Monday, 9 June 2025
จีน

‘จีน’ คิกออฟ ‘โรงไฟฟ้าพลังงานสะอาด’ 10,000 ไร่  ลดปล่อยคาร์บอนฯ มากกว่า 1.6 ล้านตันต่อปี

(26 มิ.ย. 66) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สถานีไฟฟ้าพลังน้ำ-พลังแสงอาทิตย์แบบผสมผสานขนาดใหญ่ในอำเภอหย่าเจียง แคว้นปกครองตนเองกานจือ กลุ่มชาติพันธุ์ทิเบต มณฑลซื่อชวน (เสฉวน) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน เริ่มเปิดดำเนินการแล้วเมื่อวันอาทิตย์ 25 มิ.ย. ที่ผ่านมา

สำหรับสถานีไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์เคอลา ซึ่งเป็นโครงการระยะแรกของโครงการพลังน้ำ-พลังแสงอาทิตย์แบบผสมผสานของโรงไฟฟ้าพลังน้ำเหลี่ยงเหอโข่ว (Lianghekou) เป็นสถานีไฟฟ้าพลังน้ำ-พลังแสงอาทิตย์แบบผสมผสานขนาดใหญ่ที่สุดและตั้งอยู่บนที่สูงสุดในโลก

รายงานระบุว่าสถานีแห่งนี้ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 1,667 เฮกตาร์ (ราว 10,000 ไร่) มีกำลังการผลิตติดตั้ง 1 ล้านกิโลวัตต์ และสามารถผลิตไฟฟ้าเฉลี่ย 2 พันล้านกิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี ซึ่งลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่า 1.6 ล้านตันต่อปี

อนึ่ง โรงไฟฟ้าพลังน้ำเหลี่ยงเหอโข่ว มีกำลังการผลิตติดตั้งตามการออกแบบรวม 3 ล้านกิโลวัตต์ ตั้งอยู่บนแม่น้ำหย่าหลงในแคว้นปกครองตนเองกานจือ โดยแอ่งแม่น้ำหย่าหลงเป็นหนึ่งในฐานพลังงานสะอาดของจีน

จำนวนผู้โดยสารที่ใช้บริการ ‘รถไฟจีน’ ยอดพุ่งทะลุ 70 ล้านครั้ง เร่งเพิ่มกำลังการขนส่ง รองรับผู้โดยสารในช่วงเทศกาลเรือมังกร

เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 66 สำนักข่าวซินหัว, ปักกิ่ง รายงานว่า บริษัท การรถไฟแห่งประเทศจีน จำกัด รายงานว่า ปริมาณการหมุนเวียนของผู้โดยสารรถไฟในจีนพุ่งสูงขึ้น ระหว่างมหกรรมการเดินทางช่วงหยุดเทศกาลเรือมังกรที่ผ่านมา

รายงานระบุว่า ปริมาณการเดินทางของผู้โดยสารรถไฟทั่วจีน ระยะ 5 วัน (นับระหว่างวันที่ 21-25 มิ.ย.) สูงเกือบ 70.38 ล้านครั้ง ซึ่งมากกว่ามหกรรมการเดินทางช่วงหยุดเทศกาลเรือมังกรในปี 2019 ราว 7.14 ล้านครั้ง

โดยเมื่อวันที่ 22 มิ.ย. ที่ผ่านมา ปริมาณการเดินทางของผู้โดยสารรถไฟรายวันในจีน สูงแตะ 16.09 ล้านครั้ง ซึ่งถือเป็นการเดินทางของผู้โดยสารภายในวันเดียวที่สูงเป็นประวัติการณ์ ระหว่างมหกรรมการเดินทางช่วงหยุดเทศกาลเรือมังกร

อนึ่ง หน่วยงานการรถไฟของจีนได้เพิ่มกำลังการขนส่งผู้โดยสาร เพื่อตอบสนองความต้องการเดินทางของประชาชน พร้อมกับยกระดับคุณภาพการบริการเพื่อประสบการณ์การเดินทางที่ดียิ่งขึ้นของเหล่าผู้โดยสาร

สำหรับเทศกาลเรือมังกร หรือ ‘เทศกาลตวนอู่’ ซึ่งตรงกับวันที่ 5 เดือน 5 ตามปฏิทินจันทรคติจีน และตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 22 มิ.ย. ในปีนี้
 

ผู้บริหารจีน รีบร้อน จูบดูดดื่มกับหญิงที่ไม่ใช่ภรรยา ในที่สาธารณะ สุดท้ายเลยต้องกลายเป็น จำเลยของสังคม

เพจเฟซบุ๊ก ไทยคำจีนคำ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับกรณีที่มี รองเลขาธิการของวิทยาลัยแห่งหนึ่งในนครหนานจิง แสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม จูบดูดดื่มกับหญิงที่ไม่ใช่ภรรยา ในที่สาธารณะ โดยระบุว่า ...

