Thursday, 19 June 2025
WORLD

‘CATL’ พัฒนาแบตเตอรี่ EV ขนาด 500 Wh/kg ‘น้ำหนักเบา-วิ่งไกลขึ้น’ เริ่มทดสอบในเครื่องบินแล้ว

(27 มิ.ย. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘Business Tomorrow’ โพสต์ข้อความถึงกรณี ‘CATL’ กำลังซุ่มพัฒนาแบตเตอรี่ EV ที่มีความหนาแน่น 500 Wh/kg พร้อมเริ่มการทดสอบแล้วบนเครื่องบิน โดยระบุว่า…

Dr. Robin Zeng ผู้ก่อตั้ง และประธานของบริษัท Contemporary Amperex Technology (CATL) ผู้พัฒนาและผลิตแบตเตอรี่ Lithium-ion สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าออกมาเปิดเผยว่าบริษัทกำลังสนใจพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ไปอีกขั้น โดยจะพัฒนาแบตเตอรี่ EV ที่มีความหนาแน่น 500 Wh/kg 

>> ความหนาแน่นแบตเตอรี่เยอะดีอย่างไร ?
ปัจจุบันยิ่งความหนาแน่นของพลังงานของแบตเตอรี่สูงขึ้นเท่าใด พลังงานก็จะยิ่งสามารถจัดเก็บต่อหน่วยปริมาตรหรือน้ำหนักได้มากเท่านั้น

นั่นหมายความว่า CATL จะสามารถทำแบตเตอรี่ที่ ‘เบา’ กว่าเดิม แต่สามารถวิ่งได้ ‘ระยะทาง’ ที่ไกลมากยิ่งขึ้น หรือ Shenxing Battery ที่จะสามารถวิ่งได้ไกล 1,000 กิโลเมตรอาจกำลังเป็นจริงเข้ามาเรื่อย ๆ 

อย่างไรก็ตามไม่เพียงแต่การพัฒนาแบตเตอรี่เท่านั้น แต่การพัฒนาเครื่องชาร์จแบตเตอรี่อาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ทำให้ CATL เหนือยิ่งกว่าบริษัทผลิตแบตเตอรี่อื่น ๆ ทั่วโลก

>> CATL ทดสอบแบตเตอรี่กับเครื่องบิน
ทั้งนี้แบตเตอรี่ความหนาแน่นสูงของ CATL กำลังถูกทดสอบบนเครื่องบินขนาด 4 ตัน โดยสามารถทำให้เครื่องบินบินขึ้นสูงได้อย่างน่าประหลาดใจ และในอนาคต CATL ตั้งเป้าหมายที่จะขยับการทดสอบไปสู่เครื่องบินขนาด 8.8 ตัน หรือเทียบเท่ากับ 1 ใน 5 ของน้ำหนักเครื่องบิน Boeing เฉลี่ย โดยตั้งเป้าเริ่มทดสอบภายในปี 2570

ในเร็ว ๆ นี้นักวิเคราะห์คาดว่าจะเห็นแบตเตอรี่ของ CATL ถูกใช้บนเครื่องบินขนาด 4 ที่นั่ง ซึ่งสามารถบินได้ไกลถึง 2,000-3,000 กิโลเมตร แต่ปัจจุบันยังเรียกได้ว่าห่างไกลจากเครื่องบินเชิงพาณิชย์ยิ่งนัก

อย่างไรก็ตาม CATL กำลังผลิตแบตเตอรี่ Shenxing เริ่มผลิตช่วงสิ้นปีนี้และจะส่งมอบให้กับผู้ผลิตรถยนต์ต่าง ๆ ในปี 2024 เตรียมใช้งานกับรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์ NETA, CHERY, BAIC, BJEV, JIDU และ VOYAH ซึ่งอาจเป็นแบตเตอรี่ที่กำลังทดสอบอยู่นี้ก็เป็นได้

'กินเนสบุ๊ก' บันทึก!! 'The Golden Boy’ แฮมเบอร์เกอร์ราคาแพงที่สุดในโลก ไม่เน้นขายความใหญ่ แต่เน้นใส่ใจในรสชาติ เผย!! ชิ้นแรกขายได้ ทำบุญหมด

(26 มิ.ย. 67) ‘The Golden Boy’ ได้รับการรับรองจากกินเนสส์ฯ ให้เป็น ‘แฮมเบอร์เกอร์ราคาแพงที่สุดในโลก’ ราคาสูงถึงชิ้นละ 5,000 ยูโร

ถ้าพูดคำว่า ‘The Golden Boy’ คนไทยอาจนึกถึงโบราณวัตถุที่เพิ่งกลับคืนสู่แดนมาตุภูมิเมื่อเร็ว ๆ นี้ หรือบางคนอาจแปลว่ากุมารทอง แต่ที่เนเธอร์แลนด์ นี่คือชื่อของเมนูแฮมเบอร์เกอร์ที่เพิ่งได้รับการรับรองจากกินเนสส์เวิลด์เรคคอร์ด (Guinness World Records) ว่าเป็น ‘แฮมเบอร์เกอร์ราคาแพงที่สุดในโลก’

ถามว่าแพงขนาดไหน ขอบอกเลยว่าไม่ใช่เล่น ๆ เพราะแฮมเบอร์เกอร์ The Golden Boy ถูกตั้งราคาไว้ชิ้นละที่ 5,000 ยูโร หรือราว 196,000 บาทเลยทีเดียว

แฮมเบอร์เกอร์ที่แพงที่สุดในโลกนี้อยู่ในเมนูของร้าน ‘The Daltons’ ในหมู่บ้านวูร์ธายเซน (Voorthuizen) เมืองเฮลเดอร์ลันด์ (Gelderland) ประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยเชฟ ร็อบเบิร์ต ยาน เดอ วีน

ราคาที่สูงเกิดจากส่วนผสมคุณภาพสูงที่ร็อบเบิร์ตนำมาใช้ เขาเกิดแนวคิดนี้ขึ้นมาในช่วงที่เกิดการระบาดของไวรัสโควิด-19 และคืนหนึ่งขณะกำลังฝึกอบรมผู้จัดการคนใหม่ เขาบังเอิญไปเจอโพสต์บนเฟซบุ๊กเกี่ยวกับแฮมเบอร์เกอร์ที่แพงที่สุด

ร็อบเบิร์ตมองว่า แฮมเบอร์เกอร์ที่แพงที่สุดตอนนั้นเป็นเพราะขนาดที่ใหญ่เกินไป เขาจึงตัดสินใจท้าทายตัวเอง ด้วยการคิดค้นเบอร์เกอร์ขนาดมาตรฐานที่สามารถสร้างสถิติโลกได้

ร็อบเบิร์ตสร้างสรรค์สูตรตั้งแต่เริ่มต้น โดยตั้งใจที่จะพัฒนาเบอร์เกอร์ที่ไม่เพียงแต่มีราคาแพง แต่ยังอุดมไปด้วยรสชาติ

แฮมเบอร์เกอร์ The Golden Boy ใช้ขนมปังไวน์ที่ทำจากแชมเปญ ดอม เปริญง (Dom Perignon) และปิ้งเล็กน้อยแต่ยังคงความนุ่มอยู่ด้านใน และปิดด้วยทองคำเปลว ส่วนตัวเบอร์เกอร์ทำจากเนื้อวากิวชุ่มฉ่ำ เสริมด้วยปูยักษ์และคาเวียร์ นอกจากนี้ยังมีหัวหอมที่ชุบแชมเปญด้วย

ผู้ที่เคยชิมบอกว่า รสชาติของมันออกมาหวาน เปรี้ยว เค็ม ขม และกลมกล่อมอูมามิ

ร็อบเบิร์ตกล่าวถึงการสร้างเบอร์เกอร์ The Golden Boy ว่า “มีความท้าทายอยู่บ้าง ผมไม่ได้โกหกเกี่ยวกับเรื่องนั้น ความท้าทายสำคัญอย่างแรกคือ เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเบอร์เกอร์ชิ้นนี้จะมีรสชาติสุดยอด”

ร็อบเบิร์ตเสริมว่า “ผมหมายถึงว่า มันง่ายมากที่จะนำส่วนผสมราคาแพง ๆ 2-3 อย่างมาใส่ในเบอร์เกอร์ แต่สำหรับผม การที่เบอร์เกอร์มีรสชาติอร่อยนั้นสำคัญมากเช่นกัน ผมอยากจะเห็นว่าเราจะไปได้ไกลแค่ไหน เราจะทุ่มลงไปได้แค่ไหน และยังคงต้องแน่ใจว่ารสชาติทั้งห้านั้นสอดคล้องกันอย่างสมบูรณ์แบบ”

ร็อบเบิร์ต ยังบอกอีกว่า “ความท้าทายใหญ่ประการที่สองคือ การจัดหาวัตถุดิบ ตัวอย่างเช่น ส่วนผสมบางอย่างในเบอร์เกอร์นี้ไม่มีขายในเนเธอร์แลนด์ แต่ผมได้รับความช่วยเหลืออย่างดีจากซัพพลายเออร์”

ร็อบเบิร์ตกล่าวว่า เพื่อน ครอบครัว และทีมงานของเขาต่างร่วมมือกันเพื่อพยายามทำเบอร์เกอร์นี้ และกระแสตอบรับของสาธารณชนต่อการเปิดตัวเบอร์เกอร์ที่แพงที่สุดในโลกก็ออกมาดี

