Monday, 9 June 2025
จีน

‘บิ๊กตู่’ หนุนการค้าและการลงทุน ‘ไทย-จีน’ เต็มอัตรา หวังเชื่อมโยง ‘เซี่ยงไฮ้-EEC’ ยกระดับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต

(18 พ.ค. 66 ) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สนับสนุนความร่วมมือด้านการลงทุนและการค้าระหว่างไทย-จีน ซึ่งมีแนวโน้มคึกคักต่อเนื่อง ด้านคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) พร้อมเชื่อมโยงพื้นที่ EEC กับเขตพิเศษหลินกังของนครเซี่ยงไฮ้ มุ่งสู่คลัสเตอร์อุตสาหกรรมแห่งอนาคต

โดยเมื่อวันที่ 2 พ.ค.ที่ผ่านมา นายกเทศมนตรีนครเซี่ยงไฮ้ นำคณะผู้บริหารระดับสูงของนครเซี่ยงไฮ้ เดินทางมาเยือนประเทศไทยเพื่อร่วมงานลงทุนเซี่ยงไฮ้ ร่วมแบ่งปันอนาคตซึ่งคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ดำเนินการร่วมกับนครเซี่ยงไฮ้และภาคเอกชนจัดขึ้น เพื่อขยายความร่วมมือทางด้านการค้าและการลงทุนระหว่างทั้งสองประเทศ รวมถึงต่อยอดจากการเดินทางไปโรดโชว์ส่งเสริมการลงทุนที่ประเทศจีนของ BOI เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดย BOI เปิดเผยว่า ประเทศไทยยังเป็นที่สนใจของนักลงทุนชาวจีน โดยมีทำเลที่ตั้งซึ่งสามารถเชื่อมโยงกับภูมิภาค รวมถึงมีระบบขนส่งและโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพ มีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน และนิคมอุตสาหกรรมที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งในอนาคตสามารถเชื่อมโยงกับเขตพิเศษหลินกังของนครเซี่ยงไฮ้ได้อีกด้วย

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทั้งนี้ นครเซี่ยงไฮ้ของจีนได้ให้ความสำคัญกับการดึงดูดการลงทุนด้านนวัตกรรม วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี โดยผลักดันเขตพิเศษหลินกัง (Shanghai Lin-gang Special Area) เพื่อส่งเสริมการค้าการลงทุนในอุตสาหกรรมสมัยใหม่ เช่น อุตสาหกรรมดิจิทัล สุขภาพและการแพทย์ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ และยานยนต์ไฟฟ้า โดยเป็นอุตสาหกรรมที่สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทย ซึ่งจะเป็นโอกาสสำคัญในการเชื่อมโยงการลงทุนระหว่างไทยและจีนให้ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น

“นายกรัฐมนตรียินดีที่การค้าและการลงุทนระหว่างไทยและจีนยังคงเดินหน้าเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะการลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ทั้งอุตสาหกรรมสุขภาพและการแพทย์ ยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ และดิจิทัล สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทย ทั้งนี้ รัฐบาล และ BOI ซึ่งมีสำนักงานในจีน 3 แห่ง ได้แก่ เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง และกว่างโจว พร้อมขยายโอกาสเชื่อมโยงการลงทุนระหว่างทั้งสองประเทศให้เติบโตมากยิ่งขึ้น” นายอนุชากล่าว

ย้อนรอย 48 ปี วิกฤตการณ์ Mayaguez (มายาเกซ/มายาเกวซ) อันเป็นปัจฉิมบทของฐานทัพของสหรัฐฯ ในไทย และปฐมบทแห่งความสัมพันธ์ไทย-จีน

บอง บอง เฟอร์ดินาน มาร์กอส จูเนียร์ ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์

เมื่อการเลือกตั้งในบ้านเราจบลง พรรคการเมืองที่มหาอำนาจชาติตะวันตกอย่างสหรัฐอเมริกา วาดหวังที่จะให้เป็นรัฐบาลก็ได้รับเลือกตั้งเข้ามาเป็นอันดับหนึ่งและสอง ด้วยหมายมั่นปั้นมือว่าจะกลับมามีบทบาทและอิทธิพลในภูมิภาคนี้ หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการสนับสนุน บอง บอง เฟอร์ดินาน มาร์กอส จูเนียร์ จนได้เป็นประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ และยินยอมเปิดรับการกลับเข้ามาฟิลิปปินส์ของสหรัฐฯ หลังจาก โรดรีโก โรอา ดูแตร์เต อดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์แสดงบทบาทท่าที่แข็งกร้าวกับรัฐบาลสหรัฐฯ โดยตลอด 

สนามบินอู่ตะเภา

ด้วยจุดมุ่งหมายของสหรัฐฯ ที่จะกลับมามีบทบาทและอิทธิพลในภูมิภาคนี้คือ การใช้ประเทศในภูมิภาคนี้เป็นพันธมิตรในการปิดล้อมจีน และสิ่งที่สหรัฐฯ หมายมั่นปั้นมือที่สุดในไทยคือ การกลับเข้ามาใช้สนามบินอู่ตะเภาอันเป็นสนามบินที่สหรัฐฯ สร้างเอาไว้ในยุคสงครามเย็น โดยเป็นฐานทัพอากาศที่มีเครื่องบินทิ้งระเบิดแบบ B-52 ประจำการ และใช้เป็นฐานปฏิบัติการในการทิ้งระเบิดในเวียดนาม ลาว เพราะสนามบินอู่ตะเภามีความพร้อมในการรองรับกองกำลังทางอากาศของสหรัฐฯ และยังเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางทหารที่ดีที่สุดในภูมิภาคนี้ที่ครอบคลุมทะเลจีนใต้ (มหาสมุทรแปซิฟิก) และทะเลอันดามัน (มหาสมุทรอินเดีย) ซึ่งจะทำให้ราชอาณาจักรไทยอันเป็นที่รักยิ่งของเราทุกคน กลับมาอยู่ในวงของความขัดแย้งของสหรัฐฯ และจีนโดยตรง เช่นที่เคยเกิดขึ้นในยุคสงครามเย็น โดยเฉพาะสงครามอินโดจีนหรือสงครามเวียดนาม อีกครั้งหนึ่ง


สำหรับวิกฤตการณ์ Mayaguez (มายาเกซ/มายาเกวซ) อันเป็นจุดจบของฐานทัพของสหรัฐฯ ในไทย และจุดเริ่มต้นแห่งความสัมพันธ์ไทย-จีน เกิดขึ้นเมื่อบ่ายวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2518 ขณะที่เรือสินค้า SS Mayaguez บรรทุกอาหาร และเวชภัณฑ์เดินเรือในน่านน้ำสากลจากฮ่องกง ผ่านใกล้ชายฝั่งกัมพูชาเพื่อไปยังท่าเรือสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ได้ถูกเรือติดอาวุธของรัฐบาลกัมพูชาประชาธิปไตย (เขมรแดง) ยึดเรือ และจับลูกเรือ 39 คนเป็นตัวประกัน โดยอ้างเรือสินค้า SS Mayaguez ว่ารุกล้ำน่านน้ำกัมพูชา (ในเขตน่านน้ำซึ่งอยู่ห่างจากฝั่งของประเทศกัมพูชาประมาณ 60 ไมล์) รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ทำการตอบโต้อย่างแข็งกร้าวและรวดเร็ว เพราะเห็นเป็นโอกาสอันดีที่ผู้นำสหรัฐฯ จะสามารถแสดงอำนาจและความเด็ดขาดให้ปรากฏแก่ชาวโลก เนื่องจากว่าเพียงแค่เดือนก่อนหน้านั้นทั้งกัมพูชาและเวียดนามใต้ได้พ่ายแพ้แก่กองกำลังคอมมิวนิสต์ ซึ่งสร้างความสั่นคลอนอย่างยิ่งแก่เกียรติภูมิและความภูมิใจแห่งชาติของชาวอเมริกัน


ปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐฯ เพื่อชิงเรือ SS Mayaguez คืนเกิดขึ้นโดยนาวิกโยธินอเมริกันจากเกาะโอกินาวาและอ่าวซูบิก ที่ถูกส่งมายังฐานทัพอเมริกันที่อู่ตะเภาในวันที่ 13 พฤษภาคม ได้บุกจู่โจมชิงเรือ SS Mayaguez และลูกเรือคืนในเช้ามืดวันที่ 14 พฤษภาคม โดยมีเครื่องบินรบจากฐานทัพอเมริกันที่อุดรธานีและโคราชออกปฏิบัติการร่วมด้วย และประสบความสำเร็จในเวลาประมาณ 11.00 น. การใช้ดินแดนไทยเพื่อปฏิบัติการทางทหารครั้งนี้ เกิดขึ้นโดยขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐบาลไทย ซึ่งมิได้รับรู้ถึงปฏิบัติการครั้งนี้เลย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ นายกรัฐมนตรี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้แจ้งแก่อุปทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทยในวันที่ 13 พฤษภาคม แล้วว่า ไทยไม่ยินยอมให้ใช้ดินแดนไทยในทางการทหารใด ๆ เพื่อตอบโต้กัมพูชา แม้ว่า ก่อนการดำเนินภารกิจนี้ สถานทูตสหรัฐฯ ได้แจ้งแผนการใช้กำลังต่อพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ซึ่งเป็นผู้ที่สหรัฐฯ ติดต่อด้านการทหารเป็นประจำ พลเอกเกรียงศักดิ์ได้ให้อนุญาต โดยมิได้แจ้งแก่รัฐบาลไทย และรัฐบาลไทยซึ่งรับรู้สถานการณ์ภายหลังจากที่สหรัฐฯ ดำเนินภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว ก็ได้แถลงว่าการกระทำครั้งนี้เป็นการละเมิดอธิปไตยไทย และได้ยื่นบันทึกประท้วงต่ออุปทูตสหรัฐฯ พร้อมทั้งระบุให้ถอนนาวิกโยธินออกทั้งหมดภายใน 24 ชั่วโมง



อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้ได้สร้างความสะเทือนกว้างไกล กลุ่มการเมืองต่าง ๆ ได้แสดงปฏิกิริยาประท้วงและประณามสหรัฐฯ อย่างรวดเร็วและอย่างสอดคล้องกัน ซึ่งขัดแย้งกับบริบทการเมืองไทยขณะนั้น ที่มีความขัดแย้งทางความคิดทางการเมืองอย่างรุนแรงในสังคม (ไม่ต่างไปจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้) ดังที่บทความหนึ่งในหนังสือพิมพ์สยามรัฐ วันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2518 ระบุว่า “ไม่มีครั้งใดในการเมืองไทยที่คนไทยทั้งชาติจะแสดงปฏิกิริยาโต้ตอบต่อรัฐบาลสหรัฐฯรุนแรงเท่าครั้งนี้” การเคลื่อนไหวเริ่มขึ้นในวันที่ 15 พฤษภาคม โดยพรรคการเมืองฝ่ายค้านทุกพรรคได้เรียกร้องให้เปิดประชุมสภาวิสามัญ เพราะเห็นว่าเหตุการณ์เป็นภาวะคับขันและเกี่ยวข้องกับเอกราชและอธิปไตยของชาติ หนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับของไทยได้เรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนความสัมพันธ์ไทย – อเมริกัน เพื่อให้ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่เท่าเทียมกัน แต่ปฏิกิริยาที่รุนแรงที่สุดมาจากศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย ซึ่งได้จัดการชุมนุมประท้วงสหรัฐฯ ที่สนามหลวงและมีผู้เข้าร่วมหลายพันคน ต่อมาในวันที่ 16 พฤษภาคม คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ส่งบันทึกประท้วงถึงรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ พร้อมทั้งเรียกตัวเอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐฯ กลับ พร้อมทั้งประกาศที่จะทบทวนสัญญาและข้อผูกพันระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ที่มีทั้งหมด ส่วนการชุมนุมที่นำโดยศูนย์นิสิตนักศึกษาฯ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ขีดเส้นตายให้รัฐบาลสหรัฐฯต้องขอโทษไทยภายใน 24 ชั่วโมง หลังจากที่ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ จากรัฐบาลสหรัฐฯ ในวันต่อมากลุ่มผู้ชุมนุมเคลื่อนขบวนจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มายังหน้าสถานทูตสหรัฐฯ อดีตผู้นำนักศึกษาในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ได้เข้าร่วมด้วย เช่น นายธีรยุทธ บุญมี และ นายเสกสรร ประเสริฐกุล เป็นต้น

นพ.เหวง โตจิราการ หนึ่งแกนนำการประท้วงสหรัฐฯ ในขณะนั้น

ในวันที่สามของการชุมนุมประท้วงมีผู้เข้าร่วมการชุมนุมจำนวนถึงกว่าหนึ่งหมื่นคน สหภาพกรรมกร 61 แห่งได้ประกาศเข้าร่วมด้วย และขู่จะทำลายธุรกิจของบริษัทที่ชาวอเมริกันเป็นเจ้าของถ้าสหรัฐฯยังไม่ขอโทษไทย นอกจากนี้ ยังมีการชุมนุมของนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ด้วย ผู้ชุมนุมที่หน้าสถานทูตสหรัฐฯได้เผาหุ่นประธานาธิบดีฟอร์ดและ ดร.เฮนรี่ คิสซิงเจอร์ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ซึ่งมีความผิดตามคำพิพากษาของ “ศาลประชาชน” คือ “เป็นฆาตกรเลือดเย็น ฆ่าประชาชนหลายหมื่นคนในอินโดจีนและหลอกลวงประชาชนไทย”


นายธีรยุทธ บุญมี ได้ประกาศด้วยว่าหากประธานาธิบดีฟอร์ดไม่ขอโทษประชาชนไทยเองภายใน 24 ชั่วโมง ก็จะเผาธงชาติอเมริกันซึ่ง “เป็นการทำลายสัญลักษณ์ของจักรวรรดินิยมอเมริกา” การชุมนุมได้เกิดความวุ่นวายขึ้นเมื่อผู้ชุมนุมกรูกันเข้าไปแกะตราสถานทูตฯซึ่งเป็นรูปนกอินทรีลงกระทืบและติดรูปอีแร้งแทน ป้ายชื่อสถานทูตถูกทับด้วยป้าย ‘ซ่องโจร’ และขณะที่เหตุการณ์กำลังชุลมุนนั้น ก็มีคนกลุ่มหนึ่งแต่งตัวเป็นชาวเวียดนามกระชากธงชาติอเมริกันลงมาปัสสาวะรดกลางที่ชุมนุม ซี่งในขณะเกิดเหตุการณ์ทั้งหมดนั้น กำลังตำรวจที่ดูแลบริเวณนั้นมิได้เข้าจัดการหรือขัดขวางใด ๆ

 



สถานการณ์ที่เกิดขึ้นสร้างความวิตกกังวลแก่ผู้นำรัฐบาลมาก และต้องการยุติการชุมนุมโดยเร็วที่สุด ดังนั้น เมื่ออุปทูตสหรัฐฯ ขอพบเพื่อหารือสถานการณ์ พลตรีชาติชาย ชุณหะวัณ รัฐมนตรีต่างประเทศก็ได้ขอให้ส่งสารขอโทษไทย ในเช้าวันต่อมาอุปทูตสหรัฐฯ ได้ยื่นบันทึกของอุปทูตต่อพลตรีชาติชาย ซึ่งมีใจความบางตอนว่า “รัฐบาลสหรัฐฯ เข้าใจถึงปัญหาที่ได้สร้างให้แก่รัฐบาลไทย…และขอย้ำว่า มีความเสียใจในเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ สหรัฐฯ ยังคงมีนโยบายที่จะเคารพต่ออธิปไตยและเอกราชของไทยเสมอ…และเหตุการณ์ทำนองนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก” พลตรีชาติชายกล่าวในเวลาต่อมาว่า พอใจต่อบันทึกนี้ และคำขอโทษจากประธานาธิบดีฟอร์ดก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป และได้ส่งสำเนาบันทึกแก่ผู้นำการชุมนุมที่หน้าสถานทูต กลุ่มผู้ชุมนุมได้ประกาศว่า “รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ขอขมาแล้ว” และประกาศก่อนเลิกการชุมนุมว่าการต่อสู้ครั้งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ส่วนจุดสุดท้ายคือการขับไล่ฐานทัพอเมริกันทั้งหมดออกไป



