Wednesday, 7 May 2025
GoodsVoice

‘รัฐบาล’ ตัดสิทธิ ‘ร้านค้า-ประชาชน’ อดรับเงินดิจิทัล หากเคยโกงโครงการรัฐมาก่อน หวั่นกระทำความผิดซ้ำ 

(15 ก.ค.67) ณ ทำเนียบรัฐบาล นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยมติที่การประชุมคณะกรรมการนโยบายเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet หรือ บอร์ดเงินดิจิทัลวอลเล็ต วันนี้ ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบการกำหนดเงื่อนไข และรายละเอียดของร้านค้า รวมถึงสินค้าที่จะเข้าร่วมในโครงการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ทั้งนี้ ที่ประชุมบอร์ดเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ยังมีความเห็นเพิ่มเติมด้วยว่า ได้ให้กระทรวงพาณิชย์ พิจารณาความยืดหยุ่นของการจัดทำรายการข้อห้าม/ข้อจำกัด (Negative List) ของสินค้าที่จะเข้าร่วมในโครงการให้เหมาะสมกับสถานการณ์และความจำเป็น

รวมทั้งยังกำหนดเงื่อนไขของผู้เข้าร่วมในโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต ทั้งร้านค้า และประชาชน หากเป็นผู้ที่เคยกระทำความผิดในโครงการรัฐโครงการใดโครงการหนึ่งมาก่อน หรือถูกฟ้องร้องเรียกเงินคืนจะถูกตัดออกจากโครงการทันที เพราะถ้าให้สิทธิไปก็มีความเสี่ยงที่จะกระทำความผิดซ้ำได้

“การกำหนด Negative List ของสินค้า กระทรวงพาณิชย์ต้องมาคุยในคณะอนุกรรมการกำกับโครงการฯ ก่อน โดยให้นำเสนอเข้ามา เพราะวันนี้มีบางหน่วยงานนำเสนอรายการเข้ามา เช่น การห้ามสินค้าที่เกี่ยวข้องกับอาวุธและยุทโธปกรณ์ ที่ผ่านมาไม่ได้คิด ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่จะนำมาไว้ในรายการ โดยให้กระทรวงพาณิชย์รับไปพิจารณา” นายจุลพันธ์ ระบุ

นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ในรายละเอียดทั้งหมดนั้น จะมีการนำเสนอให้กับที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาในสัปดาห์หน้า จากนั้นในวันที่ 24 กรกฎาคม 2567 นายกรัฐมนตรี จะแถลงรายละเอียดที่ชัดเจนของโครงการต่อไป

‘คลัง’ ผุด!! ‘แผนฟื้นตลาดอสังหาฯ’ เล็งขยายระยะเวลากู้ถึงอายุ 85 ปี  ดึงต่างชาติลงทุนระยะเช่า 99 ปี ร่วมกับกฎหมาย ‘ทรัพย์อิงสิทธิ์’

(15 ก.ค.67) นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยในงานสัมมนา ‘พัฒนาตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย ให้ก้าวไกลอย่างยั่งยืน’ ซึ่งจัดขึ้นเนื่องในโอกาสครบรอบ 20 ปี บริษัท เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ จำกัด (EnCo) ถึงสถานการณ์ท้าทายของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยที่ไทยกำลังเผชิญขณะนี้ พร้อมนำเสนอแผนฟื้นฟูแบบรอบด้าน มุ่งแก้ปัญหาทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบการ ระบุว่า เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญความท้าทาย โดย GDP ลดลงจาก 6% เมื่อ 20 ปีก่อน เหลือเพียง 1.9% ในปี 2566 และคาดการณ์ว่าในปีนี้จะอยู่ที่ 2.5% ซึ่งตลาดอสังหาริมทรัพย์ถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักของประเทศและเชื่อมโยงไว้กับหลายภาคส่วน เช่น การก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ และการออกแบบ ซึ่งใช้เงินลงทุนมาก

อย่างไรก็ตาม นายพิชัยยังมองเห็นศักยภาพในการพัฒนาของประเทศไทย โดยชี้ให้เห็นถึงปัจจัยสำคัญสองประการ ได้แก่ พื้นที่กว่า 300 ล้านไร่ที่ยังสามารถพัฒนาได้ในอนาคต และทำเลที่ตั้งของประเทศที่เป็นจุดเชื่อมต่อกับประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาค ซึ่งหากได้รับการจัดการที่ดี จะสามารถสร้างโอกาสในการพัฒนาด้านต่างๆ ได้

ทว่า ปัจจุบัน ภาคอสังหาริมทรัพย์กำลังเผชิญกับความท้าทายทั้งฝั่งผู้บริโภคและผู้ประกอบการ โดยฝั่งผู้บริโภคพบปัญหาความสามารถในการชำระหนี้ที่ลดลง สะท้อนจากสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลคงค้างทั่วประเทศที่มีมูลค่าสูงถึง 4.95 ล้านล้านบาท โดยมีสัดส่วนหนี้ที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ หรือ Special Mention (SM) ที่ค้างชำระ 1-3 เดือนอยู่ที่ 5% และมีหนี้เสีย หรือ NPL 3.5% ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับ 10 ปีก่อนที่มี NPL เพียง 2.3% และ SM อยู่ที่ 1.5%

ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการก็กำลังเผชิญปัญหายอดขายที่ลดลง 20-30% ต่อเดือน และสต๊อกคงเหลือกว่า 200,000 หน่วยที่เพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องและการดำเนินธุรกิจ

เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว รัฐบาลได้ออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบการ โดยฝั่งผู้บริโภค ได้ผลักดันให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ขยายระยะเวลาการกู้ถึงอายุ 80-85 ปี เพื่อลดภาระการผ่อนชำระรายเดือน โดยหวังเป็นต้นแบบให้ธนาคารพาณิชย์เป็นแนวทางในการปล่อยสินเชื่อ

อีกทั้งจะมีการหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อพิจารณาผ่อนปรนมาตรการ LTV (Loan-to-Value) โดยมองว่า ขณะนี้ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งมีความแข็งแกร่งทางการเงิน และมีการตั้งสำรองหนี้เป็นศูนย์ ซึ่งรัฐบาลหวังว่าจะได้เห็นความร่วมมือระหว่างธนาคารพาณิชย์และธนาคารแห่งประเทศไทยในการวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาสินเชื่อที่อยู่อาศัย

นอกจากนี้ ในส่วนของการกระตุ้นตลาดและช่วยเหลือผู้ประกอบการ รัฐบาลมีแผนดึงชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ไทย โดยพิจารณาขยายระยะเวลาเช่าเป็น 99 ปี ร่วมกับการใช้กฎหมาย ‘ทรัพย์อิงสิทธิ์’ ให้สิทธิใช้ที่ดินแก่ชาวต่างชาติ โดยคนไทยยังคงมีกรรมสิทธิ์ ภายใต้เงื่อนไขการกำหนดราคาและโซน การเพิ่มภาษีค่าโอน และข้อห้ามในการทำเกษตรกรรม ทั้งนี้ยังเป็นการแก้ปัญหาการจดทะเบียนของชาวต่างชาติในการซื้ออสังหา ริมทรัพย์ที่อยู่ใต้ดิน ให้ขึ้นมาบนดินอย่างถูกต้องตามกฎหมายเช่นกัน

‘บริดจสโตน’ แต่งตั้ง ‘อะกิฮิโตะ อิชิอิ’ นั่งกรรมการผู้จัดการคนใหม่ เดินหน้าธุรกิจสู่ความเป็นเลิศ-มอบคุณค่าเพื่อสังคมการเดินทางที่ยั่งยืน

เมื่อไม่นานมานี้ บริษัท ไทยบริดจสโตน จํากัด และบริษัท บริดจสโตนเซลส์ (ประเทศไทย) จํากัด ประกาศแต่งตั้ง คุณอะกิฮิโตะ อิชิอิ ขึ้นดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 พร้อมสานต่อความสำเร็จของธุรกิจยางรถยนต์บริดจสโตนในประเทศไทยอย่างเต็มกำลัง และนำทัพขับเคลื่อนสู่การเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน แทนคุณเคอิจิ ชูมะ ซึ่งครบวาระและได้รับมอบหมายให้ไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการส่วนงาน G-MICA Tire Solution Business Development บริษัท บริดจสโตน คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น ในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2567

สำหรับคุณเคอิจิ ชูมะ ซึ่งดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ ของบริษัท ไทยบริดจสโตน จํากัด และบริษัท บริดจสโตนเซลส์ (ประเทศไทย) จํากัด ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 ตลอดระยะเวลาเกือบ 4 ปี ที่ผ่านมาได้เป็นหัวเรือหลักและสร้างคุณประโยชน์ให้กับบริดจสโตนมากมาย เช่น ยกระดับวัฒนธรรมองค์กรเพื่อส่งเสริมศักยภาพของผู้บริหารและพนักงานให้มีส่วนร่วมพัฒนาตนเองผ่านกิจกรรมการเพิ่มคุณค่าซึ่งนำไปสู่การบรรลุวิสัยทัศน์ขององค์กรร่วมกัน และหลอมรวมเป็น DNA ที่แข็งแกร่งของบริดจสโตน ส่งเสริมการจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรในภาคการผลิตยางรถยนต์ และพิชิตใจลูกค้าด้วยการเสริมความแข็งแกร่งช่องทางการขาย รวมถึงพัฒนาธุรกิจค้าปลีกและผลิตภัณฑ์ยางหล่อดอก เป็นต้น

ด้านคุณอะกิฮิโตะ อิชิอิ ได้เริ่มการทำงานที่บริษัท บริดจสโตน คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 มีความเชี่ยวชาญในด้านการตลาด ธุรกิจยางรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ รวมถึงผลิตภัณฑ์ยางหล่อดอก การบริหารซัพพลายเชน และกลยุทธ์การตลาดระดับสากล ทั้งในประเทศญี่ปุ่น แอฟริกาใต้ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซาอุดิอาระเบีย สเปน เบลเยียม จีน อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และไต้หวัน ภายใต้ประสบการณ์การรบริหารงานกลุ่มบริษัทในเครือบริดจสโตนมากกว่า 30 ปี ซึ่งจะช่วยการันตีความสำเร็จให้บริษัท ไทยบริดจสโตน จํากัด และบริษัท บริดจสโตนเซลส์ (ประเทศไทย) จํากัด ด้วยการใช้กลยุทธ์ธุรกิจระยะกลางของกลุ่มบริษัทในเครือบริดจสโตน (ประจำปี พ.ศ. 2567-2569) รุดหน้าสู่การสร้างคุณค่าร่วมให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางธุรกิจ ควบคู่กับการยกระดับแบรนด์บริดจสโตนสู่ความพรีเมียมที่ยั่งยืนต่อไป

