Thursday, 19 June 2025
WORLD

‘นาซา’ เผย อุณหภูมิทั่วโลกพุ่งสูงขึ้น เป็นประวัติการณ์ อย่างไม่เคยเกิดขึ้น ชี้!! เป็นผลมาจากการปล่อย ‘ก๊าซเรือนกระจก’ ส่งผลกระทบ ระบบนิเวศ

(15 มิ.ย.67) สำนักข่าวซินหัวรายงาน ผลการวิเคราะห์จากองค์การนาซา (NASA) ที่เผยแพร่เมื่อวันอังคาร (11 มิ.ย.) ระบุว่าอุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกช่วง 12 เดือนก่อนแต่ละเดือน พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ติดต่อกันอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

สิ่งนี้บ่งชี้ชัดเจนว่าเรากำลังประสบกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ บิล เนลสัน ผู้บริหารของนาซากล่าว พร้อมเสริมว่าชุมชนต่าง ๆ ทั่วโลกรับรู้ได้ถึงความร้อนสุดขั้วในแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ผลการวิเคราะห์ชี้ให้เห็นว่าอุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกช่วง 12 เดือนก่อนอยู่ที่ 2.34 องศาฟาเรนไฮต์ (1.30 องศาเซลเซียส) สูงกว่าค่าฐานของช่วงศตวรรษที่ 20 (ปี 1951-1980)

เมื่อพิจารณาค่าอุณหภูมิจากเครือข่ายสถานีตรวจอากาศขนาดใหญ่บนบก และอุปกรณ์ในมหาสมุทร คณะนักวิทยาศาสตร์พบว่าระดับอุณหภูมิสูงทุบสถิติที่บันทึกได้นั้น เป็นส่วนหนึ่งของแนวโน้มการเกิดภาวะโลกร้อนในระยะยาว ซึ่งขับเคลื่อนด้วยกิจกรรมของมนุษย์ โดยเฉพาะการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

เรากำลังเผชิญกับวันที่มีอากาศร้อนมากขึ้น เดือนที่ร้อนมากขึ้น และปีที่ร้อนมากขึ้น เคท คาลวิน หัวหน้านักวิทยาศาสตร์และที่ปรึกษาอาวุโสด้านสภาพอากาศของนาซากล่าว โดยชี้ว่าอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นเหล่านี้เป็นผลมาจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้คนและระบบนิเวศทั่วโลก

แนวโน้มดังกล่าวเกิดขึ้นต่อเนื่องตลอดสี่ทศวรรษ โดยเฉพาะช่วง 10 ปีที่ผ่านมานี้ ที่เป็นช่วง 10 ปีที่ร้อนที่สุด นับตั้งแต่เริ่มมีการบันทึกอุณหภูมิในช่วงปลายศตวรรษที่ 19

‘อินทรีเหล็ก’ เยอรมนี ประเดิมสนามถล่ม สกอตแลนด์ ที่เหลือผู้เล่น 10 คน ชนะขาดลอย 5-1 ศึกยูโร 2024 รอบแบ่งกลุ่ม สาย A ศึกยูโร 2024

(15 มิ.ย.67) ศึกยูโร 2024 รอบแบ่งกลุ่ม สาย A ศึกยูโร 2024 เมื่อคืนที่ผ่านมา ‘อินทรีเหล็ก’ เยอรมนี ค่อย ๆ ลำเลียงบอลหาช่องกระทั่งนาที 10 ฟลอเรียน เวียร์ตซ ยิงลูกเรียดด้วยขวานอกเขตแบบไม่จับ แองกัส กันน์ นายทวาร ปัดไม่พ้น ขึ้นนำ 1-0 กลายเป็นนักเตะเยอรมันยิงประตูอายุน้อยสุด (21 ปี 42 วัน) เฉพาะรายการนี้ ถัดมานาที 19 ไค ฮาเวิร์ตซ แปะคืนให้ จามาล มูเซียลา ตะบันด้วยขวาเต็มแรง หนีไปเป็น 2-0

ทีมของ สตีฟ คลาร์ก อาการน่าเป็นห่วงนาที 44 ไรอัน ปอร์ตีอุส สไลด์ยันข้อเท้า อิลคาย กุนโดกัน ผู้ตัดสินตรวจสอบภาพรีเพลย์ (VAR) แล้วเป่าจุดโทษพร้อมชักใบแดงโดยตรง ไค ฮาเวิร์ตซ รับหน้าที่สังหาร ตามหลัง 0-3

แชมป์ 3 สมัย เล่นแบบไร้ความกดดัน นาที 68 อิลคาย กุนโดกัน สะดุดบอลแล้วกลายเป็นตั้งให้ นิคลาส ฟูลล์ครูก กองหน้าสำรอง ยิงด้วยขวาตาข่ายแทบขาด ทิ้งห่าง 4-0

‘ตาร์ตัน’ ได้รางวัลปลอบใจนาที 87 แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน กัปตันทีม เปิดฟรีคิกด้านซ้ายมาเสาสอง สก็อตต์ แม็คเคนนา ตัวสำรอง โหม่งแฉลบศีรษะ อันโตนิโอ รูดิเกอร์ ไล่มาเป็น 1-4 อย่างไรก็ตาม ทีมของ จูเลียน นาเกลสมันน์ ตอบโต้นาที 90+3 เอ็มเร ชาน ปั่นด้วยขวานอกเขต เสียบมุมสุดสวย ปิดกล่อง 5-1 จบเกม เยอรมนี เก็บ 3 แต้ม จาก 1 นัด ขณะที่ สกอตแลนด์ ไม่มีคะแนน

รายชื่อ 11 ผู้เล่นตัวจริง
เยอรมนี (4-2-3-1) : มานูเอล นอยเออร์, โจนาธาน ทาห์, อันโตนิโอ รูดิเกอร์, มักซิมิเลียน มิตเทลสตัดท์, โจชัว คิมมิช, อิลคาย กุนโดกัน, โทนี โครส, โรเบิร์ต อันดริช, ไค ฮาเวิร์ตซ, ฟลอเรียน เวียร์ตซ, จามาล มูเซียลา

สกอตแลนด์ (5-4-1) : แองกัส กันน์, แจ็ค เฮนดรี, คีแรน เทียร์นีย์, ไรอัน ปอร์ตีอุส, คัลลัม แม็คเกรเกอร์, สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน, แอนโธนี รัลสตัน, เช อดัมส์, จอห์น แม็คกินน์, ไรอัน คริสตี

'นายกฯ ผู้ดี' ปลื้ม!! G7 ไฟเขียวใช้ทรัพย์รัสเซีย 50 พันล้านดอลลาร์ 'ตัวเปลี่ยนเกม' ช่วยยูเครนในด้านการทหารและเศรษฐกิจ

(14 มิ.ย. 67) บีบีซีของอังกฤษรายงานว่า ที่ประชุมกลุ่มประเทศ G-7 ที่อิตาลี เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. ได้เห็นชอบสามารถใช้ทรัพย์สินรัสเซียที่โดนแช่แข็งเพื่อช่วยเหลือในการต่อสู้ขัดขวางรัสเซีย

ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โจ ไบเดน ที่มีฉากโมเมนต์เดินเหมือนมีท่าทีมึนงงออกไประหว่างการถ่ายภาพหมู่ ก่อนที่นายกรัฐมนตรีหญิงอิตาลี จอร์เจีย เมโลนี อ้างอิงจากเดลีเมลของอังกฤษ จะอาศัยไหวพริบรีบดึงตัวกลับมาร่วมการถ่ายภาพหมู่ที่เห็นปู่ไบเดนดึงแว่นกันแดดคู่ใจขึ้นสวมอย่างอารมณ์ดี นั้นกล่าวยืนยันว่า

เป็นอีกหนึ่งการเตือนใจต่อ “รัสเซีย” ว่า “พวกเราจะไม่ยอมอ่อนข้อให้”

