Monday, 9 June 2025
นายกรัฐมนตรี

‘ลุงตู่’ ปลื้ม จุฬาฯ-มหิดล-มช.-มข.  ขึ้นท็อป 100 ด้านความยั่งยืนปี 2566

เมื่อวันที่ 4 มิ.ย.นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ยินดีที่ Times Higher Education (THE) ผู้จัดอันดับสถาบันอุดมศึกษาที่ดีที่สุดโลกที่เป็นที่ยอมรับแห่งหนึ่ง ประกาศผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยที่มีการดำเนินงานเพื่อสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) หรือ THE Impact Rankings ประจำปี 2566

โดยมีสถาบันอุดมศึกษาทั่วโลก เข้าร่วมการจัดอันดับทั้งสิ้น 1,591 แห่ง จาก 112 ประเทศ และสถาบันอุดมศึกษาไทยเข้ารับการจัดอันดับทั้งสิ้น 65 แห่ง เพิ่มขึ้นจากเดิมในปี 2022 ที่มีจำนวน 52 แห่ง โดยสถาบันอุดมศึกษาไทยในปีนี้ที่ติดอันดับ Top 100 แบบคะแนนรวม มีจำนวน 4 สถาบัน เพิ่มจากปีที่แล้วที่ติดอันดับ Top 100 มีจำนวน 2 สถาบัน ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ติดอันดับที่ 17 มหาวิทยาลัยมหิดล ติดอันดับที่ 38 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ติดอันดับที่ 74 และมหาวิทยาลัยขอนแก่น ติดอันดับที่ 97 นอกจากนี้ ยังมีสถาบันอุดมศึกษาของไทย ที่ได้รับการจัดอันดับ Top 10 ของโลกในด้านต่าง ๆ อีก 6 ประเด็น ดังนี้ 

มหาวิทยาลัยมหิดล อันดับที่ 3 ใน SDG3 เรื่องสร้างหลักประกันว่าคนมีชีวิตที่มีสุขภาพดีและส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีสำหรับทุกคนในทุกวัย รวมทั้งอันดับ 5 ใน SDG7 เรื่องสร้างหลักประกันให้ทุกคนสามารถเข้าถึงพลังงานสมัยใหม่ที่ยั่งยืนในราคาที่ย่อมเยาว์ และยังได้อันดับ 5 ใน SDG17 เรื่องเสริมความเข้มแข็งให้แก่กลไกการดำเนินงานและฟื้นฟูหุ้นส่วนความร่วมมือระดับโลกเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ,มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ได้อันดับที่ 4 ใน SDG1 เรื่องขจัดความยากจนทุกรูปแบบในทุกพื้นที่,มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อันดับที่ 7 ใน SDG5 เรื่องบรรลุความเท่าเทียมระหว่างเพศ และเสริมอำนาจให้แก่สตรีและเด็กหญิง และมหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้อันดับที่ 9 ใน SDG2 เรื่องยุติความหิวโหย บรรลุความมั่นคงทางอาหารและยกระดับโภชนาการและส่งเสริมเกษตรกรรมที่ยั่งยืน

“นายกฯ ยินดีและชื่นชมสถาบันอุดมศึกษาของไทย ที่มีความโดดเด่นไม่แพ้ชาติใด ทุกสถาบันต่างมีความแตกต่างและความเป็นเลิศที่เฉพาะตัว โดยเฉพาะการมุ่งสู่ความยั่งยืนในทุก ๆ ด้าน รวมทั้งสถาบันอุดมศึกษาของไทยมีการพัฒนาต่อเนื่องอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อให้มีมาตรฐานเทียบเท่าระดับสากล ทั้งนี้ ประเทศไทยมีสถาบันอุดมศึกษาที่มีพื้นฐานที่ดี ในการทำงานที่ตอบโจทย์ของประเทศรวมทั้งความยั่งยืนที่กำหนดโดยสหประชาชาติ ซึ่งรัฐบาล และ อว. พร้อมสนับสนุนอย่างเต็มกำลังเพื่อให้สถาบันอุดมศึกษาไทยก้าวสู่ความสำเร็จและเป็นกลไกสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ เพื่อเป้าหมายการพัฒนาประเทศสู่ความยั่งยืนต่อไป” นายอนุชา กล่าว

จอมพล ป. พิบูลสงคราม อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ถึงแก่อสัญกรรมด้วยโรคหัวใจ ขณะลี้ภัย อยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น

จอมพล แปลก พิบูลสงคราม บรรดาศักดิ์เดิม หลวงพิบูลสงคราม นามเดิม แปลก ขีตตะสังคะ หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อ ป. พิบูลสงคราม เป็นนายทหารและนักการเมืองชาวไทย ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีระหว่างปีพ.ศ. (2481–2487 และ 2491–2500) รวมระยะเวลา 15 ปี 11เดือน นับเป็นนายกรัฐมนตรีไทยที่ดำรงตำแหน่งนานที่สุด และยังเคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

‘จตุพร’ ฟันธง ‘พิธา’ ชวดนายกฯ โดยบางส่วนใน 312 เสียง จะย้ายไปหนุนฝ่าย 188 เสียง

10 มิ.ย.2566 - นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน "คำพูด...เป็นนาย?" โดยกล่าวถึงกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค ถือหุ้นสื่อไอทีวีว่า เป็นข้อหาที่ผสมเกมการเมืองได้จัดเตรียมไว้ หากไม่เข้ามาเล่นการเมืองแล้ว การถือหุ้นสื่อก็ไม่มีปัญหา แต่กฎหมายกำหนดห้ามนักการเมืองถือหุ้นสื่อจึงกลายเป็นปัญหา

อย่างไรก็ตาม แม้ภาพทางสังคมสื่อไอทีวีไม่ได้ออกอากาศ อีกทั้งในข้อกฎหมายแล้ว บริษัทยังไม่ได้ปิดและไม่ได้เปลี่ยนวัตถุประสงค์ ยังรายงานบัญชีทุกปี ดังนั้น กฎหมายจึงไม่ได้สนใจว่า ไอทีวีออกอากาศหรือไม่

นายจตุพร กล่าวต่อว่า วันนี้ไอทีวีไปอยู่ในเครือบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด ซึ่งเจ้าของบริษัทนี้มีความสัมพันธ์กับกลุ่มคนขายอย่างดี นอกจากนี้ ยังแต่งตัวหุ้นกรณีของนายพิธา จนครบถ้วนตามกฎหมายห้ามถือหุ้นสื่ออีกด้วย โดยมีการถาม-ตอบในที่ประชุมผู้ถือหุ้น

ดังนั้น การถือหุ้นสื่อไอทีวีจึงเป็นเรื่องการเมือง และนายพิธา ควรสงสัยมากที่สุดกับคนในฝ่ายเซ็น MOU ร่วมรัฐบาลด้วยกัน เพียงแต่จะยอมรับความจริงได้หรือไม่ อีกอย่างเรื่องนี้ไม่ได้หลุดออกมาจากทางอื่นเลย

