Monday, 9 June 2025
จีน

‘จีน’ ส่งออก ‘ลูกปลาจาระเม็ด’ ล็อตแรก 1 ล้านตัวสู่มาเลเซีย เสริมความมั่นคงด้านการค้าในกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

เมื่อวันที่ (6 พ.ค. 66) สำนักข่าวซินหัว, ไห่โข่ว มณฑลไห่หนาน (ไหหลำ) ทางตอนใต้ของจีน เดินเรือขนส่งลูกปลาจาระเม็ดที่เพาะเลี้ยงในไห่หนาน จำนวน 1 ล้านตัว มุ่งหน้าสู่จุดหมายในประเทศมาเลเซีย เมื่อวันศุกร์ (5 พ.ค.) ที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นการส่งออกปลาจาระเม็ดครั้งแรกของไห่หนานในปีนี้

‘หยางกัง’ ผู้ทำงานร่วมกับสถานีตรวจสอบขาเข้า-ขาออกของเมืองซานย่า กล่าวว่า สถานีฯ ให้บริการพิธีการศุลกากรแบบครบวงจรสำหรับการจัดส่งลูกปลานี้ โดยกระบวนการผ่านพิธีการศุลกากรที่รวดเร็วช่วยลดต้นทุนของบรรดาผู้ส่งออก

'เอเชีย-แปซิฟิก' หวั่น!! หลังจีนเท้าความเหตุการณ์ยูโกสลาเวีย เตือนสติ!! เตรียมเจอความป่าเถื่อนของนาโตที่นำโดยสหรัฐฯ

ปักกิ่งจะไม่มีวันลืม และจะไม่มีวันให้อภัย ต่อเหตุการณ์ทิ้งระเบิดสถานทูตของพวกเขาในกรุงเบลเกรด ปี 1999 จากคำกล่าวของหวัง เหวินปิน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีนในวันจันทร์ (8 พ.ค.) โดยหยิบยกเรื่องดังกล่าวมาประณามกลุ่มพันธมิตรทหารที่นำโดยสหรัฐฯ สำหรับก่อความขัดแย้งโดยอ้างตัวว่าเป็นพันธมิตรป้องกันตนเอง พร้อมแนะนำเชิงเหน็บแนมให้ส่องกระจกดูอาชญากรรรมต่างๆ ที่ตนเองก่อไว้ ในขณะที่ดูเหมือนว่านาโตกำลังบ่ายหน้ามาภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก

หวัง ออกมาตอกย้ำในเรื่องนี้ ด้วยที่เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคมที่ผ่านมา เป็นวาระครบรอบเหตุโจมตีสถานทูตจีนในยูโกสลาเวีย ซึ่งส่งผลให้ผู้สื่อข่าวชาวจีนเสียชีวิต 3 ราย และเจ้าหน้าที่ด้านการทูต 20 คนได้รับบาดเจ็บ "ประชาชนชาวจีนจะไม่มีวันลืมกับสิ่งที่พวกเขาต้องเสียสละเพื่อค้ำยันความจริง ความเที่ยงธรรมและความยุติธรรม และเราจะไม่มีวันลืมการกระทำอันโหดร้ายป่าเถื่อนที่ลงมือโดยนาโตที่นำโดยสหรัฐฯ" เขาบอกกับผู้สื่อข่าว

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน กล่าวอ้างว่า นาโตซึ่งเป็นพันมิตรทหารระดับภูมิภาคได้จุดไฟซ้ำ ๆ และนำพาความขัดแย้งไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วโลก ไล่ตั้งแต่บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา ไปจนถึงโคโซโว จากอิรักไปอัฟกานิสถาน และจากลิเบียสู่ซีเรีย"

"หลังจากมีส่วนเกี่ยวข้องในสงครามต่าง ๆ ที่เข่นฆ่าชีวิตหลายแสนคนและทำหลายล้านคนต้องไร้ถิ่นฐาน เวลานี้นาโตกำลังจู่โจมมาทางทิศตะวันออก เข้าสู่เอเชีย-แปซิฟิก ยุยงการเผชิญหน้า บ่อนทำลายสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค" โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนระบุ

เหตุโจมตีสถานทูต เกิดขึ้นในช่วง 6 สัปดาห์ของการทำสงครามทางอากาศของนาโตกับยูโกสลาเวีย โดยเป็นการเปิดปฏิบัติการในนามของพวกแบ่งแยกดินแดนเชื้อสายแอลเบเนียในโคโซโว ระเบิด 5 ลูกพุ่งใส่สถานทูตจีน ส่งผลให้ผู้สื่อข่าวชาวจีนเสียชีวิต 3 ราย ในขณะที่ปักกิ่งประณามการทิ้งบอมบ์ดังกล่าวว่าเป็นการกระทำอันโหดเหี้ยมป่าเถื่อน

‘จีน’ คุมเข้ม ‘มลพิษ’ จากยานยนต์ ดีเดย์ 1 ก.ค.นี้ เตือน!! ผู้ผลิต-ผู้นำเข้ารถยนต์ ไม่ผ่านเกณฑ์ เจอดี!!