ปฏิกิริยารุนแรงของนักศึกษาและสาธารณชน ต่อเหตุการณ์มายาเกวซเกิดขึ้นในบริบทการเมืองไทยหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม ที่มีข้อเรียกร้องจากหลายกลุ่มให้รัฐบาลดำเนินนโยบายที่เป็นอิสระจากสหรัฐฯ กลุ่มเหล่านี้ซึ่งมีทั้งนักวิชาการ นักหนังสือพิมพ์ นักการเมืองพลเรือนและนักศึกษา มีทัศนะว่า นโยบายต่างประเทศที่ผูกพันกับสหรัฐฯ อย่างแน่นแฟ้นนั้นถูกกำหนดโดยผู้นำทหารซึ่งมีผลประโยชน์สอดคล้องกับสหรัฐฯ และเป็นความสัมพันธ์ที่เป็นประโยชน์กับสหรัฐฯ มากกว่า โดยเฉพาะฐานทัพและทหารอเมริกันในประเทศไทยก็คือ สัญลักษณ์ของความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมกันที่ต้องให้หมดไปโดยเร็ว อีกทั้งทำให้ไทยสูญเสียอธิปไตยและไร้เกียรติภูมิประเทศ นักวิชาการ เช่น ดร.เขียน ธีระวิทย์ กล่าวใน พ.ศ. 2518 ว่า หากฐานทัพอเมริกันยังอยู่ต่อไป “จะสร้างความแตกแยกให้คนในชาติมากขึ้น อาจเกิดการตั้งขบวนการสังหารชาวอเมริกันและทหารอเมริกันในไทย เพราะคนไทยทุกวันนี้มีความเกลียดชังทหารอเมริกัน” ส่วนนักศึกษาฝ่ายซ้ายกลุ่มหนึ่งในเวลานั้นก็ได้ผลิตงานเขียนหรือกล่าวเสมอในที่สาธารณะว่า สหรัฐฯ เป็น ‘จักรวรรดินิยม’ ที่เอาเปรียบประเทศเล็กทั่วไปรวมทั้งไทยด้วย การชุมนุมของนักศึกษาครั้งนี้ดูเหมือนประสบความสำเร็จเพราะรัฐบาลได้ตอบโต้สหรัฐฯ อย่างแข็งกร้าว อย่างไรก็ตาม การตอบโต้ของรัฐบาลยังเป็นเพราะสาเหตุอื่นด้วย กล่าวคือ ผู้นำพลเรือนกลุ่มหนึ่งก็มีทัศนะว่าจะต้องปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์ไทย – อเมริกันที่มีลักษณะ ‘ลูกพี่ – ลูกน้อง’ และเน้นด้านการทหารให้มีลักษณะที่สมดุลมากขึ้น เหตุการณ์ ‘เรือ SS Mayaguez’ จึงเป็นโอกาสที่จะแสดงความเป็นตัวของตัวเองแก่สหรัฐฯ และประเทศเพื่อนบ้านอินโดจีนที่รัฐบาลกำลังพยายามสร้างไมตรีด้วย นอกจากนี้ ก็เป็นโอกาสที่รัฐบาลจะมีบทบาทในเรื่องความมั่นคงที่ก่อนหน้านั้น ถือเป็นเรื่องของฝ่ายทหารที่รัฐบาลพลเรือนช่วงหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม แทบไม่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ



อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้ก็ทำให้รัฐบาลไทยอยู่ในฐานะลำบากเพราะฝ่ายทหารยังคงมีอำนาจในการเมืองไทย และต้องการความช่วยเหลือด้านการทหารจากสหรัฐฯ ต่อไป ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ยังคงเป็นมหาอำนาจที่ผู้นำไทยทุกกลุ่มให้ความสำคัญมากที่สุด และหากจำเป็นก็ยังคงหวังพึ่งพามากที่สุดด้วย ดังนั้น รัฐบาลไทยจึงต้องยุติเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างรวดเร็วโดยการยอมรับ ‘สารแสดงความเสียใจ’ จากอุปทูตอเมริกันประจำประเทศไทยที่มิใช่ ‘คำขอโทษ’ จากรัฐบาลอเมริกัน ต่อมาในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2518 ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี จึงนำคณะเดินทางไปเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นครั้งแรก โดยมีโอกาสพบกับผู้นำของจีน ทั้งประธานเหมา เจ๋อตง นายกรัฐมนตรี โจว เอินไหล และ รองนายกรัฐมนตรี เติ้ง เสี่ยวผิง รวมทั้งได้มีพิธีลงนามสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตต่อกันนับแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน



ในปี พ.ศ. 2518-2519 คนรุ่นใหม่สมัยนั้นเป็นคนไล่ฐานทัพอเมริกันออกไป แต่พอ พ.ศ. 2566 คนรุ่นใหม่สมัยนี้กลับมาสนับสนุนพรรคการเมือง ที่มีแนวโน้มจะให้ฐานทัพอเมริกันกลับมาในประเทศไทยอีก

เรื่อง : ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล 
ที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการสมัยใหม่ อาจารย์พิเศษหลักสูตรปริญญาโทและเอก นักเล่าเรื่องมากมายในหลากหลายมิติ เป็นผู้ที่ชื่นชมสนใจในประวัติศาสตร์สงครามสมัยใหม่ตลอดจนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ
 

‘พงศ์พรหม’ โพสต์เตือน ก้าวไกล กับประเทศไทย ในเวทีโลก อย่าสร้างศัตรู ต้องวางตัวให้ดี เป็นกลาง อย่าอิงข้างแต่อเมริกา

นายพงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว เกี่ยวกับแนวทางในการบริหารประเทศของพรรคก้าวไกล โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวทางในการดำเนินความสัมพันธ์กับต่างประเทศ มีใจความว่า

อย่างที่บอก ผมยอมรับกติกานะ แพ้เป็นแพ้

ให้พวกก้าวไกลบริหารประเทศไป อย่าไปขวาง

แต่เรื่องของเรื่องคือ ยังไม่ทันเป็นรัฐบาลเลย

ขู่ไปทั่ว ขู่ทหาร ขู่ สว. ที่อันตรายมากคือขู่จีน อย่างหยาบคาย

ตอนที่สถานะเป็นผู้สมัครนี่เรื่องนึงนะ จะด่าสีจิ้นผิงอย่างไรก็เป็นเสียงชาวบ้าน

แต่พอเป็นรัฐบาลปุ๊บ ด่าสีจิ้นผิง คือเท่ากับประเทศไทยด่าประเทศจีน

ยังไม่ทันไร สร้างศัตรูแล้ว โดยเฉพาะกับจีน

ลองหาข้อมูลนะ เจ้าพ่อเจ้าแม่อินเตอร์เน็ททั้งหลาย มันเป็นวิทยาศาสตร์มาก

จีนกับรัสเซียทำพันธะสัญญาบ้านพี่เมืองน้องไปแล้ว พวกเธอคงไม่รู้

รบกับจีน จึงเท่ากับรบกับรัสเซียด้วย

ไปดูเรือรบที่วิ่งในแปซิฟิคตอนนี้ เห็นกองเรือจีนและกองเรือรัสเซียไหม?

เทียบกับกองเรือตะวันตกที่เข้ามากวนประสาทแถวไต้หวันแล้วมันฟ้ากับเหว

ถ้าไม่เห็น ต้องถ่างตากว้างๆ นะ ไม่งั้นเสียชื่อคนรุ่นใหม่ที่คุยกว่าเก่งทางเทคโนโลยี

 

คราวนี้ซูมเอ้าท์ออกมาดูภาพกว้างขึ้น จะเปรียบเทียบให้ฟัง

 

ยูเครนปกครองโดยเซเลนสกี้ที่เป็นคนของยิวอิสราเอล (เอาตรงๆ)

เป้าหมายมันคือเปลี่ยนยูเครนตะวันตกให้เป็นอิสราเอลสอง

เพราะอิสราเอลหนึ่ง เริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง (เปอร์เซียรวมตัวกันแล้ว)

แล้วมันก็จะทำให้แนวตะเข็บตะวันออกเป็นแนวป้องกันไว้ทิ่มแทงรัสเซีย

ดังนั้นจึงตะกายจะเข้านาโต้ เพราะล่อเป้าอย่างนี้

ถูกโจมตีเมื่อไหร่เท่ากับโจมตีนาโต้ทั้งหมด

อเมริกานั้นเจ้าเล่ห์ ไม่รบเองแต่จะผลักยุโรปทั้งทวีปให้ลุยแทน

แต่ไม่ทัน

รัสเซียทุบเลยทันที และยังไม่มีแนวโน้มจะเลิกทุบจนวันนี้

 

ถามว่า อเมริกาและยุโรปช่วยอะไรได้?