ทำไมใจร้อนขนาดนี้?

จนกลายเป็นเรื่องขึ้นมา กับข่าวฉาวของ "หยางจ่งสเว" 杨种学 รองเลขาธิการของวิทยาลัยแห่งหนึ่งในนครหนานจิง

ซึ่งถือว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ถูกกล้องวงจรปิดภายในลิฟท์และโถงทางเดินของอาคาร จับภาพจูบดูดดื่มกับหญิงสาว ที่สื่อคาดว่าไม่ใช่ภรรยาของตนเอง 

ก่อนที่ทั้งสองคนจะจูงมือกันเข้าห้องไป

งานนี้หลายสำนักจึงออกมาแฉพร้อมเปิดชื่อและตำแหน่งอย่างกระจ่างชัด เพื่อจี้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำการตรวจสอบ

จริง ๆ แล้วการจูบ หรือแสดงความรักต่อกันในที่สาธารณะไม่ใช่สิ่งผิด หรือไม่ได้แปลกอะไร เพราะในเรื่องนี้ สังคมเปิดกว้างกว่าเมืองไทยด้วยซ้ำไป

แต่การ "นอกใจ" ภรรยา/สามี ถือเป็นเรื่องใหญ่ โดยเฉพาะข้าราชการ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ย่อมต้องได้รับการคาดหวังจากสังคมมากเป็นพิเศษ

เนื่องด้วยเป็นสายงานที่ต้องดูแลความเป็นอยู่ของประชาชน และผลประโยชน์ของสาธารณชน

โดยชาวจีนส่วนใหญ่เชื่อว่า หากไม่สามารถซื่อสัตย์กับคนในบ้านได้ แล้วจะมาเสียสละเพื่อประเทศชาติได้อย่างไร

งานนี้ท่านรองฯ ไวไฟน่าจะงานงอกอย่างหนัก ชาวเน็ตหลายคนแอบสงสัย ไม่รู้หรือไงว่าในลิฟท์มีกล้องวงจรปิดหรือไง?

ทำไมถึงใจเร็วด่วนได้ขนาดนี้ ไม่อดใจรออีกสักหน่อย สุดท้ายคุณเลยต้องกลายเป็นจำเลยของสังคม รอโดนพิพากษาผิดถูกจากหน่วยเหนือได้เลย! 

‘เดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล’ เผย ปักกิ่งเตือน ‘บลิงเคน’ ตัวเก็งผู้นำไต้หวันคนใหม่ อาจทำ ‘ปักกิ่ง-ไทเป’ ตึงเครียดยิ่งขึ้น

เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. 66 สื่อดังของอเมริกาเผย จีนเตือนบลิงเคนระหว่างเยือนปักกิ่ง การกระทำของตัวเก็งผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีไต้หวัน อาจทำให้สถานการณ์ระหว่าง ‘ปักกิ่ง-ไทเป’ ตึงเครียดยิ่งขึ้น

หนังสือพิมพ์เดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล รายงานเมื่อวันอาทิตย์ที่ 25 มิ.ย. ที่ผ่านมา โดยอ้างแหล่งข่าววงในว่า เจ้าหน้าที่จีนเตือน ‘แอนโทนี บลิงเคน’ ระหว่างที่รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ผู้นี้เดินทางเยือนจีนเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว และได้พบกับประธานาธิบดี ‘สี จิ้นผิง’ ว่า การกระทำของรองประธานาธิบดี ‘ไล่ ชิงเต๋อ’ ของไต้หวันที่เป็นตัวเก็งจะชนะการเลือกตั้งต้นปีหน้า อาจทำให้จีน-ไต้หวันร้าวฉานกันมากขึ้น

จากรายงานของเดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล เจ้าหน้าที่จีนถามบลิงเคน ว่า อเมริกามองพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (ดีพีพี) ของไต้หวันเป็นมิตรหรือไม่ และวอชิงตันมีส่วนได้ส่วนเสียกับผลการเลือกตั้งในไทเปที่จะจัดขึ้นเดือนมกราคมปีหน้าหรือไม่?

