี้ 7 มิ.ย.66 นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา ร่วมกับ กรมศุลกากร ทำพิธีมอบอาคารเรียน หลังได้ช่วยเหลือซ่อมแซม ปรับปรุงอาคารเรียน พร้อมปรับปรุงภูมิทัศน์และมอบอุปกรณ์ทางศึกษาแก่เด็กนักเรียน ณ โรงเรียนบ้านปางห้วยตาด อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่  

โดยในวันนี้ได้ทำการส่งมอบอาคารเรียนและบ้านพักครูทั้งหมด หลังจากได้ซ่อมแซมหลังคาอาคารเรียน บ้านพักครู ห้องเรียนชั้นอนุบาล หน้าต่างประตูที่ชำรุด ห้องน้ำครู-นักเรียน อ่างล้างมื้อ ให้พร้อมใช้งาน ร่วมถึงสนามกีฬา รั้วโรงเรียน และยังปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณโรงเรียนโดยรอบ ก่อสร้างพื้นทางเดินระหว่างอาคารเรียน และเวทีการแสดงความสามารถของนักเรียน พร้อมสนับสนุนอุปกรณ์กีฬา โต๊ะ-เก้าอี้ ชั้นวางของ สำหรับครูจำนวน 12 ห้อง  และทางกรมศุลกากร มอบชุดอุปกรณ์เครื่องคอมพิวเตอร์จำนวน 20 ชุด   อุปกรณ์การเรียน เครื่องกีฬา รวมทั้งมอบเงินสนับสนุนงบประมาณเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา รวมมูลค่ากว่า1 ล้านบาท  รวมถึงเพิ่มครูอัตราจ้างอีก 1 ตำแหน่ง 

นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา กล่าวว่า รู้สึกมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มีส่วนร่วมช่วยสนับสนุนในเรื่องของการศึกษาให้กับโรงเรียนบ้านปางห้วยตาด โดยที่ผ่านมามีได้มีการสนับสนุนงบประมาณการศึกษาไปแล้ว โดยการปรับปรุงอาคาร อุปกรณ์การเรียนการสอน ถือว่าเป็นการสนับสนุนขั้นพื้นฐานในเรียนการสอนให้เด็กมีคุณภาพที่ดีขึ้น

น.ส.พัชรียา กาน้อย รักษาการผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านปางห้วยตาด  กล่าวว่า โรงเรียนบ้านปางห้วยตาด เปิดดำเนินการเรียนการสอนมาแล้ว 69 ปี  มีนักเรียนตั้งแต่ระดับอนุบาล จนถึง มัธยมปีที่3 ปัจจุบันมีนักเรียนทั้งสิ้น 149 คน โดยมีครูทั้งสิ้นจำนวน 18 คน

โดยนักเรียนเป็นชนเผ่า ลาหู่ดำหรือ มูเซอ  โดยปัญหาการเรียนการสอนของโรงเรียนจะมีปัญหาในเรื่องเด็กนักเรียนที่เข้าใหม่จะมีปัญหาในเรื่องภาษาที่ใช้คือภาษาท้องถิ่น จึงต้องมีการสนับสนุนครูฝึกสอนในการสื่อภาษา ซึ่งทางโรงเรียนก็ขอขอบคุณ นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา ในการสนับสนุนงบประมาณการศึกษา และ ปรับปรุงอาคารเรียน สื่อการเรียนการสอน แต่ยังไงก็ตามทางโรงเรียนก็ยังต้องการได้รับงบประมาณในการพัฒนาโรงเรียนอย่างต่อเนื่องเพื่อคุณภาพการศึกษาที่มีคุณภาพแก่เด็กๆต่อไป

ชมรมผู้ปกครองสุดทน!! เปิดแถลงโต้ ส.ส.ภูเก็ต พรรคก้าวไกล ปมห้องน้ำโรงเรียนไม่มีชักโครก แจง เป็นการเข้าใจคลาดเคลื่อน

ชมรมผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนในสังกัดเทศบาลนครภูเก็ต สุดทน!! รวมตัวชี้แจงข้อเท็จจริง กรณีว่าที่ ส.ส.ภูเก็ต เขต 1 พรรคก้าวไกล บุกมาตรวจเยี่ยมโรงเรียนพร้อมนำข้อมูลคลาดเคลื่อนไปโพสต์ในเฟซบุ๊ก ทำให้โรงเรียนเสียหาย

เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 66 ชมรมผู้ปกครองนักเรียน และประธานเครือข่ายผู้ปกครองสัมพันธ์นครภูเก็ต ประธานชมรมผู้ปกครองนักเรียนในสังกัดเทศบาลนครภูเก็ต นำโดยนายมานะ ห้าวหาญ ประธานชมรมผู้ปกครองสัมพันธ์นครภูเก็ต และประธานชมรมผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนปลูกปัญญา ในพระอุปถัมภ์ฯ ได้ออกมาแถลงข่าวชี้แจงข้อเท็จจริง กรณีที่ ว่าที่ ร.ต.สมชาติ เตชถาวรเจริญ ว่าที่ ส.ส.ภูเก็ต เขต 1 ได้มาตรวจเยี่ยมโรงเรียนเทศบาลปลูกปัญญา ในพระอุปถัมภ์ฯ โดยมิได้แจ้งล่วงหน้า ในวันที่ 31 พ.ค.2566 พร้อมทั้งได้บันทึกภาพห้องน้ำ และสถานที่โรงเรียน ไปลงในเพจเฟซบุ๊ก ‘สมชาติ เดชถาวรเจริญ-พรรคก้าวไกล’ และมีการแชร์ไปยังเพจอื่นๆ รวมทั้งสัมภาษณ์ผู้บริหารแล้วนำไปเขียนแบบไม่ชัดเจน ซึ่งสร้างความเข้าใจผิดในประเด็นต่างๆ และนำสื่อมวลชนไปเยี่ยมตามจุดต่างๆ ของโรงเรียน

