Thursday, 15 May 2025
NewsFeed

อีอีซี จับมือไอคอนสยาม สนับสนุนสินค้าพรี่เมี่ยมท้องถิ่นยกระดับสู่ตลาดสากล บอกเล่าเรื่องราวอัตลักษณ์ชุมชน สร้างรายได้ให้คน อีอีซีอย่างยั่งยืน

(8 มิ.ย. 66) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรืออีอีซี ร่วมกับ บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การส่งเสริมและสนับสนุนผลิตภัณฑ์    และการบริการของวิสาหกิจชุมชน และสินค้า ที่เป็นผลผลิตและบริการจากชุมชนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก มาจัดงานแสดงและจำหน่ายผลผลิต ในพื้นที่ของไอคอนสยาม โดยมี นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการ อีอีซี 

นายสุพจน์ ชัยวัฒน์ศิริกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด ร่วมกันลงนาม และมีนางธัญรัตน์ อินทร รองเลขาธิการ อีอีซี นายไพรัช วิเศษศิริลักษณ์ ผู้บริหารสายงานบริการลูกค้า บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด เป็นพยาน พร้อมด้วยพิธีเปิดกิจกรรมแสดง และจำหน่ายผลิตภัณฑ์หรือบริการที่เป็นผลผลิตจากชุมชน ในพื้นที่อีอีซี “Road to EEC Select ผลิตภัณฑ์ชุมชนสู่สากล” ณ เจริญนครฮอลล์ ชั้น M ไอคอนสยาม
 
​นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการ อีอีซี กล่าวว่า การลงนาม MOU ครั้งนี้ ทั้งอีอีซี และไอคอนสยาม ได้ร่วมมือกันสนับสนุนผลิตภัณฑ์และบริการจากชุมชนในเขตพื้นที่ อีอีซี เป็นที่รู้จักและยอมรับจากกลุ่มผู้บริโภคที่เป็นนักท่องเที่ยว และคนรุ่นใหม่ ผ่านภาพลักษณ์ของไอคอนสยามที่เป็นเสมือน Landmark สำคัญในการบอกเล่าวิถีชีวิต และความเป็นไทยสู่สายตานักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติในหลากหลายมิติ วันนี้นับเป็นก้าวแรกของความร่วมมือในการผลักดันผลิตภัณฑ์และบริการที่จะเข้าสู่การคัดเลือกและรับรอง EEC Select  ซึ่งนอกจากจะมีแหล่งกำเนิดในเขตพื้นที่ อีอีซี มีการพัฒนาต่อยอดด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยี และองค์ความรู้ต่างๆ แล้ว ยังให้ความสำคัญกับกระบวนการผลิตที่มีมาตรฐาน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และชุมชน ให้มีช่องทางในการจำหน่ายที่ตอบสนองต่อวิถีชีวิตและไลฟ์สไตล์ของผู้คนในปัจจุบัน

​ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ สินค้าและบริการเด่นๆ จากชุมชน ที่ได้รับการคัดเลือกเพื่อสร้างช่องทางจำหน่าย        ผ่านความร่วมมือจากศูนย์การค้าไอคอนสยาม ครั้งนี้ อีอีซี จะดำเนินการต่อยอดเข้าสู่โครงการคัดเลือกผลิตภัณฑ์ต้นแบบ (EEC SELECT) และพัฒนามาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน ซึ่งเบื้องต้นจะทำการคัดเลือกผลิตภัณฑ์หรือบริการที่เป็นผลผลิตจากชุมชนที่อยู่ในพื้นที่อีอีซี ที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานตรงกับความต้องการของผู้บริโภค หรือได้ใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีที่น่าสนใจ ครอบคลุมหลายกลุ่มธุรกิจ อาทิ อาหาร-เครื่องดื่ม สิ่งทอแฟชั่น เฟอร์นิเจอร์และผลิตภัณฑ์จากไม้ อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องจักรและอุปกรณ์ เครื่องสำอาง ยาสมุนไพร เซรามิก เกษตรแปรรูป Smart Farming และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ BCG เป็นต้น

สำหรับการจัดจำหน่าย ผลิตภัณฑ์หรือบริการของวิสาหกิจชุมชน และสินค้าจากชุมชนในพื้นที่อีอีซี ดังกล่าว จะเริ่มจัดกิจกรรมร่วมกับ ไอคอนสยาม ภายในงาน “Road to EEC Select ผลิตภัณฑ์ชุมชนสู่สากล” ณ เจริญนคร ฮอลล์ ชั้น M ไอคอนสยาม ระหว่างวันที่ 8 - 11 มิถุนายน 2566 ซึ่งอีอีซี จะขอเชิญชวน ให้นักช๊อปปิ้ง นักท่องเที่ยวทุกท่าน ร่วมหาซื้อผลิตภัณฑ์จากชุมชนในพื้นที่อีอีซี ซึ่งนอกจากจะได้ผลิตภัณฑ์หรือบริการ ในท้องถิ่นที่ได้มาตรฐานสูงระดับสากลแล้ว ยังเป็นการกระจายรายได้ให้แก่ชุมชนในพื้นที่อีอีซีอีกด้วย
 
ด้านนายสุพจน์ ชัยวัฒน์ศิริกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด กล่าวว่า ไอคอนสยาม มีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะรวบรวมทุกสิ่งดีจากทั่วประเทศไทยนำเสนอสู่สายตาชาวโลก ในคอนเซ็ปต์ Co-Creation ซึ่งมีการผนึกกำลังสร้างสรรค์จากชุมชนท้องถิ่น 77 จังหวัดทั่วประเทศ ร่วมสร้าง Platform ธุรกิจ และพื้นที่เชิงวัฒนธรรม

โดยสร้างเครือข่ายที่แข็งแกร่งของผู้ประกอบการรายย่อยจากชุมชนระดับท้องถิ่น วิสาหกิจท้องถิ่น ศิลปินตัวจริง จากทุกภาคและองค์กรภาครัฐ เพื่อช่วยกันสร้างเมืองที่นำเสนอสินค้ายอดนิยมและวัฒนธรรมที่เป็นความภาคภูมิใจ -ของทุกจังหวัด ไอคอนสยามเป็น Platform ต่อยอดการพัฒนาสินค้า เรียนรู้กลไกการค้าปลีกและค้าส่ง สู่ต่างประเทศ การตลาดรูปแบบใหม่อย่างครบวงจร ถือเป็น Commercial Ecosystem ที่มีการบริหารจัดการสินค้าโดยมีผู้เกี่ยวข้องทั่วประเทศและผู้ได้รับประโยชน์ในวงกว้าง สร้างงานสร้างรายได้และนำเสนอคุณค่าของสิ่งขึ้นชื่อของประเทศไทย  
“สำหรับความร่วมมือ (MOU) การส่งเสริมและสนับสนุนผลิตภัณฑ์และการบริการของวิสาหกิจชุมชนและสินค้า OTOP ที่เป็นผลผลิตและบริการจากชุมชนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ในครั้งนี้ ไอคอนสยามพร้อมจะสนับสนุนเป็นช่องทางการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์หรือบริการในท้องถิ่นที่เป็นผลผลิตจากชุมชนในพื้นที่อีอีซีดังกล่าว เพื่อสร้างโอกาสให้ผลิตภัณฑ์จากชุมชนสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติ นอกจากนี้ ยังช่วยสนับสนุนต่อยอดความร่วมมือและสร้างตลาดการจัดจำหน่ายไปยังนักลงทุนที่สนใจทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์หรือภาคบริการในพื้นที่อีอีซี เพื่อสร้างรายได้ให้แก่ชุมชน และประเทศต่อไปอีกด้วย” คุณสุพจน์ กล่าวเพิ่มเติม
มาร่วมอุดหนุนผลิตภัณฑ์และการบริการของวิสาหกิจชุมชน และสินค้า OTOP ที่เป็นผลผลิตและบริการ จากชุมชนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ภายในงาน“Road to EEC Select ผลิตภัณฑ์ชุมชนสู่สากล” ระหว่างวันที่ 8 - 11 มิถุนายน 2566 ณ เจริญนคร ฮอลล์ ชั้น M ไอคอนสยาม สอบถามข้อมูลโทร. 1338