ไปถ่างตาดูหาข้อมูลจริงๆ ซะ อย่า 'เฮใน' แต่สื่อตะวันตก

ความเป็นจริงคือ จนบัดนี้ยังทำอะไรไม่ได้

ยูเครนพินาศย่อยยับไปทั่ว ทั้งที่เขายังยั้งมือไม่ลุยเต็มที่

ตะวันตกส่งอาวุธโบราณเหลือใช้ไปให้ ไม่โดนถล่มทิ้ง ทหารยูเครนก็เอาไปขาย

พวกแองโกลแซกซอนนั้นไม่กล้ารบ และใช้การบอยคอตทางเศรษฐกิจแทน

ตามด้วยแอนตี้พลังงานรัสเซีย

ผลออกมาคือ ยุโรปทั้งทวีปวุ่นวาย เกิดวิกฤติพลังงาน เศรษฐกิจปั่นป่วน

แต่รัสเซียไม่เดือดร้อนเลย เงินรูเบิ้ลสูงค่าที่สุดในประวัติศาสตร์

 

ผ่านไปไม่นาน อะราเบี้ยนโอเปคทั้งหมดไม่เว้นแม้ซาอุฯ หันไปจับมือรัสเซีย-จีน

โอเปคใหม่ ไม่มีอเมริกามาเอี่ยวอีกต่อไป

ไม่รับอเมริกันดอลล่าร์ และใช้เงินสกุลใดก็ได้ที่มีทองคำสำรองมาซื้อน้ำมัน

ผลคือ จบยุคของเปโตรดอลล่าร์

 

วันนี้ ทั้งอ่าวเปอร์เซียผนึกกันเป็นหนึ่ง สงครามตัวแทนทั้งหมดหยุด

แม้แต่ซาอุที่จับมือ UAE รังแกเยเมนมาตลอดหลายสิบปี หยุดรบกันแล้ว

ที่น่าตะลึงกว่านั้นคือ

อิหร่านที่โดนอเมริกาและตะวันตกแบนมาหลายสิบปี แข็งแกร่งกว่าเดิม

และอย่างที่รู้ เขามีอาวุธนิวเคลียร์

เลยกลายเป็นเหมือนตัวแทนผู้นำในเปอร์เซียไปโดยปริยาย

แม้แต่กษัตริย์ซาอุเองยังไปพูดคุยจับมือกับผู้นำอิหร่าน มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ตามด้วยบริจาคเงินให้เยเมนฟื้นฟูประเทศ (* เรื่องที่เธอไม่รู้ยังมีอีกเยอะ)

แม้แต่ซีเรียที่โดนอเมริกาทำลายวินาศไปแล้ว ยังฟื้นลุกขึ้นมาได้

นี่เป็นส่งที่เกิดขึ้นจริงเป็นที่รับรู้ไปทั่วโลก

ผมแปลกใจที่มีคนไทยมากมายหูหนวกตาบอดไม่รู้เรื่องพวกนี้ไปได้

คิดว่าคงดูแต่ CNN BBC ABC NBC CBS Fox Rueter..

สื่อพวกนี้อยู่ใต้ทุนตะวันตกเดียวกันทั้งหมด

หรือไม่ก็ดูแต่เว็บโป๊เว็บพนัน

 

สำนักข่าวทางเลือกที่จะหาอ่านได้ มันไม่ได้ซ่อนตัวเป็นเว็บลับนะ

ลองเลือกอ่านดูบ้าง ตัวอย่างเช่น

https://www.rt.com/

https://www.aljazeera.com/

https://www.scmp.com/

 

คงต้องไปหาข้อมูลจริงๆ มาศึกษาแล้ว ในฐานะเป็นรัฐบาล

จะมาอ่านข่าวเอาใจเชียร์ใน ไม่ได้อีกต่อไป

จะไปหวังอินเทลจากอเมริกาที่ป้อนข่าวปลอมให้ตลอดไม่ได้

คุณต้องมีอินเทลของคุณเอง.. ก็ไอ้ กอรมน ที่คุณจะยุบนั่นแหละ

ไอ้ที่คิดหวังว่าจะยืนข้างอเมริกา

ก็ดูเอาว่า การแทรกแซงฮ่องกงเป็นอย่างไร พม่าเป็นอย่างไร

และที่ฉิบหายวายป่วงที่สุดคือยูเครนเป็นอย่างไร

ในสัปดาห์ข้างหน้าคอยดูตุรกีและปากีสถาน

สมเด็จแยงกี้ไม่ขลังอีกต่อไปแล้ว

 

ผมคิดแล้วไม่เข้าใจว่าพวกเขาฉลาดจริงหรือ

จู่ๆ จะยอมให้เอาขีปนาวุธมาตั้งบนหลังคาแล้วคิดว่าบ้านจะนอนหลับสบาย

 

ที่นี้ลองจินตนาการดูว่า ถ้ามันเลยเถิดไปกว่าสงครามม็อบฟันน้ำนม

ต่อให้นองสีหรือนองเลือด ตีรันฟันแทงกันก็คงไม่น่าจะหายนะนัก

แต่ถ้ามันจะขยับไปขนาดสมดุลย์อำนาจจะพังทลาย

และบ้านเมืองจะเข้าสู่สงครามความขัดแย้งระดับโลก

ผมไม่เชื่อว่า พวกทหารระดับบัญชาการจะปล่อยให้เกิด

นักการเมืองพวกนี้ได้ขู่คำรามอย่างไม่ไตร่ตรองออกมา

ว่าจะกวาดล้างอำนาจทหารของพวกเขาให้สิ้น

ผมไม่ต้องแทงหวยเลยก็รู้ว่า ถ้าบีบขนาดนั้นจะมีรัฐประหารแน่นอน

แต่คราวนี้ จะไม่ได้แค่ออกมาจัดแถวเหมือนครั้งก่อนๆ อีกแล้ว

แต่จะเป็นเผด็จการจริงๆ เจ็บจริง ตายจริง

และอาจไม่ลังเลที่จะใช้กำลังพลเข้าปราบปรามรุนแรง

เชื่อได้ว่าการล้างบางครั้งใหญ่จะเกิดขึ้น เพราะได้รับบทเรียนต้อนติดมุมแล้ว

ดีไม่ดีก็ฟันมันให้หมดทั้งการเมืองสองฝ่ายที่สร้างปัญหามาหลายสิบปี

แบบไม่สนน้ำหน้ายูเอ็นหรือยุโรปอเมริกันตะวันตกอีกต่อไป….

 

ถามว่า แบบนี้อาจเกิดขึ้นได้ไหม?

ไม่ได้เพ้อ.. ผมว่าเป็นไปได้? มันมีตัวอย่างให้เห็นแล้วว่า

ไม่สนตะวันตก อเมริกา ยูเอ็น ก็ไม่ทำให้ตกที่นั่งลำบากหรือโดนรุมอีกแล้ว

ต้องเข้าใจด้วยว่าสายบังคับบัญชาและอำนาจกองทัพเหมือนกันทั้งโลก

แม้แต่อเมริกาที่แสนสวยของคุณ รัฐบาลก็ไม่ได้มีอำนาจคุมกองทัพจริงๆ

มันเป็นไปโดยหน้าฉาก

เมื่อไหร่ที่มันเกิดงัดกัน ประธานาธิบดีก็โดนเก็บได้ … JFK เป็นต้น

คุณอาจแฟนตาซีถึงเทียนอันเหมิน พร่ำเพ้อจิตวิญญาณหาญกล้า

วีรชนผู้งดงามยืนหยัดเพื่อความดี ได้ปรากฏบนทวิตเตอร์ไปทั่วอย่างทรนง

เหมือนกับที่หลอนหลอกด้วย 14 ตุลา 6 ตุลา วนเวียนอยู่ไม่จบ

แต่ความเป็นจริงคือ เทียนอันเหมินผ่านไปแล้วและจีนยังคงเป็นคอมมิวนิสท์

หนำซ้ำยังแข็งแกร่งเกินต้าน เจริญแซงหน้าอเมริกาไปแล้ว

ใครจะหลับหูหลับตาไม่ยอมรับความจริงข้อนี้ก็เชิญตามสบาย

แต่ถ้าอยากจะพิสูจน์ ลองเสิร์ชดูภาพสถานีอวกาศนานาชาติเทียบกับสถานีอวกาศจีน ตะวันตกตั้งกี่ชาติรวมกันเพื่อสถานีอวกาศโบราณอันหนึ่ง แถมต้องอาศัยจรวดรัสเซียขึ้นไป มาตลอดหลายปี แต่จีนชาติเดียวบินเดี่ยวไปมีสถานีอวกาศของตัวเอง แถมตอนนี้กำลังสำรวจ dark side of the moon