(10 พ.ค. 66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กระทรวงนิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อมของจีน รายงานว่าจีนจะบังคับใช้มาตรฐานการปล่อยมลพิษของยานยนต์ทั่วประเทศที่เข้มงวดยิ่งขึ้น ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. เป็นต้นไป

รายงานระบุว่าจีนจะห้ามการผลิต นำเข้า หรือจำหน่ายยานยนต์ที่ไม่ผ่านมาตรฐานฉบับปรับปรุงข้างต้น ซึ่งมีการบังคับใช้ครอบคลุมยานยนต์บรรทุกเบาและยานยนต์ดีเซลบรรทุกหนักด้วย

ด้านผู้ผลิตและผู้นำเข้ายานยนต์จะต้องเปิดเผยผลทดสอบการปล่อยมลพิษและข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีควบคุมมลพิษเพื่อรับรองการปฏิบัติตามมาตรฐานใหม่

อนึ่ง มาตรฐานฉบับปรับปรุงใหม่นี้ประกาศโดยกระทรวงฯ และหน่วยงานทางการอีก 4 แห่ง

ไขข้อสงสัย ทำไมหลายประเทศถึงหันมาใช้ ‘เงินหยวน’ ของ ‘จีน’ ในวันที่ ‘เงินดอลลาร์’ ของสหรัฐฯ กำลังเริ่มเสื่อมความนิยม

เมื่อวันที่ 11 พ.ค. 66 ได้มีผู้ใช้งานติ๊กต็อกท่านหนึ่ง ชื่อ ‘thailaotogether’ ได้ออกมาอธิบาย กรณีที่ สปป.ลาว ได้มีการอนุมัติใช้เงินหยวนของประเทศ เพื่อเป็นทางเลือกในการใช้จ่ายทางการค้าระหว่างประเทศ โดยได้ระบุว่า…

เงินหยวน จะมาแทนที่เงินกีบ? จีนจะมากลืนลาว ลาวจะกลายเป็นมณฑลส่วนหนึ่งของจีน? ทำไมประเด็นต่างๆ เหล่านี้ถึงได้กำลังกลายเป็นกระแสดรามาที่ถูกพูดถึงกันอย่างมากในโลกโซเชียล ชุดความคิดนี้มีที่มาอย่างไร? และทำไมประเทศในสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ ‘อาเซียน’ ถึงเปลี่ยนมาใช้สกุลเงินหยวนกัน

โดยประเด็นนี้เริ่มจากการที่ ผู้ว่าการแบงค์ชาติ นายบุนเหลือ สินไซวอละวง ผู้ว่าการธนาคารแห่ง สปป.ลาว และ นายอี้ กัง ผู้ว่าการธนาคารประชาชนจีน ได้ลงนามแต่งตั้งสกุลเงินหยวน เพื่อการชำระบัญชีเงินระหว่างกันของทั้ง 2 ประเทศ มีการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างกัน โดยไม่ต้องอ้างอิงเงินดอลลาร์สหรัฐฯ

การอ้างอิงหมายความว่าอย่างไร? ตรงนี้สืบเนื่องจากการที่ สปป.ลาว ใช้สกุลเงินกีบในการค้าขายภายในประเทศ แต่ในบางพื้นที่ที่อยู่ใกล้ชิดติดกับประเทศไทย ในบางครั้งก็อาจจะมีการใช้สกุลเงินบาทกันได้

ทั้งนี้ทั้งนั้น สินค้าทั่วไปใน สปป.ลาว มีการซื้อขายกันโดยใช้สกุลเงินกีบ แต่ถ้าหากเป็นรถยนต์ หรือบ้าน จะใช้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นตัวอ้างอิง เพื่อให้มีความสอดคล้องกับสากล

การอ้างอิงของเงินตราระหว่างประเทศที่เป็นสากล คือ ‘เงินดอลลาร์สหรัฐฯ’ ที่มีความครอบคลุมเกือบทุกประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศในภูมิภาคอาเซียนด้วย

แต่ในขณะเดียวกัน ในตอนนี้ ประเทศจีนมีเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ทำให้ต่างชาติมีการชำระเงิน และเกิดการค้าขายกันโดยใช้สกุลเงินหยวนมากขึ้น จนสามารถแซงหน้าสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้วยสัดส่วนที่สูงถึง 48% จนทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ตกลงมาอยู่ที่อันดับ 2 ด้วยสัดส่วนที่เหลือเพียง 46%

ซึ่งสิ่งนี้ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับประเด็นที่เกิดการตั้งข้อสังเกตในโซเชียลกันว่า ประเทศจีนจะมากลืนกิน สปป.ลาว แต่อย่างใด และในขณะเดียวกัน ประเทศจีนเองก็สนับสนุนให้นานาประเทศใช้สกุลเงินท้องถิ่นเป็นหลัก แต่ให้ใช้เงินหยวนในลักษณะของการอ้างอิงและชำระเงินในการค้าขายระหว่างประเทศ เพื่อให้เกิดผลประโยชน์ที่มากขึ้น และทำให้ภูมิภาคอาเซียนมีความแข็งแรงยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ประเทศต่างๆ ทั่วโลก ที่ได้มีการหันมาใช้สกุลเงินหยวนนั้น เริ่มมีเพิ่มมากยิ่งขึ้น เช่น ประเทศบราซิล ได้มีการทำข้อตกลงการค้าขายระหว่างกันกับประเทศจีน และได้มีการชำระเงินระหว่างกันโดยใช้สกุลเงินหยวนแทนเงินดอลลาร์สหรัฐฯ

ประเทศต่อมาคือ ประเทศซาอุดีอาระเบีย ที่กำลังมีการพิจารณาการซื้อขายน้ำมันกันอยู่ โดยก่อนหน้านี้ ทั้ง 2 ประเทศนี้ จะใช้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นสกุลเงินกลางในการค้าขายระหว่างประเทศ ซึ่งในขณะนี้ทั้ง 2 ประเทศกำลังพิจารณาอนุมัติการใช้สกุลเงินหยวน เพื่อใช้ในการค้าขายระหว่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม หากประเทศซาอุดีอาระเบีย ไปทำการค้าขายน้ำมันกับอีกทางภูมิภาคหนึ่ง หรือประเทศสหรัฐอเมริกา ก็จะมีการทำข้อตกลงในการใช้สกุลเงินอื่นระหว่างกัน หรืออาจใช้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เพราะมีความเป็นสากลมากที่สุด และขณะเดียวกัน หากประเทศซาอุดีอาระเบีย มาทำการค้าขายกับประเทศไทย ก็คงมีการทำข้อตกลงร่วมกันในการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ หรืออาจะเป็นสกุลเงินอื่นๆ ก็เป็นได้ ขึ้นอยู่กับว่าสกุลเงินใดให้ประโยชน์สูงสุดกับทั้ง 2 ประเทศ

