Monday, 17 June 2024
WORLD

หลังม่าน WW2 คราบน้ำตาของชาวญี่ปุ่น บนผืนธงชาติอเมริกา เมื่อค่ายกักกันยุ่น มีสภาพไม่ต่างจากนรกบนดิน

จริงๆ แล้ว อเมริกาซ่อนจุดด่างดำอัปลักษณ์ไว้ใต้ผืนธงชาติมากมาย เลยต้องคุ้ยประวัติศาสตร์บางด้านมาเล่าสู่กันฟัง  

สงครามโลกครั้งที่สองเป็นการรบกันระหว่างมหาอำนาจสองขั้วคือ ฝ่ายอักษะและฝ่ายสัมพันธมิตร  

ฝ่ายอักษะคือ ญี่ปุ่น, เยอรมัน และอิตาลี ส่วนสัมพันธมิตรคือ ฝรั่งเศส, อังกฤษ, รัสเซีย และจีน ส่วนอเมริกาตอนนั้นยังนอนแคะสะดือดูสถานการณ์ ไม่ได้ร่วมหัวจมท้ายกับใครช่วงต้นสงคราม  

แต่อเมริกานอนเกาไข่เล่นได้ไม่นาน เช้าตรู่วันที่  7 ธันวาคม ค.ศ. 1941 ฝูงบินญี่ปุ่นก็ถล่มเพิร์ลฮาร์เบอร์ที่ฮาวาย ทหารอเมริกันตายเพียบ เล่นเอาอเมริกันทั้งประเทศเต้นผางอย่างโกรธแค้น ชะ..ไอ้พวกแจ้บ (คำนี้ใช้เรียกชาวญี่ปุ่นในอเมริกาเวลานั้น) บังอาจมาหย่อนระเบิดบ้านกูได้

อเมริกันนั้นยัวะมาก ประกาศสงครามดังลั่นโลก พอวันรุ่งขึ้นวันที่ 8 ธันวาคม ลุงแซมประกาศสงครามกับญี่ปุ่นทันที แถมแรงแค้นยังกระเพื่อมไปถึงชาวญี่ปุ่นทุกคนในอเมริกา โดยเฉพาะฮาวาย ซึ่งเวลานั้นมีชาวญี่ปุ่นมาตั้งรกรากเป็นจำนวนมาก รัฐบาลอเมริกันออกกฎหมายบังคับให้คนญี่ปุ่นในอเมริกา ทิ้งบ้านเรือนร้านค้า แล้วกวาดต้อนเข้าไปอยู่ในค่ายกักกัน ถึงแม้ชาวญี่ปุ่นเหล่านั้นจะได้สัญชาติอเมริกันก็ตาม หรือแม้แต่ชาวญี่ปุ่นที่เกิดในอเมริกา ซึ่งได้สัญชาติอเมริกันตั้งแต่เกิด แต่รัฐบาลไม่แคร์กับสิทธิเสรีภาพของพลเมืองอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่นเหล่านี้แต่อย่างใด

ประธานาธิบดี แฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์ ออกคำสั่งฝ่ายบริหารที่ 9066 ลงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1942  มอบอำนาจให้ผู้บังคับบัญชาทหารท้องถิ่นกำหนด "พื้นที่ทหาร" เพื่อลงดาบบุคคลใดก็ตามที่มีบรรพบุรุษชาวญี่ปุ่น พูดง่ายๆ คือลากพวกนี้ไปเข้าค่ายกักกันให้หมดนั่นเอง  

คำสั่งนี้เหมือนฝันร้าย ทำให้ชาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่นนับแสนต้องทิ้งบ้านเรือนร้านค้าที่ตัวเองเป็นเจ้าของ  เอาติดตัวไปแต่เพียงเสื้อผ้า เพื่อเข้าไปอยู่ในค่ายกักกันตามคำสั่ง แถมรัฐยังยึดที่ดิน ร้านค้า บ้านเรือน ทรัพย์สินของอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่นได้โดยไม่ผิดกฎหมาย ทำให้หลายครอบครัวหมดตัวในพริบตา 

สิ่งที่รัฐบาลอเมริกันทำในเวลานั้น ไม่ได้แตกต่างไปจากนาซีเยอรมันกระทำต่อชาวยิวเลยแม้แต่น้อย แต่ละครอบครัวได้รับหมายเลขยืนยันตัวบุคคล สนามแข่งม้าแซนตาแอนิตาในลอสแอนเจลิสเป็นศูนย์แรกรับใหญ่ที่สุด รองรับได้มากกว่า 18,000 คน และเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ผู้คนถูกบังคับให้อาศัยอยู่ในคอกม้าอย่างแออัดยัดเยียด

แม้อเมริกาเพิ่งเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สองในตอนท้าย และพลอยฟ้าฟลอยฝนได้รับชัยชนะไปด้วยในที่สุด แต่ความเกลียดชังและอคติที่มีต่อชาวญี่ปุ่นในอเมริกายังไม่จางหายไป ยังมีการคุมขังต่อเนื่อง มีการปล่อยตัวชาวญี่ปุ่นเหล่านี้บ้าง ก็เฉพาะที่ถูกคัดสรรแล้วว่าจงรักภักดีต่ออเมริกาจริง นอกนั้นถูกกักขังกักกันต่ออีกหลายปี แม้กระทั่งทารกแรกเกิดที่เกิดในค่ายกักกันก็ไม่ได้รับการปล่อยตัว 

ค่ายกักกันชาวญี่ปุ่นมีทั้งสิ้น 10 แห่งในหลายรัฐ ทั้งแอริโซน่า อาคันซอร์ แคลิฟอร์เนีย โคโลราโดไอดาโฮ ยูทาห์ และไวโอมิ่ง  ทั้งหมดตั้งอยู่ในสถานที่ทุรกันดาร มีสภาพความเป็นอยู่เลวร้าย ค่ายปรับทัศนคติที่รู้จักกันดีที่สุด คือ ค่าย Manzanar ซึ่งตั้งอยู่ในหุบเขาเซียร์ร่า เนวาดา  

ค่ายกักกันทุกแห่งมีสภาพไม่ต่างจากนรกบนดิน   หลายคนตาย เพราะถูกเจ้าหน้าที่ยิง เพียงแค่เดินเฉียดกำแพงค่าย ช่วงเวลาฝันร้ายในค่ายกักกันกินเวลาประมาณ 3 ปี มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อยราว 2,000 คน จนกระทั่งวันที่ 18 ธันวาคม 1944 มีการประกาศยกเลิกกักกัน แต่เมื่อออกจากค่ายกักกันต้องเผชิญฝันร้ายซ้ำสอง เพราะสิ้นเนื้อประดาตัวทุกครอบครัว

ทางรอดใหม่ของประเทศ!! ‘อิหร่าน’ โวพบแหล่งลิเทียม ขนาดใหญ่อันดับ 2 ของโลก คาดมีมากถึง 8.5 ล้านตัน เป็นรอง ‘ชิลิ’ ที่มีอยู่ 9.2 ล้านตัน

อิหร่านประกาศพบแหล่งลิเทียม (Lithium) ขนาดใหญ่อันดับ 2 ของโลกในจังหวัดทางตะวันตก ซึ่งคาดว่าจะมีปริมาณลิเทียมสำรองอยู่มากถึง 8.5 ล้านตัน

