Monday, 9 June 2025
นายกรัฐมนตรี

‘หลี่ เฉียง’ จ่อนั่งนายกฯ จีน แทน ‘หลี่ เค่อเฉียง’ เชื่อ!! ‘ผลงาน-แนวคิด’ โดนใจ ‘ท่านผู้นำจีน’

(7 มี.ค. 66) ปักกิ่ง (เอเอฟพี/รอยเตอร์ส/ซีซีทีวี) - จีนเตรียมตั้งนายหลี่ เฉียง ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทนที่ หลี่ เค่อเฉียง ในการประชุมสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติที่กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้

สื่อต่างประเทศและสื่อของรัฐบาลจีนรายงานว่า จีนเตรียมแต่งตั้งหลี่ เฉียง วัย 63 ปี คนสนิทของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของจีนอย่างเป็นทางการ แทนที่ หลี่ เค่อเฉียง ในระหว่างการประชุมสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติ หรือเอ็นพีซี ที่กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ มีข้อมูลว่า นายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียง ที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการปฏิรูปตลาด เริ่มถูกจำกัดบทบาท หลังจากที่นายสี จิ้นผิง กระชับอำนาจและเข้ามาจัดการด้านเศรษฐกิจ

‘บิ๊กตู่’ ยก กำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน กลไกช่วยงานรัฐสำเร็จ หลัง ครม.ไฟเขียวเพิ่มค่าตอบแทนเป็นขวัญกำลังใจ

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha’ ว่า พี่น้องประชาชนชาวไทยที่รักครับ

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ (14 มี.ค.66) ได้เห็นชอบในหลักการ เรื่องการปรับเพิ่มอัตราเงินตอบแทน ตำแหน่งกำนัน, ผู้ใหญ่บ้าน, แพทย์ประจำตำบล, สารวัตรกำนัน, ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายปกครอง และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบ  ให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ สังคม ค่าครองชีพ และทัดเทียมกับค่าตอบแทนของเจ้าหน้าที่รัฐอื่นๆ เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ ที่มีบทบาทสำคัญในการบำบัดทุกข์ บำรุงสุขพี่น้องประชาชน ซึ่งเป็นกลไกการทำงานของรัฐบาลสู่ความสำเร็จ ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่มีวันหยุดราชการ อาทิ  การเฝ้าระวังการควบคุมโรคระบาด/โควิด, การรักษาความสงบเรียบร้อย, การป้องกันและแก้ปัญหายาเสพติด, การดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการช่วยเหลือ สนับสนุน ส่งเสริมการปฏิบัติงานของทุกกระทรวงในพื้นที่ เช่น การลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นต้น 

นอกจากนี้ ครม. ได้เห็นชอบให้เพิ่มค่าตอบแทนของผู้บริหารและสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ที่ไม่ได้รับการปรับเพิ่มมานานกว่า 11 ปี เพื่อให้เหมาะสม เสมอภาค และเท่าเทียมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือเทศบาล ซึ่งต่างก็มีส่วนสำคัญในการบริหารราชการแผ่นดิน และการพัฒนาประเทศ ให้มีประสิทธิภาพ ส่งผลดีต่อความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนในภาพรวม

นายกฯ เปิดอาคาร ‘PRD Media Center’ หวังยกระดับบริการข้อมูลข่าวสารภาครัฐ

นายกรัฐมนตรีเป็นประธานพิธีเปิดอาคาร “PRD Media Center” กรมประชาสัมพันธ์ มุ่งเป็นกระบอกเสียง ยกระดับสื่อสารมวลชนภาครัฐให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน

วันนี้ (14 มีนาคม 2566) เวลา 17.00 น. ณ  อาคารศูนย์ปฏิบัติการแพร่ภาพออกอากาศกระจายเสียงวิทยุและการให้บริการข้อมูลข่าวสารภาครัฐ กรมประชาสัมพันธ์ ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพมหานคร พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดอาคารศูนย์ปฏิบัติการแพร่ภาพออกอากาศ การกระจายเสียงวิทยุและการให้บริการข้อมูลข่าวสารภาครัฐ กรมประชาสัมพันธ์ (PRD Media Center) โดยมี นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พลโท สรรเสริญ แก้วกำเนิด อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมในพิธีเปิดงาน ในโอกาสนี้ นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า

นายกรัฐมนตรีได้กล่าว ยินดีกับการเปิดอาคารศูนย์ปฏิบัติการฯ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ให้กับบุคลากร ตลอดจนประชาชน ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่กรมประชาสัมพันธ์ ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคที่ทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียง สร้างความร่วมมือของประชาชนในพื้นที่ เป็นกระจกเงา เป็นเพื่อนคู่คิดให้กับหน่วยงานรัฐทุกกระทรวงมาโดยตลอด ซึ่งนายกรัฐมนตรีติดตามการทำงานกรมประชาสัมพันธ์ ทราบว่ากำลังพลของกรมประชาสัมพันธ์นอกจากมีภาษาสากล ภาษาต่างประเทศ มีภาษาถิ่นที่สามารถเข้าถึงชาวบ้านได้ทุกกลุ่ม ในเวลาที่ไปลงพื้นที่ต่างจังหวัดก็เห็นคนกรมประชาสัมพันธ์ไปสนับสนุน เผยแพร่ข่าว เล่าประโยชน์ของนโยบายและช่วยรับเรื่องราวสะท้อนปัญหาของประชาชนมายังรัฐบาล เห็นทีมสื่อออนไลน์ทำงานร่วมกับทุกกระทรวง รวมถึง ทีมโซเชียล ไป Live สด ในพื้นที่ ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดี ยินดีที่ได้เห็นการพัฒนาและการปรับตัวของคนทุกรุ่นในกรมประชาสัมพันธ์ ซึ่งมีคนรุ่นใหม่ที่มีฝีมือ มีความคิดสร้างสรรค์ มีความพร้อมที่จะพัฒนาตนเอง และที่สำคัญมีความรักชาติบ้านเมืองจำนวนมาก

นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำว่า ขอให้ทุกคนตั้งใจทำงาน ผลิตข้อมูลข่าวสารที่ดีมีประโยชน์เพื่อตอบแทนความคาดหวังของประชาชน โดยเชื่อมั่นว่า จะยกระดับการทำงานสื่อสารมวลชนภาครัฐให้เป็นที่พึ่งพาของคนไทยได้ดีขึ้นในอนาคตอันใกล้  และขอให้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ กรมประชาสัมพันธ์ทุกคนร่วมกันดูแล รักษา ปกป้อง และใช้งานอาคารศูนย์ปฏิบัติการฯ หลังนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อปกป้องสถาบันหลักของชาติและดูแลพี่น้องประชาชน ให้มีอนาคตที่ดีต่อไป

เปิด 10 รายชื่อในดวงใจ ที่ประชาชนอยากให้เป็นนายกรัฐมนตรี ในศึกเลือกตั้ง 2566

19 มี.ค. 2566 – ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง “ศึกเลือกตั้ง 2566 ครั้งที่ 1” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 2-8 มีนาคม 2566 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 2,000 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับศึกเลือกตั้ง 2566 ครั้งที่ 1 การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างด้วยวิธีแบบง่าย (Simple Random Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0 

