Monday, 9 June 2025
จีน

6 ค่ายรถ EV ยักษ์ใหญ่ของจีน เล็งตั้งฐานการผลิตในไทย หวังดันไทยสู่ Hub ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแห่งภูมิภาคเอเชีย

หากพูดถึง ‘The Big 6’ แห่งอุตสาหกรรมรถยนต์ EV ของจีน ต้องเอ่ยชื่อ BYD (Build Your Dreams), Chongqing Changan, JAC Motors, Jiangling Motors, Great Wall Motor และ Geely

ล่าสุด เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 66 ที่ผ่านมา ‘Geely’ ตามหลัง ‘Great Wall Motor’ เดินหน้ามาลงทุนธุรกิจ EV ในไทย

‘Geely’ หนึ่งในค่ายรถรายใหญ่ของจีน มีแผนเข้าสู่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV ของไทย ประกอบด้วย การนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าหลากหลายรุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การตั้งฐานการผลิตในไทย

Geely กำลังพิจารณาแผนการเข้าสู่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทยครั้งใหญ่ ทั้งรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นเล็ก และรถกระบะไฟฟ้า ภายใต้ยี่ห้อ ‘Radar’ สอดคล้องกับ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) คุณนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ ที่เผยว่า ได้มีการหารือกับค่ายรถ EV จีนยักษ์ใหญ่ 6 บริษัท หรือ ‘The Big 6’

ได้แก่ ‘บีวายดี’ (BYD: Build Your Dreams), ‘ฉงชิ่ง ฉางอัน’ (Chongqing Changan), ‘เจเอซี มอเตอร์’ (JAC Motors), ‘เจียงหลิง มอเตอร์’ (Jiangling Motors), เกรต วอลล์ มอเตอร์ (Great Wall Motor) และ ‘จีลี’ (Geely)

เลขาฯ BOI เสริมว่า ‘The Big’ ให้ความสนใจในนโยบายของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘มาตรการส่งเสริมการลงทุนในการตั้งฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และวางระบบห่วงโซ่อุปทานแบบบูรณาการในภูมิภาค’

ก่อนหน้านี้ BYD (Build Your Dreams) และ Great Wall Motor ได้เดินตามแผนตั้งฐานการผลิต EV โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กำลังพิจารณาการจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนา รถยนต์ไฟฟ้า EV ในประเทศไทย

ตามมาด้วย Geely ซึ่งเป็นรายล่าสุด ต่อจาก Great Wall Motor ที่มีแผนลงทุน ‘ปักหมุด’ EV ในไทย มูลค่าระดับหลักพันล้านบาท สอดรับกับนโยบายการรักษาสถานะผู้ผลิตรถยนต์ใหญ่อันดับ 10 ของโลกของไทย ซึ่งมุ่งหวังสานต่อความสำเร็จของ Hub รถยนต์เอเชียในอดีต และต่อยอดสู่การเป็นศูนย์ผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ EV ของภูมิภาค

ตามเป้าหมายปรับสัดส่วนการผลิตรถยนต์ 30% จากยอดการผลิตรถยนต์ 2.5 ล้านคันต่อปี ให้เป็นการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า EV ทั้งหมดภายในปี ค.ศ. 2030 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Great Wall Motor ประกาศแผนลงทุน 30 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 1,000 ล้านบาท เพื่อสร้างโรงงานประกอบแบตเตอรี่แห่งใหม่ในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แผนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า EV รุ่นเล็กในไทย ในปีหน้า หรือ ปี ค.ศ. 2024

คุณณรงค์ สีตลายน กรรมการผู้จัดการบริษัท Great Wall Motor Thailand ระบุว่า บริษัทเเม่จากจีน กำลังพิจารณาตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาในประเทศไทย

“แผนการลงทุนที่ไทยจะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ รวมถึงเรื่องการสนับสนุนจากภาครัฐ เช่น มาตราการเงินอุดหนุนราคารถยนต์ไฟฟ้า หรือการลดภาษีรถ EV” MD Great Wall Motor Thailand กล่าว

ในปี ค.ศ. 2022 รถยนต์ EV ยี่ห้อ ORA Good Cat ที่เป็นรถรุ่นเล็ก หรือ Compact Car ของ Great Wall Motor เป็นรถยนต์ไฟฟ้า EV ที่ขายดีที่สุดในประเทศไทย โดยรุ่นที่ราคาต่ำสุดอยู่ที่ 828,500 บาท ซึ่งราคานี้ได้รับการอุดหนุจากรัฐ 230,500 บาท

โดย Great Wall Motor ได้เข้ามาเริ่มต้นทำธุรกิจในประเทศไทยเมื่อ 3 ปีก่อน ซึ่ง Great Wall Motor วางแผนที่จะผลิตรถยนต์ EV ยี่ห้อ ORA Good Cat ในไทย ในปีหน้า หรือ ปี ค.ศ. 2024 ส่วนแผนการลงทุนสร้างโรงงานประกอบแบตเตอรี่ของ Great Wall Motor น่าจะใช้งบประมาณราว 500 ล้านบาท ถึง 1,000 ล้านบาท

ซึ่งทั้งหมดนี้ จะประกาศรายละเอียดให้ทราบในอีก 6 เดือนจากนี้ หรือในครึ่งปีหลังของปี ค.ศ. 2023 หรือไตรมาสที่ 3 ของปี ค.ศ. 2023

อย่างไรก็ดี แม้ว่า The Big 6 ทุกค่ายไล่ตั้งแต่ บีวายดี (BYD: Build Your Dreams), ฉงชิ่ง ฉางอัน (Chongqing Changan), เจเอซี มอเตอร์ (JAC Motors), เจียงหลิง มอเตอร์ (Jiangling Motors), เกรต วอลล์ มอเตอร์ (Great Wall Motor) และ จีลี (Geely) จะลงทุนในไทยเป็นมูลค่าที่สูงมากเท่าไหร่ก็ตาม

ทว่า ค่ายรถเจ้าใหญ่ (เจ้าที่) ในไทย ยังคงเป็นบริษัทญี่ปุ่น เช่น TOYOTA, ISUZU, HONDA, NISSAN, MAZDA, MITSUBISHI

เรื่อง : ดร.จักรกฤษณ์ สิริริน
 

‘อลงกรณ์’ นำทีมไทยเยือนจีน ขยายส่งออก กุ้งและผลไม้ พร้อมสำรวจท่าเรือจ้านเจียง เปิดเส้นทางขนส่งสินค้าไปจีน