สถานีโทรทัศน์แห่งชาติอิหร่านอ้างคำแถลงของ โมฮัมหมัด ฮาดี อาห์มาดี เจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรม เหมือง และพาณิชย์เมื่อวันเสาร์ (4 มี.ค.) ที่ผ่านมาว่า “เราพบแหล่งลิเทียมที่จังหวัดฮาเมดัน (Hamedan) ซึ่งถือเป็นการค้นพบครั้งแรกในอิหร่าน”
 

ลิเทียมซึ่งได้ฉายาว่า “ทองคำสีขาว” (white gold) คือหนึ่งในแร่หายาก หรือ “แรร์เอิร์ธ” ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในการผลิตแบตเตอรี่สำหรับใช้กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และรถยนต์ไฟฟ้า

 

ทั้งนี้ หากตัวเลข 8.5 ล้านตันของกระทรวงอุตสาหกรรมอิหร่านได้รับการยืนยัน จะทำให้สาธารณรัฐอิสลามแห่งนี้กลายเป็นเจ้าของแหล่งลิเทียมใหญ่อันดับ 2 ของโลกรองจาก “ชิลี” ซึ่งมีปริมาณลิเทียมสำรองอยู่ 9.2 ล้านตัน ตามข้อมูลจากสำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาสหรัฐฯ (USGS)

ลิเทียมเป็นวัสดุจำเป็นที่ใช้ผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนในรถยนต์ EV รวมถึงแบตเตอรี่สมาร์ทโฟนที่สามารถชาร์จซ้ำได้ โดยในปีที่แล้วราคาของโลหะหายากชนิดนี้พุ่งสูงขึ้นมากตามความต้องการชิ้นส่วนรถยนต์ EV ในตลาดที่เพิ่มขึ้น
 

สิ้นชีพต่างแดน!! ‘แรงงานไทย’ เสียชีวิตปริศนาในฟาร์มหมู เกาหลีใต้ นายจ้างกลัวความผิด จัดฉากอำพลางศพทิ้งบนภูเขา

(8 มี.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงาน เพจเฟซบุ๊ก World Forum ข่าวสารต่างประเทศ รายงานพบศพแรงงานไทย วัย 60 ปี ในฟาร์มหมู ถูกนำไปทิ้งเชิงเขาตามรายงานของสถานีตำรวจโพชอนเมื่อวันที่ 6 และวันที่ 4.03.2023 คนงานไทยอายุ 60 ปี ถูกพบเสียชีวิตที่ฟาร์มหมูบนเนินเขาในยองบุก-มยอน เมืองโพชอน จุดที่พบศพอยู่บริเวณเชิงเขาห่างจากที่พักประมาณ 200 เมตร

ในวันที่ 4/03 ตำรวจได้รับแจ้งจากแรงงานไทยอีกคนว่าไม่พบเพื่อนคนไทยชื่อ นาย B (ชื่อสมมติ) ทำงานที่ฟาร์มหมูแห่งนี้มาเกือบ 10 ปี เป็นผู้เข้าเมืองผิดกฎหมาย

ตำรวจพบศพชายสัญชาติไทยนาย B อายุ 60 ปี บนเนินเขาใกล้กับฟาร์มหมูในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน 4/03 ตำรวจได้ออกหมายจับเจ้าของฟาร์มหมููชื่อนาย A (นามสมมติ) เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจกล้องที่เกิดเหตุพบรถไถของเจ้าของฟาร์ม A กำลังเคลื่อนที่อยู่ในบริเวณนั้นคาดว่านำศพไปทิ้ง ตำรวจเชื่อว่านาย A อาจลงมือก่อเหตุเพราะกลัวว่าเขาจ้างคนเข้าเมืองผิดกฎหมายทำงาน กลัวถูกค้นพบ และกำลังสืบสวนค่าจ้างและสภาพการทำงานของฟาร์มต่าง ๆ

นอกจากนี้ ตำรวจยังได้สอบสวนลูกชายเจ้าของฟาร์มว่ามีส่วนร่วมในการก่อหตุหรือไม่ ข่าวในวันที่ 7/03 ผลการชันสูตรโดยสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ไม่พบข้อสงสัยว่าเป็นการฆาตกรรมในร่างกายของแรงงานไทย องค์กรที่เกี่ยวข้อง เช่น ตำรวจและกระทรวงการจ้างงานและแรงงานกำลังตรวจสอบ สภาพแวดล้อมการทำงานโดยรวมและการค้างค่าจ้างของฟาร์ม

อีกประเด็น คือ ความเป็นอยู่ของแรงงาน นอนข้างเล้าหมูกลิ่นเหม็น ชื้น และห้องพักไม่ถูกสุขอนามัยขนาด 3X3 มีขยะ ผู้เสียชีวิตทำงานที่ฟาร์มนี้มา 10 ปี ดูแลหมู 1,000 ตัวกวาดล้างมูลสุกรหรือดูแลสุกรในตอนกลางคืน ทำวันละหลายชั่วโมง และผู้เสียชีวิตติดต่อทางบ้านที่ประเทศไทยบ่อย แต่ในชีวิตจริงเขาปลีกตัวอยู่คนเดียวภายในห้องนอน ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น

ส่วนประเด็นสาเหตุการเสียชีวิต 1. ฆาตกรรม /น่าจะถูกตัดออก ผลนิติออก 7/03 ไม่มีร่องรอย 2.ทิ้งศพ หนีความผิดจ้างแรงงานเถื่อน 3.ความเป็นอยู่ ทำให้เสียชีวิต (อาทิ หนาว เชื้อโรค อากาศกลิ่น ไม่ถูกสุขอนามัย) 4.ค้างค่าจ้างหรือไม่ และ 5.ประเด็นอื่น ๆ รอตำรวจสรุปหาสาเหตุการเสียชีวิต

‘รมว.กต.จีน’ ชี้!! สหรัฐฯ สกัดกั้นจีนไม่ได้ช่วยอะไร เตือน หากไม่เหยียบเบรก ระวังพลิกคว่ำ ตกราง

(7 มี.ค. 66) นายฉิน กัง รัฐมนตรีต่างประเทศจีน ซึ่งเป็นอดีตเอกอัครราชทูตจีนประจำสหรัฐอเมริกา ก่อนได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งล่าสุดนี้ กล่าวว่า ความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ เบี่ยงเบนไปอย่างร้ายแรง พร้อมเตือนถึงความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นตามมา

“การสกัดกั้นและปราบปรามจีน ไม่ได้ทำให้สหรัฐฯ ยิ่งใหญ่ และไม่อาจหยุดยั้งการฟื้นคืนพลังกลับขึ้นมาใหม่ของจีนได้” นายฉินกล่าว ระหว่างการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการครั้งแรก ในฐานะรัฐมนตรีต่างประเทศจีนคนใหม่

เมื่อถูกถามว่า ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างจีน-สหรัฐฯ ยังคงเป็นไปได้หรือไม่ ท่ามกลางความแตกต่างที่เพิ่มมากขึ้นระหว่างสองประเทศ นายฉินกล่าวว่า สหรัฐฯ ถือว่าจีนเป็นคู่แข่งหลักและเป็นความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์ที่มากที่สุด แต่นี่ไม่ต่างจากการติดกระดุมเม็ดแรกผิด