จากการสำรวจเมื่อถามถึงบุคคลที่ประชาชนจะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งครั้งนี้ พบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 38.20 ระบุว่าเป็น น.ส.แพทองธาร (อุ๊งอิ๊งค์) ชินวัตร (พรรคเพื่อไทย) อันดับ 2 ร้อยละ 15.75 ระบุว่าเป็น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ (พรรคก้าวไกล) อันดับ 3 ร้อยละ 15.65 ระบุว่าเป็น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา (พรรครวมไทยสร้างชาติ) อันดับ 4 ร้อยละ 9.45 ระบุว่า ยังหาคนที่ เหมาะสมไม่ได้ อันดับ 5 ร้อยละ 5.10 ระบุว่าเป็น คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ (พรรคไทยสร้างไทย) อันดับ 6 ร้อยละ 4.45 ระบุว่าเป็น พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส (พรรคเสรีรวมไทย) อันดับ 7 ร้อยละ 2.35 ระบุว่าเป็น นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ (พรรคประชาธิปัตย์) อันดับ 8
ร้อยละ 1.60 ระบุว่าเป็น นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว (พรรคเพื่อไทย) อันดับ 9 ร้อยละ 1.55 ระบุว่าเป็น นายอนุทิน ชาญวีรกูล (พรรคภูมิใจไทย) อันดับ 10 ร้อยละ 1.40 ระบุว่าเป็น นายกรณ์ จาติกวณิช (พรรคชาติพัฒนากล้า) อันดับ 11 ร้อยละ 1.15 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ และร้อยละ 3.35 

ระบุอื่น ๆ ได้แก่ น.ส.กัญจนา ศิลปอาชา (พรรคชาติไทยพัฒนา) นายเศรษฐา ทวีสิน พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ (พรรคพลังประชารัฐ) นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา (พรรคประชาชาติ) นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ (พรรคไทยศรีวิไลย์) ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ นายเทวัญ ลิปตพัลลภ (พรรคชาติพัฒนากล้า) นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม (พรรคไทยภักดี) นายชวน หลีกภัย (พรรคประชาธิปัตย์) ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (พรรคประชาธิปัตย์) 

‘นักเขียนซีไรต์’ เทียบจุดแข็ง-จุดอ่อน ‘ว่าที่นายกฯ’ ชี้ ‘ลุงตู่’ ทันโลก-รอบรู้ ส่วน ‘โทนี่’ สร้างภาพว่าตนเก่ง

(27 มี.ค. 66) วิมล ไทรนิ่มนวล นักเขียนรางวัลซีไรต์ โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กหัวข้อ ‘ว่าที่นายกรัฐมนตรี’ มีเนื้อหาดังนี้...

“ว่าที่นายกรัฐมนตรี”

ถ้าดูคนที่เหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีทีละคน​ ก็จะตัดสินใจเลือกได้ง่ายขึ้น

ดูว่าใครมีประสบการณ์และความสามารถที่จะบริหารราชการแผ่นดินเป็นอันดับแรก​ ก็เห็นว่ามี พล.อ.ประยุทธ์ กับ คุณทักษิณ เท่านั้นที่เคยเป็นนายกรัฐมนตรี​

+ คุณทักษิณเป็นมาก่อน...เป็นมานานจนทหารยึดอำนาจจากคุณยิ่งลักษณ์​ (2544-2557) สิ่งที่เขาทำมีประโยชน์ก็มี​ ส่วนมากจะเป็นเรื่องประชานิยม​ และหลายๆ เรื่องก็เป็นโทษแก่ประชาชน​ อย่างโครงการจำนำข้าว​นั้นเละเทะ​ สูญเสียภาษีและข้าวไปมากมาย​ แต่กลายเป็นประโยชน์มหาศาลแก่คนโกงชาติ​ และชาวนาฆ่าตัวตาย 22 คน

จนแทบจะพูดได้ว่าทุกนโยบาย​ ทุกโครงการ เป็นผลประโยชน์ส่วนตัวของนักโกงชาติทั้งนั้น​ เพราะคนโกงชาตินั้นมีนโยบายส่วนตัวคือ​ ‘แปลงเงินภาษีเป็นของตน’ หรืออย่างที่คนรู้ทันเรียกกันว่า​ ‘ทำธุรกิจในการเมือง’