คุณอะกิฮิโตะ อิชิอิ กล่าวว่า “ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่จะได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของทีมบริหารงานบริดจสโตนในประเทศไทย และได้สานต่อการดำเนินงานของคุณเคอิจิ ชูมะ โดยวางรากฐานการดำเนินธุรกิจด้วย ‘ความมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศ’ เพื่อส่งมอบคุณค่าแก่ลูกค้าผ่านการพัฒนานวัตกรรมเพื่อออกแบบผลิตภัณฑ์ บริการ และโซลูชั่นด้านยางรถยนต์ระดับพรีเมียม ควบคู่ไปกับการส่งมอบคุณค่าแก่สังคม ผ่านการดำเนินงานด้านความยั่งยืนเพื่อบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนและเศรษฐกิจหมุนเวียน ตลอดห่วงโซ่คุณค่า ซึ่งบริดจสโตนในประเทศไทยมีทรัพยากรในการผลิตยางรถยนต์ที่เหมาะสมและยังมีศักยภาพในการบริหารจัดการ ครอบคลุมตั้งแต่กระบวนการจัดหาวัตถุดิบ การวิจัยและพัฒนา การผลิต การขนส่ง รวมถึงเครือข่ายการจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่ง ซึ่งผมจะใช้จุดแข็งเหล่านี้ยกระดับการเดินทางที่ยั่งยืนในสังคมไทย และเพื่อที่จะยกระดับแบรนด์บริดจสโตนสู่ความพรีเมียมที่ยั่งยืน ผมจะสนับสนุนให้นำความเป็นมอเตอร์สปอร์ตที่มุ่งสู่ความยั่งยืนซึ่งเป็นแกนหลักของการดำเนินธุรกิจของบริดจสโตนมาสู่ประเทศไทย อย่างต่อเนื่อง”

‘แรงงาน' จ่อชง ครม. ลดส่งเงิน ปกส.เหลือ 2% ช่วง 'ต.ค.-ธ.ค. 67' ช่วย 'นายจ้าง-ลูกจ้าง' รับมือปรับค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทต่อวัน

(15 ก.ค. 67) จากกรณีที่กระทรวงการคลัง เตรียมปรับขึ้นค่าแรงเป็น 400 บาท ในเดือน ต.ค. นี้ จึงมีการเล็งพิจารณาแนวทางที่จะช่วยเหลือผู้ประกอบการเฉพาะกลุ่ม SMEs ที่เป็นสถานประกอบการขนาดเล็ก โดยรัฐจะเพิ่มค่าลดหย่อนจากการจ่ายค่าแรงเพื่อมาชดเชย

ล่าสุด รายงานข่าวระบุว่า กระทรวงแรงงานเตรียมมาตรการออกมาช่วยเหลือผู้ประกอบการเช่นเดียวกัน โดยเป็นมาตรการระยะสั้นคือ 

>> การลดการส่งเงินสมทบประกันสังคมของฝ่ายนายจ้างและลูกจ้าง จากฝ่ายละ 5% เหลือฝ่ายละ 2% โดยลดลงไปฝ่ายละ 3% ของฐานค่าจ้าง ระยะเวลา 3 เดือน ระหว่าง ต.ค.-ธ.ค. 67 และเตรียมเสนอให้ที่ประชุม ครม.อนุมัติต่อไป

ส่วนการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำขณะนี้ อยู่ในขั้นตอนการหารือกับคณะกรรมการค่าจ้างไตรภาคี เพื่อประเมินความพร้อมของแต่ละอุตสาหกรรม และจัดเตรียมมาตรการช่วยเหลือสำหรับธุรกิจที่อาจได้รับผลกระทบ

ที่ผ่านมามีกลุ่มผู้ประกอบการแสดงความไม่เห็นด้วยกับการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำที่ระดับ 400 บาททั่วประเทศ เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจ หลายภาคอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบอย่างมาก

ขณะที่ภาครัฐก็ยืนยันว่า นโยบายนี้จะต้องดำเนินการตามที่กำหนดไว้ และรับทราบถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งการลดส่งเงินสมทบประกันสังคมให้นายจ้างและลูกจ้างฝ่ายละ 3% จากที่เคยจ่าย 5% เหลือ 2% เทียบเท่ากับการที่รัฐบาลช่วยรับภาระการขึ้นค่าแรงของนายจ้าง

ตัวอย่างเช่น ปัจจุบันค่าแรงขั้นต่ำในกรุงเทพและปริมณฑลรวม 6 จังหวัด คือ 363 บาทต่อวัน หากปรับค่าแรงเป็น 400 บาทต่อวัน นายจ้างจะต้องจ่ายเพิ่มอีก 37 บาทต่อวัน แต่เมื่อรัฐบาลลดส่งเงินสมทบประกันสังคมให้นายจ้าง 3% เทียบเท่ากับได้ลดค่าใช้จ่ายให้นายจ้างลงวันละ 12 บาท ทำให้ภาระที่นายจ้างรับจริงอยู่ที่วันละ 25 บาท

‘นายกฯ’ ขอ ‘ธปท.’ ปรับลดการจ่ายขั้นต่ำบัตรเครดิตเหลือ 5% หลัง 'หนี้เสีย' จากยอดค้างชำระแตะล้านใบ อีก 2 แสนจ่อมาติดๆ