“สหรัฐฯ เรียกร้องให้มีการสร้างแนวป้องกัน แต่สิ่งที่สหรัฐฯ ต้องการจริง ๆ คือ ไม่ต้องการให้จีนตอบโต้ด้วยคำพูดหรือด้วยการกระทำเมื่อถูกยั่วยุ” นายฉินกล่าว โดยอ้างถึงการแสดงความเห็นของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ เมื่อเดือนก่อนที่ว่า สหรัฐฯ จะแข่งขันอย่างเต็มที่กับจีน แต่ไม่ได้จะมองหาความขัดแย้ง

รัฐมนตรีต่างประเทศจีนกล่าวว่า หากสหรัฐฯ ไม่เหยียบเบรก และยังคงร้องคำรามไปตามเส้นทางที่ผิด ราวกั้นเท่าใดก็ไม่สามารถหยุดยั้งไม่ให้ตกรางและเกิดพลิกคว่ำได้ มันจะต้องเกิดความขัดแย้งและการเผชิญหน้า ใครจะเป็นผู้แบกรับหายนะที่จะเกิดขึ้นตามมา

‘หลี่ เฉียง’ จ่อนั่งนายกฯ จีน แทน ‘หลี่ เค่อเฉียง’ เชื่อ!! ‘ผลงาน-แนวคิด’ โดนใจ ‘ท่านผู้นำจีน’

(7 มี.ค. 66) ปักกิ่ง (เอเอฟพี/รอยเตอร์ส/ซีซีทีวี) - จีนเตรียมตั้งนายหลี่ เฉียง ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทนที่ หลี่ เค่อเฉียง ในการประชุมสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติที่กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้

สื่อต่างประเทศและสื่อของรัฐบาลจีนรายงานว่า จีนเตรียมแต่งตั้งหลี่ เฉียง วัย 63 ปี คนสนิทของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของจีนอย่างเป็นทางการ แทนที่ หลี่ เค่อเฉียง ในระหว่างการประชุมสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติ หรือเอ็นพีซี ที่กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ มีข้อมูลว่า นายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียง ที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการปฏิรูปตลาด เริ่มถูกจำกัดบทบาท หลังจากที่นายสี จิ้นผิง กระชับอำนาจและเข้ามาจัดการด้านเศรษฐกิจ

‘โซอี้ กาเบรียล’ ก้าวข้ามคำบูลลี่ ‘กระเป๋าที่ซื้อไม่ใช่แบรนด์หรู’ หลังถูกแต่งตั้งเป็น ‘นางแบบ’ พ่วง ‘แบรนด์แอมบาสเดอร์’ จาก ‘C&K’

ฟ้าหลังฝน!! เปิดชีวิต ‘โซอี้ กาเบรียล’ จากเด็กสาวผู้ถูกโซเชียลฯบูลลี่ ‘ซื้อกระเป๋าแบรนด์ไม่หรู’ สู่การเป็นนางแบบ พ่วงแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ ของ Charles & Keith ฉลองวันวันสตรีสากล!!

นางแบบกระเป๋า ผู้ก้าวผ่านคำบูลลี่

กลายเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ ที่กำลังเป็นไวรัลไปทั่วโลกในตอนนี้ กับเรื่องราวของ “โซอี้ กาเบรียล” (Zoe Gabriel)สาวน้อยชาวฟิลิปปินส์วัย 17 ปี หลังจากเธอโพสต์คลิปวิดีโอลงบัญชี TikTok ส่วนตัว ว่าได้รับกระเป๋าหรูเป็นของขวัญ คือก็คือกระเป๋าจากแบรนด์ Charles & Keith

ทันทีที่คลิปถูกโพสต์ลงไป กลับกลายเป็นว่า เธอถูกบูลลี่จากคนบนโลกโซเชียลฯ อย่างหนัก เพราะหลายความเห็นบอกว่า กระเป๋าแบรนด์ที่โซอี้ได้นั้น ไม่ได้หรูอย่างที่เธอคิด และจากเหตุการณ์นี้ก็ได้เกิดดรามาตามมาอีกมากมาย

หลังจากผ่านมรสุมลูกใหญ่มาได้ ล่าสุด โซอี้ ก็ได้รับของขวัญชิ้นพิเศษ นั่นคือแบรนด์กระเป๋าดังกล่าว ได้แต่งตั้งให้เธอเป็น Brand Community Ambassador สาวน้อยได้กลายมาเป็นหนึ่งใน 'นางแบบ' ของแคมเปญ เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลอง วันสตรีสากล (International Women’s Day) ซึ่งตรงกับวันที่ 8 มีนาคมของทุกปี

และภาพถ่ายโปรโมตแคมเปญที่ถูกเผยแพร่ออกมานั้น แสดงให้เห็นถึงสายตาของโซอี้ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ดูแล้วไม่ต่างอะไรกับนางแบบมืออาชีพ โดยเธอได้ถือกระเป๋ารุ่น Alia Chain-Strap Crossbody Bag สีม่วง ซึ่งเป็นหนึ่งในสีประจำวันสตรีสากลอีกด้วย

สำหรับเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับโซอี้ก่อนหน้านี้ ย้อนกลับไปเมื่อกลางเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา ชื่อของ 'โซอี้ กาเบรียล' กลายเป็นประเด็นว่อนโลก TikTok หลังจากที่เธอโพสต์คลิปวิดีโอผ่านบัญชี TikTok @zohtaco เป็นคลิปการซื้อกระเป๋าใบใหม่ แบรนด์ 'Charles & Keith' ซึ่งเป็นแบรนด์กระเป๋าชื่อดังสัญชาติสิงคโปร์

กระเป๋าใบที่เธอได้รับ มีมูลค่า 80 ดอลลาร์สิงคโปร์ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 2,000 บาท โซอี้เล่าด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มว่า กระเป๋าใบนี้คือ 'my first luxury bag' หรือ กระเป๋าหรูใบแรกของฉัน

แต่ความสุขของสาวน้อยช่างแสนสั้น เพราะตามที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น ทันทีที่คลิปนี้ของเธอถูกเผยแพร่ออกไป ก็ได้มีบางคนเข้ามาแสดงความคิดเห็น เชิงดูถูก ล้อเลียน และบูลลี่โซอี้ ในทำนองที่ว่า “ใครบอกเธอว่าหรู?”, “Charles & Keith ไม่ใช่กระเป๋าหรู”, “เธอโง่มากที่คิดแบบนี้” และอื่น ๆ อีกมากมาย

แต่สาวน้อยโซอี้ไม่ได้นิ่งเฉยกับกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ ในเวลาต่อมาเธอได้โพสต์คลิปเพื่ออธิบายอีกมุม โดยมีใจความว่า ครอบครัวของเธอซึ่งเป็นชาวฟิลิปปินส์นั้นไม่ได้มีฐานะร่ำรวย และย้ายมาอยู่สิงคโปร์ได้ราว 13 ปี ตอนย้ายมาใหม่ ๆ แม้แต่การซื้อของง่าย ๆ อย่างขนมปังชื่อดัง ก็ยังต้องนาน ๆ ครั้ง เพราะเป็นของหรูสำหรับครอบครัว

บางครั้งจะซื้ออะไร พ่อของเธอมักบอกว่า เอาไว้ครั้งหน้านะ แต่ครั้งหน้าก็ไม่มีจริง ...