หรือจะดูสินค้าจีนอย่างเช่นจักรยานไฟฟ้าใน Alibaba เทียบกับ Amazon ก็ยังเห็นภาพรวม

 

ถามว่า ก็ถ้าเกิดกองทัพทหารไทยออกมาบ้าเลือดอย่างนั้นบ้าง

พวกเธอจะออกมายืนขวางรถถังแบบเทียนอันเหมินแล้วคิดว่าจะหยุดได้ไหม

ผมก็ไม่ชอบหรอกนะ แต่พอถึงระดับนั้นแล้ว พวกคุณ พวกผม พวกไหนก็หยุดไม่ได้

(คนที่หยุดได้อยู่บนสวรรค์)

คุณจะด่าว่าชั่วร้ายหยาบคายสาดสีอย่างไร

ก็ไม่อาจเปลี่ยนเชนออฟคอมมานด์มาอยู่ในมือคุณด้วยน้ำลาย

ต่อให้คุณไปตามนายกในอดีตมาอีกสิบคนขี่คอกันออกมาต้าน

ก็หยุดไม่ได้หรอก

ก็ดูสิว่า ระดับรัฐบาลอเมริกันและยุโรปพ่นกันน้ำลายฟ่อด

ก็ไม่เห็นจะหยุดกองทัพปูตินได้สักนิด ฉันใดฉันนั้น

 

ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าด้วยภูมิรัฐศาสตร์ปัจจุบัน

การเลือกมหาอำนาจหลายขั้วคือทางเลือกใหม่โดยแท้

ถ้าคุณเป็นคนรุ่นใหม่จริง จะเปลี่ยนโลกสู่ยุคใหม่จริง

คุณควรเลือก มหาอำนาจหลายขั้วสิ ไม่ใช่ขั้วเดียวแบบเจ็ดสิบปีที่ผ่านไป

 

ถามว่า หากกองทัพไทยที่อาจออกมาปฏิวัติรอบนี้ จะทำตัวเหมือนอิหร่าน

และแตะเป็นแนวร่วมกับจีนรัสเซียแทน ผมถามว่า อเมริกาจะทำอะไรได้?

 

แน่นอนว่า ไม่มีใครอยากเห็นบ้านเมืองไปถึงจุดนั้น

เพราะฉนั้นอย่าสุดโต่ง เมาน้ำลาย หลงไหลยอดไล๊ค์

จะก้าวหน้าไปสู่ยุคใหม่แล้วทำไมไม่ฉลาดหน่อยที่จะรู้จักสร้างมิตร

มันไม่แปลก ที่จะสู้กับพลเอกประยุทธ์หรือพลเอกประวิตรหรอกนะ

แต่มันโง่บัดซบ ที่จะพัฒนาประเทศไปพร้อมกับการสู้กับกองทัพประชาชนจีน

ในรัศมีที่จรวดไฮเปอร์โซนิควิ่งมาถึงบ้านเราในเวลาไม่ถึงสามสิบวินาที

อเมริกายังไม่กล้าเลย

เพราะมันใช้เวลาวิ่งไปดีซีแค่เจ็ดนาที

แต่ถ้าวิ่งมาลงแถวนี้ พวกมันไม่เดือดร้อนอะไรเลยไง

ก็ลองไตร่ตรองกันดูเถิด

จีน เตรียมถ่ายทอด เทคโนโลยีรถไฟหัวกระสุน ให้ไทย ทั้งการก่อสร้างระบบราง – ขบวนรถ

สำนักข่าว Reporter Journey ได้โพสต์ข้อความ เกี่ยวกับ โครงการรถไฟความเร็วสูง ไทย – จีน โดยมีใจความว่า

โครงการรถไฟความเร็วสูง ไทย - จีน อภิมหาโปรเจกต์ที่มีขนาดใหญ่และใช้ระยะเวลาการก่อสร้างนาน ซึ่งปัจจุบันจะเห็นความคืบหน้าของการก่อสร้างทางรถไฟสายนี้ในเฟสแรกคือช่วง กรุงเทพฯ - นครราชสีมา ระยะทางราวๆ 250 กิโลเมตร แม้จะอยู่ในสปีดที่ช้าเนื่องจากมีปัญหาหลายอย่างที่ต้องแก้ไข แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นครั้งยิ่งใหญ่ในการปฏิวัติระบบคมนาคมขนส่งทางรางของไทย ที่จะมีผลต่อการพัฒนารถไฟสายอื่นๆ ในอนาคต

อย่างที่หลายคนคงทราบกันว่าโครงการนี้นอกจะก่อสร้างทางวิ่ง สถานี สะพาน อุโมงค์ และโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ที่ได้องค์ความรู้จากประเทศจีนซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำของโลกด้านระบบรถไฟความเร็วสูง และยังเป็นพันธมิตรที่แน่นแฟ้นของไทยมาโดยตลอด สิ่งที่ระบุไว้ในสัญญาชัดเจนตั้งแต่ต้นคือ การถ่ายทอดเทคโนโลยีจีนและองค์ความรู้บางส่วนให้กับประเทศไทย เพื่อให้ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สามารถพัฒนาเครือข่ายรถไฟความเร็วสูงของตนเองได้

เกา เร่ย วิศวกรอาสุโสและทีมบริหารวิศวกรรมและการเจรจาทางเทคนิคในต่างประเทศของ China Railway International Group" ได้เขียนระบุลงในวารสารรถไฟ Railway Standard Design ของจีนเมื่อเดือนที่แล้วโดยมีใจความสำคัญว่า

“เมื่อความร่วมมือในโครงการรถไฟความเร็วสูงจีน - ไทยลึกซึ้งยิ่งขึ้น ความปรารถนาของไทยในการออกแบบและสร้างรถไฟความเร็วสูงด้วยตัวเองก็ค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้น พวกเขาหวังว่าจะมีบทบาทมากขึ้นในความร่วมมือในอนาคต"

"เพื่อตอบสนองต่อคําขอซ้ำๆ ของไทยในการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการสอนเกี่ยวกับเทคโนโลยีรถไฟความเร็วสูงของจีนในการประชุมคณะกรรมการร่วม จีนได้ตกลงที่จะส่งต่อเทคโนโลยีดังกล่าวมายังประเทศไทยภายใต้สมมติฐานว่าไม่ละเมิดกฎหมายจีน"

ภายใต้กฎหมายจีน บริษัท และบุคคลต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลในการส่งออกเทคโนโลยีที่ถือว่ามีความสําคัญต่อความมั่นคงของชาติหรือผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของประเทศ

สำหรับประเทศจีน ถือว่าเป็นมหาอำนาจรถไฟความเร็วสูงในปัจจุบันอย่างเต็มตัว โดยมีเครือข่ายรถไฟความเร็วสูงที่ใหญ่ที่สุดในโลกครอบคลุมมากกว่า 40,000 กม. หรือยาวพอที่จะโคจรรอบโลก มีประสบการณ์ด้านวิศวกรรม ความรู้และเทคโนโลยีของตัวเองที่พัฒนาต่อยอดมาจากรถไฟความเร็วสูงรุ่นต้นแบบจากทั้งของเยอรมันและญี่ปุ่นที่นำมาศึกษา ก่อนจะสร้างรถไฟความเร็วสูงของตัวเองขึ้นมา ซึ่งใช้เวลาเพียง 15 ปี ที่จีนสามารถก้าวขึ้นเป็นหัวแถวของโลก อีกทั้งยังพร้อมที่จะถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับประเทศที่มีศักยภาพและความพร้อมอื่นๆ ที่ต้องการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่คล้ายคลึงกันอย่างรวดเร็วและด้วยต้นทุนที่ค่อนข้างต่ำกว่า

ตัวอย่างเช่น จีนได้พัฒนาการออกแบบโมดูลาร์สําหรับสถานีรถไฟและส่วนประกอบโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ ที่สามารถประกอบได้อย่างรวดเร็วในสถานที่ นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาวัสดุใหม่สําหรับรางรถไฟที่สามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบํารุงรักษาในระยะยาว เช่น เหล็กและคอนกรีตที่มีความแข็งแรงสูง

ซึ่งทางจีนได้เห็นชอบในหลักการที่จะถ่ายทอดหรือส่งต่อเทคโนโลยี ทักษะ และความรู้ใน 11 ด้าน ของการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงมาให้กับประเทศไทย

ไทยจะได้อะไรบ้างจากการถ่ายทอดเทคโนโลยีของจีน?

