Thursday, 19 June 2025
WORLD

‘มิน ออง หล่าย’ ให้คำมั่น ‘จัดการเลือกตั้งทั่วไป’ ปี 2025 ยัน!! มอบอำนาจให้ ‘พรรคที่ชนะ’ ท่ามกลางกระแสเลื่อนถี่

(18 มิ.ย.67) สำนักข่าวอิรวดีรายงานว่า เมื่อไม่นานมานี้ ระหว่างการเยี่ยมเจ้าหน้าที่และตัวแทนชุมชนในเมืองเมะทีลา (Meiktila) เขตมัณฑะเลย์ ‘มิน ออง หล่าย’ ผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมา ได้กล่าวให้คำมั่นว่าจะจัดการเลือกตั้งทั่วไปในเมียนมาในปีหน้า

ก่อนหน้านี้เขากล่าวว่าการเลือกตั้งจะจัดขึ้นหลังจากการสำรวจสำมะโนประชากรในเดือน ต.ค. ปีนี้เสร็จสิ้น โดยยืนยันว่าจะจัดการเลือกตั้งเพื่อมอบอำนาจให้กับพรรคที่ชนะ แต่ที่ผ่านมา มิน ออง หล่าย ได้เลื่อนการเลือกตั้งออกไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยอ้างเรื่องความไม่มั่นคงในเมียนมา

ขณะที่ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อเดือน ก.ค. ปีที่แล้ว มิน อ่อง หล่าย ได้รับคำแนะนำให้มีการลงคะแนนเสียงในดินแดนที่ถูกควบคุมโดยรัฐบาล แต่เขาปฏิเสธแนวคิดนี้ และกล่าวว่า การเลือกตั้งทั่วไปจะมีขึ้นหลังจากสันติภาพและเสถียรภาพกลับคืนสู่สภาพเดิมแล้วเท่านั้น

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ผู้นำรัฐบาลทหารยอมรับว่า กองกำลังของเขาสูญเสียพื้นที่ในความควบคุม หลังจากเมืองหลายแห่งทางตอนเหนือของรัฐฉานถูกยึดไปในปฏิบัติการ 1027 ของกลุ่มภราดรภาพ และเสีย 10 เมืองในรัฐยะไข่และรัฐชินให้กับกองทัพอาระกัน

รัฐบาลเมียนมาได้สูญเสียรัฐยะไข่ไปแล้วครึ่งหนึ่ง และความตึงเครียดก็กลับมาสูงอีกครั้งทางตอนเหนือของรัฐฉาน แม้ว่าจะมีข้อตกลงหยุดยิงชั่วคราวหลังจีนเป็นคนกลางเจรจาก็ตาม
ความพ่ายแพ้ของฝ่ายรัฐบาลที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าทำให้เกิดคำถามว่า เมียนมาจะดำเนินการสำรวจสำมะโนประชากรแล้วเสร็จภายในเดือน ต.ค. เพื่อรวบรวมรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งหรือจัดให้มีการเลือกตั้ง ได้จริงหรือ?

นอกจากนี้ หลังจากยุบพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ของ องงซาน ซูจี และปฏิเสธที่จะยอมรับผลการเลือกตั้งปี 2020 รัฐบาลทหารยังได้แก้ไขกฎหมายการจดทะเบียนพรรคการเมือง เพื่อสนับสนุนพรรคสหสามัคคีและการพัฒนา (USDP) ที่เป็นตัวแทนของกองทัพด้วย

‘ผู้แสวงบุญ’ ประกอบพิธีฮัจญ์ เฮ!! ได้ ‘ฝนตก’ ช่วยคลายร้อน หลังซาอุฯ เผชิญอุณหภูมิพุ่งสูง จนคนดับเพราะโรคลมแดด

(18 มิ.ย.67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า หลังจากที่ผู้แสวงบุญมากกว่า 1,800,000 คน กำลังประกอบพิธีศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิมอย่างพิธีฮัจญ์ ที่ซาอุดีอาระเบีย และเป็นพิธีที่มีชาวมุสลิมรวมตัวกันครั้งใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งก่อนหน้านี้มีรายงานออกมาว่า พบมีผู้เสียชีวิตแล้ว 19 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวจอร์แดน โดยรัฐบาลจอร์แดนได้ออกแถลงการณ์แล้วว่า สาเหตุของผู้เสียชีวิตนั้นมาจาก 'โรคลมแดด' ซึ่งอุณหภูมิพุ่งถึง 47 องศาเซลเซียส

ซึ่งล่าสุดมีฝนตกลงมาและมีลมแรงช่วยให้สภาพอากาศที่ร้อนระอุตลอดหลายวันที่ผ่านมาคลายความร้อนลงไปได้มาก เป็นผลดีต่อผู้แสวงบุญนับล้านคนที่เผชิญกับอากาศร้อนจัดติดต่อกันหลายวัน โดยทางการซาอุดีอาระเบียได้ติดตั้งเครื่องพ่นละอองน้ำเพื่อบรรเทาความร้อน และจัดหาน้ำดื่มเอาไว้บริการ แต่ส่วนมากผู้แสวงบุญก็ต้องหาวิธีคลายร้อนให้ตนเอง ทางการได้เตือนว่าให้ผู้แสวงบุญจิบน้ำเพื่อป้องกันสภาวะร่ายกายขาดน้ำ 

‘ดร.อักษรศรี’ เผย 'จีน' สั่งตรวจสอบเนื้อหมูยุโรปทุ่มตลาดจีนหรือไม่?

(18 มิ.ย.67) รองศาสตราจารย์ ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจจีน จากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์เนื้อหากรณี 'จีนสั่งสอบเนื้อหมูยุโรปทุ่มตลาดในจีน'  จีนใช้พลังซื้อเป็นอาวุธ และโอกาสจะเกิดสงครามการค้าระหว่างจีน-สหภาพยุโรปหรือไม่ โดยระบุว่า...

เรื่องหมู ๆ แต่ไม่หมูสำหรับยุโรปแล้ว จีนสั่งสอบเนื้อหมูยุโรปทุ่มตลาดในจีน โดยใช้พลังซื้อจีนเป็นอาวุธ  ปีที่แล้ว 2023 จีนนำเข้าเนื้อหมูกว่า 2.2 แสนล้านบาท!! จีนเป็นประเทศที่กินหมูมากที่สุดในโลก และนำเข้าจำนวนมาก

(https://www.reuters.com/markets/commodities/china-opens-anti-dumping-probe-into-imported-pork-by-products-eu-2024-06-17/)

ที่ผ่านมา สหภาพยุโรปประกาศเก็บภาษี จะเล่นงานรถยนต์ EV จีน ก็เลยต้องโดนเอาคืนบ้างนะ โอกาสจะเกิดสงครามการค้าหรือไม่

ทั้งสหรัฐและสหภาพยุโรปเก็บภาษีรถยนต์ EV จีน แต่สหภาพยุโรปจะโดนจีนเอาคืนก่อน เพราะสหภาพยุโรปจะเก็บภาษี EV จีนในเดือนกรกฎาคมนี้ (ส่วนสหรัฐฯ แม้ประกาศก่อน แต่ยังไม่ขึ้นภาษีกับรถยนต์ EV ของจีนในทันที) 

เดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้ สหภาพยุโรปจะเรียกเก็บภาษีรถยนต์ EV จีนเพิ่มเติมจากอัตราเดิมสูงถึงร้อยละ 38.1

คณะกรรมาธิการยุโรปได้ประกาศเมื่อวันพุธที่ 12 มิถุนายน 2024 ว่าอัตราภาษีชั่วคราวใหม่จะถูกนำมาใช้เพิ่มเติมจากภาษีปัจจุบันที่ร้อยละ 10

คณะกรรมาธิการกล่าวว่า รถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในจีนได้รับประโยชน์จากการอุดหนุนที่ไม่เป็นธรรม "ก่อให้เกิดภัยคุกคามต่อความเสียหายทางเศรษฐกิจ" ของผู้ผลิตในสหภาพยุโรป

