Thursday, 19 June 2025
WORLD

‘ทีมนักบินอวกาศจีน’ เสินโจว-18 ทำภารกิจนอกตัวยาน ครั้งที่ 2 สำเร็จ หลังติดตั้งอุปกรณ์-เช็กตรวจสอบ ก่อนกลับสู่ห้องปฏิบัติการอย่างปลอดภัย

เมื่อวานนี้ (4 ก.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า องค์การอวกาศที่มีมนุษย์ควบคุมแห่งประเทศจีน (CMSA) รายงานว่า ทีมนักบินอวกาศประจำภารกิจเสินโจว-18 ที่ประจำการอยู่บนสถานีอวกาศในวงโคจรของจีน ได้ทำกิจกรรมนอกยานอวกาศครั้งที่ 2 เสร็จสิ้นตอน 22.51 น. ของวันพุธ (3 ก.ค.67) ตามเวลาปักกิ่ง

โดยรายงานระบุว่า เย่กวงฟู่, หลี่ชง และหลี่กว่างซู ทำงานร่วมกันเป็นระยะเวลาราว 6 ชั่วโมง 30 นาที เพื่อทำงานหลายรายการ โดยหลี่กว่างซูอยู่ภายในสถานีอวกาศ

ทีมนักบินอวกาศได้ติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันขยะอวกาศให้ท่อ สายเคเบิล และอุปกรณ์สำคัญนอกสถานีอวกาศเทียนกง รวมถึงทำการตรวจสอบนอกยานอวกาศ ด้วยความช่วยเหลือจากแขนกลหุ่นยนต์และคณะนักวิจัยบนพื้นโลก โดยเย่กวงฟู่และหลี่ชง ผู้รับผิดชอบการทำกิจกรรมนอกยานอวกาศ ได้กลับเข้าสู่โมดูลห้องปฏิบัติการเวิ่นเทียนอย่างปลอดภัย

อนึ่ง ทีมนักบินอวกาศทั้ง 3 ท่องอวกาศราว 1 ใน 3 ของระยะเวลาที่วางไว้แล้ว และมีกำหนดดำเนินการทดลองทางวิทยาศาสตร์และการทดสอบทางเทคโนโลยีในวงโคจรจำนวนมาก

‘หนุ่มฟิลิปปินส์’ ลาโลก หลังไลฟ์กินข้าวกับไก่ทอดจำนวนมาก แพทย์เผย!! ‘เส้นเลือดในสมองแตก’ ผลพวงจากพฤติกรรมการกิน

เมื่อวานนี้ (4 ก.ค. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘World Forum ข่าวสารต่างประเทศ’ ได้แชร์เรื่องราวของคอนเทนต์ครีเอเตอร์หนุ่มนักกิน ชาวฟิลิปปินส์ ที่ได้เสียชีวิต ภายหลังจากกินไก่ทอดพร้อมข้าวจำนวนมาก โดยระบุว่า…

“คอนเทนต์ครีเอเตอร์ชื่อดังฟิลิปปินส์ เสียชีวิต หลังจากกินไก่ทอดจำนวนมาก”

“นายดงซ์ อปาตัน มีชื่อจริงว่า มาโนย อปาตัน มักโพสต์คลิปของตัวเองขณะกินอาหารท้องถิ่นจานใหญ่ ๆ จำนวนมาก เพื่อหารายได้ออนไลน์ เพื่อเพิ่มกระแส เพิ่มผู้ติดตาม”

“คลิปสุดท้ายวันที่ 13 มิถุนายน 2024 ขณะกินไก่ทอดจำนวนมาก กับ ข้าว หลังจากนั้นในวันต่อมา น้องสาวโพสต์แจ้งว่าเขาเสียชีวิตแล้ว”

“มาโนย อปาตัน วัย 38 ปี มีผู้ติดตาม 457,000 รายในเฟซบุ๊ก และเขาชอบรับประทานอาหารจานใหญ่ ๆ โชว์ ไก่จำนวนมาก ปลา หมู อื่น ๆ เกินคนทั่วไปจะรับประทานได้”

“ลีอาห์ อปาตัน น้องสาว โพสต์เฟซบุ๊กของเขาแจ้งว่า พี่ชายเกิดอาการหัวใจหยุดเต้นเมื่อเวลาประมาณ 15.00 น. 14/06 และถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน”

“ชาวเน็ตแสดงความเห็นว่า สาเหตุอาจมาจากการกินที่มากเกินไป เกินพอดี น้องสาว อปาตัน แย้งว่า บางคลิปที่โชว์ก็กินไม่หมดทุกจาน และอย่ามองพี่ชายเป็นตัวตลก รายได้จากคลิปยังนำไปช่วยคนอื่น ๆ”

“แพทย์แจ้งว่า การเสียชีวิตของนายอปาตัน เกิดจากโรคหลอดเลือดในสมองแตก ตามคำบอกเล่าของแพทย์ที่รักษาเขาในห้องฉุกเฉิน กล่าวว่าเขามีลิ่มเลือดในสมอง โรคหลอดเลือดในสมองแตกหรือตีบตัน นั่นหมายความว่าความดันโลหิตของเขาสูงขึ้น และเส้นเลือดในสมองแตก ตามคำอธิบาย”

“อาจมาจากอาหารรสเค็มและเนื้อสัตว์ หากรับประทานเป็นประจำ จำนวนมาก หลอดเลือดในสมองอาจอุดตันได้”

สินค้าจีน Overcapacity ล้นทะลักไปตีตลาดโลก เรื่องจริงหรือวาทกรรม?