รายงานระบุว่า บลิงเคนยืนยันว่า “อเมริกา ‘เป็นกลาง’ ในการเลือกตั้งดังกล่าว และไม่สนับสนุนบุคคลภายนอกเข้าไปก่อกวนกระบวนการเลือกตั้งของไต้หวัน”

ปักกิ่งที่ถือว่าไต้หวันเป็นดินแดนของตน กล่าวหามาตลอดว่า อเมริกาให้ท้ายนักการเมืองที่ ‘สนับสนุนการแบ่งแยกดินแดน’ ในไทเป

ขณะเดียวกัน แม้อเมริกาไม่ได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับไต้หวัน แต่นักการเมืองอเมริกันมีการนัดหมายพบปะกับเจ้าหน้าที่ไทเปบ่อยครั้ง ซึ่งปักกิ่งมองว่า การกระทำดังกล่าว รวมถึงการที่อเมริกาขายอาวุธให้ไต้หวัน เป็นการละเมิดหลักการ ‘จีนเดียว’

เดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ปักกิ่งจัดการซ้อมรบขนาดใหญ่รอบเกาะไต้หวันภายหลังการเยือนของแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ในขณะนั้น และอีกครั้งในเดือนมีนาคมปีนี้หลังจากประธานาธิบดีไช่ อิงเหวิน ของไต้หวันเดินทางไปอเมริกา และได้พบกับ ‘เควิน แมคคาร์ธี’ ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ คนปัจจุบัน

ที่ผ่านมา ไล่ ซึ่งมีคะแนนนำในผลสำรวจความคิดเห็นสำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวันปี 2024 ในอดีตเคยประกาศตนเป็น ‘คนทำงานการเมืองเน้นผลทางปฏิบัติเพื่อเอกราชของไต้หวัน’ แต่ต่อมาเขาชี้แจงว่า ไม่ได้พยายามเปลี่ยนแปลงสถานะการเมืองปัจจุบันของไต้หวันแต่อย่างใด

จากข้อมูลของโฟกัส ไต้หวัน ไล่กล่าวเมื่อเดือนมกราคมว่า เขาต้องการย้ำว่า ไต้หวันเป็นประเทศเอกราชที่มีอธิปไตยของตนเองอยู่แล้ว ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องประกาศเอกราชอีก

ทั้งนี้ บลิงเคนเดินทางเยือนจีนเมื่อวันที่ 18-19 เดือนนี้ และทั้งสองฝ่ายแสดงความเห็นแง่บวกอย่างระมัดระวังเกี่ยวกับผลการเจรจา กระนั้น ปักกิ่งประณามอย่างรุนแรงกรณีที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เรียก สี ว่า “เผด็จการ” หลังบลิงเคนออกจากปักกิ่งไม่นาน

‘เพนตากอน’ เผย ‘บอลลูนสอดแนมจีน’ ที่ถูกเครื่องบินรบยิงตก ไม่ได้เก็บข้อมูลใดๆ แค่ลอยออกนอกเส้นทางเข้าสู่น่านฟ้าสหรัฐฯ

วันที่ (30 มิ.ย. 66) สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ระบุเมื่อวันที่ 29 มิ.ย. ที่ผ่านมาว่า บอลลูนสอดแนมของจีนที่ถูกเครื่องบินรบของสหรัฐฯ ยิงตกนอกชายฝั่งรัฐเซาท์แคโรไลนา เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมานั้นไม่ได้เก็บข้อมูลข่าวกรองใดๆ ขณะลอยอยู่เหนือประเทศสหรัฐฯ
 
นายแพทริก ไรเดอร์ โฆษกกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ออกมากล่าวว่าทางสหรัฐฯ รับรู้ว่า บอลลูนลูกดังกล่าวมีขีดความสามารถในการเก็บข้อมูลข่าวกรอง แต่จากการประเมินในตอนนี้บ่งชี้ว่า บอลลูนที่ว่านี้ไม่ได้เก็บข้อมูลใดๆ ขณะบินอยู่เหนือประเทศสหรัฐฯ และความพยายามของสหรัฐฯ ในการลดการเก็บข้อมูลข่าวกรอง ส่งผลให้บอลลูนไม่สามารถเก็บข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อนใดๆ ออกไปได้
 