นอกจากนั้นยังระบุว่า มาตรการดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม เว้นแต่การหารือกับจีนจะนำไปสู่ ‘แนวทางแก้ไขที่มีประสิทธิผล’

ภาษีเพิ่มเติมยังครอบคลุมถึงผู้ผลิตจากชาติตะวันตกในจีนด้วย

‘ซาอุฯ’ ร้อนจัด!! อุณหภูมิพุ่งสูงเกิน 46 องศา คร่าชีวิต ‘19 ผู้แสวงบุญ’ ขณะเข้าร่วม ‘พิธีฮัจญ์’

(17 มิ.ย. 67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ผู้แสวงบุญจากหลายประเทศทั่วโลกรวมกว่า 1,800,000 คน กำลังประกอบพิธีฮัจญ์ ที่ซาอุดิอาระเบีย ทั้งนี้พิธีฮัจญ์ ถือเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิม และเป็นพิธีที่มีการรวมตัวกันครั้งใหญ่ที่สุดในโลก มีรายงานออกมาว่าพบมีผู้เสียชีวิตแล้ว 19 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวจอร์แดน โดยรัฐบาลจอร์แดนได้ออกแถลงการณ์แล้วว่า สาเหตุของผู้เสียชีวิตนั้นมาจาก ‘โรคลมแดด’ ส่วนอิหร่านมีรายงานว่า พลเมืองเสียชีวิต 5 คน ระหว่างทำพิธีแต่ไม่ได้ระบุสาเหตุการเสียชีวิต

ศูนย์อุตุนิยมแห่งชาติของซาอุดีอาระเบีย ประกาศแจ้งว่า อุณหภูมิเฉลี่ยในช่วงประกอบพิธีฮัจญ์ปีนี้ที่เมืองเมกกะและเมดินา สูงกว่าปกติ 1.5-2 องศาเซลเซียส และตั้งแต่เริ่มทำพิธีมามีผู้ล้มป่วยจากอากาศร้อนจำนวนมาก แม้ว่ามีการจัดตั้งพื้นที่ควบคุมอุณหภูมิ แจกจ่ายน้ำดื่มและตั้งศูนย์พยาบาลเพิ่มขึ้นแล้วก็ตาม โดยในช่วงหลายปีมานี้มักเกิดจากอากาศร้อนจัด สัปดาห์นี้ที่ซาอุดีอาระเบียมีอุณหภูมิสูงสุดเกิน 46 องศาเซลเซียส เป็นอุปสรรคอย่างมากต่อการทำพิธีกลางแจ้ง

‘บิล เกตส์’ ทุ่ม ‘หลายพันล้านเหรียญ’ หนุนโรงไฟฟ้านิวเคลียร์  รับมือ AI ดูดไฟสูง-รถอีวีพุ่ง คาดปฏิกรณ์ใหม่เสร็จปี 2573

(17 มิ.ย.67) สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานอ้างคำกล่าวของ ‘บิล เกตส์’ ว่า มหาเศรษฐีรายนี้พร้อมที่จะทุ่มเงิน ‘หลายพันล้านดอลลาร์’ ลงในโครงการ ‘โรงไฟฟ้านิวเคลียร์รุ่นใหม่’ ของสตาร์ตอัป TerraPower ซึ่งก่อตั้งโดย บิล เกตส์ เองในรัฐไวโอมิงของสหรัฐฯ เพื่อรองรับความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น

เหตุผลที่ตั้งใจลงทุนเงินสูงระดับหลายพันล้านเช่นนี้ เกตส์เล่าว่า ผู้คนต้องการนวัตกรรมที่ทำให้ได้ไฟฟ้าที่ถูกกว่า และสะอาดกว่าในเวลาเดียวกัน ‘พลังงานนิวเคลียร์’ จึงเข้ามาตอบโจทย์ โดยที่ไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วย ซึ่งดาตาเซนเตอร์ปัญญาประดิษฐ์ที่ Microsoft จะสร้างขึ้น คาดว่าจะเพิ่มภาระการใช้ไฟฟ้ามากถึง 10% ในสหรัฐฯ

อีกทั้งยังมีการเพิ่มขึ้นของสิ่งต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ และรถบัสไฟฟ้า ไปจนถึงปั๊มความร้อนไฟฟ้าเพื่อทำความร้อนในบ้าน ความต้องการไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก และตอนนี้ ดาตาเซนเตอร์เหล่านี้ก็ยิ่งทำให้ความต้องการเพิ่มขึ้นไปอีก ดังนั้น บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ จึงกำลังมองหาแนวทางที่จะช่วยให้ศูนย์ข้อมูลรองรับความต้องการ AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ด้วยเหตุนี้ บิล เกตส์จึงต้องขยายแหล่งพลังงานไฟฟ้า เพื่อรองรับการขยายตัวของ AI ที่ Microsoft เข้าลงทุนและเพื่อตอบโจทย์ปัญหาโลกร้อน

บิล เกตส์ ชี้ให้เห็นว่า โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ของเขาที่เป็นประโยชน์นี้ ได้รับการสนับสนุนจากทั้งสองพรรคของสหรัฐฯ (เดโมแครตและรีพับลิกัน) ในขณะที่พรรคเดโมแครตเห็นคุณค่าในแหล่งพลังงานสะอาด ส่วนพรรครีพับลิกันให้ความสนใจในเรื่องความมั่นคงด้านพลังงาน

สำหรับ TerraPower ได้สำรวจวิธีการสร้างเครื่องปฏิกรณ์ที่ง่ายขึ้น และราคาถูกลงตั้งแต่ปี 2551 และคาดว่าจะสร้างเครื่องปฏิกรณ์ใหม่เสร็จในปี 2573

“ผมลงทุนไปแล้วกว่าพันล้านดอลลาร์ และผมก็พร้อมที่จะทุ่มเงินอีกหลายพันล้าน” บิล เกตส์ กล่าว

บิล เกตส์ กล่าวว่า อันที่จริงโรงไฟฟ้าของ TerraPower ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ ถูกคาดว่าจะดำเนินการได้ในปี 2571 แต่เนื่องจากต้องอาศัยเชื้อเพลิงจากรัสเซีย ซึ่งถูกฝั่งตะวันตกคว่ำบาตรในขณะนี้ กำหนดการที่จะเปิดใช้งานได้จึงล่าช้าออกไป

สำหรับโรงไฟฟ้าของ TerraPower ใช้โซเดียมเหลวแทนน้ำเป็นสารระบายความร้อน และมีเกลือหลอมเหลวที่สามารถกักเก็บความร้อนเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต บิล เกตส์ กล่าวว่า บริษัทวางแผนที่จะจัดหาเชื้อเพลิงจากสหรัฐฯ และประเทศพันธมิตรสำหรับโรงไฟฟ้านี้

ในปัจจุบัน ‘พลังงานนิวเคลียร์’ ที่ปลอดคาร์บอน กำลังถูกมองว่าเป็นกุญแจสำคัญในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ และมีบริษัทจำนวนมากขึ้นที่ส่งเสริมโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก โดยเมื่อปีที่แล้ว ตามข้อมูลของ BloombergNEF ระบุว่า 25 ประเทศในการประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติ ครั้งที่ 28 หรือ COP28 ที่นครดูไบของสหรัฐฯ อาหรับ เอมิเรตส์ ได้ประกาศความมุ่งมั่นที่จะเพิ่มกำลังการผลิตนิวเคลียร์เป็น 3 เท่า

‘รบ.สหรัฐฯ’ ยกคำนักวิชาการไทย ไม่เห็นด้วยหากไทยเข้าร่วม ‘BRICS’ เชื่อ!! เกิดจากการถูกชี้นำผิดๆ ใต้ความกระหายโชว์ผลงานของรัฐบาล

