Wednesday, 14 May 2025
NewsFeed

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกับ เครือเจริญโภคภัณฑ์ และโลตัส ลงพื้นที่ เร่ง “เตือนภัยนักช้อป น็อกโจร ไซเบอร์” 

เมื่อวันเสาร์ที่ 10 มิถุนายน 2566 เวลา 16.00 – 18.00 น. ณ โซนหน้า Fresh Food โลตัส สาขารามอินทรา พล.ต.ต.ชูศักดิ์ ขนาดนิด ผู้บังคับการตรวจสอบและวิเคราะห์อาชญากรรมทางเทคโนโลยี บช.สอท ,พ.ต.อ.ไพโรจน์ เพ็ชรพลอย ผกก.กลุ่มงานป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยี บก.ตอท. บช.สอท,พ.ต.ท.หญิง ณพวรรณ ปัญญา อาจารย์ (สบ2) กลุ่มงานคณาจารย์ คณะสังคมศาสตร์ รร.นรต. รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ  ร่วมงาน

“เตือนภัยนักช้อป น็อกโจร ไซเบอร์” ที่ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกับ เครือเจริญโภคภัณฑ์ และโลตัส พร้อม คุณสาคริต นันทจิต รองผู้อำนวยการ ฝ่าย Solution Architect, DevOps และการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและระบบสารสนเทศ โลตัส และ คุณเทวินธวี คุณารัตนวัฒน์ (จอห์นสัน) ดารา/นักแสดง

โดยวัตถุประสงค์ในการจัดงานครั้งนี้มุ่งรณรงค์สร้างภูมิคุ้มกันต้านภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยีให้แก่ประชาชนทั่วไป ได้ตระหนักรู้และเฝ้าระวัง ภัยจากโจรไซเบอร์ ซึ่งภายในงานมีการเสวนาหัวข้อ “เรียนรู้กลโกง...น็อกโจรไซเบอร์”  พล.ต.ต.ชูศักดิ์ ขนาดนิด ได้ยกตัวอย่างในระหว่างการเสวนา กรณีกลโกงแจ้งsmsค่าไฟ,กลโกงหลอกทำงานออนไลน์,หลอกให้กู้เงินแบบไม่ได้เงิน, ฯลฯ พร้อมยกตัวอย่างความเสียหาย

ปัจจุบันมีคนไทยตกเหยื่อกลโกงของโจรออนไลน์แล้วมีการรับแจ้งความกว่า2แสนเคส, มูลค่าความเสียหายกว่า3หมื่นล้าน ย้ำ!ให้ตั้งข้อสงสัยทุกครั้งก่อนตัดสินใจซื้อของออนไลน์ แนะนำให้ซื้อผ่านช่องทางที่เชื่อถือได้ พร้อมให้ความรู้ถึงข้อสังเกตุเบื้องต้น เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของโจรออนไลน์ ไม่เชื่อ! ไม่รีบ! ไม่โอน!

ด้าน คุณสาคริต นันทจิต รองผู้อำนวยการ ฝ่าย Solution Architect, DevOps และการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและระบบสารสนเทศ โลตัส กล่าวเพิ่มเติม เรื่องของวิธีการจัดเก็บข้อมูลลูกค้าว่ามีการจัดเก็บข้อมูลต่างๆที่รัดกุม เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการเฝ้าระวังภัยออนไลน์  ทางโลตัสเองได้สร้างความมั่นใจเพิ่มเติมว่าทางโลตัสเองได้มีการยกเลิกข้อความสั้นและการแนบลิงก์ต่างๆแล้ว เพื่อไม่ให้ประชาชนสับสนระหว่างsmsที่ทางโลตัสจัดส่งกับsmsแนบลิงก์ของมิจฉาชีพ พร้อมสร้างความมั่นใจว่าโลตัสให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาโดยตลอดและยังดำเนินการอย่างเต็มที่ต่อไป