(15 ก.ค. 67) นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) ที่มีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีเป็นประธานวันนี้ว่า มีข้อห่วงใยจากนายกฯ ขอให้ธนาคารประเทศไทย (ธปท.) พิจารณาปรับลดอัตราการชำระคืนขั้นต่ำบัตรเครดิต (Minimum Pay) กลับมาที่ 5% หลังจากที่ตั้งแต่ปี 2567 ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 8% 

ทั้งนี้เนื่องจากขณะนี้เป็นภาวะที่ประชาชนกำลังลำบากอยู่จึงอยากขอให้กลับมาอยู่ที่ 5% ส่วนเรื่องของวินัยทางการเงินให้ค่อยแก้อีกทีนึง 

ปัจจุบัน มีสินเชื่อบัตรเครดิตอยู่ราว 24 ล้านใบ พบว่ามีบัตรเครดิตที่มียอดค้างชำระเกิน 90 วัน หรือเป็นหนี้เสีย (NPL) ไปแล้วกว่า 1.1 ล้านใบ และมีหนี้ที่กำลังจะเสียเพิ่มอีกกว่า 2 แสนใบ ซึ่งหนี้บัตรเครดิตมีดอกเบี้ยปรับในอัตราสูง 

ซึ่งที่ผ่านมามีแนวทางในการช่วยเหลือกลุ่มหนี้บัตรเครดิตด้วยโครงการคลินิกแก้หนี้ โดย บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) ให้หยุดสร้างหนี้เพิ่มเติมและยืดเวลาในการผ่อนชำระ 

“ทั้งนี้ได้ฝากให้กระทรวงการคลังและ ธปท.ช่วยประสานกับบริษัทบัตรเครดิตรายใหญ่หลายรายให้เข้ามาร่วมโครงการอีกครั้ง เพื่อระยะยาวแล้วช่วยให้ลูกค้าฟื้นเป็นผลดีต่อบริษัทมากกว่า” 

'รัดเกล้า' ชวนคนไทยวางแผนท่องเที่ยวช่วงหยุดยาวสัปดาห์หน้า ยัน!! หลายพิกัดยังคึกคัก อย่าเชื่อเสียงโซเชียลกระพือซบเซา

(16 ก.ค.67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลขอเชิญชวนสายเที่ยวเตรียมปักหมุดวางแผนเที่ยวช่วงวันหยุดยาว 3 วัน ส่งท้ายเดือน ก.ค.67 ภายหลังจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ภายใต้การดูแลของ นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ได้เปิดตัวแคมเปญ 'สุขทันที ที่เที่ยวไทย' เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ ครอบคลุมทั้งเมืองหลักและเมืองน่าเที่ยว 

โดยนำเสนอกิจกรรมมากมายหลายรูปแบบกับแหล่งท่องเที่ยวที่แตกต่างหลากหลายในแต่ละภูมิภาค ตลอด 365 วัน โดยในช่วงครึ่งปีหลัง 2567 ททท. พร้อมจัดงานใหญ่ให้ได้สัมผัสประสบการณ์การท่องเที่ยวไทย อาทิ โครงการ 'ศรัทธา' จังหวัดขอนแก่น วันที่ 19-21 ก.ค.67 ที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวสายมูกิจกรรม VIJIT 5 ภาค ใน 5 พื้นที่อัตลักษณ์สะท้อนความงดงามของวิถีชีวิต ภูมิปัญญา และประเพณีท้องถิ่น หรือกิจกรรม Amazing Music Festival เทศกาลดนตรี วันที่ 30 ส.ค. -1 ก.ย.67 จ.ชลบุรี ในรูปแบบ ART FESTIVAL เพื่อกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพที่สนใจดนตรีและศิลปะ

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้ามีบางกลุ่มในสื่อโซเชียลมีเดียระบุว่า แหล่งท่องเที่ยวในไทย เช่น ชะอำ ร้างหรือมีคนเที่ยวน้อย ซึ่งเป็นข้อมูลเท็จและสร้างความวิตกกังวลให้สังคม จึงขอย้ำให้ประชาชนรับข้อมูลข่าวสารอย่างระมัดระวัง และจากแหล่งที่เชื่อถือได้ โดยนายกสมาคมโรงแรมไทยภาคตะวันตก (เพชรบุรี-ประจวบคีรีขันธ์) ได้ออกมายืนยันแล้วว่า ชะอำไม่ได้ร้างนักท่องเที่ยว และ ททท. ได้เช็กมาให้แล้วว่า ช่วงวันหยุดยาวในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ (20-22 กรกฎาคม 2567) มีอัตราการจองเข้าพักล่วงหน้าเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 70-75% ในขณะที่สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในพื้นที่ชะอำ เช่น หาดชะอำ วัดถ้ำแจง ฯลฯ ยังคงมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยวตามปกติ

“นายกฯ วางยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนการท่องเที่ยว ใช้มนต์เสน่ห์ความเป็นไทย และจุดแข็งดึงดูดการท่องเที่ยวไทย ยกระดับและพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย สู่การเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวระดับโลก และให้เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ตามที่นายกฯ ระบุว่า การกระตุ้นการท่องเที่ยว คือ การกระตุ้นรายได้ที่เร็วที่สุด…”

