Wednesday, 14 May 2025
NewsFeed

‘ลอรี่ พงศ์พล’ ชี้ 3 จังหวัดชายแดนใต้ เป็นของคนไทย 66 ล้านคน

นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ หรือ ลอรี่ นักการเมืองหนุ่มรุ่นใหม่ อดีตผู้สมัครส.ส.มุสลิมหนึ่งเดียวในเขตเลือกตั้งที่ 22 เขตสวนหลวง, เขตประเวศ (เฉพาะแขวงหนองบอน) จากพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก เกี่ยวกับประเด็น รัฐปาตานี โดยได้แสดงความคิดเห็นไว้ มีใจความว่า ...

แยก 'รัฐปาตานี' 
ฉันทามติของใคร หรือ
เป็นอธิปไตยคนไทยทุกคน?
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีความเคลื่อนไหวการเมืองสารพัด หลายเรื่องควรปล่อยไปตามคำวินิจฉัยขององค์กรที่เกี่ยวข้อง.. แต่เรื่องหนึ่งที่ผม มิอาจปล่อยได้คือ ความพยายามจัดประชามติ - เคลื่อนไหวลองเชิง เพื่อแบ่งแยกตัวเองของ 3จังหวัดภาคใต้ ภายใต้ชื่อ 'รัฐปาตานี' ที่ร่วมขบวนโดยกลุ่มนักศึกษา และตัวแทนพรรคการเมืองกลุ่มหนึ่ง

จากประชามติ "แยกดินแดน - แยกตัวเป็นเอกราช” ที่ทำกันที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ไปจนถึงการประชุมถกร่วม 8พรรค ของว่าที่พรรคร่วมรัฐบาล ..เรื่องเหล่านี้ทำให้ผมเป็นห่วง เพราะฟังแล้วออกจะผิดแปลก จากกรอบรัฐธรรมนูญ มาตรา 1 “ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้”

กลุ่มนักศึกษากลุ่มหนึ่ง อ้างความคิดแบ่งแยกจากจุลสาร "สิทธิในการกำหนดชะตากรรมตนเอง" ซึ่งเขียนโดย ณัฐกฤษตา เมฆา เพื่อขยายความเรื่องสันติภาพที่แท้จริง ซึ่งประชาชนเป็นเจ้าของ

ผมขอถามว่า "ใครคือเจ้าของ 3จังหวัดชายแดนภาคใต้"

- คนที่ถือโฉนดที่ดิน มีกรรมสิทธิ์ ?
- ผู้อยู่อาศัย ที่มีทะเบียนบ้านในพื้นที่ ?
..ปล่าวเลย
เจ้าของ คือ "ประชาชนคนไทย 66ล้านคน" ที่มีอธิปไตยในประเทศตนเอง

การทำประชามติจากกลุ่มนักศึกษา เรื่องเอกราชของ 3จังหวัดชายแดน นอกจากสุ่มเสี่ยงผิดรัฐธรรมนูญ.. อีกทั้งยังละเมิดเจ้าของพื้นดิน 3จังหวัดภาคใต้ตัวจริง ซึ่งคือประชาชนทุกคนใน 76จังหวัด + 1กรุงเทพ

อยากทำประชามติแบบแฟร์ ต้องทำมันทุกจังหวัดครับ ไม่ใช่พื้นที่ไม่กี่อำเภอในพื้นที่ ..เพราะคนไทยทุกคนเป็นเจ้าของพื้นที่ เสียภาษีเพื่อทำนุบำรุง 3จังหวัดชายแดนภาคใต้มายาวนาน ไม่ใช่ปิดประตู ถามแค่คนในแบบนี้

ถามเอง-ลงมติเอง-แยกเอง "คนไทยทุกคน"เสียหาย จะเดินทางเข้ายะลา, ปัตตานี, นราธิวาส ต้องขออนุญาติ ทำเรื่องวีซ่าเข้า ทั้งที่พื้นที่นี้คือแผ่นดินของคนไทยเราร่วมกัน ใช่หรือไม่

ประเทศไทยเป็นรัฐเดี่ยว ที่จะแบ่งแยกมิได้ นี่ยังไม่ได้ พูดความสามารถในการเลี้ยงดูตัวเองของ 3จังหวัด ที่ยังจัดเก็บภาษีได้น้อย และพึ่งงบประมาณช่วยเหลือต่อปี จากส่วนกลางจำนวนมาก

ปัตตานี จัดเก็บภาษีได้เอง 182ล้านบาท
ยะลา จัดเก็บภาษีได้เอง 215ล้านบาท
นราธิวาส จัดเก็บภาษีได้เอง 128ล้านบาท
(เทียบกับจังหวัดอื่นในปี65 สงขลา 1,074ล้าน, กรุงเทพ 19,748ล้าน, อุบลราชธานี 640ล้าน, เชียงราย 548ล้าน เป็นต้น)

แต่ทั้ง 3 จังหวัดยังต้องพึ่งพา งบจัดสรรทางภาครัฐ + เงินอุดหนุน (Intergovernmental Transfers) รวมทั้งหมดถึง 17,894 ล้านบาท

จำนวนเงินแตกต่างกันมหาศาล จนมีคำถามว่าเมื่อปราศจากเงินภาครัฐส่วนกลาง ทั้ง 3จังหวัดจะมีการบริหารตัวเองอย่างไร?

ความคิดอยากเปลี่ยนแปลง ต้องตั้งอยู่ในสมมุติฐานความเป็นจริง เคารพต่อรัฐธรรมนูญ หลักการประชาธิปไตย ที่ประชาชนไทยทุกคนต้องมีส่วนร่วม, คำนึงถึงความพร้อมด้านเศรษฐกิจ ปากท้อง, ความมั่นคงของประเทศ 

หาใช่เพียงการไม่ยอมรับความแตกต่าง ต่อต้าน และไวต่อแรงยั่วยุของกลุ่มบุคคลไม่หวังดี

ผมยังเชื่อว่าพี่น้อง 3 จังหวัดภาคใต้ ยังสามารถหาทางออกร่วมกับประเทศ อยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรม ต่างชาติพันธุ์ ต่างศาสนา

เรามาหาแนวทางพิทักษ์สันติราษฎร์ที่โปร่งใสขึ้น ทุกคนยอมรับได้

อย่างสันติวิธีดีกว่าครับ
 

ประกาศวางมือ ‘จอร์จ โซรอส’ ยกธุรกิจ มูลค่ากว่า 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ให้ ‘อเล็กซานเดอร์’ บุตรชาย รับช่วงต่อ เพจทันข่าว Today ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ นายจอร์จ โซรอส มหาเศรษฐีนักการเงิน ที่ได้ประกาศวางมือจากธุรกิจ โดยมีใจความว่า ... . นายจอร์จ โซรอส มหาเศ

เพจทันข่าว Today ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ นายจอร์จ โซรอส มหาเศรษฐีนักการเงิน ที่ได้ประกาศวางมือจากธุรกิจ โดยมีใจความว่า ...
 
