Thursday, 19 June 2025
WORLD

เจ้าของบ้าน ในรัฐฟลอริดา ฟ้อง ‘นาซา’ เกือบ 3 ล้านบาท เหตุ!! ชิ้นส่วน ‘สถานีอวกาศ’ ตกใส่บ้านจน ‘หลังคา-พื้นบ้าน’ ทะลุ

(23 มิ.ย.67) จากกรณีเมื่อต้นเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุวัตถุปริศนาตกลงมาใส่หลังคาบ้านหลังหนึ่งในเมืองเนเปิลส์ รัฐฟลอริดา สหรัฐฯ จนหลังคาและพื้นบ้านทะลุ โดยองค์การอวกาศนาซา (NASA) ได้ยืนยันว่า วัตถุดังกล่าวเป็นชิ้นส่วนสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) ที่ตกลงมาจากนอกโลกจริง

ล่าสุด อเลฮานโดร โอตโร และครอบครัว เจ้าของบ้านหลังดังกล่าว ได้ยื่นเรื่องฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากนาซาแล้ว โดยเรียกร้องเงินชดเชย 80,000 ดอลลาร์สหรัฐ (เกือบ 3 ล้านบาท)

สำนักงานกฎหมาย Cranfill Sumner ซึ่งเป็นตัวแทนทางกฎหมายของโอเตโร กล่าวว่า การเรียกร้องของโอเตโรก็เพื่อชดเชยความเสียหายต่อทรัพย์สินที่ไม่มีประกัน การหยุดชะงักทางธุรกิจ ผลกระทบทางอารมณ์และจิตใจ และค่าใช้จ่ายสำหรับหน่วยงานบุคคลที่สามที่ให้ความช่วยเหลือครอบครัว

มิกา เหงียน วอร์ธี ทนายความของครอบครัวโอเตโร กล่าวว่า “ลูกค้าของฉันกำลังเรียกร้องค่าชดเชยที่เพียงพอเพื่อชดเชยความเครียดและผลกระทบที่เหตุการณ์นี้กระทำต่อชีวิตของพวกเขา”

เธอเสริมว่า “พวกเขารู้สึกขอบคุณที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์นี้ แต่สถานการณ์ที่ฉิวเฉียดเช่นนี้อาจเป็นหายนะได้ โดยหากเศษชิ้นส่วนกระเด็นไปในทิศทางอื่นอีกไม่กี่ฟุต ก็อาจมีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิตได้”

อเลฮานโดรเคยเล่าก่อนหน่านี้ว่า ชิ้นส่วนสถานีอวกาศตกลงมาใส่บ้านของเขาเมื่อวันที่ 8 มี.ค. ขณะที่แดเนียล ลูกชายของพวกเขาอยู่บ้าน แม้โชคดีไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ แต่จุดที่มันตกลงมาอยู่ห่างจากห้องของลูกชายเขาไปเพียง 2 ห้องเท่านั้น

ขณะเดียวกัน ผลการศึกษาของนาซาก่อนหน้านี้ระบุว่า วัตถุดังกล่าวมีลักษณะเป็นแผ่นโลหะทรงกระบอก หลุดออกมาจากอุปกรณ์สนับสนุนการบินที่ใช้ในการยึดแบตเตอรี่บนพาเลทสินค้าเมื่อปี 2021 วัตถุนี้ทำจากโลหะผสมอินโคเนล (Inconel) หรือซูเปอร์อัลลอยที่ทำจากนิกเกิล-โครเมียม มีน้ำหนัก 0.7 กิโลกรัม ยาว 4 นิ้ว และมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.6 นิ้ว

เศษชิ้นส่วนดังกล่าวยังคงมีสภาพสมบูรณ์แทนที่จะสลายตัวหลังจากที่มันเข้าสู่ชั้นบรรยากาศของโลกก่อนที่จะตกลงสู่พื้นผิว
การฟ้องร้องคดีนี้เป็นที่น่าจับตาอย่างยิ่ง เนื่องจากจะเป็นคดีตัวอย่างสำหรับการเรียกร้องปัญหาและผลกระทบจากขยะอวกาศทั้งที่เกิดจากทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ

ทั้งนี้ นาซาจะมีเวลา 6 เดือนในการตอบสนองต่อคำฟ้องร้องนี้

Alibaba จัดแข่งคณิตศาสตร์ระดับโลก ใช้ AI ได้ แต่ผลลัพธ์ คนใช้ AI กลับตกรอบทั้งหมด

(21 มิ.ย. 67) Business Tomorrow รายงานการจัดการแข่งขัน Alibaba Global Math Competition 2024 ของ Alibaba โดยเป็นการแข่งขันคณิตศาสตร์ที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 2018 

สำหรับในปีนี้พิเศษตรงที่ Alibaba ท้าให้ AI สามารถเข้ามาแข่งขันได้ด้วย แต่ดูเหมือนว่าทีมที่ใช้ AI ตกรอบตั้งแต่รอบคัดเลือกทั้งหมด

การแข่งขันของ Alibaba ในรอบคัดเลือกต้องการคะแนนขั้นต่ำที่ 45 คะแนน แต่ทีมที่ใช้ AI สามารถทำคะแนนสูงสุดได้เพียง 34 คะแนนเท่านั้น โดยเฉลี่ยทีมที่ใช้ AI ได้คะแนนไป 18 คะแนน โดยAI ที่ทำคะแนนสูงสุดสร้างโดย Tu Jinhao จากโรงเรียนมัธยม Jianping ในเซี่ยงไฮ้ โดยอาศัยการเถียงกับตัวเองและตรวจคำตอบของตัวเองไปหลายๆ รอบ

ทั้งนี้ ผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดสามารถทำคะแนนได้สูงถึง 113 คะแนน จากข้อสอบทั้งหมด 7 ข้อ มีทั้งแบบตัวเลือกและแบบแสดงวิธีทำ

สำหรับการแข่งขันนี้ เปิดให้ผู้เข้าแข่งจากทั่วโลก แต่ผู้เข้าแข่งส่วนใหญ่จะมาจากจีน

'คิม จองอึน' มอบสุนัขประจำชาติ 'พุงซาน' เป็นของขวัญให้ 'ปูติน' หลังการลงนามข้อตกลงหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อย่างกว้างขวาง

(21 มิ.ย. 67) สำนักข่าวกลางเกาหลี ของทางการเกาหลีเหนือรายงานว่า คิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือได้มอบสุนัขพันธุ์ 'พุงซาน' (Pungsan) ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในสมบัติชาติของเกาหลีเหนือ และเป็นสุนัขล่าสัตว์ที่มีความจงรักภักดีและเฉลียวฉลาด ให้เป็นของขวัญแก่ ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายประชุมสุดยอดร่วมกันที่กรุงเปียงยาง

โดยทางสำนักข่าวยอนฮับ รายงานเพิ่มเติมว่า คิม จอง อึน มอบสุนัขให้กับนายปูติน ในระหว่างที่ทั้งสองเดินเล่นในสวนของบ้านพักรับรองคึมซูซัน หลังจากลงนามในข้อตกลงส่งเสริมความสัมพันธ์เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์อย่างกว้างขวาง ขณะที่ด้านสำนักข่าวกลางเกาหลี รายงานว่า คิมมอบสุนัขประจำชาติ 1 คู่ให้กับปูติน ซึ่งผู้นำรัสเซียได้กล่าวแสดงความขอบคุณ

ทั้งนี้ หากย้อนไปเมื่อปี 2018 ‘คิม จอง อึน’ เคยส่ง สุนัขพุงซานให้ ‘มุน แจ อิน’ ประธานาธิบดีเกาหลีใต้คนก่อน และในปี 2000 ก็เคยมอบลูกสุนัขพันธุ์พุงซานแด่ ‘คิม แด จอง’ อดีตประธานาธิบดีของเกาหลีใต้ เช่นกัน