“ความเห็นต่าง ๆ ในด้านลบก็เพราะมุมมองของคนที่ร่ำรวยมีฐานะ สำหรับพวกคุณกระเป๋าราคา 80 ดอลลาร์สิงคโปร์ อาจไม่หรูหรา แต่สำหรับฉันกับครอบครัว เป็นเงินที่เยอะมาก

และฉันก็ปลื้มมากที่พ่อซื้อกระเป๋าใบนี้ให้ฉัน เพราะเขาต้องทำงานหนักมากเพื่อเงินสำหรับกระเป๋าใบนี้ ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่าจะถูกกระแสเกลียดชัง เพียงเพราะฉันดีใจกับกระเป๋าที่ได้รับจากพ่อ” 

โซอี้กล่าวทั้งน้ำตาเปลี่ยนคำดูถูกเป็นพลัง

คำกล่าวที่ว่า "ฟ้าหลังฝน ย่อมสวยงามเสมอ" คงเปรียบได้กับชีวิตของเด็กสาวที่ชื่อ 'โซอี้ กาเบรียล' เพราะเมื่อคลิปตอบโต้คนที่เข้ามาบูลลี่เธอถูกแชร์ออกไป กำลังใจและพลังบวกจากผู้คนจากทุกสารทิศ ก็ถูกส่งมาให้เธออย่างล้นหลาม

ขณะเดียวกัน คนที่เคยคอมเมนต์เชิงลบก็อาศัยจังหวะชุลมุนเนียนลบไป และมีบางส่วนถึงขั้นลบบัญชีผู้ใช้ของตนเองอีกด้วย

เมื่อเรื่องราวของเธอกลายเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วโลก แน่นอนว่าแบรนด์กระเป๋า Charles & Keith ย่อมทราบเรื่อง และเทคแอกชัน ด้วยการเชิญเธอและคุณพ่อ ไปรับประทานอาหารกลางวันกับผู้ก่อตั้งแบรนด์ พาเยี่ยมชมสำนักงานใหญ่ในสิงคโปร์ พร้อมมอบของขวัญจากแบรนด์ให้

หลังจากการเยี่ยมชมสำนักงานใหญ่ของกระเป๋าแบรนด์ดังกล่าว โซอี้ก็ได้ออกมาเปิดเผยความรู้สึกผ่านอินสตาแกรมส่วนตัว @zoeaaleah 

พร้อมโพสต์ภาพคู่คุณพ่อด้วยรอยยิ้มอันสดใส

'ตันบูซายัต' ปลายทางสถานีรถไฟสายมรณะ เสน่ห์ของเมืองเล็กๆ ที่รอวันนักท่องเที่ยวไปเยือน

เมื่อพูดถึงความเลวร้ายของสงครามโลกครั้งที่ 2 (WW 2) ใครๆ หลายคนรวมถึงชาวต่างชาติคงคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในค่ายกักกันเชลยที่จังหวัดกาญจนบุรี จุดที่ฝั่งกองทัพญี่ปุ่นปักธงให้สร้างทางรถไฟเชื่อมจากประเทศไทยไปยังพม่า 

แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าปลายทางของสถานีรถไฟสายมรณะแห่งนี้สิ้นสุดที่สถานี 'ตันบูซายัต' ในเมืองตันบูซายัต รัฐมอญ ประเทศเมียนมาในปัจจุบัน 

วันนี้เอย่าขอพาไปเที่ยวเมืองตันบูซายัต ปลายทางของทางรถไฟสายมรณะแห่งนี้

ก่อนอื่นมาทำความรู้จักทางรถไฟสายมรณะสายนี้กันก่อนดีกว่า เส้นทางนี้เริ่มต้นจากสถานีชุมทางหนองปลาดุก อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ผ่านจังหวัดกาญจนบุรีข้ามแม่น้ำแควใหญ่ โดยสะพานข้ามแม่น้ำแคว ไปทางทิศตะวันตกจนถึงด่านเจดีย์สามองค์ ไปยังปลายทางที่เมืองตันบูซายัต ประเทศเมียนมา

ทางรถไฟสายมรณะแห่งนี้ มีความยาวจากหนองปลาดุกถึงสถานีตันบูซายัตรวม 415 กิโลเมตร เป็นทางรถไฟอยู่ในเขตประเทศไทยประมาณ 303.95 กิโลเมตร และอยู่ในเขตประเทศเมียนมา 111.05 กิโลเมตร มีสถานีจำนวน 53 สถานีแต่ได้ยุบสถานีไป 23 สถานี ปัจจุบันเหลือสถานีที่เปิดให้บริการ 30 สถานี

‘ทรัมป์’ ชี้ ‘รบ.สหรัฐฯ’ ควรหยุดทุ่มงบให้ ‘สงครามที่ไม่รู้จบ’ ลั่น!! ถ้าชนะเลือกตั้ง จะยุติสงครามยูเครนภายในวันเดียว

(6 มี.ค. 66) อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ประกาศกลางที่ประชุมกลุ่มผู้สนับสนุนสายอนุรักษนิยมเมื่อวันเสาร์ (4 มี.ค.) ว่า…

‘สงครามโลกครั้งที่ 3’ จะไม่เกิดขึ้นแน่นอน หากตนได้เป็นผู้นำสหรัฐฯ อีกครั้งในปี 2024 พร้อมคุยว่า สามารถจบสงครามยูเครนได้ ‘ภายในวันเดียว’

ทรัมป์ ในวัย 76 ปี ให้คำมั่นสัญญาว่า เขาและผู้สนับสนุนจะไม่ปล่อยให้พรรครีพับลิกันถูกครอบงำโดย ‘พวกบ้าคลั่งและโง่เง่า’ ที่พาสหรัฐฯ เข้าไปพัวพันกับ ‘สงครามที่ไม่รู้จบในต่างประเทศ’

อดีตผู้นำสหรัฐฯ ระบุด้วยว่า วอชิงตันควรหยุดทุ่มงบประมาณนับพัน ๆ ล้านดอลลาร์ เพื่อปกป้องยูเครนได้แล้ว และหากเขาได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีก็จะทำให้สงครามยูเครน ‘จบลงภายในวันเดียว’ และจะเรียกร้องให้ชาติพันธมิตรองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ‘จ่ายต้นทุนของสงคราม’ ให้มากขึ้นด้วย

“คุณไม่สามารถทุ่มเงินเป็นแสน ๆ ล้านดอลลาร์ เพื่อปกป้องกลุ่มคนที่ก็ไม่ได้ชื่นชอบเราสักเท่าไหร่ และถ้าเป็นในทางธุรกิจ ถ้าคุณยอมจ่ายมากขนาดนั้น คุณต้องบอกพวกเขาเลยว่า ถ้าชนะ ประเทศคุณครึ่งหนึ่งต้องเป็นของเรา”