นายจอร์จ โซรอส มหาเศรษฐีนักการเงิน ผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ผู้โด่งดัง ประกาศวางมือทางธุรกิจในวัย 92 โดยตัดสินใจถ่ายโอนอำนาจการบริหารมูลนิธิ โอเพน โซไซตี (OSF) และอาณาจักรทางธุรกิจมูลค่ากว่า 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ให้แก่นายอเล็กซานเดอร์ บุตรชาย 
 
โซรอสในระยะหลังผันตัวมาเป็นนักการกุศลและเป็นผู้สนับสนุนแนวคิดเสรีนิยม 
 
นายอเล็กซ์บุตรชาย มีความชอบเรื่องการเมือง มากกว่าพ่อ และเขาวางแผนที่จะบริจาคเงินของครอบครัวให้กับแคนดิเดตทางการเมืองฝ่ายซ้ายของสหรัฐต่อไป 
 
มูลนิธิ OSF ให้ความสำคัญกับการลงคะแนนเลือกตั้ง สิทธิในการทำแท้ง และความเท่าเทียมทางเพศ
 
ปัจจุบันนายอเล็กซ์เป็นผู้ควบคุมกิจกรรมทางการเมืองในฐานะประธานคณะกรรมการดำเนินการทางการเมืองของนายโซรอส
 
WSJ รายงานว่า มูลนิธิ OSF มอบเงินประมาณ 1.5 พันล้านดอลลาร์ต่อปีให้กับกลุ่มต่าง ๆ เช่น กลุ่มสนับสนุนสิทธิมนุษยชนทั่วโลก ตลอดจนกลุ่มสนับสนุนประชาธิปไตย

‘จตุพร’ ฟันธง กรณีหุ้นไอทีวี แม้มีคลิปเสียงหลุด ‘พิธา’ ก็ไม่ได้นั่งเก้าอี้

วันที่ 13 มิ.ย. 2566 - นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน “ข่าวดี…มาก่อนข่าวร้าย?” โดยเชื่อว่า คลิปเสียงประชุมผู้ถือหุ้นไอทีวีจงใจหลุดออกมาปฎิบัติการตอกลิ่มขัดแย้งให้พรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทยที่กำลังช่วงชิงนายกฯ ถึงที่สุดปลายทาง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะคว้านายกฯ ไปครองสำเร็จ

นายจตุพร กล่าวว่า กรณีหุ้นไอทีวี เกี่ยวข้องทั้งทางการเมืองและกฎหมาย โดยไอทีวีเกิดขึ้นในปี 2535 ต้องการให้เป็นสื่อเสรี เป็นช่องทางสาธารณะของประชาชน ไม่อยู่ใต้การครอบงำของรัฐ แต่สามารถดำเนินธุรกิจได้

กระทั่งไอทีวีมาอยู่ในมือของชินคอร์ป แล้วเกิดปัญหากับนักข่าวหลายคน นักข่าวที่มีทัศนคติเป็นปัญหากับเจ้าของก็ถูกสั่งให้ออก เมื่อเกิดปัญหาจ่ายค่าสัมปทานกับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) จนถูกฟ้องร้องยกเลิกสัญญาพร้อมเรียกเงินค้างจ่ายค่าสัมปทานระบบ UHF

อย่างไรก็ตาม บริษัทไอทีวีถูกขายต่อกันหลายทอด จนมาอยู่กับบริษัทอินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ในปัจจุบัน โดยบริษัทนี้มีความสัมพันธ์กับบริษัทพลังงาน ซึ่งมีความสัมพันธ์กับเจ้าของเดิมไอทีวี อีกทั้งได้สัมปทานไฟฟ้า 5,000 เมกะวัตต์ โดยไม่ต้องประมูลแข่งขัน จึงเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่างในด้านพลังงานในปัจจุบัน แล้วไอทีวี กลายเป็นประเด็นการเมืองและถกเถียงด้านกฎหมายคุณสมบัติผู้สมัคร ส.ส.

อีกทั้ง กล่าวว่า ถ้านายพิธา เป็นบุคคลธรรมดา ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคการเมือง ไม่เป็นนักการเมือง หรือไม่ได้เป็นแคนดิเดตนายกฯ ขอบเขตกฎหมายไม่สามารถเข้าไปจัดการกับการถือหุ้นไอทีวีได้ แต่ความจริงคือ นายพิธา เมื่อเป็นนักการเมือง กฎหมายมีข้อห้ามถือหุ้นสื่อ จึงเกิดรอยปริทางอำนาจขึ้นอย่างเดือดระอุ

นายจตุพร กล่าวว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ปกติมีหน้าที่แจกข่าวดีเป็นส่วนใหญ่ โดยข่าวดีที่แจกแล้ว คือ ยกเลิก 3 คำร้องจากผู้ร้อง 3 คนให้ตรวจสอบคุณสมบัติผู้สมัคร ส.ส.ของนายพิธา กรณีถือหุ้นสื่อไอทีวี จากนั้นจึงนำไปไต่สวนตามข้อหาคดีอาญา ม.151 ของ พรป.เลือกตั้ง ส.ส.ปี 2561 เกี่ยวกับการรู้ว่าไม่มีคุณสมบัติแล้วมาสมัครเลือกตั้ง ดังนั้น แสดงว่า คำร้องคุณสมบัติต้องห้ามการถือหุ้นสื่อน่าจะมีมูลพอสมควร จึงต้องไต่สวนหาข้อเท็จจริงเพื่อนำไปดำเนินคดีอาญา

รวมทั้ง กล่าวว่า เส้นทางของ ม.151 แม้มีการสร้างจินตนาการถึงการต่อสู้ได้ยาวนานถึง 3 ศาลกว่าจะผลยุติ แต่เมื่อไต่สวนจนมีความปรากฎ กกต. สามารถใช้ ม.98 (3) ของ รธน. 2560 ยื่นให้ ศาล รธน.วินิจฉัยได้ อีกอย่างผู้ร้อง 3 คนที่ถูกยกคำร้องนั้น ยังสามารถมายื่นใช้สิทธิตาม รธน.ได้ด้วย ซึ่ง กกต. อาจได้ชี้แจงให้ผู้ร้องรับทราบด้วยแล้ว

“ในข่าวดีที่ กกต. แจ้งยกคำร้องการถือหุ้นสื่อนั้น ยังมีข่าวร้ายคือ ทันที่นายพิธา ได้รับการรับรอง ส.ส. ผู้ร้องเดิมทั้ง 3 คนยังร้องต่อไปได้ หรือเมื่อผลจากตั้งกรรมการไต่สวน กกต.ก็ดำเนินการเอง โดยไม่จำเป็นให้แต่ละสภายื่นตรวจสอบคุณสมับัติห้ามถือหุ้นสื่อเลยก็ได้”