พ.ต.ท.หญิง ณพวรรณ ปัญญา รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ฝากเพิ่มเติมว่า ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มุ่งมั่นและดำเนินการสร้างภูมิคุ้มกันต้านภัยไซเบอร์ต่อไปอย่างเต็มความสามารถ ทั้งนี้อยากขอความร่วมมือในภาคประชาชนให้ช่วยกันส่งต่อ แชร์เรื่องราวกลโกงต่างๆที่ได้พบเจอเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพออนไลน์ อีกทั้งยังเป็นการร่วมกันสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อตัดตอนของอาชญากรรมออนไลน์ให้หมดไปจากสังคมไทย

'Arun Plus' ผนึก 'CATL' ตั้งโรงงานแบตเตอรี่ EV ในไทย ดันไทยสู่ผู้นำอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจรในอาเซียน

(9 มิ.ย. 66) Arun Plus – CATL บรรลุข้อตกลงร่วมจัดตั้งโรงงานประกอบแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนแบบ Cell-To-Pack (CTP) ในประเทศไทย พร้อมเดินหน้าผลิตแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าทุกประเภทด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง เพื่อเสริมศักยภาพด้านการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทย ภายใต้กรอบการลงทุนกว่า 3,600 ล้านบาท โดยโรงงานดังกล่าวจะพร้อมเดินสายการผลิตภายในปี 2567 ด้วยกำลังการผลิต 6 กิกะวัตต์ชั่วโมงต่อปี

นายเอกชัย ยิ้มสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท อรุณ พลัส จำกัด (Arun Plus) พร้อมด้วย 
Mr. Ni Zheng, Executive president of overseas car business, and CEO of Japan & Korea affiliate, Contemporary Amperex Technology Co., Ltd (CATL) ลงนามสัญญาร่วมจัดตั้งโรงงานแบตเตอรี่ Cell-To-Pack (CTP) ภายในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการผลิตแบตเตอรี่ขั้นสูงที่นำเซลล์แบตเตอรี่มาประกอบกันเป็นแพ็กโดยตรง ไม่ต้องผ่านขั้นตอนการประกอบเป็นโมดูล ทำให้แบตเตอรี่มีประสิทธิภาพความจุพลังงานสูงขึ้น น้ำหนักเบา และมีความปลอดภัยสูง เป็นการตอกย้ำความเชื่อมั่นของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางการผลิต EV ของภูมิภาคอาเซียนในอนาคต ภายใต้ความร่วมมือกับ CATL ผู้นำในระดับสากลด้านเทคโนโลยีแบตเตอรี่ EV โดยพิธีลงนามฯ จัดขึ้นที่งาน Shanghai International Automobile Industry Exhibition สาธารณรัฐประชาชนจีน

นายเอกชัย ยิ้มสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท อรุณ พลัส จำกัด กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่าง Arun Plus กับ CATL ในครั้งนี้เป็นก้าวแรกที่สำคัญของการดำเนินธุรกิจแบตเตอรี่อย่างครบวงจรในอนาคต ด้วย CATL เป็นบริษัทที่มีการดำเนินธุรกิจแบตเตอรี่ครอบคลุมตลอดห่วงโซ่คุณค่า (Battery Value chain) ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ การผลิตแบตเตอรี่ ไปจนถึงการรีไซเคิลแบตเตอรี่ ตลอดจนธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง อีกทั้ง Arun Plus มุ่งมั่นที่จะสร้างความพร้อมในด้านโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการขยายระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศ โดยได้ร่วมกับ Honhai Precision Industry Co., Ltd หรือ FOXCONN ก่อตั้งบริษัท ฮอริษอน พลัส จํากัด (Horizon Plus) เพื่อดำเนินการผลิต EV รองรับความต้องการที่สูงขึ้นทั้งภายในประเทศและในภูมิภาคอาเซียน โดยจะเริ่มเดินสายการผลิตในปี 2567 ด้วยกำลังการผลิตเริ่มต้นที่ 50,000 คันต่อปี และจะเพิ่มเป็น 150,000 คันในปี 2573