(5 ก.ค.67) รองศาสตราจารย์ ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจจีน จากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์เนื้อหาในหัวข้อ 'สินค้าจีน 🇨🇳 Overcapacity ล้นทะลักไปตีตลาดโลก : เรื่องจริงหรือวาทกรรม'

โดย รองศาสตราจารย์ ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เผยว่า...

ปัญหากำลังการผลิตที่ล้นเกินของจีน (Overcapacity) กลายเป็นประเด็นถกเถียงระดับโลก ด้วยความกังวลว่า จะส่งผลกระทบต่อประเทศต่าง ๆ มากน้อยเพียงใด และในกรณีประเทศไทยจะถูกกระทบจากสินค้าราคาถูกจากจีนที่ล้นทะลักเข้ามาอย่างไรบ้าง บทความนี้ จะมาวิเคราะห์ไล่เรียงทีละประเด็น ดังนี้...

ประเด็นแรก จีนมีการผลิตสินค้ามากจนล้นเกิน (Overcapacity) หรือไม่ หากพิจารณาจากบริบทประเทศจีนที่มีขนาดใหญ่ และมีข้อได้เปรียบเชิงขนาด (Scale Advantage) ผู้ผลิตจีนจึงมักจะเน้นการผลิตเชิงปริมาณจำนวนมาก (Mass Production) เพื่อให้ต้นทุนเฉลี่ยต่อหน่วยลดลง เกิดการประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale) หวังจะป้อนตลาดภายในของจีนที่มีผู้บริโภคจำนวนมหาศาล  

อย่างไรก็ดี บางอุตสาหกรรมของจีนมีอุปทานการผลิตมากเกินกว่าอุปสงค์ความต้องการของตลาดภายในจีนเอง จนเกิดปัญหาอุปทานล้นตลาดจีน ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจจีนในยุคหลังโควิด-19 ที่ค่อนข้างอึมครึมซึมเซา ไม่คึกคักเหมือนเดิม คนจีนใช้จ่ายน้อยลง หันมาเน้นเก็บเงินอดออมมากขึ้น (จนเกิดกระแส ‘เก็บเงินเพื่อล้างแค้น’ ในจีน) ยิ่งทำให้ สินค้าจีนที่ล้นเกินเหล่านั้น ถูกระบายผ่านการส่งออกไปต่างประเทศมากขึ้น เพราะลดกำลังการผลิตได้ยาก 

ในมุมเศรษฐศาสตร์ หากอุตสาหกรรมใดมีอุปทานการผลิตล้นเกินกว่าอุปสงค์ความต้องการ ส่งผลให้สินค้านั้นราคาถูกลง เพื่อระบายสินค้าคงเหลือ แม้ว่าจะเป็นผลดีในมุมของผู้บริโภค แต่ก็เป็นแรงกดดันต่อคู่แข่งของผู้ผลิตสินค้าล้นเกินเหล่านั้น และในระยะยาว หากไม่สามารถแข่งขันได้ ก็ต้องปิดโรงงานและย่อมจะกระทบการจ้างงานที่ลดลง  

ดังนั้น ประเด็นสินค้าจีนที่มีกำลังการผลิตล้นเกิน Overcapacity จนต้องระบายส่งออกไปตีตลาดทั่วโลกเริ่มถูกพูดถึงด้วยความกังวลมากขึ้น เพราะจะทำให้อุตสาหกรรมท้องถิ่นอยู่ไม่ได้ ทำให้คู่แข่งจีนในต่างประเทศต้องถูกกระทบเสียหาย เช่น ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา เจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐได้เคยกล่าวถึงประเด็นนี้ว่า “รัฐบาลจีนให้เงินสนับสนุนอุตสาหกรรมหลักในประเทศ ทำให้มีกำลังการผลิตล้นเกิน Overcapacity มากเกินกว่าความต้องการ จนต้องเร่งส่งออก และนำไปสู่การทะลักล้นของสินค้าในตลาดโลกได้” 

ในขณะที่ นายกรัฐมนตรีหลี่เฉียงของจีน ได้เคยกล่าวแย้งว่า “รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ควรนำเศรษฐกิจการค้ามาทำให้เป็นเรื่องการเมือง แต่ควรพิจารณาประเด็นกำลังการผลิตตามข้อเท็จจริง และโต้แย้งด้วยหลักเหตุผล ด้วยมุมมองของระบบเศรษฐกิจกลไกตลาด มุมมองในระดับโลก และบนพื้นฐานของหลักการทางเศรษฐกิจ”