นายจตุพร ตั้งข้อสังเกตุว่า มันง่ายไปหรือไม่ที่บริษัทไอทีวีประชุมผู้ถือหุ้นโดยเปิดเผยผ่านช่องทางโชเชียลมีเดีย แล้วมีรายงานการประชุมออกไป ถัดจาดนั้นตามด้วยหลุดคลิปเสียงอย่างมีนัยยะสำคัญ เพราะเสียงในการประชุมกับบันทึกการประชุมไม่ตรงกัน

อย่างร็ตาม ผู้คนไม่สนใจว่า ทางกฎหมายบริษัทไอทีวียังอยู่ และยังไม่ได้ปิดบริษัท หรือจดทะเบียนยกเลิกบริษัท จึงทำให้เกิดอารมณ์แรกที่ชัดเจน คือ การบันทึกรายงานการประชุมกับคลิปเสียงที่ออกไม่ตรงกัน ได้กลายเป็นข่าวดีกล่อมสร้างบรรยากาศดีใจของผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกล

“วันนี้ ถ้าเอาอารมณ์ความรู้สึกมาสร้างความชอบธรรมและอธิบายสาธารณะแล้ว ย่อมได้ทางการเมืองแน่นอน แต่ข้อกฎหมายนั้น มันยังดิ้นยากอยู่ เหตุคลิปเสียงนี้ออกมาจะเรียงร้อยทุกเรื่องให้มีนัยยะสำคัญ โดยไม่รู้ใครหย่อนออกมาให้กระจายไปในสาธารณะ และมีเจตนาอะไร แต่ก็เป็นข่าวดีสร้างขวัญกำลังใจให้นายพิธา กับผู้สนับสนุน ถึงที่สุดก็ไม่ใช่ปลายทางของการเมือง”

นายจตุพร กล่าวว่า อีกมุมหนึ่งการหลุดคลิปเสียงนั้น อาจส่งแรงกระเพื่อมและตอกลิ่มให้พรรคการเมืองจำนวน 312 เสียงก็ได้ เพราะคลิปเสียงดูเหมือนทำให้เกิดความรู้สึกว่า เกมพลิกแล้ว และเกิดความชอบธรรมทางการเมืองให้เกิดขึ้นกับนายพิธา ทั้งที่หากไม่มีคลิปเสียง กกต.ก็สามารถปิดเกมถือหุ้นสื่อได้อยู่แล้ว

สิ่งสำคัญ นายจตุพร เชื่อว่า กกต.ได้ปล่อยข่าวดีมาสร้างความชอบธรรมให้พรรคก้าวไกลมาต่อเนื่อง โดยเริ่มยกคำร้องการถือหุ้นสื่อ 3 คำร้อง ตามด้วยยกคำร้องการยุบพรรค 4 คำร้องในเวลากลางวันของวันอาทิตย์ และกระจายสะพัดสาธารณะในช่วงกลางคืนทันที ปรากฎการณ์นี้แสดงถึง กกต.กำลังลดความกดดันทางการเมืองที่ร้อนแรง ซึ่งเริ่มระอุเดือดขึ้นกับพรรคก้าวไกลและผู้สนับสนุน

อีกทั้ง เห็นว่า การสร้างข่าวดี ด้วยการยกคำร้องต่างๆ นั้น ทำให้ กกต.เริ่มกลายเป็นตัวดีในอารมณ์ทางการเมืองที่คุกรุ่นขึ้นของผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกล แต่ในปลายทางของการไต่สวน กกต.อาจจะกำไม้เด็ดไว้ในมือ เพื่อจัดการและมุ่งหวังผลในทางการเมืองอย่างเด็ดขาดในสถาการณ์ประทุขึ้นเมื่อปลายทาง

“เมื่อรายงานการประชุมหลุดออกมาในช่วงบรรยายสร้างข่าวดีของ กกต. แล้วเกิดคลิปเสียงหลุดออกมาอีกจากผู้อำนวยการสร้างข่าวดีคนเดิมที่ออกแบบสร้างให้เกิดความขัดแย้งในฝากฝั่งพรรคที่เรียกตัวเองว่า ฝ่ายประชาธิปไตย และจะยิ่งตอกลิ่มหนักขึ้น เมื่อ กกต. รับรอง ส.ส.ให้เกิน 475 เสียง และที่ไม่รับรองก็จะจัดการเลือกตั้งด่วน อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งหมด แล้วความวุ่นวายจะประทุประเดประดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง”

นายจตุพร กล่าวว่า การคิดอ่านทางการเมืองในรอบนี้ ถึงนายพิธา จะถูกหยุดหรือไม่หยุดการปฏิบัติหน้าที่ หรือไม่มีกรณีถือหุ้นไอทีวีมาเป็นอุปสรรคขวางกั้นก็ตาม ย่อมหาเสียงไม่ได้ถึง 376 เสียงอยู่ดี ดังนั้น แม้มีคลิปเสียงหลุดออกมา นายพิธา ก็ไม่ได้เป็นนายกฯ อยู่ดี

“สิ่งสำคัญ ทางที่กำลังเดินไปสู่ปลายทางนั้น จะเห็นคู่มวยอย่างพรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทยกำลังเริ่มตั้งท่าเดือดใส่กันในกรณีเลือกประธานสภา และเลือกนายกฯ ซึ่งฟันธงได้เลยว่า คนเป็นนายกฯ คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ (แคนดิเดตนายกฯ จากพรรคพลังประชารัฐ) ส่วนใครจะโหวตกันบ้าง คอยดูงูเห่าจะเลื้อยเพ่นพ่านในห้องประชุมสองสภาวันโหวตเลือกนายกฯ”

นายจตุพร กล่าวว่า การเมืองครั้งนี้ อะไรที่ดีอย่างผิดปกติ ย่อมไม่ธรรมดา ดังนั้น ร่องรอยเรื่องคลิปหลุดสืบสาวกันไม่ยาก แต่ถึงที่สุดความขัดแย้งก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากปลายทางที่กำหนดความต้องการไว้ เพราะการเมืองเป็นกลเกม และในกระดานแห่งอำนาจที่ต้องช่วงชิงกันรอบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยเล่ห์เพทุบายการออกแบบไว้.