เดลีเมลรายงานว่า การถ่ายภาพหมู่วันพฤหัสบดี (13 มิ.ย.) ของบรรดาผู้นำ G-7 นี้ถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ที่ บอร์โก อิกนาเซีย (Borgo Egnazia) ในบรินดิซี (Brindisi) โดยมีการแสดงการโดดร่มเวหาโดยหน่วยทหารพลร่มอิตาลีที่มีธงชาติสมาชิกปรากฏในการแสดงเป็นที่ประทับใจไปทั่ว และระหว่างที่ผู้นำทุกคนรวมประธานคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรปกำลังรวมกลุ่ม และปรบมือแก่ทหารหน่วยพลร่มที่ถึงพื้นต่อหน้า

แต่ทว่าปู่ไบเดน เหมือนเดินออกไปหันหน้าออกไปด้านนอกและชูมือให้กำลังใจแก่ทหาร และนายกรัฐมนตรีอิตาลีในขณะที่ยังคงพูดคุยกับผู้นำคนอื่น ๆ แต่เดินถอยห่างในเวลาเดียวกันเพื่อคว้าตัวไบเดนให้กลับมาร่วมการถ่ายภาพ และผู้นำสหรัฐฯ ได้เริ่มต้นดึงแว่นกันแดดสีดำคู่ใจเพื่อร่วมการถ่ายภาพหมู่ครั้งสำคัญ

บีบีซีชี้ว่า เงินจำนวน 50 พันล้านดอลลาร์เป็นเงินกู้ให้แก่ยูเครนนี้ไม่คาดว่าจะส่งไปได้เร็วก่อนสิ้นปี แต่ถูกมองว่าเป็นเหมือนการแก้ปัญหาในระยะยาวในการสนับสนุนยูเครนด้านการทหาร และเศรษฐกิจ

และภายในการประชุมข้างเคียงของที่ประชุม G-7 นั้น ประธานาธิบดีไบเดนได้พบประธานาธิบดียูเครน โวโลดิมีร์ เซเลนสกี สำหรับการลงนามร่วมกันในข้อตกลงความมั่นคงระยะเวลา 10 ปี

ซึ่งเนื้อหาภายในข้อตกลงระดับทวิภาคีนี้วอชิงตันจะให้ความช่วยเหลือทางการทหารแก่ยูเครน รวมไปถึงการฝึก แต่ข้อตกลงไม่ได้มีเนื้อหาครอบคลุมถึงการส่งกำลังทหารอเมริกันเข้ายูเครน โดยทั้ง 2 ฝ่ายต่างออกมาแสดงความชื่นชมว่า เป็นข้อตกลงครั้งประวัติศาสตร์

บีบีซีรายงานว่า มูลค่าทรัพย์สินรัสเซียที่ถูก G-7 พร้อม EU แช่แข็งมีราว 325 พันล้านดอลลาร์ และเงินก้อนนี้เพิ่มดอกเบี้ยร่วม 3 พันล้านดอลลาร์/ปี

กลุ่ม G-7 ที่เป็นชาติอุตสาหกรรมร่ำรวยของโลก ประกอบไปด้วย แคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น อังกฤษ และสหรัฐฯ ซึ่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ริชี ซูแน็ก ที่กำลังตกที่นั่งลำบากในการเลือกตั้งล่วงหน้าที่จะมาถึงในวันที่ 4 ก.ค.นี้ ได้ออกมาแสดงความชื่นชมข้อตกลงอนุมัติใช้ทรัพย์สินรัสเซีย 50 พันล้านดอลลาร์เพื่อช่วยยูเครนนี้ว่า “เป็นตัวเปลี่ยนเกม”

‘ญี่ปุ่น’ ออกกฎหมายใหม่ ‘แรงงานต่างชาติอยู่ต่อได้นานขึ้น’ แก้ปัญหา ‘ขาดแคลนแรงงาน’ จากวิกฤต ‘พลเมืองญี่ปุ่นลดลง’

(14 มิ.ย. 67) รัฐสภาญี่ปุ่นได้ออกกฎหมายฉบับปรับปรุงโครงการฝึกหัดชาวต่างชาติที่เต็มไปด้วยข้อขัดแย้งของประเทศ ด้วยระบบใหม่ที่ส่งเสริมให้คนงานจากต่างประเทศอยู่ต่อได้นานขึ้น ในขณะที่ทางการมองหาวิธีแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานร้ายแรงที่เกิดจากวิกฤตทางประชากรของประเทศ

การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวยังรวมถึงมาตรการใหม่ที่ก่อให้เกิดข้อโต้แย้งในการเพิกถอนสถานะการพำนักถาวรจากบุคคลที่ไม่ชำระภาษี หรือเบี้ยประกันสังคมจะมีผลใช้บังคับภายใน 3 ปีนับจากการประกาศใช้

ระบบใหม่ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าเพื่อส่งเสริมและรักษาผู้มีความสามารถจากต่างประเทศ ทั้งเพื่อช่วยให้คนงานที่ไม่มีประสบการณ์ได้รับทักษะที่จำเป็นในการพัฒนา​เป็นแรงงานมีทักษะในระยะเวลา 3 ปี

กฎหมายแรงงาน​ใหม่จะแทนที่โครงการฝึกอบรมด้านเทคนิคซึ่งเริ่มใช้มาตั้งแต่ปี 2536 เพื่อพัฒนาทักษะทางเทคนิคของแรงงานต่างชาติจากประเทศกำลังพัฒนา โครงการนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นช่องทางให้ญี่ปุ่นนำเข้าแรงงานราคาถูก

ขณะนี้คนงานจะสามารถเปลี่ยนสถานที่ทำงานของตนภายในอุตสาหกรรมเดียวกันได้ภายใต้เงื่อนไขบางประการ หากพวกเขาได้ทำงานในที่เดียวมานานกว่า 1 ปี และภาษาญี่ปุ่นและความสามารถทางวิชาชีพของพวกเขาตรงตามข้อกำหนดบางประการ

ท่ามกลางเรื่องอื้อฉาวเรื่องค่าจ้างที่ไม่เป็นธรรม ​ชั่วโมงการทำงานที่ยาวนาน และการละเมิดอื่นๆ ข้อจำกัดในการเปลี่ยนนายจ้างส่งผลให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมจำนวนมากภายใต้โครงการที่มีอยู่ลาออกจากที่ทำงาน เฉพาะในปี 2565 เพียงปีเดียว มีผู้เข้ารับการฝึกอบรมมากกว่า 9,000 คน​ ทิ้งที่ทำงานไป

แรงงานบริษัทเอกชนจะถูกจำกัดการโอนย้ายงาน เพื่อป้องกันนายหน้าที่เอารัดเอาเปรียบคนงาน และองค์กรกำกับดูแลที่รับผู้สมัครจากต่างประเทศจะต้องแต่งตั้งผู้ตรวจสอบภายนอกเพื่อปรับปรุงความรับผิดชอบ

สำหรับโครงการแรงงานมีทักษะซึ่งเปิดตัวในปี 2562 เพื่อจัดหาแรงงานต่างชาตินั้น รัฐบาลญี่ปุ่นได้ขยายขอบเขตของอุตสาหกรรมที่ครอบคลุมโดยวีซ่าแรงงานมีทักษะที่ระบุ หมายเลข 1 และหมายเลข 2

ผู้ถือวีซ่าแรงงานทักษะหมายเลข 1 จะได้รับอนุญาตให้พำนักอยู่ในอุตสาหกรรมต่างๆ ได้นานถึง 5 ปี ผู้ถือสามารถรับวีซ่าหมายเลข 2 ได้ภายใต้เงื่อนไขบางประการ ส่งผลให้เป็นผู้อยู่อาศัยถาวรที่สามารถพาสมาชิกในครอบครัวมายังญี่ปุ่นได้

สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองระบุว่า ณ สิ้นปี 2566 ผู้เข้ารับการฝึกอบรมภายใต้โครงการฝึกงานด้านเทคนิคเพิ่มขึ้นร้อยละ 24.5 จากปีที่แล้วเป็นประมาณ 404,000 คน

ข้อมูลของหน่วยงานระบุว่า จำนวนแรงงานต่างชาติที่มีทักษะเพิ่มขึ้นร้อยละ 59.2 เปอร์เซ็นต์ เป็นประมาณ 208,000 คน โดยในจำนวนนี้มีเพียง 37 คนเท่านั้นที่เป็นผู้ถือวีซ่าหมายเลข 2

กฎหมายดังกล่าวผ่านสภาผู้แทนราษฎรเมื่อเดือนที่แล้ว​ และคาดว่าจะเพิ่มจำนวนผู้อยู่อาศัยถาวร การแก้ไขยังได้แนะนำมาตรการที่เข้มงวดขึ้นเพื่อให้รัฐบาลสามารถเพิกถอนสถานะได้

บทบัญญัติดังกล่าวก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์จากสมาชิกสภานิติบัญญัติฝ่ายค้าน โดยบางคนกล่าวว่า ควรพิจารณาแต่ละกรณี เพราะมีผลกระทบสำคัญต่อชีวิตของผู้อยู่อาศัยถาวร

รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม ริวจิ โคอิซูมิ พยายามขจัดข้อกังวลในการประชุมสภา เมื่อวันพฤหัสบดี โดยกล่าวว่ามาตรการดังกล่าวจะใช้กับ ‘กรณีที่เป็นอันตราย’ เท่านั้น และผู้ถือส่วนใหญ่จะไม่ได้รับผลกระทบ

ประชากรชาวต่างชาติของญี่ปุ่นแตะระดับสูงสุดใหม่กว่า 3.4 ล้านคนในปี 2566 ในขณะที่จำนวนพลเมืองญี่ปุ่นลดลง 595,000 คนจากปีก่อนหน้าเหลือ 124,352,000 คน ณ วันที่ 1 ต.ค. ซึ่งลดลงเป็นปีที่ 13 ติดต่อกัน

‘บริษัทซาอุฯ-จีน’ จับมือทดสอบ 'แท็กซี่บินได้' เล็งหนุนการสัญจรแก่ ‘ผู้แสวงบุญ’ ใน ‘พิธีฮัจญ์’

(14 มิ.ย.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เมื่อไม่นานมานี้ บริษัทของซาอุดีอาระเบียและจีนประสบความสำเร็จในการทดสอบแท็กซี่บินได้แบบไม่มีมนุษย์ควบคุมลำแรกในนครเมกกะของซาอุดีอาระเบีย เมื่อวันพุธ (12 มิ.ย.67) ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ การทดสอบดังกล่าวดำเนินการโดยบริษัท ฟรอนต์ เอนด์ จำกัด (Front End) ของซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเชี่ยวชาญด้านการบูรณาการเทคโนโลยีขั้นสูงของหลายภาคส่วน ร่วมกับอี้หาง (EHang) บริษัทแพลตฟอร์มเทคโนโลยีอากาศยานขับเคลื่อนอัตโนมัติชั้นนำของจีน

อนึ่ง การทดสอบนี้มุ่งเพิ่มความเร็ว ประสิทธิภาพ และความยั่งยืนในการเดินทางระหว่างพิธีฮัจญ์ ซึ่งเป็นพิธีแสวงบุญประจำปีของศาสนาอิสลามที่เมกกะ นครอันศักดิ์สิทธิ์ที่สุดสำหรับชาวมุสลิม

ด้าน อับดุลอาซิซ อัล-ดูอาอิเลจ ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนซาอุดีอาระเบีย กล่าวว่า การทดสอบนี้เป็นความก้าวหน้าใหญ่ของการบูรณาการวิธีการเดินทางทางอากาศขั้นสูงเข้ากับภูมิทัศน์การบินของซาอุดีอาระเบีย

'อีลอน' เผย!! ผู้ถือหุ้นเทสลาโหวตอนุมัติค่าตอบแทน 2 ลลบ. หลังวางยา 'หากไม่ยอม อนาคตของเทสลาอาจมีความเสี่ยง'

(14 มิ.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอีลอน มัสก์ ซีอีโอของเทสลา โพสต์ลงบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ (ทวิตเตอร์) เมื่อวานนี้ (13 มิ.ย.) ว่า ผู้ถือหุ้นเทสลาโหวตเห็นด้วยกับการอนุมัติแพ็กเกจค่าตอบแทน 5.6 หมื่นล้านดอลลาร์ให้แก่นายมัสก์ และโหวตสนับสนุนการย้ายสำนักงานใหญ่จากรัฐเดลาแวร์ไปยังรัฐเท็กซัส โดยนายมัสก์เผยว่าผลการลงคะแนนออกมาอย่างท่วมท้น

“ขอบคุณสำหรับการสนับสนุนนะทุกคน!!” นายมัสก์โพสต์บนเอ็กซ์

ผลการลงคะแนนจะประกาศในที่ประชุมที่สำนักงานใหญ่ของเทสลาในรัฐเท็กซัส เวลา 16:30 น. ในวันนี้ ตามเวลาท้องถิ่น (หรือ 04.30 น. ของวันศุกร์นี้ ตามเวลาไทย)

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานโดยอ้างแหล่งข่าววงในว่า ผลการนับคะแนนเบื้องต้นบ่งชี้ว่า เสียงสนับสนุนมาจากทั้งนักลงทุนสถาบันรายใหญ่และนักลงทุนรายย่อย

ก่อนหน้านี้ บริษัทนายหน้ารายใหญ่อย่าง Glass Lewis กับ Institutional Shareholder Services (ISS) ได้ขอให้ผู้ถือหุ้นลงคะแนนเสียงคัดค้านแพ็กเกจค่าตอบแทนของนายมัสก์ รวมถึงนักลงทุนรายใหญ่อย่างกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของนอร์เวย์ ก็ได้ประกาศว่าจะโหวตคัดค้านด้วย

นอกจากเรื่องแพ็กเกจค่าตอบแทนกับเรื่องย้ายสำนักงานใหญ่แล้ว ผู้ถือหุ้นเทสลายังโหวตเรื่องอื่น ๆ อีก เช่น การเลือกตั้งกรรมการบริษัทสองคนใหม่ ได้แก่ นายคิมบาล มัสก์ ผู้เป็นน้องชายของนายอีลอน และนายเจมส์ เมอร์ด็อก

ด้านนายเกร็ก แอบบอตต์ ผู้ว่าการรัฐเท็กซัส โพสต์แสดงความยินดีกับนายมัสก์บนเอ็กซ์ว่า “ยินดีต้อนรับสู่รัฐที่ไม่มีภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือภาษีเงินได้นิติบุคคล”

ทั้งนี้ เทสลาได้รณรงค์อย่างหนักเพื่อโน้มน้าวให้ผู้ถือหุ้นอนุมัติแพ็กเกจค่าตอบแทนจำนวนมหาศาลให้แก่นายมัสก์ โดยระบุในเว็บไซต์การประชุมประจำปีของบริษัทว่า “มูลค่าในอนาคตที่เรามีไว้ให้คุณนั้นกำลังตกอยู่ในความเสี่ยง เราต้องการคะแนนเสียงของคุณตอนนี้เพื่อปกป้องเทสลาและเงินลงทุนของคุณ”

นอกจากนี้ เทสลายังจัดกิจกรรมสุ่มเลือกผู้ถือหุ้น 15 คนที่ลงคะแนนเสียง ให้ไปทัวร์โรงงานเทสลาที่เมืองออสติน รัฐเท็กซัส โดยมีนายมัสก์และนักออกแบบรถยนต์ ฟรองซ์ ฟอน โฮลซ์เฮาเซน เป็นผู้นำทัวร์ด้วยตนเอง

เมื่อเดือนมี.ค. 2561 ผู้ถือหุ้นเทสลาส่วนใหญ่โหวตสนับสนุนแพ็กเกจค่าตอบแทนสำหรับนายมัสก์ แต่ในเดือนม.ค.ของปีนี้ ศาลรัฐเดลาแวร์ตัดสินให้แพ็กเกจดังกล่าวเป็นโมฆะ ต่อมาในเดือนเม.ย. เทสลาได้รื้อฟื้นแพ็กเกจดังกล่าวอีกครั้ง โดยนางโรบิน เดนโฮล์ม ประธานบอร์ดฯ ได้ขอร้องให้นักลงทุน “ช่วยกันแก้ปัญหานี้”

วิเคราะห์!! โอกาสจีนผลิตไมโครชิพได้เองตามเป้าหมายภายใน 6 ปี มีสูง อาจทำหุ้นไมโครชิพยักษ์ใหญ่ของโลกวูบ หากซัพพลายในตลาดล้น

(14 มิ.ย.67) จากเฟซบุ๊ก 'Sompob Pordi' ของ นายสมภพ พอดี นิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ 'ศึกไมโครชิพ' ความว่า...