อย่างไรก็ตามในปี 2022 อดีตประธานาธิบดีมุน ก็จำต้องทิ้งสุนัขทั้ง 2 ตัว ที่ชื่อ ซองคังและโกมิ โดยอ้างว่า ขาดการสนับสนุนทางการเงินสำหรับการเลี้ยงดูสุนัขจากรัฐบาลชุดปัจจุบันของประธานาธิบดี ยุน ซอก ยอล ทำให้สุนัขทั้ง 2 ตัว ต้องย้ายไปอยู่ที่สวนสัตว์ในเมืองกวางจู หลังจากไปพักชั่วคราวที่โรงพยาบาลสัตว์ในเมืองแทจู และถูกดูแลต่อในฐานะสัญลักษณ์ของสันติภาพ การปรองดอง และความร่วมมือระหว่างเกาหลีใต้และเกาหลีเหนือ

ยอดขายรถยนต์แบรนด์จีนทั่วโลก มากกว่าแบรนด์สหรัฐฯ แล้ว แม้ตลาดภายในประเทศจีน จะลดความร้อนแรงลงไปบ้างก็ตาม

(21 มิ.ย.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติจีนขายรถยนต์ทั่วโลกได้มากกว่าบรรดาผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ อ้างอิงจากรายงานที่เผยแพร่โดยบริษัทวิจัยตลาด JATO Dynamics 

จากข้อมูลพบว่า แบรนด์ต่าง ๆ ของจีน ที่นำโดยบีวายดี ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในเซินเจิ้น ขายรถยนต์ใหม่ได้ 13.43 ล้านคันในปีที่แล้ว ส่วนแบรนด์ต่าง ๆ ของสหรัฐฯ ขายรถยนต์ได้รวมกันราว 11.93 ล้านคัน อย่างไรก็ตามแบรนด์รถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นยังคงอยู่ในสถานะที่แข็งแกร่ง รักษาความเป็นผู้นำได้อย่างเหนียวแน่น ด้วยยอดขายทั่วโลก 23.59 ล้านคัน

ทั้งนี้ รายงานยังพบด้วยว่ายอดขายรถยนต์ของบรรดาบริษัทจีนมีอัตราการเติบโตมากกว่าแบรนด์สัญชาติสหรัฐฯ โดยมียอดขายเพิ่มขึ้น 23% จากหนึ่งปีก่อนหน้า ส่วนเหล่าบริษัทสัญชาติสหรัฐฯ มียอดขายเติบโตเพียง 9%

เฟลิเป มูนอซ นักวิเคราะห์อาวุโสของ JATO กล่าวว่า “ความประมาทเลินเล่อของค่ายรถยนต์เก่าแก่ ผลก็คือราคารถยนต์ยังอยู่ในระดับสูงมาอย่างต่อเนื่อง ได้ผลักพวกผู้บริโภคหันเข้าหารถยนต์ทางเลือกค่ายจีนที่เข้าถึงได้ง่ายกว่า โดยไม่ได้ตั้งใจ ในขณะที่ราคารถยนต์ยังคงเพิ่มขึ้นในทุก ๆ แห่ง แบรนด์รถยนต์จีนใช้ประโยชน์จากแนวโน้มนี้ในการเข้าถึงเสียงตอบรับของตลาดในอัตราที่รวดเร็วอย่างมาก”

รายงานของ JATO พบว่าแบรนด์รถยนต์สัญชาติจีนมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเกือบทั่วทุกภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นตะวันออกกลาง ยูเรเชีย และแอฟริกา และมีทีท่าเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ในลาตินอเมริกา
และเอเชีย นอกจากนี้ แบรนด์รถยนต์จีนยังมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในเศรษฐกิจพัฒนาแล้ว อย่างยุโรป ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอิสราเอล

อ้างอิงรายงานของ JATO พบว่า Qin รถคอมแพกต์ซีดานของบีวายดี เป็นรถจีนรุ่นที่ได้รับความนิยมมากที่สุด แม้ตลาดภายในจีน ยอดขายรถยนต์จะส่งสัญญาณลดความร้อนแรงลงไป แต่บรรดาผู้ผลิตของประเทศแห่งนี้กำลังค้นหาแหล่งบ่อเกิดแห่งการเติบโตในต่างแดนมาทดแทน

รายงานยังระบุอีกว่า สาเหตุที่แบรนด์รถยนต์จีนประสบความสำเร็จในด้านยอดขายในบรรดาชาติเศรษฐกิจเกิดใหม่ สืบเนื่องจากนโยบายที่เข้าถึงได้ง่าย การปรับลดอุปสรรคทางการค้า และความอ่อนไหวต่อราคาของบรรดาผู้บริโภค

'สรวง ตัวแทนวัยรุ่นไทย' ร่วมเสวนากระชับความสัมพันธ์ไทย-จีน หนุนคนรุ่นใหม่เป็นสะพานเชื่อมมิตรภาพ 2 ชาติให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

(21 มิ.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อไม่นานมานี้ สหพันธ์ชาวจีนโพ้นทะเล และรัฐบาลมณฑลยูนนาน จัดการประชุมหอการค้าจีน-อาเซียน ครั้งที่ 20 และการเสวนาผู้นำเยาวชนไทย-จีน ที่เมืองคุนหมิง มณฑลยูนนาน ประเทศจีน 

การเสวนาผู้นำเยาวชนไทย-จีนในครั้งนี้ ได้นำพาเยาวชนจากประเทศจีนและไทย มาร่วมประชุมหารือเกี่ยวกับโอกาสและความท้าทายในด้านการค้าขาย และการแลกเปลี่ยนความสัมพันธ์ในมิติต่าง ๆ ผ่านการประชุมรูปแบบการเสวนาโต๊ะกลม การกล่าวสุนทรพจน์ และบรรยายแลกเปลี่ยนประสบการณ์

คว่าง จินหรง ประธานสมาคมนักธุรกิจชาวจีนโพ้นทะเลแห่งประเทศไทย เข้าร่วมการเสวนา และกล่าวในฐานะแขกรับเชิญพิเศษว่า "ปัจจุบัน โลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรอบศตวรรษ จีนและไทยก็กำลังเผชิญกับโอกาสและความท้าทายใหม่ ๆ ของการพัฒนาในทุกมิติ เยาวชนไทย-จีน คืออนาคตของทั้งสองประเทศ หวังว่าคนหนุ่มสาวจะทำงานร่วมกัน เพื่อเขียนบทใหม่ของความร่วมมือฉันมิตรจีน-ไทย ด้วยพลังและความสร้างสรรค์ของคนรุ่นใหม่ จะเป็นส่วนสำคัญในการสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันระหว่างไทย-จีน"

อีกหนึ่งแขกรับเชิญคนสำคัญดีกรี 'เยาวชนดีเด่นระดับโลก' จาง หยวนกัง คนรุ่นใหม่ที่เข้าร่วม Global Shapers Community ในงาน World Economic Forum ณ กรุงดาวอส เขายังเป็นประธานบริษัท Shanghai Zeyang Intelligent Technology Co., Ltd. ประธานจางได้พูดถึงประเด็นการปรับตัวทางความคิดของคนรุ่นใหม่ เพื่อการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมให้พัฒนาตามกระแสโลก เขาเสนอว่า "คนหนุ่มสาวควรยอมรับและปรับตัวเผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ และเศรษฐกิจดิจิทัล ด้วยแนวทางการคิดที่เปิดกว้าง เป็นนวัตกรรม และคำนึงถึงความร่วมมือมากกว่าการแข่งขัน"

ดร.ฉี ปิน ประธานคณะกรรมการเยาวชน สมาคมนักธุรกิจชาวจีนโพ้นทะเลแห่งประเทศไทย กล่าวถึงแนวทางความร่วมมือของคนรุ่นใหม่ไทย-จีนว่า “ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารกระจายอย่างรวดเร็ว คนหนุ่มสาวจากทั้งสองประเทศควรใช้ความคิดสร้างสรรค์อย่างเต็มที่ และมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในโครงการสำคัญ ๆ ทั้งในด้านวิทยาศาสตร์ นวัตกรรม เทคโนโลยี และการรักษาสิ่งแวดล้อม รวมถึงการให้ความสำคัญกับแนวคิดริเริ่ม 'หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง' การแก้ปัญหาระดับโลก เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และวิกฤตพลังงาน ก็สามารถเป็นสะพานเชื่อมระหว่างทั้งสองประเทศได้เช่นกัน”