ส่อแววสิ้นชาติ!! ‘ญี่ปุ่น’ อัดฉีดงบรณรงค์ครอบครัวปั๊มลูกเพิ่ม หวั่น!! ถ้าไม่เร่งแก้ปัญหานี้โดยเร็ว สิ้นชาติแน่นอน

(6 มี.ค. 66) รัฐบาลญี่ปุ่นกำลังตื่นตระหนกกับปัญหาเด็กเกิดน้อย ประชากรหดตัว หวั่นอนาคตเศรษฐกิจพินาศ จนถึงขั้นสิ้นชาติ

ด้าน โมริ มาซาโกะ หนึ่งในทีมที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีคิชิดะ ฟูมิโอะ ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อญี่ปุ่น หลังพบว่า ในปีที่ผ่านมามีทารกแรกเกิดในญี่ปุ่นน้อยที่สุดเป็นประวติการณ์ว่า นอกเหนือจากปัญหาทางเศรษฐกิจถดถอยจากปัญหาประชากรลดน้อยลงแล้ว ความหวาดกลัวในอนาคตจะเกาะกินใจเด็กญี่ปุ่นรุ่นใหม่ เมื่อต้องเผชิญความจริงที่ว่า ญี่ปุ่นมีสิทธิ์ที่จะสูญสิ้นชาติได้

โดย โมริ มาซาโกะ ชี้ว่า ในปี 2022 ที่ผ่านมา มียอดตัวเลขผู้เสียชีวิตในญี่ปุ่น 1.58 ล้านคน ซึ่งสูงกว่ายอดเด็กแรกเกิดที่ราว ๆ 8 แสนคนถึง 2 เท่า และอัตราการเด็กเกิดใหม่ในญี่ปุ่นมีตัวเลขดิ่งลงอย่างรวดเร็ว จนตอนนี้ประชากรเหลืออยู่เพียง 124.6 ล้านคน ลดลงจากปีที่ญี่ปุ่นมีประชากรมากที่สุดในปี 2008 ที่ 128 ล้านคน และในจำนวนประชากรญี่ปุ่นในปัจจุบัน มีกลุ่มผู้สูงอายุ ตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปเพิ่มขึ้นถึง 29%

สิ่งที่น่าวิตกอย่างมากคือ การที่เด็กรุ่นใหม่เกิดน้อยมาก จะทำให้ญี่ปุ่นสูญเสียศักยภาพในการขับเคลื่อนประเทศในมิติต่าง ๆ ความแข็งแกร่งด้านอุตสาหกรรม และ เศรษฐกิจจะถดถอยลงเรื่อย ๆ ส่งผลต่อความมั่นคงของชาติ ลองคิดดูว่า เมื่อขาดแคลนกลุ่มเยาวชน คนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ เราจะหาใครมาทำหน้าที่ปกป้องประเทศจากภัยคุกคามของชาติอื่นในอนาคตได้

ด้วยเหตุนี้ นายกรัฐมนตรีคิชิดะ ฟูมิโอะ เตรียมที่จะอัดฉีดงบประมาณเพื่อจูงใจให้ครอบครัวชาวญี่ปุ่นมีลูกมากขึ้น ด้วยการเพิ่มเงินโบนัสพิเศษให้กับครอบครัวที่มีเด็กเกิดใหม่จากเดิม 4.2 แสนเยน ต่อคน เป็น 5 แสนเยนในปีนี้ และอาจมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างระบบการทำงานในญี่ปุ่นให้เอื้อต่อคุณแม่ชาวญี่ปุ่น สามารถทำงานไปด้วย ดูแลลูกไปด้วยได้ง่ายขึ้น

 

เจรจานับ 10 ปี!! ‘นานาชาติ’ บรรลุข้อตกลง ‘สนธิสัญญาทะเลหลวง’  ขีดเส้นพื้นที่ทำประมง-เส้นทางเดินเรือ คุ้มครองสัตว์ทะเล

(5 มี.ค. 66) สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า นานาชาติบรรลุสนธิสัญญาทะเลหลวง ข้อตกลงครั้งประวัติศาสตร์ ที่จะคุ้มครองมหาสมุทรโลก เมื่อวันเสาร์ที่ 4 มี.ค.ตามเวลาท้องถิ่น หลังจากเจรจานาน 10 ปี โดยการเจราครั้งล่าสุดนี้ ใช้เวลาในการเจรจากว่า 38 ชั่วโมง ที่สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ หรือ ‘ยูเอ็น’ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา

สาระสำคัญ ได้แก่ กำหนดให้ร้อยละ 30 ของทะเลหลวง เป็นพื้นที่ที่ต้องได้รับความคุ้มครอง เพื่อมุ่งที่จะป้องกันภัยและฟื้นคืนธรรมชาติทางทะเล สาเหตุที่ต้องใช้ระยะเวลาการเจรจานานนับ 10 ปี เนื่องมาจากไม่สามารถตกลงกันได้ในประเด็นเงินทุนและสิทธิในการทำประมง

สนธิสัญญาใหม่นี้ จะจำกัดปริมาณการทำประมง เส้นทางการเดินเรือและกิจกรรมการสำรวจ อาทิ การทำเหมืองแร่ทะเลลึก หลังจากกลุ่มเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมกังวลว่า กระบวนการทำเหมืองแร่ อาจรบกวนพื้นที่การผสมพันธุ์ของสัตว์ สร้างมลพิษทางเสียงและเป็นพิษต่อสัตว์ทะเล

ในอดีต สัตว์ทะเลที่อาศัยอยู่นอกพื้นที่คุ้มครองเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ การประมงเกินขีดจำกัดและการเดินเรือ ซึ่งจากการประเมินชนิดพันธุ์ทางทะเลทั่วโลกพบว่า เกือบร้อยละ 10 เสี่ยงสูญพันธุ์

พญามังกรจัดเต็ม!! จีน อัดงบฯกลาโหม ปีนี้ 1.55 ล้านล้านหยวน เตรียมพร้อมต้านภัยคุกคามจาก "ภายนอก"

สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า จีนประกาศจะเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมอีก 7.2% ในปี 2566 สูงขึ้นเล็กน้อยจาก 7.1% ในปีที่แล้ว โดยนายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียง เตือนถึงภัยคุกคาม "ภายนอก" ที่เพิ่มมากขึ้นต่อการผงาดขึ้นของปักกิ่ง

รายงานของกระทรวงการคลังจีนที่เผยแพร่นอกรอบการประชุมประจำปีของสภาประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) ในวันนี้เปิดเผยว่า รัฐบาลจีนจะจัดสรรเงิน 1.55 ล้านล้านหยวน (2.25 แสนล้านดอลลาร์) สำหรับการใช้จ่ายด้านกลาโหมในปีนี้ ซึ่งเป็นการเพิ่มงบประมาณในอัตราที่สูงกว่าเป้าหมายการเติบโตของ GDP ในปีนี้ที่ 5%