นอกจากนี้ หลายฝ่ายของจีนก็ได้โต้แย้งว่า “การโจมตีจีนด้วยคำว่า Overcapacity สะท้อนความวิตกกังวลของชาติตะวันตกที่จะไม่สามารถแข่งขันกับจีนในอุตสาหกรรมใหม่ เช่น รถยนต์ EV จึงพยายามสร้างวาทกรรมนี้ขึ้นมา เพื่อขัดขวางความก้าวหน้าด้านอุตสาหกรรมของจีน”

ประเด็นที่สอง อุตสาหกรรมใดของจีนที่ถูกจับตาว่า มีกำลังการผลิตล้นเกิน ส่วนใหญ่จะเป็นอุตสาหกรรมหนักที่มีการผลิตแบบดั้งเดิมเน้นเชิงปริมาณ เช่น เหล็ก ซีเมนต์ และแก้ว จนเกิดการผลิตล้นเกินมานานหลายปี ส่วนหนึ่งเกิดจากนโยบายของรัฐบาลจีนในอดีตที่ทุ่มงบอัดฉีดส่งเสริมให้มีการพัฒนาอุตสาหกรรมหนักเหล่านั้น ตลอดจนกลุ่มพลังงานทางเลือก เช่น แผงโซลาร์เซลล์ มีการขยายการผลิตกระจายอยู่ในมณฑลต่าง ๆ จนทำให้ปริมาณการผลิตแผงโซลาร์เซลล์ของจีนทั้งประเทศมีมากกว่าความต้องการของทั้งโลกถึงสองเท่า ส่งผลให้แผงโซลาร์เซลล์ของจีนมีราคาถูกลงเป็นอย่างมาก

นอกจากนี้ กลุ่มพลังงานใหม่ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า EV และแบตเตอรี่ลิเธียม ซึ่งเป็น 1 ใน 10 อุตสาหกรรมแห่งอนาคตภายใต้แผนยุทธศาสตร์ Made in China 2025 และอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรม ‘สามใหม่’ (New Three industries) ที่เพิ่งประกาศของรัฐบาลจีนด้วย ได้แก่ (1) รถยนต์ไฟฟ้า EV (2) แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน และ (3) เซลล์แสงอาทิตย์ (solar photovoltaic) 

ดังนั้น ด้วยการสนับสนุนและผลักดันอย่างหนักจากภาครัฐในยุคสีจิ้นผิง กลายเป็นใบเบิกทางเอื้อให้อุตสาหกรรมเหล่านี้มีการขยายการผลิตอย่างรวดเร็ว และเน้นออกไปทำตลาดต่างประเทศในเชิงรุก จนเกิดประเด็น ‘สงครามราคา’ ที่กระทบคู่แข่งในหลายประเทศ และเกิดข้อกังวลในประเด็นคุณภาพของสินค้าจีนที่หั่นราคาถูกลงอย่างมาก

ประเด็นสุดท้าย สินค้าราคาถูกที่ไหลทะลักมาจากจีนส่งผลกระทบต่อประเทศไทย และประเทศอื่น ๆ อย่างไรบ้าง ในแต่ละอุตสาหกรรมของไทยที่เกี่ยวข้องย่อมถูกกระทบมากน้อยไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ตัวอย่างเช่น ภาคอุตสาหกรรมที่ผู้ผลิตไทยมีจุดแข็งและมีความสามารถในการแข่งขัน เช่น กลุ่มอาหารแปรรูป ก็จะได้รับผลกระทบจากปัญหานี้น้อยกว่าอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น สิ่งทอ หรือ เฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น

ที่น่าเป็นห่วง คือ ผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทย SME รายเล็ก เช่น การแข่งขันด้านราคา กระแสสินค้าจีนราคาถูกทะลักเข้ามาตีตลาดในประเทศไทยเป็นแรงกดดันบีบให้ราคาสินค้าที่ผลิตในไทยต้องลดต่ำลง ทำให้ผลกำไรของผู้ผลิตต้องลดลงตามไปด้วย รวมทั้งส่วนแบ่งการตลาดที่ลดลง จากการที่ผู้บริโภคของไทยหันไปซื้อสินค้าราคาถูกจากจีนมากขึ้นผ่านช่องทางและแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น สินค้าออนไลน์ และในระยะยาว หากผู้ประกอบการไทยแข่งขันไม่ได้ ต้องปิดกิจการหรือปิดโรงงาน แรงงานไทยก็จะตกงานมากขึ้น 