ทั้งนี้ ตัวแทนผู้เข้าร่วมการเสวนาฝ่ายไทย สรวง สิทธิสมาน (เฉิน เทียนอี้) ที่ปรึกษาสมาคมนักเรียนไทย-จีน (นายกสมาคมฯ รุ่นก่อตั้ง) ได้เปิดเผยถึงการพัฒนาความสัมพันธ์ของเยาวชนสองประเทศว่า “ในปัจจุบัน เยาวชนที่สนใจไปศึกษาแลกเปลี่ยนทางภาษาจากทั้งสองประเทศ มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ คนหนุ่มสาวที่กำลังศึกษาอยู่ในต่างประเทศนั้น ส่วนใหญ่จะมีจิตใจที่เปิดกว้างและมีความคิดสร้างสรรค์ ด้วยภูมิหลังที่หลากหลายทางวัฒนธรรม พวกเราไม่เพียงจะกลายเป็นสะพานสำคัญและเชื่อมโยงการแลกเปลี่ยน รักษามิตรภาพระหว่างไทยและจีน ยังจะเป็นสะพานเชื่อมสู่อนาคตความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศอีกด้วย“

นอกจากนี้ ยังมีตัวแทนกลุ่มเยาวชน ได้แก่ ดร.หลิว ซิน อดีตประธานสมาคมนักศึกษาและนักวิชาการจีนแห่งประเทศไทย สมัยที่ 5-6, หยู ชุนเซียว ประธานสหพันธ์พัฒนาเยาวชนจีนโพ้นทะเลแห่งประเทศไทย, ศ.ดร.ซุน ซิ่วประธานกรรมการบริหารเยาวชนสมาคมผู้ประกอบการชาวจีนโพ้นทะเลไทย-จีน, หมี่ หลานประธานกลุ่ม Sunshine Investments International group ณ ออสเตรเลีย, เจิ้ง เซียวเฉิง ประธานสมาคมนักธุรกิจรุ่นใหม่มณฑลยูนนาน และ หวาง เจิงยู่ ประธานสหพันธ์คนจีนโพ้นทะเลรุ่นใหม่ในเยอรมนี เข้าร่วมการเสวนาในครั้งนี้อีกด้วย

ตัวแทนคนรุ่นใหม่ทุกท่าน ได้แบ่งปันประสบการณ์การเติบโต เรื่องราวการเป็นผู้ประกอบการ และการสร้างความร่วมมือ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมีชีวิตชีวา และเสน่ห์ของเยาวชนจีนและไทย ทั้งยังได้อภิปรายเชิงลึกเกี่ยวกับความเป็นไปได้และโอกาสในวงกว้างของเยาวชนจีนและไทย ทั้งในด้านนวัตกรรม การเป็นผู้ประกอบการ การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และความร่วมมือทางการศึกษาผ่านการแลกเปลี่ยนเชิงโต้ตอบ

แขกรับเชิญสำคัญอีกสามท่าน ได้แก่ จ้าว หาน ประธานสมาคมผู้ประกอบการรุ่นใหม่แห่งมณฑลยูนนาน และประธาน Yunnan Yunhaiyao Catering Service Management Co., Ltd., เหอ หย่งเทา รองประธานสมาคมนักศึกษาและนักวิชาการจีนแห่งประเทศไทย และ ดร.ชุย อ้ายหลิน จากสมาคมนักศึกษาและนักวิชาการจีนแห่งประเทศไทยหารือแนวทางกระชับการแลกเปลี่ยนระหว่างเยาวชนจีนและไทยในยุคใหม่

ก่อนการประชุมใหญ่ กลุ่มเยาวชนจีนและไทยได้ร่วมกันปิดห้อง จัด 'การประชุมร่วมเสวนาเยาวชนชั้นนำจีน-ไทย' เพื่อสร้างกลไกการเจรจาและแลกเปลี่ยนอย่างสม่ำเสมอ

“แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลไทย-จีน และความสัมพันธ์ด้านการค้าขายของสองประเทศจะมีพื้นฐานที่ดีเปรียบเสมือนเป็นครอบครัวเดียวกันอยู่แล้ว แต่ก็ยังมีบางสิ่งที่ประชาชนของทั้งสองประเทศยังคิดเห็นไม่ตรงกัน ไม่เข้าใจกันอย่างลึกซึ้ง ด้วยอุปสรรคทางด้านภาษาและการรับข้อมูลผ่านสื่อโซเชียล” สรวง สิทธิสมาน ตัวแทนฝ่ายไทย ชี้แจงต่อที่ประชุม 

สรวง สิทธิสมาน เสนอต่อว่า “เพื่อให้ประชาชนสองประเทศมีความเข้าใจตรงกัน และรู้จักกันอย่างลึกซึ้งมากขึ้น ผมอยากเน้นย้ำให้ทุกท่าน ทั้งท่านที่มาจากหน่วยงานรัฐบาลและเอกชน เป็นคนไทย คนจีน และ/หรือประเทศอื่น ๆ ต้องเห็นความสำคัญ และร่วมกันผลักดัน ‘การทูตภาคประชาชน’ หรือหากใช้คำที่แม่นยำกว่านี้ ก็จะขอใช้คำว่า ‘การทูตภาคเยาวชน’ เพราะอย่างที่ทุกท่านกล่าวไว้ว่าเยาวชนคือกลไกสำคัญในการพัฒนาความสัมพันธ์ของสองประเทศในอนาคต"

ช่วงท้ายของการประชุม ที่ประชุมได้เห็นตรงกันว่า ปี พ.ศ. 2568 ซึ่งถือเป็นวาระครบรอบ 50 ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนและไทย โดยเป้าหมายในการจัดงานเสวนาผู้นำเยาวชนจีน-ไทย ในครั้งต่อไปในปี พ.ศ. 2568 จะจัดขึ้นที่กรุงเทพมหานคร เพื่อการต่อยอดความร่วมมือในเชิงปฏิบัติ และสนับสนุนการสร้างชุมชนคนรุ่นใหม่ เพื่อประชาคมไทย-จีนที่มีอนาคตร่วมกัน

‘เอกวาดอร์’ ไฟฟ้าดับ ‘ทั่วประเทศ’ หลังระบบขาดการซ่อมบำรุง กระทบ!! ปชช.กว่า 18 ล้าน ต้องรับมือความมืดนาน 3 ชั่วโมง

เมื่อวานนี้ (20 มิ.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชาวเอกวาดอร์กว่า 18 ล้านคน ต้องใช้ชีวิตท่ามกลางความมืด ซึ่งเมื่อวานนี้ หลังเกิดเหตุไฟฟ้าดับทั่วประเทศนาน 3 ชั่วโมง โดยทางการเอกวาดอร์กล่าวว่า สาเหตุของไฟฟ้าดับ เกิดจากระบบไฟฟ้าที่ขาดการซ่อมบำรุง ร่วมกับปัญหาจากระบบส่งกำลังของระบบไฟฟ้าของประเทศ ซึ่งไฟฟ้าดับครั้งนี้ ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของประชาชน ที่นอกจากต้องรับมือกับความมืดแล้ว ยังต้องเอาชีวิตรอดท่ามกลางอากาศร้อนจัดโดยไม่มีไฟฟ้าใช้ อีกทั้งยังทำให้น้ำประปาไม่ไหลในบางพื้นที่ตามไปด้วย

นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบต่อสถานที่ต่าง ๆ ที่มีความจำเป็นต้องใช้ไฟฟ้าอยู่ตลอดเวลา อาทิ โรงพยาบาล ที่ต้องดึงกระแสไฟจากเครื่องปั่นไฟมาใช้ในยามฉุกเฉิน ขณะเดียวกัน ไฟฟ้าดับยังทำให้ระบบรถไฟใต้ดินหยุดเดินรถกะทันหัน และต้องอพยพผู้โดยสารหลายร้อยออกจากสถานีต่าง ๆ ซึ่งผู้โดยสารบางคนรู้สึกไม่พอใจ เพราะพวกเขาต้องเดินระยะไกลจากสถานีเพื่อไปถึงทางออกโดยไม่มีแสงไฟใด ๆ และมีการเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่คืนเงินค่าโดยสาร

อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาระบบไฟฟ้าทั้งหมดสามารถกลับมาใช้งานได้เกือบ 95 เปอร์เซ็นต์ ในหลายพื้นที่ ขณะที่ทางการเอกวาดอร์ออกมาเปิดเผยว่า เหตุไฟดับดังกล่าว ‘ไม่เกี่ยวข้อง’ กับวิกฤตด้านพลังงานที่ประเทศกำลังเผชิญอยู่

'มาเลเซีย' ยุติหนุนดีเซล ประคองการเงินประเทศ ทำราคาน้ำมันจ่อพุ่ง 50% ด้าน 'นายกฯ อันวาร์' ยัน!! ช่วยประหยัดเงินรัฐได้ถึงปีละ 4 พันล้านริงกิต

(21 มิ.ย.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มาเลเซีย ได้เปลี่ยนทิศทาง ยุติการอุดหนุนดีเซลแบบถ้วนหน้า เพื่อหวังพลิกวิกฤตการเงินของประเทศ หลังจากเมื่อวันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน 2567 นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ประกาศมาตรการสุดกล้าในการปรับเปลี่ยนนโยบายการอุดหนุนดีเซล จากแบบครอบคลุมไปสู่การอุดหนุนแบบมุ่งเป้า เพื่อช่วยประเทศฝ่าวิกฤตทางการเงินที่กำลังเผชิญอยู่ 

สำหรับตัวเลขค่าใช้จ่ายในการอุดหนุนดีเซลของมาเลเซียพุ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ จาก 1.4 พันล้านริงกิตในปี 2019 เป็น 1.43 หมื่นล้านริงกิตในปี 2023 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่าส่งผลกระทบอย่างหนักต่อสถานะการเงินของรัฐบาล

แม้จะเป็นมาตรการที่ไม่เป็นที่นิยม แต่นายกฯ อันวาร์ยืนยันว่าจำเป็นต้องดำเนินการเพื่อความอยู่รอดของประเทศ โดยคาดว่าการปรับเปลี่ยนครั้งนี้จะช่วยประหยัดเงินในกระเป๋ารัฐบาลได้ถึงปีละ 4 พันล้านริงกิต 

ผลกระทบที่จะเห็นได้ชัดตามมาคือ ราคาดีเซลในมาเลเซียตะวันตกจะพุ่งขึ้นกว่า 50% เป็น 3.35 ริงกิตต่อลิตรในขณะที่ซาบาห์และซาราวักจะยังคงราคาเดิมที่ 2.15 ริงกิตต่อลิตร อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังคงให้การอุดหนุนแก่กลุ่มรายได้ต่ำ เช่น ชาวประมง เกษตรกร รวมถึงการใช้ในรถโรงเรียนและรถพยาบาล

ด้านรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง อามีร์ ฮัมซะห์ อาซิซาน ชี้แจงว่านโยบายใหม่นี้จะช่วยป้องกันการลักลอบนำดีเซลราคาถูกข้ามพรมแดน และยืนยันว่าจะไม่ส่งผลให้ราคาสินค้าพุ่งสูงขึ้น 

ขณะที่นักวิเคราะห์ โอ้ อี้ ซุน จากศูนย์วิจัยแปซิฟิกแห่งมาเลเซียให้ความเห็นว่า การที่รัฐบาลกล้าใช้มาตรการที่ไม่เป็นที่นิยมเช่นนี้ แสดงให้เห็นถึงความเร่งด่วนของสถานการณ์ทางการเงินของประเทศ 

ทั้งนี้ มาเลเซียคาดว่าจะใช้จ่ายเงิน 5.28 หมื่นล้านริงกิตในการอุดหนุนและการช่วยเหลือทางสังคมในปีนี้ ซึ่งลดลงจาก 6.42 หมื่นล้านริงกิตในปี 2023 ตามงบประมาณปี 2024

‘เลขาฯ สหประชาชาติ’ เรียกร้องทุกฝ่ายร่วมยุติ ‘การทำร้ายโลก’ หลังผืนดินทั่วโลกเสื่อมโทรมลง 40% หวั่น!! กลายเป็น ‘ทะเลทราย’

เมื่อวานนี้ (18 มิ.ย. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ เรียกร้องให้หลายฝ่ายดำเนินงานเพื่อยุติการทำร้ายโลก หลังจากผืนดินทั่วโลกเสื่อมโทรมลงเกือบร้อยละ 40 และยังคงเสื่อมโทรมทุกๆ วินาที

“ผืนดินอุดมสมบูรณ์ขนาดเท่าสนามฟุตบอลราว 4 สนามจะเสื่อมโทรมลงทุกๆ วินาที” กูเตอร์เรสกล่าวข้อความผ่านวิดีโอ เนื่องในโอกาสวันต่อต้านการแปรสภาพเป็นทะเลทรายและความแห้งแล้งโลก (World Day to Combat Desertification and Drought) ซึ่งตรงกับวันที่ 17 มิ.ย. ของทุกปี

ทั้งนี้ กูเตอร์เรสยังกล่าวว่า ความมั่นคง ความเจริญรุ่งเรือง และสุขภาพของผู้คนหลายพันล้านคนต้องพึ่งพาผืนดินอันเจริญงอกงามเพื่อเอื้อต่อการดำรงชีวิต การทำมาหากิน และระบบนิเวศ แต่ผู้คนกลับกำลังทำร้ายโลกที่ช่วยค้ำจุนเรา พร้อมเสริมว่าวันดังกล่าวเตือนว่าเราจะต้องร่วมมือกันเพื่อผืนดิน ทั้งภาครัฐบาล กลุ่มธุรกิจ คณะนักวิชาการ ชุมชน และกลุ่มคนอีกมากมาย

ผืนดินสุขภาพดีเป็นแหล่งอาหารสำหรับผู้คนเกือบร้อยละ 95 ทั่วโลก เป็นเสื้อผ้าและที่พักพิงให้แก่ผู้คน สร้างงานและการทำมาหากิน ตลอดจนปกป้องชุมชนจากภัยแล้ง น้ำท่วม และไฟป่าที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น

กูเตอร์เรสกยังกล่าวอีกว่า พันธกิจต่างๆ ได้ถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจนในอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการแปรสภาพเป็นทะเลทราย (UNCCD) ที่มีอายุครบรอบ 30 ปีแล้วในปีนี้ ซึ่งนับเป็นสัญญาณว่าทั่วโลกจะต้องเร่งลงมือทำตามเป้าหมายข้างต้นอย่างรวดเร็ว

เพื่อบรรลุผลลัพธ์เหล่านี้ กูเตอร์เรสกล่าวว่าควรสร้างแรงผลักดันในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการแปรสภาพเป็นทะเลทราย ครั้งที่ 16 (COP 16) ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้น ณ กรุงริยาดของซาอุดีอาระเบีย ในเดือนธันวาคม 2024 และรับประกันว่าหลายฝ่ายจะรับฟังเสียงของคนรุ่นใหม่ในกระบวนการเจรจาหารือ พร้อมทิ้งท้ายเชิญชวนให้ผู้คนร่วมกันหว่านเมล็ดพันธุ์เพื่ออนาคตอันรุ่งเรืองของธรรมชาติและมนุษยชาติ

'รอยเตอร์' แฉ!! สหรัฐฯ ฮั้วชาติพันธมิตร ส่งชื่อ รง.ผลิตชิปจีนลง ‘บัญชีดำ’ พร้อมเพิ่มแรงกดดันคู่ค้าจีน หยุดส่งออกเครื่องมือผลิตชิปก้าวหน้าให้ด้วย

เมื่อวานนี้ (18 มิ.ย.67) สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า สหรัฐฯ ส่งเจ้าหน้าที่รายหนึ่งเดินทางไปญี่ปุ่น หลังจากที่เข้าพบกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ ในความพยายามโน้มน้าวชาติพันธมิตรทั้งสองให้ช่วยกัน ‘เตะสกัด’ จีนไม่ให้เข้าถึงศักยภาพในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูง 

อลัน เอสเตเวซ (Alan Estevez) หัวหน้าฝ่ายนโยบายส่งออกของสหรัฐฯ พยายามสานต่อข้อตกลงในปี 2023 ระหว่างทั้ง 3 ชาติเพื่อจำกัดการส่งออกเครื่องมือผลิตชิปไปยังจีน ซึ่งสหรัฐฯ อ้างว่าอาจถูกนำไปใช้เพื่อยกระดับศักยภาพกองทัพแดนมังกร