ล่าสุด ประเทศอาร์เจนตินา เพิ่งได้มีการทำข้อตกลงกับประเทศจีนในการใช้สกุลเงินหยวนในการค้าขายระหว่างประเทศ เนื่องจากประเทศจีนได้มีการทำสัญญากับประเทศอาร์เจนตินา ว่าหากประเทศอาร์เจนตินาใช้สกุลเงินหยวน และได้ทำการสั่งซื้อสินค้าจากประเทศจีน ประเทศจีนจะอนุมัติการขนส่งสินค้าภายใน 90 วัน ซึ่งก่อนหน้านี้ต้องใช้เวลาในการอนุมัตินานถึง 180 วัน ทำให้สิ่งนี้จึงกลายเป็นผลประโยชน์ทางการค้าระหว่างประเทศที่เพิ่มมากขึ้น

นอกจากนี้ ยังมีประเทศฝรั่งเศสที่ได้ทำข้อตกลงร่วมกันกับประเทศจีน ในการซื้อขายน้ำมัน และแก๊สธรรมชาติ โดยใช้สกุลเงินหยวนในการชำระทางการค้า

นี่คือสิ่งที่ประเทศจีนพยายามจะทำให้ต่างประเทศหันมาใช้สกุลเงินหยวน ซึ่งการทำข้อตกลงในการใช้เงินหยวนเพื่อการค้าขายนี้ ทำให้ประเทศจีนประสบผลสำเร็จ จนสามารถก้าวขึ้นเป็นอันดับ 1 ในการทำการค้าขายกับต่างประเทศในที่สุด

และหากลองมองย้อนกลับมาที่ประเทศไทย จะเห็นว่าประเทศไทยเองก็ได้มีการทำสัญญาหรือข้อตกลงร่วมกันกับประเทศจีน ในการใช้สกุลเงินหยวน ซึ่ง ณ ขณะนั้น มี 3 ประเทศที่มีการทำข้อตกลงร่วมกัน คือ ประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย อีกทั้งประเทศจีนเองก็มีความต้องการให้ประเทศในภูมิภาคอาเซียนหันมาใช้สกุลเงินหยวน ทำให้ในตอนนี้ ประเทศในแถบเอเชีย และประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง ซึ่งประกอบไปด้วย ประเทศไทย ลาว เมียนมา และกัมพูชา มีการทำข้อตกลงที่จะใช้เงินหยวนในการค้าขายระหว่างกัน

นอกจากนี้ ประเทศจีนยังได้สร้างระบบในการชำระ เรียกว่า ‘ระบบให้บริการชำระเงินและเคลียริ่งข้ามพรมแดน สำหรับสถาบันการเงินในประเทศและต่างประเทศ’ หรือที่เรียกว่า ‘CIPT’ ขึ้นมา เป็นระบบกลางที่ช่วยให้สามารถชำระเงินระหว่างประเทศกันได้ง่ายมากยิ่งขึ้น

ซึ่งก่อนหน้านี้ ทั่วโลกชำระเงินในการค้าขายระหว่างกันด้วยระบบสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งขึ้นตรงกับมหานครนครนิวยอร์ก ในประเทศสหรัฐอเมริกา และได้มีการหักค่าธรรมเนียมในการให้บริการสูงมาก เพราะเหตุนี้เอง จึงทำให้ประเทศจีนมีความต้องการที่จะทำให้ประเทศในภูมิภาคอาเซียนมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น โดยการใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการซื้อขายภายในประเทศเป็นหลัก และใช้สกุลเงินหยวนในการอ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน ในการค้าขายระหว่างประเทศ

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับประเด็นที่ว่า การที่ สปป.ลาวใช้สกุลเงินหยวน จะทำให้สกุลเงินกีบนั้นหายไป และ สปป.ลาวจะถูกกลืนกินชาติ จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีนแต่อย่างใด หากมองให้ลึกลงไป ในบางประเทศที่มีการอนุมัติใช้สกุลเงินหยวนในการอ้างอิงการซื้อขาย หรือแลกเปลี่ยนกันนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับแต่ละประเทศ ส่งผลให้เกิดประโยชน์สูงสุดด้วยกันทั้งสิ้น

นอกจากนี้ สาเหตุที่ทำให้สกุลเงินกีบของ สปป.ลาว อ่อนค่าลงนั้น สืบเนื่องมาจากหลายๆ ประเทศได้หันมาใช้สกุลเงินหยวนกัน เนื่อกจากมีความกลัวว่าสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะไม่มีเสถียรภาพ เพราะการที่เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ไหลออกนอกประเทศ อาจส่งผลให้สกุลเงินต่างๆ ที่มีการทำการค้าขายกันนั้นอ่อนค่าลงนั้นเอง

อีกทั้งขณะเดียวกัน ประเทศสหรัฐฯ ยังได้มีการคว่ำบาตรประเทศรัสเซีย รวมถึงประเทศคู่ค้าที่เป็นพันธมิตรกับประเทศรัสเซีย นั่นคือ ประเทศจีน และ สปป.ลาว นอกจากนี้ ประเทศไทยเองก็ยังได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน เพราะทุกวันนี้ ค่าเงินบาทของไทยนั้นอ่อนค่าลงเล็กน้อย ซึ่งถือว่ายังน้อยกว่าเมื่อเทียบ สปป.ลาว ที่สกุลเงินกีบนั้นอ่อนค่าลงอย่างเห็นได้ชัด

เพราะฉะนั้น นี่จึงเป็นอีกหนึ่งในมาตรการของ สปป.ลาว ที่คิดจะใช้สกุลเงินหยวนเข้ามาแทนที่เงินดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อให้เกิดผลประโยชน์ที่มากขึ้น เกิดเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้ง ยังเป็นการทำให้มีเงินหลั่งไหลเข้าไปในประเทศมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