เป็นที่น่าสังเกตว่างบประมาณทางทหารของจีนนั้นมากเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐ โดยปีที่แล้วจีนใช้เงินด้านกลาโหมไป 1.45 ล้านล้านหยวน (2.10 แสนล้านดอลลาร์) อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ในต่างประเทศหลายคนเชื่อว่าจริง ๆ แล้วจีนอาจใช้จ่ายเงินมากกว่าตัวเลขที่ประกาศอย่างเป็นทางการ ถึงกระนั้น งบประมาณด้านกลาโหมของจีนก็ยังคงน้อยกว่าของสหรัฐอย่างมาก โดยสหรัฐได้จัดสรรงบประมาณกว่า 8 แสนล้านดอลลาร์สำหรับการทหารในปีนี้
.
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จีนได้ทุ่มเงินหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อปรับปรุงการป้องกันประเทศให้ทันสมัย โดยมีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนกองทัพขนาดมหึมาให้กลายเป็นกองกำลังระดับโลกทัดเทียมกับสหรัฐและชาติมหาอำนาจตะวันตกอื่น ๆ ได้ อย่างไรก็ตาม ความตึงเครียดทางทหารระหว่างจีนกับสหรัฐได้เพิ่มสูงขึ้นในปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของไต้หวัน

นายกฯ หลี่ เค่อเฉียง กล่าวสุนทรพจน์นำเสนอรายงานการทำงานของรัฐบาลในวันนี้ โดยเตือนว่า "ความพยายามจากภายนอกที่จะปราบปรามและควบคุมจีนกำลังบานปลาย" พร้อมเน้นย้ำว่ากองทัพจำเป็นต้องฝึกฝนและเตรียมความพร้อมทางทหารให้เข้มข้นขึ้น ทุ่มเทเรี่ยวแรงมากขึ้นในการฝึกภายใต้เงื่อนไขการสู้รบ และเสริมความแข็งแกร่งให้กับงานทางทหารในทุกทิศทุกด้าน


 

HIGHWAY TO HELL วิเคราะห์ 'ถนนสายย่างกุ้ง-เนปิดอว์-มัณฑะเลย์' เหตุใด 587 กม.นี้ จึงมีแต่ 'อุบัติเหตุ' และ 'ความตาย'

เกิดอุบัติเหตุใหญ่เมื่อเช้าของวันที่ 4 มีนาคม เมื่อมีรถโดยสารระหว่างเมืองย่างกุ้ง-มัณฑะเลย์ เกิดอุบัติเหตุพลิกคว่ำ จนเป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บในเหตุการณ์นี้นับ 10 รายและมีผู้เสียชีวิต 3 ราย โดยหนึ่งในผู้เสียชีวิตคืออดีตแชมป์มวยคาดเชือกของเมียนมานาม Shwe Du Wun  

วันนี้จึงมีเหตุให้เรามาทำความรู้จักกับถนนเส้นนี้กัน..

เส้นทางไฮเวย์ 'สายย่างกุ้ง-เนปิดอว์-มัณฑะเลย์' ได้ชื่อว่าเป็นถนนแห่งความตาย เพราะตั้งแต่ถนนเส้นนี้เปิดใช้มีคนต้องสังเวยชีวิตให้กับถนนเส้นนี้แล้วนับหลายร้อยศพและเกิดอุบัติเหตุบนถนนเส้นนี้นับร้อยๆ ครั้งต่อปี 

เส้นทางไฮเวย์ 'สายย่างกุ้ง-เนปิดอว์-มัณฑะเลย์' เส้นนี้ มีระยะทาง 587 กิโลเมตรนับจากหัวถนนที่นอกเมืองย่างกุ้ง ซึ่งเปิดใช้เมื่อธันวาคม 2010 โดยถนนเส้นนี้ทำการลดระยะเวลาการเดินทางไปยังมัณฑะเลย์จากเดิมที่ต้องใช้เวลาในการเดินทาง 13-15 ชั่วโมงให้เหลือเพียง 7-8 ชั่วโมงเท่านั้น  

ว่ากันว่าถนนเส้นทางนี้วางแผนการสร้างกันมาตั้งแต่ปี 1954 โดยเป็นส่วนหนึ่งของแผนการ Naypyitaw ของรัฐบาล U Nu ต่อมาในปี 1959 ทางสหรัฐอเมริกาเข้ามาเสนอความช่วยเหลือด้านการสำรวจและวิศวกรรมทางหลวงเป็นจำนวนเงิน 750,000 ดอลล่าร์สหรัฐ ซึ่งการสำรวจได้เสร็จสิ้นในปี 1960 แต่เนื่องจากต้นทุนการสร้างที่สูง จึงทำให้รัฐบาลในตอนนั้นชะลอแผนการสร้างออกไปจนเมื่อเกิดการปฎิวัติในปี 1962 สหรัฐอเมริกาก็เริ่มจะถอยห่างออก 

จากนั้นแม้จะมีการสร้างมาเป็นระยะๆ แต่โครงการก็ขับเคลื่อนไปอย่าช้าๆ และหยุดชะงักเป็นช่วงๆ จนกระทั่งในปี 2005 จึงเริ่มมีการก่อสร้างอีกครั้งอย่างจริงจังจนสำเร็จและเปิดใช้ในช่วงสิ้นปี 2010 และเส้นนี้ยังมีการทำต่อเพิ่มเติมในเมืองย่อยๆ ของมัณฑะเลย์อีกในช่วง Saga-In ไป Tagundaing ซึ่งแล้วเสร็จในปี 2011

ทว่า จากการสร้างถนนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายยุคสมัย ทำให้ถนนที่สร้างขึ้นมานี้ ไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากล เช่น ถนนไม่รับโค้ง ทำให้รถที่วิ่งมาด้วยความเร็วส่วนใหญ่เกิดอุบัติเหตุหลุดโค้ง รวมถึงเรื่องอื่นๆ เช่น ไม่มีรั้วกั้นระหว่างทางหลวงกับชุมชนข้างเคียง ทำให้เกิดอุบัติเหตุอันที่เกี่ยวข้องกับคนและสัตว์เลี้ยงของชุมชนที่อยู่ข้างเคียงเรียงรายตามเส้นทางไฮเวย์ดังกล่าว  

ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ เปิดตำนานพระประธานแห่งเมือง Zalun  สะพรึงสะเทือนราชวงศ์อังกฤษในยุคล่าอาณานิคม

อย่างที่ทราบกันว่า เมื่ออังกฤษเข้ามายึดพม่าในตั้งแต่ปี 1824 นั้น นอกจากอังกฤษจะเข้ามาวางระบบผังเมืองในย่างกุ้งแล้ว อีกมุมหนึ่งอังกฤษก็ขนเอาทรัพยากรอันมีค่าของพม่าในยุคนั้น อาทิ ไม้สัก งาช้าง อัญมณี รวมถึงทองคำและทองเหลือง กลับมายังเกาะอังกฤษหรืออินเดียที่ถือเป็นศูนย์กลางของจักรวรรดิอังกฤษในเวลานั้น และองค์พระแห่งเมือง Zalun ที่เจดีย์ Mar Aung Myin องค์นี้ ก็เป็น 1 สิ่งที่ถูกขนออกจากพม่าไปในกาลนั้นด้วยเช่นกัน