สหรัฐฯ เริ่มใช้มาตรการจำกัดการส่งออกชิปและเครื่องมือผลิตชิปขั้นสูงของผู้ผลิตสัญชาติอเมริกันอย่าง Nvidia และ Lam Research ไปยังจีนมาตั้งแต่ปี 2022

เมื่อเดือน ก.ค.ปีที่แล้ว ญี่ปุ่นซึ่งมีผู้ผลิตชิปรายสำคัญอย่าง Nikon Corp และ Tokyo Electron เริ่มปรับตัวขานรับนโยบายของสหรัฐฯ ด้วยการจำกัดส่งออกเครื่องมือ 23 ประเภท ตั้งแต่เครื่องจักรที่ใช้สำหรับติดฟิล์มลงบนซิลิคอนเวเฟอร์ เรื่อยไปจนถึงอุปกรณ์ที่ใช้กัดลายแผงวงจรไฟฟ้าขนาดจิ๋ว

หลังจากนั้นไม่นาน รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ก็เริ่มควบคุมการส่งออกเครื่องมือผลิตชิปแบบ Deep Ultraviolet Lithography (DUV) ของบริษัท ASML ไปยังจีน ในขณะที่สหรัฐฯ ก็จำกัดการขายเครื่องมือ DUV ให้โรงงานของจีนบางแห่งด้วย โดยอ้างว่าเป็นเพราะระบบของ ASML นั้นใช้ชิ้นส่วนและองค์ประกอบบางอย่างจากสหรัฐฯ

ปัจจุบัน ASML ถือเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ทำชิปรายใหญ่ที่สุดของโลก

นอกจากนี้ แหล่งข่าวของรอยเตอร์ยังเปิดเผยว่า วอชิงตันกำลังเจรจากับชาติพันธมิตรเพื่อเพิ่มรายชื่อโรงงานผลิตชิปจีนอีก 11 แห่งลงใน ‘บัญชีจำกัดการค้า’ จากปัจจุบันที่มีอยู่เพียง 5 แห่ง ซึ่งก็รวมถึงบริษัท SMIC ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดของจีนด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น สหรัฐฯ ยังต้องการที่จะควบคุมอุปกรณ์ผลิตชิปเพิ่มเติมอีก ตามข้อมูลจากแหล่งข่าว

ล่าสุด โฆษกกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ยังปฏิเสธที่จะให้ความเห็นเกี่ยวกับรายงานนี้

สหรัฐฯ ได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปเยือนเนเธอร์แลนด์เมื่อเดือน เม.ย. ในความพยายามกดดันให้ ASML หยุดให้บริการเครื่องไม้เครื่องมือบางอย่างแก่จีน และสหรัฐฯ เองก็มีกฎห้ามไม่ให้บริษัทอเมริกันมอบบริการด้านเครื่องไม้เครื่องมือแก่โรงงานระดับก้าวหน้าของจีนด้วย

อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวชี้ว่า ASML ยังคงมีสัญญามอบบริการแก่จีนอยู่ และรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ก็ไม่สามารถใช้อำนาจนอกอาณาเขต (extraterritorial scope) ที่จะไปสั่งยุติสัญญาด้วย

สถานทูตสหรัฐฯ ประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ยังไม่ออกมาให้ความเห็นในเรื่องนี้เช่นกัน

ปีที่แล้วบริษัท หัวเว่ย (Huawei) ยักษ์ใหญ่โทรคมนาคมจีนที่ถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตร ได้เปิดตัวสมาร์ทโฟนเรือธง Huawei Mate 60 Pro ที่ใช้ชิป 7 นาโนเมตรุ่นก้าวหน้าที่สุดของ SMIC จนกลายเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงความมุ่งมั่นของจีนที่จะเติบโตก้าวหน้าในทางเทคโนโลยีให้ได้ แม้จะถูกสหรัฐฯ กีดกันทุกทางก็ตาม

‘อีลอน มัสก์’ ทำนายอนาคต การพูดคุยผ่าน ‘มือถือ’ จะล้าสมัย มนุษย์จะสื่อสารกันผ่านความคิด ด้วยการฝังชิปในสมองแทน

(19 มิ.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โทรศัพท์มือถือจะกลายเป็นสิ่งล้าสมัยในอนาคต และจะถูกแทนที่ด้วยชิปที่จะถูกฝังลงในสมองของมนุษย์โดยตรงแทน จากคำทำนายเมื่อเร็ว ๆ นี้ของ อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีด้านเทคโนโลยี

บริษัทด้านเทคโนโลยีประสาท Neuralink ของ มัสก์ ทำการฝังชิปสมองเป็นครั้งแรกในตัวของนายโนแลนด์ อาร์โบห์ ผู้ป่วยอัมพาตครึ่งซีก วัย 30 ปี ย้อนกลับไปในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ขั้นตอนการผ่าตัดดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการใส่ชิปคอมพิวเตอร์ขนาดพอ ๆ กับเหรียญดอลลาร์ เข้าไปในพื้นที่ของสมองซึ่งควบคุมความเคลื่อนไหว จากนั้นชิปถูกใช้บันทึกและถ่ายทอดสัญญาณสมองแบบไร้สายไปยังแอปพลิเคชันหนึ่งที่ถอดรหัสความเคลื่อนไหวตามเจตนาของผู้ป่วย

คำทำนายล่าสุดของ มัสก์ เป็นการตอบโต้ข้อความหนึ่งที่โพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ โดยบัญชีล้อเลียนชื่อว่า ‘ไม่ใช่ อีลอน มัสก์’ ในวันอาทิตย์ (16 มิ.ย. 67) ซึ่งข้อความดั้งเดิมเขียนว่า "คุณจะติดตั้ง Neuralink interface (เทคโนโลยีที่เชื่อมต่อสมองมนุษย์กับคอมพิวเตอร์) ในสมองของคุณ เพื่อเปิดทางให้คุณควบคุม X phone ใหม่ ผ่านทางความคิดหรือไม่?"

อีลอน มัสก์ ตอบกลับคำถามดังกล่าว โดยบอกว่า "ในอนาคตจะไม่มีโทรศัพท์มือถือ มีเพียงแค่ Neuralink"

ในเอกสารประชาสัมพันธ์ที่เผยแพร่เมื่อปีที่แล้ว Neuralink ระบุว่าโครงการ PRIME (Precise Robotically Implanted Brain-Computer Interface) เป็นการทดลองระดับคลินิก เพื่อศึกษาความปลอดภัยของกระบวนการฝังชิปลงในสมองของมนุษย์ด้วยหุ่นยนต์ และความปลอดภัยของตัวชิปเอง

เป้าหมายของการพัฒนาการฝังส่วนต่อประสานสมองเข้ากับคอมพิวเตอร์ไร้สายอย่างสมบูรณ์ จะเป็นครั้งแรกที่ช่วยให้มนุษย์มีขีดความสามารถในการควบคุมเคอร์เซอร์คอมพิวเตอร์ หรือคีย์บอร์ดผ่านทางความคิด จากนั้นมันจะเปิดทางสำหรับการบำบัดเชิงปฏิวัติสำหรับคนที่ป่วยพิการทางกายต่าง ๆ อย่างเช่นอัมพาตและตาบอด เช่นเดียวกับโรคภัยไข้เจ็บอื่น ๆ อย่างเช่นโรคอ้วน ออทิสติก ซึมเศร้า และโรคจิตเภท

ระหว่างให้สัมภาษณ์เมื่อปี 2018 มัสก์ เคยบ่งชี้ว่าด้วยเทคโนโลยี Neuralink มันอาจทำให้วันใดวันหนึ่งมนุษย์จะสามารถสื่อสารกันโดยไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดใด ๆ และมีความเป็นไปได้ของการบรรลุเป้าหมายสถานะของการอยู่ร่วมกันกับปัญญาประดิษฐ์

สำนักงานอาหารและยาแห่งชาติสหรัฐฯ อนุมัติการทดลองฝังชิปเป็นครั้งแรกในเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว หลายสัปดาห์หลังการผ่าตัดเมื่อเดือนมกราคม มัสก์เปิดเผยว่าบุคคลรายดังกล่าว ‘ฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์โดยปราศจากผลข้างเคียงใดๆ’ และมีศักยภาพในการเคลื่อนเมาส์คอมพิวเตอร์ไปรอบๆ จอผ่านความคิด