การถ่ายทอดเทคโนโลยีระหว่างองค์กรหรือประเทศต่างๆ อาจเกี่ยวข้องกับการถ่ายโอนสิทธิบัตร ใบอนุญาต หรือสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน หรือการประกอบตัวรถไฟภายในประเทศ ซึ่งมีทั้งที่เปิดเผยต่อสาธารณะชนได้และยังเปิดเผยไม่ได้

โดยทั่วไปข้อมูลและความเชี่ยวชาญจะถูกแบ่งปันผ่านโปรแกรมการฝึกอบรม การประชุมเชิงปฏิบัติการ และกิจกรรมอื่น ๆ ในขณะที่การถายทอดเทคโนโลยีดังกล่าวมักจะทําโดยมีค่าธรรมเนียมหรือค่าตอบแทนอื่นๆ ซึ่งจริงจะเรียกว่าเหมือนได้มาฟรีเป็นของแถมจากการซื้อเทคโลโลยีมาใช้ก็น่าจะไม่ผิดนัก

จีนสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างรางรถไฟ และแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสําหรับการวางรางในภูมิประเทศที่แตกต่างกัน

ความเชี่ยวชาญอื่นๆ ที่สามารถส่งต่อได้แก่ การออกแบบสถานีรถไฟเพื่อให้สอดคล้องกับการใช้งานของผู้สาร การสร้างสะพานข้ามแม่น้ําหรือแหล่งน้ําอื่นๆ ด้วยความเร็วที่เร็วขึ้น แต่ต้นทุนที่ต่ำกว่า การเตรียมพื้นดินใต้รางรถไฟเพื่อความมั่นคงและปลอดภัย และวิธีการออกแบบและสร้างอุโมงค์ที่ปลอดภัย

ในเอกสารทีมงานของเกา เร่ย กล่าวว่า ในการปรับปรุงคุณภาพและความเร็วในการก่อสร้างจะถูกแบ่งปันตั้งแต่การสํารวจที่ดิน และการจัดการแหล่งน้ําใกล้เคียงไป จนถึงแสงสว่างในอุโมงค์ และระบบทําความร้อนการระบายอากาศ และเครื่องปรับอากาศภายในสถานี รวมทั้งสิ่งอํานวยความสะดวกอื่นๆ อีกมากมาย

สำหรับโครงการรถไฟจีน - ไทยที่ครบทั้งเฟสนั้นจะขยายเส้นทางต่อไปยังจังหวัดหนองคาย เพื่อเชื่อมต่อกับเส้นทางรถไฟลาว - จีน ระยะทาง 873 กม. ซึ่งก็เป็นหนึ่งในเส้นทางเชื่อมต่อมาจากนครคุนหมิง เมืองเอกของมณฑลยูนนานทางตะวันตกเฉียงใต้ และให้บริการด้วยรถไฟที่วิ่งด้วยความเร็วสูงสุดที่ 250 กม./ชม.

และเป็นส่วนสําคัญของข้อริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative) ที่รัฐบาลจีนต้องการจะเชื่อมโยงพื้นที่ทางตอนใต้ของประเทศกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยจะผ่านเมืองต่างๆ ของไทย และเชื่อมต่อกับรถไฟความเร็วสูงมาเลเซีย - สิงคโปร์ ที่แม้จะยกเลิกโครงการไปแล้วเนื่องจากมาเลเซียประเมินฐานะการคลังของตัวเองว่า ณ ปัจจุบันยังไม่มีความพร้อมที่จะก่อสร้าง เนื่องจากมีหนีสินในสกุลเงินตราต่างประเทศสูง และค่าเงินริงกิตที่ร่วงลงอย่างหนัก

สำหรับเส้นทางในระยะแรกมีการสร้างทางรถไฟระหว่างกรุงเทพฯ - นครราชสีมา จีนจะมีบทบาทสําคัญในการออกแบบและควบคุมการก่อสร้าง

ส่วนระยะต่อไประหว่างนครราชสีมา - หนองคาย จีนจะลดบทบาทลงและให้บริษัทเอกชนของไทยที่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้วจะเป็นผู้รับผิดชอบงานออกแบบและก่อสร้างมากขึ้น

ฝั่งของจีนยอมรับว่า การเจรจาโครงการในไทยเป็นอะไรที่ "ยากมาก" เพราะไทยปฏิเสธข้อเสนอของจีนในการจัดหาเงินทุนให้กับโครงการทั้งหมด โดยเลือกที่จะใช้แหล่งเงินทุนภายในประเทศ และการลงทุนภาคเอกชนผสมกันแทน และทําให้การเจรจามีความเท่าเทียมกันมากขึ้น

หนึ่งในประเด็นบนโต๊ะเจรจาที่มีการถกเถียงกันคือมาตรฐานรถไฟความเร็วสูงของจีน ไม่สอดคล้องกับบรรทัดฐานระหว่างประเทศเสมอไป และต้องได้รับการตรวจสอบและประเมินโดยเจ้าหน้าที่ไทยเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยและกฎระเบียบของประเทศ

คุณสมบัติของวิศวกรชาวจีนที่เกี่ยวข้องกับโครงการก็เป็นปัญหาเช่นกัน เพราะไม่มีกลไกการยอมรับร่วมกันสําหรับคุณสมบัติของวิศวกรและสถาปนิกระหว่างจีนและไทย ดังนั้นฝ่ายไทยจึงไม่ยอมรับคุณสมบัติทางเทคนิคที่เกี่ยวข้องของบุคลากรด้านเทคนิคของจีนโดยตรง ซึ่งทำให้วิศวกรชาวจีนต้องผ่านการฝึกอบรมและกระบวนการรับรองตามมาตรฐานของไทยเพิ่มเติม เพื่อให้พวกเขาสามารถทํางานในโครงการนี้ได้

เรียกได้ว่าไทยเองก็ “เขี้ยวลากดิน” ใส่จีนพอสมควร ไม่ใช่ “หมูสยาม” อย่างที่พญามังกรจีนจะสามารถเคี้ยวได้ง่ายๆ เหมือนที่ทำกับประเทศอื่นๆ ที่ยอมให้จีนเข้าควบคุมเบ็ดเสร็จทุกกระบวนการ รวมทั้งการขอสัมปทานการเดินรถเป็นหลายสิบปี

แต่ก็ทีมงานจีนกล่าวว่า เงื่อนไขที่จะให้จีนถ่ายการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้คือ ไทยต้องเปลี่ยนไปใช้มาตรฐานรถไฟความเร็วสูงของจีน

ประเด็นคือแบบนี้ โดยทั่วไปมาตรฐานระบบรถไฟถูกกำหนดโดยประเทศตะวันตก เช่น สหรัฐอเมริกา และยุโรป ซึ่งเป็นชาติต้นกำเนิดรถไฟ และได้กําหนดมาตรฐานอุตสาหกรรมเอาไว้ซึ่งมีการใช้งานมานานกว่าศตวรรษ และมีอิทธิพลอย่างมากต่อประเทสอื่นๆ ที่ต้องการสร้างระบบรถไฟ เพราะต้องอิงตามมาตรฐานเทคโนโลยีจากโลกตะวันตก ซึ่งตกทอดไปสู่โครงการรถไฟฟ้าสายต่างๆ ของไทยทุกโครงการต้องใช้มาตรฐานยุโรปหรือญี่ปุ่นเป็นเกณฑ์คุณภาพทั้งสิ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่จีนจะต้องหาที่ยืนของเทคโลยีของตัวเองให้ได้ในตลาดไทย และรถไฟควาวเร็วสูงจึงเป็นจุดยืนสำคัญที่จีนจะได้มีอิทธิพลทางด้านเทคโนโลยีนี้

สำหรับรถไฟความเร็วสูงของจีนสามารถทำความเร็วสูงสุด 350 กม. / ชม. เร็วกว่ารถไฟหัวกระสุนส่วนใหญ่ในยุโรปและญี่ปุ่น พวกเขามักจะมีความยาวกว่าทั้งในเรื่องของตัวรถและเส้นทาง เช่น รุ่น Fuxing ที่ใช้ในสายปักกิ่ง - เซี่ยงไฮ้มีความยาวของขบวนรถมากกว่า 400 เมตร นั่นคือเกือบสองเท่าของความยาวของ TGV ในยุโรป เนื่องจากจำนวนผู้ใช้งานในจีนนั้นสูงกว่าและหนาแน่นกว่าตามจำนวนของประชากร