บีโอไอ’ เผย อย่าเพิ่งเชื่อข่าวลือ ปม ‘อีซูซุ’ ย้ายฐานผลิตไปอินโดฯ ยัน!! ยังไม่ชัดเจน ต้องรอตรวจสอบข้อเท็จจริงจากบริษัทแม่ก่อน

วันที่ (8 มิ.ย. 66) กรณีค่ายรถยนต์รายใหญ่ของญี่ปุ่น ‘อีซูซุมอเตอร์’ มีแผนจะย้ายการผลิตรถยนต์ จากโรงงานแห่งหนึ่งในประเทศไทย ไปยังประเทศอินโดนีเซีย โดยจะเริ่มการผลิตอย่างเร็วที่สุดในปี 2567 นั้น ล่าสุดได้มีการสอบถามข้อเท็จจริงเรื่องนี้ไปยัง นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ระบุว่า 

จากกรณีข่าวการย้ายฐานการผลิตของ บริษัท อีซูซุมอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด บีโอไอกำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลที่ชัดเจนไปยังบริษัทแม่ของอีซูซุมอเตอร์ว่า กรณีนี้เป็นจริงหรือไม่อย่างไร แต่ ณ ปัจจุบันบริษัทในไทยยังไม่ทราบเรื่องดังกล่าว 

“ตอนนี้ต้องรอเช็กข้อมูลให้แน่ใจก่อนว่าเป็นอย่างไร เพราะทางอีซูซุในไทยก็ยังไม่ทราบเรื่อง และคงต้องสอบถามไปยังบริษัทแม่ว่าเกิดอะไรขึ้น และหากมีความคืบหน้าจะแจ้งข้อมูลมาอีกครั้ง” นายนฤตม์ ระบุ

เลขาธิการ บีโอไอ ยอมรับว่า ปัจจุบันบริษัท อีซูซุมอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ยังลงทุนผลิตรถยนต์ในประเทศไทย และที่ผ่านมาก็ได้รับสิทธิประโยชน์ในด้านการส่งเสริมการลงทุนจากรัฐบาลได้ไปแล้ว โดยเฉพาะสิทธิประโยชน์การลงทุนเกี่ยวกับการผลิตรถยนต์บรรทุกและรถยนต์กระบะในประเทศไทย

สำหรับกรณีกระแสข่าวการย้ายการลงทุนของ ‘อีซูซุมอเตอร์’ ที่ผ่านมา เนื่องจากนายอากัส กูมิวัง คาร์ตาซัสมิตา รัฐมนตรีอุตสาหกรรมอินโดนีเซีย ได้แถลงข่าวภายหลังพบหารือกับคณะผู้บริหารของบริษัทอีซูซุที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อ 6 มิถุนายน 2566 ที่ผ่านมา 

ทั้งนี้ รัฐมนตรีอุตสาหกรรมอินโดนีเซีย ระบุว่า บริษัท อีซูซุ มอเตอร์ ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของญี่ปุ่น มีแผนจะโยกย้ายการผลิตรถยนต์บางส่วนจากโรงงานแห่งหนึ่งในประเทศไทย ไปยังอินโดนีเซีย โดยจะเริ่มการผลิตอย่างเร็วที่สุดในปีหน้า ซึ่งอินโดนีเซียยินดีกับการตัดสินใจดังกล่าว และจะมอบสิทธิประโยชน์พร้อมให้การสนับสนุนการย้ายฐานการผลิต

ปัจจุบัน บริษัท อีซูซุมอเตอร์ มีโรงงานผลิตรถยนต์ 2 แห่งในประเทศไทย ที่จังหวัดสมุทรปราการและฉะเชิงเทรา โดยมีกำลังการผลิตรถยนต์รวมกัน 385,000 คันต่อปี และมีการจ้างงานพนักงานประมาณ 6,000 คน ส่วนในอินโดนีเซีย อีซูซุมีโรงงานผลิตรถยนต์ 1 แห่งที่เมืองคาราวัง

รายงานข่าวระบุด้วยว่า ปัจจุบันอินโดนีเซียเป็นฐานการผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นหลายค่าย อาทิ ฮอนด้า มิตซูบิชิ ซูซูกิ และอินโดนีเซียกำลังผลักดันตนเองให้ก้าวสู่การเป็นฐานการผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า เนื่องจากมีวัตถุดิบในด้านดังกล่าวจำนวนมาก

'DRT’ หวั่น นโยบายขึ้นค่าแรง กระทบต้นทุนอุตฯ วัสดุก่อสร้าง เร่งเตรียมแผนรับมือความเสี่ยง เชื่อ!! ครึ่งปีแรกเติบโตตามเป้า

‘บมจ.ผลิตภัณฑ์ตราเพชร หรือ DRT’ ประเมินนโยบายขึ้นค่าแรง กระทบอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างที่ใช้แรงงานเป็นจำนวนมาก เพิ่มแรงกดดันปัจจัยความเสี่ยงด้านต้นทุนให้แก่ผู้ประกอบการมากขึ้น พร้อมกางแผนบริหารจัดการ เพื่อรักษาอัตราการทำกำไรขั้นต้นและผลักดันการเติบโตให้ได้ตามเป้าหมาย

(8 มิ.ย.66) นายสาธิต สุดบรรทัด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT ผู้ผลิตและจำหน่ายระบบหลังคา ไม้สังเคราะห์และบอร์ดไฟเบอร์ซีเมนต์ บอร์ดตกแต่งผนัง อิฐมวลเบา ไม้บันได SPC-FC ร้านกาแฟสำเร็จรูป (DIAMOND Cafe) และบริการติดตั้งโครงหลังคาและกระเบื้องหลังคา ภายใต้เครื่องหมายการค้า ‘ตราเพชร’ เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์มีความกังวลต่อนโยบายปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันละ 450 บาท เนื่องจากเป็นภาคอุตสาหกรรมที่พึ่งพิงการใช้แรงงานจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานการณ์ปัจจุบัน ที่ผู้ประกอบการในทุกอุตสาหกรรมกำลังเผชิญความเสี่ยงด้านต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นการปรับขึ้นค่าแรงดังกล่าวจะเพิ่มแรงกดดันต่อต้นทุนให้สูงยิ่งขึ้น 

อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทฯ ก็ได้เตรียมความพร้อมบริหารความเสี่ยงด้านต้นทุนให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งรักษาอัตราการเดินเครื่องจักรเฉลี่ยสูงกว่า 80-90% เพื่อให้ต้นทุนต่อหน่วยต่ำ (Economy of Scale) การลดการสูญเสียในกระบวนการผลิต เป็นต้น