ซึ่งการก่อตั้งโรงงานแบตเตอรี่ CTP ในครั้งนี้ จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับ โรงงานผลิต EV ดังกล่าว และในอนาคต Arun Plus ยังศึกษาความเป็นไปได้ในการร่วมมือกับ CATL เพื่อนำเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับแบตเตอรี่ของ CATL มาใช้ในประเทศ อาทิ เทคโนโลยีสลับแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า (Battery Swapping) เทคโนโลยีการรีไซเคิลแบตเตอรี่ (Battery Recycling) เทคโนโลยีแพลตฟอร์มรถยนต์ไฟฟ้าของ CATL (CATL Integrated Intelligent Chassis : CIIC) พร้อมทั้งจะศึกษาแนวทางในการเป็นผู้ผลิตเซลล์แบตเตอรี่ในอนาคต

ความร่วมมือในการจัดตั้งโรงงานประกอบแบตเตอรี่ CTP นี้ นอกจากจะช่วยเสริมศักยภาพด้านการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของกลุ่ม Arun Plus แล้ว ยังเป็นการสนับสนุนเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับประเทศไทยต่อไป

‘นิพนธ์’ เตือน ต้องระวัง ลงประชามติ แบ่งแยกดินแดน  จะยิ่งสร้างเงื่อนไข การแก้ปัญหาชายแดนใต้ ให้ยากลำบากยิ่งขึ้น

(10 มิ.ย.66) นายนิพนธ์ บุญญามณี รักษาการรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง กระแสข่าวที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี จัดงานเปิดตัว"ขบวนการนักศึกษาแห่งชาติ (Pelajar Bangsa)" ณ ห้องประชุมศรีวังสา ของคณะรัฐศาสตร์ โดยในงานมีการกล่าวปาฐกถา หัวข้อ "การกำหนดอนาคตตัวเอง (Self
Determination) กับสันติภาพปาตานี" และแถลงการณ์ ของประธานขบวนนักศึกษาแห่งชาติ เมื่อวันที่ 7 มิ.ย.ที่ผ่านมานั้น 

นายนิพนธ์ กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า การสร้างสันติสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้นั้น เป็นเรื่องที่คนไทยทุกคนปราถนาให้เกิดขึ้นจริง ไม่ว่ารัฐบาลไหนๆที่เข้ามาบริหารประเทศก็ให้ความสำคัญกับการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่อย่างเต็มที่ มีคณะกรรมการต่างๆ ทั้งหน่วยราชการ NGO ภาคเอกชน ต่างลงไปทำศึกษา ช่วยเหลือ ครอบคลุมทุกมิติทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม เพื่อนำไปสู่การลดความรุนแรง เกิดความสงบสุข อีกทั้ง ยังกำหนดให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่สำคัญในเรื่องความมั่นคงทางด้านอาหาร เป็นแหล่งผลิตสินค้าฮาลาลเพื่อป้อนเข้าสู่ตลาดโลกมุสลิม ซึ่งที่ผ่านมามีการทุ่มงบประมาณเพื่อเข้าไปจัดการในพื้นที่หลายแสนล้านบาทตลอดระยะเวลา 20 ปี แต่ก็ยังไม่สามารถนำไปสู่การแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ได้อย่างเป็นรูปธรรม 

นายนิพนธ์ ยังกล่าวต่อว่า โดยข้อเสนอที่พยายามขับเคลื่อนมาโดยตลอดเพื่อการแก้ไขปัญหาฯนั้น ต้องน้อมนำแนวทางพระราชทาน”เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” เพื่อสร้างความร่วมมือและรับรู้ร่วมกันทำให้ปัญหาที่หลายฝ่ายเรียกร้องได้ถูกแก้ไขได้อย่างยั่งยืน รวมถึงการเดินตามยุทธศาสตร์ “สันติภาพสู่สันติสุข” คือ การทำให้เกิดสันติภาพ ยุติความขัดแย้ง เพื่อนำไปสู่สันติสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งต้องสนับสนุนให้มีการพูดคุยกับกลุ่มต่างๆที่มีความเห็นที่ต่างกันอยู่ในพื้นที่ ทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย

สร้างการมีส่วนร่วมในทุกมิติที่มีผลกระทบต่อคนในพื้นที่ ซึ่งถ้าหากไม่สามารถแก้เรื่องความเห็นต่างหรือแก้เรื่องความขัดแย้งไม่ได้ก็ยากที่จะนำสันติสุขมาสู่ชายแดนใต้ ซึ่งตนสนับสนุนการพูดคุยกับทุกกลุ่มและเคยเดินทางไปพบปะพูดคุยกับระดับผู้นำของบางกลุ่มมาแล้ว ทั้งนี้ ตามที่เป็นข่าวในเรื่องของกลุ่มขบวนนักศึกษาแห่งชาติ ที่ได้เปิดหัวข้อพูดคุย เรื่องการกำหนดอนาคตตัวเอง (Self Determination) กับสันติภาพปาตานี นั้น ถือเป็นประเด็นที่อ่อนไหว ละเอียดอ่อนและส่อขัดต่อรัฐธรรมนูญ และการเคลื่อนไหวเพื่อลงประชามติแบ่งแยกดินแดนดังกล่าวเป็นมุมมองที่ยึดรูปแบบของโครงสร้างเพียงอย่างเดียว คือ ต้องเป็นรูปแบบปกครองตนเองเป็นรัฐอิสระเท่านั้นจึงจะแก้ปัญหาได้ ในส่วนนี้เห็นว่าไม่ถูกต้อง เพราะขาดความเชื่อมโยงเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องและตรงกันจากประชาชนกลุ่มต่างๆในพื้นที่ ซึ่งมีความแตกต่างด้วยความเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม และเมื่อปรากฏเป็นข่าวในบรรดาผู้ร่วมเวทีก็ต่างออกมาปฏิเสธ  และเกิดการต่อต้านจากคนในพื้นที่ สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงการขาดความพร้อมเพื่อสื่อสารเรื่องดังกล่าวให้เกิดการรับรู้กับคนในพื้นที่และสาธารณะ โดยหลังจากนี้อาจจะนำไปสู่ความรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้น ของกลุ่มสนับสนุนที่ต้องแสดงออกว่ามีเพียงการแบ่งแยกเท่านั้นจึงจะยุติปัญหาได้ ขณะเดียวกัน การใช้ชีวิตของผู้คนในพื้นที่จะเกิดความหวาดระแวงกันมากขึ้น ขาดความไว้เนื้อเชื่อใจกันของประชาชนกลุ่มต่างๆ จนอาจทำให้แก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ที่มียาวนานนั้น ยิ่งแก้ไขได้ยากลำบากมากยิ่งขึ้นไปอีก

‘กรณ์’ แจง ไม่ได้มีเจตนาแอบแฝง กรณี มีภาพถ่ายคู่ รถหรูทะเบียน 151 ย้ำชัด ไม่ชอบแอบแซะ 

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ชี้แจงถึงเรื่องที่มีภาพถ่ายคู่กับรถหรูทะเบียน 2 ขร 151 กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีคนนำไปโยงกับเรื่องทางการเมือง ซึ่งนายกรณ์ ก็ได้ชี้แจงว่าเป็นเพียงเรื่องบังเอิญที่ไม่เป็นเรื่องอย่างสิ้นเชิง โดยมีใจความว่า ...