อย่างไรก็ตาม ในเดือนพฤษภาคม Neuralink ยอมรับว่าพวกเขาประสบกับปัญหาทางเทคนิคบางประการ หลังสายไฟขนาดเล็กจิ๋วที่ฝังลงไปในสมองเคลื่อนที่หลุดจากตำแหน่ง

กระนั้นก็ตามทางสำนักงานอาหารและยาแห่งสหรัฐฯ ได้ไฟเขียวให้ทดลองกับมนุษย์เป็นครั้งที่ 2 ตามรายงานของหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล เมื่อเดือนที่แล้ว โดยที่การทดลองครั้งถัดไป ซึ่งกำหนดไว้ในเดือนมิถุนายน จะมีการแก้ไขปรับปรุงในกระบวนการต่างๆ โดยที่ชิปจะถูกฝังลึกเข้าไปในสมองมากกว่าเดิม เพื่อป้องกันไม่ให้มันหลุดออกมา

‘เกาะอังกฤษ’ เสน่ห์หาย มหาเศรษฐีแห่หอบเงินหนี ผลจากภาวะเศรษฐกิจ - แนวโน้มเปลี่ยนขั้วรัฐบาล

‘สหราชอาณาจักร’ กลายเป็นประเทศในโซนยุโรป ที่มีมหาเศรษฐีย้ายออกมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ในปีนี้ (2024) ที่มีการย้ายออกสุทธิมากถึง 9,500 ราย เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาถึง 2 เท่า และมีแนวโน้มที่จะย้ายออกเพิ่มขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง หลังรู้ผลการเลือกตั้งใหญ่ของอังกฤษในปีนี้ 

จากรายงานการสำรวจการโยกย้ายถิ่นฐานของ The Henley Private Wealth Migration ประจำปี 2024 พบว่าอังกฤษกลายเป็นประเทศที่มหาเศรษฐีอยากจะย้ายออกมาเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากประเทศจีนในปีนี้ แถมมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนอาจเรียกได้ว่าเป็นวิกฤติการย้ายถิ่นแบบ Exodus หรือการทิ้งถิ่นฐานของมหาเศรษฐีจำนวนมากอย่างไม่เคยมีมาก่อน

ซึ่งในปีนี้ มีเศรษฐีในอังกฤษ ย้ายออกไปประเทศอื่นแล้วถึง 9,500 เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว ที่มีเศรษฐีย้ายออก 4,200 ราย นับว่าเพิ่มขึ้นถึงเท่าตัว

ถึงแม้ว่าจีนจะยังคงเป็นประเทศที่มีคนระดับเศรษฐีย้ายออกมากที่สุดในโลก ซึ่งมีตัวเลขการย้ายออกสุทธิอยู่ที่ 15,200 รายในปีนี้ แต่หากเทียบกับตัวเลขในอดีตที่อังกฤษเคยติดอันดับกลุ่มประเทศที่มีมหาเศรษฐีอยากย้ายเข้ามากที่สุด เป็นจุดหมายปลายทางระดับพรีเมียมที่ใครต่อใครสนใจที่จะย้ายถิ่นเข้ามาอยู่ นับว่าเป็นปัญหาที่ไม่ธรรมดาเลยสำหรับอังกฤษ

‘Henley’ บริษัทที่ปรึกษาด้านการย้ายถิ่นฐานระบุว่า ช่วงระหว่างปี 1950 - 2000 ถือเป็นยุคทองของสหราชอาณาจักร ที่ครอบครัวชนชั้นสูง ตระกูลเศรษฐีทั่วทั้งยุโรป, แอฟริกา, เอเชีย และ ตะวันออกกลาง นิยมย้ายถิ่นมาลงหลักปักฐานในอังกฤษเป็นจำนวนมาก 

แต่ในวันนี้กลับไม่ใช่แล้ว กลุ่มคนที่มีทรัพย์สินมั่งคั่งในอังกฤษเริ่มมองหาประเทศทางเลือกอื่น ๆ ในการย้ายถิ่นที่อยู่ใหม่ เห็นได้ชัดเจนจากตัวเลขประชากรระดับเศรษฐีของอังกฤษลดลงถึง 8% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา สวนทางกับจำนวนประชากรเศรษฐีในประเทศเศรษฐกิจหลักของกลุ่มชาติตะวันตกในช่วงเวลาเดียวกัน อาทิ เยอรมัน ที่มีจำนวนเศรษฐีเพิ่มขึ้นถึง 15% ในขณะที่สหรัฐอเมริกา มีจำนวนเศรษฐีเพิ่มมากถึง 62% 

แต่อะไรเป็นสาเหตุและปัจจัยที่ทำให้เสน่ห์ของประเทศอังกฤษหายไป ไม่ชวนดึงดูดกลุ่มเศรษฐี นักลงทุนให้มาอยู่ได้อย่างที่แล้วมา?

แรกที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ ผลพวงจากผลประชามติ Brexit ซึ่งในช่วงปี 2017 - 2023 หลังจากที่อังกฤษออกจากการเป็นสมาชิกภาพของสหภาพยุโรปแล้ว มีตัวเลขประชากรเศรษฐีในอังกฤษย้ายถิ่นไปแล้วถึง 16,500 ราย และตัวเลขการย้ายถิ่นของคนกลุ่มนี้ยังเพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดทุกปี 

แต่นั่นไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ทำเศรษฐีอังกฤษหอบเงินหนี ‘ฮานนาห์ ไวท์’ CEO ของสถาบันวิเคราะห์ยุทธศาสตร์รัฐบาล เผยว่าการย้ายถิ่นครั้งใหญ่ของเศรษฐีจะยิ่งเร่งสปีดเร็วขึ้นกว่าเดิมหลังรู้ผลการเลือกตั้งใหญ่ของอังกฤษในเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้

จากผลโพลหลายสำนักในอังกฤษชี้ตรงกันว่าพรรคแรงงาน ฝ่ายซ้าย ที่เป็นฝ่ายค้านในปัจจุบันมีคะแนนนำเหนือพรรคอนุรักษ์ฝ่ายรัฐบาล ถึง 46% ต่อ 21% มีโอกาสคว้าชัยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลใหม่สูงมาก 

โดยพรรคแรงงานมีนโยบายการจัดเก็บภาษีที่เข้มงวด โดยเน้นการเก็บภาษีเพิ่มในกลุ่มคนต่างด้าว ลดช่องทางการหลีกเลี่ยงภาษี ยกเลิกการลดหย่อนภาษีสำหรับโรงเรียนเอกชน และเพิ่มภาษีสำหรับการซื้ออสังหาริมทรัพย์โดยบุคคลที่ไม่ได้ถือวีซ่าผู้อาศัยในอังกฤษ อีกทั้งขึ้นภาษีที่ดินเป็น 40% สำหรับที่ดินที่มีราคาสูงกว่า 325,000 ปอนด์ เพื่อนำภาษีเหล่านั้นมาลงให้กับกองทุนสวัสดิการสังคมต่าง ๆ ของชาวอังกฤษ 

ด้วยปัจจัยด้านนโยบายในการจัดเก็บภาษีคนรวย บวกกับสภาพเศรษฐกิจตกต่ำ ภาวะเงินเฟ้อในประเทศ และ การถูกยกเลิกสิทธิพิเศษจากการเป็นสมาชิก EU ทำให้เศรษฐีในอังกฤษตัดสินใจย้ายออกอย่างมากมายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

นับเป็นความท้าทายที่สาหัสทีเดียวสำหรับรัฐบาลชุดใหม่ของอังกฤษ ในการฟื้นฟูประเทศ เรียกบรรยากาศที่เคยดึงดูดกลุ่มเศรษฐีมีเงินทั่วโลก ที่เคยหอบทรัพย์สินหลั่งไหลมาตั้งถิ่นฐานใน ‘ดินแดนแห่งผู้ดี’ เช่นในอดีต

‘Nvidia’ ขึ้นแท่นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในโลก ล้ม Microsoft เพียงไม่กี่วันหลังจากที่เพิ่งแซง Apple