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวง เกษตรและสหกรณ์เปิดเผยวันนี้ว่าได้นำคณะผู้แทนไทยประกอบด้วยนายณฐกร สุวรรณธาดา คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวง เกษตรและสหกรณ์ นายกฤษ อุตตมะเวทิน รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร นายปรัตถกร แท่นมณี กงสุล (ฝ่ายเกษตร) ประจําสถานกงสุลใหญ่ ณ นครกว่างโจว นายกลศ หิรัญบูรณะ นายกสมาคมและคณะที่ปรึกษาสมาคมการค้าเพื่อความยั่งยืนของเกษตรกร (Commercial Association for Sustainability of Agriculture: CASA)เดินทางเยือนเมืองจ้านเจียงซึ่งเป็นเมืองท่าใหญ่ใต้สุดของมณฑลกวางตุ้งโดยเข้าเยี่ยมชมท่าเรือจ้านเจียงและประชุมหารือกับผู้บริหารของท่าเรือจ้านเจียงเกี่ยวกับการเปิดเส้นทางการขนส่งทางเรือจากไทยมายังท่าเรือจ้านเจียงและยังได้สำรวจตลาดสินค้าเกษตรเชียงหนานเสียซานซึ่งเป็นสาขาของตลาดเชียงหนาน-กวางโจวเป็นตลาดค้าขายผลไม้ใหญ่ที่สุดในจีน

นายอลงกรณ์กล่าวว่า การเปิดเมืองท่าค้าขายให้มากที่สุดเป็นการสร้างโอกาสการส่งออกสินค้าเกษตรของไทย ท่าเรือจ้านเจียงจึงเป็นอีกทางเลือกของการขนส่งสินค้าทางเรือตอนใต้สุด
ของมลฑลกวางตุ้งโดยใช้เวลาขนส่งจากแหลมฉบังไปท่าเรือจ้านเจียงไม่เกิน3วันรวมทั้งเป็นการรองรับการส่งออกทุเรียนและผลไม้อื่นๆกรณีที่เกิดปัญหาติดขัดบริเวณด่านทางบกเช่นด่านโหย่วอี้กวน ตงชิงและโมฮ่านที่อยู่พรมแดนเวียดนาม-จีนและลาว-จีนเช่นกรณีโควิดหรือกรณีช่วงพีคของผลไม้ไทยและเวียดนามออกพร้อมกัน ยิ่งกว่านั้นยังสามารถส่งออกสินค้าเกษตรอื่นๆรวมทั้งสินค้าของไทยทุกประเภท ประการสำคัญคือ เมืองจ้านเจียงเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมกุ้งของจีนทำให้มีโอกาสที่ไทยจะส่งออกกุ้งมาจ้านเจียงเพิ่มขึ้น

“เมืองจ้านเจียงมีความพร้อมทางด้านระบบห่วงโซ่ความเย็น(Cold chain system) ห้องเย็นอุตสาหกรรมแปรรูปสัตว์น้ำและตลาดในมณฑลกวางตุ้ง และมณฑลภาคจะวันตก 13 มณฑล เช่น เสฉวน กุ้ยโจว มหานครฉงชิง ฯลฯ.จะเป็นอีกเส้นทางการขนส่งทางน้ำนอกเหนือจากท่าเรือในเขตปกครองตนเองกว่างสีจ้วง”นายอลงกรณ์กล่าว

สำหรับท่าเรือจ้านเจียง (Zhanjiang Port)
เป็นท่าเรือน้ำลึกทางตอนใต้ที่สําคัญของจีน เปิดให้บริการตั้งแต่เดือน พฤษภาคม ปี 2499 มีท่าเทียบเรือ และจุดจอดเรือ 162 แห่ง ซึ่งมีศักยภาพสามารถรองรับปริมาณสินค้าได้รวม 346.93 ล้านตัน โดยเป็นศักยภาพ ที่สามารถรองรับตู้คอนเทนเนอร์รวม 800,00 ตู้ TEU/น้ำหนักรวม 9.6 ล้านตัน รองรับการขนถ่ายรถยนต์ 6.275 ล้านคัน/น้ำหนักรวม 124.5 ล้านตัน ผู้โดยสาร 31.78 ล้านคน มีแนวเดินเรือน้ำลึกที่สุดทางภาคใต้ ของจีนรองรับเรือระวาง 400,000 ตันได้ ปัจจุบันมีเส้นทางเดินเรือขนส่งตู้คอนเทเนอร์ 23 เส้นทาง เป็นเส้นทางระหว่างประเทศ 10 เส้นทาง และเส้นทางในประเทศ 13 เส้นทาง รวมถึงเปิดให้บริการการเชื่อมต่อ การขนส่งทางรถไฟเชื่อมกับทางเรือ จํานวน 22 เส้นทาง ในจีน เชื่อมโยงไปมณฑลยูนนาน กุ้ยโจว และหูหนาน เป็นต้น

บริษัทท่าเรือจ้านเจียง กรุ๊ป จํากัด (Zhanjiang Port (Group) Co., Ltd.) รับผิดชอบบริหารพื้นที่ เขตท่าเรือ 4 เขต ได้แก่ เขตท่าเรือเสียซาน เป๋าหม่าน เตี้ยวซุ่นต่าว และตงไหต่าว โดยมีท่าเทียบเรือและจุดเทียบเรือ รวม 36 แห่ง ประกอบด้วย ท่าเทียบเรือบรรทุกน้ำมันดิบ 300,000 ตัน ท่าเทียบเรือแร่เหล็ก 250,000 ตัน ท่าเทียบเรือถ่านหิน 150,000 ตัน ท่าเทียบเรือระวาง 150,000 ตัน และท่าเทียบเรือตู้คอนเทเนเนอร์ระวาง 150,000 ตัน ในปี 2565 เขตท่าเรือในการบริหารของบริษัทฯ มีการขนถ่ายสินค้ารวม 101.39 ล้านตัน โดยเป็น การขนถ่ายตู้คอนเทเนอร์รวม 1.301 ล้านตู้ TEU เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.5 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