เขายังใช้เบอร์เกอร์นี้เพื่อปลุกจิตสำนึกเรื่องความยากจนในเนเธอร์แลนด์อีกด้วย โดยเงินที่ได้จากการขาย The Golden Boy ชิ้นแรกเขานำไปบริจาคให้ธนาคารอาหารในท้องถิ่นทั้งหมด เงินดังกล่าวถูกใช้เพื่อจัดทำแพ็กเกจอาหาร 1,000 ห่อสำหรับครอบครัวหรือผู้ยากไร้ที่ต้องการความช่วยเหลือ

รู้จัก 'จูเลียน อาสซานจ์' หมาเฝ้าโลก แห่งองค์กร WikiLeaks  แวะเติมน้ำมันดอนเมือง ก่อนมุ่งหน้าไปขึ้นศาลที่สหรัฐฯ

(26 มิ.ย.67) จากเฟซบุ๊ก วินทร์ เลียววาริณ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ และนักเขียนเจ้าของรางวัลซีไรต์ ได้โพสต์ข้อความเล่าถึง ‘จูเลียน อาสซานจ์’ หลังเกิดข่าวใหญ่ทั่วโลก ผ่านเพจเฟซบุ๊กของตัวเอง โดยมีเนื้อความว่า…

เป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก แต่ดูเหมือนในบ้านเราหลายคนยังไม่รู้ว่า จูเลียน อาสซานจ์ คือใคร ทำอะไร เล่าย่อ ๆ ให้ฟังก็แล้วกันว่า เกิดอะไรขึ้น

หน้าที่ของนักข่าวคือคุ้ยหาความจริง แล้วเผยแพร่ เราจึงเรียกนักข่าวว่าหมาเฝ้าบ้าน แต่เราอาจเรียก จูเลียน อาสซานจ์ ว่าหมาเฝ้าโลก เพราะเขาและองค์กร WikiLeaks คุ้ยข่าวทั่วโลก พวกที่ทำงานคุ้ยข่าวแบบนี้เรียกว่า The Fifth Estate

จูเลียน อาสซานจ์ (Julian Assange) เป็นแฮกเกอร์ชาวออสเตรเลีย หนึ่งในผู้ก่อตั้ง WikiLeaks ในปี 2006 เขาเป็นมนุษย์ที่อยู่ในพื้นที่สีเทา เคยเป็นแฮกเกอร์ที่ต้องคดีมากมาย โทษ 290 ปี แต่ในข้อเขียนนี้จะเล่าเฉพาะด้านของคดีความระหว่างอาสซานจ์กับสหรัฐฯ ที่ยืดเยื้อมาสิบกว่าปี

WikiLeaks คือเว็บที่ตั้งใจปล่อยข่าวรั่ว (leaks) ออกไปสู่สาธารณะ ทั้งหมดเป็นข้อมูลลับขององค์กรประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะอาชญากรรมสงครามที่ทหารสหรัฐฯ ก่อในประเทศอื่น

ข้อมูลจำนวนมากของสหรัฐฯ มาจากเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ปล่อยออกมาให้ คือ Chelsea Manning ซึ่งติดคุกไปเรียบร้อยแล้ว

ผลงานนี้ทำให้อาสซานจ์ได้รับรางวัลด้านสื่อสารมวลชนหลายสำนักไป เพราะทำหน้าที่หมาเฝ้าโลก แต่สหรัฐฯ ไม่ปลื้ม ต้องการลากหมาตัวนี้ไปเข้าคุก

หากจับตัวได้ มีหวังถูกขังตายในคุกแน่นอน เพราะสหรัฐฯ ตั้งข้อหาจารกรรมยาวเหยียด

แต่ประเด็นคือ อาสซานจ์ไม่ได้ทำผิดกฎหมายสหรัฐฯ เขาเผยแพร่ข้อมูลในประเทศอังกฤษ ขณะที่ Chelsea Manning ทำผิดในสหรัฐฯ

อาสซานจ์ไปหลบในสถานทูตเอกวาดอร์อยู่หลายปี ไม่สามารถออกนอกประตูสถานทูตได้ ก็เท่ากับอยู่ในคุกนั่นเอง

ต่อมาเขาก็ถูกอังกฤษลากตัวไปขัง สหรัฐฯ ก็ขอให้อังกฤษส่งตัวไปขึ้นศาลสหรัฐฯ คดีลากยาวคาราคาซัง

ในสายตาของคนทำข่าวทั่วโลก อาสซานจ์เป็นวีรบุรุษ เพราะเขาทำหน้าที่ของนักข่าวเต็มร้อย

นักข่าวในโลกตะวันตกมีหน้าที่คุ้ยข่าวเสมอ ที่โดดเด่น เช่น กรณีวอชิงตันโพสต์เผยเรื่องวอเตอร์เกต จนประธานาธิบดีนิกสันต้องลาออก หรือกรณีเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ Daniel Ellsberg แฉความเลวร้ายของสหรัฐฯ ในสงครามเวียดนาม ในเอกสารลับที่เรียกว่า Pentagon Papers เขาถูกฟ้องข้อหาบ่อนทำลายชาติ แต่ศาลยกฟ้อง (เรื่องนี้เป็นหนัง The Post โดยสปีลเบิร์ก)

แล้วทำไมสหรัฐฯ ต้องการจัดการอาสซานจ์แบบเล่นไม่เลิก?

มีการวิเคราะห์ว่า นี่เป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู ส่งสัญญาณให้นักข่าวทั่วโลกรู้ว่า ถ้าเล่นสหรัฐฯเรื่องนี้ จะโดนดีแน่

คดีนี้สามารถจบได้ในไม่กี่ปี แต่สหรัฐฯ ตั้งใจลากยาว จนเมื่อปีก่อน นายกฯ ออสเตรเลียบอกไบเดนว่า "Enough is enough." พอทีเถอะ พวกคุณเล่นเขานานไปแล้ว

สหรัฐฯ อยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ถ้าไม่เล่นงานอาสซานจ์ ก็เสียหน้า ถ้าเล่นงานไม่สำเร็จก็เสียหน้า จนใครคนหนึ่งเสนอความคิดอันปราดเปรื่องว่า ให้ปล่อยตัวอาสซานจ์ แลกกับการที่เขาเซ็นยอมรับความผิดสักกระทง ซึ่งมีบทลงโทษห้าปี บังเอิญว่าเท่ากับเวลาที่อาสซานจ์ติดคุกอังกฤษพอดี เรียกว่าจบสวย

อาสซานจ์ในสภาพร่างกายเสื่อมโทรม หลังจากอยู่ในสภาพนรกมาสิบกว่าปี ก็ยอมเซ็น จะได้ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ ไม่งั้นก็คงตายเร็วแน่

ในคุกอังกฤษ The Fifth Estate ถูกขังเดี่ยวเข้มงวดกว่าอาชญากร มีเวลาเบรกหนึ่งชั่วโมงต่อวัน สภาพของเขาทรุดโทรมมาก

สำหรับสหรัฐฯ จบแบบนี้ก็ถือว่าไม่เสียหน้า อาจประกาศได้ด้วยซ้ำว่าชนะ เพราะอาสซานจ์สารภาพและติดคุก (ในอังกฤษ)

เหตุการณ์นี้แปลว่าอะไร? มันแปลว่าต่อไปนี้ใครจะเผยข้อมูลสหรัฐฯ ก็ต้องคิดให้ดี เพราะอาจไม่คุ้ม หมาเฝ้าบ้านมีโอกาสถูกส่งข้ามแดนไปดำเนินคดี

หากสหรัฐฯ สามารถทำให้อาสซานจ์ต้องยอมสารภาพว่าทำผิด นักข่าวที่เหลือในโลกจะมีอะไรเหลือหรือ

เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน เคยกล่าวว่า "เมื่อการแฉอาชญากรรมถูกจัดเป็นการก่ออาชญากรรม คุณก็ถูกปกครองโดยอาชญากร"

แต่โลกเราก็ถูกปกครองด้วยอาชญากรเสมอมา

ป.ล. หลายปีก่อนมีหนังเรื่อง The Fifth Estate อาสซานจ์รับบทโดย Benedict Cumberbatch

'อิหร่าน' นั่งเจ้าภาพการประชุมระดับรัฐมนตรี กรอบความร่วมมือเอเชีย ACD ครั้งที่ 19 ตอกย้ำเวทีแห่งหลักประกันความเป็นมิตรที่ดี พร้อมเกื้อหนุนทุกมิติที่เป็นประโยชน์

ความร่วมมือเอเชีย (Asia Cooperation Dialogue – ACD) เป็นความคิดริเริ่มของไทย และได้ถูกยกขึ้นเป็นครั้งแรกในการประชุมระหว่างประเทศของพรรคการเมืองเอเชีย ครั้งที่ 1 ณ กรุงมะนิลา เมื่อวันที่ 17 -20 กันยายน 2000 โดยประเทศไทยได้เสนอแนวคิดว่า เอเชียควรมีเวทีเป็นของตนเองเพื่อหารือเกี่ยวกับความร่วมมือในระดับทวีปของเอเชีย ต่อมาไทยได้เสนอแนวคิดเรื่อง ACD อย่างเป็นทางการในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 34 ที่กรุงฮานอย ระหว่างวันที่ 23-24 กรกฎาคม 2001 และการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (Retreat) ที่ภูเก็ต ระหว่างวันที่ 20-21 กุมภาพันธ์ 2002 ทำให้ ACD เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางมากขึ้น และเกิดขึ้นในปีนั้นเอง 