บอลลูนลูกดังกล่าวลอยข้ามดินแดนประเทศสหรัฐฯ ไล่ตั้งแต่รัฐอะแลสกาไปจนถึงบริเวณทิศตะวันตกเฉียงเหนือของรัฐเซาท์แคโรไลนา กินระยะเวลาตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมกราคมถึงช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ โดยบินผ่านสิ่งก่อสร้างทางทหารที่มีความละเอียดอ่อน จุดให้เกิดความกังวลว่า จีนอาจใช้บอลลูนลูกดังกล่าวในการเก็บข้อมูลข่าวกรองที่สำคัญ
 
ภายหลังการถูกยิงตก กองทัพสหรัฐฯ ได้กู้ซากของบอลลูนดังกล่าวขึ้นจากมหาสมุทรแอตแลนติก และหน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ กำลังอยู่ระหว่างวิเคราะห์เศษชิ้นส่วนของบอลลูน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ย่ำแย่ลง โดยนายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ออกมายกเลิกกำหนดการเดินทางเยือนประเทศจีนในเดือนกุมภาพันธ์ ขณะที่จีนออกมาปฏิเสธว่า บอลลูนลูกดังกล่าวไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อสอดแนม เพียงแต่ลอยออกนอกเส้นทางจนเข้าสู่น่านฟ้าสหรัฐฯ เท่านั้น
 
ทั้งนี้ นายไรเดอร์ไม่ได้ยืนยันรายงานของหนังสือพิมพ์เดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล ที่รายงานว่าบอลลูนดังกล่าวของจีน มีการใช้อุปกรณ์ที่สหรัฐฯ ผลิต แต่กล่าวว่ าในอดีตอากาศยานไร้คนขับ หรือ โดรนของจีนมีการใช้อุปกรณ์ของสหรัฐฯ ที่หาได้ทั่วไป
 

‘อาร์เจนตินา’ ใช้ ‘เงินหยวน’ จ่ายหนี้ IMF สะท้อน!! เงินดอลลาร์เริ่มเสื่อมมนต์ขลัง

(3 ก.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงาน อาร์เจนตินาเลือกใช้ ‘หยวน’ เป็นครั้งแรก ในการชำระหนี้บางส่วนแก่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เมื่อวันศุกร์ (30 มิ.ย.) กลายเป็นอีกหนึ่งชาติในหลาย ๆ ประเทศที่เพิ่มสัดส่วนของสกุลเงินจีนในเศรษฐกิจของตนเอง พร้อมกับลดพึ่งพิงดอลลาร์สหรัฐ ความเคลื่อนไหวที่พวกผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่ามันจะเร่งให้ ‘หยวน’ กลายเป็นสกุลเงินสากลเร็วยิ่งขึ้น

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวจะเป็นการแสดงผลลัพธ์ให้บรรดาเศรษฐกิจเกิดใหม่ได้เห็น ในขณะที่พวกเขาต้องเผชิญกับวิกฤตเลวร้ายจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อระดับสูงของสหรัฐฯ โดยเวลานี้มีบรรดาเศรษฐกิจเกิดใหม่หลายชาติเพิ่มเติม ที่ปักหมุดหันเข้าหาเงินหยวนและละทิ้งดอลลาร์ เพื่อผละหนีความเสี่ยงต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังคาดหมายด้วยว่ามันจะเร่งให้หยวนกลายเป็นสกุลเงินสากลมากยิ่งขึ้นและมีการใช้หยวนในตลาดระหว่างประเทศมากยิ่งขึ้น

ตามรายงานของสำนักข่าวซินหัว อาร์เจนตินาได้ชำระหนี้แก่ไอเอ็มเอฟด้วยสกุลเงินหยวน ในมูลค่าเทียบเท่ากับ 1,000 ล้านดอลลาร์ และอีก 1,700 ล้านดอลลาร์ จะจ่ายในรูปแบบ Special Drawing Rights (สิทธิถอนเงินพิเศษ) ซึ่งคือสินทรัพย์ประเภทหนึ่งที่เปรียบเสมือนเงินสกุลหนึ่ง ที่สร้างขึ้นโดยไอเอ็มเอฟ

ธนาคารกลางอาร์เจนตินาแถลงก่อนหน้านี้ ว่าจะอนุญาตให้สถาบันการเงินต่าง ๆ ใช้เงินหยวนของจีนในฐานะสกุลเงินสำหรับเงินฝากและเงินออมส่วนบุคคลหรือนิติบุคคลที่ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อกระตุ้นให้มีการใช้เงินหยวนมากยิ่งขึ้น โดยที่สถาบันการเงินทั้งหลายจะสามารถเปิดได้ทั้งสมุดเช็ค หรือบัญชีเงินฝากในรูปแบบของสกุลเงินจีน