เรื่องนี้นับได้ว่า เป็นทั้งเรื่องที่ไกลตัว และใกล้ตัว เพราะเมื่อใดก็ตามที่ประเทศเพื่อนบ้านของเรามีความแข็งแรง ประเทศของเราก็มีความแข็งแรงมากขึ้นเช่นกัน จึงสามารถมองได้ว่า วิธีการนี้คือ หลักการคิดของประเทศจีน ที่ต้องการให้ประเทศในภูมิภาคอาเซียน สามารถพึ่งพาตัวเองและพึ่งพากันเองได้ ก่อนที่จะไปพึ่งพาประเทศในภูมิภาคอื่นๆ จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมประเทศจีนถึงอยากให้แต่ละประเทศในอาเซียนนั้นหันมาใช้เงินหยวน

‘การบินไทย’ รุกเพิ่มความถี่เส้นทางบิน ‘จีน-ญี่ปุ่น’ เล็งเพิ่มไฟลต์ 1 ก.ค.นี้ คาดรายได้ไม่ต่ำกว่า 1.3 แสนล้าน

‘การบินไทย’ เผยไตรมาส 1/66 กำไร 1.2 หมื่นล้าน โตต่อเนื่อง 3 ไตรมาส ดีกว่าแผนที่กำหนดไว้ เผย 1 ก.ค.นี้ รุกเพิ่มความถี่เส้นทางบินสู่จีน-ญี่ปุ่น อีกระลอกใหญ่ พร้อมเตรียมรองรับไฮซีซั่นไตรมาส 4 เต็มที่ หลังรับมอบเครื่องบินใหม่ปีนี้ครบ 4 ลำ คาดรายได้รวมปี’ 66 ไม่ต่ำกว่า 1.3 แสนล้าน ขนส่งผู้โดยสารกว่า 9 ล้านคน

(13 พ.ค. 66) นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ไตรมาส 1/2566 ที่ผ่านมา บริษัทมีผลประกอบการดีกว่าแผนที่กำหนดไว้ค่อนข้างมาก โดยบริษัทการบินไทยและบริษัทย่อยมีรายได้รวม 41,507 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งมีรายได้รวม 11,181 ล้านบาท (271.2%) หรือประมาณ 3 เท่าตัว และมีกำไรสุทธิ 12,523 ล้านบาท เติบโตต่อเนื่อง 3 ไตรมาส ขณะที่ช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าขาดทุน 3,243 ล้านบา

ทั้งนี้ ปัจจัยหลักมาจากการเติบโตของรายได้จากการขนส่งผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นถึง 30,502 ล้านบาท หรือ 681.5% เนื่องจากให้บริการเส้นทางบินสู่ 34 เส้นทางทั่วโลก ทั้งยุโรป ออสเตรเลีย และเอเชีย และเพิ่มความถี่ในเส้นทางที่ได้รับความนิยม อาทิ ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ เป็นต้น รวมถึงการกลับมาให้บริการเส้นทางบินสู่สาธารณรัฐประชาชนจีนอีกครั้งตั้งแต่ 1 มีนาคม 2566 ที่ผ่านมา ประกอบกับมีอัตราการบรรทุกผู้โดยสาร (cabin factor) โดยรวมเฉลี่ยสูงถึง 83.5%

“ในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา การบินไทยและไทยสมายล์ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือมีเครื่องที่ใช้ทำการบินรวม 65 ลำ มีอัตราการใช้ประโยชน์ของเครื่องบิน 12.3 ชั่วโมง มีปริมาณการผลิตด้านผู้โดยสาร (ASK) เพิ่มขึ้น 121.4% มีจำนวนผู้โดยสารรวม 3.52 ล้านคน เพิ่มขึ้น 245.1%” นายชาย กล่าว

นายชายกล่าวด้วยว่า ตามแผนการขยายฝูงบินและเพิ่มปริมาณการผลิตด้านผู้โดยสาร (ASK) บริษัทจะดำเนินการเช่าเครื่องบินใหม่ (แอร์บัส A350) เข้ามาเสริมฝูงบินอีกรวม 11 ลำ ภายในปี 2567 โดยปีนี้จะรับมอบจำนวน 4 ลำ โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา บริษัทได้รับมอบเครื่องบินลำแรกเข้ามาประจำฝูงบินแล้ว ส่วนลำที่ 2 จะรับมอบประมาณเดือนมิถุนายน ที่เหลืออีก 2 ลำจะทยอยเข้ามาประมาณเดือนสิงหาคม-กันยายน 2566 เพื่อรองรับไฮซีซั่นในช่วงไตรมาส 4/2566

ด้านนายกรกฎ ชาตะสิงห์ ประธานเจ้าหน้าที่สายการพาณิชย์ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า บริษัทมีแผนนำเครื่องบินที่รับมอบใหม่มาทำการบินเส้นทางสู่สาธารณรัฐประชาชนจีน เนื่องจากเป็นตลาดที่เพิ่งเปิดและการบินไทยยังทำการบินได้ไม่มากนัก รวมถึงเส้นทางสู่ญี่ปุ่นที่ได้รับการตอบรับดีอย่างต่อเนื่อง

โดยตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2566 นี้เป็นต้นไป บริษัทมีแผนเพิ่มความถี่เที่ยวบินสู่จีนให้เป็นวันละ 1 เที่ยวบิน (daily fight) ทุกเส้นทาง จากปัจจุบันเส้นทางสู่เซี่ยงไฮ้ทำการบินอยู่จำนวน 4 เที่ยวบินต่อสัปดาห์, กวางเจาให้บริการอยู่จำนวน 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ และปักกิ่ง 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์

ส่วนเส้นทางสู่ญี่ปุ่นก็มีแผนจะเพิ่มความถี่ต่อเนื่องเช่นกัน กล่าวคือ เพิ่มเส้นทางบินกรุงเทพฯ-โตเกียวจากปัจจุบัน 14 เที่ยวบินต่อสัปดาห์เป็น 21 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ เส้นทางกรุงเทพฯ-โอซากา ปัจจุบันให้บริการอยู่ 7 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ เป็น 14 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ เส้นทางกรุงเทพฯ-นาโกยา ปัจจุบันให้บริการอยู่ 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์เป็น 7 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ เป็นต้น