ส่วนตลาดค้าส่งผักผลไม้เจียงหนานเสียซาน เป็นตลาดค้าผักและผลไม้ที่ใหญ่ที่สุดทางภาคตะวันตก ของมณฑลกวางตุ้ง เป็นสาขาของตชาดเชียงหนานกวางโจวมีพื้นที่กว่า 150,000 ตร.ม. เปิดให้บริการในปี 2559

ตลาดค้าส่งผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำเสียซาน
ตลาดค้าส่งผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำเสียซาน (Xiashan Sea Food Wholesale Market) เป็นตลาดค้าผลิตภัณฑ์สัตว์ น้ำที่ใหญ่ที่สุดทางภาคตะวันตกของมณฑลกวางตุ้ง ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านเป๋าหม่าน เขตเสียซาน มีพื้นที่ก่อสร้างรวม 408,473 ตร.ม. เป็นศูนย์กลางค้าขายผลิตภัณฑ์กุ้งลําดับต้น ๆ ของโลก (พื้นที่สําหรับ ตลาดซื้อขายกุ้งประมาณ 50,000 ตร.ม.) มีความจุของโกดังห้องเย็นรวม 100,000 ตัน (ห้องละ 5,000 ตัน จํานวน 20 ห้อง) มีโรงงานผลิตน้ำแข็ง 300 ตัน โรงเก็บน้ําแข็ง 1,500 ตัน และมีส่วนของโรงงานแปรรูปกุ้งด้วย เริ่มเปิดดําเนินการเมื่อปี 2555 
สินค้าที่นํามาจําหน่ายในตลาดส่วนใหญ่เป็นกุ้งขาววานาไมสดแช่เย็น มีผู้ประกอบการกุ้ง ในตลาดประมาณ 70-80 ราย การซื้อขายจะคึกคักในช่วงเวลา 18.00-21.00 น.

“หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของเมืองจ้านเจียงมีความประสงค์ที่จะผลักดันให้มีการนําเข้า ผลไม้ไทยผ่านท่าเรือจ้านเจียง เนื่องจากเห็นว่าเมืองจ้านเจียงมีการผลักดันการพัฒนาอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ ห่วงโซ่ความเย็นสามารถรองรับและกระจายสินค้าสดได้ดีขึ้นกว่าในอดีต กอรปกับระยะเวลาในการเดินเรือไม่นาน และสามารถกระจายผลไม้ไปยังพื้นที่อื่น ๆ ของจีนได้โดยสะดวกโดยเฉพาะทางตะวันตกของมณฑลกวางตุ้ง”

‘ฟอร์ด’ เตือน ให้เตรียมพร้อมรับมือ รถอีวีจากจีน บุกสหรัฐฯ ชี้อเมริกายังผลิตสู้ไม่ได้

นายบิลล์ ฟอร์ด จูเนียร์ ประธานกรรมการบริหารของฟอร์ด ให้สัมภาษณ์ในรายการ “ฟารีด ซาคาเรีย จีพีเอส” ของสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็นเมื่อวันอาทิตย์ (18 มิ.ย.) ว่า สหรัฐฯ ยังไม่มีความพร้อมที่จะผลิตรถอีวีออกมาแข่งขันกับจีน ซึ่งมีการพัฒนาอย่างขนานใหญ่ไปรวดเร็วมาก และขณะนี้กำลังมีการส่งออกแล้ว โดยถึงแม้รถอีวีจากแดนมังกรยังไม่บุกตลาดสหรัฐฯ แต่สักวันหนี่งก็จะมาแน่ๆ ซึ่งสหรัฐฯ ต้องเตรียมตัวให้พร้อม และบริษัทของเขากำลังเตรียมการสำหรับการแข่งขันเช่นกัน

ผู้เป็นเหลนของนายเฮนรี ฟอร์ด ผู้ก่อตั้งบริษัทรถยนต์ฟอร์ด หมายถึงโรงงานผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า มูลค่า 3,500 ล้าน ซึ่งเมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา บริษัทฟอร์ดได้ประกาศแผนการลงทุนก่อสร้าง แต่ทำให้เกิดข้อถกเถียงในหมู่นักการเมืองสหรัฐฯ เนื่องจากฟอร์ดมีการทำข้อตกลงที่จะใช้เทคโนโลยีจากบริษัทคอนเทมโพรารี แอมเพอเร็กซ์ เทคโนโลยี (Contemporary Amperex Technology หรือ CATL) ผู้ผลิตแบตเตอรี่ของจีน โดยวุฒิสมาชิกมาร์โก รูบิโอ ขอให้รัฐบาลของประธานาธิบดี โจ ไบเดน พิจารณาทบทวนการทำข้อตกลงนี้

นายฟอร์ด จูเนียร์ ชี้แจงในรายการว่า โรงงานผลิตแบตเตอรี่ที่รัฐมิชิแกนจะเป็นโอกาสให้วิศวกรของฟอร์ดได้เรียนรู้เทคโนโลยีและสามารถนำมาใช้ด้วยตนเอง โดยบริษัทฟอร์ดเป็นเจ้าของโรงงานแห่งนี้แต่ผู้เดียว อีกทั้งบริษัทกำลังดำเนินการเพื่อได้รับสิทธิในการใช้เทคโนโลยีดังกล่าวด้วย นอกจากนั้น เขายังคัดค้านความคิดที่ว่า การมีฐานผลิตรถยนต์ในสหรัฐฯ จะทำให้รถยนต์มีราคาสูงขึ้น แต่กลับเห็นว่า จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศ

นายจิม ฟาร์ลีย์ ซึ่งเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารของฟอร์ด เคยออกมาเตือนครั้งหนึ่งแล้วเมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมาว่า ผู้ผลิตรถอีวีของจีนคือคู่แข่งสำคัญของสหรัฐฯ ไม่ใช่บริษัทจีเอ็ม หรือโตโยต้า ฉะนั้น ฟอร์ดจึงจำเป็นต้องสร้างแบรนด์ที่โดดเด่น หรือผลิตรถราคาถูกกว่าเพื่อเอาชนะคู่แข่ง

ทั้งนี้ ตลาดรถอีวีในยุโรปถูกจีนบุกไปเรียบร้อยแล้ว โดยรถยนต์ผลิตในจีนที่ขายส่วนใหญ่เป็นรถอีวีจากบริษัทเทสลา ส่วนแบรนด์รถยุโรป ซึ่งถูกบริษัทจีนซื้อกิจการ เช่น วอลโว และเอ็มจี หรือรถแบบอื่นๆ เช่น รถยนต์ไฟฟ้าของดาเซียสปริง (Dacia Spring) หรือบีเอ็มดับบลิว ไอเอ็กซ์3 (BMW iX3) ก็ผูกขาดผลิตอยู่แต่ในจีนเท่านั้น

นับตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา รถยนต์ที่ผลิตในจีนมีการส่งออกเพิ่มขึ้นอีก 3 เท่าถึงกว่า 2 ล้าน 5 แสนคันเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเป็นการท้าทายชาติผู้ส่งออกแต่เดิมมา เช่น เยอรมนี โดยจีนเตรียมขึ้นแท่นชาติผู้ส่งออกรถยนต์นั่งส่วนบุคคลรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก ซึ่งอาจทำให้โฉมหน้าอุตสาหกรรมรถยนต์ในโลกเปลี่ยนไป

‘สีจิ้นผิง’ ประธานาธิบดีจีน พบปะกับ ‘แอนโทนี บลิงเคน’ รมว. ต่างประเทศของสหรัฐฯ ณ อาคารมหาศาลาประชาชน กรุงปักกิ่ง

(ซินหัว) -- วันจันทร์ (19 มิ.ย.) สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน พบปะกับแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ณ อาคารมหาศาลาประชาชน กรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของจีน

สีจิ้นผิงชี้ว่าโลกต้องการความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ ที่มีเสถียรภาพในภาพรวม และการที่ทั้งสองประเทศแสวงหาหนทางอันถูกต้องเพื่ออยู่ร่วมกันได้นั้นจะส่งผลต่ออนาคตของมนุษยชาติ พร้อมเสริมว่าชาวจีนเป็นผู้มีเกียรติศักดิ์ศรี ความมั่นใจ และพึ่งพาตนเองได้เช่นเดียวกับชาวอเมริกัน โดยประชาชนทั้งสองประเทศมีสิทธิแสวงหาชีวิตที่ดียิ่งขึ้น

ทั้งสองประเทศควรปฏิบัติตนด้วยสำนึกของการรับผิดชอบต่อประวัติศาสตร์ ประชาชน และโลก รวมถึงจัดการความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ อย่างเหมาะสม พร้อมทั้งควรให้คุณค่ากับผลประโยชน์ร่วมของทั้งสองประเทศ และความสำเร็จของอีกฝ่ายถือเป็นโอกาสมากกว่าภัยคุกคามต่อกัน โดยวิธีนี้ จีนและสหรัฐฯ อาจมีส่วนส่งเสริมสันติภาพและการพัฒนาของโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงและปั่นป่วนให้มีเสถียรภาพ ความแน่นอน และความสร้างสรรค์มากขึ้น

สีจิ้นผิงเน้นย้ำว่าการแข่งขันของประเทศขนาดใหญ่ไม่สะท้อนกระแสธารแห่งยุคสมัย และยังคงไม่สามารถแก้ปัญหาของอเมริกาเองหรือความท้าทายต่างๆ ที่โลกกำลังเผชิญได้ โดยจีนเคารพผลประโยชน์ของสหรัฐฯ และไม่ได้แสวงหาการท้าทายหรือแทนที่สหรัฐฯ

ทำนองเดียวกัน สหรัฐฯ จำเป็นต้องเคารพจีน และต้องไม่ละเมิดสิทธิและผลประโยชน์อันชอบธรรมของจีน โดยทั้งสองฝ่ายไม่ควรมุ่งกดดันอีกฝ่ายตามความประสงค์ของตัวเอง หรือลิดรอนสิทธิอันชอบธรรมในการพัฒนาของอีกฝ่าย

สีจิ้นผิงกล่าวว่าจีนหวังเห็นความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ ที่แข็งแรงและมั่นคงมาโดยตลอด และเชื่อว่าประเทศขนาดใหญ่ทั้งสองสามารถเอาชนะอุปสรรคต่างๆ และแสวงหาหนทางอันถูกต้องเพื่ออยู่ร่วมกันบนพื้นฐานของความเคารพซึ่งกันและกัน การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และความร่วมมือแบบได้ประโยชน์ทุกฝ่าย พร้อมเรียกร้องฝ่ายสหรัฐฯ ใช้ท่าทีที่มีเหตุผลและปฏิบัติได้จริง รวมถึงทำงานกับจีนในทิศทางเดียวกัน

ทั้งนี้ สีจิ้นผิงชี้ว่าทั้งสองฝ่ายจำเป็นต้องยึดมั่นความเข้าใจร่วมกันที่เขาและประธานาธิบดีโจ ไบเดน บรรลุในจังหวัดบาหลีของอินโดนีเซีย และปฏิบัติตามแถลงการณ์เชิงบวกเพื่อสร้างเสถียรภาพและปรับปรุงความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ ต่อไปด้วย
 

‘Digital Baht’ สกุลเงินดิจิทัลแห่งโลกอนาคต โมเดลจากจีน พัฒนาเพื่อความก้าวหน้า หรือใช้เป็นเครื่องมือควบคุมคน?

เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. 66 นายวิชัย กัมบีร์ หรือ ‘โค้ชโรมมี่’ ได้พูดถึงเรื่อง ‘สกุลเงินดิจิทัล’ หรือ ‘Central Bank Digital Currency’ ผ่านช่องติ๊กต็อกชื่อ ‘rommie.v’ โดยระบุว่า…

ในอนาคต หลายประเทศทั่วโลกกำลังพยายามทำตามประเทศจีน คือการทำสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง หรือที่เขาเรียกกันว่า ‘Central Bank Digital Currency’ หรือที่ประเทศไทยอาจจะเรียกว่า ‘Digital Baht’ คือการที่สกุลเงินดิจิทัลถูกออกโดยธนาคารกลาง (รัฐบาล) แทนที่จะออกโดยธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจะถูกทำให้เป็นออนไลน์ทั้งหมด สิ่งนี้อาจทำให้เกิดความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นเหมือนกับเครื่องมือในการควบคุมคน

ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น? ลองมาคิดกันดูว่า เมื่อรัฐบาลเป็นผู้ออกสกุลเงินแบบเบ็ดเสร็จ หากคุณทำตามคำสั่งรัฐบาล รัฐบาลก็จะอนุมัติเงินให้คุณโดยง่าย แต่ถ้าหากวันใดวันหนึ่งคุณไม่ทำตาม หรือฝ่าฝืนคำสั่งรัฐบาลเพียงเพราะคุณไม่เห็นด้วยในทางการเมือง หรือเรื่องใดๆ ของรัฐบาลขึ้นมา รัฐบาลก็อาจจะขัดขวาง และไม่อนุมัติการออกเงินดิจิทัลให้คุณ แม้ว่าคุณจะไม่ได้เป็นคนผิดก็ตาม ซึ่งนี่คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในประเทศจีน ณ ขณะนี้

“สิ่งที่ผมต้องการจะสื่อก็คือ ทุกอย่างมีข้อดีและข้อเสีย ดังนั้น เราไม่ควรที่จะไว้ใจให้ใครคนใดคนหนึ่งมากำหนดชะตาชีวิต โดยเฉพาะการมากำหนดว่า เราสามารถใช้เงินกับเรื่องใดได้ หรือไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลใดก็ตาม” โค้ชโรมมี่ กล่าว
 

‘เด็กจีน’ แห่เรียน ‘ภาษาไทย’ คึกคัก หลังมีการปรับหลักสูตร เพื่อพัฒนาบุคคลากร จบไปมีบริษัทจ่อรอรับเข้าทำงานทันที

เมื่อไม่นานนี้ สำนักข่าวซินหัว, หนานหนิง รายงานว่า บรรดานักศึกษาชาวจีนผู้รักการเรียนภาษาไทยจากสถาบันอุดมศึกษาในเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง จำนวน 19 แห่ง ต่างงัดทักษะความสามารถด้านภาษาไทยออกมาโชว์กันอย่างเต็มที่ ณ การแข่งขันสุนทรพจน์ภาษาไทยระดับอุดมศึกษาครั้งที่ 16 ซึ่งจัดโดยมหาวิทยาลัยชนชาติกว่างซี (Guangxi University for Nationalities) เมื่อไม่นานนี้ โดยการแข่งขันในปีนี้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มนักศึกษาวิชาเอกภาษาไทย และนักศึกษาที่ไม่ได้เรียนภาษาไทยเป็นวิชาเอก

ไม่กี่ปีที่ผ่านมา การเรียนการสอนภาษาไทยในจีนคึกคักมากขึ้น โดยมีการปรับเปลี่ยนให้ทันตามกระแสแห่งยุคสมัย และทิศทางการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศอยู่เสมอ เพื่อพัฒนาบุคคลากรที่มีทั้งความสามารถด้านภาษา มีความรู้ความเข้าใจ และมีความรู้สึกที่ดีต่อประเทศไทย

‘ฉินซิ่วหง’ คณบดีวิทยาลัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชียอาคเนย์ มหาวิทยาลัยชนชาติกว่างซี กล่าวว่า นักศึกษาที่เข้าร่วมการแข่งขันส่วนมากเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 2 หรือ 3 และหัวข้อการกล่าวสุนทรพจน์และการแข่งขันรายการอื่นๆ ในแต่ละปี จะอิงจากสถานการณ์และกระแสความต้องการของตลาดในปัจจุบัน เช่น กระแสอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน

ฉิน กล่าวว่า “เราคัดเลือกหัวข้อ เช่น หมอนยางพารา ทุเรียน และสินค้าไทยอื่นๆ ที่ชาวจีนสนใจ แล้วให้นักศึกษาแนะนำในรูปแบบการไลฟ์สด นักศึกษาที่ได้รับรางวัลบางคนอาจเซ็นสัญญากับบริษัทที่เกี่ยวข้องได้เลยทันที” พร้อมเสริมว่า ปีนี้การท่องเที่ยวจีน-ไทยกำลังฟื้นตัวอย่างเป็นลำดับ การแนะนำวัฒนธรรมไทย อาหารไทย สถานที่ท่องเที่ยวในไทย จึงเป็นส่วนหนึ่งของหัวข้อการแข่งขัน

รายงานระบุว่า ตลาดงานในปัจจุบันต้องการบุคคลากรที่มีทั้งทักษะภาษาและความรู้ด้านวิชาชีพอื่นๆ ด้วย เช่นความรู้ด้านกฎหมายและการบริหารจัดการ มหาวิทยาลัยภาษาหลายแห่งในจีนจึงมุ่งสร้างบุคคลากรที่เก่งหลายด้านในคนเดียว ผ่านการเสริมหลักสูตรวิชาชีพอื่น ซึ่งทำให้หลังเรียนจบผู้เรียนจะได้รับวุฒิปริญญาสองใบ หรือมีประกาศนียบัตรรับรองความสามารถทางวิขาชีพเพิ่มเติม

ช่วงที่โรคโควิด-19 ระบาด การแลกเปลี่ยนระหว่างจีน-ไทยเผชิญข้อจำกัด หลายสถาบันจึงเริ่มพัฒนาหลักสูตรการสอนภาษาไทยออนไลน์ ขณะที่เว็บไซต์จีนบางแห่งก็มีการสอนภาษาไทยในรูปแบบของการไลฟ์สดและคลิปวิดีโอสั้น ซึ่งกระตุ้นกระแสความนิยมภาษาไทยได้ไม่น้อย ฉิน กล่าวว่า “เยาวชนคนรุ่นใหม่ในจีนนิยมชมชอบ ‘วัฒนธรรมไทย’ และการเรียนภาษาไทย หลังละครไทยกลายเป็นกระแสในจีน” พร้อมเสริมว่าอุตสาหกรรมภาพยนตร์และโทรทัศน์นั้นเป็นสะพานเชื่อมโยงคนรุ่นใหม่ของทั้งสองประเทศ

‘โอวม่าน’ ผู้อำนวยการภาควิชาภาษาไทยของวิทยาลัยฯ ให้ข้อมูลว่าตำแหน่งงานด้านภาษาไทยที่หลายบริษัทติดต่อมาให้ประกาศให้ในปีนี้ มีมากกว่าจำนวนนักศึกษาเอกภาษาไทยทั้งหมดของมหาวิทยาลัย

‘หยางเย่าหง’ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 ผู้ชนะเลิศอันดับหนึ่งในกลุ่มผู้แข่งขันที่เรียนภาษาไทยเป็นวิชาเอก เริ่มเรียนภาษาไทยด้วยตนเองเมื่อ 8 ปีก่อน ตั้งแต่ยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น “ผมคิดว่าภาษาไทยสนุกมาก มีความคล้ายคลึงหลายอย่างกับภาษาเฉาซ่าน (แต้จิ๋ว) บ้านเกิดของผม”