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมุ่งบริหาร Product Mix รักษาอัตราการทำกำไรขั้นต้นให้ได้รับผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงน้อยที่สุดและสามารถสนับสนุนกับความต้องการสินค้าวัสดุก่อสร้างที่ยังมีแนวโน้มการขยายตัวที่ดีต่อเนื่อง จากปัจจัยเชิงบวกของเศรษฐกิจภายในประเทศที่ฟื้นตัวดีขึ้นตามลำดับ โดยช่องทางห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้างสมัยใหม่ยังมีอัตราการขยายตัวที่ดีตามการเปิดสาขาใหม่ของคู่ค้า จึงมั่นใจว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกของปีนี้จะยังรักษาอัตราการเติบโตได้ตามแผน จากข้อได้เปรียบเชิงการแข่งขันในด้านความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และแบรนด์ ‘ตราเพชร’ ที่ได้รับการยอมรับจากลูกค้าและช่องทางการจำหน่ายที่ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย หลังจากผลงานในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้มียอดขายเติบโต 12.32% สูงกว่าเป้าหมาย
 

‘สหรัฐอเมริกา’ ประเทศมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก  เผชิญสงครามความยากจน หลังคนไร้บ้านพุ่งสูงเข้าขั้นวิกฤต



ภาพอันน่าตกใจที่แสดงให้เห็นแถวรถยนต์ชนิดต่างๆ ที่จอดเรียงรายต่อกันยาวกว่าสองไมล์ (ราวสามกิโลเมตร) ซึ่งประกอบด้วยผู้คนที่อาศัยอยู่ในรถบ้าน (รถ RV) รถบรรทุก และรถพ่วง บนถนนทางหลวงหมายเลข 101 ในเขตเทศมณฑลมาริน (Marin) ทางตอนเหนือของนครซานฟรานซิสโก มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ขณะที่ผู้มีรายได้น้อยถูกขับไล่ออกจากตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เคยเป็นของพวกเขา ด้วยรายได้เฉลี่ยของครัวเรือนในเขตเทศมณฑลมาริน อยู่ที่ปีละ 131,000 ดอลลาร์ โดย 78% ของคนไร้บ้านเคยมีบ้านพักอาศัยอยู่ในพื้นที่นี้ ก่อนที่จะถูกบังคับให้ย้ายออกจากถิ่นที่อยู่ อันเนื่องมาจากถูกยึดทรัพย์จนต้องไปตั้งแคมป์ ดังที่เห็นตามภาพ


ภาพเหล่านี้ ถ่ายโดย DailyMail.com แสดงให้เห็นครอบครัวหลายครอบครัวที่อาศัยอยู่ในเต็นท์ และนำแผงพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้เป็นกระแสไฟฟ้า ขณะที่ข้าวของของพวกเขาล้นทะลักออกมาจากยานพาหนะ ในขณะเดียวกัน มลรัฐแคลิฟอร์เนียต้องใช้เงินมากกว่า 3 ล้านดอลลาร์ เพื่อพยายามช่วยผู้ที่อาศัยอยู่ในยานพาหนะ และเพื่อใช้ในการหาบ้านพักอาศัย ชาวบ้านหลายร้อยคนในเทศมณฑลที่มั่งคั่งที่สุดแห่งหนึ่งของนครซานฟรานซิสโก ถูกบีบให้ต้องใช้ชีวิตของพวกเขาในรถบ้าน และรถพ่วงบ้าน หลังจากถูกขับออกจากบ้านพักที่ตนอาศัยอยู่


ภาพถ่ายที่น่าตกใจแสดงให้เห็นแถวของรถบ้าน รถพ่วงบ้าน รถบรรทุก และยานพาหนะอื่นๆ ที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ตามทางหลวงหมายเลข 101 ซึ่งตอนนี้ทอดยาวไปกว่าสองไมล์แล้ว จนกลายเป็นค่ายพักผู้ไร้บ้านใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา เมืองต่างๆ ในเทศมณฑลมาริน ซึ่งบ้านโดยเฉลี่ยราคา 1.4 ล้านดอลลาร์ กำลังผลักดันให้เส้นทางเลียบทางหลวงยุติลง หลังจากจำนวนผู้อาศัยในรถยนต์เพิ่มขึ้นในช่วงที่มีการระบาดใหญ่


บางครอบครัวก็ใช้ธงเพื่อทำเครื่องหมายพื้นที่ถนนที่พวกเขาใช้เป็นบ้าน โดยมีหลายคนดึงผ้าใบมาคลุมรถเพื่อปกป้องทรัพย์สินของพวกเขา เจ้าหน้าที่กล่าวว่า มียานพาหนะอย่างน้อย 135 คัน บนถนนบินฟอร์ด (Binford) ชานเมืองโนวาโต เนื่องจากจำนวนยานพาหนะชนิดต่างๆ ที่ถูกใช้เป็นบ้านได้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ


รายได้เฉลี่ยของครัวเรือนในเทศมณฑลมาริน อยู่ที่ 131,000 ดอลลาร์ ซึ่งทำให้ครอบครัวที่มีรายได้ต่ำกว่า ไม่สามารถหันไปทางไหนได้ จนผู้อยู่อาศัยในบริเวณโดยรอบต้องรวมตัวกันเพื่อพยายามช่วยให้ยุติการตั้งชุมชนผู้ไร้บ้านด้วยการยื่นมือเข้าไปช่วยผู้คนในการค้นหาบริการต่าง ๆ ที่พวกเขาต้องการ ทุกเดือนพวกเขาจะได้รับของอุปโภคบริโภคฟรี ความช่วยเหลือในการจัดการกรณีที่อยู่อาศัย ความช่วยเหลือทางสังคม การแพทย์ และอื่นๆ โดยชุมชนคนไร้บ้านยังต้องดิ้นรนกับปัญหาสุขภาพ อาทิ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน และสุขภาพจิต และซึ่งจะมีการผลักดันให้มีการขยายบริการหลังจากที่รัฐมอบเงินทุนให้แก่ เทศมณฑลโนวาโต (Novato), ซอซาลิโต (Sausalito) และ ซาน ราฟาเอล (San Rafael) และให้แก่ เทศมณฑลมาริน สำหรับพื้นที่ที่คนไร้บ้านอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก อาทิ ถนนบินฟอร์ด


แต่ละเมืองและเทศมณฑลได้รับเงิน 500,000 ดอลลาร์ เพื่อแก้ไขปัญหาคนไร้บ้าน โดยมลรัฐจะมอบทรัพยากรมูลค่า 1 ล้านดอลลาร์เพื่อช่วยเหลือแต่ละพื้นที่ ผู้อยู่อาศัยที่มีรายได้น้อยในเขตเทศมณฑลมาริน บอกว่า “พวกเขาไม่มีที่ไป” เนื่องจากวิกฤตค่าครองชีพที่เกาะกุมพื้นที่นี้มาเป็นเวลานานแล้ว ‘Gary Naja-Riese’ ผู้อำนวยการสำนักงานดูแลคนไร้บ้านของเทศมณฑลมาริน กล่าวว่า “สิ่งสำคัญอันดับแรกและเร่งด่วนของพวกเขาคือ การจัดการกับผู้คนที่อาศัยอยู่บนถนนบินฟอร์ด”