(19 มิ.ย. 67) Nvidia ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของสหรัฐฯ โค่นบัลลังก์ยักษ์ใหญ่ ‘ไมโครซอฟท์’ กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในโลก เมื่อวานนี้ (18 มิ.ย.) หลังโปรเซสเซอร์ระดับไฮเอนด์ที่บริษัทผลิตได้กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วงชิงความเป็นหนึ่งด้านเทคโนโลยีเอไอ

โดยราคาหุ้น Nvidia ไต่ขึ้นอีก 3.5% ไปอยู่ที่ 135.58 ดอลลาร์สหรัฐ/หุ้น ส่งผลให้มูลค่าตลาดพุ่งสูงแตะระดับ 3.335 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพียงไม่กี่วันหลังจากที่ Nvidia เพิ่งจะสามารถก้าวแซง ‘แอปเปิล’ ขึ้นมาเป็นเบอร์ 2 ของโลกได้

สำหรับมูลค่าตลาดของไมโครซอฟท์อยู่ที่ 3.317 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยราคาหุ้นปรับลดลง 0.45% ขณะที่หุ้นแอปเปิลร่วงลงกว่า 1% ทำให้บริษัทมีมูลค่าทางการตลาดอยู่ที่ 3.286 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

แม้อานิสงส์ความแรงของหุ้น Nvidia จะทำให้ดัชนีหุ้นหลักอย่าง S&P 500 และ Nasdaq พุ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่นักลงทุนบางคนเริ่มกังวลว่ากระแสความบูมของเอไออาจอันตรธานหายไปอย่างรวดเร็ว หากปรากฏสัญญาณการลงทุนที่ลดลง

Nvidia กลายเป็นบริษัทที่มีการซื้อขายมากที่สุดในวอลล์สตรีท ด้วยอัตราการหมุนเวียนซื้อขายต่อวัน (daily turnover) เฉลี่ยอยู่ที่ 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับราว ๆ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในกรณีของแอปเปิล ไมโครซอฟท์ และเทสลา ตามข้อมูลจาก LSEG

ราคาหุ้น Nvidia พุ่งขึ้นเกือบ 3 เท่าตัวในปีนี้ เมื่อเทียบกับหุ้นไมโครซอฟท์ที่ขยับขึ้นเพียง 19% โดยมีปัจจัยสำคัญจากกำลังการผลิตโปรเซสเซอร์ระดับคุณภาพเยี่ยมที่ยังคงไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด ท่ามกลางความพยายามของยักษ์ใหญ่อย่างไมโครซอฟท์ เมตา และอัลฟาเบ็ทซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Google ที่แข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์เอไอออกสู่ท้องตลาด

การที่ชิปเอไอของ Nvidia ถูกมองว่ามีคุณภาพสูงกว่าคู่แข่งรายอื่น ๆ และเป็นที่ต้องการอย่างมากนั้น ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่มองว่า Nvidia คือ ‘ผู้ชนะรายใหญ่ที่สุด’ ในสงครามการแข่งขันด้านเอไอ ณ เวลานี้

“Nvidia กำลังได้รับความสนใจในเชิงบวกอย่างมาก และบริษัทก็เดินเกมหลายอย่างได้ถูกต้อง แต่ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็อาจกระทบต่อมูลค่าหุ้น ดังนั้น นักลงทุนจึงต้องระวังเช่นกัน” โอลิเวอร์ เพิร์ช รองประธานอาวุโสของ Wealthspire Advisors ในนครนิวยอร์ก ให้ความเห็น

มูลค่าตลาดของ Nvidia ขยายตัวจาก 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ กลายเป็น 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในระยะเวลาเพียง 9 เดือนเมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ก่อนใช้เวลาอีกเพียง 3 เดือนในการไต่ระดับสู่หลัก 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อเดือน มิ.ย.

ทั้งนี้ ผู้บริหาร Nvidia เคยให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อเดือน พ.ค.ว่า อุปสงค์ชิปเอไอ Blackwell ของทางบริษัทน่าจะสูงเกินกำลังผลิต ‘ไปจนถึงปีหน้า’

อย่างไรก็ตาม สัปดาห์ที่แล้ว Nvidia ได้แตกหุ้นในอัตรา 10 ต่อ 1 โดยเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย. ในความเคลื่อนไหวที่คาดว่าจะทำให้หุ้นของบริษัทชิปเอไอแห่งนี้เป็นที่น่าดึงดูดสำหรับนักลงทุนมากขึ้นไปอีก

‘เกาหลีใต้’ ชี้!! 4 เดือนแรก ยอดนักท่องเที่ยวไทยมาเยือน ลดฮวบ 21% หลังปัญหา 'ตม.เลือกปฏิบัติ' พ่นพิษ และไร้เงาไทยติดลิสต์ K-ETA

(19 มิ.ย.67) องค์การการท่องเที่ยวเกาหลีใต้ ออกมาเผยกับสื่อต่างประเทศ ถึงจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่เดินทางมาถึงเกาหลีใต้เพิ่มขึ้นในปี 2024

แต่กลับกันตัวเลขนักท่องเที่ยวจากประเทศไทยที่เคยเป็นแชมป์อันดับ 1 ในภูมิภาคเอเชียกลับลดลง ไปอยู่ที่ อันดับ 3 ตามหลังนักท่องเที่ยวจากเวียดนาม และฟิลิปปินส์

โดยจำนวนนักท่องเที่ยวไทยไปเที่ยวเกาหลีใต้ ตั้งแต่เดือนมกราคม-เมษายน มีจำนวน 119,000 คน ลดลง 21.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

ขณะที่ นักท่องเที่ยวจากจีน เพิ่มขึ้น 470% และญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 86% และจากข้อมูลยังแสดงให้เห็นว่า นักท่องเที่ยวจากประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็เพิ่มขึ้นด้วย เช่น ฟิลิปปินส์ (76%) อินโดนีเซีย (51%) มาเลเซีย (35%) เวียดนาม (29%) และสิงคโปร์ (11%)

และแม้จะเทียบกับช่วงก่อนที่จะมีการระบาดของโควิด-19 แต่อัตราการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวไทยก็ยังอยู่ในระดับต่ำ โดยตั้งแต่เดือนมกราคม-เมษายนของปีนี้ พบว่านักท่องเที่ยวไทยมีจำนวนเพียง 59% ของจำนวนนักท่องเที่ยวไทยในช่วงเวลาเดียวกันของปี 62 ซึ่งต่ำกว่าอัตราการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยรวมที่ 88%

โดยในปี 62 ประเทศไทยอันดับ 1 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนเกาหลีใต้มากที่สุด กว่า 572,000 คน ตามด้วย เวียดนาม 554,000 คน และฟิลิปปินส์ 504,000 บาท

อย่างไรก็ตามในปีนี้ ผู้เชี่ยวชาญในวงการอุตสาหกรรมเกาหลี เชื่อว่าเหตุที่ทำให้นักท่องเที่ยวชาวไทยมีจำนวนลดลง เนื่องจากมีความรู้สึกเชิงลบกับการถูกปฏิเสธการเข้าประเทศ ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.)