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นตามหลังการเดินทางเยือนจีนของ เซอร์จิโอ มาสซา รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาร์เจนตินา พร้อมด้วยคณะผู้แทนคนอื่น ๆ ของรัฐบาล เมื่อช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งระหว่างนั้นได้มีการลงนามแผนความร่วมมือส่งเสริมข้อริเริ่มเข็มขัดและเส้นทาง (Belt and Road Initiative) ที่เสนอโดยจีน โดยที่ความร่วมมือด้านการเงินและประเด็นการคลังคือแก่นกลางของแผนดังกล่าว

หลิว หยิง นักวิจัยจากสถาบันศึกษาการเงินฉงหยาง แห่งมหาวิทยาลัยเหรินหมินในจีน ให้สัมภาษณ์กับโกลบอลไทม์สในวันอาทิตย์ (2 ก.ค.) ว่า "อาร์เจนตินาเลือกใช้หยวนมากขึ้นในการต่อสู้กับวิกฤตหนี้ และหมดหวังต่อสถานะของดอลลาร์สหรัฐในประเทศ ซึ่งมันจะแสดงผลลัพธ์ให้บรรดาชาติเศรษฐกิจเกิดใหม่อื่น ๆ ที่เผชิญกับปัญหาคล้ายกันได้เห็น"

บรรดาชาติเศรษฐกิจเกิดใหม่และเศรษฐกิจกำลังพัฒนาทั้งหลายกำลังประสบปัญหาต่าง ๆ ในนั้นรวมถึงการเสื่อมค่าของสกุลเงิน กระแสทุนและวิกฤตหนี้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมีต้นตอจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ

"การดีดตัวขึ้นของอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ คือปัจจัยที่ก่อความกังวลอย่างยิ่ง เพราะว่ามันเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของปฏิกิริยาคลื่นความช็อก ซึ่งสามารถก่อผลกระทบที่อันตรายโดยเฉพาะกับระบบการเงินและเศรษฐกิจในชาติเศรษฐกิจเกิดใหม่และกำลังพัฒนา" ธนาคารโลกระบุในเอกสารที่เผยแพร่เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา

เมื่อเปรียบเทียบกัน อัตราแลกเปลี่ยนที่ค่อนข้างเสถียรของหยวน เป็นปัจจัยให้สกุลเงินจีนเป็นที่ต้องการ ในแง่ของคุณสมบัติหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในฐานะสกุลเงินสากล "การตัดสินใจของอาร์เจนตินาในการใช้เงินหยวน คืออีกก้าวย่างของการลดพึ่งดอลลาร์"

ขณะที่มากมายหลายชาติกำลังหาทางเลือกอื่น ๆ นอกเหนือจากสกุลเงินสหรัฐฯ เพื่อลดพึ่งพิงดอลลาร์ การก้าวมาเป็นสกุลเงินสากลของหยวนได้มีความก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อย ๆ นับตั้งแต่ต้นปี โดยล่าสุดเมื่อเดือนที่แล้ว ปากีสถานได้จ่ายเงินด้วยสกุลเงินหยวนเป็นครั้งแรกในการชำระหนี้ในข้อตกลงนำเข้าน้ำมันกับรัสเซีย

ในรัสเซีย หยวนกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ กว่า 70% ของการทำธุรกรรมทางการค้าระหว่างรัสเซียกับจีน เป็นการค้าขายด้วยสกุลเงินรูเบิลและหยวน และมีมากมายหลายประเทศกำลังเรียกร้องให้ดำเนินการทำธุรกรรมทางการค้าด้วยสกุลเงินท้องถิ่นของตนเอง

กฎหมายต้านสายลับฉบับใหม่ของจีนมีผล โทษถึงประหาร ด้าน สหรัฐฯ โวย!! จ้องเล่นงาน 'บริษัท-นักข่าว' มะกัน

ร่างกฎหมายต่อต้านหน่วยสืบราชการลับข้ามชาติฉบับใหม่ของจีน มีผลบังคับใช้แล้วในวันที่ 1 กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมา ที่จะเพิ่มอำนาจให้แก่รัฐบาลปักกิ่งในการตรวจสอบ จับกุมและลงโทษกลุ่มบุคคลที่เข้าข่ายจารกรรมสอดแนมข้อมูลลับ ที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติได้มากขึ้น 