สำนักข่าว Global Times ของรัฐบาลจีน รายงานตัวเลขการผลิตและการนำเข้าไมโครชิพของจีน ระหว่างปี ค.ศ.2020 ถึง 2023

ในขณะที่การนำเข้ามีแนวโน้มลดลง สวนทางกับดีมานด์ที่เพิ่มขึ้น อันเป็นผลจากการควํ่าบาตรของชาติตะวันตกที่กีดกันไม่ให้จีนเข้าถึงเทคโนโลยีด้วยการปฏิเสธไม่จำหน่ายไมโครชิพรุ่นใหม่ ๆ รวมทั้งอุปกรณ์เครื่องมือสำหรับผลิตไมโครชิพให้กับจีน...จีนกลับสามารถผลิตไมโครชิพเองได้เพิ่มขึ้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในไตรมาสแรกของปีนี้ จีนผลิตไมโครชิพเพิ่มจากไตรมาสแรกของปีที่แล้วถึง 40% เป็น 98.1 พันล้านชิ้น

จีนมีเป้าหมายว่าจะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตไมโครชิพและสามารถวิจัยพัฒนาและผลิตไมโครชิพรุ่นใหม่ๆเองได้จนสามารถยกเลิกการนําเข้าทั้งหมดภายในปี ค.ศ.2030 หรืออีก 6 ปีข้างหน้า

ใครมีหุ้น TSMC, Nvidia, Samsung, Qualcomm, Intel อยู่ อย่าถือเพลินจนลืมขายทำกำไรละกัน เพราะถ้าจีนทำได้ตามเป้าหมายใน 6 ปี หุ้นที่ว่าน่าจะราคาหายไปเยอะเลย เพราะไม่รู้ว่าผลิตขึ้นมามากๆแล้วจะไปขายให้ใคร

'จีน' ขีดเส้นตาย 'แก้ปัญหาเศรษฐกิจ-ความยากจน' ด้วยการศึกษา ปักธงปี 2050 คนจีนกว่า 70% ต้องจบการศึกษาระดับปริญญา

(14 มิ.ย.67) จากเฟซบุ๊ก 'Trin Voonklinhom' ของนายตฤณ วุ่นกลิ่นหอม นายกสมาคมการค้าดิจิทัลไทยและเคยทำงานในมูลนิธิแจ๊คหม่า อาลีบาบา ได้โพสต์ 'ข้อมูลที่น่าสนใจของการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของจีนปี 2024 (เกาเข่า)' ระบุว่า...

>> ผู้สอบมากที่สุดในประวัติศาสตร์ จำนวนกว่า 13,538,900 คน เนื่องจากผลการแก้ปัญหาความยากจน และรัฐบาลพยายามผลักดันการหารายได้เข้าประเทศด้วยการส่งออก ส่วนเป้าหมายปี 2050 คือ เส้นตายการแก้ปัญหาเรื่องการศึกษา โดยต้องการให้คนจีนกว่า 70% จบการศึกษาระดับปริญญา

>> มีนักเรียน ม.6 ที่ยอมลงเรียนซ้ำเพื่อเข้าสอบใหม่มากที่สุดกว่า 4.2 ล้านคน

>> มหาวิทยาลัยของจีนสามารถรองรับนักศึกษาได้เพียง 4.5 ล้านคน (อีกกว่า 9 ล้านคนต้องไปหามหาวิทยาลัยนอกประเทศเรียน) 

>> นักเรียนช่วงปี 2021-2023 ที่ผ่านมามีสถิติการไม่สำเร็จการศึกษาสูงถึง 66% ซึ่งส่วนมากมาจากปัญหาค่าใช้จ่ายระหว่างการศึกษา

>> คะแนนสอบเต็ม 750 คะแนน เมื่อคุณสอบเข้าได้ในลำดับที่ 1-1,000 จะได้เอกสารใบสมัครงานจากบริษัทชั้นนำในจีน หลังจากวันรายงานตัวเข้ามหาวิทยาลัยไม่เกิน 30 วัน โดยมีกรอบ เงินเดือนดังนี้...

>> สอบได้ 680 คะแนนขึ้นไป (ฐานเงินเดือนต่ำสุด 50,000 หยวน ต่อเดือน) ส่วนมากจะเลือกเรียนมหาวิทยาลัยปักกิ่ง หรือ ชิงหัว

>> สอบได้ 620 คะแนนขึ้นไป (ฐานเงินเดือนต่ำสุด 30,000 หยวน ต่อเดือน) ส่วนมากจะเลือกเรียนในกลุ่มมหาวิทยาลัยโครงการ '985' (มีอยู่ 39 มหาวิทยาลัย)

>> สอบได้ 580-620 คะแนน (ฐานเงินเดือนต่ำสุด 20,000 หยวน ต่อเดือน) ส่วนมากจะเลือกเรียนในกลุ่มมหาวิทยาลัยโครงการ '211' (มีอยู่ 115 มหาวิทยาลัย)

>> สอบได้ 550-580 คะแนน (ฐานเงินเดือนต่ำสุด 10,000 หยวน ต่อเดือน) ส่วนมากจะเลือกเรียนในกลุ่มมหาวิทยาลัยประจำมณฑล ขั้น 1

>> สอบได้ 500-550 คะแนน (ฐานเงินเดือนต่ำสุด 8,000 หยวน ต่อเดือน) ส่วนมากจะเลือกเรียนในกลุ่มมหาวิทยาลัยประจำมณฑล ขั้น 2 (ระดับ 1)

>> สอบได้ 450-500 คะแนน (ฐานเงินเดือนต่ำสุด 6,000 หยวน ต่อเดือน) ส่วนมากจะเลือกเรียนในกลุ่มมหาวิทยาลัยประจำมณฑล ขั้น 3 (ระดับ 2)

>> สอบได้ 400-450 คะแนน (ฐานเงินเดือนต่ำสุด 4,000 หยวน ต่อเดือน) ส่วนมากจะเลือกเรียนในกลุ่มมหาวิทยาลัยเอกชน

>> สอบได้ต่ำกว่า 400 คะแนน (ฐานเงินเดือนต่ำสุด 3,000 หยวน ต่อเดือน) ส่วนมากจะเลือกเรียนในกลุ่มวิทยาลัยอาชีวะ หรือ วิทยาลัยวิชาช่าง

>> สอบได้ ต่ำกว่า 300 คะแนน 'รอสอบใหม่'

>> ปีนี้คนที่สอบไดัที่ 1 ของประเทศ ชื่อ 'เหยียน อวี้เฉิน' เลือกเรียน 'การแสดงละครและภาพยนตร์' ที่ 'สถาบันการละครเซี่ยงไฮ้' (หน้าตาดีมากกกกกกก และฉลาดมากกกก)