‘หวงเหม่ยเสีย’ ผู้จบการศึกษาสาขาเอกภาษาไทยจากมหาวิทยาลัยชนชาติยูนนาน (Yunnan Nationalities University) ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้ช่วยประธานบริหาร ประจำสาขากว่างซีของเครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่าการได้ไปเรียนที่ประเทศไทยในช่วงชั้นปีที่ 3 ได้ช่วยเปิดโลกทัศน์และทำให้ภาษาไทยของเธอพัฒนาไปอีกขั้น พร้อมเล่าประสบการณ์ความประทับใจที่มีต่อครูชาวไทย

ด้านเบญจมาศ ตันเวทยานนท์ กงสุลใหญ่ ณ นครหนานหนิง กล่าวว่าภาษาเป็นสะพานเชื่อมระหว่างกัน และเป็นกระบวนการการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างสองวัฒนธรรม ซึ่งตนรู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้เห็นนักศึกษาชาวจีนเรียนภาษาไทยและเข้าใจประเทศไทยมากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมแสดงความหวังว่าบุคคลากรคุณภาพเหล่านี้จะมีส่วนช่วยส่งเสริมความร่วมมือในด้านการศึกษา การค้า การลงทุน และอื่นๆ ระหว่างสองประเทศต่อไป

เกิดเหตุระเบิดร้านปิ้งย่างในนครอิ๋นชวน เสียชีวิตแล้ว 31 ราย คาด เกิดจากมี ‘ก๊าซปิโตรเลียมเหลว’ รั่วไหลภายในร้าน

วันที่ (22 มิ.ย. 66) สำนักข่าวซินหัว, อิ๋นชวน รายงานว่า เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 22 มิ.ย. ที่ผ่านมา หน่วยงานท้องถิ่นของจีน รายงานยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุระเบิดที่ร้านอาหารแบบปิ้งย่าง หรือบาร์บีคิวในนครอิ๋นชวน เมืองเอกของเขตปกครองตนเองหนิงเซี่ยหุยทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา 21 มิ.ย.ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นเป็น 31 รายแล้ว

เหตุระเบิดเกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 20.40 น. บนถนนสายพลุกพล่านในเขตซิงชิ่งของอิ๋นชวน เนื่องจากมีก๊าซปิโตรเลียมเหลวรั่วไหลจากพื้นที่ของร้านอาหารดังกล่าว

คณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำเขตปกครองตนเองหนิงเซี่ยหุย ระบุว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตรวม 38 ราย ซึ่งได้รับการยืนยันว่าเสียชีวิตแล้ว 31 ราย แม้จะมีความพยายามดำเนินงานกู้ภัย ขณะที่ผู้บาดเจ็บอีก 7 ราย ซึ่งรวมถึง 1 รายที่มีอาการขั้นวิกฤต กำลังเข้ารับการรักษาทางการแพทย์
 

‘จีน’ มีสถานีฐาน 5G ทะลุ!! 2.73 ล้านแห่งแล้ว พร้อมเร่งสร้างขุมเครือข่ายขนาดใหญ่ที่สุดในโลก

เมื่อไม่นานมานี้ สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า จีนมีสถานีฐาน 5G เพิ่มขึ้นเป็น 2.73 ล้านแห่ง เมื่อนับถึงสิ้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ขณะเร่งสร้างโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายขนาดใหญ่ที่สุดและทันสมัยที่สุดในโลก

สำหรับงานแถลงข่าวของการประชุมเศรษฐกิจดิจิทัลระดับโลก (Global Digital Economy Conference) ปี 2023 ซึ่งจะจัดขึ้นช่วงต้นเดือนกรกฏาคม ระบุว่าจีนกลายเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยี 5G โดยมีผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถือ 5G จำนวน 634 ล้านราย

ขณะเดียวกันภาคส่วนสำคัญของเศรษฐกิจจีน จำนวน 45 ภาคส่วน ได้ทำการบูรณาการอินเทอร์เน็ตอุตสาหกรรม ซึ่งส่งเสริมขนาดอุตสาหกรรมมีมูลค่าสูงเกิน 1.2 ล้านล้านหยวน (ราว 5.82 ล้านล้านบาท) 

สำหรับทางด้านรายได้ของอุตสาหกรรมการผลิตข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ของจีน ในปี 2022 อยู่ที่ 15.4 ล้านล้านหยวน (ราว 74.64 ล้านล้านบาท) ขณะที่รายได้ของอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์อยู่ที่ 10.8 ล้านล้านหยวน (ราว 52.35 ล้านล้านบาท) และรายได้ของอุตสาหกรรมคลังข้อมูลขนาดใหญ่อยู่ที่ 1.57 ล้านล้านหยวน (ราว 7.61 ล้านล้านบาท) ซึ่งวางรากฐานมั่นคงสำหรับการบูรณาการสารสนเทศและอุตสาหกรรมในจีน
 

‘จีน’ สั่งชาวแบงค์ งดใช้แบรนด์เนม-อวดไลฟ์สไตล์หรูหรา หวังลดความเหลื่อมล้ำ หลังประเทศเผชิญปัญหาเศรษฐกิจฝืดเคือง

ถึงคิว ‘ชาวแบงค์’ และสถาบันการเงินต่างๆ แล้ว ที่จะต้องโดนใบเหลืองจากรัฐบาลจีน ในการสอดส่อง ไลฟ์สไตล์หรูหรา ใช้ของแบรนด์เนม ราคาแพง ว่าจะเป็นการสร้างค่านิยมที่ไม่ดีต่อสังคมจีน ที่กำลังเผชิญปัญหาเศรษฐกิจฝืดเคือง และการว่างงานของเด็กจบใหม่ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ภาคธุรกิจการเงินของจีน นับเป็นกลุ่มทุนขนาดใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก มีมูลค่าสูงกว่า 57 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นเส้นเลือดสำคัญของเศรษฐกิจจีน จึงไม่แปลกใจว่า กลุ่มคนทำงาน หรือผู้เชี่ยวชาญในสาขาธุรกิจการเงิน จะเป็นกลุ่มที่ได้ค่าจ้างตอบแทนสูงมากในจีน