จำนวนยานพาหนะยาวเกินสองไมล์และเกิดปัญหาสุขอนามัย และการแพร่ระบาดของโรค และชุมชนคนไร้บ้านดังกล่าวยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง หลายคนติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ไว้บนรถเพื่อให้สามารถจ่ายไฟฟ้าและปรุงอาหารในรถ RV ได้ เจ้าหน้าที่บางคนได้ผลักดันให้มีการห้ามจอดรถข้ามคืน ซึ่งไม่ได้ถูกนำมาใช้ เทศมณฑลมาริน กำลังวางแผนที่จะจ้างนักสังคมสงเคราะห์เต็มเวลาเพื่อดูแลคนไร้บ้านที่อยู่อาศัยในชุมชนดังกล่าว เพื่อแก้ปัญหาของพวกเขาโดยตรง เทศมณฑลมาริน ประเมินว่า มีผู้อยู่อาศัยประมาณ 80 ครอบครัวอาศัยอยู่บนถนนบินฟอร์ดอย่างถาวร แต่ก็มีบางส่วนที่ทิ้งรถไว้ริมถนน และบางคนก็มีสุขภาพที่ดีพอที่จะทำงานเต็มเวลาได้ แม้ว่าจะไม่มีใครสามารถซื้อที่อยู่อาศัยในเทศมณฑลมาริน ด้วยค่าใช้จ่ายที่พุ่งสูงขึ้น


เมืองอื่นๆ ในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ได้ออกกฎหมายบังคับใช้ห้ามรถบ้าน (รถ RV) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2016 แล้ว เนื่องจากมีผู้คนมากมายที่ได้รับผลกระทบเมื่อผู้อยู่อาศัยในรถบ้าน (รถ RV) ปฏิเสธที่จะย้าย เจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า เนื่องจากชุมชนคนไร้บ้านที่ถนนบินฟอร์ดได้รับความช่วยเหลือหลายทาง จึงมีชื่อเสียงในฐานะหนึ่งในพื้นที่สุดท้ายที่เหลือของคนไร้บ้านที่อาศัยอยู่ในรถบ้าน ซึ่งจะไม่ถูกรบกวนจากหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายเช่นพื้นที่อื่น ๆ ‘Zoe Neil’ ผู้อำนวยการสำนักงานถนนในเขตเมืองของเทศมณฑล Marin กล่าวว่า “ในอดีตการนอนหลับอย่างปลอดภัยในยานพาหนะหรือจุดตั้งแคมป์นอกบ้านของเทศมณฑลมารินเป็นเรื่องยาก บินฟอร์ดเป็นหนึ่งในสถานที่เดียวที่คนไร้บ้านสามารถนำรถไปจอดอยู่ได้ แม้ว่า ถนนสายดังกล่าวจะไม่ใช่ที่หลบภัยก็ตาม”


เทศมณฑลมาริน กำลังหาเงินทุนเพิ่มเติมอีก 1.5 ล้านดอลลาร์ จากรัฐบาลมลรัฐ ซึ่งจะช่วยให้สามารถจ้างเจ้าหน้าที่ที่ลงพื้นที่เพิ่มได้อีก 2 คนที่จะทำงานเต็มเวลาแก้ปัญหาชุมชนคนไร้บ้านที่ถนนบินฟอร์ด โดยเฉลี่ยแล้วเทศมณฑลมาริน จะหาบ้านพักให้คนไร้บ้านซึ่งมีอยู่ทั่วเทศมณฑลมาริน ได้เฉลี่ยเดือนละสิบครอบครัว โดยส่วนใหญ่ผ่านโครงการหุ้นส่วนเจ้าของบ้านของสำนักงานการเคหะของเทศมณฑลมาริน โดยประมาณ 78% ของคนไร้บ้านในพื้นที่เคยมีที่พักอาศัยในเทศมณฑลมาริน ก่อนที่จะถูกไล่ออกจากที่อยู่อาศัยเดิม


สหรัฐอเมริกาเริ่มทำสงครามต่อสู้กับความยากจน (War against poverty) ในปี ค.ศ. 1964 และต้องยอมรับต่อความพ่ายแพ้ในการทำสงครามดังกล่าว เมื่อปี ค.ศ. 2014 หรือ 50 ปีต่อมา แม้ว่ารัฐบาลกลางจะมีเงินงบประมาณเพื่อแก้ไขได้ แต่กลับไม่ทำ และเอาเงินงบประมาณไปทุ่มกับงบกลาโหม และงานต่างประเทศจนหมด หากสหรัฐอเมริกาเลิกทำตัวเป็นตำรวจโลก ลดงบประมาณด้านการทหาร ย่อส่วนโครงการอวกาศลง สหรัฐฯ จะสามารถผันเอาเงินงบประมาณจำนวนมาก มาแก้ปัญหาความยากจนในประเทศ (Domestic poverty) ได้อย่างสบายๆ

เน็กซ์ พอยท์’ ทุ่ม 1 พันล้าน!! ตั้งโรงงานมอเตอร์ไฟฟ้าแห่งแรกในไทย เร่งตอกเสาเข็มภายในปี 66 หวังลดนำเข้าชิ้นส่วนรถอีวีจากต่างประเทศ

‘เน็กซ์ พอยท์’ ทุ่มงบ 1 พันล้านบาท สร้างโรงงานผลิตมอเตอร์ไฟฟ้ารถ EV แห่งแรกในไทย หวังลดการนำเข้าชิ้นส่วนจากต่างประเทศ เร่งตอกเสาเข็มภายในปี 66 เตรียมมาตรการอุ้มลูกค้านำรถเก่าแลกรถใหม่ การันตีราคาสูงแตะ 20%

เมื่อไม่นานนี้ นายคณิสสร์ ศรีวชิระประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NEX เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีแผนที่จะลงทุนร่วมกับ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ในการก่อตั้งโรงงานผลิตมอเตอร์ยานยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) แห่งแรกในประเทศไทย ในพื้นที่ใกล้เคียงกับ บริษัท อมิตา เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นโรงงานแบตเตอรี่ ในเขตพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) คาดว่าน่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 1,000 ล้านบาท และหากได้ข้อสรุปที่ชัดเจนไม่มีปัญหาก็น่าจะเริ่มก่อสร้างได้ภายในสิ้นปี 66

สำหรับการก่อตั้งโรงงานผลิตมอเตอร์รถ EV ขึ้นในประเทศไทยนั้น บริษัทฯ มีเป้าหมายที่จะพยายามใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศให้มากที่สุด ในการผลิตและประกอบยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งแม้ว่าปัจจุบันบริษัทฯ จะมีสัดส่วนในการใช้ชิ้นส่วนในประเทศอยู่แล้วประมาณ 50% ก็ตาม แต่หากมีโรงงานมอเตอร์ในประเทศไทย ก็จะสามารถลดการนำเข้าชิ้นส่วนจากต่างประเทศลงได้อีก และช่วยให้ต้นทุนการผลิตรถ EV ต่อคันลดลง ซึ่งจะส่งผลให้ราคารถ EV ลดลงตามไปด้วย เชื่อว่าน่าจะเป็นแรงกระตุ้นให้หน่วยงาน ผู้ประกอบการและประชาชนทั่วไป หันมาเปลี่ยนรถจากรถน้ำมันมาเป็นรถ EV มากขึ้น