การต่อต้านการจารกรรม สอดแนม ครอบคลุมถึงการโจมตีทางไซเบอร์ ที่มีเป้าหมายไปยังหน่วยงานของรัฐ หรือ โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศ โดยกฎหมายใหม่ ระบุถึง กลุ่มบุคคลที่เข้าข่ายความผิดฐานเป็นสายลับ นอกจากจะหมายถึงตัวบุคคล หรือองค์กรจารกรรมเองแล้ว ยังรวมถึง องค์กรตัวแทนที่ได้รับ เผยแพร่ หรือครอบครอง เอกสาร ข้อมูล สิ่งของ และรายการที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติ โดยไม่ได้รับอนุญาตอาจถือเป็นความผิดฐานสอดแนมด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ กฎหมายฉบับใหม่ สร้างความกังวลแก่องค์กรต่างชาติในจีน จากเนื้อหาที่ระบุว่า พลเมืองจีนทุกคนมีหน้าที่ต้องแจ้งเหตุเมื่อพบเห็นการกระทำที่เข้าข่ายการสอดแนม จารกรรมข้อมูลลับแก่เจ้าหน้าที่ และ ทางการจีนมีสิทธิ์ที่จะขอตรวจค้นทรัพย์สินของผู้ต้องสงสัยได้ทันที ซึ่งกฎหมายจีนระบุโทษของการสอดแนมข้อมูลลับด้านความมั่นคงไว้สูงสุดถึงประหารชีวิต 

หน่วยข่าวกรองและความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ (NCSC) เชื่อว่า กฎหมายฉบับใหม่นี้ ทำให้รัฐบาลปักกิ่งขยายขอบเขตอำนาจรัฐในการเข้าถึง และควบคุมข้อมูลของบริษัทของสหรัฐฯ ในจีนได้ง่ายขึ้น และติงว่า คำจำกัดความของ "ข้อมูลลับด้านความมั่นคง" ในกฎหมายของจีนมีความกำกวม ไม่ชัดเจน ซึ่งข้อมูลที่ทางการจีนมองว่าเป็นความลับ อาจจะเป็นเพียงเอกสารภายในบริษัทที่เป็นส่วนหนึ่งของการทำธุรกิจทั่วไปก็ได้ ที่อาจทำให้บริษัทของสหรัฐถูกลงโทษด้วยข้อหาเป็นสายลับได้ในอนาคต 

แต่ในกฎหมายฉบับเดิมของจีน ก็ระบุโทษในคดีการจารกรรมไว้สูงสุดถึงประหารชีวิตอยู่แล้ว ซึ่งเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา มีชายวัย 78 ปี สัญชาติอเมริกันถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตข้อหาเป็นสายลับมาแล้ว  

นอกจากนี้ ยังมีกรณีพนักงานชาวญี่ปุ่นของบริษัทยา Astellas Pharma Inc. ถูกทางการจีนกักตัวตั้งแต่เดือนมีนาคม ด้วยข้อหาเป็นสายลับ จนถึงตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลรายละเอียดของคดีจากทางการจีน ทำให้ เท็ตสึโระ ฮอนมะ ประธานสภาหอการค้าและอุตสาหกรรมญี่ปุ่นในจีน แสดงความวิตกกังวลถึง ความไม่แน่นอน, ความยุติธรรม และ ความโปร่งใสในตลาดจีน ที่จะส่งผลต่อการลงทุนของบริษัทญี่ปุ่นได้ 

สอดคล้องกับความเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่มองว่า กฎหมายต่อต้านการจารกรรมใหม่ จะส่งผลต่อบริษัทต่างชาติที่อาจถูกตั้งข้อสงสัยว่าเกี่ยวพันกับองค์กรสายลับ หรือแม้แต่ชาวจีนเอง ที่ต้องติดต่อ ร่วมงานกับบริษัทข้ามชาติ หรือชาวต่างชาติ 

ด้าน หลิว เผิงหยู่ โฆษกประจำสถานทูตจีนในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ตอบโต้ว่า รัฐบาลจีนมีสิทธิ์ที่จะปกป้องตนเองจากภัยคุกคามความมั่นคงของประเทศผ่านกฎหมายของตนเอง แต่ทั้งนี้ จีนยังคงส่งเสริมการเปิดตลาดในระดับสูง และจัดเตรียมสภาพแวดล้อมทางธุรกิจให้สอดคล้องกับหลักกฎหมาย และความเป็นสากลสำหรับบริษัทจากทุกประเทศทั่วโลก รวมถึงสหรัฐอเมริกาด้วย 