"นายพิธา เมื่อเดิมพันด้วยแคนดิเดตนายกฯ จึงตกเป็นเป้าถูกการเมืองเล่นงาน ซึ่งในอดีตมีนักการเมืองโดนกันแทบทุกฝ่าย มีทั้งคนรอดและไม่รอดจากศาล รธน. ดังนั้น วันนี้นายพิธา จึงเจออุปสรรค ต้องต่อสู้ทุกคดีความตามกฎหมายในด่านต่างๆ ต้องมีสมาธิไปต่อสู้คดีการเมืองในทุกด่าน รวมทั้งต้องทำใจรับผลทุกกรณี แม้จะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม”

นายจตุพร กล่าวว่า นายพิธา แม้ไม่ถูกร้องเรียนเป็นคดีถือหุ้นสื่อก็ตาม แต่ความจริงไม่สามารถได้เป็นนายกฯ ถึงมี 8 พรรครวมเสียง 312 ยังจับมือกันมั่นแน่น รวมทั้งออกข่าวร่วมกันว่า กำลังประสาน ส.ว. 100 คน ซึ่งบรรดากองเชียร์ฟังแล้วคงสบายใจมีความสุขเพิ่มขึ้น ก็ว่ากันไปให้บรรเจิด

"เรื่อง 100 ส.ว. มันเป็นเรื่องร้อยเล่ห์ มันไม่มีจริง แต่สามารถนำมาคุยให้ฟังเพื่อสร้างบรรยากาศความสุขกันได้ แต่ความจริงแล้ว ตอนนี้อย่าว่าแต่ขาดเสียง ส.ว.อยู่ 64 คนเลย แค่หาเพียง 30 เสียงให้ได้ก่อนก็ยังยาก ดังนั้นความเป็นไปได้ที่จะมีเสียงอย่างน้อย 376 เสียงจากทั้งหมดของสองสภา 750 เสียง จึงมีค่าเท่ากับศูนย์ เหตุนี้นายพิธา จึงไม่มีโอกาสได้เป็นนายกฯ เลย"

พร้อมประเมินว่า ถ้านายพิธา มีอุบัติเหตุการเมืองขวางไม่ให้ไปถึงโหวตเลือกแคนดิเดตนายกฯ แล้ว แม้เปลี่ยนแคนดิเดตนายกฯ คนใหม่มาเป็นพรรคเพื่อไทยก็จะมีเสียง 8 พรรค 312 เสียงเหมือนกัน และต้องอาศัยเสียง ส.ว. อีก 64 เช่นกัน จึงยากจะตั้งรัฐบาลได้ไม่แตกต่างกัน

"ดังนั้น เมื่อหมากโหวตนายกฯ ตั้งรัฐบาลมันตัน ให้จับตาไว้จะมีปรากฎการณ์โคตรงูเห่าเกิดขึ้น โดยบางส่วนใน 312 เสียงจะย้ายไปหนุนฝ่าย 188 เสียง ซึ่งจะเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นอีกไม่นานนี้"

นายจตุพร เชื่อว่า เกมการเมืองแบบนี้ อาจะหลอกได้ในบางเวลาเท่านั้น แต่จะถูกจับได้อยู่ดี เนื่องจากคนที่ย้ายพรรคก่อนเลือกตั้งมาอยู่พรรคเพื่อไทยนั้น ส่วนใหญ่ล้วนมีชนักในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ทั้งสิ้น อีกอย่างรูปถ่ายในวันไปอำลา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่มูลนิธิป่าร้อยต่อฯ นั้น ยังสะท้อนเบื้องหลังรอยยิ้มเบิกบานเข้าตามแผนการเมืองได้ดี และไม่เพียงเท่านั้น ภาพๆนี้ ยังถูกปล่อยออกมาสื่อสารทางการเมืองเพื่อเขย่าขวัญสาธารณะ

อีกทั้งย้ำว่า การเมืองเป็นเรื่องที่ไม่มีสัจจะใดๆ ใครจะพูดอะไรก็ได้ วันนี้เรื่องไม่กลับบ้าน ทักษิณก็ไม่เหลือสถานภาพคนให้เสียอีกแล้ว แต่สิ่งสำคัญ กลับสร้างภาพให้ครอบครัวเบรคไม่ให้กลับบ้านแสดงถึงที่ผ่านมามีการดีลกันในทุกขั้นตอน เพราะหลุดคำว่า "กลัวจะถูกหลอก" ออกมา

นายจตุพร กล่าวว่า เรื่องราวของทักษิณ เราเคยพยากรณ์มาตั้งแต่ต้นแล้ว กระทั่งถึงวันนี้ สรุปได้ชัดเจน คือ ไม่กลับมา และอีกอย่างยังตอกย้ำว่ามี การดีลทางการเมืองกันจริง อย่างไรก็ตาม ตามประสาการเมืองไม่มีสัจจะ แม้คุยกันต่อหน้าราบรื่น ยิ้มรับการแลกเปลี่ยนด้วยดี แต่ลับหลังพฤติกรรมปกติของนักการเมืองมักถามพวกตัวเองว่า เราจะได้ประโยชน์อะไรบ้าง ซึ่งการเมืองเป็นเช่นนี้มาตลอด ดังนั้น ประเทศต้องเปลี่ยนแปลงโครงสร้างกันใหม่ มาจัดความสมดุลให้เป็นจริง พร้อมกับแบ่งสรรทรัพยากรของชาติกันให้เท่าเทียม ขจัดการเหลื่อมล้ำ เพื่อจะได้นับหนึ่งประเทศกันเสียที

"แต่การเปลี่ยนแปลงสู่การนับหนึ่งประเทศใหม่ เกิดได้ยากมากภายใต้สมการการเมืองแบบไร้สัจจะ เอาเปรียบและมุ่งแสวงหาประโยชน์ของตนเองเช่นนี้ นักเลือกตั้งก็คิดแต่การเลือกตั้งครั้งต่อไป แต่ไม่คิดถึงประเทศในวันต่อไป นักการเมืองจะไม่มีใจเป็นรัฐบุรุษ มีแค่จิตใจของนักเลือกตั้งเท่านั้น เราผ่านสิ่งเหล่านี้มาซ้ำแล้วซ้ำเล่า" นายจตุพร กล่าว

เรียกร้องไม่โหวตให้ พรรคที่คิดล้มล้างสถาบัน ด้าน ‘อกนิษฐ์’ ย้ำจุดยืนโหวตนายกฯ ต้องเป็นคนเก่งและดี

วันนี้ (วันที่ 12 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่บริเวณด้านหน้าอาคารรัฐสภา ฝั่งวุฒิสภา เวลา 05.00 น. คณะประชาชนคนรักในหลวง นำโดยนายนายประยูร จิตรเพ็ชร ประธานคณะฯ ส่วนกลาง และมวลชนซึ่งสวมเสื้อสีเหลืองจำนวนมาก รวมตัวเพื่อให้กำลังใจ ส.ว. และยื่นหนังสือขอให้ ส.ว. งดการลงมติให้กับพรรคการเมืองที่ล้มล้างสถาบันเบื้องสูง