และฮ่องกง ซึ่งมีแนวโน้มคลี่คลายมากขึ้นก็เตรียมแผนเพิ่มเที่ยวบินจากปัจจุบัน 14 เที่ยวบินต่อสัปดาห์เป็น 21 เที่ยวบินต่อสัปดาห์เช่นกัน ขณะที่เส้นทางยุโรปที่มีแผนให้บริการสัปดาห์ละ 7 เที่ยวบิน หรือ daily fight ในเมืองสำคัญๆ และ 2 เที่ยวบินต่อวันสำหรับเส้นทางสู่ลอนดอน, แฟรงก์เฟิร์ต

“ในช่วงไตรมาส 2 ปกติจะเป็นโลว์ซีซั่น เราจึงไม่ได้คาดหวังมากนักในแง่การเติบโตของรายได้ แต่ตลาดยุโรปสู่ไฮซีซั่นอีกครั้งในเดือนกรกฎาคม ตอนนี้ก็เริ่มมีบุ๊กกิ้งเข้ามาแล้ว เราจึงต้องเตรียมแผนรองรับเช่นกัน เพราะยุโรปยังเป็นแหล่งรายได้สำคัญถึงประมาณ 40% ของเรา” นายกรกฎ กล่าว

นายชายกล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า สำหรับภาพรวมทั้งปี 2566 นี้ บริษัทคาดว่าจะมีรายได้รวมไม่ต่ำกว่า 1.3 แสนล้านบาท และขนส่งผู้โดยสารรวมกว่า 9 ล้านคน

‘จีน’ แรงไม่ตก!! ครองอันดับ 1 ‘ตลาดโลจิสติกส์โลก’ 7 ปีซ้อน ฟันมูลค่ารายได้ปี 65 แตะ 61 ล้านล้านบาท เติบโต 4.7%

เมื่อวันที่ 13 พ.ค. 66 สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สหพันธ์โลจิสติกส์และการจัดซื้อแห่งประเทศจีน รายงานว่าตลาดโลจิสติกส์ของจีนครองอันดับหนึ่งของโลกในแง่ขนาดติดต่อกันเป็นปีที่ 7 เมื่อนับถึงปี 2022

รายงานระบุว่าโลจิสติกส์ทางสังคมของจีนโดยรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.4 เมื่อเทียบปีต่อปี อยู่ที่ 347.6 ล้านล้านหยวน (ราว 1,696.28 ล้านล้านบาท) ในปี 2022

รายได้รวมของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ในปี 2022 อยู่ที่ 12.7 ล้านล้านหยวน (ราว 61.97 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.7 จากปีก่อนหน้า

สำหรับเหตุผลที่จีนเป็นผู้นำของโลกในด้านโลจิสติกส์ ส่วนสำคัญมาจากความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจของจีน ทึ่ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่เติบโตและประสบความสำเร็จอย่างมาก รวมถึงการขนส่งพัสดุในจีนประมาณ 70% เน้นจัดส่งในวันเดียวกัน เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่ไม่ชอบรอนาน หรือสั่งซื้ออาหารสดที่เน่าเสียได้ ในกลุ่มอาหารแช่แข็ง อาหารทะเลแช่แข็ง และสินค้าอื่นๆ เป็นต้น

นอกจากนี้ ที่ผ่านมายักษ์ใหญ่ด้านอีคอมเมิร์ซของจีนอย่าง Alibaba และ JD.com เป็นสองโมเดลธุรกิจที่สร้างโซลูชันการจัดส่งของตนเองที่มีประสิทธิภาพสูงเทียบเคียงได้กับบริษัทจัดส่งชั้นนำอย่าง Amazon ในสหรัฐอเมริกากันเลยทีเดียว

ขณะที่แรงหนุนที่ส่งให้จีนขึ้นชื่อเป็นผู้นำด้านโลจิสติกส์ของโลก นั่นเพราะการมี 5G หนุนกระบวนการสั่งซื้อได้รวดเร็ว / การชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ในวงกว้าง / แผนกลยุทธ์การจัดการด้านโลจิสติกส์ที่เป็นเลิศทั้งในหัวเมืองใหญ่และชนบท

คุณธรรม 3 ประการ จากมารดาที่ชื่อ ‘ฉี ซิน’ เบื้องหลัง ‘สี จิ้นผิง’ สู่ผู้นำจีนที่ทั่วโลกรู้จัก

ครอบครัว เป็นพื้นฐานของเด็ก โดยมี พ่อ-แม่ เป็นครูคนแรกของลูก หากผู้ปกครองให้ความสำคัญในการปลูกฝังคุณธรรมที่ดีให้กับลูกของตน เด็กๆ ก็จะเติบโตขึ้นผู้ใหญ่ที่มีจิตใจสมบูรณ์ และยังสามารถดูแลผู้คนในสังคม หรือแม้แต่แบกรับความรับผิดชอบต่อประเทศชาติได้

นั่นคือความคิดของนางฉี ซิน คุณแม่ชาวจีนท่านหนึ่ง ที่พยายามสอนให้ลูก ๆ 4 คนของเธอเป็นผู้รู้ รักคุณธรรมตั้งแต่เล็ก และต่อมาลูกชายคนโตของเธอก็เติบใหญ่ กลายเป็นผู้นำจีนที่โลกรู้จักมากที่สุดคนหนึ่ง นามว่า ‘สี จิ้นผิง’ 