อีกทั้งจีนยังใช้ระบบอานัติสัญญาณของตัวเองสําหรับเครือข่ายซึ่งเข้ากันไม่ได้กับระบบยุโรปหรือญี่ปุ่น ซึ่งวิศวกรชาวจีนได้ยืนยันที่จะใช้มาตรฐานรถไฟของประเทศในระหว่างการเจรจากับประเทศไทยบนพื้นฐานที่จะคุ้มค่าและง่ายต่อการรวมเข้ากับโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟที่มีอยู่ในจีนและประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค

ส่วนการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบและผลิตรถไฟจีน เช่น ซีรีส์ CRH380 รวมถึงเทคโนโลยีขั้นสูงอื่นๆ เช่นแหล่งจ่ายไฟยังคงอยู่ระหว่างการเจรจาระหว่างไทยและจีน ตามเอกสาร

จีนซึ่งเป็นผู้ถือสิทธิบัตร ส่วนวัสดุราง และระบบอานัติสัญญาณบางอย่างที่ใช้ในเครือข่ายรถไฟความเร็วสูง จีนกำลังพิจารณาว่าสิทธิบัตรเหล่านี้ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนารถไฟความเร็วสูงของจีน จะได้รับอนุญาตหรือแบ่งปันกับประเทศไทยในด้านใดบ้าง

เพราะถ้าหากทำได้ ไทยจะกลายเป็นประเทศแรกของโลกที่จีนยอมถ่ายทอดเทคโนโลยีขั้นสูงนี้ให้ และอาจจะเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่สามารถผลิตรถไฟความเร็วสูงได้ครบวงจรทั้งการก่อสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐานและตัวรถอีกด้วย

‘พงษ์ภาณุ’ อดีตรองปลัดคลังฯ วิเคราะห์ ‘จีน’ ผลิตชิปเองทั้งระบบ อ้างเหตุ ด้านความมั่นคง

นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์ฮิโรชิมะ ประเทศญี่ปุ่น อดีตปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และอดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง ได้ให้มุมมองต่อเศรษฐกิจของโลก ผ่านรายการ ‘NAVY TIME เรื่องดี ๆ ประเทศไทยยามเช้า’ ออกอากาศช่วงเช้า เวลา 07.00- 08.00 น. ทางสถานีวิทยุเสียงจากทหารเรือวังนันทอุทยาน (ส.ทร.วังนันทอุทยาน) FM93 เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 66 โดยระบุว่า มนุษย์ผลิต ทรานซิสเตอร์ ชิป กันอย่างมากมายมหาศาล และราคาของชิปนั้น ก็ถูกมาก หาซื้อได้ง่าย ชิปนั้นมีความสำคัญกับมนุษย์มาก ทุกเครื่องใช้ไฟฟ้า จะต้องมีชิปเป็นส่วนประกอบ จุดเริ่มต้นของการผลิตชิปนั้น ก็ประมาณหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ประเทศอเมริกา มีผู้ผลิตวงจรทรานซิสเตอร์ได้สำเร็จ เริ่มต้นนั้น ชิป ถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของสหรัฐอเมริกา นำไปใช้ในขีปนาวุธเพื่อนำวิถี เริ่มใช้ในสงครามเวียดนาม แต่มาประสบผลสำเร็จอย่างมากก็ในสงครามอ่าวเปอร์เซีย

นอกจากนี้โครงการอพอลโล ที่เดินทางไปดวงจันทร์ ก็ใช้ชิปเหล่านี้ โดยมีการพัฒนาให้ชิปมีขนาดเล็กลงและมีน้ำหนักเบา ซึ่งต้องชื่นชมการประสานงานการทำงานร่วมกันระหว่างรัฐบาล บริษัทเอกชน และสถาบันการศึกษาต่างๆในอเมริกา ที่ร่วมกันทำงานอย่างไร้รอยต่อ ซี่งหลังจากนั้นก็มีการพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตชิป ให้ขยายออกไปในวงกว้าง เพื่อทำตลาดขายให้กับบุคคลทั่วไป ซึ่งมีฐานการผลิตที่กระจายออกไปยังประเทศตามภูมิภาคต่างๆ เพื่อนำชิปมาผลิตเป็นเคื่องคิดเลข คอมพิวเตอร์ เป็นการกระจาย เอาท์ซอร์ท ซัพพลายเชนท์ ออกไปทั่วโลก รวมทั้งกระจายมายัง ไทย เวียดนาม

แต่ในปัจจุบัน ประเทศมหาอำนาจอย่างจีน กลับเน้นที่จะผลิตชิปเองภายในประเทศ เพราะเหตุผลทางด้านความมั่นคง ซึ่งส่งผลให้เกิดการแข่งขันการผลิตชิป รวมทั้งสงครามทางการค้า ซึ่งก่อให้เกิดการตึงเครียด ไปถึงความมั่นคง

แต่ในขณะเดียวกัน อเมริกา ในฐานะต้นกำเนิดของผู้ผลิตชิปนั้นก็ยังคงเป็นผู้นำทางด้านความไฮเทคในการผลิตชิปต่างๆ ซึ่งก็ยังเป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับจีน ในการที่จะทำสงครามเรื่องชิปกับประเทศที่ไฮเทคอย่างอเมริกา

เรือสำราญขนาดใหญ่ สร้างขึ้นภายในประเทศลำแรก ตั้งตระหง่าน ณ เทศบาลนครเซี่ยงไฮ้ ทางตะวันออกของจีน

(ซินหัว) — วันศุกร์ (19 พ.ค. 66) จีนเปิดเผยชื่อของเรือสำราญขนาดใหญ่ที่ถูกก่อสร้างขึ้นภายในประเทศเป็นลำแรก ณ เทศบาลนครเซี่ยงไฮ้ทางตะวันออกของจีน

สำนักวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวเทศบาลนครเซี่ยงไฮ้ และบริษัท ไชน่า สเตท ชิปบิลดิง คอร์ปอเรชัน ครูซ เทคโนโลยี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (CCTD) ระบุว่าเรือสำราญ “อะดอรา แมจิก ซิตี” (Adora Magic City) มุ่งมอบประสบการณ์ล่องเรืออันมีเอกลักษณ์ที่ผสมผสานวัฒนธรรมตะวันออกและตะวันตกอย่างลงตัว

เรือสำราญลำนี้ถูกออกแบบและก่อสร้างโดยซีซีทีดี ร่วมกับบริษัท เซี่ยงไฮ้ ว่ายเกาเฉียว ชิปบิลดิง จำกัด (SWS) มีขนาดยาว 323.6 เมตร ระวางบรรทุกรวม 135,500 ตัน สามารถรองรับผู้โดยสารสูงสุด 5,246 คน คาดว่าจะถูกส่งมอบภายในสิ้นปี 2023 และมีเซี่ยงไฮ้เป็นท่าเรือหลักในช่วงเริ่มต้นการเดินเรือ

อนึ่ง เรือสำราญลำนี้จะเดินเรือบนเส้นทางระหว่างประเทศระหว่างท่าเรือหลักในเซี่ยงไฮ้และท่าเรือจุดหมายในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน หลังจากมีการส่งมอบอย่างเป็นทางการแล้ว ขณะเดียวกันจะมีการเปิดเส้นทางเดินเรือระยะกลางและระยะยาว เพื่อขยับขยายการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างจีนและประเทศอื่นๆ

ว่าที่ ส.ส. สงขลา เข้าพบกงสุลใหญ่จีน   เพื่อสร้างความร่วมมือ ต่อยอดมรดกทางวัฒนธรรม 

เมื่อวานนี้ (25 พ.ค. 66) นายสรรเพชญ บุญญามณี ว่าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสงขลา พร้อมด้วย นายดนัยธร จารุพฤกษ์พันธ์ ประธานห้าสมาคมจีนสงขลา และนายกสมาคมไหหลำสงขลา เข้าพบ นางอู๋ ตงเหมย กงสุลใหญ่แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำจังหวัดสงขลา เพื่อแนะนำตัวและรับฟัง สภาพปัญหา อุปสรรค ข้อเสนอแนะ จากการดำเนินการในช่วงที่ผ่านมาของสถานกงสุลใหญ่แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำจังหวัดสงขลา 

นายสรรเพชญ เปิดเผยหลังการหารือว่า การมาพบท่านกงสุลฯในวันนี้ ถือเป็นเรื่องที่ดีเพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีนที่มีมายาวนานให้มีความแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งได้นำเสนอนโยบายต่างๆทิศทางการพัฒนาพื้นที่อำเภอเมืองสงขลาและการพัฒนาจังหวัดสงขลาในภาพรวม 