‼️เกิดที่ ซานตง วันที่ 20 พ.ค. 2547 สูง 186 หนัก 68‼️

‘นักชก กุน ขแมร์’ โพสต์ภาพชูกำปั้นใส่รูป ‘รถถัง จิตรเมืองนนท์’ ลั่น!! “ถึงเวลาวัดฝีมือกัน แต่มีบางคนไม่อยากให้เราได้เจอกัน”

กลายเป็นดรามาระหว่าง ‘มวยไทย VS กุน ขแมร์’ อีกครั้งหลังจากที่ ‘เบิร์ด ซงเครม’ นักมวยเขมร ได้ออกมาท้าทาย ‘ดิไอรอนแมน’ รถถัง จิตรเมืองนนท์ นักชกขวัญใจคนไทย แชมป์โลก ONE มวยไทย รุ่นฟลายเวต

งานนี้ทำเอาแฟนมวยชาวกัมพูชาให้ความสนใจทันที หลังจากที่ นักชกของพวกเขาโพสต์ภาพกำหมัดใส่รูปของ รถถัง จิตรเมืองนนท์ พร้อมด้วยแคปชัน "สักวัน" และอีกภาพมีข้อความว่า "อยากเจอมึงวะถัง"

จากนั้นเจ้าตัวก็มีการอัดคลิปแสดงความต้องการที่จะเจอกับยอดมวยไทยพร้อมแคปชันว่า "ผมคิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่จะได้วัดฝีมือกับ รถถัง บนเวที แต่มีบางคนไม่อยากให้เราทั้งคู่ได้เจอกัน"

งานนี้แฟนมวยเขมร ออกมาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่มองว่า กุน ขแมร์ ของพวกเขาโดนประเมินค่าต่ำเกินไป จริง ๆ แล้วศิลปะการต่อสู้ของสองชาติไม่ได้ห่างกันมากนัก และมีโอกาสที่ เบิร์ด ซงเครม จะสามารถเอาชนะรถถังได้

สำหรับ เบิร์ด ซงเครม หรือชื่อจริงว่า ทอช รัชฮาน มีดีกรีเป็นเจ้าของเหรียญทองคิกบ็อกซิ่ง ซีเกมส์ 2 สมัย ปี 2021 กับ 2023 ก่อนที่จะผันตัวมาชกกุน ขแมร์ ในทุกวันนี้

ขณะที่ รถถัง จิตรเมืองนนท์ ถือเป็นยอดมวยเงินล้าน ด้วยลีลาการชกที่ดุดันเดินแลกแบบเดือด ๆ นอกจากนี้เจ้าตัวยังถือเป็นมวยเอนเตอร์เทนต์เบอร์ต้น ๆ ของประเทศ ทำให้ครองใจแฟนกำปั้นชาวไทยเป็นอย่างมาก และกลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก

‘ยูนิเซฟ’ เผยวิกฤตของ ‘เด็กเล็ก’ เกือบ 400 ล้านคนทั่วโลก ต้องเผชิญความรุนแรงทาง ‘ร่างกาย-วาจา’ ในครอบครัว

เมื่อวานนี้ (12 มิ.ย. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า การประมาณการใหม่จากกองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติหรือยูนิเซฟ (UNICEF) ที่เผยแพร่เมื่อวันอังคาร (11 มิ.ย.) เนื่องในโอกาสการฉลองวันแห่งการเล่นสากล (International Day of Play) ครั้งแรก เปิดเผยว่า เด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ เกือบ 400 ล้านคน หรือร้อยละ 60 ของเด็กกลุ่มอายุนี้ทั่วโลก ต้องทนเผชิญความรุนแรงทางจิตใจหรือการลงโทษทางร่างกายจากที่บ้านเป็นประจำ โดยในจำนวนนี้มีเด็กราว 330 ล้านคนถูกลงโทษด้วยวิธีทางร่างกาย

ด้าน แคทเธอรีน รัสเซลล์ คณะกรรมการผู้บริหารของยูนิเซฟ กล่าวว่า เมื่อเด็กเผชิญความรุนแรงทางร่างกายหรือทางวาจาจากที่บ้าน หรือเมื่อไม่ได้รับการดูแลทางสังคมและทางอารมณ์จากบุคคลอันเป็นที่รัก การกระทำเหล่านี้เป็นบ่อนทำลายความรู้สึกเห็นคุณค่าในตนเองและพัฒนาการของพวกเขาได้ พร้อมเสริมว่าการเอาใจใส่และการเลี้ยงดูอย่างสนุกสนานสามารถสร้างความสุขและยังช่วยให้เด็ก ๆ รู้สึกปลอดภัย ได้เรียนรู้ สร้างทักษะ และสำรวจโลกรอบ ๆ ตัวของพวกเขา

รายงานระบุว่า บรรทัดฐานทางสังคมอันตรายที่สนับสนุนวิธีการเลี้ยงดูบุตรโดยใช้ความรุนแรงยังคงมีอยู่ทั่วโลก โดยพบว่าแม่และผู้ดูแลหลักมากกว่า 1 ใน 4 มองว่าการลงโทษทางร่างกายเป็นสิ่งจำเป็นต่อการเลี้ยงดูและสั่งสอนเด็กอย่างเหมาะสม

ทั้งนี้ ยูนิเซฟเรียกร้องให้รัฐบาลเพิ่มความพยายามและการลงทุนด้านการคุ้มครอง โดยการเสริมสร้างกรอบกฎหมายและนโยบายที่ยับยั้งและยุติความรุนแรงที่บ้านที่มีต่อเด็กทุกรูปแบบผ่านการขยายโครงการการเลี้ยงดูแบบอิงหลักฐานที่ส่งเสริมแนวทางเชิงบวก สนุกสนาน และป้องกันความรุนแรงในครอบครัว ตลอดจนการเรียนรู้อย่างคุ้มค่าผ่านการขยายการเข้าถึงพื้นที่การเรียนรู้และการเล่นให้กับเด็ก ๆ เพื่อรับรองว่าเด็กทุกคนสามารถเติบโตขึ้นมาด้วยความรู้สึกปลอดภัยและรู้สึกว่าตนเป็นที่รัก

'จีน' เรียกร้อง 'สหภาพยุโรป' ทบทวนแผนรีดภาษีรถ EV นำเข้าจากจีน เตือน!! อย่าหลงเดินทางผิด เพียงเพื่อปกป้องอุตฯ ยานยนต์ของตัวเอง

เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 67 รัฐบาลจีนเรียกร้องให้สหภาพยุโรปทบทวนแผนรีดภาษีรถยนต์ไฟฟ้าที่นำเข้าจากจีน และ ‘อย่าหลงเดินทางผิด’ เพียงเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมยานยนต์ของตัวเอง หลังจากที่อียูได้ประกาศมาตรการขึ้นภาษีรถอีวีจีนสูงสุดในอัตรา 38.1% โดยจะเริ่มตั้งแต่เดือน ก.ค.เป็นต้นไป

จีนยังขู่จะใช้มาตรการตอบโต้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง ภายหลังจากที่คณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) ได้ประกาศแผนขึ้นภาษีดังกล่าว

“เมื่อพิจารณาจากโครงสร้างและขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่โตแล้ว หากจีนและอียูสามารถร่วมมือกันในประเด็นการค้าและเศรษฐกิจได้ก็จะเป็นการดีที่สุด” บทความแสดงความคิดเห็นของสำนักข่าวซินหวา ระบุ

“อียูเองก็จะมีความคุ้มทุน (cost-effective) มากขึ้น หากอาศัยข้อได้เปรียบของจีนเพื่อนำไปพัฒนาอุตสาหกรรมรถอีวีของตนเอง”