ทั้งนี้เวลา 08.00 น. นายประยูร และแกนนำบางส่วนได้เข้าพบกับส.ว. บนตึกวุฒิสภา ชั้น2 โดยเป็นการพบปะแบบส่วนตัว ใช้เวลาประมาณ 40 นาที ก่อนที่นายประยูร จะกลับมาแจ้งให้มวลชนรับทราบว่า พล.อ. อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์ ส.ว. จะเป็นผู้รับยื่นหนังสือ และพามวลชนเข้ามารอที่ด้านในอาคารรัฐสภา บริเวณโถงหน้าพิพิธภัณฑ์รัฐสภา พร้อมยืนยันว่าการรวมตัวของกลุ่มประชาชนคนรักในหลวง ไม่มีประเด็นการเมือง ไม่มีความรุนแรง และต้องการมาให้กำลังใจ ส.ว.เท่านั้น

ต่อมาเวลา 10.15 น. พล.อ.อกนิษฐ์ พร้อมด้วยนายทวีศักดิ์ วัฒนพรมงคล ส.ว. เข้ารับยื่นหนังสือกับแกนนำและตัวแทน โดยนายประยูร กล่าวว่าตนขอให้กำลังใจ ส.ว. และขอเรียกร้องไม่ให้ลงมติให้กับพรรคการเมืองที่คิดล้มล้างสถาบัน ซึ่งการรวมตัวของมวลชนถือเป็นบางส่วนเท่านั้น ทั้งนี้ตนทราบข่าวว่ามีคนคิดจะล้มล้างสถาบัน หากเกิดขึ้นจริง กลุ่มประชาชนคนรักในหลวงจะออกมาชุมนุมเป็นหลักล้านคน

โดย พล.อ. อกนิษฐ์ กล่าวตอบว่า ตนในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)การบริหารราชการแผ่นดิน วุฒิสภา และ ส.ว. หลายคนที่ทำงานร่วมมกันขอให้สัญญาว่า ส.ว. ทุกคนเป็นผู้ทรงคุณวุฒิมีวุฒิภาวะดี ตนเชื่อว่าทุกคนจะทำงานเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เพื่อประโยชน์สูงสุดประเทศชาติ และประชาชน ไม่ต้องกลัว ส.ว. มีวุฒิภาวะพอ

พล.อ. อกนิษฐ์ ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า ตนจะดูรายละเอียดของหนังสือที่มายื่นว่าเข้าเงื่อนไขอะไรบ้างและต้องเดินต่ออย่างไร ส่วนที่ถามถึงจุดยืนส่วนตัวในการโหวตเลือกนายกฯ นั้น ตนบอกแล้วว่าทุกคนมีวุฒิภาวะที่ตัดสินใจบนผลประโยชน์ชาติและประชาชนเป็นหลัก และตอนนี้ยังไม่ชัดเจน คนที่เป็น ส.ส. ขณะนี้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยังไม่รับรอง ดังนั้นเร็วเกินไปที่จะตอบตอนนี้

เมื่อถามว่าส่วนตัวมองสเปคบุคคลที่เหมาะสมจะเป็นนายกฯ ที่จะโหวตให้อย่างไร พล.อ.อกนิษฐ์กล่าวว่า ต้องเป็นคนมีความรู้ ความสามารถ คนเก่ง คนดี และต้องคู่กัน ไม่ใช่ดีแล้วไม่เก่ง หรือ เก่งแล้วไม่ดี ต้องเป็นคนเก่งและคนดี เก่งด้วยดีด้วย และทำงานเพื่อประเทศชาติ ยึดมั่นในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

ต่อข้อถามว่า ตัวเลข ส.ส. ร่วมรัฐบาลจะเป็นปัจจัยโหวตนายกฯหรือไม่ พล.อ. อกนิษฐ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องของฝั่ง ส.ส. เรามีหน้าที่พิจารณาตอนเสนอชื่อใครเป็นนายกฯ เท่านั้น ซึ่งเป็นคนละขั้นตอน

เมื่อถามถึงการกดดันให้ ส.ว. โหวตเลือกนายกฯ เสียงข้างมากตามมติประชาชน โดยให้พรรคอันดับหนึ่งเป็นนายกฯ พล.อ. อกนิษฐ์ กล่าวว่า การที่บอกว่า เสียงอันดับหนึ่งเป็นนายกฯ หลายท่านเข้าใจผิด เสียงส่วนใหญ่กับเสียงส่วนน้อยเป็นอย่างไร เป็นขั้นตอนของการเลือกตั้งแต่ตอนนี้ไม่มีเสียงส่วนใหญ่ ยังไม่รู้ว่าใครเป็นเสียงส่วนใหญ่เป็นแค่การวางแผนกันเท่านั้น เมื่อมีเสียงส่วนใหญ่ต้องมีเสียงส่วนน้อย ตนไม่ได้ฟังเสียงคนที่ได้รับเลือกตั้งมามากเป็นอันดับหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่เสียงส่วนใหญ่

เมื่อถามถึงกรณีทีตัวแทนพรรคก้าวไกลมาพูดคุยส่วนตัวหรือไม่เพื่อให้โหวตนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกฯ พล.อ. อกนิษฐ์ กล่าวว่า ไม่มี ส่วนตัวพร้อมรับฟังทุกพรรค เพราะตนมีเพื่อนอยู่ทุกพรรค ไม่ใช่พรรคใดพรรคหนึ่ง เป็นเพื่อนทุกพรรค ตนรู้จักแกนนำของทุกพรรค

เมื่อถามย้ำว่าปัญหาที่นายพิธา ถูกตรวจสอบไม่ว่าจะเป็นเรื่องหุ้นสื่อ หรือเรื่อง อื่นๆจะเป็นปัจจัยตัดสินตอนโหวตหรือไม่ พล.อ. อกนิษฐ์ กล่าวว่า ตนไม่ทราบ เพราะฝ่าย ส.ส. ยังไม่นิ่ง ดังนั้นจึงตัดสินใจอะไรไม่ได้ แต่ตนมีหลักเกณฑ์ง่ายๆ ขอเลือกคนเก่ง คนดี และทำงานเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชน ยึดมั่นในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

ผู้สื่อข่าวรายงานถึงเนื้อหาของหนังสือของคณะประชาชนคนรักในหลวง ที่ยื่นต่อส.ว. ตอนหนึ่ง ระบุว่า มวลชนเดินทางมาที่รัฐสภาเพื่อให้กำลังใจและยืนเคียงข้าง ส.ว. ที่ไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และขอให้ ส.ว. ไม่ยกมือให้กับ ส.ส. ที่คิดจะยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112

ทั้งนี้พบว่าในจดหมายที่ยื่นต่อ ส.ว. ยังพบการขอรับการสนับสนุนการจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่10 ประจำปี 2566 ที่ จ. ร้อยเอ็ด ระหว่างวันที่ 22- 28 กรกฏาคม จากวุฒิสภา จำนวน 28.7 ล้านบาท ด้วย

‘จตุพร’ ฟันธง กรณีหุ้นไอทีวี แม้มีคลิปเสียงหลุด ‘พิธา’ ก็ไม่ได้นั่งเก้าอี้

วันที่ 13 มิ.ย. 2566 - นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน “ข่าวดี…มาก่อนข่าวร้าย?” โดยเชื่อว่า คลิปเสียงประชุมผู้ถือหุ้นไอทีวีจงใจหลุดออกมาปฎิบัติการตอกลิ่มขัดแย้งให้พรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทยที่กำลังช่วงชิงนายกฯ ถึงที่สุดปลายทาง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะคว้านายกฯ ไปครองสำเร็จ