ล่าสุด จากข้อเรียกร้องของผู้ประกอบการที่ถูกกระทบจากสินค้าราคาถูกนำเข้าจากจีน ทำให้รัฐบาลไทยต้องออกมาตรการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ในอัตรา 7% จากการนำเข้าสินค้าที่มีมูลค่าไม่เกิน 1,500 บาท เพื่อหวังจะแก้ไขปัญหาความไม่เป็นธรรมระหว่างผู้ขายในประเทศกับผู้ขายจากต่างประเทศ ซึ่งเดิมไม่มีการเก็บภาษี VAT ดังกล่าว

นอกจากประเทศไทย ยังมีประเทศใดในอาเซียนอีกบ้างที่ถูกกระทบจากสินค้าราคาถูกจากจีน แน่นอนว่า หลายประเทศในอาเซียน เช่น เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ได้แสดงความกังวลต่อสินค้าราคาถูกที่ล้นทะลักมาจากจีน ผู้ผลิตในประเทศเหล่านั้นต้องดิ้นรนอย่างหนักเพื่อความอยู่รอด เช่น เหล็ก สิ่งทอ รัฐบาลบางประเทศในอาเซียนจึงได้ออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการในท้องถิ่นของตน เช่น อินโดนีเซียเพิ่งประกาศแผนที่จะใช้มาตรการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ โดยการประกาศเก็บภาษีกับสินค้านำเข้า (Safeguard Duties) เพื่อปกป้องผู้ประกอบการธุรกิจ SME รายเล็ก เช่น รองเท้า สินค้าเซรามิก โดยเบื้องต้น อินโดนีเซียประกาศว่า จะเก็บภาษีศุลกากรกับสินค้าที่ผลิตจากจีนอยู่ที่อัตรา 100-200%  

ที่สำคัญ หลายประเทศในอาเซียนประสบปัญหาขาดดุลการค้ากับจีน เช่น เวียดนามมีการขาดดุลการค้ากับจีนอย่างมหาศาล จนเกิดประเด็นกังวลว่า หากปล่อยให้ปัญหายืดเยื้อในระยะยาว อาจจะส่งผลกระทบต่อทุนสำรองเงินตราและค่าเงิน เป็นต้น 

นอกจากนี้ หลายประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ เช่น สหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น ต่างก็กังวลว่า จีนกำลังนำผลผลิตที่ล้นเกินเร่งส่งออกไปตีตลาดโลกด้วยการลดราคาขายถูกลง และจะส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตภายในประเทศของตนที่ไม่สามารถแข่งขันกับสินค้าจีนอย่างไม่เป็นธรรม รวมทั้งมองว่า สินค้าจีนเหล่านั้นได้รับการอุดหนุนการส่งออกจากรัฐบาลจีน ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ประเทศเหล่านี้จึงออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อกีดกันการนำเข้าจากจีน เช่น สหรัฐฯ ประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ EV จีน จาก 27.5% เพิ่มเป็น 102.5% และสหภาพยุโรปประกาศเก็บภาษีรถยนต์ EV ที่ผลิตในจีนในอัตรา 37.6%

ในขณะเดียวกัน ผู้บริโภครายได้ต่ำในหลายประเทศ เช่น แถบแอฟริกา และละตินอเมริกา ก็อาจจะได้รับประโยชน์จากสินค้าราคาต่ำที่นำเข้าจากจีนและจะเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคที่สามารถเข้าถึงสินค้าจีนที่ราคาถูกลง ตัวอย่างเช่น รถยนต์ EV จีนราคาไม่แพงในบราซิล เอื้อให้ผู้บริโภคชาวบราซิลได้รับประโยชน์จากการหันมาใช้รถยนต์ EV พลังงานสะอาดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ในขณะนี้ บราซิลได้กลายเป็นผู้นำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า EV จากจีนรายใหญ่ที่สุดของโลก

ดังนั้น สินค้าจีนราคาถูกจากการผลิตล้นเกินจะส่งผลกระทบต่อประเทศต่าง ๆ อย่างไร มากน้อยเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละภาคการผลิต แต่ละกลุ่มผู้บริโภค รวมทั้งโครงสร้างเศรษฐกิจที่แตกต่างกันของแต่ละประเทศนั้นๆ 

ในขณะนี้ ฝ่ายรัฐบาลจีนพยายามชี้แจงต่อความกังวลเรื่องกำลังการผลิตล้นเกินของจีน โดยให้เหตุผลว่า “เกิดจากกลไกตลาดในเศรษฐกิจโลกาภิวัตน์ และจากมุมมองด้านอุปสงค์ ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Product) ในราคาที่เอื้อมถึงได้ที่ผลิตจากจีน จะช่วยส่งเสริมมาตรฐานการครองชีพและความเป็นอยู่ของผู้บริโภครายได้ต่ำในหลายประเทศ” โดยเฉพาะประเทศโลกขั้วใต้ (Global South)  