นายคณิสสร์ กล่าวต่อว่า เบื้องต้นในระยะแรกมอเตอร์ไฟฟ้าที่ผลิตจากโรงงานมอเตอร์รถ EV ดังกล่าว จะนำมาใช้เป็นชิ้นส่วนในการผลิตและประกอบยานยนต์ไฟฟ้าในไทยก่อน และในระยะถัดไปหากมีกำลังการผลิตเพียงพอต่อความต้องการใช้ภายในประเทศแล้วก็วางแผนที่จะส่งออกมอเตอร์รถ EV ไปจำหน่ายยังประเทศในกลุ่มอาเซียน และส่งออกไปขายทั่วโลกตามลำดับ เพื่อทำให้ประเทศไทยกลายเป็นฐานการผลิตมอเตอร์รถ EV ของโลกให้ได้

“เวลานี้ถือว่าเป็นโอกาสดีเพียงครั้งเดียว ที่เราจำเป็นต้องเร่งมือสร้างโรงงานมอเตอร์รถ EV เพราะหากเราไม่ทำแล้วมีประเทศเพื่อนบ้านชิงทำก่อนก็อาจจะเสียโอกาส และทำให้ประเทศอื่นในแถบภูมภาคนี้แซงเราจนเป็นผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้าไปก่อนได้”

นอกจากนี้ บริษัทฯยังอยู่ระหว่างการพิจารณากำหนดมาตรการสนับสนุนการใช้รถ EV อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการโลจิสติกส์ หรือหน่วยงานที่มีความจำเป็นต้องมีรถอยู่ในฟีดจำนวนมาก เมื่อใช้งานไปครบอายุการใช้งานตามมาตรฐานสากลประมาณ 7-8 ปี ก็อาจต้องเปลี่ยนรถเพื่อประสิทธิภาพการใช้งานที่สมบูรณ์อย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นจึงวางแผนไว้เบื้องต้นว่า หากใช้งานรถของเน็กซ์ผ่านไป 7 -8 ปีแล้วต้องการนำรถเก่ามาเปลี่ยนฝูงรถใหม่ก็สามารถนำมาตีเทิร์นได้ ซึ่งบริษัทฯจะการันตีให้สูงถึง 15-20 % ทั้งนี้เพื่อเป็นการช่วยเหลือลูกค้าให้เกิดความมั่นใจในการใช้รถ EV อย่างต่อเนื่องต่อไป

CEO เครดิตบูโร’ เตือน!! หนี้เสียรถยนต์พุ่งสูงต่อเนื่อง หลัง ‘คนเจน​ Y’ ผ่อนไม่ไหว หวั่นทำเศรษฐกิจไทยพัง

เมื่อไม่นานนี้ นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ชื่อ ‘Surapol Opasatien’ กรณีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ปัญหาหนี้เสียกลุ่มประเภทรถยนต์ ที่มีความน่าเป็นห่วงมากขึ้น และอาจจะส่งผลกระทบระดับพังเศรษฐกิจไทยได้ โดยระบุว่า…

ข้อมูล​สถิติที่ทำขึ้นมาเพื่อเป็นสัญญานเตือนภัยในหลายปีมานี้​ เริ่มมีผู้คนให้ความสนใจมากขึ้น​
เรื่องหนี้ชาวบ้าน​ มีผู้ใหญ่กล่าวว่า​ มันไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจ​พังแต่มันทำให้เศรษฐกิจ​หงอย​ ซึม​ แต่ถ้ามันไปทำให้ระบบสถาบันการเงินเสียหาย​ อันนั้นแหละ​ จะเป็นเรื่องความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจ​จะพัง

กลับมาดูตัวเลขกันครับ​ หนี้รถยนต์​ในระบบเครดิต​บูโร​ยอดรวม 2.6 ล้านล้านบาท ในไตรมาสที่​ 1 มีสัญญาใหม่ที่ได้รับอนุมัติประมาณ​ 3.5 แสนบัญชี​ 53% เป็นคนเจน​ Y​ ขนาดของวงเงินที่ได้รับอนุมัติช่วง​ 5 แสนถึงสองล้าน คิดเป็น​ 67%

มาดูเส้นกราฟในภาพตรงกลางครับ​ สีแดงคือ หนี้เสียค้างเกิน​ 90 วัน ตอนนี้มาอยู่แถว 7% ของยอดหนี้​ 2.6 ล้านล้านบาทแระ​ เส้นสีเหลืองที่พุ่งขึ้นอย่างชัดเจนตั้งแต่ไตรมาสที่​ 4 ปี​ 2564​ มาจนถึงปัจจุบันไตรมาสที่​ 1 ปี​ 2566​ คือหนี้ที่ค้าง​ 1, 2, หรือ​ 3 งวด แต่ยังไม่เป็นหนี้เสีย​ ไปๆ มาๆ​ เรียกกันตามภาษาสินเชื่อคือ ‘เลี้ยงงวด’ กันอยู่​ ตรงนี้แหละ ที่มีความเป็นห่วงกันว่า​ 1.9 แสนล้านที่กลับไม่ได้ไปไม่ถึงจะไหลไปเป็นหนี้เสียเท่าใด​ ค่างวดที่ต้องส่งต่อเดือนเทียบกับรายได้แต่ละเดือนยังไหวมั้ย​

ภาพด้านล่างคือการเอาข้อมูล​จำนวนบัญชีและจำนวนเงินที่เป็นหนี้มีปัญหามาแยกดูในแต่ละช่วงเวลาและยังแยกตามอาการว่า​ คนเจนไหนเป็นเจ้าของบัญชีที่เริ่มตั้งแต่ค้าง​ 1, 2, 3 และเกิน​ 3 งวดตามสีนะครับ​ เหลือง​ ส้ม​ แดง​ เราจะพบว่าแท่งกราฟมันยกตัวขึ้นเพราะกลุ่มสีเหลืองมันยกตัวขึ้น​ สีเหลือง คือค้างชำระ​ 31-60 วันครับ​ และมันยกตรงกลุ่มเจน​ Y​ ค่อนข้างชัด

มันจึงไม่แปลกที่จะมีข่าวออกมาว่า​ สินเชื่อรถยนต์​ปล่อยกู้ยาก​ คนได้รับสินเชื่อยาก​ ปฎิเส​ธสินเชื่อเยอะ​ จนกระทบกับคนที่ขายรถยนต์​ เพราะบ้านเรามันกู้เงินมาซื้อกันมากกว่าซื้อสด​

ในอนาคตเราคงจะได้เห็น​ หนี้เสียจากรถยนต์​ที่รักโลก​ รักสิ่งแวดล้อมมากขึ้นแน่ๆ​ จองๆ กันเยอะ​ ยังไงก็ช่วยวางแผนผ่อนจ่ายให้ดีด้วยนะครับ​ อย่าคิดแค่เอาส่วนที่ประหยัดค่าน้ำมันมาจ่ายค่างวดนะครับ... คิดเยอะ ๆ นะครับ

ข้อมูล​จากการบรรยายให้กับสมาชิกเครดิตบูโร​ให้ทราบ​ ให้ระวังการพิจารณา​ ให้เป็นข้อมู​ลในการบริหารและจัดการความเสี่ยง​

 

‘ไพศาล’ ยัน!! ไอทีวีไม่ใช่สื่อ ใช้เรื่องนี้สอย ‘พิธา’ ไม่ได้ เนื่องจากช่องถูกยึดคลื่นสัญญาณ ตั้งแต่เมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว!!

เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. 66 นายไพศาล พืชมงคล อดีตที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับเรื่องหุ้นสื่อไอทีวี ผ่านเฟซบุ๊ก ‘Paisal Puechmongkol’ โดยมีรายละเอียดว่า “เรื่องหุ้นสื่อไอทีวี ประเด็นชี้ขาดเรื่องหนึ่ง คือ ‘ไอทีวี’ เป็นสื่อและทำธุรกิจสื่อหรือไม่?