‘ไทย’ กำลังเดินหน้าสมัครเข้าร่วมเป็นสมาชิก ‘BRICS’ กลุ่มชาติกำลังพัฒนา ที่ประกอบด้วย บราซิล รัสเซีย จีน อินเดีย และแอฟริกาใต้ ตามรายงานของวอยซ์ออฟอเมริกา (วีโอเอ) เครือข่ายเว็บไซต์และสถานีวิทยุด้านข่าวสารที่มีรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นเจ้าของ พร้อมอ้างว่าพวกผู้เชี่ยวชาญต่างแสดงความเคลือบแคลงใจว่าการตัดสินใจดังกล่าวเป็นความเคลื่อนไหวที่ถูกต้องหรือไม่

สมาชิกกลุ่ม BRICS ต้องการสร้างทางเลือกอื่นขึ้นมาแทนดอลลาร์สหรัฐ และระบบการเงินโลกที่เกี่ยวข้องกับทางเลือกดังกล่าว หลังจากที่ผ่านมา พวกเขาเคยริเริ่มโครงการด้านการเงินต่าง ๆ อย่างเช่นธนาคารเพื่อการพัฒนาใหม่ (New Development Bank) ที่ถูกมองว่าเป็นคู่แข่งของธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ

ตั้งแต่คณะรัฐมนตรีของไทยเห็นชอบร่างใบสมัครในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม นับตั้งแต่นั้นความพยายามเข้าร่วมกลุ่ม BRICS ก็เดินหน้าอย่างรวดเร็ว และล่าสุด นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีต่างประเทศของไทย ได้ยื่นหนังสืออย่างป็นทางการกับ เซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย ประธาน BRICS ในปัจจุบัน ในการแสดงความประสงค์เข้าร่วมเป็นสมาชิกเต็มรูปแบบของกลุ่ม BRICS

ในถ้อยแถลง นายมาริษ บอกว่ามันเป็นประโยชน์ของไทยในการเข้าร่วมกลุ่ม BRICS "ไทยมองว่า BRICS มีบทบาทสำคัญในระบบพหุภาคีและความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศต่าง ๆ ในซีกโลกใต้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของประเทศของเรา"

"เพื่อผลประโยชน์ทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง การเข้าร่วมกลุ่ม BRICS จะช่วยเสริมบทบาทของไทยในเวทีโลก และกระชับความร่วมมือระหว่างประเทศกับบรรดาชาติเศรษฐกิจเกิดใหม่ทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางการค้า การลงทุน ความมั่นคงทางอาหารและทางพลังงาน" ถ้อยแถลงระบุ

บรรดาสมาชิกกลุ่ม BRICS มีสัดส่วนเศรษฐกิจคิดเป็นสัดส่วน 28 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ จากทั้งหมดของโลก 100 ล้านล้านดอลลาร์ ทางกลุ่มบอกว่าต้องการให้บรรดาเศรษฐกิจเกิดใหม่มีตัวแทนที่ใหญ่โตขึ้นในระดับโลก โดยอ้างว่าพวกชาติตะวันตกในอเมริกาเหนือและยุโรปตะวันตก ครอบงำองค์กรการเงินโลกอย่างเช่น เวิลด์แบงก์ และกองทุนการเงินระหว่างประเทศมาช้านาน

อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา พันธมิตรกลุ่ม BRICS ถูกมองในฐานะฝ่ายต่อต้านตะวันตกมากขึ้นเรื่อยๆ ในนั้นรวมถึงกรณีที่จีนและรัสเซียกำลังหาทางลดพึ่งพิงดอลลาร์สหรัฐ เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ที่เสื่อมทรามลงระหว่างวอชิงตันกับปักกิ่งและมอสโก ต่อประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ต่าง ๆ ในนั้นรวมถึงปราบปรามผู้ประท้วงในฮ่องกงของจีน และประเด็นอธิปไตยของไต้หวัน รวมถึงสงครามของรัสเซียในยูเครน

วอยซ์ออฟอเมริกา อ้างคำสัมภาษณ์ของนายฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ นักวิชาการ สถาบันศึกษาความมั่นคงและนานาชาติ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า BRICS เริ่มกลายเป็นความพยายามทางการเมืองต่อต้านตะวันตกมากจนเกินไป "แรกเริ่มของ BRICS เริ่มต้นในฐานะรูปแบบหนึ่ง เป็นกลุ่มภูมิเศรษฐศาสตร์ แต่ตอนนี้ผมคิดว่าทางกลุ่มกลายมาเป็นกลุ่มก้อนหมู่คณะทางภูมิรัฐศาสตร์มากกว่าเดิม รูปแบบของ BRICS กำลังเปลี่ยนไป กลายมาเป็นแนวร่วมภูมิรัฐศาสตร์ต่อต้านตะวันตก"

นายมาริษ ยืนยันว่าแต่ละประเทศล้วนแต่ตัดสินใจเป็นผลประโยชน์ของชาติตนเอง และไทยต้องการทำงานร่วมกับพันธมิตรทุกราย แม้มีความเห็นต่างกันก็ตาม

อย่างไรก็ตาม ทาง นายฐิตินันท์ เชื่อว่าความพยายามเข้าร่วมกลุ่มของไทยนั้นเกิดจากการถูกชี้นำผิด ๆ และหลงไปตามวาระของรัฐสมาชิกสำคัญอย่างจีนและรัสเซีย "รัฐบาลตะเกียกตะกายที่จะสร้างผลงาน ตามมุมมองของผม BRICS คือเส้นทางที่ถูกชี้นำผิด ๆ ที่จะโชว์ผลงาน มันกลับนำพาไทยตกอยู่ในวาระของประเทศอื่น ๆ ไทยต้องการวางตัวเป็นกลางมากกว่าที่เป็นอยู่"

จีนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับไทย และเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งกลุ่ม BRICS และผู้เชี่ยวชาญบางส่วนเชื่อว่า ปักกิ่ง คือปัจจัยหลักสำหรับเหตุผลว่าทำไมไทยถึงอยากเข้าร่วมกลุ่ม BRICS

ทั้งนี้ จีนคือคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของไทย ด้วยมูลค่ากว่า 135,000 ล้านดอลลาร์ เมื่อปีที่แล้ว และนักท่องเที่ยวชาวจีนยังมีความสำคัญยิ่งต่อเศรษฐกิจที่พึ่งพิงการท่องเที่ยวของไทยด้วย

เอียน ชอง นักรัฐศาสตร์จากสิงคโปร์ บอกกับวอยซ์ออฟอเมริกาว่า ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจคือสิ่งล่อใจสำคัญที่ทำให้ไทยตัดสินใจเข้าร่วมกลุ่ม BRICS

‘WGC’ ชี้!! วิกฤตอุตสาหกรรม ‘เหมืองทองคำ’ หลังการผลิตชะลอตัว เหตุแหล่งแร่หายากขึ้น คาด!! หลายพื้นที่ถูกสำรวจไปหมดแล้ว

เมื่อวานนี้ (16 มิ.ย. 67) สำนักข่าวซีเอ็นบีซีอ้างการเปิดเผยของสภาทองคำโลก (WGC) ว่า อุตสาหกรรมเหมืองทองคำกำลังประสบปัญหาในการรักษาระดับการเติบโตด้านการผลิต เนื่องจากการค้นหาแหล่งแร่ทองคำเริ่มยากลำบากมากขึ้นเรื่อยๆ

ทั้งนี้ ข้อมูลจากสภาทองคำโลก พบว่า กำลังผลิตเหมืองทองคำเพิ่มขึ้นแค่ 0.5% ในปี 2023 เมื่อเทียบกับหนึ่งปีก่อนหน้านั้น ขณะที่ในปี 2022 อัตราการเติบโตอยู่ที่ 1.35% หากเทียบเป็นรายปี เช่นเดียวกับปี 2021 ที่มีอัตราการเติบโตถึงระดับ 2.7%