คุณทักษิณ สร้างภาพตัวเองว่าเก่ง​ รอบรู้​ ทันโลก​ ความคิดก้าวล้ำ​กว่าใคร​ แต่สำหรับผมเห็นว่าเขาตกยุคไปแล้ว​ สิ่งที่เขาเก่งตอนมีอำนาจก็อย่างที่คนสนใจเรื่องบ้านเมืองรู้นั่นแหละ​ ว่าเก่งอะไรและอย่างไร

เขาเป็นพ่อค้า​นักธุรกิจคนหนึ่งเท่านั้น​ ซึ่งร่ำรวยมาด้วยวิธีเดียวกับที่เขาใช้ในการเมืองนั่นแหละ​

เลือกตั้งครั้งนี้...ถ้าพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล​ คุณทักษิณก็จะบริหารราชการแผ่นดินหรือชักเชิดคนในพรรคอยู่นอกประเทศเหมือนที่เคยทำมา

นายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุม ก.ตร. ครั้งที่ 3/2566

พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ในวันพฤหัสบดีที่ 30 มี.ค.66เวลา 14.00 น. พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ครั้งที่ 3/2566  ณ ห้องศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 

‘ซูเปอร์โพล’ ชี้คนเป็นนายกฯต้องลง ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ พร้อมเผย คนเชื่อนโยบาย ‘ภท.-ปชป.’ ทำได้จริง

‘ซูเปอร์โพล’ ชี้ ‘นายกฯของประชาชน’ ต้องลงสมัครส.ส.‘ปาร์ตี้ลิสต์’ พร้อมเผยฝั่งรัฐบาล ‘ภท.-ปชป.’ ขึ้นแท่นนโยบายที่ทำได้จริง

(2 เม.ย. 66) สำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) เสนอผลสำรวจ เรื่อง นายกฯ ของประชาชน กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศอายุ 18 ปีขึ้นไป ดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) รวมจำนวน 1,378 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 25 มี.ค. - 1 เม.ย. 2566 โดยเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนต่อ นายกรัฐมนตรีต้องลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ในระบบบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองด้วย พบว่า จำนวนมากที่สุดคือร้อยละ 43.0 ระบุ ผู้ที่จะเป็นนายกฯ ต้องลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองด้วย เพราะเป็นผู้แทนประชาชน ใกล้ชิดประชาชน รู้ปัญหาจริง ใช้อำนาจประชาชนต้องมาจากประชาชน ไม่เอานายกฯ คนนอก ต้องมาจากการเลือกตั้งเท่านั้น ในขณะที่ ร้อยละ 33.6 ระบุ ไม่ต้องเป็น ส.ส. เพราะขอเป็นคนดี ซื่อสัตย์สุจริต มือสะอาด ไม่จำเป็นต้องเป็น ส.ส. ใครก็ได้ทั้งนั้น ไม่ต้องสังกัดอะไรเป็นอิสระ ไม่ติดกับดัก และร้อยละ 23.4 ไม่แน่ใจ

สมาคมทนายฯ จี้ ‘ส.ว.’ เคารพเจตนารมณ์ประชาชน ชี้ ควรยกมือโหวตนายกฯ จากพรรคที่ได้ ส.ส. มากที่สุด

(24 เม.ย.66) นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย ออกแถลงการณ์สมาคมทนายความแห่งประเทศไทย ความว่า ประเทศไทยยังคงสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤตทางการเมืองอีกครั้ง อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ถูกออกแบบโดยเผด็จการที่มีเจตนาต้องการสืบทอดอำนาจ ได้เขียนกำหนดไว้ในมาตรา 272 ให้ ส.ว. มีสิทธิออกเสียงเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งผลการลงมติของ ส.ว. จะนำไปสู่วิกฤตได้ ดังนี้

(1) กรณี ส.ว. งดออกเสียงให้กับผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรีจากพรรคการเมืองเสียงข้างมาก แต่รวบรวมเสียงได้ไม่ถึง 376 เสียง ซึ่งจะทำให้ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อได้รับเสียงน้อยกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้ง 2 สภา จึงเป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อจัดตั้งรัฐบาลของประชาชนไม่ได้ ผลที่จะเกิดขึ้นคือรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์จะเป็นรัฐบาลรักษาการต่อไป