"ทั้งนี้ ขอวอนให้กลุ่มดังกล่าวมีความเข้าใจว่า การท่องเที่ยวในจังหวัดข้างเคียงกรุงเทพ ฯ ส่วนใหญ่นั้น กระแสนักท่องเที่ยวจะอ้างอิงกับวันหยุดยาว ไม่ได้เป็นจังหวัดที่มีการท่องเที่ยวตลอดทั้งปีอยู่แล้ว นอกจากนี้ คนไทยด้วยกัน ควรช่วยกันเชิญชวน ช่วยกันกระตุ้นการท่องเที่ยวของไทย จะเป็นการใช้สื่อโซเชียลมีเดียอย่างสร้างสรรค์มากกว่า” นางรัดเกล้า กล่าว

'ตลาดหลักทรัพย์ฯ' ปลดเครื่องหมาย SP ของ EA หลังชี้แจงข้อมูลครบแล้ว พร้อมเตือน 'ผู้ถือหุ้น-นักลงทุน' ศึกษาคำชี้แจงของบริษัทโดยรอบคอบ

(16 ก.ค.67) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) ชี้แจงว่า ช่วงเช้าวันนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปลดเครื่องหมาย SP หลักทรัพย์ของ EA หลังบริษัทชี้แจงข้อมูลต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว 

ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอให้ผู้ถือหุ้นและผู้ลงทุนศึกษาคำชี้แจงของบริษัท โดยระมัดระวังรอบคอบ เพื่อประกอบการตัดสินใจซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัท

เมื่อช่วงเช้าวันนี้ EA ได้ชี้แจงข้อมูลมายังตลาดหลักทรัพย์ฯ หัวข้อ ‘ชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลกระทบฐานะทางการเงินที่อาจเกิดขึ้นจากภาระหนี้สิน และแนวทางในการชำระหนี้’ ดังนี้ 

บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA รายงานตลาดหลักทรัพย์ฯ ชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลกระทบฐานะทางการเงินที่อาจเกิดขึ้นจากภาระหนี้สิน และ แนวทางในการชำระหนี้ ว่า ตามที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้แจ้งต่อบริษัท ให้ชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลกระทบฐานะทางการเงินที่อาจเกิดขึ้นจากภาระหนี้สินโดยเฉพาะเงินกู้และหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระภายในปี 2567 และแนวทางที่ชัดเจนในการชำระหนี้ดังกล่าว รวมทั้งผลกระทบต่อการบริหารจัดการกิจการของบริษัท สืบเนื่องจากการพ้นจากตำแหน่งของประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และรองประธานเจ้าหน้าที่บริหารจากกรณีการกล่าวโทษ โดยสำนักงาน ก.ล.ต. ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ขึ้นเครื่องหมาย ‘H’ (Halt) จนกว่าบริษัทจะแจ้งข้อมูลให้ครบถ้วน

ในการนี้ บริษัทขอชี้แจงประเด็นดังกล่าวดังนี้

1. ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2567 บริษัทมีหนี้สินเงินต้นที่จะครบกำหนดชำระภายในปี 2567 จำนวน 19,505 ล้านบาท

สำหรับภาระหนี้สินที่จะต้องชำระในวันที่ 31 ธันวาคม 2567 ที่บริษัทได้ชี้แจงตลาดหลักทรัพย์ฯ ไปก่อนหน้านั้นเป็นในส่วนภาระการชำระหนี้ระยะยาวของบริษัท รวมทั้งหุ้นกู้ โดยพิจารณาจากการประมาณการเงินกู้ระยะยาวรวมดอกเบี้ยที่ต้องชำระคืนประมาณ 3,200 ล้านบาท และหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระอีก 5,500 ล้านบาท ซึ่งจะต้องดำเนินการชำระตั้งแต่วันที่ชี้แจง จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567

ทั้งนี้ ส่วนที่เหลือเป็นวงเงินกู้ระยะสั้นจากสถาบันการเงินหลายแห่ง ซึ่ง ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 มีอยู่ที่ 8,354 ล้านบาท โดยเบื้องต้นบริษัทไม่ได้ชี้แจง เนื่องจากวงเงินกู้ระยะสั้นนั้น โดยปกติบริษัทจะทำการ Roll Over เงินกู้ระยะสั้นในส่วนนี้อยู่แล้ว.

ทั้งนี้ บริษัทขอชี้แจงรายละเอียดเพิ่มเติมของเงินกู้ และหุ้นกู้ต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

หุ้นกู้ทั้งหมดที่บริษัทมีนั้นเป็นหุ้นกู้ไม่มีหลักประกัน และมีเงื่อนไข Cross Default กับสถาบันการเงิน หรือหุ้นกู้อื่น

2. จากเดิมบริษัทมีความตั้งใจที่จะ Roll Over เงินกู้ระยะสั้นตามที่เคยปฏิบัติมาสำหรับเงินกู้ระยะสั้นทั้งหมด และมีแผนที่จะชำระเงินกู้และหุ้นกู้ระยะยาวที่จะครบกำหนดในปี 2567 ด้วย 

- 1) กระแสเงินสดจากการดำเนินงานโดยไตรมาสที่ 1 ปี 2567 บริษัทมีกระแสเงินสดจากการดำเนินกิจการจำนวน 1,900 ล้านบาท และบริษัทจะมีรายได้จากธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และโรงไฟฟ้าพลังงานลมทุกเดือนประมาณ 1,000 ล้านบาท