"สิ่งที่เราพบเห็นคือกำลังผลิตเหมืองทองคำสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในไตรมาสแรกของปี 2024 เพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบเป็นรายปี" จอห์น รีด หัวหน้านักยุทธศาสตร์การตลาดของสภาทองคำโลกกล่าวกับซีเอ็นบีซี "แต่ถ้ามองในภาพกว้าง ๆ ผมคิดว่ากำลังผลิตเหมืองทองคำ อยู่บนจุดสูงสุดแถวปี 2016 ถึง 2018 และเราไม่พบเห็นการเติบโตนับตั้งแต่นั้น"

"สิ่งที่น่ากังวลใจคือ ในช่วงเวลา 10 ปีหลังจากการผลิตทองคำพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งตั้งแต่ปี 2008 นั้น อุตสาหกรรมเหมืองทองคำประสบกับความยากลำบากในการรักษาอัตราการขยายตัวด้านการผลิตทองคำ เนื่องจากแหล่งแร่ทองคำใหม่ ๆ ทั่วโลกหายากขึ้น และหลายพื้นที่ที่มีแนวโน้มว่าจะพบแร่ทองคำนั้นได้ถูกสำรวจไปหมดแล้ว" จอห์น รีด กล่าว

โดยเขาชี้ว่าเหมืองทองคำขนาดใหญ่ต้องใช้เงินทุนที่สูงมาก อีกทั้งต้องมีการสำรวจและการพัฒนาซึ่งถือเป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญ นอกจากนี้ ยังต้องใช้เวลาโดยเฉลี่ย 10-20 ปีก่อนที่เหมืองจะมีความพร้อมในการผลิต

จอห์น รีด กล่าวต่ออีกว่า และต่อให้เหมืองเริ่มเข้าสู่ขั้นตอนการสำรวจ แต่โอกาสในการค้นพบแร่ทองคำที่จะนำไปสู่ขั้นตอนการพัฒนาได้นั้น อยู่ในระดับที่ต่ำมาก โดยรายงานระบุว่า ทองคำทั่วโลกที่ถูกพบว่ามีแร่ทองคำในปริมาณมากพอที่จะได้รับการรับรองให้ทำเหมืองทองคำได้นั้น มีเพียงแค่ราว 10% เท่านั้น

ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทเหมืองทองคำทั้งหลาย อาจต้องใช้เวลานานหลายปีกว่าจะได้รับใบอนุญาตต่าง ๆ ที่จำเป็นจากรัฐบาล ถึงจะเริ่มปฏิบัติการได้ ยังไม่นับรวมกรณีที่โครงการเหมืองจำนวนมากมักตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกล ที่จำเป็นต้องมีการก่อสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ อย่างเช่น ถนน ไฟฟ้า และน้ำประปา เสียก่อน

นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีการขุดทองคำไปแล้วประมาณ 187,000 เมตริกตัน อ้างอิงรายงานของสภาทองคำโลก ด้วยยังมีแหล่งทองคำสำรองที่ยังคงไม่ได้มีการขุดอีก 57,000 ตัน

สำนักงานสำรวจธรณีวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกา (USGS) รายงานเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ประมาณการว่าทองคำทั่วโลกเหลืออยู่ประมาณ 57,000 ตัน ซึ่งหากเทียบจากปริมาณการขุดทองคำเฉลี่ยปีละประมาณ 3,000 ตัน จะเท่ากับเหลือทองคำให้ขุดได้อีกเพียง 19 ปี หากไม่มีการสำรวจพบสายแร่ทองคำใหม่เพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลของ USGS เป็นเพียงการประมาณการเบื้องต้น โดยอ้างอิงจากอัตราการขุดทองคำในปัจจุบันและปริมาณทองคำสำรองที่พิสูจน์แล้วเท่านั้น ในความเป็นจริง ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจส่งผลต่อระยะเวลาการหมดลงของทองคำ เช่น การค้นพบแหล่งแร่ทองคำใหม่ ๆ การพัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลทองคำจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และของใช้ต่าง ๆ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค

‘ทรัมป์’ เหน็บแรง!! ‘เซเลนสกี้’ เซลล์แมนที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์ มาเยือนสหรัฐฯ ทีไร ได้เงินกลับบ้าน 5-6 หมื่นล้านดอลฯ เสมอ

‘โดนัลด์ ทรัมป์’ อดีตผู้นำสหรัฐฯ เหน็บแรง ‘โวโลดิมีร์ เซเลนสกี้’ ผู้นำยูเครน กลางงานปราศรัยหาเสียงที่เมืองดีทรอยต์ ในรัฐมิชิแกนว่า เป็นเซลล์แมนที่เก่งที่สุดในบรรดานักการเมืองที่เคยมีอยู่ในโลกนี้ ใครจะหาเงินจากรัฐบาลอเมริกันได้เก่งเท่าเซเลนสกี้ไม่มีอีกแล้ว
.คำพูดที่สื่อถึงผู้นำยูเครนนี้ ทรัมป์ ได้กล่าวไว้ในงานเดินสายหาเสียงครั้งที่ 2 ที่เมืองดีทรอยด์ ซึ่งจัดโดย ‘Turning Point USA’ กลุ่มการเมืองฝ่ายขวาที่เป็นฐานเสียงหลักของทรัมป์เมื่อวันเสาร์ที่ 15 มิถุนายน 67 ที่ผ่านมา 

และได้วิจารณ์ถึงการใช้งบประมาณอย่างสูญเปล่าของรัฐบาลไบเดน ตั้งแต่การลงทุนในนโยบาย Green Transformation (การเปลี่ยนผ่านเข้าสู่เศรษฐกิจสีเขียว) ว่าเป็นการหลอกลวงครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์  

อีกทั้งกล่าวถึงผู้นำยูเครนว่า "ผมบอกพวกคุณได้เลย เซเลนสกี้เป็นเซลล์แมนที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์แล้ว ทุกครั้งที่เขามาเยือนประเทศเรา เขาจะกลับไปพร้อมเงิน 5-6 หมื่นล้านดอลลาร์ของพวกเราเสมอ"

ซึ่งตัวเลข 6 หมื่นล้านดอลลาร์ที่ทรัมป์พูดถึง มาจากงบช่วยเหลือยูเครนที่เพิ่งผ่านสภาคองเกรสเมื่อช่วงเดือนเมษายนของปีนี้ จากการผลักดันของโจ ไบเดน ว่าหากงบนี้ไม่ผ่าน ยูเครนเสียดินแดนเพิ่มให้รัสเซียแน่นอน

ทรัมป์ยังกล่าวติดตลกด้วยว่า "มันหวานเจี๊ยบมากคุณเอ๊ย เซเลนสกี้เพิ่งจะออกจากประเทศเราไป 4 วันด้วยเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ พอกลับถึงบ้าน เขาบอกว่าจะเอาอีก 6 หมื่นล้านดอลลาร์ มันไม่มีวันจบหรอกครับ" 

และไม่ใช่ครั้งแรกที่โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวประชดเซเลนสกี้ ด้วยการยกฉายาเซลล์แมนผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคให้ ย้อนไปในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ในงานปราศรัยที่รัฐโอไฮโอ ทรัมป์เคยพูดถึงเซเลนสกี้ในทำนองนี้มาก่อนแล้ว อีกทั้งวิจารณ์นโยบายการสนับสนุนยูเครนของรัฐบาลไบเดนว่า แทนที่จะส่งเงินให้ยูเครนทุกครั้งที่เซเลนสกี้มาขอ ทำไมไม่ให้เป็นเงินกู้ที่มีเงื่อนไขการชำระหนี้อย่างเหมาะสมแทน

ทรัมป์ให้สัญญาว่า เขาจะยุติการให้เงินสนับสนุนแก่ยูเครนทันทีที่ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐฯ ที่จะถึงนี้ อีกทั้งยังอ้างว่า รัสเซียจะไม่รุกรานยูเครนอย่างแน่นอนหากเขาชนะการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว อีกทั้งยังเคยกล่าวอ้างว่าเขาสามารถยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครนได้ทันที หากได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง 