โดยเฉพาะภายหลังจากที่มีการเปิดใช้ระบบ K-ETA (Korea Electronic Travel Authorisation) ซึ่งกำหนดให้นักเดินทางจากประเทศที่ได้รับการยกเว้นวีซ่า 112 จะต้องลงทะเบียน และขออนุมัติการเข้าประเทศทางออนไลน์ ก่อนออกเดินทางไปเกาหลีใต้เป็นปัจจัยสำคัญ ด้วยแม้ว่าจะมีการยกเว้น K-ETA ชั่วคราวสำหรับประเทศต้นทาง 22 แห่ง เช่น ญี่ปุ่น, ไต้หวัน, ฮ่องกง และสิงคโปร์ แต่ประเทศไทยกลับไม่รวมอยู่ด้วย

วิเคราะห์ 'เมียนมา' ปิดด่านพญาโตงซู กระทบส่งออกไทยนับร้อยล้าน อาจเพราะ 'โทนี่' ออกหน้าแทนฝ่ายต่อต้านฯ-อาวุธหลุดข้ามชายแดนถี่

มีรายงานข่าวจากสำนักข่าวในเมียนมา ว่ามีการปิดด่านพญาโตงซู ในฝั่งเมียนมา ทำให้สินค้าจากไทยไม่สามารถขนผ่านด่านนี้ได้ และเกิดความเสียหายเป็นจำนวนมาก 

อนึ่งจากเหตุการณ์ที่ KTLA บุกยึดเมียวดี และทางกองทัพเมียนมาเลือกใช้วิธีปิดด่านชายแดน ส่งผลให้นักธุรกิจชายแดน ต้องมุ่งเป้าหาเส้นทางใหม่ ๆ ในการขนส่งสินค้าจากไทยเข้าสู่เมียนมาและเส้นทางที่นิยมกันรองจากเมียวดีคือ เส้นทางด่านเจดีย์สามองค์ จังหวัดกาญจนบุรี

หลังจากการปิดด่านเมียวดี เส้นทางด่านเจดีย์สามองค์ก็เป็นเส้นทางหลักในการขนส่งสินค้าด้วยเหตุที่ว่า หากเทียบในการขนสินค้าจากเมียวดีไปเมืองเมาละแหม่ง ใช้เวลา ประมาณ 3 ชั่วโมง ระยะทาง 75 ไมล์ ในขณะที่เส้นด่านเจดีย์ 3 องค์ใช้เวลาเพียง 4 ชั่วโมงเท่านั้น กินระยะทาง 111 ไมล์จากด่านพญาโตงซูในฝั่งเมียนมา

การปิดด่านพญาโตงซู ในฝั่งเมียนมา โดยไม่อนุญาตให้รถขนส่งจากไทยข้ามไปฝั่งเมียนมา มีหลายฝ่ายตั้งคำถามถึงเหตุการณ์นี้ว่า ทำไมฝ่ายเมียนมาจึงตัดสินใจแบบนี้?

ข่าวลือแรก ในพื้นที่ออกมา ว่าเป็นเพราะเจ้าหน้าที่ด่านนี้มีการรับส่วย จึงถูกจับเปลี่ยนยกชุด เพราะเรื่องรู้ไปถึงส่วนกลางที่เนปิดอว์ ... ซึ่งข่าวนี้ไม่นับว่ามีน้ำหนักสักเท่าไร เพราะหากมีการเปลี่ยนเจ้าหน้าที่เพราะทุจริตจริง ทางการเมียนมาต้องส่งเจ้าหน้าที่ชุดใหม่มาปฏิบัติงานแทนแล้ว

ข่าวต่อมา ระบุว่า ปิดเพราะมีการจับการขนส่งอาวุธได้เป็นประจำที่จุดนี้ ... เรื่องนี้พอมีเค้ามูลอยู่บ้างโดยเฉพาะช่วงหลังการปะทะกันระหว่างกองทัพเมียนมาและกองกำลังกะเหรี่ยงกับ PDF พุ่งเป้ามาบริเวณนี้มากขึ้น

สุดท้าย คือ เรื่องที่มีข่าวว่ากลุ่มต่อต้านเข้าหารือกับทางการไทย โดยเฉพาะที่เป็นข่าวออกมาว่านายทักษิณ ชินวัตร จะออกหน้าแทนฝ่ายต่อต้านมาเจรจากับกองทัพเมียนมา ซึ่งนั่นน่าจะสร้างความไม่พอใจกับทางการเมียนมาอยู่มิใช่น้อย รวมถึงการที่ฝั่งกองทัพเมียนมารู้สึกไม่พอใจกับท่าทีของไทยในการจัดการปัญหาชายแดนระหว่างกันให้เด็ดขาด รวมถึงปล่อยปละละเลยให้ทางเมียนมาตรวจจับอาวุธที่ส่งมาจากไทยได้บ่อยครั้ง ทั้งหมดน่าจะเป็นส่วนผสมที่ทำให้เกิดการปิดด่านครั้งนี้

ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาตอนนี้ ด่านเมียวดียังปกติ มีการส่งออกจากไทยอยู่ประมาณ 7 พันล้านบาทต่อเดือน พอเข้าเดือนเมษายนที่มีเหตุการณ์ยึดเมียวดี ยอดส่งออกตกลงมาเหลือ 4.5 พันล้านบาท 

แน่นอนว่าด่านเจดีย์ 3 องค์ เป็นด่านหนึ่งที่ได้รับอานิสงส์จากการปิดด่านเมียวดีในครั้งนั้นจนถึงวันนี้ ดังนั้นการแก้ปัญหาคงไม่ใช่แค่ให้ฝ่ายพาณิชย์แก้ไขเพียงฝ่ายเดียว ต้องดูถึงปัจจัยแวดล้อมว่าอะไรคือต้นเหตุที่นำพามาให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น

ไม่ว่าเหตุผลของการปิดด่านคืออะไร ก็หวังว่าทางการไทยจะรับรู้และช่วยกันผลักดันให้ด่านเปิดเป็นปกติอีกครั้ง

‘มิน ออง หล่าย’ ให้คำมั่น ‘จัดการเลือกตั้งทั่วไป’ ปี 2025 ยัน!! มอบอำนาจให้ ‘พรรคที่ชนะ’ ท่ามกลางกระแสเลื่อนถี่

(18 มิ.ย.67) สำนักข่าวอิรวดีรายงานว่า เมื่อไม่นานมานี้ ระหว่างการเยี่ยมเจ้าหน้าที่และตัวแทนชุมชนในเมืองเมะทีลา (Meiktila) เขตมัณฑะเลย์ ‘มิน ออง หล่าย’ ผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมา ได้กล่าวให้คำมั่นว่าจะจัดการเลือกตั้งทั่วไปในเมียนมาในปีหน้า

ก่อนหน้านี้เขากล่าวว่าการเลือกตั้งจะจัดขึ้นหลังจากการสำรวจสำมะโนประชากรในเดือน ต.ค. ปีนี้เสร็จสิ้น โดยยืนยันว่าจะจัดการเลือกตั้งเพื่อมอบอำนาจให้กับพรรคที่ชนะ แต่ที่ผ่านมา มิน ออง หล่าย ได้เลื่อนการเลือกตั้งออกไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยอ้างเรื่องความไม่มั่นคงในเมียนมา

ขณะที่ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อเดือน ก.ค. ปีที่แล้ว มิน อ่อง หล่าย ได้รับคำแนะนำให้มีการลงคะแนนเสียงในดินแดนที่ถูกควบคุมโดยรัฐบาล แต่เขาปฏิเสธแนวคิดนี้ และกล่าวว่า การเลือกตั้งทั่วไปจะมีขึ้นหลังจากสันติภาพและเสถียรภาพกลับคืนสู่สภาพเดิมแล้วเท่านั้น

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ผู้นำรัฐบาลทหารยอมรับว่า กองกำลังของเขาสูญเสียพื้นที่ในความควบคุม หลังจากเมืองหลายแห่งทางตอนเหนือของรัฐฉานถูกยึดไปในปฏิบัติการ 1027 ของกลุ่มภราดรภาพ และเสีย 10 เมืองในรัฐยะไข่และรัฐชินให้กับกองทัพอาระกัน

รัฐบาลเมียนมาได้สูญเสียรัฐยะไข่ไปแล้วครึ่งหนึ่ง และความตึงเครียดก็กลับมาสูงอีกครั้งทางตอนเหนือของรัฐฉาน แม้ว่าจะมีข้อตกลงหยุดยิงชั่วคราวหลังจีนเป็นคนกลางเจรจาก็ตาม
ความพ่ายแพ้ของฝ่ายรัฐบาลที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าทำให้เกิดคำถามว่า เมียนมาจะดำเนินการสำรวจสำมะโนประชากรแล้วเสร็จภายในเดือน ต.ค. เพื่อรวบรวมรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งหรือจัดให้มีการเลือกตั้ง ได้จริงหรือ?

นอกจากนี้ หลังจากยุบพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ของ องงซาน ซูจี และปฏิเสธที่จะยอมรับผลการเลือกตั้งปี 2020 รัฐบาลทหารยังได้แก้ไขกฎหมายการจดทะเบียนพรรคการเมือง เพื่อสนับสนุนพรรคสหสามัคคีและการพัฒนา (USDP) ที่เป็นตัวแทนของกองทัพด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top