อีกประเด็นที่มีการกล่าวถึงไม่น้อยว่า กฎหมายใหม่นี้จะส่งผลต่อการทำงานของสื่อมวลชนต่างชาติในจีนด้วยหรือไม่ และอาจเกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกับ นายอีวาน เกรชโควิช นักข่าวสัญชาติอเมริกันจาก Wall Street Journal ที่ถูกจับตัวในรัสเซียด้วยข้อหาเป็นสายลับเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา และเป็นนักข่าวอเมริกันคนแรกนับตั้งแต่หลังสงครามเย็นที่ถูกจับกุมโดยรัสเซียด้วยข้อหานี้ 

ในประเด็นนี้ เหมา หนิง โฆษกหญิงประจำกระทรวงการต่างประเทศจีนได้ออกมาสรุปสั้นๆ ว่า "หากทุกคนปฏิบัติตามกฎหมายจีนแล้ว ก็ไม่มีอะไรต้องกลัว" 

‘อุตสาหกรรม NEV’ จีนพุ่ง!! ยอดผลิตแตะ 20 ล้านคัน!! เร่งเดินหน้าพัฒนาคุณภาพ-ขยายฐานเจาะทั่วโลก

เมื่อวันที่ 3 ก.ค. 66 สำนักข่าวซินหัว, กว่างโจว รายงานว่า ภาคธุรกิจยานยนต์พลังงานใหม่ (NEV) ของจีนได้ปักหมุดหมายความสำเร็จครั้งสำคัญ หลังจากมีการส่งยานยนต์พลังงานใหม่ออกจากสายการผลิตเป็นคันที่ 20 ล้าน ณ นครกว่างโจว เมืองเอกของมณฑลกว่างตงทางตอนใต้ของประเทศ เมื่อวันจันทร์ที่ 3 ก.ค. ที่ผ่านมา

‘ฟู่ปิ่งเฟิง’ รองประธานและเลขานุการสมาคมผู้ผลิตยานยนต์แห่งประเทศจีน เผยว่า ยานยนต์พลังงานใหม่คันที่ 20 ล้าน ผลิตโดยบริษัท จีเอซี ไอออน นิว เอนเนอร์จี ออโตโมบิล จำกัด (GAC Aion New Energy Automobile) บ่งชี้ว่า ภาคธุรกิจยานยนต์พลังงานใหม่ของจีนเข้าสู่ระยะใหม่ของการพัฒนาที่มีขนาดใหญ่ ครอบคลุมทั่วโลก และคุณภาพสูง รวมถึงเป็นส่วนสำคัญของระบบอุตสาหกรรมสมัยใหม่ของจีน

กระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศของจีน เป็นผู้ประกาศการผลิตยานยนต์พลังงานใหม่ของจีนครบ 20 ล้านคัน ณ พิธีเฉลิมฉลองสถิติใหม่ในนครกว่างโจว ด้านจีเอซี ไอออน (GAC Aion) เป็นบริษัทยานยนต์พลังงานใหม่ในเครือบริษัท กว่างโจว ออโตโมบิล กรุ๊ป จำกัด (GAC Group) ในนครกว่างโจว

‘หวัง อี้’ แนะ ‘ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้’ รู้จักรากเหง้าตัวเอง

หวังอี้ ผู้รับผิดชอบนโยบายต่างประเทศของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เรียกร้องให้เกิดความสามัคคีกันระหว่าง จีน, ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ โดยระบุว่า “ชาวตะวันตกไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างชาวจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ได้ และไม่ว่าเราจะย้อมผมทองแค่ไหน ทำจมูกโด่งแค่ไหน เราก็ไม่สามารถเป็นชาวตะวันตกได้ เราควรรู้ว่ารากเหง้าเราอยู่ที่ไหน”

‘จีน’ ไม่แคร์เสียงวิพากษ์วิจารณ์ ‘หวัง อี้’  หลังเตือนเกาหลีใต้-ญี่ปุ่น ‘อย่าลืมรากเหง้า’ 

โฆษกรัฐบาลจีนออกมาปฏิเสธกระแสวิพากษ์วิจารณ์กรณี หวัง อี้ นักการทูตระดับสูงออกมากล่าวเตือนเกาหลีใต้และญี่ปุ่นว่าอย่าลืมรากเหง้าความเป็นเอเชีย แถมยังบอกด้วยว่าชาวตะวันตกนั้นแยกแยะไม่ออกระหว่างคนจีน คนเกาหลีใต้ และคนญี่ปุ่น

“ชาวอเมริกันมองนักท่องเที่ยวจากจีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่นว่าเป็นคนเอเชียเหมือนกันหมด พวกเขาแยกแยะความแตกต่างไม่ได้ ยุโรปก็เหมือนกัน” หวัง อี้ สมาชิกกรมการเมืองและผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกิจการต่างประเทศส่วนกลางของพรรคคอมมิวนิสต์จีน กล่าวบนเวทีเสวนาซึ่งจัดขึ้นโดยสำนักงานเลขาธิการความร่วมมือไตรภาคี (Trilateral Cooperation Secretariat) ซึ่งเป็นองค์กรความร่วมมือระหว่างจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ที่เมืองชิงเต่าของจีน เมื่อวันจันทร์ (3 ก.ค.)