ในอีกมุมหนึ่ง การแข่งขันกับจีนจะสร้างแรงผลักดันให้ผู้ผลิตในประเทศต่าง ๆ ต้องสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพดีขึ้น แรงกดดันจากจีนจะบีบให้ผู้ผลิตในท้องถิ่นจะต้องคิดค้นสร้างสรรค์และปรับปรุงผลิตภัณฑ์ รวมทั้งอัปเกรดกระบวนการผลิต เพื่อจะได้รักษาความสามารถในการแข่งขันต่อไป หากทำได้สำเร็จ จะทำให้สามารถผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งการต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่สูงขึ้นต่อไป   

อย่างไรก็ดี ทั้งหมดนี้ ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับตัวของภาคส่วนต่าง ๆ ในแต่ละประเทศ และอีกหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะบทบาทและนโยบายของรัฐบาลในการรับมือกับความท้าทายเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ

โดยสรุป ปัญหากำลังการผลิตที่ล้นเกินของจีนกลายเป็นประเด็นถกเถียงระดับโลก สามารถส่งผลกระทบทั้งเชิงลบและเชิงบวก บางคนอาจจะกังวลถึงผลกระทบต่อผู้ผลิตในท้องถิ่นที่แข่งขันไม่ได้ แต่ในอีกมุมมอง ก็จะเป็นโอกาสของผู้บริโภคที่จะมีทางเลือกในการซื้อสินค้าราคาถูกลง อย่างไรก็ดี หากเกิด ‘สงครามราคา’ แข่งขันกันลดราคาที่มากจนเกินไป หรือเน้นลดต้นทุนด้วยการลดคุณภาพสินค้าต่ำกว่ามาตรฐาน ก็จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อผู้บริโภคได้เช่นกัน สำหรับผลกระทบในระยะยาวจะเป็นอย่างไร และภาครัฐจะรับมือกับปัญหาเหล่านี้อย่างไร ยังคงต้องจับตากันต่อไป

'เอ็กซิทโพลเลือกตั้งผู้ดี' ชี้!! พรรคแรงงานกวาดชัย 410 เก้าอี้ ส่วนอนุรักษ์นิยมเหลือ 131 เก้าอี้ หลังทำวิกฤตค่าครองชีพพุ่ง

(5 ก.ค.67) เอ็กซิทโพลเผย ผลการเลือกตั้งทั่วไปของสหราชอาณาจักรที่ถูกจับตามองหลังปิดหีบว่า พรรคแรงงานของนายเคลียร์ สตาร์เมอร์ จะชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย โดยมีสมาชิกที่ได้รับเลือก 410 คน ซึ่งมากกว่าพรรคอนุรักษ์นิยมที่ครองอำนาจมายาวนานถึง 14 ปี ที่จะได้ที่นั่ง 131 ที่นั่ง ซึ่งต่ำที่สุดเท่าที่เคยมีมา

หากผลการเลือกตั้งเป็นไปตามเอ็กซิทโพลที่จะจัดทำขึ้นร่วมกันโดยสื่อเจ้าหลักของสหราชอาณาจักร 3 สำนัก ประกอบด้วยบีบีซี ไอทีวี และสกายจริง นั่นหมายความว่าพรรคแรงงานจะได้คะแนนเสียงมากกว่าพรรคอนุรักษ์นิยมถึง 279 เสียง

ขณะที่พรรคอนุรักษ์นิยมได้ 131 ที่นั่ง ลดลงจาก 346 ที่นั่งที่มีอยู่ก่อนน่าจะหน้าที่จะมีการยุบสภา ในการเลือกตั้งที่ถูกมองว่าเป็นการลงโทษของผู้มีสิทธิ์ออกเสียงต่อพรรคอนุรักษ์นิยมเกี่ยวกับวิกฤตค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงความปั่นป่วนวุ่นวายในพรรคที่กินเวลายาวนานหลายปี จนทำให้อังกฤษต้องเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีอังกฤษถึง 5 คนนับตั้งแต่ปี 2016 จนถึงปัจจุบัน

ด้านพรรคเสรีประชาธิปไตยคาดว่าจะได้ 61 ที่นั่ง พรรคแห่งชาติสกอตแลนด์ 10 ที่นั่งพรรคปฏิรูปสหราชอาณาจักร 13 ที่นั่ง พรรค Plaid Cymru ที่สนับสนุนการเป็นเอกราชของเวลส์ 4 ที่นั่ง และพรรคกรีน 2 ที่นั่ง

ผลการเลือกตั้งดังกล่าวจะทำให้สตาร์เมอร์กลายเป็นผู้นำพรรคแรงงานคนที่ 4 ที่สามารถล้มพรรคอนุรักษ์นิยมได้ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 และจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากพรรคแรงงานคนแรกในรอบ 14 ปี

อย่างไรก็ดี ชัยชนะดังกล่าวยังถือว่าน้อยกว่านายโทนี่ แบลร์ อดีตผู้นำพรรคแรงงานในปี 1997 ที่นำพรรคแรงงานคว้าชัยได้ 418 ที่นั่ง