สี จิ้นผิง เคยเล่าว่า เมื่อสมัยที่เขายังเป็นเด็กเล็ก ๆ นางฉี ซิน แม่ของเขาชอบพาเขาขี่หลังพาไปเที่ยวที่ร้านหนังสือ และเคยซื้อหนังสืออัตชีวประวัติของ งักฮุย แม่ทัพผู้เกรียงไกรในสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ มาอ่านให้เขาฟัง เขาจำได้ว่า แม่เน้นย้ำตัวอักษร 4 ตัวที่มารดาของแม่ทัพงักฮุยสักไว้บนแผ่นหลังให้งักฮุยตั้งแต่เด็กด้วยคำว่า จินจงเป้ากั๋ว (尽忠报国) ซึ่งแปลว่า “ขอรับใช้ชาติด้วยความจงรักภักดี”

เขาเคยถามแม่ว่า การสักตัวอักษรบนแผ่นหลังจะต้องเจ็บปวดมากแน่ ๆ แต่ทำไมแม่ของงักฮุยจึงทำเช่นนั้น นางฉี ซิน ได้ตอบลูกชายว่า แม้จะเจ็บ แต่ต้องการให้คุณธรรม 4 คำนี้จำฝังอยู่ในใจตลอดไป ซึ่ง สี จิ้นผิง ก็ได้จำคุณธรรม 4 ตัวอักษรนี้ เป็นเป้าหมายในการดำเนินชีวิตนับแต่นั้น

แต่นอกเหนือจากคุณธรรม 4 อักษร ของแม่ทัพงักฮุยแล้ว นางฉี ซิน ยังสอนให้ สี จิ้นผิง รู้จักคุณธรรมเพื่อชีวิตอีก 3 ประการ ไว้ว่า...

1. จงอุทิศตนเพื่อประเทศชาติด้วยความบริสุทธิ์ใจ
2. จงมีความซื่อสัตย์ และหัดเป็นคนมีวินัยในตนเอง 
3. จงมีความมุ่งมั่นที่จะยอมเสียสละความสุขส่วนตนเพื่อส่วนรวม 

แม่ของเขาย้ำด้วยว่า “เมื่อใดก็ตามที่คนเราขาดความซื่อตรง และ วินัยในตนเอง ก็จะกลายเป็นคนไร้ซึ่งความกล้าหาญ จงระลึกเสมอว่า ความซื่อสัตย์คือพรอันประเสริฐ แต่ความละโมบ ไม่ต่างจากคำสาป เมื่อคนเราได้พบเจอกับอำนาจ ลาภยศ และ ผลประโยชน์”

นางฉี ซิน มารดาของ สี จิ้นผิง เป็นบุตรสาวจากครอบครัวนักกฎหมายในคณะรัฐบาลพรรคชาตินิยมจีนมาก่อน ได้รับการศึกษาเป็นอย่างดีแต่วัยเยาว์ เคยเข้าร่วมกองกำลังเยาวชนต่อต้านกองทัพญี่ปุ่น ในสมัยสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่  2 ก่อนที่จะมาพบรักและแต่งงานกับ สี จ้งซุน หนึ่งในผู้นำนักปฏิวัติจีนรุ่น 1 ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในเวลาต่อมา 

แม้จะเกิดในครอบครัวชั้นปกครอง แต่ก็เคยพบเจอกับความยากลำบาก ต้องใช้แรงงานในชนบท และการต่อสู้เพื่อประเทศชาติ และอุดมการณ์มาก่อน แม้ว่าลูกชายคนโต สี จิ้นผิง จะมีตำแหน่งก้าวหน้าในรัฐบาลจีน แต่นางฉี ซิน ชอบที่จะใช้ชีวิตเรียบง่าย ทำงานเขียนหนังสือ และเดินทางเยี่ยมเยียน สถานที่ที่เคยเป็นฐานของคณะปฏิวัติเก่าๆ ในเมือง ซานซี หนิงเซีย กานซู และอื่นๆ อย่างสม่ำเสมอตลอดระยะเวลา 40 ปี และมักบริจาคเงินส่วนตัวเพื่อใช้พัฒนาโรงเรียนยากไร้ในชนบท

นางฉี ซิน มักบอกกับลูกชายเสมอ เมื่อเขาไม่สามารถกลับมาเยี่ยมได้แม้ในวันหยุดยาวช่วงเทศกาลตรุษจีนว่า ขอให้อุทิศตนทำงานอย่างเต็มที่ ก็คือว่าได้แสดงความกตัญญูตอบแทนพ่อแม่เพียงพอแล้ว 

คำสอนของนางฉี ซิน ผู้เป็นมารดา เป็นส่วนหนึ่งในแรงบันดาลใจในการทำงานเพื่อสังคมของสี จิ้นผิง ด้วยความมุ่งมั่นในการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชนจีน 

เห็นได้ว่า จุดเริ่มต้นเล็ก ๆ จากสถาบันครอบครัวที่เข้มแข็ง ในการสร้างคุณธรรม และ ความคิดที่ดีให้ลูก ๆ ตั้งแต่ยังเล็ก สามารถทำให้เด็กคนหนึ่งเติบโตขึ้นเพื่อทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างไม่รู้จบ 

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์

อ้างอิง : China Daily / Chinese Thought  / Wikipedia

ทัพทุเรียนไทย’ บุก ‘ตลาดจีน’ เอาชนะใจผู้บริโภค ทำยอดขายพุ่งทะยาน 4 เท่า ‘หมอนทอง’ ขายดีสุด!!