“ต่อให้คุณย้อมผมให้เป็นสีทอง ทำจมูกให้โด่ง คุณก็ไม่มีทางกลายเป็นคนยุโรปหรือคนอเมริกันไปได้ คุณไม่มีทางกลายเป็นชาวตะวันตกได้หรอก”

“คนเราควรรู้จักรากเหง้าของตัวเอง... จีน ญี่ปุ่น เกาหลี หากเราสามารถจับมือและร่วมมือกันได้ ไม่เพียงจะเป็นประโยชน์ต่อเราทั้ง 3 ชาติเท่านั้น แต่ยังเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับความปรารถนาของประชาชน และเราสามารถที่จะเจริญรุ่งเรืองไปด้วยกัน ฟื้นฟูเอเชียตะวันออก และทำให้ทั่วทั้งโลกร่ำรวยขึ้น”

คำพูดของ หวัง อี้ เรียกเสียงวิจารณ์อย่างดุเดือดทันที โดยเฉพาะจากพวกนักวิชาการออนไลน์

หวัง เหวินปิน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ได้ตอบคำถามสื่อเกี่ยวกับเสียงวิจารณ์เหล่านี้ในการแถลงข่าวเมื่อวันพุธ (5 ก.ค.) โดยระบุว่า “เราไม่เห็นด้วยเลย (กับพวกที่ตำหนิ หวัง อี้)”

ระหว่างการประชุม หวัง อี้ ยังเน้นย้ำเรื่องความร่วมมือระหว่างทั้ง 3 ชาติ และบอกว่า “มหาอำนาจภายนอกบางประเทศจงใจกระพือเรื่องค่านิยมที่แตกต่าง จัดตั้งกลุ่มย่อยเป็นการเฉพาะขึ้นมา และพยายามเอาการเผชิญหน้าและการแบ่งแยกมาแทนที่ความร่วมมือและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว”

“ภูมิภาคที่มีความเป็นปึกแผ่นและพึ่งพาตนเองได้เท่านั้นจึงจะสามารถขจัดการแทรกแซงจากภายนอก และประสบความสำเร็จในการพัฒนาที่ยั่งยืน”

บอนนี เกลเซอร์ ผู้อำนวยการกองทุนจอร์จมาร์แชลล์แห่งสหรัฐฯ (George Marshall Fund of the United States) ประจำภูมิภาคเอเชีย ได้ทวีตข้อความตอบโต้ หวัง ว่า “สารนี้จะไม่ถูกตอบรับด้วยดีจากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ หวัง อี้ เชื่อจริงๆ หรือว่าผลประโยชน์ของชาติมีความสำคัญน้อยกว่ารูปลักษณ์ภายนอก?”

“หวัง อี้ บอกกับชาวญี่ปุ่นและชาวเกาหลีว่า ‘พวกเขาไม่สามารถเป็นอเมริกันได้’ แต่ในความเป็นจริงมีคนญี่ปุ่นและคนเกาหลีมากมายที่แปลงสัญชาติเป็นอเมริกันทุกวัน” เจฟฟ์ เอ็ม. สมิธ ผู้อำนวยการศูนย์เอเชียศึกษาของสถาบันคลังสมอง The Heritage Foundation ระบุ

“พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมอเมริกา และสิ่งที่พวกเขาเป็นไม่ได้ก็คือคนจีน”

นักวิจารณ์บางคนยังชี้ว่า คำพูดของ หวัง ฟังดูคล้ายๆ กับคำขวัญ “วงไพบูลย์ร่วมแห่งมหาเอเชียบูรพา” (Greater East Asia Co-Prosperity Sphere) ซึ่งเป็นความพยายามของญี่ปุ่นในช่วงศตวรรษที่ 20 ที่จะรวบรวมและสร้างแนวป้องกันแห่งชาติเอเชียเพื่อหลุดพ้นจากอิทธิพลของชาติตะวันตก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top