ด้านสื่อยูเครนออกมาตอบโต้ถ้อยคำปราศรัยของทรัมป์ที่จะหยุดเงินช่วยเหลือแก่ยูเครนเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้เนื่องจาก โจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ ได้เซ็นรับรองร่างกฎหมายเงินช่วยเหลือแก่ยูเครนจำนวนกว่า 6.1 หมื่นล้านเหรียญไปแล้วตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา

และตั้งแต่เกิดเหตุสงครามรัสเซีย-ยูเครน เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2022 เป็นต้นมา รัฐบาลสหรัฐ ได้สนับสนุนเงินช่วยเหลือแก่ยูเครนไปแล้วไม่น้อยกว่า 1.12 แสนล้านดอลลาร์ และล่าสุดปีนี้เพิ่งจากอนุมัติเงินช่วยเหลือด้านการทหารแก่ยูเครนก้อนใหม่อีก 6 หมื่นล้านดอลลาร์ 

ซึ่งเป็นสิ่งที่ทรัมป์โจมตีรัฐบาลไบเดนมาตลอด ถึงนโยบายการทุ่มเงินสนับสนุนยูเครนอย่างพิลึกพิลั่น พร้อมค่อนแคะว่า กลุ่มชาติสมาชิก NATO คงหัวเราะจนงอหาย ที่เห็นรัฐบาลไบเดนส่งเงินให้เปล่ากับยูเครนมากมายมหาศาล ทั้ง ๆ ที่ควรเป็นเงินยืมที่ยูเครนต้องจ่ายคืน

ถึงแม้ โดนัลด์ ทรัมป์ จะให้คำมั่นสัญญากับชาวอเมริกันว่าเขาจะไม่ยอมทุ่มเงินภาษีประชาชนให้กับสงครามนอกบ้าน และจะเป็นคนยุติสงครามยูเครน แต่มีเงื่อนไขว่าเขาต้องชนะการเลือกตั้งใหญ่ครั้งนี้เสียก่อน แต่ก็ต้องละไว้ในฐานที่เข้าใจว่านั่นคือคำพูดเพื่อ ‘หาเสียง’ เท่านั้น 

เพราะเมื่ออยู่ในฐานะผู้นำสหรัฐอเมริกาจริง ๆ ย่อมมีหน้าที่ในการธำรงไว้ซึ่งศักดิ์ศรีของความเป็นชาติมหาอำนาจโลก ที่เสียเงินไม่ว่า แต่เสียหน้าไม่ได้ และเชื่อเถอะว่า เซลล์แมนผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุค รู้วิธีหาเงินจากอีโก้ของชาติมหาอำนาจได้ดีที่สุด

‘รอยเตอร์ส’ เผย คนตามข่าวจากสื่อออนไลน์มากกว่า ‘สื่อดั้งเดิม’ แพลตฟอร์ม ‘Facebook-YouTube’ ทางเลือกแรกๆ ที่คนเลือกเสพ

เมื่อไม่นานมานี้ สถาบันรอยเตอร์ส เปิดเผยว่า ผู้คนทั่วโลกสนใจข่าวสารน้อยลง พบเกือบ 40% หลีกเลี่ยงการเสพข่าวเป็นบางครั้งหรือบ่อยครั้ง

ผลการศึกษาทั่วโลกโดยสถาบันรอยเตอร์ส (Reuters Institute) มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ชี้ว่า ผู้คนทั่วโลกจำนวนมากขึ้นมีความสนใจในข่าวสารน้อยลง โดยมองว่ามีแต่เรื่องที่น่าหดหู่ ไม่จบไม่สิ้น และน่าเบื่อ

รายงานสำรวจประชากรวัยผู้ใหญ่ทั้งหมด 94,943 คนใน 47 ประเทศระหว่างเดือน ม.ค.-ก.พ. 2024 และพบว่า ผู้คน 39% หรือเกือบ 4 ใน 10 (39%) กล่าวว่า พวกเขาหลีกเลี่ยงการเสพข่าวเป็นบางครั้งหรือบ่อยครั้ง

ตัวเลขดังกล่าวอยู่ในระดับสูงเป็นประวัติการณ์ โดยเพิ่มขึ้นจากปี 2017 ซึ่งอยู่ที่ 29%

รายงานระบุว่า สงครามในยูเครนและตะวันออกกลางอาจส่งผลให้ประชาชนต้องการปิดการรับรู้ข่าวมากขึ้น แต่ข่าวที่ผู้คนทั่วโลกให้ความสนใจคล้ายกัน คือข่าวการเลือกตั้งในประเทศของตัวเอง อย่างไรก็ตาม แนวโน้มโดยรวมยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง

สำหรับกลุ่มที่สนใจข่าวมากหรืออย่างมากทั่วโลกอยู่ที่ 46% ลดลงจาก 63% ในปี 2017

นิก นิวแมน ผู้เขียนรายงาน กล่าวว่า “เห็นได้ชัดว่าวาระข่าวเป็นเรื่องยากโดยเฉพาะในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คุณต้องเผชิญกับโรคระบาด และสงคราม ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่ผู้คนจะหันหลังให้กับข่าว ไม่ว่าจะเป็นเพื่อปกป้องสุขภาพจิตของพวกเขา หรือเพียงต้องการที่จะใช้ชีวิตที่ตามปกติ”

นิวแมนกล่าวว่า ผู้ที่เลือกหลีกเลี่ยงข่าวมักจะทำเช่นนั้นเพราะพวกเขารู้สึกว่า ‘ไม่มีอำนาจ’ โดยกล่าวว่า “คนเหล่านี้คือคนที่รู้สึกว่าตนไม่มีสิทธิ์เสรีเหนือสิ่งใหญ่โตที่กำลังเกิดขึ้นในโลก”

เขาเสริมว่า บางคนรู้สึกหนักใจและสับสนมากขึ้นกับข่าวที่เกิดขึ้น ขณะที่บางคนรู้สึกเหนื่อยล้ากับการเมือง นอกจากนี้ ผู้หญิงและคนหนุ่มสาวมีแนวโน้มที่จะรู้สึกเบื่อหน่ายกับจำนวนข่าวสารรอบตัวมากกว่าช่วงวัยอื่น

ในขณะเดียวกัน ความเชื่อมั่นในข่าวยังคงทรงตัวที่ 40% แต่โดยรวมลดลงมา 4% จากช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19

รายงานพบว่าผู้ที่ชมแหล่งข่าวแบบดั้งเดิม เช่น โทรทัศน์และสิ่งพิมพ์ ลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยคนอายุน้อยเลือกที่จะรับข่าวสารทางออนไลน์หรือทางโซเชียลมีเดียแทน

ในสหราชอาณาจักร ผู้คนเกือบ 3 ใน 4 (73%) กล่าวว่า พวกเขารับข่าวสารทางออนไลน์ ส่วน 50% ยังรับข่าวทางทีวีอยู่และมีเพียง 14% ที่อ่านข่าวในสิ่งพิมพ์

แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่สำคัญที่สุดสำหรับข่าวสารยังคงเป็น Facebook แม้ว่าจะมีแนวโน้มลดลงก็ตาม รอลงมาคือ YouTube และ WhatsApp ขณะที่ TikTok กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น และตอนนี้แซงหน้า X (Twitter) ไปแล้วเป็นครั้งแรก โดยผู้คน 13% ทั่วโลกใช้ TikTok เพื่อดูข่าวสารส่วนผู้ที่ใช้ X ดูข่าวมีอยู่ 10%

กลุ่มที่ใช้ TikTok มากที่สุดคือประชากรอายุ 18-24 ปี ทำให้วิดีโอกลายเป็นแหล่งข่าวออนไลน์ที่สำคัญมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มอายุน้อย และวิดีโอแบบสั้นมีความน่าสนใจมากที่สุด

“ผู้บริโภคหันมาใช้วิดีโอเพราะใช้งานง่าย และมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องและน่าดึงดูดมากมาย แต่ห้องข่าวแบบดั้งเดิมหลายแห่งยังคงมีรากฐานมาจากวัฒนธรรมที่ใช้ข้อความและกำลังดิ้นรนเพื่อปรับการเล่าเรื่อง” นิวแมนกล่าว