เห็นมีคนเอาภาพนี้ไปดราม่ากัน ขอชี้แจงสั้นๆ ตรงนี้ครับ
-ภาพนี้ผู้ช่วยผมถ่ายตั้งแต่สองสามวันก่อนแล้ว
-เป็นวันสบายๆ ทานอาหารเช้ากัน เขาเห็นผมถือตะกร้าให้ภรรยา และบอกว่ามันเข้ากับสีเสื้อที่ใส่ก็เลยถ่ายไว้ แล้วเอาไปโพสต์ส่วนตัวของเขา
-รถคันนี้จอดอยู่ลานจอดรถ หน้าร้านคาเฟ่ จอดอยู่หลายคัน รถใครก็ไม่ทราบ (ต้องขออภัยต่อเจ้าของรถด้วยนะครับที่กลายเป็นดราม่า) วันที่โพสต์ ยังไม่มีข่าวเรื่องมาตรา 151 หรืออะไรเลย ทุกอย่างจึงเป็นเรื่องบังเอิญที่ไม่เป็นเรื่องอย่างสิ้นเชิง

ขอบอกว่าผู้ช่วยผมไม่ได้มีเจตนาอันใด และเดิมทีผมเองไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่ามีการโพสต์รูปนี้

ส่วนตัวนั้นผมไม่ชอบการแซะอะไรไร้สาระแบบนี้ 
ส่วนในกรณีปัญหาทางกฎหมายของคุณพิธานั้น ผมรู้สึกเสียดายที่มีอุปสรรคมากมาย กีดกันความต้องการของประชาชนจำนวนหนึ่งที่จะได้นายกฯ ที่เขาเลือกมา ผมเองแสดงความเห็นไว้ตั้งแต่หลังการเลือกตั้งว่าผมอยากให้การรวมตัวตั้งรัฐบาลโดยพรรคที่ 1 กับพรรคที่ 2 ประสบความสำเร็จ และความเห็นผมที่อยากให้ระบอบประชาธิปไตยของเราเดินหน้าไปอย่างราบรื่นก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง แม้หลังจากที่แฟนคลับพรรคส้มได้กดดันให้คุณพิธากลับคำในการเชิญพรรคชาติพัฒนากล้าเข้าร่วมรัฐบาล พร้อมกับด่าทอ กล่าวหาผมต่างๆนานา ซึ่งผมก็ไม่เคยออกมาวิพากษ์วิจารณ์พรรคก้าวไกลหรือคุณพิธาแม้แต่ครั้งเดียว

ในทางตรงกันข้าม ช่วงที่ผ่านมามีคนที่ผมรู้จักมากมายที่เลือกพรรคก้าวไกล และมาบ่นกับผมว่าผิดหวังในหลายๆการแสดงออกของคนของพรรค ไปจนถึงเรื่องนโยบายที่หาเสียงไว้และส่งสัญญาณว่ายังอาจจะทำไม่ได้ ผมก็บอกให้ทุกคนใจเย็น ให้โอกาสเขาก่อน ดังนั้นผมอยากเห็นทุกท่านตั้งสติกันหน่อยครับ โอกาสมันมากับความรับผิดชอบ และเป็นดาบสองคมเสมอ

ส่วนประเด็นเรื่องกฎหมายก็เป็นเรื่องที่นักการเมืองทุกคนต้องตระหนักและให้ความสำคัญ 
ผมเองก็เคยโดนพรรคอนาคตใหม่ยื่นร้องเรียนเพื่อถอดถอนผมจากการเป็น สส. ด้วยกฎหมายเดียวกัน คือได้กล่าวหาว่าผมถือหุ้นสื่อ ทั้งๆที่หุ้นที่ผมถือนั้นคือบริษัท ‘เกษตรเข้มแข็ง’ ที่ผมและทีมตั้งขึ้นมานำร่องทำนโยบายเกษตรพรีเมียมช่วยชาวนาไทย 

ประเด็นถือหุ้นสื่อ ผม (และเพื่อนสส.อีกหลายสิบคนที่ถูกกล่าวหาโดยอนาคตใหม่) ก็ต่อสู้ทางกฎหมายและชี้แจงตามข้อเท็จจริงไป ซึ่งส่วนตัวนั้นผมมองว่ากฎหมายนี้หยุมหยิมเกินไป และส่วนตัวไม่เคยยื่นฟ้องร้องใครด้วยกฎหมายนี้ แต่ก็เคารพสิทธิของอนาคตใหม่ในวันนั้นที่จะใช้กฎหมายนี้เป็นเครื่องมือทางการเมือง