'LINE TODAY’ เผย ‘เลือกตั้ง 66’ ทำคนไทยสนใจการเมืองเพิ่มขึ้น หลังยอดคอนเทนต์พุ่ง ตอกย้ำว่า ‘การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน’

เมื่อไม่นานนี้ LINE TODAY ได้ออกมาเผย สถิติคนไทย ว่ามีแนวโน้มสนใจเรื่องการเมืองเพิ่มขึ้น และพร้อมเดินหน้าเสิร์ฟคอนเทนต์เพื่อทุกความสนใจของคนไทย ล่าสุดกับการเกาะติดการ ‘เลือกตั้ง 66’ ได้จัดเต็มเสิร์ฟคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องจากพาร์ทเนอร์ผู้ผลิตชั้นนำตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนมาจนถึงวันเลือกตั้ง หากย้อนดูสถิติ พบการเติบโตอย่างน่าสนใจจากพลังแพลตฟอร์มที่ดันให้พาร์ทเนอร์ผู้ผลิตคอนเทนต์ที่ร่วมในโปรเจกต์เติบโตถ้วนหน้า ย้ำพร้อมเดินหน้าตอบโจทย์เนื้อหาความสนใจคนไทยอย่างต่อเนื่อง

เจาะ 4 ความสำเร็จ เรตติ้งคอนเทนต์เลือกตั้งและการเมืองบน LINE TODAY ด้วยแนวคิด ‘รู้สึก รู้ครบ รู้รอบ’ ที่มุ่งเสริมประสบการณ์คอนเทนต์รอบด้านในเหตุการณ์ระดับประเทศอย่างการเลือกตั้งที่ผ่านมา ตั้งแต่ ‘ติดตามไลฟ์และรายงานผล - เกาะติดข่าวสาร - ทดสอบความรู้ - นับถอยหลัง’ พบการเติบโตรอบด้าน ทั้งในแง่ความนิยมจากคนอ่านทุกเพศ ทุกวัย นำไปสู่การเติบโตให้แก่พร์ทเนอร์ผู้ผลิตคอนเทนต์ชั้นนำที่ร่วมโปรเจกต์ นำโดย ไทยรัฐออนไลน์, มติชน, The
MATTER, THE STANDARD, Thai PBS, TODAY และอีกมากมาย

1.) คนแห่ดูไลฟ์ดุเดือด ดันยอดไลฟ์พุ่งสูงถึง 57% ในช่วงใกล้เลือกตั้งที่ผ่านมานั้นได้มีคอนเทนต์ไลฟ์การดีเบตจากพาร์ทเนอร์ที่ระดมแคนดิเดตจากพรรคต่างๆ มาร่วมอภิปรายนโยบายในรูปแบบหลากหลายและเข้มข้น สร้างกระแสในวงกว้าง เรียกผู้ชมดู LIVE แบบสดๆ ผ่าน LINE TO DAY อย่างล้นหลาม ดันยอดวิวให้แก่พาร์ทเนอร์เฉลี่ยถึง 57% สูงขึ้นกว่า 27 เท่า จากช่วงก่อนเลือกตั้ง ขณะที่ยอดเพจวิวจากคอนเทนต์ประเภทบทความข่าวสาร เรื่องการเลือกตั้งและการเมืองจากพาร์ทเนอร์ต่างๆ บน LINE TODAY เพิ่มสูงขึ้นถึง 67% โดยเฉพาะในช่วง 13 - 14 พฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงวันเลือกตั้ง ก็พายอดวิวแตะนิวไฮพุ่งสูงเกิน 100 ล้าน

2.) ควิซมาแรง วัดความรู้ความเข้าใจ ในช่วงที่ผ่านมา LINE TODAY มีแบบทดสอบคำถาม หรือ ควิซทดสอบความรู้ก่อนการเลือกตั้งมากมาย ทั้งสร้างสรรค์ขึ้นโดย LINE TODAY เอง และแบบร่วมกันสร้างสรรค์กับพาร์ทเนอร์ ได้แก่ รู้จัก ‘แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี’ ในศึกเลือกตั้ง 2566, คุณรู้ไหมว่าเขาเลือก นายกฯ กันอย่างไร? และทดสอบความพร้อมก่อนเข้าคูหา : เลือกตั้ง 2566 ที่สามารถชวนคนไทยทั่วประเทศมาร่วมทำควิซทดสอบได้ถึง 150,000 คน

3.) คนรุ่นใหม่สนใจการเมืองมากกว่าเคยในแง่ของประชากรผู้ใช้ LINE TODAY พบว่าคนรุ่นใหม่มีความสนใจคอนเทนต์เลือกตั้งและการเมืองพุ่งสูงขึ้น โดยจำนวนกลุ่มผู้ใช้ ที่อายุต่ำกว่า 20 ปี เพิ่มขึ้น 63% และบริโภคคอนเทนต์ประเภทการเมืองมากขึ้นเฉลี่ย 67% เป็นนัยยะของการที่คนอายน้อย รวมถึงผู้มีสิทธิเลือกตั้งครั้งแรก (first voter) ให้ความสำคัญในเรื่องการเมืองจริงจังมากขึ้น และตอกย้ำว่าการเมืองเป็นเรื่องสำหรับทุกวัย ตามมาด้วยกลุ่มผู้ใช้อาย 30 - 40 ปี เพิ่มขึ้นถึง 61% บริโภคคอนเทนต์การเมืองมากขึ้นถึงวันละ 57% ต่อวัน

4.) เมื่อการเมือง ไม่ได้เป็นแค่กระแสอีกต่อไป แม้จบการเลือกตั้ง ความสนในใจคอนเทนต์เลือกตั้งและการเมืองยังคงสูงอย่างต่อเนื่อง โดยยอดเพจวิวคอนเทนต์เหล่านี้ยังสูงถึง 4 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเลือกตั้ง เป็นจุดที่ชี้ให้เห็นว่าการเมือง ไม่ได้เป็นเพียงแค่กระแสชั่วคราว แต่ได้กลายเป็นวาระสำคัญที่คนทั้งประเทศให้ความสนใจอย่างจริงจัง ซึ่งแม้จะผ่านช่วงเลือกตั้งไปแล้ว LINE TODAY ก็ยังคงจัดเต็มคอนเทนต์ด้านการเลือกตั้งและ การเมืองที่สอดรับไปกับสถานการณ์ปัจจุบันในหลากหลายแง่มุมจากพาร์ทเนอร์ผู้ผลิตคอนเทนต์ชั้น นำให้คนไทยได้ติดตามอย่างต่อเนื่อง

‘Snow AI Profile’ แอปฯ แต่งรูปสุดฮิตที่โด่งดังในชั่วข้ามคืน แปลงโฉมให้กลายเป็นสาวเกาหลี เหมือนยกสตูฯ มาถ่ายที่บ้าน!!

เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 66 แอปฯ มาแรง ยอดฮิตสาวโซเชียล ‘Snow AI Profile’ แปลงรูปเราเป็นภาพถ่ายโปรไฟล์แบบสาวเกาหลี สวย เนียน เหมือนยกสตูดิโอมาถ่ายที่บ้าน

กำลังมาแรงแบบสุดๆ ชนิดที่ใครเป็นสาวกโซเชี่ยลต้องเคยเห็นผ่านตา สำหรับแอปพลิเคชันยอดฮิตอย่าง ‘Snow’ ที่เปิดฟีลเตอร์ใหม่แปลงภาพเป็นโปรไฟล์แบบสาวเกาหลี ใช้เทคโนโลยี AI พร้อม Generated ภาพโปรไฟล์ของเรา ให้ออกมาเหมือนถ่ายในสตูดิโอเกาหลี (เนียนและสวยมาก) ด้วยแพ็กเกจเสียเงิน 2 ตัวเลือก

วิธีการ คือ

1.) ดาวน์โหลดแอปฯ Snow ผ่าน App Store หรือ Play Store โดยเป็นแอปฯ ที่มีไอคอนตัว S สีฟ้า

2.) เปิดหน้าอินสตาแกรมของแอคเคาท์ @snow_kr_official แล้วคลิกไปที่ลิงก์บนไบโอ

3.) เลือกแพ็กเกจ 2 ตัวเลือก ดังนี้
Standard : อัปโหลดภาพโปรไฟล์ 30 ภาพ ราคา 79 บาท รอ AI ประมวลผล 24 ชั่วโมง
Express : อัปโหลดภาพโปรไฟล์ 30 ภาพ ราคา 199 รอ AI ประมวลผล 1 ชั่วโมง

4.) หลังเลือกแพ็กเกจก็เข้าหน้ารอรูปให้โหลดในระบบ และห้ามกดปิดแอปฯ เด็ดขาด เพราะจะขึ้นแจ้งเตือนว่ารูปโปรไฟล์เสร็จแล้วนั่นเอง

5.) เมื่อระบบโหลดรูปเสร็จตามเวลาที่ซื้อแพ็กเกจไว้ ก็สามารถเซฟรูปเข้าเครื่องได้

แต่เนื่องจากมีปัญหาผู้ใช้งานเยอะเกินไปในขณะนี้ ทำให้ขึ้น ‘Sold Out’ ต้องใช้เวลาค้างหน้านั้นสักพักจนกว่าจะขึ้นให้กดซื้ออีกครั้ง
 

รู้จัก ‘หนองโพ’ นมโค 100% ที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อสังคม-คนเลี้ยงวัว

(13 มิ.ย.66) หลังจากที่ผ้าไทยได้ขาดตลาดไปแล้ว คราวนี้ถึงคิวของ ‘นมถุงหนองโพ’ เมื่อ ‘ลิซ่า BLACKPINK’ ได้ถ่ายลงสตอรี่อินสตราแกรมที่มีผู้ติดตามทั่วโลกกว่า 94 ล้านคน พร้อมแคปชัน “วัยเด็กต้องนี่เลย!”

งานนี้จึงเชื่อได้ว่า ‘นมถุงหนองโพ’ คงต้องขาดตลาดอีกแน่นอน เพราะไม่ว่าสาวลิซ่าจะหยิบจับอะไร ก็กลายเป็นที่สนใจทุกครั้งไป ช่วยคืนชีพ Soft Power ไทยให้ดังไกลไปทั่วโลก

ว่าแต่ ‘แบรนด์หนองโพ’ มีที่มาที่ไปอย่างไร?

ถ้าหากให้ผู้ใหญ่ในวัยนี้ได้ย้อนนึกไปถึงวัยเด็ก เชื่อว่าหลายคนย่อมคุ้นเคยและมีประสบการณ์ร่วมกับ ‘นมหนองโพ’ มาไม่มากก็น้อย ทั้งรูปแบบของนมกล่อง หรือนมถุง จนรู้ตัวอีกทีหนองโพก็เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่อยู่คู่และเติบโตมาพร้อมๆ กับคนไทยไปแล้ว

แนวคิดในการก่อตั้งแบรนด์ ‘หนองโพ’ ซึ่งมีที่มาจากชื่อของตำบลหนึ่งในจังหวัดราชบุรี แหล่งเลี้ยงโคนมที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศ มาจากการที่ตกผลึกถึงเกษตรกรผู้อยู่เบื้องหลังของเศรษฐกิจของประเทศ แต่หลายครั้งพวกเขากลับเข้าไม่ถึงโอกาสต่างๆ เช่นเดียวกับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม ซึ่งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา กรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เปิดเผยว่าประเทศไทยมีเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์และทำปศุสัตว์กว่า 2.9 ล้านราย และในจำนวนนั้นเป็นผู้เลี้ยงโคนมราว 18,000 ราย ที่คอยดูแลโคนมมากกว่า 600,000 ตัวทั่วประเทศ

ทั้งนี้หากย้อนไปเมื่อ 54 ปีก่อน ในปี 2511 กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมที่ราชบุรีเผชิญหน้ากับปัญหาด้านเศรษฐกิจ และเกิดปัญหาด้านสถานที่จำหน่ายน้ำนมดิบ จนสร้างความเสียหายให้กับน้ำนมดิบที่เก็บไว้และเกิดการขาดทุน ทำให้มีการรวมตัวเพื่อถวายฎีกาต่อในหลวงรัชกาลที่ 9 เกี่ยวกับปัญหาตลาดจำหน่ายน้ำนม

พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างโรงงานเพื่อแปรรูปน้ำนมดิบที่ตำบลหนองโพ ในปี 2515 และดำเนินการในรูปแบบของสหกรณ์การเกษตร ซึ่งได้เปลี่ยนชื่อเป็น ‘สหกรณ์โคนมหนองโพราชบุรี จำกัด (ในพระบรมราชูปถัมภ์)’ สหกรณ์นี้เองทำให้เกิดการรวมตัวที่เข้มแข็งของกลุ่มผู้เลี้ยงโคนม สร้างรายได้ สร้างคุณภาพชีวิต และสร้างโอกาสมากมายมายาวนานกว่า 5 ทศวรรษ จนปัจจุบันสหกรณ์มีสมาชิกกว่า 4,000 คน ที่กระจายรายได้เข้าสู่หลายพันครัวเรือน และนำไปสู่การพัฒนาน้ำนมและเลี้ยงวัวให้มีคุณภาพและมีความสุข

ดังนั้นหนองโพจึงไม่ใช่เพียงแค่แบรนด์นมโคคุณภาพสูง แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาหนองโพเป็นจุดศูนย์กลางของคุณภาพชีวิต และความสุขของคนเลี้ยงโคนมมาโดยตลอด ซึ่งโอกาสเหล่านั้นได้พัฒนามาในรูปแบบของน้ำนมโค 100% ที่เต็มไปด้วยสารอาหารและประโยชน์ดีๆ ไม่ว่าจะเป็นแคลเซียม, วิตามินบี 2, วิตามินบี 12 และโปรตีนที่มาช่วยสร้างสุขภาพดีๆ ให้กับคนไทยทั่วประเทศ

ปัจจุบันหนองโพมีทั้งหมด 3 รูปแบบ คือ...