‘จีน’ เปิดปฏิบัติการ ‘เพาะเมฆ’ สร้างฝนเทียม  หนุน จนท.ดับไฟบนภูเขา หลังพยายามมา 4 วัน

เมื่อวานนี้ (16 มิ.ย.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า หน่วยงานท้องถิ่นมณฑลซานซีทางตอนเหนือของจีน เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ดับเพลิงท้องถิ่นสามารถดับไฟที่ลุกไหม้บนภูเขาตั้งแต่เมื่อวันพุธ (12 มิ.ย.) ได้สำเร็จแล้ว หลังจากพยายามดับเพลิงนาน 4 วัน โดยได้รับความช่วยเหลือจากฝนเทียม

ทั้งนี้ สำนักงานใหญ่เพื่อการรับมือเหตุฉุกเฉินในอำเภออันเจ๋อ เมืองหลินเฝิน ระบุว่า เจ้าหน้าที่ดับเพลิงกว่า 2,200 คน พร้อมด้วยรถขุด 63 คัน และเรือบรรทุกน้ำ 88 คัน มีส่วนร่วมในภารกิจดับเพลิงครั้งนี้

โดยตอนแรกภารกิจดับเพลิงต้องเผชิญหลายความท้าทาย อันเนื่องมาจากภูเขาที่ลาดชัน อุณหภูมิที่พุ่งสูง และสภาพอากาศที่มีลมแรง ต่อมาเจ้าหน้าที่จึงหันมาใช้ปฏิบัติการเพาะเมฆบนฟ้า (cloud seeding) เพื่อทำให้ฝนตกเมื่อเย็นวันเสาร์ (15 มิ.ย.) และช่วยดับไฟ

หลังจากควบคุมเพลิงได้แล้ว เจ้าหน้าที่ดับเพลิงจึงเริ่มเคลียร์พื้นที่บริเวณจุดเกิดเหตุตอนช่วงบ่ายวันอาทิตย์ (16 มิ.ย.) ซึ่งการสืบสวนเบื้องต้นเผยว่าไฟไหม้บนภูเขาครั้งนี้อาจมีสาเหตุมาจากฟ้าผ่า

อนึ่ง รายงานระบุว่าพื้นที่ในอำเภออันเจ๋อนั้นเป็นที่ตั้งของพื้นที่ป่าทึบหนาแน่นและเปราะบางต่อการเกิดไฟป่าอยู่แล้ว

'2 สื่อยักษ์' ตีข่าว ปรากฏการณ์ 'หลานม่า' ไวรัลแรงจนเกิดกระแสชาเลนจ์ในหลายประเทศ

(17 มิ.ย. 67) จากเพจ 'Thailand Box office and Entertainment' เผยว่า เว็บไซต์ข่าว BBC ของอังกฤษ และ South China Morning Post ของฮ่องกง รายงานปรากฏการณ์ของหลานม่า ที่สั่นสะเทือนไปทั้งเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยการขึ้นแท่นอันดับ 1 หนังทำเงิน 

พร้อมกับมีมุมมองว่า #หลานม่า ประสบความสำเร็จพร้อมกับกระแสไวรัลใน Tiktok ในหลายประเทศ ที่หลายคนแข่งกันทำชาเลนจ์ ดูหนังเรื่องนี้ยังไงไม่ให้เสียน้ำตา รวมถึงไวรัลแจกกระดาษซับน้ำตา และ รีแอคของคนดูหลังดูหนังจบที่ตาบวมกันเป็นแถว 

ถือเป็นการตอกย้ำว่า เนื้อหาของหนังเข้าถึงคนดูในอาเซียนและเอเชียเป็นวงกว้างไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

‘รอยเตอร์’ เผย ‘กองทัพสหรัฐฯ’ เปิดยุทธการลับบน ‘สื่อสังคมออนไลน์’ เพื่อป้ายสี ทำลายชื่อเสียง วัคซีนโควิดของจีน ในช่วงแพร่ระบาดโควิด-19

(16 มิ.ย.67) ยุทธการของเพนตากอน สำหรับทำลายชื่อเสียงวัคซีนจีน มีขึ้นระหว่างช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 2020 ถึงกลางปี 2021 โดยมุ่งเน้นไปที่ฟิลิปปินส์ ก่อนขยายวงสู่พื้นที่อื่นๆ ของเอเชียและตะวันออกกลาง ตามรายงานของรอยเตอร์ที่กล่าวอ้างในบทความชิ้นหนึ่งซึ่งเผยแพร่ในวันศุกร์ (14 มิ.ย.)

เพนตากอนพึ่งพิงบัญชีปลอมบนสื่อสังคมออนไลน์ แอบอ้างตัวเป็นผู้ใช้ชาวฟิลิปปินส์ เผยแพร่คำกล่าวอ้างอันเป็นเท็จว่า วัคซีนซิโนแวคของจีน เช่นเดียวกับชุดตรวจและหน้ากากอนามัยที่ผลิตโดยประเทศแห่งนี้มีคุณภาพที่ย่ำแย่

ซิโนแวค ซึ่งเริ่มต้นแจกจ่ายในเดือนมีนาคม 2021 กลายเป็นวัคซีนตัวแรกที่ชาวฟิลิปปินส์เข้าถึงได้ระหว่างโรคระบาดใหญ่

‘โควิดมาจากจีนและวัคซีนก็มาจากจีนเช่นกัน ดังนั้นอย่าไว้ใจจีน’ รูปแบบการโพสต์หนึ่ง ส่วนหนึ่งในยุทธการทำลายชื่อเสียง ภายใต้สโลแกน #ChinaAngVirus (จีนคือไวรัส) ตามรายงานของรอยเตอร์ ส่วนอีกโพสต์ที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไป กล่าวอ้างว่า ‘ทุกอย่างที่มาจากจีน ทั้งชุดป้องกัน หน้ากาก และวัคซีน ล้วนแต่เป็นของปลอม แต่โคโรนาไวรัสนั้นเป็นของจริง’

ยิ่งไปกว่านั้น เพนตากอนพยายามสื่อสารไปยังพวกผู้ใช้ชาวมุสลิมในเอเชียและตะวันออกกลาง สืบเนื่องจากข้อเท็จจริงที่ว่าบางครั้งวัคซีนอาจมีส่วนผสมของเจลาตินหมู ดังนั้น วัคซีนของจีนจึงอาจเป็นสิ่งต้องห้ามภายใต้กฎหมายอิสลาม

รอยเตอร์ระบุว่า จากการตรวจสอบของพวกเขา พบว่ามีอย่างน้อย 300 บัญชีบนทวิตเตอร์ ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นเอ็กซ์ ที่มีคุณลักษณะตรงตามกับคำกล่าวอ้างของอดีตเจ้าหน้าที่กองทัพสหรัฐฯ ที่เปิดเผยเรื่องราวเกี่ยวกับยุทธการนี้แก่สื่อมวลชน

เจ้าหน้าที่ระดับสูงในกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ ยืนยันกับรอยเตอร์ว่า ยุทธการลับๆ บนสื่อสังคมออนไลน์สำหรับป้ายสีซิโนแวคนั้นเป็นเรื่องจริง แต่ปฏิเสธให้รายละเอียดเพิ่มเติม

โฆษกรายหนึ่งของเพนตากอน บอกกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า กองทัพสหรัฐฯ ใช้แพลตฟอร์มที่หลากหลาย ในนั้นรวมถึงสื่อสังคมออนไลน์ สกัดอิทธิพลที่มุ่งร้าย ที่เล็งเป้าเล่นงานสหรัฐฯ พันธมิตรและคู่หู และปักกิ่งคือหนึ่งในนั้น ที่เริ่มเปิดยุทธการบิดเบือนข้อมูล กล่าวโทษอันเป็นเท็จ หาว่าสหรัฐฯ เป็นคนแพร่กระจายโควิด-19

ในปฏิกิริยาที่มีต่อรายงานของรอยเตอร์ ทางกระทรวงการต่างประเทศของจีน เน้นย้ำผ่านทางอีเมล ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ บงการสื่อสังคมออนไลน์และเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนมานานแล้ว

เมื่อ 'ซาอุฯ' ยกเลิกผูกขาดดอลลาร์ซื้อขายน้ำมัน ทิศทาง ‘ดอลลาร์-หยวน' เงินสกุลไหนจะได้ไปต่อ?