พูดไปคนเชื่อก็คงเชื่อ คนที่มีอคติก็คงเลือกที่จะไม่เชื่อ แต่ผมขอพูดแค่ว่า คนที่รู้จักผมดีจะรู้ว่า ถ้าผมจะว่าอะไรใคร ผมไม่มาแอบแซะโง่ๆ แบบนี้ครับ ผมซัดตรงๆ แน่นอน นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวทิ้งท้าย

สวนนงนุชพัทยา เนรมิต “สวนมิตรภาพ” (Friendship Garden)  ในสถานทูตอินเดีย เพื่อกระชับความสัมพันธ์

นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา ได้นำทีมจัดสวนด้วยตนเองพร้อมทีมงานมากกว่า 100 คน เข้าปรับปรุงภูมิทัศน์สวนมิตรภาพสถทนทูตอินเดีย ประจำประเทศไทย (Friendship Garden) ที่ สถานกงสุลใหญ่ 5/120-121 อาคารโอเชียน ทาวเวอร์ 2 42nd Floor ซอย สุขุมวิท 19 แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร 

โดยมี นายนาเคศ สิงห์ (H.E. Mr. Nagesh Singh) เอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย อำนวยความสะดวกให้กับทางสวนนงนุชพัทยาเข้าปรับปรุงภูมิทัศน์  พร้อมขอบคุณ สวนนงนุชพัทยา ที่สรรสร้างสิ่งดีงาม เสมือนดั่งมิตรไมตรี ระหว่างสองประเทศที่มีต่อกันมายาว

ทั้งนี้สวนนงนุชพัทยา ได้นำอุปกรณ์ นักจัดสวน พร้อมต้นไม้นับพันต้น เข้าปรับภูมิทัศน์  ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวคิด Friendship Garden ซึ่งถือว่าเป็นการจัดสวนสถานฑูตอินเดีย ประจำประเทศไทยเป็นสวนลำดับที่2ของ ปี พ.ศ 2566 และเป็นสวนที่ 14 ที่เข้าปรับปรุงภูมิทัศน์ เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ ระหว่าง 2 ประเทศ ที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมาอย่างยาวนาน

สัมภาษณ์ จาก เมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย เปิดใจ ความรู้สึกถึงประเทศไทย และคนไทย

รองศาสตราจารย์ ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการ นักเขียน นักรัฐศาสตร์และอดีตนักการทูตชาวไทย ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองศาสตราจารย์ประจำสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต ได้โพสต์คลิปสัมภาษณ์ พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ ที่เมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย โดยพล.ต.ต.ปวีณ ได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับประเทศไทยและคนไทยไว้ โดยมีใจความว่า ...

ก่อนอื่นเลยนะครับผมต้องขอขอบคุณคนไทยที่ช่วยกัน เปลี่ยนแปลงประเทศ โดยเฉพาะประเทศของเราที่มันมืดมิดมานาน กลายเป็นประเทศแห่งความหวัง ตรงนี้ต้องขอขอบคุณคนไทยด้วย และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่หลายคนมีความปรารถนาดี ต่อผม แน่นอนครับว่าสถานการณ์จะดีกว่าที่ผ่านมามากมาย พล.ต.ต.ปวีณ กล่าวทิ้งท้าย

‘ระบบร่มชูชีพ’ ฝีมือจีน นำทางจรวด ให้ลงจอด จุดที่กำหนดไว้ ได้อย่างแม่นยำ

(ซินหัว) — สถาบันเทคโนโลยีจรวดขนส่งแห่งชาติจีน เปิดเผยผลการทดสอบระบบร่มชูชีพพัฒนาเองที่สามารถช่วยนำทางจรวดบูสเตอร์ (rocket booster) ร่อนลงสู่พื้นที่เป้าหมาย ระหว่างการปล่อยจรวดขึ้นสู่อวกาศ เมื่อไม่นานนี้