และด้วยรายได้ที่ดีกว่าอาชีพอื่นๆ และการสร้างภาพลักษณ์ที่ดูมั่งคั่ง และมั่นคง จึงนำไปสู่ไลฟ์สไตล์ที่ดูหรูหรา การเลือกใช้ของราคาแพง เพื่อให้ดูดีมีระดับ สวนทางกับสภาพเศรษฐกิจของชาวจีนส่วนใหญ่ที่ยังต้องทำงานหนัก รายได้เดือนชนเดือน หรือยังหางานไม่ได้ ทำให้กลุ่มคนทำงานในแวดวงการเงิน ถูกมองเป็นชนชั้นสูงอีกกลุ่มหนึ่งในสังคมจีน

ด้วยเหตุนี้ องค์กรเฝ้าระวังการฉ้อโกงของรัฐบาลจีน ได้ออกมาประกาศว่าจะขจัดแนวคิดของ ‘ชนชั้นสูงทางการเงิน’ ตามค่านิยมตามแบบตะวันตก ที่มุ่งแสวงหา ‘รสนิยมระดับไฮเอนด์’ มากเกินไป

จึงมีคำสั่งภายในองค์กรการเงิน และธนาคารตั้งแต่ขนาดใหญ่ จนถึงขนาดกลาง ไม่ให้บุคคลากรในทุกระดับ อวดโชว์ไลฟ์สไตล์โก้หรูจนเกินงาม ด้วยการโพสต์ภาพมื้ออาหารหรูๆ กระเป๋า เสื้อผ้า เครื่องประดับราคาแพงของตนลงในโซเชียล เพื่อหลีกเลี่ยงกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากสังคม
.
พนักงานธนาคารขนาดกลางแห่งหนึ่งของจีนเล่าว่า มีคำสั่งจากหน่วยงานให้เจ้าหน้าที่ทุกคนงดใช้กระเป๋า หรือสิ่งของแบรนด์เนมในที่ทำงาน รวมถึงการเข้าพักในโรงแรม 5 ดาว เมื่อต้องเดินทางไปทำงานต่างเมือง

นอกจากข้อห้ามการใช้ข้าวของหรูหราแล้ว เบี้ยเลี้ยงที่ไม่จำเป็น และโบนัสอาจต้องถูกตัดด้วย

แหล่งข่าวภายในเปิดเผยว่า ธนาคารขนาดใหญ่อย่าง Industrial and Commercial Bank of China (ICBC) และ China Construction Bank Corp (CCB) มีแผนที่จะลดเบี้ยเลี้ยงพิเศษสำหรับพนักงานภายในปีนี้ หลายสถาบันการเงินอาจต้องปรับลดโบนัสลงตั้งแต่ 30% - 50%

การปรับลดเบี้ยเลี้ยง โบนัส หรือการออกข้อบังคับให้คนทำงานในองค์กรการเงินใช้ชีวิตเรียบง่าย สมถะ เป็นผลพวงจากนโยบายต่อต้านการคอร์รัปชัน ของรัฐบาลจีนที่เล็งเป้ามาที่ภาคธุรกิจการเงิน และมีการแต่งตั้งองค์กรเฝ้าระวังการฉ้อฉลในภาคการเงินโดยเฉพาะในยุคของ ‘สี จิ้นผิง’ เทอม 3 เพื่อตอกย้ำถึงบทบาทสำคัญของรัฐบาลจีนทั้งแนวคิด และทางการเมือง

แต่อีกนัยยะหนึ่ง ที่สถาบันการเงินต่างๆ จำเป็นต้องตักเตือนพนักงานของตนเรื่องการใช้สินค้าฟุ่มเฟือย หรือการใช้สื่อโซเชียลโพสต์รูปอวดการใช้ชีวิตที่ทำให้หลายคนอิจฉา อาจทำเพื่อป้องกันไม่ให้สะดุดตาองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่นของรัฐบาลจีน ที่กำลังตรวจสอบหนักอยู่ในขณะนี้

ดังเช่นกรณีการหายตัวไปของนายเป่า ฟาน นักลงทุน และผู้ก่อตั้งบริษัท China Renaissance เมื่อไม่นานมานี้ ที่ต่อมาทราบแต่เพียงว่า กำลังเก็บตัวเพื่อให้ความร่วมมือกับทีมสอบสวนคดีทุจริตของรัฐบาลจีน นอกจากนี้ ยังมีมหาเศรษฐีในธุรกิจการเงินจีนอีกจำนวนมากที่จำเป็นต้องหายหน้าไปจากสื่อ เมื่อต้องพัวพันกับคดีทุจริต หรือการตรวจสอบจากรัฐบาลจีน อาทิ กั่ว กวงฉาง ผู้ก่อตั้งบริษัท Fosun International ‘เสี่ยว เจี้ยนหัว’ นักลงทุนสัญชาติจีน - แคนาดา เจ้าของบริษัท Tomorrow Holding และเป็นที่รู้จักกว้างขวางของคนวงในรัฐบาลจีน แต่สุดท้ายถูกตัดสินจำคุก 13 ปี ด้วยข้อหาฉ้อโกง และ คอร์รัปชัน รวมถึง แจ็ก หม่า เจ้าของธุรกิจ Alibaba ที่ต้องหายหน้าจากสื่อจีนนานเกือบ 2 ปี ในช่วงที่จีนเริ่มตรวจสอบธุรกิจ Fin Tech

ดังนั้น นโยบายการลดค่านิยมหรูหรา ฟุ่มเฟือยในกลุ่มคนทำงานในองค์กรธนาคาร และ สถาบันการเงิน อาจจะไม่ได้ช่วยเรื่องการลดช่องวางทางสังคมหรือปัญหาการว่างงานในจีนแต่อย่างใด แต่ช่วยในด้านการลดกระแสสังคมที่มองว่าเป็นกลุ่มทุนชั้นสูง ที่มักถูกครหาว่าสร้างแนวคิดในการใช้ชีวิตฟุ้งเฟ้อ หรือไม่ก็เป็นการป้องกันตัวไม่ให้สะดุดตาจากองค์กรตรวจสอบทุจริตของภาครัฐ ที่มักจบลงด้วยคดีความที่ยุงยากตามมานั่นเอง

เรื่อง : ยีนส์​ อรุณรัตน์

อ้างอิง : Channel News Asia / BBC
 

จีน ปิ๊งไอเดีย ติดแบรนด์ ดีไซน์ชุดนักเรียน  ให้โดดเด่น ทันสมัยกว่าเดิม เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดี 

เพจเฟซบุ๊ก ไทยคำจีนคำ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ ชุดนักเรียนในประเทศจีน โดยระบุว่า ...