1.) ตั้งร้านชื่อรุ่งฟ้าอาภรณ์ แต่ที่ทำคือขายข้าวมันไก่ ร้านนี้เป็นร้านข้าวมันไก่ ทำการขายข้าวมันไก่ จึงไม่ใช่ร้านตัดเสื้อผ้าฉันใด ไอทีวีก็ฉันนั้น

2.) ไอทีวีเป็นสื่อประเภทวิทยุโทรทัศน์ จะทำธุรกิจได้ต้องอาศัยปัจจัยสำคัญ 2 อย่าง คือใบอนุญาตให้ประกอบกิจการโทรทัศน์วิทยุ และคลื่นสัญญาณวิทยุโทรทัศน์ ซึ่งเป็นของรัฐ ถ้าไม่มีสองสิ่งนี้แล้ว ก็ทำธุรกิจสื่อไม่ได้

3.) ไอทีวีทำสัญญาร่วมการงานกับรัฐฯ คือ สำนักปลัดสำนักนายกทำธุรกิจสื่อวิทยุโทรทัศน์ จึงได้รับอนุญาตให้ทำวิทยุโทรทัศน์ และคลื่นสัญญาณจากทางราชการ

4.) ต่อมาสำนักนายกฯ ได้ยกเลิกสัญญาร่วมการงาน และยึดเอาคลื่นวิทยุสัญญาณ กลับมาเป็นของรัฐทำให้ไอทีวี ทำสื่อไม่ได้ และเลิกทำสื่อตั้งแต่บัดนั้น เรียกว่า ‘ไอทีวี’ จอดำตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา โดยไม่ได้ทำธุรกิจอื่นใดอีก ความเป็นสื่อและการประกอบธุรกิจสื่อจึงสิ้นสุดลง ตั้งแต่เกือบ 20 ปีที่ผ่านมาแล้ว!!!

5.) ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ไอทีวีก็ไม่ได้ทำธุรกิจสื่อใดๆ อีกเลย จึงไม่ได้เป็นสื่อและไม่ได้ทำธุรกิจสื่อด้วย

6.) ไอทีวีได้ดำเนินคดีเรียกค่าเสียหายจากสำนักงานปลัดสำนักนายกฯ จึงยังเลิกบริษัทไม่ได้ เพราะรอรับค่าเสียหาย และชนะคดีตลอดมา ซึ่งศาลฎีกาจะตัดสินคดีในที่สุดในไม่กี่วันข้างหน้านี้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ไอทีวีมีรายได้จากดอกเบี้ยของเงินฝาก และมีค่าเช่า จากการนำเอาอุปกรณ์ให้เช่า ซึ่งไม่ใช่กิจการสื่อ

ดังนั้น ตั้งแต่ 20 ปีที่ผ่านมา ไอทีวีจึงไม่ใช่สื่อ และไม่ได้ประกอบธุรกิจสื่อ และไม่ได้ทำธุรกิจใดๆ 

ดังนั้น หุ้นของไอทีวีจึงไม่ต้องห้ามผู้สมัครรับเลือกตั้งที่จะถือหุ้นดังกล่าว ต่อให้ใครถือหุ้นไอทีวีสักเท่าใดก็ไม่ผิด ไม่ขาดคุณสมบัติในการเลือกตั้ง

เมื่อประเด็นสำคัญนี้ ยุติว่าไอทีวีไม่ใช่สื่อแล้ว ไม่ได้ประกอบธุรกิจสื่อแล้ว ก็สอยนายพิธา ไม่ได้
เงิบๆๆๆ”

‘โฆษก ตร.’ แจง ปมเลื่อนยศ ‘ร.ต.อ.หญิง’ เป็นไปตามกฎ ก.ตร. ชี้ เพราะมีคุณวุฒิปริญญาโท ทำให้เลื่อนยศได้เร็วภายใน 2 ปี

เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. 66 พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (โฆษก ตร.) เปิดเผยว่า ตามที่ปรากฎจากสื่อเกี่ยวกับการบรรจุและดำรงตำแหน่ง ร.ต.อ. หญิง นั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอเรียนว่า หลักสูตรการฝึกอบรมข้าราชการตำรวจและบุคคลที่บรรจุหรือโอนมา เป็นข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตร (กอส.) เป็นหลักสูตรการฝึกอบรมสำหรับข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตร ซึ่งบรรจุจากบุคคลภายนอก เช่น ทายาทตำรวจ ผู้มีวุฒิปริญญาสาขาต่างๆ ผู้มีวุฒิปริญญาในสาขาวิชาที่ขาดแคลน นายแพทย์ รพ.ตร. ตำรวจน้ำ ที่รับโอนมาจากทหารเรือ นักวิทยาศาสตร์ ฯลฯ เป็นหลักสูตรตามระเบียบ ตร. ซึ่งกรณีของ ร.ต.อ. หญิง เป็นผู้มีวุฒิปริญญาซึ่งผ่านการคัดเลือก และได้รับการบรรจุแต่งตั้งเป็นข้าราชการตำรวจชั้นประทวนได้รับเงินเดือนขั้นต่ำ โดยมีเงื่อนไขเมื่อผ่านการอบรมฯ หลักสูตรตามที่ ตร. กำหนดแล้ว จึงจะได้รับการแต่งตั้งเป็นข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตรได้รับเงินเดือนตามคุณวุฒิ

สำหรับ ร.ต.อ. หญิง ดังกล่าว ได้ผ่านการรับสมัครและคัดเลือกบุคคลภายนอกผู้มีวุฒิ ใช้วิธีการคัดเลือกตามกฎ ก.ตร. ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกหรือการสอบแข่งขันฯ และตรวจสอบคุณวุฒิและคุณสมบัติเป็นไปตามหลักเกณฑ์ จนได้บรรจุเป็นข้าราชการตำรวจ ยศสิบตำรวจตรีหญิง (ส.ต.ต. หญิง) ในปี พ.ศ. 2563 ในตำแหน่ง ผบ. หมู่ฯ ต่อมาผ่านการฝึกอบรมหลักสูตร กอส. ในปี พ.ศ. 2564 และแต่งตั้งเป็นข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตร ยศร้อยตำรวจตรีหญิง ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 64 โดยมีคุณวุฒิที่ใช้บรรจุแต่งตั้งนิเทศศาสตรมหาบัณฑิต (ปริญญาโท) จากนั้นจะใช้ระยะเวลาครองยศ 8 เดือน ได้รับการเลื่อนยศเป็น ร.ต.ท. หญิง และครองยศ ร.ต.ท.หญิง อีก 1 ปี จะได้รับการเลื่อนยศเป็น ร.ต.อ. หญิง รวมระยะเวลา 1 ปี 8 เดือน โดยการเลื่อนยศของ ร.ต.อ. หญิง ดังกล่าว เป็นไปตามตามกฎ ก.ตร. ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการแต่งตั้งยศ พ.ศ.2554 ข้อ 8.2.8 ที่กำหนดให้ข้าราชการตำรวจที่ได้รับยศสูงขึ้น ต้องครองยศตามจำนวนปีที่รับราชการ ยกเว้นผู้ที่บรรจุในคุณวุฒิ ปริญญาโท ให้รับราชการในชั้นยศ ร.ต.ต. 1 ปี และ ร.ต.ท. 1 ปี