สถาบันฯ ระบุว่าระบบร่มชูชีพนี้ถูกใช้กับจรวดขนส่งลองมาร์ช-3บี (Long March-3B) ซึ่งบรรทุกดาวเทียมนำทางเป่ยโต่วขึ้นสู่วงโคจรเมื่อวันที่ 17 พ.ค. จากศูนย์ปล่อยดาวเทียมซีชาง มณฑลซื่อชวน (เสฉวน) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ โดยสามารถนำทางจรวดบูสเตอร์ลงสู่ตำแหน่งที่กำหนดไว้ และจำกัดระยะการลงจอดให้แคบลงได้ร้อยละ 80

ระบบดังกล่าวถูกออกแบบให้ควบคุมตำแหน่งลงจอดได้อย่างแม่นยำมากขึ้น ระหว่างร่อนลงจะสามารถเปิดพาราฟอยล์หรือร่มชูชีพโดยอัตโนมัติที่ระดับความสูงเฉพาะ ซึ่งจะนำทางจรวดบูสเตอร์สู่พื้นที่ลงจอดที่คาดการณ์ไว้

อนึ่ง จุดปล่อยจรวดสำคัญของจีนส่วนใหญ่ตั้งลึกเข้าไปในแผ่นดิน ซึ่งเป็นการป้องกันไม่ให้ชิ้นส่วนจรวดลงสู่พื้นอย่างคาดการณ์ไม่ได้ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีกิจกรรมของมนุษย์ และถือเป็นภารกิจเร่งด่วนสำหรับบรรดานักวิทยาศาสตร์

ไวรัลเงา ‘พระธาตุดอยสุเทพ’ ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า  ‘อ.เจษฎ์’ เฉลยแล้ว ไม่ใช่ปาฏิหาริย์

กลายเป็นภาพไวรัลที่ถูกแชร์ในโลกออนไลน์ เมื่อผู้ใช้เฟซบุ๊ก Wiradej Thongsuwan ได้โพสต์ภาพลงในกลุ่ม ชมรมคนรักมวลเมฆ จนเป็นฮือฮา บ้างก็ว่าปาฏิหาริย์ บ้างก็ว่าตัดต่อ

ล่าสุด รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ ได้อธิบายข้อเท็จจริงผ่านทางเพจเฟซบุ๊ก 'อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์' ระบุว่า

"รูปพระธาตุดอยสุเทพ ลอยกลางท้องฟ้า ไม่ใช่ภาพปาฏิหาริย์อะไรนะครับ แต่เป็นเงาของตัวพระธาตุ ที่โดนแสงสปอตไลต์ ส่องไปกระทบกับเมฆที่ลอยต่ำอยู่เหนือท้องฟ้าเชียงใหม่ เป็นภาพที่ถ่ายด้วยกล้อง โดยไม่ได้มีการตัดต่ออะไรภายหลัง

โดยภาพนี้เป็นเป็นฝีมือการถ่ายภาพของ รศ.ดร. วีระเดช ทองสุวรรณ ภาควิชาฟิสิกส์และวัสดุศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่นำไปโพสต์ไว้ที่เพจ facebook ของชมรมคนรักมวลเมฆ 

‘ศรีสุวรรณ’ ประกาศตั้งองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน เพื่อตรวจสอบข้าราชการ – นักการเมือง ที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ทุจริตคอรัปชัน

ภายหลังที่อธิบดีกรมการปกครอง ออกคำสั่งเมื่อวันศุกร์ (9 มิ.ย.) ให้เพิกถอนการรับจดทะเบียนสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ของนายศรีสุวรรณ จรรยา โดยระบุว่ามีการแอบอ้างชื่อบุคคลไปขอจดทะเบียน

ขณะที่นายศรีสุวรรณ ยังคงย้ำจุดยืนว่า ตนจะยังคงทำหน้าที่เพื่อตรวจสอบต่อไป ล่าสุดได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว รายงานความคืบหน้าในการจัดตั้ง องค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน พร้อมระบุข้อความว่า ...