ปัจจุบัน ACD มีสมาชิก 35 ประเทศ คิดเป็น 56% ของประชากรโลก และ 35% ของ GDP โลก ประเทศเหล่านี้มุ่งเป้าไปที่การพูดคุยและการเป็นหุ้นส่วนพัฒนาความสัมพันธ์ในด้านต่างๆ เช่น การขนส่งและการสื่อสาร วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม การศึกษา และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ความมั่นคงด้านอาหาร พลังงาน และน้ำ วัฒนธรรมและการท่องเที่ยว และครอบคลุมและยั่งยืนโดย ACD เป็นเวทีหารือระดับนโยบายและความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อส่งเสริมความเข้าใจ ความไว้เนื้อเชื่อใจ และส่งเสริมผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างประเทศต่าง ๆ ในเอเชีย รวมถึงหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาความท้าทายของโลก

วันที่ 24 มิถุนายนที่ผ่านมา มาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้เข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือเอเชีย (Asia Cooperation Dialogue: ACD) ครั้งที่ 19 ณ กรุงเตหะราน อิหร่าน ซึ่งที่ประชุมฯ รับรองการเสนอตัวเป็นประธาน ACD วาระปี 2568 ของไทย และรับรองเอกสารสำคัญ 3 ฉบับ ได้แก่ 1) ปฏิญญาเตหะราน (Tehran Declaration) 2) กฎระเบียบสำหรับกลไกการดำเนินงานภายใต้กรอบความร่วมมือเอเชีย (Rules of Procedure) และ 3) แนวทางหลักในการดำเนินงานของสำนักเลขาธิการกรอบความร่วมมือเอเชีย (Guiding Principles) ในโอกาสดังกล่าว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทยได้กล่าวถ้อยแถลงโดย (1) ย้ำถึงบทบาทสำคัญของ ACD ในการกำหนดอนาคตของภูมิภาคเอเชีย และความสำคัญของความร่วมมือกันของประเทศสมาชิกเพื่อสร้างภูมิภาคเอเชียที่ครอบคลุมและยั่งยืน (2) แสดงเจตจำนงของไทยในการขับเคลื่อน ACD ผ่านการเสนอตัวเป็นประธาน ACD วาระปี 2025 (3) เสนอแนวทางการส่งเสริมพลวัตให้แก่ ACD ผ่านการจัดการประชุมทั้งแบบทางการและไม่ทางการ (retreat) และการจัดประชุมระหว่างประเทศเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมโลก การเสนอแนวความคิดการจัดตั้งกองทุน ACD รวมทั้งการส่งเสริมความร่วมมือระหว่าง ACD และกรอบความร่วมมืออื่นๆ

Ali Bagheri Kani รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอิหร่านได้แถลงแสดงความอาลัยในการจากไปของประธานาธิบดี Raisi และดร. Amir-Abdollahian รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งทั้งสองต่างให้การสนับสนุนการประชุม ACD ครั้งที่ 19 นี้ อย่างแข็งขัน ตามแนวคิดพหุภาคีที่สำคัญซึ่งทั้งสองเป็นผู้ร่วมกันบุกเบิกเพื่อลดการผูกขาดปฏิสัมพันธ์และการพึ่งพาประเทศตะวันตกโดยมุ่งเน้นไปที่ประเทศตะวันออกด้วยกันเอง ด้วยการส่งเสริมเอกลักษณ์ของเอเชียและรับประกันความเป็นเพื่อนบ้านที่เป็นมิตรที่ดี ตลอดจนส่งเสริมความสมบูรณ์ของภูมิภาคผ่านการเป็นสมาชิกของ ACD อย่างแข็งขันในองค์กรระดับภูมิภาคและระดับโลก

นอกจากนี้ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอิหร่านได้กล่าวแสดงความรู้สึกเศร้าใจและตกตะลึงอย่างสุดซึ้งกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความโหดร้ายและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่กระทำโดยอิสราเอลในฉนวนกาซา ซึ่งเป็นภัยพิบัติด้านมนุษยธรรมที่เกิดขึ้นมานานกว่าแปดเดือนแล้ว และหวังว่าเหตุการณ์อันเลวร้ายนี้จะยุติลงโดยเร็วที่สุด สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านเข้าร่วม ACD ในปี 2003 และถือว่าเป็นหนึ่งในสมาชิกที่มีความกระตือรือร้น ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2023 อิหร่านรับหน้าที่เป็นประธาน ACD โดยถือเอาการก่อตั้ง 'ประชาคมเอเชีย' ซึ่งเป็นหนึ่งในปณิธานของ ACD ด้วยมรดกทางวัฒนธรรมอันมั่งคั่งและคุณค่าที่ยั่งยืนของเอเชียตลอดจนศักยภาพที่แข็งแกร่งของทวีปและรากฐานทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นจริง หากความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนเอเชียที่เข้มแข็งขึ้นถูกสร้างขึ้นในหมู่ชาวเอเชียย่อมนำมาซึ่งประโยชน์มากมายอย่างไม่ต้องสงสัย 

'ชาวจีน' หนี 'สิงคโปร์' มาเที่ยวไทย เหตุเพราะ 'ความแพง' และมีแต่ตึก

เมื่อวานนี้ (25 มิ.ย.67) เว็บไซต์ Mothership สื่อของสิงคโปร์ได้รายงานถึงการที่นักท่องเที่ยวจีนเลือกเดินทางไปท่องเที่ยวในไทยและญี่ปุ่นมากกว่าสิงคโปร์ โดยให้เหตุผลหลัก ๆ ว่า ค่าใช้จ่ายในสิงคโปร์สูงเกินไปและมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น้อยเมื่อเทียบกับไทยและญี่ปุ่น

ชาวสิงคโปร์หลายคนได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยบอกว่าค่าใช้จ่ายในสิงคโปร์แพงมาก เช่น การกินข้าวแกงที่มีราคา 21 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อจาน ซึ่งเป็นราคาที่สูงเกินไปสำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไป 

นอกจากนี้ ยังมีความเห็นว่าสิงคโปร์มีข้อจำกัดหลายอย่างที่ทำให้นักท่องเที่ยวรู้สึกไม่สะดวกสบาย

หนึ่งในชาวสิงคโปร์ได้กล่าวว่า “สิงคโปร์มีข้อจำกัดที่โง่เขลามากเกินไป มีสิ่งที่ไม่อนุญาตเป็นจำนวนมาก สิงคโปร์เหมือนกับหุ่นยนต์ที่เดินไปเดินมาเพื่อหาเลี้ยงชีพ อย่ามาสิงคโปร์เลย ไปประเทศไทยเถอะ!”

จากความคิดเห็นนี้สะท้อนให้เห็นว่าชาวสิงคโปร์เองก็รู้สึกไม่พอใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และเห็นว่าการเดินทางไปเที่ยวในประเทศไทยเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า เนื่องจากไทยมีค่าครองชีพที่ถูกกว่า และมีสถานที่ท่องเที่ยวที่หลากหลายและน่าสนใจมากกว่า

การที่นักท่องเที่ยวจีนหนีจากสิงคโปร์ไปเที่ยวไทยแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการดึงดูดนักท่องเที่ยวของประเทศไทย ซึ่งมีทั้งความเป็นธรรมชาติ วัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ และอาหารที่อร่อยและราคาไม่แพง

เหตุการณ์นี้ยังชี้ให้เห็นถึงความท้าทายที่สิงคโปร์ต้องเผชิญในการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านในด้านการท่องเที่ยว ถ้าสิงคโปร์ต้องการที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวมากขึ้น อาจจำเป็นต้องพิจารณาปรับลดค่าใช้จ่ายและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ เพื่อให้มีความหลากหลายและน่าสนใจมากขึ้น

‘ยานฉางเอ๋อ-6’ กลับถึงโลก พร้อมชิ้นส่วน ‘หิน-ดิน’ จากอีกฟาก ‘ดวงจันทร์’ นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ หลังใช้เวลา 53 วันปฏิบัติภารกิจ 

(25 มิ.ย.67) สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ยานสำรวจฉางเอ๋อ-6 ของจีน ได้กลับมาถึงโลกโดยลงจอดในเขตมองโกเลียในทางตอนเหนือของจีน พร้อมตัวอย่างหินและดินจากอีกฟากหนึ่งของดวงจันทร์ ซึ่งเป็นพื้นที่ไม่เคยมีการสำรวจมาก่อน จึงถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติที่มีการเก็บตัวอย่างหินและดินมาจากด้านไกลของดวงจันทร์

จาง เค่อเจี้ยน ผู้อำนวยการองค์การบริหารอวกาศแห่งชาติจีน แถลงข่าวทางสถานีโทรทัศน์หลังการลงจอดของยานฉางเอ๋อ-6 เพียงไม่นานว่า “ผมขอประกาศว่าภารกิจสำรวจดวงจันทร์ฉางเอ๋อ-6 ประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์แล้ว”