โฆษก ตร. กล่าวอีกว่า ในปัจจุบัน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความตั้งใจที่จะดูแลขวัญกำลังใจของกำลังพลในส่วนที่เป็นข้าราชการตำรวจชั้นประทวนที่มีความตั้งใจ มีความรู้ความสามารถที่จะเป็นนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร มีการเปิดสอบแข่งขันข้าราชการตำรวจชั้นประทวนเป็นตำรวจชั้นสัญญาบัตร ล่าสุดเมื่อปลายเดือน พ.ค. 66 มีการเปิดรับสมัครตำรวจชั้นประทวนเป็นสัญญาบัตร จำนวน 430 อัตรา สำหรับตำแหน่งทั่วไป และ จำนวน 450 อัตรา สำหรับสายงานสอบสวน

จับตา ‘ขบวนการแบ่งแยกดินแดน’ แนวคิดที่อาจไปไม่ถึงฝั่งฝัน เพราะความเป็นปึกแผ่นของราชอาญาจักรไทยที่มิอาจแบ่งแยกได้

น่าสนใจยิ่งว่าวันนี้ ‘การแบ่งแยกดินแดน’ ที่มีมายาวนานในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มีการสู้รบสูญเสียชีวิต เลือดเนื้อ งบประมาณไปจำนวนมหาศาล และดูเหมือนฝ่ายความมั่นคงจะมั่นใจว่า สถานการณ์ดีขึ้น

แต่ ‘การแบ่งแยกดินแดน’ กลับมาเป็นหัวข้อที่ถกเถียงกันในมหาวิทยาลัยอย่างเปิดเผย โดยนักวิชาการ นักศึกษา และนักการเมือง มีการจัดเสวนากันที่มหาวิทยาลัยสงขลานครนครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี

องค์กรที่จัดชื่อว่า ขบวนนักศึกษาแห่งชาติ หรือ ‘เปลาจาร์ บังซา’ (Pelajar Bangsa) นำโดย นายอิรฟาน อูมา ดำรงตำแหน่งประธานขบวนนักศึกษาแห่งชาติ และเป็นการจัดขึ้ตในวันสถาปนาองค์กรนี้

ในงานมีการแสดงปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “สิทธิในการกำหนดอนาคตตนเอง (Self Determination) กับสันติภาพปาตานี” โดย รศ.ดร. มารค ตามไท อาจารย์สาขาการสร้างสันติภาพ มหาวิทยาลัยพายัพ จังหวัดเชียงใหม่

‘มารค’ บอกว่า ‘การกำหนดอนาคตตนเอง’ (Self-Determination) เป็นหลักการสำคัญของกฎหมายเกี่ยวกับการปกครองซึ่งเป็นพื้นฐานการพัฒนาประชาธิปไตย

เสร็จแล้วเป็นการเสวนาหัวข้อ “สิทธิในการกำหนดอนาคตตนเอง (Self Determination) กับสันติภาพปาตานี” จะพบว่า การเสวนาเน้นใช้คำว่า “สันติภาพ” ซึ่งผิดไปจากสมัยรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เน้นใช้คำว่า “สันติสุข” ซึ่งสันติสุข จะลึกซึ้งกว่าสันติภาพ เพราะสันติภาพ ก็แค่ทำให้เกิดความสงบ ไม่มีการสู้รบ แต่สันติสุข ต้องเกิดขึ้นหลังเกิดสันติภาพแล้ว

- ผศ.ดร. วรวิทย์ บารู ว่าที่ ส.ส. ปัตตานี รองหัวหน้าพรรคประชาชาติ
- นายฮากิม พงตีกอ รองเลขาธิการพรรคเป็นธรรม
- นายอาเต็ฟ โซ๊ะโก ประธานกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า กลุ่มเดอะปาตานี (The Patani)

3 คนนี้เป็นผู้เข้าร่วมในการเสวนาในครั้งนี้ด้วย ในขณะที่นายรอมฎอน ปันจอร์ ว่าที่ ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล งดร่วมงานกะทันหันโดยไม่ทราบสาเหตุ ทั้งๆ ที่เคยยืนยันเข้าร่วมก่อนหน้านี้แล้ว

ไปดูว่าผู้ร่วมเสวนาคิดอย่างไร

‘ฮากิม พงตีกอ’ มองว่า สิทธิในการกำหนดชะตากรรมของตนเอง หรือ ‘RSD’ (Right to Self-determination) เป็นสิทธิเสรีภาพในการที่จะเลือกมาเป็นหลักการการดำเนินประเด็นทางการเมือง

‘อาเต็ฟ โซ๊ะโก’ ชี้ว่า เมื่อเราถือหลักที่สอดคล้องกับ RSD เป็นกระบวนการที่ยอมรับตามหลักสากล นำไปสู่การประชามติ ซึ่งไม่ว่าผลของการประชามติจะออกมาอย่างไร เราก็ควรที่จะยอมรับ และจะไม่มีคำว่าแพ้เกิดขึ้น เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ประชาชนเลือก

‘วรวิทย์ บารู’ บอกว่า กระบวนยุติธรรมจำเป็นที่จะต้องคำนึงถึงหลายๆ ปัจจัย เพราะถ้าเราอยากได้ความเป็นธรรม เราก็ต้องเป็นที่จะให้ความเป็นธรรมนั้นแก่คนอื่น เพราะบางคนเรียกร้องถึงความเป็นธรรม แต่กลับอธรรมกับสิ่งที่ตนเองยึดถือหรือหลักศรัทธา นักศึกษา นักการเมือง และองค์กรภาคประชาสังคม มีสิทธิและเห็นควรที่จะผลักดันกระบวนการ RSD เพื่อเลือกที่จะกำหนดอนาคตตนเอง เพราะเป็นเรื่องของวิชาการและเป็นที่ยอมรับตามหลักสากล

ไฮไลต์ของงานมีการแจกบัตรกระดาษ ระบุหัวข้อว่า “คุณเห็นด้วยกับสิทธิในการกำหนดชะตากรรมตนเองหรือไม่ ที่จะให้ประชาชนปาตานีสามารถออกเสียงประชามติแยกตัวเป็นเอกราชได้อย่างถูกกฎหมาย”

มีหมายเหตุด้านล่าง ระบุ ให้กับชาวปาตานี : ผู้ที่ลงทะเบียนว่า “อาศัยอยู่ถาวรในพื้นที่ปาตานีหรือ จ.นราธิวาส, จ.ปัตตานี, จ.ยะลา และ จ.สงขลา (เฉพาะ อ.จะนะ, อ.นาทวี, อ.เทพา และ อ.สะบ้าย้อย)”

เอากันตรงๆ แบบนี้เลยครับ เหมือนกับจะออกแบบให้เป็นการ ‘ทำประชามติ’ ว่าจะแบ่งแยกดินแดน แบ่ง ‘ปัตตานี-ยะลา-นราธิวาส และ 4 อำเภอของสงขลา’ ไปเป็นเอกราช ปกครองตนเอง เหมือน ‘ติมอร์’ แยกตัวออกไปจากอินโดนีเซีย

“ประเทศไทยเป็นราชอาญาจักรเดียว จะแบ่งแยกมิได้” เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญชัดเจน แน่นอนว่า เมื่อมีการขับเคลื่อนในลักษณะ-เนื้อหาเช่นนี้ ฝ่ายความมั่นคงจะต้องเข้ามาตรวจสอบ และถ้าเข้าข่ายผิดต่อความมั่นคงของรัฐ เจ้าหน้าที่ก็ต้องจัดการตามกฎหมาย