ไม่ถึง 1 เดือนหลังจากที่สหรัฐฯ ขยับอัตราภาษีรถอีวีนำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้น 4 เท่าตัวเป็น 100% บรัสเซลส์ก็กระโดดร่วมวงต่อสู้นโยบายอุดหนุนของปักกิ่งโดยเตรียมที่จะขึ้นภาษีในอัตราตั้งแต่ 17.4% สำหรับรถยนต์ BYD และสูงสุด 38.1% สำหรับรถยนต์ SAIC นอกเหนือไปจากภาษีนำเข้ามาตรฐาน 10% ที่ใช้อยู่แล้ว และนั่นทำให้อัตราภาษีสูงสุดที่เรียกเก็บพุ่งขึ้นไปเกือบถึง 50% ทีเดียว

อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวของอียูแทบไม่ส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นของบรรดาค่ายรถยนต์ไฟฟ้าจีน เพราะเป็นสิ่งที่คาดการณ์กันไว้อยู่แล้ว โดยราคาหุ้น BYD ในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงขยับพุ่งขึ้นกว่า 7% ในการซื้อขายช่วงเช้า ส่วนที่ตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้นก็ขยับขึ้น 4.5%

“อัตราภาษีที่อียูประกาศออกจะให้ผลในเชิงบวกกับ BYD ด้วยซ้ำ เมื่อเทียบกับที่เราคาดการณ์ไว้ว่าอาจจะสูงถึง 30% และนั่นทำให้ภาพรวมการส่งออกของ BYD ในช่วงไตรมาส 2 และ 3 ของปีนี้มีแนวโน้มที่ดีขึ้น” 

รายงานของ Citi ระบุ ราคาหุ้น Geely Auto ขยับพุ่ง 2.5% และ Xpeng เพิ่มกว่า 2% เช่นเดียวกับหุ้นของ Nio ที่ปรับเพิ่ม 3.5% ขณะที่ราคาหุ้น SAIC Motor ในตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ปรับตัวลดลง 1%

ในทางกลับกัน ราคาหุ้นค่ายยานยนต์ยักษ์ใหญ่ของยุโรปซึ่งมีจีนเป็นตลาดใหญ่กลับดิ่งลง (12 มิ.ย.) สืบเนื่องจากความกังวลว่าจีนอาจจะใช้มาตรการแก้แค้น

แม้ว่าค่ายรถยุโรปจะต้องเผชิญความท้าทายจากรถอีวีราคาถูกสัญชาติจีนที่หลั่งไหลเข้าสู่ภูมิภาค ทว่ามาตรการรีดภาษีของ EU กลับไม่ได้รับเสียงสนับสนุนจากอุตสาหกรรมรถยนต์สักเท่าไหร่

บรรดาค่ายรถเยอรมนีนั้นต้องพึ่งยอดขายในจีนมากเป็นพิเศษ และเกรงว่าจะถูกปักกิ่งเล่นงานแก้แค้น ขณะที่ค่ายรถยุโรปหลาย ๆ เจ้าก็นำเข้ารถยนต์ของตัวเองที่ผลิตในจีนเช่นกัน

อัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป เคยออกมาแถลงย้ำหลายครั้งว่ายุโรปจำเป็นที่จะต้องทำอะไรบางอย่าง เพื่อป้องกันไม่ให้จีนส่งรถอีวีที่ได้รับเงินอุดหนุนจากภาครัฐเข้ามาท่วมตลาดยานยนต์ยุโรป

'เยอรมนี' วางแผนจะนำรูปแบบการเกณฑ์ทหารกลับมาใช้ใหม่ ภายใต้แรงกดดันจากกรณีสงคราม 'ยูเครน-รัสเซีย'

เมื่อวานนี้ (12 มิ.ย. 67) บอริส พิสโทริอุส รัฐมนตรีกลาโหมของเยอรมนี เข้าร่วมแถลงข่าวเรื่องการปฏิรูปการรับราชการทหารในเยอรมนี โดยระบุว่า เยอรมนีกำลังวางแผนปรับรูปแบบการรับราชการทหารใหม่ เนื่องจากประเทศต้องการปรับปรุงกองทัพภายหลังการรุกรานยูเครนของรัสเซีย

บอริส พิสโทริอุส แสดงความต้องการฟื้นฟูการขึ้นทะเบียนของผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเข้ารับราชการทหารซึ่งเคยถูกระงับไปเมื่อ 13 ปีที่แล้วสำหรับรูปแบบการเกณฑ์ทหารใหม่ นอกจากนี้นักการเมืองสังกัดพรรคสังคมประชาธิปไตยเยอรมนี (SPD) ยังใช้มาตรการบังคับให้ชายหนุ่มแจ้งข้อมูลในแบบสอบถามเกี่ยวกับความเต็มใจและความสามารถในการรับใช้ราชการทหารของพวกเขาด้วย

ข้อเสนอของนักการเมืองพรรค SPD ถือเป็นก้าวแรกสู่ความเป็นไปได้ในการนำมาตรการรับราชการทหารภาคบังคับกลับมาใช้ใหม่ ขณะเดียวกันพิสโทริอุสต้องการดำเนินการตามขั้นตอนที่ดูเหมือนจะเป็นไปได้จริงในช่วงระยะเวลาของกฎหมายนี้จากข้อมูลของสื่อเยอรมัน แผนการของพิสโทริอุสจำเป็นต้องมีการขยายกรอบกฎหมายการเกณฑ์ทหารสำหรับชายหนุ่ม

นักวางแผนทางทหารประเมินว่า ในแต่ละปีจะต้องมีคน 400,000 คนกรอกแบบสอบถาม และคาดการณ์ว่าหนึ่งในสี่ของจำนวนนั้นอาจแสดงความสนใจ โดยมีแผนจะสั่งผู้สมัคร 40,000 คนเพื่อทำการทดสอบ ขณะนี้ทางกองทัพมีความสามารถในการฝึกอบรมทหารเกณฑ์ได้ 5,000-7,000 คน แต่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น และการฝึกอบรมจะใช้เวลาหกหรือสิบสองเดือน

บอริส พิสโทริอุส รายงานข้อเสนอเกี่ยวกับแผนการของเขาให้คณะกรรมการรัฐสภากลาโหมทราบในเช้าวันพุธ (12 มิ.ย.) และในช่วงบ่ายเขาได้เปิดเผยเรื่องนี้ต่อสาธารณะ

เมื่อเร็ว ๆ นี้มีการคัดค้านอย่างชัดเจนต่อแผนการรื้อฟื้นการรับราชการทหารภาคบังคับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบางส่วนของพรรค SPD เอง ‘ลาร์ส คลิงไบล์’ หัวหน้าพรรค SPD กล่าวยืนยันว่าเขายังสนับสนุนการสรรหาบุคลากรทางทหารโดยสมัครใจต่อไป 

“ผมคิดว่าแนวทางการสรรหาด้วยความสมัครใจจะทำให้บุนเดสแวร์ (กองทัพเยอรมัน) น่าดึงดูดใจมากกว่า” 

ส่วน ‘โอมิด นูริปูร์’ หัวหน้าพรรคกรีน กล่าวอย่างชัดเจนเมื่อช่วงปลายปีที่แล้วว่า “ผมไม่เชื่อว่าเราจำเป็นต้องมีการเกณฑ์ทหาร” นอกจากนี้ยังมีเสียงคัดค้านการคัดเลือกกำลังพลภาคบังคับจากพรรคเสรีประชาธิปไตยเยอรมนี (FDP) ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลด้วยเช่นกัน

ตามแบบจำลองของพิสโทริอุส ทุกคนจะต้องตอบแบบสอบถามและเข้ารับการทดสอบเมื่อถูกเรียกตัว มีรายงานว่าเขาเห็นชอบที่จะเปิดทางสำหรับการรับราชการทหารภาคบังคับ แม้ในยามสงบ หากไม่สามารถสรรหาทหารเกณฑ์ได้เพียงพอ