- 2) วงเงินกู้ จากสถาบันการเงินวงเงินประมาณ 6,000 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาขั้นสุดท้ายของสถาบันการเงิน 

- 3) หุ้นกู้ที่จะออกเพิ่มเติมในปี 2567 จำนวนและวันเสนอขาย อยู่ระหว่างการเจรจากับผู้รับประกันการจัดจำหน่าย โดยบริษัทคาดว่าจะเป็นหุ้นกู้อายุ 1 ปี และ 3 ปี

อนึ่ง ณ เวลา 16:15 น. (15 ก.ค.) บริษัทได้รับการแจ้งข้อมูลจาก TRIS Rating ว่าบริษัทได้ถูกปรับลดระดับความน่าเชื่อถือจาก BBB+ (Negative) เป็น BB+ (Negative) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อวงเงินกู้จากสถาบันการเงิน และหุ้นกู้ใหม่ที่จะออกตามแผนเดิม อย่างไรก็ดี บริษัทขอเน้นย้ำว่าบริษัทยังมีรายได้จากโรงไฟฟ้าประมาณ 1,000 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งเป็นกระแสเงินสดหลักให้กับบริษัท

นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจาและพิจารณาคัดเลือก Strategic Partner (s) เข้ามาร่วมลงทุน สร้างความแข็งแกร่งทางด้านการเงิน เพิ่มศักยภาพในการชำระหนี้ และพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืนในระยะยาว

3. สำหรับผลกระทบต่อการบริหารจัดการกิจการของบริษัท กรณีนายสมโภชน์ อาหุนัย (ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร) และนายอมร ทรัพย์ทวีกุล (CFO) ซึ่งดูแลรับผิดชอบตำแหน่งบริหารสำคัญ พ้นจากตำแหน่งดังกล่าวนั้น ไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ และนโยบายการดำเนินธุรกิจของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากคณะผู้บริหารและทีมงานที่บริหารจัดการยังคงเป็นชุดเดิม

ทั้งนี้ บริษัทได้แต่งตั้งนายสมใจนึก เองตระกูล เข้าดำรงตำแหน่งรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ซึ่งเป็นบุคคลที่มีประสบการณ์และเป็นที่น่าเชื่อถือ สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของบริษัท รวมถึงกำหนดทิศทางเชิงกลยุทธ์เพื่อนำบริษัทก้าวผ่านวิกฤตได้

สำหรับนายวสุ กลมเกลี้ยง ในฐานะรักษาการ CFO เป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญทั้งด้านการเงินการลงทุน และเป็นอดีตผู้บริหารธนาคารพาณิชย์ มีประสบการณ์เกี่ยวกับธุรกิจของบริษัทเป็นอย่างดี อีกทั้งมีศักยภาพ ทักษะความรู้ความสามารถในการบริหารงานที่เกี่ยวข้อง และอยู่ในสายงานนี้มามากกว่า 10 ปี ทั้งนี้ หากบริษัทมีความคืบหน้า เรื่องการแต่งตั้งตำแหน่งตามที่กล่าวข้างต้นแล้ว จะแจ้งให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ รับทราบต่อไป

อ่านชี้แจงเพิ่มเติมฉบับเต็มได้ที่ : https://weblink.set.or.th/dat/news/202407/1118NWS150720242141290864T.pdf?_gl=1*ekeqzr*_gcl_au*MTU4NTkyNDE0Ny4xNzIxMTAyMjI5*_ga*MjE0NTI2MDI2OC4xNzIxMTAyMjMx*_ga_ET2H60H2CB*MTcyMTEwNjExMC4yLjAuMTcyMTEwNjExMS41OS4wLjA.

ซีรีส์ 'Alien' ถูกใจไทยแลนด์ ปักหมุดถ่ายทำ 123 วัน คาด!! สร้างเงินสะพัด 3,000 ล้านบาท จ้างงาน 1,600 คน

เมื่อไม่นานมานี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เยี่ยมชมกองถ่ายทำภาพยนตร์ซีรีส์ ‘Alien’ จากสหรัฐอเมริกา พร้อมด้วย นายจิรวัฒน์ อรัณยกานนท์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ดร.เพ็ญพิสุทธิ์ จินตโสภณ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายภัทร ภมรมนตรี คณะที่ปรึกษารัฐมนตรี ดร.กิตพล เชิดชูกิจกุล คณะที่ปรึกษารัฐมนตรี นายจาตุรนต์ ภักดีวานิช อธิบดีกรมการท่องเที่ยว นายบุญเสริม ขันแก้ว รองอธิบดีกรมการท่องเที่ยว และคณะ

โดย Mr. Matt Magielnicki รองประธานบริษัท FX Network สหรัฐอเมริกา นายคริสโตเฟอร์ โลเวนสติน และนายอภินัทธ์ ศิริเจริญจิตต์ กรรมการบริษัท ลิฟวิ่ง ฟิล์ม จำกัด ให้การต้อนรับ ณ The Studio Park อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ

สำหรับการถ่ายทำซีรีส์ในประเทศไทยดังกล่าว มีจำนวนวันถ่ายทำกว่า 123 วัน มีสถานที่ถ่ายทำ อาทิ กรุงเทพมหานคร จังหวัดกระบี่ จังหวัดสมุทรปราการ เป็นต้น มีงบประมาณการลงทุนในประเทศไทยมากกว่า 3,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นภาพยนตร์ต่างประเทศที่มีงบประมาณการลงทุนสูงที่สุดนับตั้งแต่มีการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย

ส่วนคณะถ่ายทำ ได้มีการเตรียมการถ่ายทำในประเทศไทยมากกว่า 2 ปี ใช้โรงถ่ายทำภาพยนตร์จำนวน 13 โรงถ่าย แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของสตูดิโอของประเทศไทยที่สามารถรองรับกองถ่ายทำขนาดใหญ่ได้ และยังมีการจ้างงานทีมงานชาวไทยมากกว่า 1,600 คน ซึ่งเป็นทีมงานที่กระจายไปทุกแผนกของกองถ่าย เช่น การสร้างฉาก การจัดหาสถานที่ถ่ายทำ เป็นการตอกย้ำถึงความสามารถของทีมงานชาวไทยเป็นที่ยอมรับของกองถ่ายต่างประเทศ

ตลอดระยะเวลาการถ่ายทำซีรีส์เรื่องนี้ ยังมีการใช้บริการโรงแรมเป็นที่พักให้กับทีมงานต่างประเทศและทีมงานชาวไทยมากกว่า 20 แห่ง ทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด กระจายรายได้ไปสู่ภาคธุรกิจท่องเที่ยว

ทั้งนี้ กระทรวงฯ ได้ให้การสนับสนุนกองถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศเลือกประเทศไทยเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ เพื่อสร้างรายได้ให้กับเศรษฐกิจของประเทศ กระจายรายได้ไปสู่ภาคธุรกิจภาพยนตร์ ธุรกิจท่องเที่ยว และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง

อีกทั้ง ช่วยประชาสัมพันธ์ประเทศไทยในการเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ระดับโลก และส่งผลให้เกิดการท่องเที่ยวตามรอยสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ต่อไป 

‘ครม.’ ดึง 'ออมสิน' ปล่อยกู้ซอฟต์โลนแสนล้าน ดอกต่ำ 0.1% ให้ 'ธ.พาณิชย์’ กระจายปล่อยกู้ SMEs รายใหม่ ดอกไม่เกิน 3.5% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

(16 ก.ค.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ณ ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือ โครงการสินเชื่อซอฟต์โลน วงเงิน 1 แสนล้านบาท ดำเนินการโดยธนาคารออมสิน ตามที่กระทรวงการคลัง เสนอ

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงรายละเอียดโครงการสินเชื่อซอฟต์โลน ว่า เงื่อนไขของซอฟต์โลน ธนาคารออมสินปล่อยซอฟต์โลนให้สถาบันการเงินในอัตราดอกเบี้ย 0.1% เพื่อไปปล่อยสินเชื่อต่อให้กับธนาคารพาณิชย์ปล่อยกู้ให้กับลูกค้ารายใหม่ โดยเฉพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่ยังไม่เคยเข้าถึงสินเชื่อ เพื่อช่วยเติมสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ

โดยมีเงื่อนไขดอกเบี้ย 1-3 ปีแรกไม่เกิน 3.5% เพื่อเป็นการช่วยผู้ประกอบการและประชาชนเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น ทั้งนี้จะมีการแยกบัญชีโครงการให้สินเชื่อตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยเหลือประชาชนรายย่อยและโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) GSB Boost Up ของธนาคารออมสินเป็นบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐ (Public Sevice Account : PSA) เพื่อไม่ให้กระทบผลการดำเนินงานโดยรวม

“สินเชื่อซอฟต์โลน ครั้งนี้ วงเงินจะกระจายไปในระบบเศรษฐกิจ ถือเป็นวงเงินที่สูงเมื่อเทียบกับช่วงวิกฤติโควิด-19 ซึ่งในขณะนั้นมีการออกมาตรการซอฟต์โลนไปแล้ว 5 แสนล้านบาท และครั้งนี้ต้องขอบคุณธนาคารออมสินที่ดำเนินการในเรื่องนี้ โดยไม่ใช้งบประมาณและไม่ใช้วงเงินตามมาตรา 28 เพราะออมสินยอมเฉือนเนื้อใช้เงินจากกำไรในการดำเนินการบางส่วนมาช่วยในโครงการนี้ คิดเป็นวงเงินประมาณ 1,000 ล้านบาท” รมช.คลัง ระบุ

‘GULF’ ประกาศควบรวมกิจการ ‘INTUCH’ เล็งตั้งบริษัทใหม่ NewCo คาด!! แล้วเสร็จ Q2/68

เมื่อวานนี้ (16 ก.ค. 67) บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF แจ้งผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า มติคณะกรรมการบริษัทวันที่ 16 ก.ค. 2567 ได้อนุมัติการเข้าทำธุรกรรมการควบรวมบริษัทเพื่อการปรับโครงสร้างการถือหุ้น ซึ่งประกอบด้วยการควบบริษัท การทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ ADVANC และ THCOM และเรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2567

>> กำหนดการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น 3 ต.ค. 2567 วาระการประชุมที่สำคัญ 

- การได้มาหรือจำหน่ายสินทรัพย์
- พิจารณาอนุมัติธุรกรรมการปรับโครงสร้างฯ
- พิจารณาอนุมัติการเข้าทำธุรกรรมการควบบริษัทระหว่างบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)
- พิจารณาอนุมัติการได้มาซึ่งหลักทรัพย์ของบริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) และหลักทรัพย์ของบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) โดยการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดโดยสมัครใจ

>> การทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (ADVANC)

ผู้ทำคำเสนอซื้อดังนี้        

1. บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (GULF)
2. บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (INTUCH)
3. Singtel Strategic Investments Pte. Ltd.
4. นายสารัชถ์ รัตนาวะดี

ราคาเสนอซื้อ 216.30 บาทต่อหุ้น การทำคำเสนอซื้อไม่ใช่เพื่อการเพิกถอน โดยเป็นการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์โดยสมัครใจแบบมีเงื่อนไขก่อนการทำคำเสนอซื้อ (Conditional Voluntary Tender Offer (VTO)) 

คํานวณขนาดรายการของธุรกรรมการทํา VTO ใน ADVANC ในครั้งนี้ โดยอ้างอิงจากจํานวนหุ้นสูงสุดที่บริษัทฯ อาจต้องรับซื้อในการทําธุรกรรมการทํา VTO ใน ADVANC รวมเป็นจํานวน 539,069,368 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 18.125 ของจํานวนหุ้นที่ออกและจําหน่ายแล้วทั้งหมดของ ADVANC (ซึ่งคิดเป็นกึ่งหนึ่งจํานวนหุ้น ADVANC ที่ต้องทําคําเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดในครั้งนี้) ในราคาเสนอซื้อไม่เกิน 216.3บาทต่อหุ้นคิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้นประมาณ 116,601 ล้านบาท

>> การทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) (THCOM)

ผู้ทำคำเสนอซื้อ ดังนี้

1. บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (GULF)
2. บริษัท กัลฟ์ เอดจ์ จำกัด
3. บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (INTUCH)
4. นายสารัชถ์ รัตนาวะดี
ราคาเสนอซื้อ 11.00 บาท/หุ้น คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 6,976 ล้านบาท
การทำคำเสนอซื้อไม่ใช่เพื่อการเพิกถอน โดยเป็นการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์โดยสมัครใจแบบมีเงื่อนไขก่อนการทำคำเสนอซื้อ (Conditional Voluntary Tender Offer (VTO))  

คํานวณขนาดรายการของธุรกรรมการทํา VTO ใน THCOM ในครั้งนี้ โดยอ้างอิงจากจํานวนหุ้นทั้งหมดของ THCOM โดยไม่รวมหุ้นที่ GE ถือหุ้นอยู่ในปัจจุบันโดยมีจํานวนหุ้นทั้งหมดของ THCOM ที่นํามาคํานวณธุรกรรมการทํา VTO ใน THCOM จํานวน 634,226,200 หุ้นคิดเป็นร้อยละ 57.86 ของจํานวนหุ้นที่ออกและจําหน่ายแล้วทั้งหมดของ THCOM ซึ่งรวมจํานวนหุ้นที่ GE ในฐานะบริษัทย่อยของบริษัทเสนอเป็นผู้รับซื้อและจํานวนหุ้นที่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทเสนอเป็นผู้รับซื้อในกรณีที่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทไม่เข้าทําธุรกรรมการทํา VTO ใน THCOM พร้อมกับบริษัท และ INTUCH ในราคาเสนอซื้อไม่เกิน 11.00 บาทต่อหุ้นคิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้นประมาณ 6,976 ล้านบาท

ทั้งนี้ ธุรกรรมการควบบริษัทระหว่าง GULF และ INTUCH ภายใต้พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจํากัด พ.ศ. 2535 (รวมทั้งที่ได้แก้ไขเพิ่มเติม) จะส่งผลให้บริษัทเดิมทั้งสองบริษัทหมดสภาพจากการเป็นนิติบุคคล และเกิดนิติบุคคลใหม่เป็นบริษัทที่ควบกันขึ้น (ธุรกรรมการควบบริษัท) โดยมีสถานะเป็นบริษัทมหาชนจํากัด (NewCo) ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่ง NewCo จะได้ไปทั้งทรัพย์สิน หนี้ สิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบของ GULFและ INTUCH ทั้งหมด โดยผลของกฎหมายภายหลังธุรกรรมการควบบริษัทแล้วเสร็จ คาดว่าธุรกรรมการควบบริษัทจะแล้วเสร็จในไตรมาส 2 ของปี 2568

NewCo จะมีทุนจดทะเบียนและทุนชําระแล้วของ NewCo จํานวน 14,939,837,683 บาทแบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจํานวน 14,939,837,683 หุ้นโดยมีมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ซึ่งเทียบเท่ากับทุนจดทะเบียนและทุนจดทะเบียนชําระแล้วของ GULF และ INTUCH ทั้งหมดรวมกันภายหลังจากการลดทุนจดทะเบียนของ GULF และ INTUCH และการควบบริษัท  

การควบรวมบริษัท จะมีอัตราการจัดสรรหุ้นใน NewCo ให้แก่ผู้ถือหุ้นของ GULF และ INTUCH ดังนี้

1 หุ้น GULF ต่อ 1.02974 หุ้นใน NewCo
1 หุ้น INTUCH ต่อ 1.69335 หุ้นใน NewCo (ไม่รวมหุ้น 47.37% ใน INTUCH ที่ถือโดย GULF เนื่องจากได้รับการจัดสรรโดยตรงให้แก่ผู้ถือหุ้น GULF)


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top