ด้านประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ได้ส่งข้อความแสดงความยินดีกับทีมนักบินอวกาศของฉางเอ๋อ โดยกล่าวว่านี่คือ “ความสำเร็จครั้งสำคัญในความพยายามของประเทศของจีน ที่จะเป็นมหาอำนาจในด้านเทคโนโลยีและอวกาศ”

ทั้งนี้ด้านใกล้ของดวงจันทร์คือสิ่งที่มองเห็นได้จากโลก ในขณะที่ด้านไกลของดวงจันทร์หันไปทางอวกาศ โดยเป็นที่ทราบกันว่าด้านไกลมีภูเขาและหลุมอุกกาบาต ตรงกันข้ามกับพื้นที่ราบที่มองเห็นได้จากด้านใกล้

ในขณะที่ในอดีต สหรัฐและสหภาพโซเวียตต่างเก็บตัวอย่างมาจากด้านใกล้ของดวงจันทร์ จึงถือว่าภารกิจของจีนเป็นภารกิจแรกที่เก็บตัวอย่างจากด้านไกลของดวงจันทร์

โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวจีนคาดว่าตัวอย่างที่นำกลับมาจากดวงจันทร์ จะรวมถึงหินภูเขาไฟอายุ 2.5 ล้านปี และวัสดุอื่นๆ ที่นักวิทยาศาสตร์หวังว่าจะช่วยตอบคำถามเกี่ยวกับความแตกต่างทางภูมิศาสตร์บนสองด้านของดวงจันทร์

ซงยู เยว่ นักธรณีวิทยาจากสถาบันวิทยาศาสตร์จีน ระบุในแถลงการณ์ที่เผยแพร่ใน Innovation Monday ซึ่งเป็นวารสารที่ตีพิมพ์ร่วมกับสถาบันวิทยาศาสตร์จีนว่า “คาดว่ากลุ่มตัวอย่างที่เก็บมาจะตอบคำถามทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานที่สุดข้อหนึ่งในการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ของดวงจันทร์ นั่นคือปฏิกริยาทางธรณีวิทยาประเภทใดที่ส่งผลต่อความแตกต่างระหว่างทั้งสองด้านของดวงจันทร์”

ทั้งนี้ จีนยังหวังว่ายานสำรวจจะกลับมาพร้อมกับวัสดุที่มีร่องรอยอุกกาบาตพุ่งชนจากดวงจันทร์ในอดีต เมื่อยานฉางเอ๋อ-6 กลับมาถึงอย่างปลอดภัย นักวิทยาศาสตร์จะเริ่มศึกษาตัวอย่างเหล่านั้น

ยานสำรวจฉางเอ๋อ 6 ออกจากโลกเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคมที่ผ่านมา และ ใช้เวลาเดินทาง 53 วันในปฏิบัติการในครั้งนี้ โดยยานสำรวจสัญชาติจีนได้เจาะเข้าไปในแกนกลางของดวงจันทร์ และตักหินออกจากพื้นผิวของดวงจันทร์กลับมา

โครงการสำรวจดวงจันทร์เป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันที่เพิ่มมากขึ้นระหว่างจีนกับสหรัฐ ซึ่งยังคงเป็นผู้นำด้านการสำรวจอวกาศ รวมไปถึงประเทศอื่นๆ อย่างญี่ปุ่นและอินเดีย โดยจีนได้ส่งสถานีอวกาศของตนเองขึ้นสู่วงโคจรและส่งลูกเรือไปที่นั่นเป็นประจำ

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ จีนมีภารกิจไปยังดวงจันทร์ที่ประสบความสำเร็จหลายครั้ง รวมถึงการเก็บตัวอย่างจากด้านใกล้ของดวงจันทร์ด้วยยานสำรวจฉางเอ๋อ-5 ก่อนหน้านี้

'ชาวรัสเซีย' เริ่มหวั่น!! หลังเกิดเหตุกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงถล่มแคว้นดาเกสถาน ชวนกังวล-ไม่แน่ใจ 'เครมลิน' จะคุมเหตุรุนแรงในประเทศได้อยู่อีกหรือไม่?

เกิดเหตุก่อการร้ายขึ้นอีกครั้งในแคว้นดาเกสถาน ทางตะวันตกด้านชายฝั่งทะเลแคสเปียนของรัสเซีย เมื่อช่วงเย็นวันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมาในกรุงมาฮัชคาลา เมืองหลวงของแคว้น และ เมืองเดอร์เบนท์ ที่อยู่ริมชายฝั่ง  

โดยกลุ่มก่อการร้าย ที่ภายหลังระบุว่าเป็นกลุ่มชาวมุสลิมหัวรุนแรง จำนวน 4 คนได้โจมตีกรุงมาฮัชคาลา ส่วนอีก 2 คนก่อเหตุในเมืองเดอร์เบนท์ ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ด้วยการกราดยิงเข้าไปในป้อมตำรวจ โบสถ์คริสต์ออร์โทดอกซ์ และโบสถ์ยิว แล้วจุดไฟเผา เป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บถึง 46 ราย และ เสียชีวิตกว่า 20 ราย ซึ่ง 15 ใน 20 รายนี้ เป็นตำรวจ

ทางการรัสเซียรายงานว่าได้จัดการวิสามัญคนร้ายไป 5 ราย และได้มีการจับภาพการดวลปืนเสียงดังสนั่นระหว่างผู้ก่อการร้าย และ เจ้าหน้าที่ ในหมู่บ้านที่เคยเงียบสงบในเมืองเดอร์เบนท์ที่กลายเป็นคลิปข่าวที่สร้างความตื่นตะลึงไปทั่วรัสเซีย และเกิดคำถามถึงรัฐบาลกลางรัสเซียว่า ละเลยภัยซ่อนเร้นในบ้านตัวเองหรือไม่?

ดาเกสถาน เป็นแคว้นทางตอนใต้ฝั่งตะวันตกติดกับทะเลแคสเปียน มีพรมแดนติดกับเชสเนีย, จอร์เจีย และ อาเซอร์ไบจาน ถือเป็นแคว้นที่มีกลุ่มชาติพันธุ์ที่หลากหลายที่สุดแห่งหนึ่งของรัสเซีย และมีพลเมืองกว่า 83% เป็นชาวมุสลิม

แต่ทั้งนี้ เดอร์เบนท์ เมืองสำคัญในแคว้นนี้กลับได้รับสมญานามว่าเป็น 'เมืองแห่ง 3 ศาสนา' อันได้แก่ศาสนาอิสลาม, คริสต์ และ ยูดาห์ เนื่องจากเมืองนี้มีที่ที่อยู่อาศัยของชุมชนชาวคริสต์ที่เก่าแก่ที่สุดในรัสเซีย และ ชุมชนชาวยิวรุ่นบุกเบิกมานานหลายชั่วอายุคน ที่เป็นเป้าหมายในการโจมตีของกลุ่มก่อการร้ายหัวรุนแรงมานานแล้ว 

หากไม่นับรวมเหตุการณ์กราดยิงในคอนเสิร์ต ฮอลล์ ใจกลางกรุงมอสโก เมื่อเดือนมีนาคมของปีนี้ ที่มีผู้เสียชีวิตมากถึง 145 ราย โดยกลุ่มก่อการร้าย ISIS-K ออกมาประกาศแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุครั้งนั้น แคว้นดาเกสถาน ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่มักเกิดเหตุโจมตีชุมชนชาวคริสต์ และ ชาวยิว ในพื้นที่มานานหลายสิบปีแล้ว  

สาเหตุหนึ่งมาจากแคว้นนี้เป็นแหล่งลี้ภัยของกลุ่มลัทธิหัวรุนแรงจากเชสเนีย และแคว้นใกล้เคียง มาอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังเป็นเมืองด่านหน้าของการปะทะกันระหว่างกองกำลังรัสเซีย กับกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในช่วงสงครามเชสเนีย 

จนทำให้ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา เมืองนี้มักเกิดเหตุไม่สงบอยู่เนือง ๆ โดยตำรวจ เจ้าหน้าที่รัฐ และ โบสถ์สำคัญทางศาสนาคริสต์ และยิว มักถูกใช้เป็นเป้าหมายในการก่อเหตุ

อีกทั้งสภาพเศรษฐกิจ สังคมโดยรวมของแคว้นดาเกสถาน ค่อนข้างอ่อนแอ และ ย่ำแย่จากภายใน มีการคอร์รัปชันภายในรัฐบาลท้องถิ่น อัตราการว่างงานสูง ความหลากหลายด้านเชื้อชาติ ภาษา และ ศาสนาในแคว้น เป็นอุปสรรคต่อการสร้างความเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกันของประชากรในพื้นที่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นแหล่งฟูมฟักชั้นดีของลัทธิก่อการร้าย 

และจากเหตุก่อการร้ายในดาเกสถาน เป็นการตอกย้ำอีกครั้งว่าภัยคุกคามจากกลุ่มก่อการร้ายหัวรุนแรงในประเทศไม่เคยหายไปไหน และรอคอยโอกาสที่จะสร้างความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ 