เป็นที่ทราบกันไปแล้ว ว่าสหรัฐอเมริกาและซาอุดีอาระเบีย ได้เห็นร่วมกันให้ข้อตกลงเปโตรดอลลาร์สิ้นสุดลงในวันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายนที่ผ่านมา 

อะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้แอคชันในครั้งนี้ ก็คงยังมิทราบได้ แต่ที่คาดเดากันได้ในนาทีนี้ คือ น้ำมันจากแหล่งน้ำมันในซาอุดีอาระเบียน่าจะหมดไปภายในเวลาประมาณ 50 ปี หรือนานกว่านั้นเล็กน้อย ด้วยอัตราการสูบน้ำมันที่ดำเนินอยู่ในปัจจุบัน  

อย่างไรก็ตาม ด้วยเวลาที่ผ่านไป พลังงานทางเลือกต่างๆ ปรากฏขึ้นพร้อมๆ กันกับ รถยนต์ EV ที่กำลังได้รับส่วนแบ่งทางการตลาดรถยนต์ที่มากขึ้นเรื่อยๆ 

ดังนั้นเมื่อคำนึงถึงสิ่งนี้ รายได้จากน้ำมันเชื้อเพลิงจะเริ่มลดลงอย่างมีนัยสำคัญภายในปี 2040 อันจะส่งผลให้น้ำมันเชื้อเพลิงค่อยๆ สูญเสียการควบคุมอย่างต่อเนื่องในฐานะแหล่งรายได้ที่เคยได้รับผลกำไรสูง 

นั่นจึงทำให้ ซาอุดีอาระเบีย พยายามที่จะเริ่มหาแหล่งพลังงานอื่นๆ มาทดแทนรายได้จากน้ำมัน โดยเฉพาะกับก๊าซธรรมชาติที่จะเป็นอีกแหล่งรายได้อีกทางหนึ่ง 

ปัจจุบันซาอุดีอาระเบียมีปริมาณสำรองก๊าซธรรมชาติคิดเป็น 4% ของปริมาณสำรองของทั้งโลก และเพียงพอสำหรับซาอุดีอาระเบียที่จะบริโภคภายในประเทศกว่า 88 ปี 

ด้วยหลายๆ สาเหตุ ที่ว่ามา ทำให้ ซาอุดีอาระเบีย เริ่มขาดแรงจูงใจต่อการขายน้ำมันในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จนกระทั่งขาดแรงกระตุ้นในการต่ออายุข้อตกลงดังกล่าวไปด้วยโดยปริยาย

ทั้งนี้ เดิมที ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ได้ลงนามในข้อตกลงกับรัฐบาลสหรัฐฯ ในสมัยประธานาธิบดี Nixon เกี่ยวกับปิโตรดอลลาร์ เพื่อแลกเปลี่ยนกับหลักประกันด้านความมั่นคงทางทหาร ซึ่งรับประกันโดยสหรัฐอเมริกา 

ขณะเดียวกันสหรัฐฯ กำลังประสานงานกับซาอุดีอาระเบียเกี่ยวกับข้อตกลงที่จะให้หลักประกันด้านความมั่นคงทางทหารแก่ซาอุดีอาระเบีย เพื่อแทนที่ข้อตกลงเดิมซึ่งหมดอายุไปแล้ว เนื่องจากตะวันออกกลางมีความสำคัญเชิงกลยุทธ์มากสำหรับสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะกับ UAE ซึ่งเป็นประเทศหนึ่งในตะวันออกกลางที่เพิ่งจะตีตัวออกห่างจากจีนเพื่อสนับสนุนสหรัฐฯ ในการพัฒนาไมโครชิป ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากความพยายามอย่างหนักของรัฐบาลสหรัฐฯ

ถึงกระนั้น ประเด็นสำคัญที่อยากชวนคิดตาม หากไม่มีข้อตกลงเปโตรดอลลาร์อีกแล้วนั้น คือ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงหรือไม่ และยิ่งเมื่อมีการก่อตั้ง BRICS สำเร็จเสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์แล้ว ก็ต้องดูว่าเงินสกุลหยวนของจีนจะสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะตั้งตัวเป็นสกุลเงินหลักของ BRICS ได้แค่ไหน? จะส่งผลทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนตัวได้เพียงใด? และสิ่งนี้จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้หรือไม่? หรืออาจต้องใช้เวลาหลายเดือน หรือหลายปี กว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น? 

กล่าวโดยสรุป หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ อ่อนแอลง โอกาสที่จะทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ถูกลงก็มีความเป็นไปได้ โดยความอ่อนแอดังกล่าวก็จะสะท้อนออกมาผ่านกำลังซื้อของคนอเมริกันที่เริ่มลดลง และจะทำให้ประเทศต่างๆ ที่ส่งออกสินค้ามาที่นี่ ต้องหาตลาดใหม่ ซึ่งเดิม 60% ของผู้ซื้อในโลก อยู่ที่สหรัฐอเมริกา 

แต่ก็มีคำถามเกิดขึ้นตามมาว่า แล้วจีนพร้อมจะมาเป็น World buyer แทนที่สหรัฐฯ หรือไม่? คำตอบที่เป็นไปได้สูงก็คือ จีนยังไม่น่าจะพร้อม และไม่น่ายินดีที่จะพร้อม เพราะเศรษฐกิจจีนโตมาได้ทุกวันนี้เกิดจากการที่จีนได้เปรียบดุลการค้าประเทศต่างๆ ทั่วโลก และสิ่งที่จีนยังต้องปรับตัวเป็นอย่างมากด้วย ก็คือ หากความได้เปรียบดุลการค้าหายไปแล้ว เศรษฐกิจของจีนเองจะอยู่ได้หรือไม่? และอยู่อย่างไร?

ยิ่งในประเด็นของทองคำ ซึ่งตอนนี้เริ่มมีราคาสูงมากขึ้น แต่ก็อย่าลืมว่า ประเทศที่มีทองมากที่สุดในโลกก็ยังคงเป็น สหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็น Gold deposits หรือ Gold reserves ก็ตาม

ดังนั้น BRICS เอง จึงยังไม่สามารถแข็งแกร่งได้ในเร็วๆ นี้ ด้วยยังคงขาด Infrastructure ที่จำเป็น เช่น Equivalent ของ Fed/IMF/World Bank แม้แต่เงินสกุลหยวน (CNY) เอง ก็ยังไม่พร้อมที่จะเป็น BRICS Currency ส่วนเงินรูเบิลรัสเซีย และเงินรูปีของอินเดีย ก็เลิกคิดไปได้เลย 

ถึงตรงนี้ หากหันมามองในมุมประเทศไทยเอง ก็คงไม่อยากให้เศรษฐกิจของสหรัฐฯ อ่อนแอ เนื่องจากไทยได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐฯ ค่อนข้างมากติดต่อกันหลายสิบปีมาแล้ว 

แต่ทั้งนี้ หากวันหนึ่งโลกพลิก ประเด็นที่ควรพิจารณาที่สุดของรัฐบาลและภาคเอกชนของไทยในการรับมือ ก็คือ การสร้างนวัตกรรมให้แก่สินค้าและบริการใหม่ๆ / การมองหาตลาดส่งออกใหม่ๆ / การเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยว เพื่อรองรับรายได้ที่อาจจะหายไปจากตลาดสหรัฐฯ หนึ่งในเพียงไม่กี่ประเทศในโลกที่สามารถพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจได้อย่างเต็มระบบและครบวงจร