(2) กรณี ส.ว. ออกเสียงให้กับผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อจากพรรคการเมืองเสียงข้างน้อย ซึ่งแม้จะทำให้ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อได้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่อาจจะจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ เพราะพรรคเสียงข้างมากไม่เอาด้วย ผลที่จะเกิดขึ้นคือ รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จะเป็นรัฐบาลรักษาการต่อไปโดยไม่มีที่สิ้นสุด เพราะรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดเวลาในการจัดตั้งรัฐบาลไว้

‘หมอพรทิพย์’ ประกาศไม่ขัดขวาง ‘พิธา’ เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ขอยืนหยัดปกป้องสถาบันฯ ไม่ปล่อยภัยคุกคามให้ทำร้ายสังคม

(18 พ.ค. 66) แพทย์หญิง คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ทวีตข้อความพร้อมรูปบูรพกษัตริย์ระบุว่า…

ความปั่นป่วนทางการเมือง มาจากความกลัวที่จะไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี หากตำแหน่งนั้นจะเป็นของเรามันก็จะได้เป็น เชื่อสิ

ประเด็นอยู่ที่ว่า ผู้นำตั้งใจจะมาสร้างอะไรให้กับคนไทย สังคมไทย ก่อนเลือกตั้งและหลังเลือกตั้ง สิ่งที่สื่อสารออกมามีแต่เรื่องตั้งใจจะทำลาย กำจัดทิ้ง โดยเฉพาะสถาบันหลักของไทย นโยบายที่ตั้งใจสร้างสิ่งดีๆ ให้สังคมอาจจะไปต่อไม่ได้ เพราะวางลำดับความสำคัญผิด สะดุดขาตัวเอง ล้มเอง ถ้าล้มแรงก็กลับมาเหมือนเดิมได้ยาก

คนที่เกิดมาก่อน คนที่เห็นต่างก็เป็นคนไทย เมื่ออ้างประชาธิปไตยต้องรับฟัง ระบบประชาธิปไตยไม่ใช่การใช้อารมณ์ การไล่ล่า การกดดัน การทำร้าย ทำลายฝ่ายตรงข้าม

หมอต้องการความชัดเจน ว่าเมื่อเป็นรัฐบาล คุณจะทำอะไรอย่างไรกับนโยบายของสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะนโยบายตอนหาเสียง สมาชิกพรรคพูดและแสดงออก คือ ‘การทำลาย’ ต้องไม่ลืมหลักธรรมะแห่งพุทธ การกระทำของเราเกิดจากตัวเรา เสียดายที่การเรียนวิชาประวัติศาสตร์หายไป แถมเรียนในสภาพแวดล้อมที่ที่เน้นวัตถุพัฒนากิเลส บางคนไปเรียนแต่เมืองนอก จึงไม่เคยทราบความจริงที่ไม่มีในสังคมโซเชียล

ปฐมกษัตริย์ของประเทศไทย พ่อขุนผาเมืองทรงรบเพื่อสร้างสุโขทัย ยกบัลลังก์ให้เพื่อนขึ้นปกครองก็เพื่อให้เป็นไทย และปลีกวิเวกไปปฏิบัติธรรม กษัตริย์ทุกพระองค์ทรงใช้ธรรมะปกครองแผ่นดิน จนทำให้ไทยเป็นไทยมาจนทุกวันนี้ ที่สำคัญเป็นแผ่นดินพุทธศาสนาหลังจากถูกทำลายที่อินเดียเมื่อครั้งพุทธกาล ปัญหาใหญ่ของสังคมไทยคือ ความเหลื่อมล้ำ ความยากจน ความไม่ยุติธรรม ทำไมไม่มุ่งแก้ปัญหาเรื่องนี้ที่พรรคการเมืองที่ผ่านมาไม่ได้ตั้งใจทำให้สำเร็จ หรือเพราะมีนายทุนทางความคิดกดดันชี้นำอยู่