ผลการเลือกตั้งดูจะเป็นสิ่งยืนยันว่าชาวอังกฤษเห็นด้วยกับการรณรงค์หาเสียงของพรรคแรงงานที่เน้นย้ำว่า “ถึงเวลาสำหรับการเปลี่ยนแปลงแล้ว” โดยนายสตาร์เมอร์ได้ขอบคุณผู้ที่ลงคะแนนให้เขา และไว้วางใจในการเปลี่ยนแปลงที่พรรคแรงงานจะทำให้เกิดขึ้น

หากผลเอ็กซิทโพลถูกต้อง นายริชี ซูแน็ก ผู้นำพรรคอนุรักษ์นิยมมีแนวโน้มที่จะประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในช่วงเช้าวันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคมนี้ ก่อนที่สตาร์เมอร์จะเดินทางไปที่พระราชวังบัคกิ้งบักกิงแฮมเพื่อได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งอย่างเป็นทางการจากสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร ให้เป็นผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษคนต่อไป

จากนั้นเขาจะเดินทางไปยังทำเนียบนายกรัฐมนตรี ที่บ้านเลขที่ 10 บนถนนดาวนิง เพื่อกล่าวถ้อยแถลงสั้น ๆ ก่อนเริ่มทำงานในฐานะผู้นำรัฐบาลอังกฤษชุดใหม่ โดยแหล่งข่าวจากพรรคแรงงานระบุว่า พวกเขาคาดว่าคณะรัฐมนตรีส่วนใหญ่หรือทั้งหมดจะได้รับการแต่งตั้งภายในเย็นวันศุกร์นี้ โดยจะมีรัฐมนตรีที่เป็นคนรุ่นใหม่เพิ่มขึ้น

'ยูฟ่า' แบนแข้งเติร์ก 2 นัด เหตุท่าดีใจ 'นีโอฟาสซิสต์'

(5 ก.ค. 67) สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป(ยูฟ่า) สั่งแบน เมริห์ เดมิรัล กองหลังทีมชาติตุรกี เนื่องมาจากการกระทำท่าดีใจ ทางการเมือง ระหว่างการแข่งขันเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2024

เดมิรัล ทำสัญลักษณ์ของ ‘เกรย์ วูล์ฟส์’ แนวนีโอฟาสซิสต์ หลังจากทำประตูในเกมยูฟ่า ยูโร 2024 รอบ 16 ทีมสุดท้าย กับ ออสเตรีย 

เคสนี้ผิดมาตรา 16, 2 (e) ของโปรโตคอลการดำเนินการทางวินัยของยูฟ่า ได้ประกาศห้าม ‘การใช้ท่าทาง คำพูด วัตถุ หรือวิธีการอื่นใดในการส่งข้อความยั่วยุที่ไม่เหมาะกับการแข่งขันกีฬา โดยเฉพาะข้อความยั่วยุที่เป็นทางการเมือง อุดมการณ์ ศาสนา หรือลักษณะที่น่ารังเกียจ’

สำหรับ องค์กรเกรย์วูล์ฟส์ นี้ก่อตั้งมานานตั้งแต่ปี 1969 ในชื่อ 'ไอเดียลลิสต์ ฮาร์ตส์' (Idealist Hearts) เป็นกลุ่มชาตินิยมที่ตั้งขึ้นเพื่อเป็นการต่อต้านแนวคิดสังคมนิยมในหมู่ปัญญาชนชาวตุรกี โดยพรรคการเมืองกิจชาตินิยม (Nationalist Action Party) 

ต่อมาถูกเรียกว่า 'หมาป่าสีเทา' จากโลโก้ของพวกเขาที่มาจากตำนานของตุรกี โดย เกรย์ วูล์ฟส์ เป็นขบวนการทางการเมืองแนวขวาจัดของตุรกี และเป็นกลุ่มองค์กรเยาวชนของพรรค Nationalist Movement Party (MHP) มาโดยตลอด

‘SpaceX’ ลุยปล่อยดาวเทียม ‘Starlink’ สู่อวกาศเพิ่ม 20 ดวง แถม 13 ดวงในนี้ สามารถปล่อย ‘คลื่นมือถือ’ ตรงสู่เครื่องได้

(4 ก.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สเปซเอ็กซ์ (SpaceX) บริษัทเอกชนด้านอวกาศสัญชาติสหรัฐฯ ส่งดาวเทียมอินเทอร์เน็ตสตาร์ลิงก์ (Starlink) ขึ้นสู่วงโคจรเพิ่ม 20 ดวง เมื่อวันพุธ (3 ก.ค.67) ซึ่งในจำนวนนี้มีดาวเทียม 13 ดวงที่สามารถปล่อยสัญญาณโทรศัพท์มือถือตรงสู่เครื่อง (direct-to-cell) โดยไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์อื่นเพิ่มเติม