>> นมถุง (พาสเจอร์ไรซ์) มี 5 รสชาติสุดอร่อย คือ จืด, หวาน, ช็อกโกแลต, สตรอว์เบอร์รี และ กาแฟ (สูตรพร่องไขมัน)

>> นมกล่อง (ยูเอชที) ที่มี วัวยิ้มอยู่หน้ากล่อง  มีสองขนาด 225 มล. และ 180 มล. และมีถึง 5 รสชาติ ให้เลือก คือ จืด, หวาน, ช็อกโกแลต, รสจืด (สูตรพร่องมันเนย), กาแฟ (สูตรพร่องไขมัน) 

>> และสำหรับเด็กเล็ก ที่เพิ่งเริ่มหัดดื่มนม หนองโพ ก็มีแบบ นมยูเอชที กล่องเล็ก ขนาด 125 มล. จำชื่อให้ดี นมหนองโพ ไฮคิดส์  มีรสชาติ ให้เลือก 3 รสชาติ คือ จืด, หวาน, ช็อกโกแลต 

ไม่ใช่แค่นมสดเท่านั้น หนองโพยังมีผลิตภัณฑ์แปรรูปอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นโยเกิร์ตและไอศกรีมที่ผลิตจากนมโคแท้ ๆ ที่ขอบอกว่าต้องลองสักครั้ง

โดยสรุปแล้ว แบรนด์หนองโพไม่ได้มีดีแค่นมที่สดใหม่ รสชาติดีเท่านั้น แต่เป็นอีกแบรนด์สำคัญที่สร้างความเข้มแข็งและส่งต่อโอกาสให้กับกลุ่มผู้เลี้ยงโคนมและครอบครัวผ่านการรวมตัวของสหกรณ์อย่างยั่งยืน และการที่ไอดอลคนดังอย่าง ลิซ่า BLACKPINK ได้จับตำนานขึ้นมาโพสต์หนนี้ คงมีออเดอร์ล้นแบบผลิตกันไม่ทันขายแน่นอน...

ทนายรัชพล’ ลุยเอาผิด ‘คิมห์-เรืองไกร’ ปมหุ้นสื่อไอทีวี เข้าข่ายแจ้งความเท็จ-ปลอมเอกสาร ลั่น!! จะฟ้องกลับก็ไม่กลัว

(13 มิ.ย. 66) ที่สน.ทุ่งสองห้อง นายรัชพล ศิริสาคร ทนายความชื่อดัง เข้าแจ้งความกับ พ.ต.ต.อนุชิต ชาติชูเหลี่ยม สว.(สอบสวน) สน. ทุ่งสองห้อง เพื่อให้ดำเนินคดีกับนายคิมห์ สิริทวีชัย และนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ กรณีบันทึกการประชุมขัดแย้งกับคลิปวิดีโอ เข้าข่ายแจ้งความเท็จ ปลอมเอกสาร เพื่อให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตรวจสอบหากพบว่ากระทำผิดจริง ขอให้ดำเนินคดีตามกฎหมายเอาตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษ

นายรัชพล กล่าวว่า เรื่องนี้มีคนจำนวนมากกล่าวถึงว่าเป็นการกระทำผิดในเรื่องของการปลอมแปลงเอกสาร และความผิดอีกหลายมาตรา จนเป็นข่าวอยู่ตามหน้าสื่อต่างๆ แต่ยังไม่มีผู้ใดเข้าดำเนินการแจ้งความ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง ตนในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ขอเป็นตัวแทนเข้าแจ้งความกล่าวโทษ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ดำเนินคดี โดยพบพิรุธความผิดปกติอยู่ 3 ประการ ประการแรกคือ คลิปภาพกับเอกสารมีข้อความบางส่วนไม่ตรงกัน ประการที่ 2 ตามที่เพจของคุณจตุรงค์ สุขเอียด ระบุว่า คลิปดังกล่าวได้ลบไฟล์ทิ้ง แต่ต้องตรวจสอบอีกครั้ง และ 3 คือ นายคิมห์ ออกหนังสือให้ตรวจสอบ แต่จริงๆ แล้วตัวนายคิมห์เองต้องเป็นผู้ออกมาชี้แจง เพราะตัวนายคิมห์เป็นประธานในที่ประชุมและเอกสารก็เป็นคนเซ็นเอง ในส่วนนี้มองว่าน่าจะเป็นการถ่วงเวลา โดยออกเอกสาร เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจและไม่ได้ระบุเวลาว่าเรื่องราวดังกล่าวจะตรวจสอบเสร็จเมื่อไร

นายรัชพล กล่าวว่าส่วนนายเรืองไกรจะพูดอะไรก็ได้ ถึงแม้จะบอกว่าไม่ได้เป็นคนยื่นเอกสารการประชุมให้ กกต. แต่ความเป็นจริงไม่มีใครรู้ว่ายื่นหรือไม่ เพราะเอกสารอยู่ที่ กกต. ซึ่งส่วนนี้ตำรวจสามารถเรียกเอกสารมาตรวจสอบได้ แต่หากยื่นจริงและ พิสูจน์ได้ว่าเป็นการกลั่นแกล้งยื่นเอกสารอันเป็นเท็จ สามารถดำเนินคดีได้ ในส่วนนี้เดี๋ยวตำรวจต้องสืบสวนต่อไปว่าเข้าข่ายกระทำการกระทำความผิดหรือไม่ ในส่วนที่บางคนอาจจะมองว่าเป็นกระบวนการการกลั่นแกล้ง เท่าที่ดูพยานหลักฐานในตอนนี้อาจจะยังไปไม่ถึง

นายรัชพล กล่าวว่า สำหรับนายเรืองไกร ที่ก่อนหน้านี้บอกว่าไม่ได้ไปยื่นเอกสารบันทึกการประชุมให้กับ กกต. เป็นสิ่งที่ไม่มีใครรู้ว่ายื่นหรือไม่ยื่น อยากให้ตำรวจตรวจสอบว่ายื่นจริงหรือไม่ หากมีการยื่นจริง ตนมองว่าเป็นเจตนากลั่นแกล้งให้คนอื่นได้รับโทษหรือไม่ ซึ่งอยากให้ตำรวจตรวจสอบเช่นกัน

ส่วนความผิดที่มาแจ้งความในวันนี้ว่าเป็นการแจ้งความเท็จ เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137 “ผู้ใดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่น หรือประชาชนเสียหาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” หรือไม่ และอยากให้ตำรวจตรวจสอบว่าเอกสารบันทึกการประชุมเป็นเท็จหรือไม่ และเข้าข่ายความผิดผู้ที่ทำเอกสารปลอม จะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