ใครที่อ่านแล้วขัดใจก็ข้ามไปเสีย หมอตั้งใจกระตุ้นเตือนคนไทยที่รักแผ่นดิน รักสถาบัน ถึงเวลาที่ต้องไม่ปล่อยให้ภัยคุกคามแบบนี้ทำร้ายสังคม ไม่ต้องรอใครทำก่อน พลังความดีจะปกป้องเรา เราไม่ได้ขัดขวางที่คุณจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีบริหารประเทศ แต่เราจะขัดขวางและร่วมปกป้องสถาบันแน่นอน สิ่งนี้ไม่ใช้เรื่องที่ต้องมีมติหรือเสียงส่วนใหญ่

นักรบแห่งแผ่นดิน จักต้องปกป้องรักษาไว้ด้วยชีวิต

(หมายเหตุ คนที่ขัดใจข้ามไป เลิก Follow ไม่ต้องแชร์ความเห็นใดๆ มาให้ทุกช่องทาง หมอชัดเจนเรื่องนี้ เดี๋ยวกลับไทยวันเสาร์นี้จะติดต่อได้)

คนไทยกับการจัดตั้งรัฐบาลใหม่

เมื่อวันที่ 28 พ.ค. สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ กรณีคนไทยกับการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ จำนวนทั้งสิ้น 1,352 คน เป็นการสำรวจทางออนไลน์ ระหว่างวันที่ 24-26 พ.ค.66 พบว่า จากการเลือกตั้งใหญ่ 14 พ.ค. 2566 ที่ผ่านมา ทำให้ประชาชนสนใจติดตามข่าวการเมืองมากขึ้น ร้อยละ 72.63 ณ วันนี้ ประชาชนรู้สึกเครียดกับเรื่องปากท้อง/ค่าใช้จ่ายมากที่สุด ร้อยละ 52.14 รองลงมาคือ การจัดตั้งรัฐบาล ร้อยละ 51.90 ทั้งนี้เมื่อมีความรู้สึกเครียดจะแก้ปัญหาด้วยการคุยกับเพื่อน คนรัก คนที่ไว้ใจได้ ร้อยละ 46.38

เมื่อสอบถามว่าประชาชนมีความกังวลกับการจัดตั้งรัฐบาลใหม่หรือไม่ พบว่า กังวล ร้อยละ 67.83 เนื่องจากกลัวว่าการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีจะไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของประชาชน พรรคที่ได้เสียงข้างมากอาจไม่ได้จัดตั้งรัฐบาล พรรคร่วมรัฐบาลมีความคิดเห็นไม่ตรงกัน มีการเล่นเกมการเมืองมากเกินไป และกังวลการโหวตของ ส.ส. และ ส.ว.

ส่วนความเชื่อมั่นว่าการจัดตั้งรัฐบาลใหม่จะเป็นไปด้วยความราบรื่น พบว่าไม่เชื่อมั่น ร้อยละ 58.33 และเชื่อมั่น ร้อยละ 41.67 จากผลการสำรวจสะท้อนให้เห็นว่าการเลือกตั้งใหญ่ที่ผ่านมาทำให้คนไทยติดตามข่าวการเมืองมากขึ้น แต่ก็ยังมีความกังวลกับการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคที่ชนะการเลือกตั้ง รวมไปถึงกังวลกับการเลือกนายกรัฐมนตรีว่าอาจจะไม่ได้ตาม ที่ต้องการเพราะกลไกของการเลือกนายกรัฐมนตรีนั้นมีเงื่อนไขของการโหวตจาก ส.ว. ร่วมด้วย กอปรกับภาพความขัดแย้งของพรรคฝั่งประชาธิปไตยที่มีข่าวให้เห็นรายวัน จึงทำให้ประชาชนยังไม่แน่ใจว่าการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ครั้งนี้จะเป็นไปด้วยความราบรื่น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top