เมื่อวันที่ 15 พ.ค. 66 สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ตลาดค้าส่งผลไม้หนานหนิง ไห่จี๋ซิง ซึ่งเป็นตลาดค้าส่งผลไม้ขนาดใหญ่ที่สุดในเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงทางตอนใต้ของจีน มีชีวิตชีวาตั้งแต่ยามเช้ามืด รถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์คันใหญ่วิ่งเข้าออกและหยุดจอดขนถ่ายสินค้าหน้าแผงทุเรียน โดยมีผู้ซื้อจับกลุ่มรออยู่ก่อนแล้ว

บรรดาพ่อค้าแม่ขายรายใหญ่ต่างคึกคักกระปรี้กระเปร่าหลังจากเข้าสู่ ‘ฤดูทุเรียน’ ซึ่งปีนี้ทุเรียนไทยบุกตลาดจีนเร็วกว่าปีก่อน โดยทุเรียนจากจังหวัดจันทบุรีจะถูกเก็บเกี่ยวและขนส่งถึงชั้นวางสินค้าของซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วแผ่นดินใหญ่ของจีนภายในเวลาเพียงราวหนึ่งสัปดาห์

ตัวอย่างเช่น ‘ทุเรียนซีพี เฟรช’ (CP Fresh) ถูกขนส่งถึงจีนและกระจายสู่ซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่หลายแห่งอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้บริโภคได้เลือกซื้อทุเรียนคุณภาพดีและสดใหม่ที่สุด โดยซีพีเอฟ (CPF) จัดสารพัดกิจกรรมส่งเสริมการขายทุเรียนหมอนทองหอมหวาน ดึงดูดผู้บริโภคมาซื้อไม่ขาดสาย

“ทุเรียนซีพีมีคุณภาพสูง รสชาติดี แถมมีการชดเชยและสับเปลี่ยนถ้าเจอทุเรียนลูกที่ไม่ดี ทำให้เลือกซื้อได้อย่างสบายใจ” ชายแซ่ลู่ ชาวนครหนานหนิงของกว่างซีกล่าว

เหลียงซูถิง ประธานซีพีเอฟ สาขาหนานหนิง เผยว่ายอดจำหน่ายทุเรียนเฉลี่ยรายวันช่วงจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายสูงเกิน 100 กล่อง โดยหลายปีที่ผ่านมา ซีพีเอฟได้พัฒนาการจัดการห่วงโซ่อุตสาหกรรมทุเรียนแบบครบวงจร กำหนดมาตรฐานของสินค้า ทำให้ผู้บริโภครู้สึกเหมือน “รับประทานทุเรียนกลางสวนในไทย”

อนึ่ง จีนเป็นตลาดผู้บริโภคทุเรียนขนาดใหญ่และปริมาณการบริโภคเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกปี โดยทุเรียนครองตำแหน่ง “ราชาผลไม้นำเข้า” ของจีนตั้งแต่ปี 2019 และปริมาณการนำเข้าในปี 2022 สูงถึง 8.25 แสนตัน มูลค่า 4.03 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.36 แสนล้านบาท) ซึ่งเป็นทุเรียนไทยถึง 7.8 แสนตัน

กวนฉ่ายเสีย ผู้ค้าขายทุเรียนมานานหลายปี และเล็งเห็นความสำคัญของการสร้างแบรนด์ ได้ร่วมมือกับโรงงานไทยในการออกแบบแบรนด์และบรรจุภัณฑ์ โดยมีการใช้อักษรจีน ‘ปั้ง’ (棒) ตัวใหญ่เตะตาบนกล่องทุเรียน ซึ่งกวนชี้ว่าสอดคล้องกับคุณภาพ ‘ยอดเยี่ยม’ ของทุเรียนไทย

การคลุกคลีอยู่กับการค้าขายทุเรียนไทยมานานถึง 20 ปี ทำให้กวนได้เห็นการเติบโตของทุเรียนไทยในจีน และเชื่อว่าทุเรียนไทยจะยังคงเป็นทุเรียนจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียนที่ครองส่วนแบ่งมากที่สุดในตลาดจีน รวมถึงมีข้อได้เปรียบจากความร่วมมือระหว่างสองประเทศ

ข้อมูลจากตลาดฯ ระบุว่าปัจจุบันมีผู้ค้าส่งทุเรียนในตลาด 32 ราย ยอดค้าส่งในปีก่อนอยู่ที่ 24,000 ตัน ส่วนยอดจำหน่ายในปีนี้อยู่ที่ 17,000 ตัน เมื่อนับถึงวันที่ 5 พ.ค. ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 4 เท่า โดยทุเรียนหมอนทองของไทยมียอดจำหน่ายสูงสุด

โม่เจียหมิง ผู้จัดการทั่วไปของบริษัท กว่างซี โยวเซียนหยวน อะกรีคัลเจอรัล เทคโนโลยี จำกัด ซึ่งเป็นผู้นำเข้าผลไม้อาเซียนสู่จีนจำนวนมาก เผยว่าทุเรียนจากภาคตะวันออกของไทยมียอดจำหน่ายดีมาก แต่ละวันนำเข้าตู้คอนเทนเนอร์ 5-6 ตู้ บางช่วงสูงถึง 10 ตู้ และอาจสูงขึ้นอีกในอนาคต

ช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีการจัดตั้งห่วงโซ่อุปทานผลไม้อาเซียนอย่างทุเรียน มะพร้าว และลำไย โดยบริษัทฯ ทำการค้าส่ง การจำหน่ายผ่านไลฟ์สตรีมมิง และการวางจำหน่ายตามซูเปอร์มาร์เก็ต ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักอย่างมาก ส่งผลให้ปริมาณการนำเข้าทุเรียนเพิ่มขึ้นเกือบ 10 เท่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

“ปีนี้บริษัทฯ วางแผนนำเข้าทุเรียนจากภาคตะวันออกของไทยราว 15,000-20,000 ตัน หรืออาจแตะ 25,000 ตัน” โม่กล่าว

แต่ละปีทุเรียนไทยเริ่มส่งออกสู่ตลาดจีนในเดือนเมษายน และพุ่งแตะระดับสูงสุดช่วงเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม

“ครอบครัวของผมซื้อทุเรียนหมอนทองของไทยเป็นประจำ ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ชอบรับประทานกันมาก ราคาและคุณภาพของทุเรียนในปีนี้น่าพอใจมากๆ จนอาจจะได้ซื้อบ่อยขึ้น” เหลียงเจ๋อหลิน ชาวเมืองหนานหนิงกล่าว