อย่างเรื่องการท่องเที่ยวโดยการสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงสงขลา สตูล พัทลุง ที่มีความพร้อมด้านแหล่งท่องเที่ยวทางทะเล และมรดกทางวัฒนธรรมพื้นถิ่น เพื่อสร้างมูลค่าทางเศษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างกัน ประเทศจีนเองมีความพร้อมทั้งด้านประชากรนักท่องเที่ยว ความพร้อมด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และอื่นๆอีกมากมาย ในฐานะผู้แทนราษฎรฯ นั้น ต้องหาโอกาสเพื่อนำสิ่งดีๆมาสู่การเปลี่ยนแปลงสภาพความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนให้สำเร็จโดยเร็วที่สุด

นายสรรเพชญ ยังกล่าวอีกว่า จากการลงพื้นที่ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้เกิดมุมมองด้านต้นทุนทางวัฒนธรรมระหว่างไทยกับจีน ซึ่งต้องมีการต่อยอดขยายผล ซึ่งนอกจากการสร้างความร่วมมือด้านเศรษฐกิจแล้ว ในด้านสังคม อย่างเรื่องการพัฒนาทักษะด้านภาษาจีนให้แก่เด็กเยาวชนในจังหวัดสงขลาก็เป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอีกทักษะหนึ่งในการดำเนินชีวิตในช่วงศตวรรษที่ 21 โดยหลังจากนี้จะมีการดำเนินการให้เป็นรูปธรรมต่อไป

‘ติวเตอร์ภาษา’ ชี้!! ประเทศที่คนไทยควรกลัว ไม่ใช่ ‘อเมริกา’ แต่เป็น ‘จีน’ ที่กำลังบุกยึดพื้นที่ทำกิน แย่งงานคนไทยทั่วประเทศ

เมื่อวันที่ 26 พ.ค. 66 ได้มีผู้ใช้ติ๊กต็อกท่านหนึ่ง ชื่อ ‘krudewtoeic’ หรือ ‘ครูดิว’ ซึ่งเป็นติวเตอร์สอนภาษาชื่อดัง ได้ออกมาโพสต์คลิป อธิบายเรื่องที่คนไทยกลัวประเทศสหรัฐอเมริกา จะเข้ามาตั้งฐานทัพและแทรกแซงประเทศไทย ซึ่งตอนนี้เป็นกระแสในโลกโซเชียลอย่างมาก โดยระบุว่า…

ประเทศที่คนไทยกลัว มีอยู่ 2 ประเทศ คือ ประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศจีน คนไทยกลัวว่า อเมริกาจะมาตั้งฐานทัพในประเทศไทย ซึ่งสิ่งนี้เป็นเรื่องของอนาคต ที่อาจจะเกิดขึ้น หรือไม่เกิดขึ้นก็ได้

แต่สิ่งที่กำลังเกิดจริงในตอนนี้ คือ การที่ประเทศจีนได้ตั้งฐานทัพอยู่ทุกพื้นที่ในประเทศไทย จนเกิดการกระจายตัวของเหล่าคนจีน แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ตลอดจนถึงการที่คนจีนมาเปิดร้านอาหารแข่งกับคนไทย ในย่านการค้าที่สำคัญทางเศรษฐกิจ ซึ่งถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สร้างรายได้ให้กับคนไทย อย่างย่านเยาวราช ห้วยขวาง และรัชดา รวมถึงในอีกหลายๆ พื้นที่ของประเทศ อีกทั้งยังอาจไม่ได้เสียภาษีให้กับประเทศไทยอีกด้วย

“คำถามคือ ระหว่างสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น และ สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นแล้ว คนไทยเราควรจะกลัวอะไรมากกว่ากัน คิดสิคะ คิด หากถามดิฉัน ดิฉันกลัวคนจีนค่ะ เพราะเขามาแล้ว แต่คนไทยยังเถียงกันเรื่องอเมริกากันอยู่เลย เพราะอะไร ดิฉันไม่เข้าใจ?” ครูดิว กล่าวทิ้งทาย

‘เหม่ยถวน’ อีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ของจีน โตอย่างแข็งแกร่ง  เผยกำไร 3 เดือนแรก รวมอยู่ที่ 2.87 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.7 

(ซินหัว) — เหม่ยถวน (Meituan) แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ของจีน รายงานกำไรจากการดำเนินงานในไตรมาสแรกของปี 2023 รวมอยู่ที่ 3.59 พันล้านหยวน (ราว 1.76 หมื่นล้านบาท) ซึ่งเปลี่ยนจากการขาดทุนเป็นกำไร

รายงานผลประกอบการก่อนตรวจสอบของบริษัทฯ ระบุว่ารายได้จากการดำเนินงานในช่วง 3 เดือนแรก รวมอยู่ที่ 5.86 หมื่นล้านหยวน (ราว 2.87 แสนล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.7 เมื่อเทียบปีต่อปี

เหม่ยถวนเพิ่มปริมาณการลงทุนในตลาดผู้บริโภคจีนอย่างต่อเนื่องช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม รวมถึงด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี (R&D) โดยมีการใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาแตะ 5 พันล้านหยวน (ราว 2.45 หมื่นล้านบาท) ส่วนรายได้จากการค้าหลักท้องถิ่น อยู่ที่ 4.29 หมื่นล้านหยวน (ราว 2.1 แสนล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.5 เมื่อเทียบปีต่อปี

หวังซิ่ง ซีอีโอของเหม่ยถวน กล่าวว่าธุรกิจทั้งหมดของบริษัทฯ เติบโตแข็งแกร่งในช่วงไตรมาสแรก ซึ่งเป็นผลมาจากการบริโภคในท้องถิ่นที่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง

‘เครื่องบินโดยสาร C919’ ของจีน ขึ้นบินเชิงพาณิชย์เที่ยวแรก ถือเป็นก้าวสำคัญสู่ตลาดการบินพลเรือนอย่างเป็นทางการ

เมื่อวันที่ 28 พ.ค. 66 สำนักข่าวซินหัว, เซี่ยงไฮ้ รายงานว่า เครื่องบินโดยสารขนาดใหญ่ที่จีนพัฒนาขึ้นเอง ‘รุ่นซี 919’ (C919) ได้ทำการบินเชิงพาณิชย์เที่ยวแรกจากนครเซี่ยงไฮ้ทางตะวันออก ไปยังกรุงปักกิ่งทางตอนเหนือเสร็จสิ้น เมื่อวันอาทิตย์ (28 พ.ค.) ซึ่งถือเป็นการก้าวสู่ตลาดการบินพลเรือนอย่างเป็นทางการ

รายงาน ระบุว่า เที่ยวบินเชิงพาณิชย์เที่ยวแรกนี้ดำเนินงานโดยสายการบินไชน่า อีสเทิร์น แอร์ไลน์ส (China Eastern Airlines) ขึ้นบินจากท่าอากาศยานนานาชาติเซี่ยงไฮ้ หงเฉียว พร้อมผู้โดยสาร 128 คน ด้วยรหัสเอ็มยู 9191 (MU9191) ตอน 10.32 น. ตามเวลาท้องถิ่น

เครื่องบินได้รับการต้อนรับด้วยพิธีการฉีดอุโมงค์น้ำ หลังจากลงจอดที่ท่าอากาศยานนานาชาตินครหลวงปักกิ่ง ตอน 12.31 น. ตามเวลาท้องถิ่น

อนึ่ง ซี919 ถือเป็นเครื่องบินไอพ่นขนาดใหญ่ที่จีนพัฒนาขึ้นเองรุ่นแรก ซึ่งมีมาตรฐานความสมควรเดินอากาศระดับสากลและสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาโดยอิสระของตนเอง

โครงการ ซี 919 เริ่มต้นปี 2007 พัฒนาโดยบริษัทอากาศยานพาณิชย์แห่งประเทศจีน (COMAC) และมีการส่งออกเครื่องบินลำแรกจากสายการผลิตในเซี่ยงไฮ้เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2015 โดยเครื่องบินทำการบินเที่ยวปฐมฤกษ์สำเร็จในปี 2017

“เที่ยวบินเชิงพาณิชย์เที่ยวแรกนี้ นับเป็นพิธีก้าวผ่านช่วงสำคัญของเครื่องบินรุ่นใหม่ โดยซี 919 จะดำเนินงานได้ดียิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากสามารถคงสถานะที่ดีในตลาด” จางเสี่ยวกวง ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและจัดจำหน่ายของบริษัทฯ กล่าว
 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top