นายจตุพร กล่าวว่า กรณีหุ้นไอทีวี เกี่ยวข้องทั้งทางการเมืองและกฎหมาย โดยไอทีวีเกิดขึ้นในปี 2535 ต้องการให้เป็นสื่อเสรี เป็นช่องทางสาธารณะของประชาชน ไม่อยู่ใต้การครอบงำของรัฐ แต่สามารถดำเนินธุรกิจได้

กระทั่งไอทีวีมาอยู่ในมือของชินคอร์ป แล้วเกิดปัญหากับนักข่าวหลายคน นักข่าวที่มีทัศนคติเป็นปัญหากับเจ้าของก็ถูกสั่งให้ออก เมื่อเกิดปัญหาจ่ายค่าสัมปทานกับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) จนถูกฟ้องร้องยกเลิกสัญญาพร้อมเรียกเงินค้างจ่ายค่าสัมปทานระบบ UHF

อย่างไรก็ตาม บริษัทไอทีวีถูกขายต่อกันหลายทอด จนมาอยู่กับบริษัทอินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ในปัจจุบัน โดยบริษัทนี้มีความสัมพันธ์กับบริษัทพลังงาน ซึ่งมีความสัมพันธ์กับเจ้าของเดิมไอทีวี อีกทั้งได้สัมปทานไฟฟ้า 5,000 เมกะวัตต์ โดยไม่ต้องประมูลแข่งขัน จึงเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่างในด้านพลังงานในปัจจุบัน แล้วไอทีวี กลายเป็นประเด็นการเมืองและถกเถียงด้านกฎหมายคุณสมบัติผู้สมัคร ส.ส.

อีกทั้ง กล่าวว่า ถ้านายพิธา เป็นบุคคลธรรมดา ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคการเมือง ไม่เป็นนักการเมือง หรือไม่ได้เป็นแคนดิเดตนายกฯ ขอบเขตกฎหมายไม่สามารถเข้าไปจัดการกับการถือหุ้นไอทีวีได้ แต่ความจริงคือ นายพิธา เมื่อเป็นนักการเมือง กฎหมายมีข้อห้ามถือหุ้นสื่อ จึงเกิดรอยปริทางอำนาจขึ้นอย่างเดือดระอุ

นายจตุพร กล่าวว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ปกติมีหน้าที่แจกข่าวดีเป็นส่วนใหญ่ โดยข่าวดีที่แจกแล้ว คือ ยกเลิก 3 คำร้องจากผู้ร้อง 3 คนให้ตรวจสอบคุณสมบัติผู้สมัคร ส.ส.ของนายพิธา กรณีถือหุ้นสื่อไอทีวี จากนั้นจึงนำไปไต่สวนตามข้อหาคดีอาญา ม.151 ของ พรป.เลือกตั้ง ส.ส.ปี 2561 เกี่ยวกับการรู้ว่าไม่มีคุณสมบัติแล้วมาสมัครเลือกตั้ง ดังนั้น แสดงว่า คำร้องคุณสมบัติต้องห้ามการถือหุ้นสื่อน่าจะมีมูลพอสมควร จึงต้องไต่สวนหาข้อเท็จจริงเพื่อนำไปดำเนินคดีอาญา

รวมทั้ง กล่าวว่า เส้นทางของ ม.151 แม้มีการสร้างจินตนาการถึงการต่อสู้ได้ยาวนานถึง 3 ศาลกว่าจะผลยุติ แต่เมื่อไต่สวนจนมีความปรากฎ กกต. สามารถใช้ ม.98 (3) ของ รธน. 2560 ยื่นให้ ศาล รธน.วินิจฉัยได้ อีกอย่างผู้ร้อง 3 คนที่ถูกยกคำร้องนั้น ยังสามารถมายื่นใช้สิทธิตาม รธน.ได้ด้วย ซึ่ง กกต. อาจได้ชี้แจงให้ผู้ร้องรับทราบด้วยแล้ว

“ในข่าวดีที่ กกต. แจ้งยกคำร้องการถือหุ้นสื่อนั้น ยังมีข่าวร้ายคือ ทันที่นายพิธา ได้รับการรับรอง ส.ส. ผู้ร้องเดิมทั้ง 3 คนยังร้องต่อไปได้ หรือเมื่อผลจากตั้งกรรมการไต่สวน กกต.ก็ดำเนินการเอง โดยไม่จำเป็นให้แต่ละสภายื่นตรวจสอบคุณสมับัติห้ามถือหุ้นสื่อเลยก็ได้”

นายจตุพร ตั้งข้อสังเกตุว่า มันง่ายไปหรือไม่ที่บริษัทไอทีวีประชุมผู้ถือหุ้นโดยเปิดเผยผ่านช่องทางโชเชียลมีเดีย แล้วมีรายงานการประชุมออกไป ถัดจาดนั้นตามด้วยหลุดคลิปเสียงอย่างมีนัยยะสำคัญ เพราะเสียงในการประชุมกับบันทึกการประชุมไม่ตรงกัน

อย่างร็ตาม ผู้คนไม่สนใจว่า ทางกฎหมายบริษัทไอทีวียังอยู่ และยังไม่ได้ปิดบริษัท หรือจดทะเบียนยกเลิกบริษัท จึงทำให้เกิดอารมณ์แรกที่ชัดเจน คือ การบันทึกรายงานการประชุมกับคลิปเสียงที่ออกไม่ตรงกัน ได้กลายเป็นข่าวดีกล่อมสร้างบรรยากาศดีใจของผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกล

“วันนี้ ถ้าเอาอารมณ์ความรู้สึกมาสร้างความชอบธรรมและอธิบายสาธารณะแล้ว ย่อมได้ทางการเมืองแน่นอน แต่ข้อกฎหมายนั้น มันยังดิ้นยากอยู่ เหตุคลิปเสียงนี้ออกมาจะเรียงร้อยทุกเรื่องให้มีนัยยะสำคัญ โดยไม่รู้ใครหย่อนออกมาให้กระจายไปในสาธารณะ และมีเจตนาอะไร แต่ก็เป็นข่าวดีสร้างขวัญกำลังใจให้นายพิธา กับผู้สนับสนุน ถึงที่สุดก็ไม่ใช่ปลายทางของการเมือง”

นายจตุพร กล่าวว่า อีกมุมหนึ่งการหลุดคลิปเสียงนั้น อาจส่งแรงกระเพื่อมและตอกลิ่มให้พรรคการเมืองจำนวน 312 เสียงก็ได้ เพราะคลิปเสียงดูเหมือนทำให้เกิดความรู้สึกว่า เกมพลิกแล้ว และเกิดความชอบธรรมทางการเมืองให้เกิดขึ้นกับนายพิธา ทั้งที่หากไม่มีคลิปเสียง กกต.ก็สามารถปิดเกมถือหุ้นสื่อได้อยู่แล้ว

สิ่งสำคัญ นายจตุพร เชื่อว่า กกต.ได้ปล่อยข่าวดีมาสร้างความชอบธรรมให้พรรคก้าวไกลมาต่อเนื่อง โดยเริ่มยกคำร้องการถือหุ้นสื่อ 3 คำร้อง ตามด้วยยกคำร้องการยุบพรรค 4 คำร้องในเวลากลางวันของวันอาทิตย์ และกระจายสะพัดสาธารณะในช่วงกลางคืนทันที ปรากฎการณ์นี้แสดงถึง กกต.กำลังลดความกดดันทางการเมืองที่ร้อนแรง ซึ่งเริ่มระอุเดือดขึ้นกับพรรคก้าวไกลและผู้สนับสนุน