โดยทางชมรมผู้ปกครองได้ชี้แจงข้อเท็จจริงต่างๆ ตามที่นายสมาชาติ ได้โพสต์ในเฟซบุ๊ก เริ่มจากเรื่องห้องน้ำโรงเรียน ที่ว่าโรงเรียนไม่เปลี่ยนห้องน้ำเป็นโถแบบชักโครก เพราะนักเรียนใช้แบบโถชักโครกไม่เป็น ประโยคนี้ถือว่าเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนอย่างมาก เพราะทางโรงเรียนและผู้บริหารพูดเสมอว่า โรงเรียนจะต้องเปลี่ยนส้วมจากโถแบบนั่งยองไปเป็นโถแบบชักโครกให้นักเรียนทุกอาคารเรียน

เพราะปัจจุบัน นักเรียนใช้แบบนั่งยองไม่เป็น เนื่องจากที่บ้านนักเรียนส่วนใหญ่ใช้ส้วมแบบชักโครกกันหมดแล้ว ซึ่งมีผู้ปกครองนักเรียนได้สนับสนุนโถสุขภัณฑ์มาให้โรงเรียน จึงมีการทยอยเปลี่ยนให้อยู่ แต่ทางชมรมผู้ปกครองเสนอไม่ให้โรงเรียนเปลี่ยนเป็นโถชักโครกทั้งหมด ควรมีเหลือโถแบบนั่งยองไว้ด้วย เพราะนักเรียนบางคนก็สะดวกที่จะใช้แบบนั่งยอง เพราะกลัวเรื่องการติดเชื้อได้ง่าย

ทั้งนี้ ในโรงเรียนมีห้องน้ำทั้งหมด 166 ห้อง อาคาร 1 เป็นอาคารใหม่ส้วมใช้ได้ 100% อาคาร 2 อยู่ระหว่างปรับปรุง ปัจจุบันมีนักเรียนทั้งหมดกว่า 3,400 คน สำหรับภาพที่บอกว่าห้องน้ำโรงเรียนไม่สะอาด โรงเรียนจะเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาและดูแลความสะอาดให้เข้มงวดมากขึ้น

ประเด็นที่ 2 เรื่องก๊อกน้ำที่ใช้งานอยู่ โรงเรียนดูแลอยู่ตลอดเวลา อาจมีบ้างที่มีรอยรั่ว เพราะจำนวนเด็กมาก โรงเรียนมีการซ่อมแซมอยู่ตลอดเวลา

ประเด็นที่ 3 เรื่องข้อร้องเรียนเรื่องทรงผมนักเรียน การแต่งกายที่มีหลายแบบ ซึ่งทางโรงเรียนได้มีการแจ้งให้ผู้ปกครองรับทราบตั้งแต่แรกแล้วตามคู่มือ เพราะโรงเรียนเทศบาลปลูกปัญญา เป็นโรงเรียนในพระอุปถัมภ์ฯ การตัดผมต้องเหมาะสมในการใส่ชุดพิธีการด้วย และชมรมผู้ปกครองนักเรียนได้สนับสนุนงบประมาณและอุปกรณ์ให้โรงเรียน เช่น ทำโครงการเสื้อผ้ามือสองส่งต่อเพื่อนพ้องน้องพี่ ช่วยเหลือผู้ปกครองที่ลำบาก มีการแจกจ่ายปีละพันกว่าชุด และมีโครงการตัดผมฟรีอีกด้วย

ประเด็นสุดท้าย การใช้โทรศัพท์มือถือ โรงเรียนให้นักเรียนสามารถนำโทรศัพท์มือถือมาใช้ในโรงเรียน และใช้ในชั่วโมงเรียนในกรณีที่มีการค้นคว้าข้อมูลต่างๆ กรณีเด็กเล็กมีการจัดเก็บโทรศัพท์มือถือไว้ให้และแจกคืนในช่วงเย็นก่อนกลับบ้าน เพราะอาจสูญหายได้

อย่างไรก็ตาม ทางผู้ปกครองมองว่า การเข้ามาตรวจสภาพโดยรวมของโรงเรียนปลูกปัญญาฯ ของว่าที่ ส.ส.ภูเก็ต เขต 1 นั้น เป็นเจตนาที่ดีและจะเกิดประโยชน์โดยตรงกับนักเรียน แต่ควรที่จะบอกกล่าวหรือนัดหมายกันล่วงหน้า ไม่ใช่นึกอยากจะเข้ามาก็เข้ามา โดยไม่แจ้งและไม่ขออนุญาตในการขึ้นไปบนอาคารเรียน ซึ่งทางโรงเรียนมีกฎระเบียบในการขึ้นไปอาคารเรียนเพื่อความปลอดภัยของเด็กนักเรียน และเชื่อว่าหากมีการนัดล่วงหน้า ทางโรงเรียนคงไม่สามารถเปลี่ยนโถส้วมหรือเปลี่ยนอะไรได้ อยากจะให้เข้ามาพูดคุยหารือในการแก้ปัญหาร่วมกันมากกว่าที่บุกเข้ามาแบบนี้

ผู้ปกครองบอกอีกว่า หลังเกิดเหตุการณ์ทางชมรมผู้ปกครองได้มีการประสานไปยังว่าที่ ส.ส.ภูเก็ต เขต 1 เพื่อทำความเข้าใจถึงประเด็นต่างๆ ที่ยังมีความคลาดเคลื่อน แต่ยังไม่สามารถนัดมาพูดคุยหารือในปัญหาต่างๆ ร่วมกันได้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top