ในตำนานกล่าวไว้ว่า องค์พระท่านถูกขนออกไปจากเมือง Zalun ในรัฐอิรวดีไปยังเมืองบอมเบย์ในประเทศอินเดีย ซึ่งตอนนั้นในเมืองบอมเบย์เป็นที่ตั้งของโรงเก็บของอังกฤษที่นำมาจากสถานที่ต่าง ๆ ที่เป็นอาณานิคมของอังกฤษ ซึ่งในขณะนั้นเครื่องทองเหลืองที่ยึดมาได้จากเมืองอาณานิคมจะถูกนำมาหลอมใหม่ เพื่อทำเป็นเหรียญกษาปณ์ ลูกปืน

แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น หลังจากที่องค์พระถูกย้ายมาที่นี่ โดยมีการระบุว่าหลังจากที่องค์พระเดินทางมาถึงโรงเก็บของในเมืองบอมเบย์ ก็เกิดฝนตกหนัก และลมกรรโชกแรง และเมื่อนำองค์พระไปหลอมก็ปรากฎว่า องค์พระไม่ถูกหลอมเหลวเหมือนทองเหลืองทั่วไป จนต้องเชิญท่านกลับมาในโรงเก็บเหมือนเดิม หลังจากนั้นคนงานชาวอินเดีย 64 คนที่ทำงานในการหลอมองค์พระก็กระอักเลือดตายอย่างเป็นปริศนา  

ไม่เพียงแค่นั้น เมื่อสมเด็จพระราชินีวิคตอเรีย ซึ่งในขณะนั้นเป็นผู้ครองราชย์ราชวงศ์อังกฤษ ก็ได้เกิดพระอาการประชวรปวดศีรษะอย่างรุนแรง ซึ่งหมอหลวงในบักกิงแฮมก็ไม่สามารถวินิจฉัยและเยียวยารักษาอาการประชวรนี้ได้ จนต่อมาพระนางได้นิมิตฝันเห็นร่างดำทะมึน โดยในความฝันได้บอกกับพระนางว่าให้นำองค์พระที่อยู่ในโรงเก็บของในเมืองบอมเบย์กลับไปประดิษฐานยังที่เดิมในเมือง Zalun มิฉะนั้นพระนางจะสิ้นใจ 

‘แรงงานกัมพูชา’ วอนคนที่บ้านเกิด หยุดดรามา ‘กุน ขแมร์’ คนปั่นกระแสที่เขมรไม่ทุกข์ แต่คนทำงานที่ไทยอยู่ลำบาก

เมื่อวานนี้ (3 มี.ค. 66) ผู้ใช้ TikTok รายหนึ่ง ที่เป็นหนุ่มกัมพูชา ซึ่งมาทำงานหากินอยู่ในเมืองไทย ได้โพสต์คลิปถึงเรื่องดรามา ‘กุน ขแมร์’ ที่เป็นกระแสร้อนอยู่ในตอนนี้

โดยในคลิปจะเห็นหนุ่มคนดังกล่าว เปิดเผยว่า…

“ความจริงเรื่องนี้ไม่อยากออกมาพูดเพราะมันบอบบางมาก แต่ในความคิดของผม จบได้แล้วครับ ขอร้องคนฝั่งบ้านผม เลิกพูด หยุดได้แล้ว แล้วคนพูดได้อะไร สงสารคนที่มาทำงานที่เมืองไทยด้วยนะครับ ทำงานเหนื่อยแล้ว ยังมาเจอแบบนี้อีก

พวกคุณอยู่ที่กัมพูชาก็ไม่เป็นไร คุณก็รอด ไม่มีปัญหาอะไร แต่คนที่ทำมาหากินอยู่ที่ประเทศไทยนี้โดนกดดันนะ สงสารคนทำมาหากินด้วย หยุดได้แล้ว อย่าอ้างอิงประวัติศาสตร์อะไรก็แล้วแต่ มวยไทยก็คือมวยไทย กุนขแมร์ก็คือกุนขแมร์ อย่ามาหาต้นตำรับ อย่ามาบอกว่า ต้นตำรับยกมาจากไหน คนที่เผยแพร่นั้นอาจจะเป็นกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง จากที่ใดที่หนึ่งก่อน แล้วก็เผยแพร่มาเรื่อย ๆ มันอยู่ที่คนไม่ปกป้องรักษาเอง วัฒนธรรมที่เขาเผยแพร่มันคือของที่รวมกัน คนที่เขาเผยแพร่วัฒนธรรมนี้เขาก็ตั้งใจอยู่แล้ว ให้วัฒนธรรมของเขามีอิทธิพลไปทุกที่ ทุกทวีป อย่ามาอ้างอิง อย่าเอาประวัติศาสตร์มากล่าว ให้คนอื่นมาฟังพวกคุณ โทษกันไม่ได้ วัฒนธรรมร่วมกันนี้เขาก็ปกป้องรักษา เขาลงทุนมากมาย เขารักศิลปะของเขา เขาก็ปกป้อง เขาก็ดูแลมาดี คุณต้องเข้าใจ

Let’s vogue (มาโว้กกันดีกว่า) ดื่มด่ำสไตล์การเต้นของชาวผิวสีหลากเพศ พร้อมลิ้มรสการโดนเหยียด เพราะเป็นคนต่างแดน

เราอึ้งไปพักนึงเมื่อได้ยินว่า ไมเคิล คือ แฟนของเจมส์ คบกันมาเกือบหนึ่งเดือนไม่เห็นเจมส์จะเคยพูดถึงแฟนเลย 

จะว่าไปไม่ใช่เจมส์คนเดียวที่เงียบเรื่องแฟน ตัวเราเองก็ไม่ปริปากเช่นกันว่าเรามีแฟนอยู่เมืองไทย เรากลัวว่าถ้าเราบอกเขาคงจะไม่เจอเราอีก ที่ไหนได้ต่างคนต่างมีแต่อุบไว้ 

เอาล่ะนะเป็นไงเป็นกัน เราทำใจว่าเราคงโดนไมเคิลด่าหูชาแน่ๆ หลังจากที่ทักทายกันตามมารยาท ไมเคิลบอกว่าเจมส์บอกว่าเราเป็นคนน่ารักมาก เขาเลยอยากจะเจอ แถมรู้มาว่าเราไม่มีเพื่อนเกย์เลย เขาก็อยากจะทำความรู้จักกับเราเผื่อจะพาเราไปเที่ยวคลับ 

ตอนแรกเราก็ลังเลระแวงไปว่า ไมเคิลคงจะหาทางล้างแค้นเรา แต่พอเรามาคิดกลับว่าถ้าเขามีเจตนาดีจริงๆ เราจะเสียโอกาสรู้จักคนที่ดีเป็นเพื่อน เราเลยตอบตกลงไมเคิลไปว่าเราจะเจอกับเขาและเพื่อนๆ ที่คลับ Avalon ในวันอาทิตย์ที่จะถึง 

เมื่อถึงวันนั้นเราก็ขับรถไปบาร์ เราก็ตกใจว่าค่าจอดรถข้างๆ คลับนั้นแพงมาก จ่ายไปประมาณสิบห้าเหรียญเพื่อจะจอดไม่กี่ชั่วโมง เราเลยตั้งปณิธานว่าต่อไปนี้เราจะเดินไปบาร์แทนเพื่อประหยัดค่าจอดรถ พอถึงที่คลับเราต้องจ่ายเงินค่าเข้าอีกสิบเหรียญ เราก็นึกว่าเครื่องดื่มคงรวมอยู่ในค่าเข้าด้วยเหมือนกับ DJ Station ที่กรุงเทพฯ 