อีกทั้ง เห็นว่า การสร้างข่าวดี ด้วยการยกคำร้องต่างๆ นั้น ทำให้ กกต.เริ่มกลายเป็นตัวดีในอารมณ์ทางการเมืองที่คุกรุ่นขึ้นของผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกล แต่ในปลายทางของการไต่สวน กกต.อาจจะกำไม้เด็ดไว้ในมือ เพื่อจัดการและมุ่งหวังผลในทางการเมืองอย่างเด็ดขาดในสถาการณ์ประทุขึ้นเมื่อปลายทาง

“เมื่อรายงานการประชุมหลุดออกมาในช่วงบรรยายสร้างข่าวดีของ กกต. แล้วเกิดคลิปเสียงหลุดออกมาอีกจากผู้อำนวยการสร้างข่าวดีคนเดิมที่ออกแบบสร้างให้เกิดความขัดแย้งในฝากฝั่งพรรคที่เรียกตัวเองว่า ฝ่ายประชาธิปไตย และจะยิ่งตอกลิ่มหนักขึ้น เมื่อ กกต. รับรอง ส.ส.ให้เกิน 475 เสียง และที่ไม่รับรองก็จะจัดการเลือกตั้งด่วน อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งหมด แล้วความวุ่นวายจะประทุประเดประดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง”

นายจตุพร กล่าวว่า การคิดอ่านทางการเมืองในรอบนี้ ถึงนายพิธา จะถูกหยุดหรือไม่หยุดการปฏิบัติหน้าที่ หรือไม่มีกรณีถือหุ้นไอทีวีมาเป็นอุปสรรคขวางกั้นก็ตาม ย่อมหาเสียงไม่ได้ถึง 376 เสียงอยู่ดี ดังนั้น แม้มีคลิปเสียงหลุดออกมา นายพิธา ก็ไม่ได้เป็นนายกฯ อยู่ดี

“สิ่งสำคัญ ทางที่กำลังเดินไปสู่ปลายทางนั้น จะเห็นคู่มวยอย่างพรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทยกำลังเริ่มตั้งท่าเดือดใส่กันในกรณีเลือกประธานสภา และเลือกนายกฯ ซึ่งฟันธงได้เลยว่า คนเป็นนายกฯ คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ (แคนดิเดตนายกฯ จากพรรคพลังประชารัฐ) ส่วนใครจะโหวตกันบ้าง คอยดูงูเห่าจะเลื้อยเพ่นพ่านในห้องประชุมสองสภาวันโหวตเลือกนายกฯ”

นายจตุพร กล่าวว่า การเมืองครั้งนี้ อะไรที่ดีอย่างผิดปกติ ย่อมไม่ธรรมดา ดังนั้น ร่องรอยเรื่องคลิปหลุดสืบสาวกันไม่ยาก แต่ถึงที่สุดความขัดแย้งก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากปลายทางที่กำหนดความต้องการไว้ เพราะการเมืองเป็นกลเกม และในกระดานแห่งอำนาจที่ต้องช่วงชิงกันรอบนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยเล่ห์เพทุบายการออกแบบไว้.

‘ชมรมแพทย์ชนบท’ ขุดแผนปลุกผี itv โยง ‘ภูมิใจไทย’ ระบุ เป็นการดิ้นรนของขั้วอำนาจเก่า

วันที่ 13 มิ.ย. 2566 – ชมรมแพทย์ชนบท โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก ระบุว่า หรือนี่คือการดิ้นรนของขั้วอำนาจเก่า

ข้อเท็จจริงชัด ๆ คือ

1.ความเกี่ยวโยงของนิกม์กับภูมิใจไทยหลีกกันไม่พ้น
2.ความเกี่ยวโยงของชิโนไทยกับกัลฟ์ที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อินทัชที่ถือหุ้นใหญ่ไอทีวีอีกต่อก็เป็นข้อเท็จจริง
3.ทั้งภูมิใจไทยและชิโนไทยมี อนุทิน ชาญวีรกูล ในสมการ
4.หากก้าวไกลสะดุดเรื่องหุ้นไอทีวี พรรคภูมิใจไทยที่ความหวังเหือดแห้งริบหรี่ ก็จะมีโอกาสขึ้นมาในทันที
สังคมคลางแคลงใจ ทฤษฎีสมคบคิดหรือเปล่า? ต้องติดตาม

‘ดร.หิมาลัย’ เผย ‘ภราดรภาพ’ คือการผสานความคิดเก่า-ใหม่ เพื่ออยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข ชี้!! ‘ประชาธิปไตย’ ไม่ควรทิ้งใครไว้ข้างหลัง

เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. 66 ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้เล่าถึงประเด็น ความเป็นประชาธิปไตย กับ ภราดรภาพ ที่จะอยู่ร่วมกัน ระหว่างความคิดแบบเก่า และ ความคิดแบบใหม่ได้ โดยไม่ขัดแย้ง ผ่านรายการ ‘คุยกับ ดร. หิมาลัย’ EP.3 โดยระบุว่า…

ผมคิดว่าบรรยากาศของประชาธิปไตยมันเบ่งบานมาตั้งนานแล้วตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งแล้ว แต่ละพรรคการเมืองก็จะนำเสนอจุดเด่นของตัวเองเพื่อให้พี่น้องประชาชนนั้นได้พิจารณา หลักการของประชาธิปไตยนั้นก็ง่ายๆก็คือเรื่องของสิทธิและเสรีภาพ และก็ความเสมอภาค สิทธิและเสรีภาพก็มักจะไปควบคู่กัน ทุกคนมีสิทธิในการเลือกตั้งจะเห็นว่าการหาเสียงนั้นก็เป็นไปอย่างคึกคัก อันนี้คือสิทธิและเสรีภาพทางการเมือง แต่จริงๆแล้วมันยังมีอีกหลายด้าน ทางเศรษฐกิจทางสังคมและทางวัฒนธรรม ซึ่งผมคิดว่าประเทศไทยไม่ได้มีปัญหา กับบริบทต่างๆเหล่านี้ แต่บางท่านอาจจะคิดว่ามันอาจจะดีได้มากกว่านี้ มันควรจะเด่นชัดกว่านี้หรือตรงนั้นตรงนี้ควรจะได้รับการแก้ไข ก็นำไป แต่สิ่งที่ผมเป็นห่วงในปัจจุบันนี้ก็คือ นอกจากสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคแล้ว สิทธิและเสรีภาพถ้าเราใช้มากเกินไปมันก็จะไปละเมิดสิทธิของคนอื่น เสรีภาพนั้นมันมีหลายอย่างบางครั้งคนที่คิดเห็นไม่ตรงกันก็อาจจะมีการกระทบกระทั่งกัน ระหว่างความเชื่อ อาจจะมีคนที่มีความเชื่อแบบใหม่เสรีภาพแบบใดซึ่งเขาก็ถูกของเขา แต่ก็อย่าลืมว่าคนที่มีความคิดความเชื่อแบบเก่าๆนั้นเขาก็มีเสรีภาพแบบเก่าๆของเขาอยู่เช่นเดียวกัน อย่าไปตีค่าว่าเขาเป็นคนเลว มันเป็นความคิดเห็นของแต่ละคน อันนี้มันจะต้องเป็นการเปิดใจให้กว้าง แต่ที่น่าเป็นห่วงก็คือการทำลายรากฐานความคิดของสังคมเลย มันก็เคยมีบทเรียนมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการปฏิวัติ เรดการ์ด ของประเทศจีน ตอนนั้นก็จะมีความเชื่อพื้นฐานของการเคารพบรรพบุรุษการกตัญญูซึ่งก็มีการพยายามทำลายความเชื่อพื้นฐานต่างๆเหล่านี้ คือมีความคิดที่ว่าสิ่งต่างๆ จะดีขึ้นได้นั้น จะต้องทำลายของเก่าก่อน แต่หลังจากที่ได้ทำลายของเก่าแล้วมันก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นมา ภาพความขัดแย้งเช่นนี้ ไม่อยากให้เกิดขึ้นในประเทศไทยของเรา
.
ถ้าเราจะสร้างสังคมขึ้นมาใหม่หรืออะไรก็ตาม นอกจากเรื่องของสิทธิและเสรีภาพแล้ว ในประชาธิปไตยมันมีอยู่ 1 คำก็คือ คำว่าภราดรภาพ ภราดรภาพมันก็คือการอยู่ร่วมกันแบบฉันมิตร อยู่กันแบบพี่น้อง หมายความว่าในความเห็นต่างนั้นเราต้องพยายามแสวงหาจุดร่วมกัน ที่จะอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข

ในการจะก้าวเดินไปข้างหน้านั้น มันมีอยู่คำพูดหนึ่งนั่นก็คือเราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง นี่คือหลักการของภราดรภาพเลย เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ในขณะที่น้องๆก้าวเดินไปกับความทันสมัย วันนี้หลายธุรกิจก็ไปทำอยู่ในโลกของดิจิตอลนั่นคือความก้าวหน้า สมมุติว่าวันนี้ยกเลิกเงินเก่าระบบที่เป็นเงินกระดาษทั้งหมด ยกเลิกเงินเหรียญทั้งหมด เพื่อใช้ดิจิตอล เพื่อให้มันทันสมัยกว่า มันจะมีข้อดีหรือข้อเสียมากกว่ากัน มันก็ไม่สามารถจะทำลายสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้หายไปได้ ในความคิดของน้องๆ อายุ 30 กว่าที่เติบโตขึ้นมาที่จะดูแลประเทศ เราก็จะต้องยอมรับความคิดของเขาแต่ในขณะเดียวกันน้องๆ อายุ 30 กว่าๆที่กำลังเติบโตขึ้นมานั้น ก็อย่าเพิ่งคิดว่าความคิดของรุ่นพี่ ๆ นั้นมันล้าสมัยทั้งหมด หรือมันเสียหายทั้งหมด ที่ผ่านมานั้นมันก็มีสิ่งที่ดีอยู่เหมือนกัน 

ใครที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ก็จะต้องทำสิ่งที่ดีให้กับประเทศ ถ้าเขาคนนั้นเป็นคนกตัญญู ทำไมถึงพูดอย่างนี้ เพราะถ้าเขากตัญญูต่อบรรพบุรุษของเขา เขาก็จะรักษาชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล รักษาชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลคืออะไร นั่นคือไม่ทำสิ่งที่มันเสียหาย จริงๆแล้วความกตัญญูที่คนรุ่นใหม่มองว่ามันล้าสมัยนั้น แท้ที่จริงแล้ว มันก็มีประโยชน์

ก่อนจะมีความเชื่อเรื่องความกตัญญูนั้น ก็ต้องมีความเชื่อเรื่องความดีก่อน ซึ่งมาจากศาสนา ทุกศาสนาก็จะพูดถึงเรื่องของการทำความดี ละเว้นความชั่ว นั่นคือความเชื่อในเรื่องของความดี 2 สิ่งนี้คือพื้นฐานของสิ่งเก่าที่มีประโยชน์ ในอดีตมีความพยายามสร้างสิ่งใหม่โดยการทำลายสิ่งเก่า ซึ่งมันก็ไม่ประสบความสำเร็จ ถ้าเราจะเอาบทเรียนจากในอดีตนั้นมาใช้ ก็อยากจะให้มองว่าในสิ่งเก่าสิ่งไหนที่มันดีอยู่แล้วก็ให้เก็บเอาไว้สิ่งไหนที่มันจะต้องปรับปรุงแก้ไขก็ปรับเปลี่ยนกันไป แก้ไขกันไป มันต้องเกื้อกูลกันทั้งสองอย่าง

การแบ่งแยกดินแดนนั้น ท่านเกิดมาเป็นคนไทย ถือบัตรประชาชนไทย สิทธิประโยชน์ทุกอย่าง ท่านก็ได้รับเหมือนคนไทยทุกคนเท่ากัน รัฐบาลไทยดูแลทุกคนเหมือนกันเท่าเทียมกัน แล้วมันมีความจำเป็นอะไรที่จะต้องไปแบ่งแยก เพื่อให้เกิดความแตกแยกกันขึ้นมา ถ้าเราปรับความคิดที่จะแบ่งแยก มาเป็นช่วยกันพัฒนามันจะดีกว่าไหม พัฒนากันไปให้มันมีความเจริญก้าวหน้า เราช่วยกันพัฒนาประเทศไปด้วยกัน เดินไปด้วยกันมันจะดีกว่าไหม แทนที่จะคิดแบ่งแยกกันออกไป

หลายท่าน ยกฝรั่งเศส เป็นประเทศแม่แบบแห่งประชาธิปไตย ท่านรู้ไหมครับ ว่า ฝรั่งเศสเขาเขียนไว้ 3 คำ เสรีภาพ เสมอภาค และมีภราดรภาพด้วย ไม่รู้ว่านักการเมืองรุ่นใหม่เวลาเข้าพูดถึงประชาธิปไตยเขาได้พูดถึงคำว่าภราดรภาพด้วยหรือไม่ เพราะถ้ามีคำว่าภราดรภาพ มันจะไม่ปลุกเร้า มันจะไม่แรง แต่ถ้านักการเมืองที่เป็นนักประชาธิปไตย และต้องการให้เป็นประชาธิปไตยเพื่อส่วนรวมนั้น เขาจะต้องเน้นคำว่าภราดรภาพ แต่ถ้าเป็นนักประชาธิปไตยที่ต้องการเปลี่ยนแปลงตามความคิดของตัวเองเป็นหลัก เขาจะไม่เน้นคำว่าภราดรภาพ แต่เขาจะไปเน้นเรื่องอื่น แต่ถ้าประเทศเราจะยึดมั่นในประชาธิปไตยให้ถูกต้องแล้ว ก็ควรจะเน้นคำว่าภราดรภาพลงไปด้วย ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ กล่าวทิ้งท้าย

เข้าสู่โหมด ‘ด้อมส้ม’ ต้อง ‘ลุ้น’ เก้าอี้นายกฯ ของ ‘พิธา’  ต้องจับตาให้ดี งานนี้อาจจะไปจบที่ ‘ศาล’

หลังเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2566 จวบจนบัดนี้ก็ล่วงเลยมากว่า 1 เดือน บรรดาผู้ชนะการเลือกตั้งเป็นส.ส. ก็ยังไม่มีใครได้รับการประกาศรับรองจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จนทำให้บรรดา “ด้อมส้ม” พรรคก้าวไกล ซึ่งกวาดส.ส.เข้ามาเป็นอันดับที่ 1 ต้องออกมายื่นหนังสือกดดัน กกต.ให้เร่งประกาศรับรองผล เพื่อเปิดทางให้มีการสภาเลือกประธานสภา และประชุมรัฐสภาโหวตนายกฯ จะได้มีรัฐบาลใหม่โดยเร็ว 

แต่ กกต.จะไปเร่งรีบตามที่ฝ่ายอยากเร่งรัดคงไม่ได้ ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ รอบด้าน เพื่อความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายกับคำร้องเรียนมากถึง 280 เรื่อง ตามกฎหมายให้อำนาจ กกต. 60 วัน ในการตรวจสอบเรื่องร้องเรียนเลือกตั้ง ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 13 ก.ค. 2566 นี้ แต่ล่าสุดมีรายงานจาก กกต.ได้พิจารณาครบทั้ง 400 เขตแล้ว เตรียมประชุมประกาศรับรอง 329 คน และแขวนไว้ 71 คนในการประชุมสัปดาห์หน้าวันจันทร์ที่ 19 มิ.ย.นี้  กกต.พร้อมกับพิจารณารับรอง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อไปพร้อมกัน ส.ส.เขตเลือกตั้ง หลังได้พิจารณาไปแล้วว่าทั้ง 400 เขตเลือกตั้ง 

ถ้าดูตามตัวเลขนี้ 329+100 คน = 429 คน ตัวเลขยังไม่ครบ 95% หรือ 480 คน คาดว่า หลังจากนั้น กกต.จะหยิบ 71 คนมาทบทวน และอาจจะประกาศรับรองไปก่อนสอยทีหลัง เพื่อให้งานกิจการสภาเดินหน้าไปได้

โดยคาดว่า กกต.จะประกาศรับรอง ส.ส.ได้วันพุธที่ 21 มิ.ย.นี้  จากนั้นให้ ส.ส.จะทยอยไปรับเอกสารรับรองได้ที่สำนักงาน กกต. และนำเอกสารรับรองมารายงานตัวต่อสภา ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้เตรียมสถานที่ไว้พร้อมแล้ว

มีการประมาณกาลว่า ถ้า กกต.รับรองผลการเลือกตั้งได้ครบ 95% แล้ว วันจันทร์ที่ 24 กรกฎาคม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จฯเปิดประชุมสภา และวันที่ 25 กรกฎาคม จะเป็นการประชุมสภาเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งนายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี 2 สมัย อดีตประธานสภา ในวัย 85 ปี น่าจะมีอาวุโสสูงสุด (ไม่แน่ใจว่ามีใครอายุมากกว่านายชวนหรือไม่)ทำหน้าที่เป็นประธานสภาชั่วคราว

หลังจากนั้นถึงจะเป็นช่วงเวลาของความระทึกของ “ด้อมส้ม” คือวาระเลือกนายกรัฐมนตรี

อนาคต“พิธา”จบที่ศาลรธน./ศาลอาญา

ต้องโฟกัสไปที่ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของพรรคก้าวไกล ว่าจะไปถึงดวงดาวในตำแหน่งนายกฯ คนที่ 30 ของประเทศไทยได้หรือไม่ หลังได้รับการประกาศให้เป็น ส.ส. 

อย่างที่ทราบกันดีว่า พิธา ถูกร้องให้ตรวจสอบคุณสมบัติการลงสมัครรับเลือกตั้งที่อาจเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ จากกรณีถือหุ้นสื่อ “หุ้นไอทีวี” แม้ว่า กกต.จะไม่รับไว้พิจารณา แต่ กกต.กลับหยิบเอามาตรา 151 ของ พปร.ว่าด้วยการเลือกตั้งขึ้นมาพิจารณา “รู้อยู่แล้วว่า ไม่มีคุณสมบัติ แต่ลงสมัครรับเลือกตั้ง หรือยินยอมให้พรรคการเมืองส่งลงสมัครในระบอบบัญชีรายชื่อ” ซึ่งถ้ามีมูลก็ต้องฟ้องต่อศาลอาญา ไม่ใช่ศาลรัฐธรรมนูญ และมีโทษหนักกว่า ทั้งจำทั้งปรับ ทั้งตัดสิทธิ์ทางการเมือง
อีกประเด็น หาก กกต.รับรองให้เป็น ส.ส.เมื่อไหร่ ก็จะมีคนไปยื่นใหม่ให้ตรวจสอบคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญอีกรอบ

โดยสรุปอนาคตของพิธาจะต้องไปจบที่ศาล ไม่ศาลรัฐธรรมนูญก็ศาลอาญา และจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ขึ้นกับขบวนการขั้นตอนของ กกต.และศาล รวมถึงผลโหวตของสมาชิกรัฐสภาด้วย ที่ต้องเพ่งไปที่สมาชิกวุฒิสภา

สำนักข่าวอิศรา พาไปดูที่ดินแปลงงามของ ‘พิธา’ 14 ไร่ แจ้ง ป.ป.ช. ไว้ราคา 18 ล้าน แต่เพิ่งขายไป หลังยุบสภาฯ แค่ 6.5 ล้าน

24 มิ.ย. 2566 - สำนักข่าวอิศรา รายงานว่า ประเด็นตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกทรัพย์สินในส่วนที่ดิน ตามโฉนดที่ดิน หมายเลข 13543 ต.วังก์พง อ.ปราณบุรี จ.ประจวบฯ เนื้อที่ 14 ไร่ 0 งาน 62.7 ตารางวา มูลค่าปัจจุบัน (ประมาณ) 18,000,000 บาท ของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ว่าที่นายกรัฐมนตรี ที่ยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตอบรับตำแหน่ง ส.ส.ปี 2562

จากการสืบค้นแปลงรูปที่ดินของที่ดินแปลงนี้ ระบุ ตำแหน่งที่ตั้ง ระวาง 4933 I 0074-00 (4000) ตำบลวังก์พง อำเภอปราณบุรี จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ เนื้อที่ 14 ไร่ 0 งาน 62.7 ตารางวา ราคาประเมินที่ดิน (กรมธนารักษ์) 1,550 บาทต่อตารางวา ค่าพิกัดแปลง 12.43617271,99.91907531 ซึ่งจำนวนเนื้อที่ดิน ตรงกับเนื้อที่ดินที่เอกสารหลังโฉนดที่ดินตามที่นายพิธาแจ้งต่อ ป.ป.ช. 14 ไร่ 0 งาน 62.7 ตารางวา

โดยในแผนที่ภาพระบุตำแหน่งที่ดินแปลงนี้อยู่ติดถนนสาย 2004 ติดบ้านพักแห่งหนึ่ง ด้านเหนือและด้านตะวันออก ติดคลองวังยาว ข้อมูลนี้เป็นข้อมูลเบื้องต้นตามที่แสดงผลในเว็บไซต์ของกรมที่ดินเท่านั้น แต่ไม่มีข้อมูลว่า ก่อนถึงมือผู้ถือกรรมสิทธิ์คนสุดท้าย โฉนดที่ดินแปลงนี้ออกเมื่อใดและกระบวนการออกเอกสารสิทธิ์มาจากหลักฐานใด?

ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา ลงพื้นที่ไปตรวจสอบข้อมูลที่ดินแปลงดังกล่าว ในต.วังก์พง อ.ปราณบุรี จ.ประจวบฯ เมื่อเดินทางไปถึงพบว่า เป็นที่ดินติดริมคลองวังยาว และมีถนนตัดผ่าน ในพื้นที่มีการปลูกต้นกล้วยเอาไว้หลายต้น

จากการสอบถามข้อมูลบุคคลในพื้นที่ได้รับแจ้งว่า ก่อนหน้านี้ เคยมีคนจากกรุงเทพฯเดินทางมาดูที่ดินแปลงนี้แล้วครั้งหนึ่ง แต่ไม่ได้ซื้อ ส่วนเจ้าของที่ดิน ทราบว่า ไม่ได้ลงพื้นที่มาดูแลมาเป็นระยะเวลาประมาณ 5 ปีแล้ว

ขณะที่ นายทหารรายหนึ่งในพื้นที่บริเวณใกล้เคียงให้ข้อมูลสำนักข่าวอิศราว่า พื้นที่ดินบริเวณนี้ ถูกแบ่งออกเป็นสองแปลง มีถนนที่ตัดผ่านแบ่งที่ดิน ที่ดินฝั่งซ้ายเจ้าของ คือ นายทหารยศนายพล ส่วนที่ดินฝั่งขวาเจ้าของเป็นคนจากกรุงเทพฯ

เมื่อผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา สอบถามนายทหารคนดังกล่าวเกี่ยวกับที่ดินที่ถูกระบุว่ามีเจ้าของเป็นคนกรุงเทพฯว่าเกี่ยวข้องกับนายพิธาหรือไม่

นายทหารรายนี้ กล่าวว่า เคยโทรไปคุยกับผู้ที่ประกาศขายที่ดินฝั่งนั้นแล้ว ขอยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนายพิธาแต่อย่างใด และส่วนตัวก็ไม่เคยพูดคุยกับคนที่เกี่ยวข้องกับนายพิธาด้วย นายทหารรายนี้ ยังระบุว่า ให้ลองไปดูนอกบริเวณพื้นที่ เห็นว่ามีประกาศขายที่ดินปักอยู่

ต่อมา ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา ได้สำรวจบริเวณด้านนอกที่ดินแปลงนี้เพิ่มเติม พบว่ามีป้ายขายที่ดินวางอยู่บนพื้นในสภาพชำรุด ระบุขนาดที่ดินเนื้อหา 14-0-62.7 ไร่ เท่ากับขนาดที่ดินที่นายพิธาได้แจ้งไว้ในบัญชีทรัพย์สิน

ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา รายงาน ได้ติดต่อไปยังเบอร์โทรที่ถูกระบุบนประกาศขายที่ดินแปลงดังกล่าว ที่มีเลขลงท้ายสามตัวหลังว่า 200 ในระบบแจ้งข้อมูลว่า เป็นเบอร์ของทนายความของคนชื่อว่า 'ทิม'

อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา ได้พยายามสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับกรณีที่ดินแปลงนี้กับนายพิธา บุคคลปลายสายกล่าวว่า "ไม่อยู่ในฐานะที่จะให้ข้อมูลได้"

ในเวลาต่อมา ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา เดินทางไปติดต่อสำนักงานที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สาขาปราณบุรี ได้รับการยืนยันข้อมูลเบื้องต้นว่า ที่ดินแปลงนี้ เป็นของนายพิธาจริง แต่ได้จดทะเบียนขายที่ดินไปแล้วเมื่อวันที่ 27 มี.ค. 2566 ที่ผ่านมา ในราคา 6.5 ล้านบาท (หลังยุบสภาฯวันที่ 20 มี.ค.2566 ประมาณ 7 วัน)

น่าสังเกตว่า ราคาขายที่ดินแปลงนี้ ต่ำกว่าราคาที่ดิน ที่นายพิธา แจ้งไว้ในบัญชีทรัพย์สิน ต่อสำนักงาน ป.ป.ช. ที่ระบุมูลค่าปัจจุบัน อยู่ที่ราคา 18,000,000 บาท

ขอบคุณข้อมูลจากสำนักข่าวอิศรา

‘ลุงป้อม’ แจงบินไปอังกฤษ แค่เรื่องสุขภาพ ปัดดีล ‘ทักษิณ’ บอกไม่ได้โทรคุย ไม่ได้เจอกัน 18 ปีแล้ว

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ชี้แจงกรณีถูกจับตาในการเดินทางไปอังกฤษ ว่า ไปเรื่องสุขภาพ ดูแลร่างกายตัวเองส่วนไม่มีดีลลับหรือไปคบกับใครใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร ระบุว่า ไม่พบ พบกับใครอ่ะ เมื่อถามย้ำว่า มีกระแสข่าวไปพบกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร ระบุว่า ตนจะไปพบได้อย่างไรเล่าไม่เจอกัน 18 ปีแล้ว เมื่อถามต่อว่าไม่ได้มีการโทรศัพท์พูดคุยกันใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร ปฏิเสธว่า ไม่มี โทรก็ไม่พูดกัน ไม่เคยพูดกัน

ส่วนกระแสข่าวหากมีการเสนอชื่อ พล.อ.ประวิตรเป็นนายกรัฐมนตรี จะพร้อมหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ยังไม่พูดถึงตรงนั้น ต้องรอไปก่อน เมื่อถามถึงการประชุมกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐจะมีการกำชับอะไรหรือไม่นั้น พล.อ.ประวิตร ระบุว่า ก็เรื่องทั่วๆไปของ ส.ส.ใหม่ เพื่อให้ปฏิบัติตามกฎของสภา ส่วนจะมีการพูดคุย ถึงการโหวตประธานสภาด้วยหรือไม่ พล.อ.ประวิตร ปฏิเสธว่า ไม่ ยังไม่ได้มีการพูดคุยกัน เดี๋ยวพูดกันในพรรคอีก ก็ต้องดูว่ามติในพรรคเป็นอย่างไร ส่วนจะเป็นไปในรูปแบบฟรีโหวตหรือรูปแบบมติพรรค ยังไม่รู้เลย ต้องประชุมก่อน
เมื่อถามถึงกระแสข่าวการที่พรรคพลังประชารัฐ จะเสนอชื่อนายสุชาติ ตันเจริญ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย พล.อ.ประวิตร ระบุว่า ไม่มีๆ ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างพล.อ.ประวิตร กับพรรคเพื่อไทย หากมีการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี กรณีต้องฝ่าทางตันทางการเมือง พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่ทราบ ก่อนเดินขึ้นรถกลับทันที อย่างไรก็ตามท่าทีของพล.อ.ประวิตร ทั้งช่วงก่อนและหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีมีท่าทีที่ยิ้มแย้มอารมณ์ดี


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top