เฮ่อเยี่ยน รองผู้จัดการร้านค้าปลีกแซมส์คลับ เผยว่าสินค้าทุเรียนเป็นที่ต้องการมากทุกวัน โดยทุเรียนที่ขนส่งมาถึงใหม่ๆ มักจะขายหมดภายในครึ่งวัน ทำให้ร้านค้าต้องกำหนดเพดานการซื้อของลูกค้าแต่ละคน ซึ่งแห่มาซื้อกันตั้งแต่หัววัน

“ปีนี้ทุเรียนได้รับความนิยมอย่างมาก มีราคาเหมาะสม ครอบครัวทั่วไปล้วนอยากซื้อไปรับประทาน” จางอี้เฉียว จากบริษัท การค้านำเข้าและส่งออกหนานหนิง เจี๋ยรุ่ย จำกัด กล่าว โดยบริษัทฯ ยังทำธุรกิจค้าส่งทุเรียนในปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และเมืองเจียซิงของเจ้อเจียงด้วย

จางกล่าวว่าหากดูจากตลาดหลายแห่งพบยอดจำหน่ายทุเรียนเพิ่มขึ้น แต่ละวันบริษัทฯ สามารถจัดจำหน่ายทุเรียนตามตลาดแห่งต่างๆ ราว 3-4 ตู้คอนเทนเนอร์ โดยยอดจำหน่ายเพิ่มขึ้นเกือบสามเท่าเมื่อเทียบปีต่อปี และทุเรียนหมอนทองขายดีที่สุด ส่วนทุเรียนกระดุมทองราคาแพงกว่าแต่ก็ขายดีเช่นกัน

ทั้งนี้ ‘ทุเรียน+มังคุด’ เป็นผลไม้ที่มักขายได้คู่กันตามตลาดหลายแห่ง โดยลูกค้าที่มาซื้อทุเรียนมักซื้อมังคุดด้วย โดยจางอธิบายว่าชาวจีนตอนใต้ไม่น้อยมองว่าทุเรียนเป็นผลไม้ฤทธิ์ร้อน การรับประทานมังคุดที่เป็นผลไม้ฤทธิ์เย็นจะช่วยลดฤทธิ์ร้อนดังกล่าว

ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทุเรียนอาเซียนได้เข้าสู่ตลาดจีนอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันแหล่งทุเรียนนำเข้าหลัก ได้แก่ ไทย มาเลเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ ขณะเดียวกันผู้บริโภคชาวจีนมองหาทุเรียนสายพันธุ์ใหม่ๆ มาลองลิ้มชิมรสชาติกันเพิ่มขึ้นด้วย

ด้านโม่เจียหมิงเสริมว่าบริษัทฯ มุ่งปรับปรุงโครงสร้างผลิตภัณฑ์ มีการลงทุนจัดตั้งโรงงานรับซื้อทุเรียนในเวียดนาม 2 แห่ง ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินงานเดือนมิถุนายน-กรกฎาคมนี้ และหลังจากหมดฤดูทุเรียนตะวันออกของไทย จะหันไปนำเข้าทุเรียนเหนือและทุเรียนใต้ของไทย ควบคู่กับทุเรียนเวียดนามบางส่วน

การก่อสร้างระเบียงการค้าทางบก-ทางทะเลระหว่างประเทศใหม่ เส้นทางตะวันตก การเปิดใช้ทางรถไฟจีน-ลาว และการมีผลบังคับใช้ของความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ในช่วงไม่นานนี้ ช่วยพัฒนาระบบโลจิสติกส์ข้ามพรมแดนเพิ่มขึ้นและเกื้อหนุนการค้าข้ามภูมิภาค

ตัวอย่างเช่น ‘ทุเรียนไทย’ นอกจากถูกนำเข้าสู่จีนทางอากาศ ยังมีการนำเข้าทางบก รวมถึงทางทะเลจากท่าเรือแหลมฉบังของจังหวัดชลบุรีไปยังท่าเรือชินโจวของเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง และท่าเรือหนานซาของมณฑลกว่างตง (กวางตุ้ง) อีกด้วย

“ยามสถานการณ์โรคระบาดใหญ่ทั่วโลกทยอยคลี่คลาย มีการปรับปรุงประสิทธิภาพของพิธีการศุลกากรขาเข้า-ขาออก ช่วยให้ทุเรียนเข้าสู่ตลาดอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น” กวนฉ่ายเสียกล่าว พร้อมเสริมว่ามีการนำเข้าทุเรียนผ่านด่านบกโหย่วอี้ในกว่างซี ซึ่งถูกขนส่งต่อทางถนนและทางรางในจีน

ปัจจุบันทุเรียนกลายเป็นผลไม้ที่เข้าถึงหลายครอบครัวทั่วไปในจีน แตกต่างจากก่อนหน้านี้ที่มีผู้บริโภคกระจุกตัวอยู่เป็นกลุ่มเล็กเท่านั้น ซึ่งทั้งหมดเป็นผลจากการพัฒนาการค้าเสรีและการยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน

‘รัสเซีย’ ชี้ ‘ก้าวไกล’ เปรียบเสมือน หุ่นเชิดของ ‘สหรัฐฯ’ หวั่น ก้าวไกล ทำกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทย-จีน-รัสเซีย

(18 พ.ค. 66) สำนักข่าว RT ของประเทศรัสเซีย รายงานข่าวเกี่ยวกับการเลือกตั้งประเทศไทย โดยเรียกพรรคก้าวไกลว่าเป็น ‘พรรคโปรตะวันตก’

ไบรอันได้ให้สัมภาษณ์ว่า “ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นผลลัพธ์ของความพยายามของสหรัฐอเมริกา ที่ได้ทุ่มเทเงินหลายล้านเหรียญมาเป็นเวลาหลายปี เพื่อให้พรรคการเมืองที่เป็นหุ่นเชิดของตัวเองได้ขึ้นมามีอำนาจ”

ไบรอันมองว่า หากพรรคก้าวไกลยังเดินตามนโยบายต่างประเทศในทางที่เคยแสดงท่าทีไว้ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศจีน และประเทศไทยกับประเทศรัสเซียจะถูกกระทบอย่างรุนแรง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top