ดมิทรี เปสคอฟ โฆษกประจำทำเนียบเครมลิน ยังคงปฏิเสธความเป็นไปได้ที่จะเกิดคลื่นแห่งความรุนแรงในภูมิภาคคอเคซัสเหนือ (แคว้นที่อยู่คั่นกลางระหว่างทะเลอาซอฟ ทะเลดำทางทิศตะวันตก และทะเลแคสเปียนทางตะวันออก รวมถึง ดาเกสถานด้วย) และยืนยันว่าสังคมรัสเซียมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากพอ ที่จะไม่สนับสนุนการก่อการร้ายในชุมชนของพวกเขา เหมือนเมื่อ 20 ปีที่แล้วอีกต่อไป

เช่นเดียวกับ วลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ที่เคยออกมากล่าวหลังเหตุกราดยิงในคอนเสิร์ต ฮอลล์ ในกรุง มอสโกว่า รัสเซียไม่ใช่เป้าหมายของกลุ่มก่อการร้ายชาวมุสลิมหัวรุนแรง เพราะเชื่อมั่นในความสามัคคีระหว่างศาสนา และกลุ่มชาติพันธุ์ในรัสเซียอันเป็นเอกลักษณ์ที่หาได้ยากในโลก ส่วนภัยจากเหตุก่อการร้ายเป็นการแทรกซึมของฝ่ายยูเครน และ อริชาติตะวันตก 

แต่ใช่ว่าชาวรัสเซียทุกคนจะคิดเช่นนี้ และกำลังมองว่ารัฐบาลรัสเซียกำลังใช้ทรัพยากรของประเทศไปทุ่มให้กับสงครามในยูเครนมากเกินไปจนละเลยภัยซ่อนเร้นภายในบ้าน อันเป็นปัญหาที่หมักหมมค้างเติ่งที่รัฐบาลมองข้ามมานานนับสิบปี 

สำหรับเหตุกราดยิงกลางเมืองในดาเกสถาน ที่อุกอาจขนาดถล่มป้อมตำรวจ เผาโบสถ์คริสต์-ยิว ยิงบาทหลวงเสียวิต โดยเจาะจงเลือกช่วงเทศกาล Trinity Sunday ของชาวคริสต์ออร์โทดอกซ์พอดี และห่างจากเหตุก่อการร้ายของกลุ่ม ISIS-K ในกรุงมอสโกเพียงไม่กี่เดือนนั้น ก็ชวนให้ชาวรัสเซียเริ่มไม่แน่ใจว่า รัฐบาลเครมลินจะคุมสถานการณ์ของกลุ่มหัวรุนแรงในประเทศได้อยู่หรือไม่

‘เกาหลีใต้’ ปัดข้อเรียกร้องผ่อนผัน K-ETA ‘ไทย’ แม้ยอดนทท.ไทยลดลง หลังพบประชากรแฝงชาวไทยเพิ่มขึ้นสามเท่าในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา

(25 มิ.ย.67) หนังสือพิมพ์ The Korea Herald ของเกาหลีใต้ รายงานข่าว S. Korea unlikely to grant temporary K-ETA exemption to Thailand ระบุว่า จากกรณีที่กระทรวงวัฒนธรรม กีฬาและการท่องเที่ยวของเกาหลีใต้ เรียกร้องให้กระทรวงยุติธรรมของเกาหลีใต้ ผ่อนผันประเทศไทยไม่ต้องเข้าระบบการขออนุญาตเดินทางเข้าประเทศ หรือ K-ETA อย่างน้อยจนถึงสิ้นปี 2567 เนื่องจากพบจำนวนท่องเที่ยวชาวไทยเดินทางมาเกาหลีใต้ลดลง 

ล่าสุด กระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้ดูแลระบบ K-ETA ได้ออกแถลงการณ์ ยืนยันว่า เป็นการยากที่จะดำเนินการผ่อนผันดังกล่าว

“เราจำเป็นต้องระมัดระวังในการใช้ข้อยกเว้น K-ETA สำหรับประเทศต้นทางที่มีผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารจำนวนมาก K-ETA เป็นระบบที่ถูกนำมาใช้หลังจากตระหนักว่า มีข้อจำกัดในการควบคุมการเข้าเมืองและป้องกันการอยู่อาศัยอย่างผิดกฎหมายตามนโยบายวีซ่าของประเทศเท่านั้น” แถลงการณ์ของกระทรวงยุติธรรมเกาหลีใต้ ระบุ

แถลงการณ์ยังกล่าวด้วยว่า ส่วนข้อร้องเรียนจากนักเดินทางชาวไทยว่าแผนการเยือนเกาหลีใต้ถูกยกเลิกเนื่องจากการปฏิเสธการเข้าประเทศผ่าน K-ETA กรณีของบางครอบครัวและนักท่องเที่ยวกลุ่ม (ที่ไม่สามารถเข้าเกาหลีได้) เนื่องจากการปฏิเสธ K-ETA ถูกพบเห็นในช่วงแรกของการดำเนินการ ทั้งนี้ ระบบ K-ETA มีเสถียรภาพเพียงพอที่จะไม่ขัดขวางความต้องการของนักเดินทางที่เดินทางมายังเกาหลีใต้

รายงานของสื่อเกาหลีใต้ กล่าวต่อไปว่า K-ETA ซึ่งเปิดตัวเต็มรูปแบบในเดือน ก.ย. 2564 กำหนดให้นักเดินทางจากประเทศที่ได้รับยกเว้นการทำวีซ่า ต้องได้รับอนุญาตก่อนเข้าเกาหลีใต้ เพื่อปรับปรุงการตรวจสอบนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ พร้อมทั้งสกัดกั้นบุคคลที่จะเข้ามาอยู่อาศัยในประเทศอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งในขณะที่กระทรวงวัฒนธรรมฯ ของเกาหลีใต้ คาดหวังว่าจะมีชาวต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยว 20 ล้านคนในปี 2567 

อย่างไรก็ตาม ผู้สังเกตการณ์บางคนชี้ว่า การคัดกรองด้วยระบบ K-ETA ถือเป็นอุปสรรคสำคัญ ซึ่งถือว่ายากเมื่อเทียบกับระบบอนุญาตการเดินทางทำนองเดียวกันในประเทศเพื่อนบ้านอย่างญี่ปุ่นและจีน

ข้อมูลล่าสุดที่รวบรวมโดยองค์การการท่องเที่ยวเกาหลีเผยว่า เกาหลีใต้มีนักท่องเที่ยวชาวไทยราว 119,000 คนในช่วงเดือน ม.ค.-เม.ย. 2567 ลดลงร้อยละ 21.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ขณะที่ข้อมูลเดียวกันนี้แสดงให้เห็นว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 87 เมื่อเทียบเป็นรายปีในช่วงเวลาที่อ้างถึง ซึ่งแสดงให้เห็นความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ในทางกลับกัน ข้อมูลจากรัฐบาลเกาหลีใต้ พบว่า ประชากรแฝงชาวไทยในเกาหลีใต้ได้เพิ่มขึ้นสามเท่าในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ทำให้ไทยเป็นหนึ่งในชาติที่มีประชากรแฝงอยู่ในเกาหลีใต้มากที่สุด

‘จีน’ จ่อสนับสนุน 'อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ฯ' ขับเคลื่อนด้วย ‘AI’ ครอบคลุมผลิตภัณฑ์ด้าน ‘การสื่อสาร-กีฬา-สุขภาพ-ชำระเงิน’

(25 มิ.ย.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า คณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีน เผยว่าจีนจะสนับสนุนการบริโภคอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไฮเทครุ่นใหม่ เช่น อุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะ และหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI)

คณะกรรมการฯ จะทำงานเพื่อผลักดันการปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์-คอมพิวเตอร์ด้วยการส่งเสริมการพัฒนาหลายเทคโนโลยี เช่น จอแสดงผลที่ยืดหยุ่น ซูเปอร์ชาร์จ ผู้ช่วยปัญญาประดิษฐ์ และโมเดลขนาดใหญ่บนอุปกรณ์ อีกทั้งจะสนับสนุนการใช้งานอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะในด้านต่าง ๆ เช่น การสื่อสาร ความบันเทิง กีฬา การติดตามสุขภาพ และการชำระเงินผ่านมือถือ

จีนมีแผนสำรวจการพัฒนาหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์โดยใช้โมเดลปัญญาประดิษฐ์ และขยายขอบเขตการประยุกต์ใช้หุ่นยนต์อัจฉริยะในการทำความสะอาด การพักผ่อนหย่อนใจและสันทนาการ การดูแลผู้สูงอายุและผู้พิการ ตลอดจนการศึกษาและการฝึกอบรม

ขณะเดียวกัน จีนจะส่งเสริมโมเดลการผลิตใหม่ ๆ เช่น การปรับแต่งตามความต้องการลูกค้าแบบย้อนกลับ (reverse customization) การออกแบบแบบเฉพาะบุคคล และการผลิตที่ยืดหยุ่น รวมทั้งการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเพื่อเพิ่มการรับรู้ของผู้บริโภคและการเจาะตลาดของกลุ่มผลิตภัณฑ์อัจฉริยะ

10 เหตุผล 'คนเมียนมา' แห่หากินในไทยง่ายๆ เพราะเมืองไทยอะไรก็ได้ ใต้คอร์รัปชันไทย เอื้อต่างชาติด้อยคุณภาพ ถือครองทรัพย์สินแผ่นดิน