ที่น่าจะเจอเต็มๆ คือ คณะพรรคประชาชาติ ที่มี ‘วันมูหะมัดนอร์ มะทา’ เป็นหัวหน้าพรรค และเป็น 1 ใน 8 พรรคร่วมรัฐบาลของพรรคก้าวไกล พรรคเป็นธรรม ก็เป็นอีกพรรคร่วมรัฐบาลของพรรคก้าวไกล มีระดับรองเลขาธิการพรรค เข้าร่วมเป็นวิทยากรด้วย แต่ตัวแทนจากพรรคก้าวไกลน่าจะไหวตัวทัน เลยไม่ได้เข้าร่วมในกิจกรรมครั้งนี้

3 จังหวัดชายแดนภาคใต้บวก 4 อำเภอของสงขลา มีการพูดถึงรูปแบบการบริหารจัดการอยู่ 3 รูปแบบ

1.) เป็นอยู่อย่างปัจจุบัน คือเป็นราชการส่วนภูมิภาค ที่รัฐบาลกลางแบ่งอำนาจไป ส่งคนไปปกครองดูแล มีผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นหัวหน้าสูงสุด มีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นๆซ้อนอยู่ เช่น อบจ./อบต./เทศบาล

2.) มหานครปัตตานี (ปาตอนี) เป็นการจัดรูปแบบการปกครองเป็น ‘การปกครองส่วนท้องถิ่น’ ตามหลักกระจายอำนาจ เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ คล้ายๆ พัทยา และกรุงเทพมหานคร

3.) แบ่งแยกตนเอง คือการแยกตัวออกไปเป็นประเทศราช มีเอกราชเป็นของตนเอง ซึ่งหมายถึงการตั้งประเทศใหม่นั้นเอง

ที่ผ่านมาหลายปีมีการกล่าวถึงใน 3 รูปแบบนี้ แต่ ‘มหานครปัตตานี’ และการแบ่งแยกประเทศ ยังไม่มีอะไรคืบหน้า และความเป็นไปได้ ส่วนการแยกประเทศแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะคงไม่มีใครยอมให้แบ่งแยกดินแดนแน่นอน

แต่การตั้งวงเสวนาครั้งนี้น่าสนใจยิ่ง เพราะมีการพูดกันเปิดเผย มีการเผยแพร่บทเสวนาผ่านสื่อหลากหลาย และเป็นการเสวนาที่เกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งไม่นานนัก และเป็นการเลือกตั้งที่พรรคก้าวไกลชนะเกินคาด พรรคประชาชาติก็มีเสียงเพิ่มขึ้นจาก 6 เป็น 9 และพรรคสายเดียวกับประชาชาติ อย่างพรรคเป็นธรรม ก็เบียดเข้ามา 1 ที่นั่ง และทั้งพรรคประชาชาติ และพรรคเป็นธรรม ก็เป็นพรรคร่วมรัฐบาลกับพรรคก้าวไกล ที่กำลังก่อตัวกันเป็นรัฐบาล

น่าจับตามองว่า ขบวนการนี้จะพัฒนาไปถึงไหน ฝ่ายความมั่นคงคิดอย่างไร และจะทำอะไรต่อไป แต่แน่นอนว่าคงไม่มีใครยอมให้แบ่งแยกประเทศอย่างง่ายๆ หรอก เพราะ “ประเทศไทยเป็นหนึ่งเดียว จะแบ่งแยกมิได้”
 

ไทย สมายล์ กรุ๊ป เปิดตัวแคมเปญ Hob Card เพื่อตอบโจทย์คนเดินทาง ในงาน Job ExpoThailand 2023 ภายใต้งาน “คนไทยมีงานทำ คนหางาน งานหาคน พร้อมเปิดรับพนักงานมากกว่า 3000 อัตรา"

วันที่ 8 มิถุนายน 2566 ที่ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา Hall EH 100 – 102 นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดงาน Job Expo Thailand 2023 มหกรรมการจัดหางานครั้งยิ่งใหญ่ระดับประเทศ ภายใต้งาน “คนไทยมีงานทำ คนหางาน งานหาคน” เพื่อสร้างโอกาสให้ผู้สมัครงาน ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่สำเร็จการศึกษาใหม่ 

ผู้ว่างงาน คนพิการ ผู้สูงอายุ หรือทุกคนที่ต้องการมีงานทำ ได้พบกับนายจ้าง สถานประกอบการโดยตรง รวมทั้งมีบริการแนะแนวอาชีพ และการเตรียมความพร้อมในการพัฒนาความรู้ทักษะฝีมือแรงงานให้มีศักยภาพสูงขึ้น เพื่อจะได้เตรียมตัวเข้าสู่ตลาดแรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ด้านนางสาวกุลพรภัสร์ วงศ์มาจารภิญญา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มไทย สมายล์ กรุ๊ป

เปิดเผยว่า งาน JOB EXPO Thailand  2023 ซึ่งกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงานจัดขึ้น กลุ่มไทย สมายล์ กรุ๊ป ผู้ให้บริการรถและเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้า 100% ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเปิดโอกาสให้ทุกคนมีงานทำ และเข้าถึงพบปะกับนายจ้างได้โดยตรง เป็นหนึ่งในพันธกิจหลักของกลุ่มไทย สมายล์ กรุ๊ป นอกจากเป็นองค์กรที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาอย่างยั่งยืนแล้ว การใส่ใจและส่งเสริมบุคลากรในองค์กรให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและมีความสุข จะช่วยยกระดับองค์กรให้ก้าวขึ้นสู่องค์กรชั้นนำของประเทศ

ปัจจุบันกลุ่มไทย สมายล์ กรุ๊ป มีรถโดยสารพลังงานไฟฟ้ากว่า 3,100 คัน และเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้า 45 ลำ ทำให้มีความต้องการผู้ที่จะมาเป็นครอบครัวเดียวกันจำนวนมากกว่า 3,000 อัตรา ซึ่งภายในงานได้เปิดรับสมัครในหลายตำแหน่ง ทั้งกัปตันเมล์ หรือพนักงานขับรถ, พนักงานบริการบนท่าเรือ,นายท้าย,ช่างเครื่อง, วิศวกรซ่อมบำรุง, พนักงานธุรการ เป็นต้น พร้อมรับเงินเดือนสูงถึง 30,000 บาท สำหรับภายในบูท ได้จัดให้มีกิจกรรมส่งเสริม แคมเปญ Hob Card

ที่จะมาช่วยตอบโจทย์ผู้ใช้บริการ โดยแคมเปญ “Hob Card Daily Max Fare” เป็นการเดินทางไม่จำกัดเที่ยว ไม่จำกัดสายตลอด วัน จ่ายสูงสุด 40 บาท ง่าย สะดวด และประหยัด รถต่อเรือ จ่ายสูงสุดไม่เกิน 50 บาท พร้อมจัดทีมงานและบุคลากรให้กับผู้สนใจที่สมัครงานได้พบปะ พูดคุย และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทันที

ผู้ที่สนใจอยากมาเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวไทย สมายล์ กรุ๊ป ที่จะประสบความสำเร็จและเติบโตไปด้วยกันกับบริษัทฯ สามารถติดต่อได้บูธ B12 Hall 100 ตั้งแต่ 8-10 มิ.ย. 2566 
ณ ไบเทค บางนา


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top