คงต้องจับตาดูกันต่อไป

ชายชาวอังกฤษเตรียมฟ้อง Apple 232 ล้าน ชี้!! ทำให้ชีวิตแต่งงาน 20 ปี ต้องพังสลาย เหตุเมียจับได้ แอบเที่ยวหญิงบริการ เพราะเจอข้อความที่ลบจาก ‘iPhone’ ใน ‘iMAC’

(15 มิ.ย.67) ชายคนหนึ่ง เตรียมฟ้องบริษัทแอปเปิ้ล 5 ล้านปอนด์ หลังจากที่ภรรยาของเขาไปเจอกับข้อความที่ลบไป ซึ่งเขาได้ส่งไปถึงผู้ขายบริการทางเพศ

สามีที่นอกใจภรรยาคนนี้ อ้างว่า แอปเปิล ขาดความโปร่งใสในข้อความที่ถูกลบ ทำให้ภรรยาของเขาฟ้องหย่า

ริชาร์ด (นามสมมติ) เป็นชายวัยกลางคนจากอังกฤษ เปิดเผยกับ เดอะ ไทมส์ ว่า เขาไปใช้บริการหญิงขายบริการในช่วงปีสุดท้ายของการแต่งงาน โดยติดต่อผ่าน iMessages บน iPhone ของเขาก่อนที่จะลบออก อย่างไรก็ตาม เมื่อภรรยาของเขาใช้ iMac ของครอบครัว ข้อความดังกล่าวย้อนกลับไปหลายปีก็ผุดขึ้นมา แม้ว่าเขาจะเชื่อว่าได้ลบไปแล้วก็ตาม

ภรรยาของเขาฟ้องหย่าภายในหนึ่งเดือน เขาบอกกับเดอะ ไทมส์ว่า หากคุณได้รับแจ้งว่าข้อความถูกลบ คุณมีสิทธิที่จะเชื่อว่ามันถูกลบไปแล้ว

ทุกอย่างค่อนข้างเจ็บปวด และ แผลมันยังสดอยู่ มันเป็นวิธีที่โหดร้ายมากที่พบความจริงแบบนี้ ในความคิดของฉัน หากได้พูดคุยกับเธออย่างมีเหตุผล เธอคงไม่รับรู้เรื่องนี้อย่างโหดร้าย ฉันอาจจะรักษาชีวิตแต่งงานได้อยู่

ริชาร์ด กล่าวว่า ชีวิตแต่งงาน 20 ปี ของพวกเขามีความสุขมาก ก่อนที่ชีวิตแต่งงานที่สวยงามนี้จะถูกทำลายจากสิ่งที่ผู้ชายหลายคนทำ และผู้หญิงบางคนก็ทำ เมื่อพูดคุยกับเพื่อน บางคนมีเรื่องชู้สาว ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นการละเมิดความไว้วางใจมากกว่า และ ยังคงแต่งงานกันอยู่แม้เรื่องจะแดงแล้วก็ตาม

ผมคิดว่ามันคงมีทางเป็นไปได้ หากเธอไม่รู้เรื่องอย่างกะทันหัน โหดร้าย และน่าหงุดหงิด

ขณะนี้ ริชาร์ด กำลังดำเนินคดีทางกฎหมาย กับยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี ด้วยค่าเสียหายกว่า 5 ล้านปอนด์ หรือราว 232,238,000 ที่เขาสูญเสียชีวิตแต่งงาน และค่าใช้จ่ายทางกฎหมาย โดยอ้างว่า บริษัทไม่ได้ระบุชัดเจนว่า ข้อความที่ถูกลบสามารถปรากฏบนอุปกรณ์แอปเปิ้ลอื่น ๆ ได้ แม้ว่าจะถูกลบจากโทรศัพท์

นอกจากสูญเสียทางการเงิน ริชาร์ด อ้างว่า มันส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเขาอย่างมาก

ผมคิดว่าผมกำลังจะหัวใจวายจริง ๆ การหย่าร้างเป็นกระบวนการที่ตึงเครียดเป็นพิเศษ และก็มีปัจจัยเรื่องลูกๆ และครอบครัว ที่ต้องคิดอยู่เสมอ ทั้งหมดนี้เป็นเพราะแอปเปิ้ล บอกว่าข้อความถูกลบทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ลบจริง ๆ

‘กรณ์’ เผย หลายประเทศเพิ่มการถือเงิน ‘ดอลลาร์’ ชี้!! มีอัตราดอกเบี้ยที่สูง เศรษฐกิจอเมริกา ยังคงแข็งแรง

(15 มิ.ย.67) นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับเงินดอลลาร์ โดยได้ระบุว่า ...

หมดยุคดอลลาร์??

การพยากรณ์ (บางคนถึงกับแช่ง) ความตกต่ำของสกุลเงินดอลลาร์เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมาแล้วหลายปี

หากอเมริกาเป็นประเทศทั่วไป การพยากรณ์คงจะแม่นยำมากกว่าที่ผ่านมา อเมริกาขาดดุลงบประมาณมหาศาล ทำให้ทั้งหนี้สาธารณะ และภาระดอกเบี้ยต่องบประมาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงนโยบาย QE และความพยายามของคู่แข่งอเมริกาในยุคภูมิรัฐศาสตร์ตึงเครียด ที่จะลดการพึ่งพาการใช้ดอลลาร์ ทั้งในแง่การค้าและการถือทุนสำรอง

แต่รายงาน Financial Times ชี้ให้เห็นว่าแม้สัดส่วนทุนสำรองที่เป็นดอลลาร์ลดลงจริง (65% ในปี 2016 เหลือ 58% ในปี 2024) แต่จริง ๆ แล้วสัดส่วนเพิ่มขึ้น ใน 31 จาก 55 ประเทศที่มีข้อมูล และลดลงในเพียง 4 ประเทศ คือจีน อินเดีย รัสเซีย และตุรกี ซึ่งส่วนใหญ่สัดส่วนที่ลดลงไม่ได้เพราะสกุลเงินอื่นมีความนิยมเพิ่มขึ้น แต่เป็นเพราะสัดส่วนการถือทองคำเพิ่มขึ้น

หลายประเทศกำลังเพิ่มการถือดอลลาร์ เพราะอัตราดอกเบี้ยดอลลาร์สูงและเศรษฐกิจอเมริกายังแข็งแรง 

บ้านผมเองก็เพิ่มสัดส่วนเงินฝากของเราในบัญชีดอลลาร์ ดอกเบี้ยฝาก 6 เดือน 5.2% เทียบกับ 1.2% ในบัญชีเงินฝากไทย ซึ่งแน่นอนความเสี่ยงอยู่ที่อัตราแลกเปลี่ยน แต่ 6 เดือนที่ผ่านมา เงินดอลลาร์แข็งกว่าบาทถึง 7% จึงมีกำไรสองเด้ง

อนาคตมีความไม่แน่นอน แต่ยุโรปเริ่มลดดอกเบี้ยในขณะที่เศรษฐกิจที่ร้อนแรงของอเมริกาทำให้ดอกเบี้ยอเมริกายังสูงอยู่ ความนิยมสกุลเงินหยวนยังไม่กระเตื้อง เพราะความไม่มั่นใจในเศรษฐกิจ และความกังวลต่อความโปร่งใสในกลไกตลาดค้าเงินหยวน 

ส่วนเงินบาทนั้นผมมองว่ายังอ่อนไหวต่อเศรษฐกิจที่ฝืดเคือง ขาดเงินลงทุนเข้ามาในประเทศ การขาดดุลงบประมาณที่เพิ่มมากขึ้น และโครงสร้างดุลบัญชีเดินสะพัดที่เป็นบวกน้อยลงเมื่อเทียบกับอดีต หลายคนมองว่าบาทควร ‘ต้องอ่อนลง‘ ด้วยซ้ำเศรษฐกิจไทยถึงจะฟื้นได้ 

ดังนั้นโดยรวม ผมมองว่าสักวันหนึ่งคงหมดยุคดอลลาร์..แต่ยังไม่ใช่วันนี้หรือเร็ว ๆ นี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top