ขอเชิญชวนทุกท่านที่มีอุดมการณ์ “รักชาติ รักแผ่นดิน” เดียวกัน มาร่วมเป็นสมาชิกขององค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน ซึ่งมีวัตถุประสงค์ ดังนี้
1)ต่อต้านการแก้ไขหรือยกเลิก ปอ.112 และการหมิ่นสถาบันเบื้องสูงทุกรูปแบบ
2)ติดตาม ตรวจสอบ จับผิด นักการเมือง พรรคการเมือง ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ที่ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ ฝ่าฝืนกฎหมาย หรือทุจริตคอรัปชัน(Corruption)
3)ติดตาม ตรวจสอบ จับผิด ชี้เบาะแส การเลือกตั้งในทุกระดับที่ส่อจะไม่สุจริต ไม่เที่ยงธรรม หรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย
4)ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐหรือการปฏิบัติที่ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ทุกมาตรา
5)เป็นตัวแทนประชาชนในการนำคดีขึ้นฟ้องร้องต่อศาลหากประชาชนไม่ได้รับความเป็นธรรม เดือดร้อนและเสียหาย จาการใช้อำนาจรัฐหรือการปฏิบัติที่ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายประชาชนหรือ Fc ท่านใดประสงค์จะเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน โดยไม่เสียค่าสมัครใด ๆ ทั้งสิ้น สามารถสมัครเป็นสมาชิกได้โดยการเขียนจดหมายแจ้งความประสงค์ พร้อมระบุ ชื่อ นามสกุล ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ ที่ชัดเจน พร้อมถ่ายสำเนาบัตรประชาชนจำนวน 1 แผ่น เซ็นต์ชื่อรับรองสำเนาถูกต้อง พร้อมทั้งขีดทับและเขียนข้อความว่า “สมัครสมาชิกองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน” ลงวันที่สมัครให้ครบ แล้วจัดส่งเป็นจดหมายไปรษณีย์มาที่ ตู้ ปณ.9 ปณล.ลำลูกกา อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ครับ

อดีตทูต ‘นริศโรจน์’ ย้อนถาม รักษาเอกราช ปกป้องสถาบันกษัตริย์ แบบนี้เรียก ‘แช่แข็งประเทศ’ หรือ

วันที่ 11 มิ.ย.2566 - นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา โพสต์เฟซบุ๊กโต้ข่าวที่นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความในทวิตเตอร์ ระบุฝ่ายอนุรักษ์นิยมอยากแช่แข็งประเทศ

โดยนายนริศโรจน์ ระบุว่า การต้องการรักษาความเป็นเอกราชหนึ่งเดียวของประเทศมิให้ถูกแบ่งแยก  การรักษาสถาบันกษัตริย์ สถาบันครอบครัวให้คงอยู่ การพัฒนาประเทศจนมีเงินทุนสำรอง และทองคำสำรองสูงจนติด Top อันดับโลก การพัฒนา infrastructure ถนนหนทาง รถไฟฟ้า ฯลฯ การพัฒนาโครงการระเบียงเศรษฐกิจ EEC  การพัฒนานวัตกรรมใหม่ เช่น ดวงอาทิตย์ประดิษฐ์ การปล่อยจรวด NAPA ขึ้นสู่อวกาศ ฯลฯ แบบนี้เรียกว่าการ “แช่แข็งประเทศ” หรือ ?

แล้วการปล่อยให้มีสุราเสรี มี sex worker เสรี  ครอบงำข้อมูลมิติด้านเดียวให้เด็กกระด้างกระเดื่องเป็นคนก้าวร้าว รังเกียจชาติ รังเกียจพ่อแม่ตัวเอง รังเกียจความเป็นไทย การสมรู้ร่วมคิดกับต่างชาติในการแบ่งแยกจังหวัดชายแดนภาคใต้ แบบนี้เรียกว่าอะไร ?


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top