แต่แล้วก็หน้าแตกเมื่อบาร์เทนเดอร์บอกเราว่าเราต้องจ่ายค่าเครื่องดื่มต่างหาก เบียร์ขวดละประมาณห้าเหรียญไม่รวมทิป เครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ราคาจากเจ็ดเหรียญขึ้นไป ถ้าเป็นคนดื่มจัดเที่ยวคืนหนึ่งคงเกือบหมดตัวเลยเชียว 

เราเป็นคนที่เมาง่ายเลยสั่งแค่ไดเอทโค้กมาดื่ม ขนาดไม่มีแอลกอฮอล์ยังปาเข้าไปสามเหรียญ และพอได้รับเครื่องดื่มเสร็จก็ไปหาจุดที่นัดไมเคิลกะเจมส์ไว้ เขาบอกว่าเขาจะเต้นกันอยู่แถวๆ เวทีติดลำโพงด้านขวา เราเดินไปถึงจุดนัดพบแต่ไม่เห็นเจมส์ เราเลยเดินสำรวจคลับฆ่าเวลา 

Avalon เป็นคลับที่ใหญ่มาก เพราะรวมสองคลับไว้ด้วยกัน แถม Avalon ยังเป็นคลับหลักที่เปิดเพลงคุ้นหูเพราะเป็นเพลงที่เปิดตามวิทยุตามสมัย แต่เอามามิกซ์ใส่จังหวะเพื่อให้เต้นรำ 

ส่วน Axis คือ คลับเล็กที่เปิดเพลงเต้นรำสไตล์ House ที่เน้นจังหวะมากกว่าคำร้อง วันจันทร์ถึงเสาร์ทางคลับจะเปิด Avalon และ Axis แยกกัน คนที่ไปต้องเลือกเจาะจงว่าจะไปคลับไหน เพราะไม่สามารถเดินทะลุถึงกันได้ 

นอกจากนั้นคลับส่วนใหญ่ที่อเมริกาจะไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อบริการเฉพาะชาวเพศหลากหลาย (LGBTQ+) เขาจะกำหนดหนึ่งหรือสองวันในแต่ละอาทิตย์ที่เน้นให้ชาวเราเที่ยว เช่นวันพุธ Axis จะใช้ชื่อว่า Venus de Milo และวันอาทิตย์ Avalon จะเปิดสองคลับทะลุถึงกันเพื่อบริการลูกค้าชาวเรา 

เมื่อเราเดินวนหนึ่งรอบ ก็มายืนรออยู่ที่เดิม รออีกสักสิบนาทีก็มีคนมาแตะไหล่ เมื่อหันไปเจมส์ก็แนะนำให้รู้จักกับไมเคิล ไมเคิลเป็นชาวฮ่องกง แต่มาโตที่อเมริกาเพราะพ่อแม่มาตั้งรกรากที่นี่ 

ผิวไมเคิลนั้นเนียนมากสมกับคำว่าหนุ่มหน้าหยก แถมยังเป็นคนหน้าตาดี อัธยาศัยดีช่างคุย ยิ้มเก่ง ทักทายพอเป็นพิธีสักพักเขาก็ชวนเราไปเต้นรำ เราเขินเพราะว่าเป็นคนไม่ชอบแสดงออก แต่กลัวเสียมารยาทเลยตอบตกลงและเดินลงฟลอร์ไปกับเขา 

เต้นกันไปสักพักดีเจก็เปิดเพลง Vogue ของ Madonna ที่ดังเป็นพลุแตกในช่วงนั้น เหล่าเก้งกวางบ่างทั้งหลายชวนกันกรี๊ดอย่างถูกใจ ฟลอร์แน่นแทบจะไม่มีที่ยืน ไมเคิลเลยกระซิบชวนเราไปเต้นบนเวทีข้างลำโพง เขาบอกว่า “Let’s vogue” หรือมาเต้นโว้กกันดีกว่า

เมื่อพูดถึงเต้นแบบโว้กท่านผู้อ่านบางคนอาจจะไม่คุ้นเคยว่าคืออะไร โว้ก (Vogue) คือการเต้นที่ผสมการออกท่าทางแบบละครใบ้ (Pantomime) ผู้เต้นจะขยับตัวเหมือนตนเองเดินแบบอยู่บนแคทวอล์ค (catwalk) มือจะแสดงท่าเหมือนว่าตนเองจะแต่งหน้า, ทำผม หรือใส่เสื้อผ้าแสนวิจิตร 

ถ้าสนใจอยากชมศิลปะการเต้นโว้ก ก็สามารถหาดูในยูทูป มิวสิควีดีโอ Deep in Vogue โดย Malcolm  McLaren https://youtu.be/kd4u0Zzc5zc เพราะเสนอตัวอย่างที่ดีของการเต้นโว้กโดยเหล่านักเต้นแนวหน้าที่นำกระแสการเต้นเฉพาะกลุ่มมาจุดประกายความสนใจของศิลปินชื่อดังทั้งหลายในยุคปลายปี 80

Madonna ใช้การเต้นโว้กเป็นแรงบันดาลใจในการแต่งเพลงและเต้นประกอบในเพลง Vogue (https://youtu.be/GuJQSAiODqI) จนดังสุดโต่งในปี 1990 (พ.ศ.2533) คนส่วนใหญ่จึงเข้าใจไปว่าเธอเป็นคนริเริ่มการเต้นแบบนี้คิดมาเอง ทั้งที่จริงแล้วโว้กมีจุดริเริ่มมาจากกลุ่มเพศหลากหลายของชาวผิวสีตั้งแต่ประมาณปี 1920 ยุคนั้นมีการฟื้นฟูศิลปะแขนงต่างๆในกลุ่ม

ชนผิวสีในบริเวณฮาร์เล็มในเมืองนิวยอร์กที่เรียกว่า The Harlem Renaissance นอกจากผลงานเขียนและภาพวาดจะเฟื่องฟูในยุคนี้ ได้มีการสนใจการเต้นรำแบบลีลาศ (Ballroom) ชาวเพศหลากหลายที่ชอบแต่งตัวข้ามเพศ (drag queens) ใช้เวทีเต้นรำมาสะสางความเป็นศัตรูของตนโดยการประชันเต้นแข่งกัน แทนทีจะตบตีพวกเขาใช้ท่าทางการเต้นเป็นการแสดงความเชิดใส่กัน (shading) 

จากการเต้นลีลาศพัฒนามาเป็นการโพสต์ท่าเลียนแบบตัวหนังสือภาพของอียิปต์ (hieroglyphs) และท่าที่นางแบบโพสต์ตามนิตยสารแฟชัน จึงใช้ชื่อศิลปะการเต้นตาม Vogue นิตยสารแฟชั่นชื่อดังของอเมริกา ท้ายที่สุดพวกเขาผสมผสานและประยุกต์ท่าที่โพสต์กับการเดินแบบบนแคทวอร์ก จนเป็นการเต้นโว้กที่ปฏิบัติมาจนถึงทุกวันนี้ 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top