การรับราชการทหารภาคบังคับในเยอรมนีเคยถูกระงับไปเมื่อปี 2011 ภายใต้รัฐมนตรีกลาโหม ‘คาร์ล-เทโอดอร์ ซู กุตเทนแบร์ก’ (สังกัดพรรค CSU ซึ่งเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากในขณะนั้น) ซึ่งเท่ากับเป็นการยกเลิกการเกณฑ์ทหาร และทำให้โครงสร้างการรับราชการทหารภาคบังคับเกือบทั้งหมดสลายไปด้วย

แม้จะขาดแคลนกำลังพล แต่ในปีที่แล้วบุนเดสแวร์ก็ลดจำนวนทหารลงเหลือ 181,500 นาย บอริส พิสโทริอุสจึงรื้อฟื้นแบบจำลองการรับราชการทหารภาคบังคับมาตรวจสอบอีกครั้ง ภายใต้แรงกดดันจากสงครามรุกรานของรัสเซียต่อยูเครน เขาได้ชี้แจงอย่างชัดเจนในกระทู้ของรัฐบาลว่า เขาไม่หวังจะพึ่งพาความสมัครใจเพียงอย่างเดียว

'ชาวมาเลเซีย' โอด!! 'เบนซิน-ดีเซล' เตรียมขึ้นราคาแบบไร้ปรานี คาด!! ต้องใช้ SPR เป็นคำตอบสุดท้าย แก้ไขปัญหาราคาน้ำมันพุ่ง

ตั้งแต่จันทร์ที่ 10 มิถุนายน 2024 ที่ผ่านมา รัฐบาลมาเลเซียได้ตัดสินใจลดการอุดหนุนน้ำมันดีเซล ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันลอยตัวเป็นอัตราตลาดที่ 3.35 ริงกิต (26.50 บาท) ต่อลิตร จากราคาเดิม 2.15 ริงกิต (17 บาท) ต่อลิตร หรือเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 55 

ในวันที่ 9 มิถุนายน รัฐบาลมาเลเซียได้การประกาศเหตุผลในการตัดสินใจลดการอุดหนุนน้ำมันดีเซล โดย ‘ดาโต๊ะ เสรี อามีร์ ฮัมซาห์ อาซิซาน’ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า “มาเลเซียจะไม่ยอมสูญเสียเงินปีละหลายพันล้านริงกิตจากการลักลอบขายน้ำมันออกนอกประเทศต่อไปอีก และจะเป็นการดีกว่าถ้าเงินจำนวนนี้จะถูกนำไปใช้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อประชาชนชาวมาเลเซียและเพื่อการพัฒนาประเทศมาเลเซียของเรา”

โดยวันที่ 24 พฤษภาคม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังผู้นี้กล่าวว่าการอุดหนุนน้ำมันดีเซลทำให้ประเทศต้องเสียเงินกว่า 1 พันล้านริงกิต (7.9 พันล้านบาท) ต่อเดือน ในขณะที่ความสูญเสียจากการรั่วไหลจากการลักลอบส่งออกอยู่ที่ราววันละ 4.5 ล้านริงกิต ในปี 2023 มีการใช้เงินอุดหนุนน้ำมันดีเซลถึง 1.45 หมื่นล้านริงกิต (1.15แสนล้านบาท) ซึ่งรัฐบาลมาเลเซียคาดว่าจะสามารถประหยัดเงินงบประมาณได้ประมาณปีละ 4 พันล้านริงกิต

สำหรับมาตรการช่วยเหลือโดยกระทรวงการคลังจะแจกเงินสด 200 ริงกิต สำหรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ตลอดจนเกษตรกร ขณะเดียวกันยังคงให้เงินอุดหนุนแก่ผู้ค้าที่ใช้รถเพื่อการพาณิชย์ที่ใช้น้ำมันดีเซล ซึ่งประกอบด้วยรถขนส่งสาธารณะ 10 ประเภท และรถขนส่งสินค้า 23 ประเภท ธุรกิจเหล่านี้รวมถึงผู้ให้บริการรถโดยสารและรถแท็กซี่ภายใต้ระบบควบคุมดีเซลแบบอุดหนุน (the Subsidised Diesel Control System) : SKDS 1.0 และ SKDS 2.0

ภายใต้ SKDS 2.0 ผู้ใช้ยานพาหนะเพื่อการขนส่งที่มีสิทธิ์ได้รับบัตรฟลีทการ์ด ซึ่งเป็นบัตรสำหรับน้ำมันดีเซลที่ได้รับการอุดหนุนเพื่อใช้ที่ปั๊มน้ำมัน แทนที่จะจ่ายเงินสดหรือใช้บัตรเครดิต/เดบิต และต้องจ่าย 2.15 ริงกิตมาเลเซีย (17 บาท)ต่อลิตร ในขณะที่ SKDS 1.0 ซึ่งมุ่งเป้าไปที่รถโรงเรียน, รถด่วน, รถพยาบาล และรถดับเพลิง มีราคาต่ำกว่าอยู่ที่ 1.88 ริงกิต (14.85 บาท) ต่อลิตร และมาตรการต่อไปคือการเลิกอุดหนุนน้ำเบนซิน (RON95) ซึ่งราคาอยู่ที่ 2.05 ริงกิต (15.97 บาท) ต่อลิตร เทียบกับน้ำมันเบนซิน 95 ในประเทศไทยที่ราคาลิตรละ 37.35 บาท

แต่ราคาน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมงยังคงอยู่ที่ 1.65 ริงกิต (13 บาท) ต่อลิตร และราคาน้ำมันดีเซลในรัฐซาบาห์และรัฐซาราวักยังคงอยู่ที่ 2.15 ริงกิต (17 บาท) ต่อลิตร เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ที่นั่นใช้น้ำมันดีเซล ไม่เหมือนในฝั่งที่เป็นคาบสมุทรมาเลเซีย ด้วยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้รับการอุดหนุนจากรัฐบาล จึงทำให้มีการลักลอบส่งน้ำมันออกเป็นจำนวนมาก ทั้งด้านไทย, สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย โดยรัฐบาลมาเลเซียใช้งบในการอุดหนุนราคาน้ำมันปีละหลายหมื่นล้านบาท แต่ในขณะที่ไทยเราใช้เงินจากกองทุนน้ำมันในการอุดหนุนราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งเป็นเงินที่คิดจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนั้นรัฐบาลไทยจึงไม่ต้องใช้งบประมาณแผ่นดินไปอุดหนุนราคาน้ำมันเช่นเดียวกับที่รัฐบาลมาเลเซียเคยปฏิบัติมาจนพึ่งจะมายกเลิก

กองทุนน้ำมันจะมีเงินกองทุนมากหรือน้อยหรือติดลบนั้นขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันเชื้อเพลิง เมื่อราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในตลาดโลกสูงขึ้น เงินกองทุนน้ำมันก็จะถูกใช้เพื่ออุดหนุนราคาน้ำมันไม่ให้สูงขึ้นตามไปด้วย 

ปัจจุบันกองทุนน้ำมันถูกใช้อุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลโดยเก็บจากน้ำมันเบนซิน เมื่อราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในตลาดโลกสูง จึงต้องชดเชยราคาน้ำมันดีเซลและก๊าซ LPG ด้วยเป็นน้ำมันและก๊าซเชื้อเพลิงเศรษฐกิจ หากไม่ได้รับการอุดหนุนก็จะมีราคาแพงส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ และเมื่อราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลงกองทุนน้ำมันก็จะไม่มีภาระที่จะต้องอุดหนุนชดเชย เงินที่ถูกเก็บเข้ากองทุนน้ำมันก็จะกลับมาเพิ่มขึ้น 

ทั้งนี้หลาย ๆ ประเทศในอาเซียนต่างก็พยายามที่จะยกเลิกการอุดหนุนราคาน้ำมันเชื้อเพลิง โดยตั้งกองทุนน้ำมันเพื่อทำหน้าที่แทนเพื่อไม่ให้กระทบต่อเงินงบประมาณแผ่นดินเพื่อนำไปใช้ในกิจการอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติแทน

แต่การใช้กองทุนน้ำมันจะสามารถแก้ปัญหาได้ในเวลาที่จำกัด หากปัญหาที่เกิดขึ้นต้องยืดเยื้อต่อเนื่องยาวนานเกินไป กองทุนน้ำมันก็จะตกอยู่ในสภาพต้องจ่ายเงินออกเรื่อย ๆ จนต้องติดลบมหาศาลเช่นที่ไทยเราเป็นอยู่ในขณะนี้ 

แต่ ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้เร่งผลักดันเพื่อขับเคลื่อนให้เกิดระบบ SPR : Strategic Petroleum Reserve หรือ การสำรองเชื้อเพลิงปิโตรเลียมทางยุทธศาสตร์ เพื่อเข้ามามีบทบาททำหน้าแทนที่กองทุนน้ำมันมากขึ้น ด้วยในอนาคตเมื่อรัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานเป็นผู้ถือครองปริมาณน้ำมันมากที่สุดในประเทศจนเพียงพอสำหรับการใช้งานในประเทศได้ถึง 50-90 วันแล้ว รัฐบาลย่อมสามารถนำปริมาณสำรองเข้าไปมีส่วนในการบริหารจัดการราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศได้ 

เพราะที่ผ่านมาปัญหาราคาน้ำมันเชื้อเพลิงจากวิกฤตเชื้อเพลิงมีการใช้ ‘เงิน’ จาก ‘กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง’ เพื่อแก้ไขปัญหา แต่ความเป็นจริงแล้วในยามเกิดวิกฤตน้ำมัน ‘เงิน’ ไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องหรือเหมาะสมที่สุดในการแก้ไขปัญหา เพราะต้องใช้ ‘เงิน’ มากขึ้นในการซื้อน้ำมัน หรือบางสถานการณ์แม้จะมี ‘เงิน’ แต่อาจไม่สามารถหาซื้อน้ำมันเชื้อเพลิง หรือซื้อแล้วก็ไม่สามารถขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงมายังประเทศไทยได้ 

ดังนั้นการมีระบบ SPR ด้วยการถือครอง ‘น้ำเชื้อเพลิงสำรอง’ โดยรัฐที่มากพอสำหรับการใช้งาน 50-90 วัน ซึ่งนานพอจนกระทั่งวิกฤตน้ำมันเชื้อเพลิงได้เบาคลายลดลงต่างหากจึงจะเป็นการแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ถูกต้องและเหมาะสมที่สุด

‘ศาล’ ตัดสิน!! ‘ลูกชายโจ ไบเดน’ ทำผิดทางอาญา โทษจำคุกสูงสุด 25 ปี ฐานปลอมข้อมูลเพื่อซื้อปืน

(12 มิ.ย.67) สำนักข่าวเอพีรายงานว่า นายฮันเตอร์ ไบเดน ลูกชายวัย 54 ปี ของนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐ ถูกตัดสินว่ามีความผิดทางอาญาทั้ง 3 ข้อหา สืบเนื่องจากการปลอมแปลงเอกสารทางราชการว่าเขาไม่ได้เสพสารเสพติด เพื่อซื้อปืนลูกโม่เมื่อปี 2561 แต่อย่างใด โดยความผิดทางอาญานี้มีโทษฐานจำคุกสูงสุด 25 ปี แต่เขาไม่น่าที่จะได้รับโทษสูงสุดเพราะถือเป็นความผิดครั้งแรก และยังไม่ชัดเจนว่าผู้พิพากษาจะตัดสินให้เขาต้องเข้าคุกด้วยหรือไม่

ด้านประธานาธิบดีไบเดนได้ออกแถลงการณ์หลังจากที่ศาลได้ตัดสินว่าลูกชายของเขามีความผิดจริงว่า เขาเคารพกระบวนการพิพากษาของประเทศและฮันเตอร์กำลังเตรียมการที่จะยื่นอุทธรณ์ต่อไป กระบวนการตัดสินของศาลนั้นเสร็จสมบูรณ์ ขณะที่ไบเดนเตรียมกล่าวถ้อยแถลงในเรื่องการลดความรุนแรงจากการใช้ปืน และการยกเลิกข้อกฎหมายว่าด้วยการครอบครองปืนที่ Gun Safety Action Fund องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรในรัฐวอชิงตัน ซึ่งนายไบเดนปฏิเสธการกล่าวถึงลูกชายของเขาระหว่างการกล่าวถ้อยแถลงในงานนี้

อย่างไรก็ดี ไบเดนได้เจอกับบุตรชายเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังคำตัดสิน เมื่อเครื่องบินของเขาลงจอดที่วิลมิงตัน ซึ่งเขาได้เข้าไปโอบกอดฮันเตอร์ทันที โดยไบเดนจะใช้เวลาร่วมกับครอบครัวก่อนที่จะออกเดินทางไปร่วมประชุมกับผู้นำจี 7 ที่อิตาลี ในวันรุ่งขึ้น ขณะที่ตลอดเวลาในการพิจารณาคดี นางจิล ไบเดน สุภาพสตรีหมายเลข 1 ของสหรัฐก็อยู่เคียงข้างฮันเตอร์ตลอดเวลา และยังจับมือของเขาเดินออกจากศาลหลังรับฟังคำพิพากษาด้วย

นอกจากคดีนี้แล้ว นายฮันเตอร์ยังต้องขึ้นศาลที่รัฐแคลิฟอร์เนียเพื่อต่อสู้กับข้อหาการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีมูลค่ากว่า 1.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนกันยายนด้วย

ทั้งนี้ นายเดวิด ไวส์ ซึ่งนอกจากจะเป็นอัยการในคดีนี้ ซึ่งถูกเสนอชื่อในตำแหน่งอัยการสูงสุดของรัฐเดลาแวร์โดนนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐ กล่าวว่าคำตัดสินของศาลในครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าไม่มีใครที่อยู่เหนือกฎหมาย

‘เกาหลีใต้’ เผชิญแผ่นดินไหว 4.8 แมกนิจูด ครั้งหนักสุดของปีนี้ ภาครัฐฯ ส่งข้อความเตือน ปชช. หวั่นเกิดอาฟเตอร์ช็อกตามมา

(12 มิ.ย.67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เมื่อเวลา 08.26 น. เกิดแผ่นดินไหวบริเวณพื้นที่ตะวันตกเฉียงใต้ของจังหวัดช็อลลาเหนือ ของเกาหลีใต้ วัดแรงสั่นสะเทือนได้ 4.8 แมกนิจูดตามมาตราริกเตอร์ ความลึก 8 กิโลเมตร ทั้งนี้ ถือว่าเป็นแผ่นดินไหวที่มีความรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ต้นปีนี้

หลังเกิดเหตุได้มีการส่งข้อความสั้นเตือนภัยแผ่นดินไหวไปยังประชาชนทั่วประเทศ โดยแนะนำให้ผู้ที่อยู่ในพื้นที่ประสบเหตุระมัดระวังความเป็นไปได้ที่อาจมีวัตถุสิ่งของตกใส่และอาฟเตอร์ช็อกที่อาจเกิดตามมา

ขณะที่นายฮัน ด็อกซู นายกรัฐมนตรีของเกาหลีใต้ สั่งการให้รัฐบาลดำเนินมาตรการทั้งหมดเพื่อตอบสนองเหตุแผ่นดินไหว ขณะสื่อท้องถิ่นรายงานว่ายังเกิดเสียงดังและแรงสั่นสะเทือนขึ้นที่เมืองเซจง แดจอน และชอนันด้วย

ยาง ซอยอน ที่อาศัยอยู่ในเขตบูอัน เปิดเผยว่า ตนได้ยินเหมือนเสียงฟ้าคำรามราวกับกำลังอยู่ในไซต์ก่อสร้างตอนที่ตนกำลังจะออกไปทำงานก่อนที่บ้านจะเริ่มสั่นไหว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top