นายรัชพล กล่าวต่อว่า การนำกฎหมายมาใช้กลั่นแกล้งกัน หรือที่การพูดถึงคำว่า ‘นิติสงคราม’ มองว่าตัวกฎหมายก็อยู่ของมัน แต่คนที่ทำผิดต่างหาก คือ คนที่มีจิตใจสกปรกมากกว่า และใช้กฏหมายเป็นเครื่องมือ ทุกคนใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ แต่กฎหมายยังคงอยู่แบบนี้ ใครที่ทำผิดก็ต้องรับโทษตามกฏหมาย

นายรัชพล กล่าวว่า ส่วนหลังจากนี้หากนายคิมห์ หรือนายเรืองไกลจะฟ้องกลับก็ไม่กลัว เพราะเป็นสิทธิ์ของพลเมืองที่พบเห็นสิ่งผิดปกติและอยากมห้มีการตรวจสอบ ส่วนที่ตนไม่ไปยื่นให้ กกต.ตรวจสอบ มองว่าเป็นการทำงานที่ล่าช้าเพราะหาก กกต. ตรวจสอบ พบความผิดก็ต้องมาแจ้งความที่ สน. เช่นกัน
 

ชายอังกฤษ ถูกจับ หลังปีนตึกระฟ้า ซึ่งสูงที่สุดในเกาหลีใต้ ด้วยมือเปล่า

เมื่อวานนี้ (12 มิถุนายน 2566) จอร์จ คิง-ทอมป์สัน ชายชาวอังกฤษ ทำพฤติกรรมน่าหวาดเสียวด้วยการปีนตึกล็อตเต้เวิลด์ สูง 123 ชั้น ทางตอนใต้ของกรุงโซลเมื่อช่วงเช้า ก่อนถูกเจ้าหน้าที่พบเห็นและสั่งหยุดทันทีในขณะที่เขาปืนตึกด้วยมือเปล่าไปถึงชั้นที่ 73

เจ้าหน้าที่ของล็อตเต้ต้องใช้ลิฟต์ลอยฟ้าขึ้นไปเพื่อเกลี้ยกล่อมให้เขาหยุด ในขณะที่เขายังคงปีนขึ้นไปบนชั้นที่ 70 ของอาคาร ซึ่งในที่สุดเขาก็ยอมจำนน และยอมให้เจ้าหน้าที่ทำการจับกุมในข้อหาขัดขวางการทำธุรกิจ ขณะนี้เขากำลังถูกสอบสวนที่สถานีตำรวจในเขตซงปาของกรุงโซล

ทั้งนี้ ตึกลอตเต้เวิลด์มีความสูง 555 เมตร (1,820 ฟุต) และเป็นอาคารที่สูงเป็นอันดับ 5 ของโลก

ในปี 2561 อัลแลง โรเบิร์ต หรือที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในชื่อ "มนุษย์แมงมุมฝรั่งเศส" เคยถูกจำคุกมาแล้วหลังจากปีนตึกหลังนี้โดยไม่ได้รับอนุญาต ในครั้งนั้นเขาปีนขึ้นไปได้ถึงชั้นที่ 75

สื่อท้องถิ่นรวมถึงหนังสือพิมพ์โชซ็อน อิลโบระบุว่า จอร์จ คิง-ทอมป์สัน ที่เลียนแบบพฤติกรรมของอัลแลง โรเบิร์ตในครั้งนี้ เคยถูกจำคุกในข้อหาพยายามปีนตึกเดอะชาร์ด ซึ่งเป็นตึกระฟ้าสูง 72 ชั้นในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ.

พาณิชย์-DITP’ จัดโปรโมตผลไม้ไทยในจีน ตอบรับดีเกินคาด!! ปลื้ม!! ชาวจีนแห่ซื้อ ‘ทุเรียน มังคุด ลำไย’ ขายกันมือระวิง

‘กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ’ (DITP) เผย ผลการจัดกิจกรรมโปรโมตผลไม้ไทยในจีน ที่เมืองชิงต่าว ประสบผลสำเร็จเกินคาด ทุเรียน มังคุด ลำไย ขายมือระวิงห้างขายได้ทันที 2.93 ล้านบาท ผู้นำเข้าขายส่งได้ 138 ล้านบาท และห้างยังแจ้งอีกว่าจะสั่งซื้อผลไม้ภายใน 1 ปี อีก 190 ล้านบาท

(13 มิ.ย. 66) นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) เปิดเผยว่า กรมฯ ได้มอบนโยบายให้ทูตพาณิชย์ที่ประจำอยู่ในประเทศต่าง ๆ ทำการสำรวจลู่ทางและโอกาสการส่งออกสินค้าไทยไปยังประเทศที่ประจำอยู่ และให้รายงานผลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้รับรายงานผลโครงการยกระดับการส่งออกผลไม้เข้าสู่ตลาดจีนเมืองชิงต่าว ภายใต้ธีมงาน ‘Qingdao Thai Fruits Golden Months 2023’ จากนางสาวชนิดา อินปา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองชิงต่าว สาธารณรัฐประชาชนจีนที่ไทยได้ร่วมกับห้างสรรพสินค้า Leader Group ในเมืองชิงต่าว จัดขึ้นเป็นปีที่ 4 ระหว่างวันที่ 1-7 พฤษภาคม 2566 เพื่อประชาสัมพันธ์ผลไม้ไทยและกระตุ้นให้ชาวจีนบริโภคผลไม้ไทยเพิ่มขึ้น

สำหรับรายละเอียดการจัดงาน ทูตพาณิชย์รายงานว่า ปีนี้ได้ร่วมกับห้างสรรพสินค้า Leader Group 4 สาขา ทั่วเมืองชิงต่าว มณฑลซานตง ซึ่งเป็นห้างท้องถิ่นระดับกลาง-บนที่มีสาขากระจายอยู่ทั่วเมืองชิงต่าว โดยในช่วงการเปิดงาน ได้จัดให้มีการแสดงประกอบเพลง การร้องเพลงสากล การเล่นเกมชิงรางวัลผลไม้ไทยและการสาธิตการทำ ‘ข้าวเหนียวทุเรียนไทย’ และแนะนำร้านอาหารไทยที่ได้รับตรา ‘Thai SELECT’ และเชฟจากร้านอาหาร ‘Thai SELECT’ รวมทั้งแจกชิมอาหารหวานไทยที่ทำจากผลไม้ ได้แก่ พัฟทุเรียน เพื่อตอกย้ำถึงรสชาติของทุเรียนไทย และดึงดูดให้ผู้บริโภคไปใช้บริการร้านอาหาร Thai SELECT ให้มากขึ้น