จรวดฟอลคอน 9 (Falcon 9) ซึ่งบรรทุกกลุ่มดาวเทียมดังกล่าว ทะยานออกจากฐานทัพอวกาศเคปคานาเวอรัล ในรัฐฟลอริดาของสหรัฐฯ ตอน 04.55 น. ตามเวลาตะวันออก หลังจากเกิดปัญหาทางเทคนิคที่ทำให้ล่าช้าไปสองชั่วโมง

ต่อมาไม่นาน จรวดบูสเตอร์ท่อนแรก (first stage) ของฟอลคอน 9 ได้ร่อนลงสู่เรือโดรนที่ประจำการอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งนับเป็นการปล่อยตัวและลงจอดครั้งที่ 16 สำหรับบูสเตอร์ตัวนี้

‘โจ ไบเดน’ ขอสู้ต่อ!! จะไม่ถอนตัวจากศึกชิงเก้าอี้ ‘ปธน.สหรัฐฯ’ หลังเผชิญแรงกดดัน ทันทีที่พ่ายแพ้การดีเบตครั้งแรกกับ ‘ทรัมป์’

(4 ก.ค.67) รายงานข่าวระบุว่า ประธานาธิบดี โจ ไบเดน พยายามที่จะทำให้สมาชิกอาวุโสของพรรคเดโมแครตรวมถึงเจ้าหน้าที่ในการรณรงค์หาเสียงของเขาคลี่คลายความตื่นตระหนกลง หลังมีรายงานเป็นจำนวนมากที่ระบุว่าเขาควรพิจารณาถึงอนาคตในการลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ หลังจากที่เขาประสบความพ่ายแพ้อย่างชัดเจนในการดีเบตครั้งแรกกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ท้าชิงจากพรรครีพับลิกันเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา 

รายงานข่าวระบุว่า ไบเดนได้รับประทานอาหารกลางวันร่วมกับรองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส เพียงสองคนที่ทำเนียบขาว ท่ามกลางการคาดการณ์ว่าแฮร์ริสอาจกลายเป็นผู้ที่จะมาลงชิงชัยแทนไบเดน ในฐานะผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต ในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายนนี้

หลังจากนั้นไบเดนและแฮร์ริสได้หารือทางโทรศัพท์ร่วมกับทีมรณรงค์หาเสียงของพรรคเดโมแครต ซึ่งไบเดนได้ประกาศจุดยืนชัดเจนว่า เขาจะยังคงอยู่ในการแข่งขันต่อไป ขณะที่แฮร์ริสได้เน้นย้ำการสนับสนุนของเธอต่อไบเดนด้วยเช่นกัน

แหล่งข่าวเผยว่า ในระหว่างการหารือดังกล่าว ไบเดนยืนยันว่า “ผมคือผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต ไม่มีใครสามารถที่จะบอกให้ผมออกไป และผมจะไม่ไปไหน”

จากนั้นได้มีการเผยแพร่ประโยคดังกล่าวซ้ำอีกในอีเมลที่ถูกส่งไปให้กับทีมรณรงค์หาเสียงหลังจากนั้นเพียงไม่กี่ชั่วโมง โดยไบเดนระบุในอีเมลว่า “ผมขอพูดให้ชัดเจนและเข้าใจง่ายว่าผมสามารถทำได้ ผมจะลงสมัครชิงตำแหน่งต่อไป และอยู่ในการแข่งขันนี้จนกว่ามันจะจบลง”

คำถามเกี่ยวกับความสามารถในการดำรงตำแหน่งสมัยที่ 2 ของไบเดนมีขึ้นทันทีที่จบการดีเบตกับทรัมป์ จากปฏิกิริยาตอบสนองของเขาที่ดูไม่มีประสิทธิภาพ แรงกดดันต่อไบเดนยิ่งเพิ่มมากขึ้นในอีกไม่กี่วันต่อมา หลังผลโพลจำนวนมากแสดงให้เห็นว่าทรัมป์มีคะแนนนำไบเดนเพิ่มขึ้น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม โพลของนิวยอร์กไทม์สชี้ว่า ทรัมป์มีคะแนนมากกว่าไบเดนถึง 6 จุด ขณะที่โพลที่เผยแพร่โดยซีบีเอสนิวชี้ให้เห็นว่า ทรัมป์มีคะแนนนำไบเดน 3 จุดในรัฐที่เป็นตัวบ่งชี้สำคัญ ขณะเดียวกันทรัมป์ยังมีคะแนนนำไบเดนทั่วประเทศอีกด้วย

Nyobolt พัฒนาแบตฯ ชาร์จเต็ม 100% ได้ภายใน 6 นาที  เร็วกว่าสองเท่าของการเติมน้ำมันในรถยนต์ที่ใช้เบนซิน

(4 ก.ค.67) เพจ ‘Salika’ ได้เผยแพร่บทความที่น่าสนใจเกี่ยวการพัฒนาแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ที่สามารถชาร์จได้เต็ม 100% ภายในเวลา 6 นาที โดยระบุว่า… 