บ่อยครั้งกับหลายเรื่องในรัฐบาลก่อนที่ เอย่า เคยนำเสนออะไรไป สุดท้ายแล้วในยุครัฐบาลที่ใครเขาก็ว่าเป็นยุคเผด็จการ เขาก็รับฟังและพยายามนำไปปรับแก้ไข เพื่อไม่ให้เกิดคำครหา หากทุกอย่างเป็นผลประโยชน์ของคนไทย

แต่กลับกันกับรัฐบาลปัจจุบัน แม้ เอย่า จะเคยแจ้งแถลงไขออกสื่ออะไรไป อย่างเช่นเรื่อง VIP Pass ที่จ่ายเพียงหลักพัน ไม่ต้องสำแดงเงิน-ตั๋วขากลับและโรงแรมที่พัก แถมบางเอเย่นต์บอกว่าถึงไทยมีรถมารับหน้า Gate ด้วย อะไรจะ Privilege ปานนั้น ก็ไม่เกิดแรงกระเพื่อมใด ๆ ทางสังคม

ล่าสุดในกลุ่มโซเชียลชาวเมียนมา เริ่มโพสต์บอกกันแล้วว่า ‘ย้ายมาอยู่ไทยกันเถอะ’ พร้อมยกข้อดีในการย้ายมาอยู่ไทยที่อ่านดูแล้วคนไทยจะรู้สึกภูมิใจหรือไม่ ก็สุดแท้...โดย เอย่า ได้รวบรวมมุมมองเมืองไทยในมุมของพวกเขามาไว้ให้ทราบกัน ดังนี้...

1. ไทยเดินทางไปกลับเมียนมาสะดวก ทั้งทางบกและทางอากาศ มีหลายช่องทางให้เลือก

2. ค่าครองชีพต่ำ เมื่อเทียบกับหลายประเทศรอบข้าง

3. สาธารณูปโภคดีทั้งน้ำ-ไฟ การสื่อสารและอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงทุกที่ในราคาไม่แพง

4. รักษาพยาบาลรัฐได้ฟรี ค่าใช้จ่ายในการคลอดบุตรไม่แพง สามารถซื้อประกันสุขภาพได้หากมีบัตรแรงงาน

5. เข้ามาเป็นแรงงาน ไม่มีการตรวจสอบ ทำประวัติไม่ดี มีคดีติดตัวหรือหลบหนีเข้าเมือง ก็ทำบัตรแรงงานได้ เพราะทางราชการไทยเปิดให้ทำเรื่อยๆ

7. อาหารการกินหาง่าย สะอาด ราคาเป็นมิตรและถูกปากชาวเมียนมา

8. งานหาได้ไม่ยาก ถ้ายิ่งพูดภาษาไทยและภาษาอังกฤษได้ ยิ่งมีโอกาสได้งานสูง ภาคเอกชนของไทยไม่ได้เช็กภูมิหลังว่าเดินทางมาด้วยสาเหตุอะไร

9. หากคลอดลูกในไทย โรงพยาบาลของไทยออกสูติบัตรได้ ทำให้ลูกต่างด้าวมีสิทธิ์เรียนฟรีตั้งแต่อนุบาลถึงมัธยมศึกษาตอนปลายในประเทศไทย เมื่อเรียนจบปริญญาตรีและอายุ 20 ปี บริบูรณ์สามารถโอนสัญชาติเป็นไทยได้ อันจะทำให้ต่างชาติที่ซื้อที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์อื่นใดที่เคยถือครองด้วยนอมินีคนไทยสามารถโอนเป็นชื่อของลูกหลานตนได้

10. ด้วยนิสัยคนไทยที่เป็นมิตรกับคนต่างชาติ ต่างภาษา ทำไมคนต่างชาติอยู่ในไทยแล้วรู้สึกถึงความปลอดภัยทั้งทางร่างกายและจิตใจ อีกทั้งไทยยังเปิดกว้างด้านเพศที่ทำให้ไม่ว่ารสนิยมทางเพศเป็นแบบไหนอยู่ในไทยก็ไม่รู้สึกแปลกแยก

นี่อาจจะเป็นเสียงสะท้อนแค่ฝั่งคนพม่า แต่ เอย่า มองว่านี่คือ สิ่งที่คนต่างชาติหลายคนรู้สึกถึงสาเหตุว่า ทำไมประเทศไทยเป็นเมืองที่น่าอยู่ แต่ในอีกมุมหนึ่งความหละหลวมและคอร์รัปชันของไทยที่ส่งผลให้ต่างชาติที่ไม่ได้มีคุณภาพตามเกณฑ์ของไทยมาถือครองทรัพย์สิน หากินบนแผ่นดินไทยและสร้างความเดือดร้อนให้กับแผ่นดินไทยเช่นกัน

สุดท้าย เอย่า คงต้องฝากบอกว่า 'ไทย' จะเป็นประเทศไม่ได้ หากคนไทยไม่ร่วมช่วยกันสร้างให้เจริญ แต่กลับขายมันให้กับคนต่างชาติ 

จะเอาแบบไหน? นั่นเป็นสิ่งที่คนไทยเราต้องเลือกเอง!!

'นักวิจัย' เผย AI รู้จักวิธีโกหก 'มนุษย์' ได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แนะโลกต้องเร่งสร้างกฎระเบียบที่เข้มงวด เพื่อลดความเสี่ยงนี้

(25 มิ.ย.67) เพจ ‘Business Tomorrow’ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับการพัฒนาของ AI ที่ก้าวหน้าจนน่าหวาดกลัว โดยระบุว่า…

“นักวิจัยเผย AI รู้จักวิธีที่จะโกหก ‘มนุษย์’ ได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว”

“นักวิจัยได้เปิดเผยผลการศึกษาล่าสุดที่น่าตกใจ โดยปัญญาประดิษฐ์ (AI) สามารถเรียนรู้วิธีการโกหกมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในบทความทบทวนที่ตีพิมพ์เมื่อเร็ว ๆ นี้ในวารสารPatternsนักวิจัยเน้นย้ำถึงอันตรายของการหลอกลวง AI และกระตุ้นให้รัฐบาลสร้างกฎระเบียบที่เข้มงวดอย่างรวดเร็วเพื่อลดความเสี่ยงเหล่านี้”

“ในการทดลอง นักวิจัยพบว่า AI สามารถสร้างข้อความที่มีความน่าเชื่อถือแต่เป็นเท็จ โดยปรับแต่งการตอบสนองให้เหมาะสมกับบริบทและความคาดหวังของมนุษย์ ความสามารถนี้ไม่เพียงแค่การสร้างข้อมูลผิด ๆ แต่ยังรวมถึงการปกปิดข้อมูลบางส่วนและการบิดเบือนความจริงอย่างแยบยล”

“ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าความสามารถนี้อาจนำไปสู่การใช้ AI ในทางที่ผิด เช่น การสร้างข่าวปลอม การหลอกลวงทางการเงิน หรือการบิดเบือนข้อมูลทางการเมือง อย่างไรก็ตาม บางคนเสนอว่าความเข้าใจนี้อาจช่วยในการพัฒนาระบบตรวจจับการหลอกลวงที่ดีขึ้น”

“นักวิจัยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการพัฒนา AI อย่างมีความรับผิดชอบ โดยคำนึงถึงผลกระทบทางสังคมและจริยธรรม พร้อมทั้งเรียกร้องให้มีการกำกับดูแลและการสร้างมาตรฐานทางจริยธรรมสำหรับ AI”

>> ตัวอย่างการหลอกลวง

“ตัวอย่างของ CICERO ที่สามารถเอาชนะเกม Diplomacy บอร์ดเกมผู้เล่น 7 คนที่ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกันคือการควบคุมพื้นที่ส่วนมากของโลก หรือเป็นผู้นำของโลก ผ่านการเจรจาทางการทูตเพื่อหาพันธมิตรให้มากที่สุด แต่ในการทำข้อตกลงต่าง ๆ ผู้เล่นสามารถใช้เล่ห์เหลี่ยมของตนเพื่อเอาชนะคู่ต่อสู้ได้เต็มที่”

“ในเกมนี้จะมี AI ตัวหนึ่งชื่อว่า CICERO คิดค้นโดย Meta เปรียบเสมือนตัวช่วย คอยแนะแนวทางผู้เล่นให้สามารถเอาชนะในเกมได้ แต่ปรากฏว่า CICERO สามารถหลอกให้ผู้เล่นเชื่ออย่างอยู่หมัดผ่านการโกหกและหักหลังพวกเดียวกัน พร้อมขึ้นเป็นผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียว”

“นั่นหมายความว่า AI ได้พัฒนาตนเองเพื่อเอาตัวรอดจากสถานการณ์ในเกม จนกลายเป็นนกสองหัว และอาจบ่งบอกได้ว่า AI ไม่เพียงแต่กำลังโกหกมนุษย์ แต่หมายถึง AI กำลังมีความคิดเหนือยิ่งกว่านั้น โดยโกหกเพื่อสร้างความเชื่อใจและหักหลังอย่างไร้ความปรานี”