ช่วงนี้ประเทศมีประเด็นร้อน เกี่ยวกับ "ชุดนักเรียน" กันเยอะเลย

เมืองจีนเองก็มี และกลายเป็นปัญหาถกเถียง ส่วนใหญ่ในทำนองว่าทำไมชุดนักเรียนของเด็กจีนมันดู "เชย" จังเลย 🤔

โดยเฉพาะเมื่อนำไปเทียบกับเพื่อนบ้านอย่างญี่ปุ่น คนจีนยิ่งรู้สึกว่าตัวเองล้าหลังในเรื่องนี้

ยุคนี้หลายอย่างในจีนมีการนำข้อมูลตัวเลข หรือ Data เข้ามาจับ พบว่าธุรกิจชุดนักเรียนของจีน มีมูลค่าถึง 120,000 ล้านหยวน (6 แสนล้านบาท)

เพราะนักเรียนเขาเยอะ และเป็นกฎหมายที่บังคับให้ทุกโรงเรียนต้องใช้ชุดนักเรียน 

สำหรับเจตนาของข้อกฎหมายตัวนี้ คือเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยภายในสถาบันการศึกษา

และข้อสำคัญคือสร้างความ "เท่าเทียม" ให้ทุกคนใส่เสื้อผ้าเหมือนกัน ไม่ต้องแต่งหรูดูดีเกินไปมาอวดมาโชว์กัน

อย่างไรก็ดี ด้วยความที่เศรษฐกิจของจีนเติบโตมาตลาดหลายสิบปีหลัง และการเมืองค่อนข้างนิ่ง เพราะปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์มายาวนาน

ทำให้นอกจากจะไม่มีกระแสเรียกร้องให้ยกเลิกชุดนักเรียนเหมือนในประเทศอื่นแล้ว กลับมีการตั้งคำถามว่า "ทำไมไม่เพิ่มมูลค่าให้กับชุดนักเรียน?"

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ "ดีไซน์" การออกแบบให้มีสไตล์โดดเด่น ทันสมัยกว่าเดิม

รวมถึงการ "ติดแบรนด์" ให้แบรนด์สินค้าเสื้่อผ้าดัง ๆ ได้เข้ามาผลิตชุดนักเรียนให้กับแต่ละโรงเรียน 🏫

แล้วแต่ว่าโรงเรียนแต่ละแห่ง มีกำลังซื้อมากน้อยเพียงใด นั่นเพื่อเป็นการเปิด "โอเพ่น" การทำการค้าการขายในตลาดนี้ 

ลดปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นให้น้อยลง เพราะจากข้อมูลพบว่า ชุดนักเรียนทั่วประเทศจีน มีเพียง 1% ที่ผลิตแบบติดแบรนด์ โดยบริษัทที่มีชื่อเสียง

ที่เหลือเป็นการผลิตแบบ "ไม่ติดแบรนด์" ถามว่าใครจะไปผลิตให้กับโรงเรียนไหนได้บ้าง ก็ต้องอาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัวกับผู้บริหาร

เข้าไปวิ่งเต้นพูดคุย และตกลงกันอย่างไร ผู้ปกครองและนักเรียนก็ไม่ค่อยรู้ที่มาที่ไป รู้ตัวอีกทีก็ได้ชุดนักเรียนแบบเชย ๆ ไม่สวย แต่จำใจต้องใส่มาใช้งาน

เสียงเรียกร้องให้มีการปฏิวัติภาพลักษณ์ของชุดนักเรียน ยังรวมไปถึงชุดว่ายน้ำ, ชุดพละ

โดยรัฐบาลเป็นผู้ออกมาขับเคลื่อนในสิ่งเหล่านี้ด้วยตัวเอง เร้งเร้าให้ภาคเอกชน และโรงเรียนต่าง ๆ ให้ความสำคัญกับการสร้างภาพลักษณ์ที่ดี

รวมไปถึงสิ่งแวดล้อมที่ดี เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต และการรับรู้ของประชากรจีนในรุ่นต่อไป

พูดภาษาชาวบ้านคือ พอจีนเริ่มมีตังค์ ก็เริ่มให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ความสวยงามมากขึ้น

หลายปีต่อเนื่องมาแล้ว ในเมืองจีนมีการจัดการแข่งขันประกวดออกแบบชุดนักเรียน โดยขายคอนเซปต์ นำเสนอ จัดแฟชั่นโชว์ ถ่ายทอดสดผ่านสื่อ

ทำให้ชุดนักเรียนมีคุณค่าไม่ต่างจากเสื้อผ้าสวมใส่ทั่วไปในวาระอื่น ๆ

ด้วยประชากร 1.4 พันล้านคน และรัฐบาลผลักดันจริงจัง ทำให้อุตสาหกรรมชุดนักเรียนของจีนกำลังเติบโตไปในทิศทางที่ดี

และเมื่อการค้าขายคึกคักมากขึ้น มันจะส่งผลเป็นวัฏจักรไปสู่ธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

นอกจากจะลบภาพจำของ "ชุดนักเรียนเชย ๆ" ได้แล้ว จีนยังมีหน้ามีตามากขึ้นในเวทีนานาชาติ พร้อมกับเงินในกระเป๋าของพลเมืองที่มากขึ้น

โรงเรียนไหนมีกำลังซื้อ จะใช้ชุดนักเรียนที่หรูหน่อย ก็ให้ผู้ปกครองส่วนใหญ่ยินยอม

โรงเรียนขนาดกลางและเล็ก ปรับเปลี่ยนตามความสามารถของผู้ปกครอง ไม่มีการบังคับกัน แต่ทั้งประเทศไม่จำเป็นต้องใช้ชุดนักเรียนแบบเดียวกัน 

สำคัญคือรัฐบาลเขาได้ยินเสียงบ่นของประชาชน เขานำเสียงบ่นกลับไปวิเคราะห์ออกมาเป็นรายละเอียด

และดำเนินการปรับปรุงแก้ไขทันที ไม่มองว่าเป็นเรื่องเล็กเรื่องน้อย

แม้แต่ชุดนักเรียนของเด็ก ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องที่จีนเขามองข้าม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top