นอกจากนี้ สำนักงานที่ชิงต่าว ยังได้ร่วมกับ KOL ด้านอาหารชื่อดังของเมืองชิงต่าวถึง 3 ราย ซึ่งมีผู้ติดตามใน Douyin. (TikTok) รวมเกือบ 3 ล้าน followers มาจัดทำคลิปเชิญชวนผู้บริโภคมาร่วมงาน รวมทั้งร่วมกับ KOL อีก 1 รายชื่อ Kě’àiQiúqiú (เค่ออ้ายฉิวฉิว) ซึ่งมีผู้ติดตามใน Douyin (Tiktok) มากกว่า 1.49 ล้าน followers เข้ามาร่วมไลฟ์สดบรรยากาศภายในงานตั้งแต่เริ่มต้นจนจบงาน ร่วมกับทูตพาณิชย์ โดยมีการแนะนำผลไม้ที่จำหน่ายภายในงาน และเชิญชวนผู้บริโภคชาวชิงต่าวมาซื้อผลไม้ไทยราคาพิเศษตลอด 1 สัปดาห์เต็ม

ทั้งนี้ ผลการจัดงานปรากฏว่า ผลไม้ไทยที่ขายดีที่สุด ได้แก่ ทุเรียน มังคุด และลำไย โดยเฉพาะทุเรียนไทยที่ยังคงได้รับความนิยมมากที่สุด แม้ว่าจะมีการอนุญาตให้มีการจำหน่ายทุเรียนของประเทศอื่น แต่ผู้นำเข้าและห้างก็ให้ข้อมูลตรงกันว่าทุเรียนไทยยังขายดีและเป็นที่ต้องการของตลาดเป็นอย่างมากตั้งแต่เริ่มต้นฤดูกาล และปีนี้ทุเรียนไทยมีคุณภาพดีกว่าปีที่ผ่านๆมารวมทั้งราคาจับต้องได้และเข้าถึงผู้บริโภคได้มากกว่าปีที่ผ่านมาด้วย

ส่วนยอดขายผลไม้ในช่วงที่จัดกิจกรรมตลอด 1 สัปดาห์จากห้างสรรพสินค้า Leader Group 4 สาขาคิดเป็นมูลค่าทันที 2.93 ล้านบาท ส่วนผู้นำเข้ามียอดขายแบบค้าส่งทันที 138 ล้านบาท และห้างสรรพสินค้า Leader Group คาดการณ์ว่าภายใน 1 ปี จะมีมูลค่าการสั่งซื้อผลไม้รวมทั้งสิ้น 190 ล้านบาท

สำหรับผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ www.ditp.go.th หรือสายตรงการค้าระหว่างประเทศ โทร 1169

ผู้ลงนามบันทึกรายงานประชุมผู้ถือหุ้นไอทีวี พบนั่ง ‘เอ็มดี INTUCH’ ควบบอร์ด ถือหุ้น 0.0006%

วันที่ (13 มิ.ย. 66) จากกระแสข่าวใหญ่ในแวดวงการเมืองและตลาดทุนไทย โยงปมการถือหุ้นสื่อของนายทิม-พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่ล่าสุดปรากฏคลิปวิดีโอเกี่ยวกับเทปบันทึกการรายงานผลการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 ของบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) หรือ ‘ITV’ ที่มีเนื้อหาไม่ตรงกับเอกสารรายงานการประชุม

โดยสปอตไลต์ยิงตรงไปที่บุคคลรายนามว่า ‘นายคิมห์ สิริทวีชัย’ ซึ่งเป็นประธานการประชุมผู้ถือหุ้น ITV และเป็นผู้เซ็นลงนามรับรองในเอกสารรายงานการประชุม โดยที่คำตอบในคลิปวิดีโอค่อนข้างย้อนแย้งกับเอกสารรายงานผลการประชุมผู้ถือหุ้น เนื่องจากมีเนื้อหาคนละเรื่อง หรือคนละความหมายกันเลย

ทำให้ชื่อ ‘นายคิมห์ สิริทวีชัย’ กลายเป็นที่สนใจของคนในสังคม โดยติดอันดับรายชื่อที่ถูกค้นหาบน Google Trends มากที่สุด วันนี้ประชาชาติธุรกิจจึงจะพาไปเปิดประวัติ ‘นายคิมห์ สิริทวีชัย’ ว่าบุคคลท่านนี้เป็นใคร และมีความสัมพันธ์กับใครและบริษัทไหนกันบ้าง

โดยจากการสืบค้นข้อมูลพบว่า ‘นายคิมห์ สิริทวีชัย’ ปัจจุบันอายุ 54 ปี จบการศึกษาสูงสุดคือระดับปริญญาโท ด้านบริหารธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการผู้อำนวยการ บมจ.อินทัช โฮลดิ้งส์ (INTUCH) และได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการ เมื่อวันที่ 1 เม.ย. 2557 ปัจจุบันดำรงตำแหน่งกรรมการกำกับดูแลกิจการและการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยมีสัดส่วนการถือหุ้น INTUCH อยู่ที่ 0.0006%

ทั้งนี้ ยังพบว่าเป็นกรรมการอยู่ใน บมจ.ไทยคม (THCOM) บมจ.ไอทีวี (ITV), บจก. อาร์ตแวร์ มีเดีย, Shenington Investments Pte Ltd, บจก. ลิตเติ้ล เชลเตอร์, บจก. ไอ.ที.แอพพลิเคชั่นส์ แอนด์ เซอร์วิส, บจก. อินทัช มีเดีย, บจก. ทัชทีวี, บจก. สเปซ เทค อินโนเวชั่น นอกจากนี้ เคยเป็นหัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน และรองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานบริหารการลงทุนของ INTUCH อีกด้วย

และที่สำคัญผ่านการอบรมจากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) และอื่น ๆ ประกอบด้วย

1.) DCP : Directors Certification Program รุ่น 116/2552
2.) Harvard#1 Executive Learning Sustainment Program ปี 2561-2562
3.) Harvard Leadership Development Program, Harvard Business Publishing ปี 2560-2561
4.) SFLP : Strategic Financial Leadership Program ปี 2562 โดยสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย
5.) หลักสูตรผู้บริหารระดับสูงสถาบันวิทยาการตลาดทุน (วตท.) รุ่นที่ 21

ทั้งนี้ สำหรับ INTUCH ปัจจุบันมีผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 คือ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF จำนวน 1,320.91 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 41.19% โดย GULF ได้เทกโอเวอร์ INTUCH ผ่านการทำคำเสนอซื้อหุ้น INTUCH ที่ราคาหุ้นละ 65 บาท เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2564 ในสัดส่วน 23.32% โดยใช้เงินลงทุนจำนวน 48,611 ล้านบาท ตอนนั้นเมื่อรวมกับหุ้น INTUCH ที่ GULF ถืออยู่ก่อนแล้วสัดส่วน 18.93% ทำให้ GULF กลายเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 1 ด้วยสัดส่วน 42.25% ของหุ้นที่ออกและชำระแล้วทั้งหมด

 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top