'ม.สือเหอจื่อ' เชิญ 'แม่บ้าน-รปภ.' กล่าวอวยพรแก่บัณฑิตจบใหม่ สะท้อนความเท่าเทียม-ให้เกียรติแก่ทุกคนในรั้วการศึกษานี้

(25 มิ.ย. 67) ผู้ใช้งานเฟซบุ๊ก ‘ตี๋น้อย’ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ งานพิธีประสาทปริญญาบัตร ของมหาวิทยาลัยสือเหอจื่อ เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ประเทศจีน โดยมีเนื้อความระบุว่า…

“เรียบง่าย ให้เกียรติ และ มีความหมายที่สุด”

“นี่คือสิ่งที่ตี๋น้อยให้คำนิยามเกี่ยวกับงานพิธีประสาทปริญญาบัตร ของมหาวิทยาลัยสือเหอจื่อ เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ประเทศจีนครับ”

“โพสต์นี้เอาบรรยากาศพิธีประสาทปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยสือเหอจื่อ เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ประเทศจีน มาฝากครับ”

“ตัวตี๋น้อยเองมีโอกาสได้รับเชิญเข้าร่วมงานพิธีประสาทปริญญาบัตรนี้ด้วย ในตัวงานพิธีจะจัดในช่วงพระอาทิตย์ขึ้น ( ที่นี่พระอาทิตย์ขึ้น 7 โมงเช้า งานพิธีเริ่ม 8 โมงเช้า )”

“ในการเริ่มพิธีจะมีการเคารพธงชาติ หลังจากนั้นก็เป็นการกล่าวสุนทรพจน์ของบัณฑิต โดยมีทั้งตัวแทนของบัณฑิตจีนและต่างชาติ จากนั้น เป็นการอวยพรของเหล่าคณาจารย์ ศิษย์เก่าต่าง ๆ”

“สิ่งที่เป็นไฮไลท์ที่สุดคือ การให้เกียรติ แม่บ้านมหาวิทยาลัย ฝ่ายรักษาความปลอดภัย ขึ้นกล่าวอวยพรและสอนการใช้ชีวิตแก่บัณฑิตจบใหม่ อันนี้เป็นอะไรที่สุดยอดมาก ๆ แสดงถึงความเท่าเทียม และให้เกียรติกันมาก ๆ เป็นสิ่งที่ตี๋น้อยชอบและประทับใจที่สุดในพิธีครับผม ถือว่าสุดยอดมาก ๆ”

“ในบางมหาวิทยาลัยในจีนเองก็มีการให้แม่บ้าน และฝ่ายรักษาความปลอดภัยขึ้นกล่าวอวยพรบัณฑิตเหมือนกันครับ”

“จากนั้นในการมอบปริญญาบัตร ที่นี่จะเป็นการให้คณะอาจารย์มอบปริญญาบัตรตามจุดต่าง ๆ ทำให้พิธีผ่านไปอย่างรวดเร็วมาก ๆ ครับ”

“ทั้งหมดตี๋น้อยขอให้คำนิยามเกี่ยวกับพิธีประสาทปริญญาบัตรครั้งนี้ครับว่า ‘เรียบง่าย ให้เกียรติ และมีความหมายที่สุด’ ครับ”

“ปล. ของผมเองน่าจะรอปีหน้าครับ”

‘คลินิกจีน’ เคลม!! ฝังเข็มบนศีรษะช่วยเพิ่ม IQ - เสริมความจำ นักเรียน-วัยทำงานแห่จองคิว ฟากชาวเน็ตท้วง “เป็นไปได้เหรอ?”

(24 มิ.ย.67) คลินิกฝังเข็ม IQ Boost ในโรงพยาบาลแพทย์แผนจีนประจำจังหวัดแห่งหนึ่งในมณฑลเจ้อเจียง ทางภาคตะวันออกของจีน นำเสนอแพ็กเกจ ฝังเข็มที่ศีรษะช่วยเสริมความฉลาดปราดเปรื่อง และพัฒนาเรื่องความจำได้ จนกลายเป็นกระแสไวรัล ที่มีผู้ปกครองนำบุตรหลานของตนเข้ามาจองคิวฝังเข็มกันเป็นจำนวนมาก 

หง โชวไห่ แพทย์แผนโบราณจีนด้านการฝังเข็มกล่าวว่า การฝังเข็มสามารถกระตุ้นสมอง ที่ช่วยเสริมสร้างการทำงานของเซลล์สมองให้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยทำให้ออกซิเจนไหลเวียนไปยังสมองมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มความฉลาดหลักแหลมให้กับสมองของเราได้ 

การฝังเข็มถูกกล่าวถึงในตำราทางการแพทย์จีนโบราณที่รู้จักกันในชื่อ ‘หวงตี้เน่ยจิง’ หรือคัมภีร์ลับแห่งจักรพรรดิเหลือง ซึ่งเป็นตำราแพทย์แผนโบราณของจีนที่มีอายุย้อนกลับไปนานถึง 100 ปีก่อนคริสตกาล

โจว ไห่เจียง แพทย์ด้านการฝังเข็มอีกคนในคลินิกได้อธิบายว่า ในฝังเข็มตรง ‘จุดไป๋ฮุ่ย’ หรือจุดที่อยู่ตรงกึ่งกลางศีรษะจะช่วยกระตุ้นสมอง และสร้างความกระปรี้กระเปร่า

โดยศาสตร์ด้านการฝังเข็มของจีนได้กล่าวถึง ‘The Four Intelligence Points’ หรือจุดอัจฉริยะทั้ง 4 อัน ได้แก่ ตำแหน่ง 4 จุด ที่ล้อมรอบจุดไป๋ฮุ่ย เกี่ยวพันกับอาการปวดศีรษะ, นอนไม่หลับ, และอาการหลงลืม

ส่วน จุดเฟิงชี่ หรือตำแหน่ง 2 จุดบริเวณก้านคอ จะกระตุ้นออกซิเจนให้ไหลเวียนในศีรษะและใบหน้าได้ดี ที่ช่วยพัฒนาศักยภาพด้านความทรงจำ ทางคลินิกจึงเคลมว่า หากฝังเข็มให้ตรงจุดเหล่านี้โดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง สามารถเพิ่ม IQ ได้ 

หลังจากที่ปล่อยโฆษณาแพ็กเกจฝังเข็มเพิ่ม IQ ออกไป ก็มีกลุ่มนักเรียน และคนทำงานเข้ามาจองรอบฝังเข็มที่ศีรษะกับทางคลินิกเป็นจำนวนมาก เฉลี่ยราว 50-60 คิวต่อวัน

แต่ก็ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในโลกโซเชียลที่ยังกังขากับวิธีการฝังเข็มแนวนี้ ว่าน่าเชื่อถือจริงหรือไม่

หม่า กวนฟู่เฉิง แพทย์แผนจีนโบราณแห่งโรงพยาบาลเซี่ยเหมินได้กล่าวกับสื่อจีนว่า การฝังเข็มเพื่อความอัจฉริยะ มีความเป็นไปได้ แต่ไม่ได้ถึงการเพิ่ม IQ ของคนอย่างที่เข้าใจกัน

เนื่องจากโดยหลักการแล้ว การฝังเข็มเป็นวิธีการควบคุมการทำงานทางสรีรวิทยาของร่างกายมนุษย์ด้วยการกระตุ้นในจุดฝังเข็ม จึงช่วยในเรื่องการไหลเวียนของเลือดในสมอง ปรับปรุงสภาพแวดล้อมจุลภาคของสมอง และสามารถส่งเสริมการฟื้นตัวของการทำงานของสมองได้ 

ในเวลาเดียวกัน การฝังเข็มยังสามารถควบคุมสมดุลของหยิน-หยาง พลังชี่ และการไหลเวียนโลหิต ซึ่งช่วยในเรื่องอาการนอนไม่หลับได้ดี แต่ไม่ใช่เครื่องมือที่เพิ่มระดับ IQ ได้โดยตรง

แต่ทั้งนี้ อวี๋ จิน ศาสตราจารย์ด้านวิทยาศาสตร์การฝังเข็มและสมองที่มหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนกว่างโจว ยืนยันอีกเสียงว่า การฝังเข็มมีประสิทธิภาพในการปรับปรุงการทำงานของสมองได้จริง แต่ต้องดำเนินการโดยแพทย์มืออาชีพ และพบว่า การฝังเข็มยังประสบความสำเร็จในการรักษาอาการที่เกิดจากโรคทางสมอง เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โรคอัลไซเมอร์ ความบกพร่องทางสติปัญญาในเด็ก และโรคสมองพิการ ได้ 

นับเป็นศาสตร์พิศวงจากตำราแพทย์แผนจีนที่มีอายุมานานกว่า 2,000 ปี ที่วงการแพทย์ยุคใหม่ให้ความสนใจและต้องการพิสูจน์ข้อเท็จจริงเหล่านี้ด้วยความตื่นเต้น 

‘ญี่ปุ่น’ พบ!! วัยทำงาน 60% ‘ขาดแรงจูงใจ’ ช่วงหน้าฝน ทำให้ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพ ‘การทำงาน’ ที่ลดลง

เมื่อวานนี้ (23 มิ.ย. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า บริษัทอาหารรายใหญ่ของญี่ปุ่น พบว่าประชาชนคนวัยทำงานในญี่ปุ่นราวร้อยละ 60 รู้สึกขาดแรงจูงใจยามประเทศเข้าสู่ช่วงฤดูฝน

การสำรวจนี้ที่มุ่งเน้นผลกระทบจากรูปแบบสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงต่อชีวิตความเป็นอยู่ ระบุว่าผู้คนจำนวนมากได้รับผลกระทบจากความกดอากาศที่ผันผวนและการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิในช่วงฤดูฝน โดยเฉพาะฤดูฝนที่มาช้าในหลายภูมิภาคอย่างคิวชู

เมื่อถามถึงสุขภาพในช่วงฤดูฝน ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่หรือร้อยละ 59.6 ตอบว่า ‘ขาดแรงจูงใจ’ ตามด้วยปัญหาอย่าง ‘ไม่รู้จะจัดการกับความรู้สึกไม่สบายตัวอย่างไร’, ‘รู้สึกไม่สบาย’ และ ‘ประสิทธิภาพการทำงานลดลง’

นอกจากนั้น การสำรวจนี้ที่มุ่งเน้นการจัดการสุขภาพและมีผู้ตอบแบบสอบถามทางออนไลน์ อายุ 20-60 ปี จำนวน 2,000 คน ระหว่างวันที่ 26-28 เม.ย. ยังตรวจสอบผลกระทบจากการทำงานระยะไกลต่อสุขภาพด้วย

ผู้ตอบแบบสอบถามราวหนึ่งในสี่ที่ทำงานระยะไกลอย่างน้อย 1 วันต่อสัปดาห์ เผยว่ามีแรงจูงใจลดลงและแนวโน้มทำงานต่อไปแม้รู้สึกไม่สบายตัว โดยภาวะนี้พบมากเป็นพิเศษในกลุ่มผู้ตอบแบบสอบถามอายุ 20-29 ปี หรือคิดเป็นมากกว่าร้อยละ 50

ขณะเดียวกันผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 71 ยอมรับว่าปกปิดปัญหาสุขภาพของตนเองและยังคงทำงานต่อไป โดยเฉพาะผู้หญิงอายุ 30-39 ปี ที่คิดเป็นอัตราสูงสุดถึงร้อยละ 81.2

‘ฟิลิปปินส์’ โวย ‘สหรัฐฯ’ ป้ายสี วัคซีนซิโนแวค ของจีน ทำให้ประชาชนไม่กล้าฉีด สุดท้ายยอดตาย พุ่งหลายหมื่น

(23 มิ.ย.67) รายงานการสืบสวนหนึ่งของรอยเตอร์ที่เผยแพร่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พบว่ากองทัพสหรัฐฯ ได้เปิดยุทธการโฆษณาชวนเชื่อแบบลับๆ ในช่วงพีกสุดของโรคระบาดใหญ่ในฟิลิปปินส์ สำหรับเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนและก่ออิทธิพลสร้างวาทกรรมในวงกว้างเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนซิโนแวคของจีน เช่นเดียวกับอุปกรณ์และเครื่องไม้เครื่องมือช่วยชีวิตอื่นๆ ที่จัดหาให้โดยปักกิ่ง

ยุทธการดังกล่าว ซึ่งเริ่มขึ้นในปี 2020 และลากยาวจนถึงช่วงกลางปี 2021 เกี่ยวข้องกับการใช้บัญชีปลอมบนสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งรอยเตอร์ตรวจพบอย่างน้อย 300 บัญชีบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ โดยมีเจตนาเพื่อก่อความคลางแคลงใจต่อวัคซีนซิโนแวคในหมู่ประชาชนชาวฟิลิปปินส์ ขณะที่รอยเตอร์รายงานอ้างว่ายุทธการนี้ถูกจัดทำขึ้นมาเพื่อเอาคืนความพยายามของปักกิ่งที่กล่าวโทษวอชิงตัน เป็นต้นตอของโรคระบาดใหญ่

ซิโนแวค เป็นวัคซีนโควิด-19 ตัวแรกที่เข้าถึงได้ในฟิลิปปินส์ แต่การแจกจ่ายวัคซีนตัวนี้ถูกบดบังจากความกังวลเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของมัน ชาวฟิลิปปินส์มีความลังเลใจต่อวัคซีนซิโนแวคมากกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค โดยจนถึงเดือนกันยายน 2021 มีถึงเกือบครั้งที่ไม่มีความตั้งใจหรือไม่แน่ใจว่าพวกเขาควรรับวัคซีนยี่ห้อนี้หรือไม่ ตามข้อมูลของเวิลด์แบงก์

บรรดาเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในแนวหน้า ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ ณ โรงพยาบาลฟิลิปปินส์ เจเนอรัล สถานพยาบาลหลักสำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ของฟิลิปปินส์ ระบุว่าประชาชนชาวฟิลิปปินส์ ต้องกลายเป็นผู้ชดใช้ในปฏิบัติการแอบแฝงของสหรัฐฯ ในความพยายามทำลายความน่าเชื่อถือของวัคซีนจีน

ถ้าโฆษณาชวนเชื่อบิดเบือนข้อมูลนั้นเป็นจริง มุมมองของประชาชนทั่วไปเกี่ยวกับความสำคัญของวัคซีนอาจได้รับผลกระทบจากการยั่วยุปลุกปั่นทางสังคมในครั้งนี้ เรารู้ว่าชาวฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะคนชรา สามารถเชื่อสิ่งที่พวกเขาอ่านได้อย่างง่ายๆ" แอนโดรน คาร์ล โรโรเนโจ พยาบาลในหออภิบาลกุมารเวชของโรงพยาบาลฟิลิปปินส์ เจเนอรัล บอกกับอาหรับนิวส์ "ฉันคิดว่าถ้าไม่มีเรื่องแบบนี้ จะมีคนยอมฉีดวัคซีนมากกว่านี้ในระยะแรกๆ และดังนั้น จะมีอีกหลายชีวิตที่ได้รับการปกป้อง

ยอดผู้เสียชีวิตจากโรคระบาดใหญ่ในฟิลิปปินส์พุ่งเหนือ 66,000 ราย ส่งผลให้พวกเขากลายเป็นชาติที่มีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 สูงสุดเป็นอันดับ 2 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นรองเพียงอินโดนีเซีย

ไบรอัน เอลวัมบูเอนา แพทย์ประจำโรงพยาบาลฟิลิปปินส์ เจเนอรัล ในปี 2020 บอกว่าหลายชีวิตอาจอยู่รอดหากไม่มีการบิดเบือนข้อมูล เขาเชื่อว่ายุทธการของสหรัฐฯ ก่ออิทธิพลแก่คนไข้ของเขา หลายคนในนั้นติดเชื้อโควิด-19 อาการรุนแรง "ผมตกใจมาก และพบว่ามันไม่สร้างสรรค์และน่าสมเพช เพราะว่าเราพยายามอย่างสุดความสามารถ แจ้งให้ผู้คนเข้ารับวัคซีนยามที่วัคซีนมีพร้อมแล้ว"

พวกเจ้าหน้าที่สาธารณสุขฟิลิปปินส์ยังได้ย้อนความถึงกรณีที่โรคระบาดใหญ่ทำให้ระบบสาธารณสุขของประเทศอยู่บนขอบเหวของการพังครืน แพทย์และพยาบาลต้องดิ้นรนดูแลคนไข้โควิด-19 ท่ามกลางเคสผู้ติดเชื้อที่พุ่งสูง

ไดแอนน์ เดอ คาสโตร พยาบาลรายหนึ่งของโรงพยาบาลฟิลิปปินส์ เจเนอรัล เปิดเผยว่าเธอต้องรับหน้าที่ดูแลคนไข้ 24 คนเพียงลำพัง โดยในนั้น 4 คน ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจและอุปกรณ์พยุงชีพ

"มันทำให้ฉันคิดว่า เราอาจปกป้องหรืออย่างน้อยๆ ก็มีอัตราการเสียชีวิตที่น้อยกว่านี้ หลายชีวิตต้องมาสูญเสียไปในช่วงเวลาอันมืดมิดในยุคของเรา ฉันทำงานในด้านสาธารณสุขมาราว 4 ปีก่อนโควิด-19 ฮันไม่เคยรู้สึกกวาดกลัวเช่นนี้มาก่อน ที่ได้เห็นแม่ๆ พ่อๆ ลูกหลาน ญาติๆ และเพื่อนๆ ต้องมาตายในทุกๆ วัน" เดอ คาสโตร ให้สัมภาษณ์กับอาหรับนิวส์

อุบายเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนแก่สาธารณะ ทำให้ฉันโมโห ฉันยังคงมองว่าซิโนแวคเป็นวัคซีนที่มีศักยภาพสำหรับรับมือโควิด-19 และการเผยแพร่ข่าวลือนี้เท่ากับเป็นการตัดสายออกซิเจนคนคนหนึ่ง ที่กำลังต้องการอากาศหายใจและดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดของชีวิต

สำหรับเธอแล้ว เดอ คาสโตร บอกว่ายุทธการโฆษณาชวนเชื่อของสหรัฯ ‘เป็นการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ’ ปล้นโอกาสรอดชีวิตจากโรคระบาดใหญ่ไปจากผู้คน และขโมยเหยื่อผู้เสียชีวิตไปจากครอบครัว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top