หนึ่งในข้อร้องเรียนที่พบบ่อยที่สุดเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าคือเวลาในการชาร์จที่นานเกินไป ในบางกรณี อาจใช้เวลานานถึง 40 ชั่วโมง หากชาร์จที่บ้าน และแม้แต่การใช้ Tesla Supercharger ก็จะใช้เวลาประมาณ 20 นาทีโดยเฉลี่ย ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ EV ยังไม่สามารถกินรวบตลาดรถยนต์ได้

อย่างไรก็ตาม Nyobolt สตาร์ทอัปที่ตั้งอยู่ในเคมบริดจ์ สหราชอาณาจักร ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2562 กล่าวว่าได้พัฒนาแบตเตอรี่ที่สามารถชาร์จได้เต็ม 100% ภายในเวลา 6 นาที เร็วกว่าความเร็วของยานพาหนะที่ชาร์จเร็วที่สุดบนท้องถนนสองถนน หรือประมาณสองเท่าของระยะเวลาที่ใช้ในการเติมน้ำมันในรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซิน

Nyobolt ที่ชูจุดขาย “พลังมากขึ้นในเวลาที่น้อยลง แบตเตอรี่กำลังสูงพิเศษพร้อมเวลาในการชาร์จที่รวดเร็วเป็นพิเศษ” กล่าวว่าได้พัฒนาแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 35kWh ซึ่งสามารถชาร์จจาก 10% เป็น 80% ในเวลาเพียงสี่นาทีครึ่งเท่านั้น และชาร์จเต็ม 100% ภายใน 6 นาที นอกจากนี้ ระบุว่าแบตเตอรี่ไม่แสดงการเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนแต่อย่างใด

บริษัทกล่าวว่าแบตเตอรี่ดังกล่าวอ้างถึงการทดสอบโดย OEM อิสระ (แม้ว่าบริษัทจะไม่ได้ระบุว่าใครเป็นผู้ทำการทดสอบ) สามารถชาร์จได้เร็วมากกว่า 4,000 รอบ ซึ่งครอบคลุมระยะทางประมาณ 600,000 ไมล์ (965,604 กิโลเมตร) โดยรักษาความจุของแบตเตอรี่ได้มากกว่า 80%

“การวิจัยอย่างกว้างขวางของเราในสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกาได้ปลดล็อกเทคโนโลยีแบตเตอรี่ใหม่ที่มีความพร้อมและสามารถปรับขนาดได้ในขณะนี้” ดร. Sai Shivareddy ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของ Nyobolt กล่าวในแถลงการณ์ “เรากำลังทำให้ผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ กลายเป็นพลังงานไฟฟ้า ซึ่งปัจจุบันถือว่าเป็นไปไม่ได้หรือเป็นไปไม่ได้”

บริษัทกล่าวว่าแบตเตอรี่ใหม่ได้รับการทดสอบในต้นแบบ Nyobolt EV ซึ่งเป็นรถสปอร์ต EV ที่มีน้ำหนักเพียง 2,755 ปอนด์ (ราว 1,250 กิโลกรัม)ทำให้ไม่เพียงแต่สามารถปรับปรุงการควบคุมได้เท่านั้น แต่ยานพาหนะที่เบากว่าและแบตเตอรี่ขนาดเล็กกว่าจะมีราคาถูกกว่าในการสร้างและมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยลง

“ชุดแบตเตอรี่ขนาด 35kWh ในรถต้นแบบ Nyobolt EV ไม่เพียงแต่เพิ่มระยะทางได้เร็วขึ้นเท่านั้น แต่ขนาดแบตเตอรี่ขนาดกะทัดรัดยังเป็นประโยชน์ต่อผู้ผลิตรถยนต์และผู้ขับขี่ ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าประหยัดพลังงานมีราคาถูกกว่าและใช้ทรัพยากรในการผลิตน้อยลงอย่างมาก” Nyobolt ระบุในแถลงการณ์

มีรายงานว่ารถยนต์ไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่ใหม่นี้จะเดินทางได้ประมาณ 155 ไมล์ (ราว 250 กิโลเมตร) ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง และสามารถเพิ่มระยะทางได้ 120 ไมล์ หรือราว 193 กิโลเมตรในเวลาเพียง 4 นาที

Nyobolt กล่าวว่ากำลังเจรจากับผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 8 ราย เกี่ยวกับการขายนวัตกรรมแบตเตอรี่ของตน แต่ยังไม่น่าจะส่งออกไปที่สหรัฐอเมริกาได้ในระยะสั้น เนื่องจากแบตเตอรี่ขนาด 35 kWh นั้นเล็กกว่าแบตเตอรี่ขนาด 85 kWh ที่ใช้ในรถ EV ส่วนใหญ่ของอเมริกาอย่างเห็นได้ชัด กระนั้นความก้าวหน้าครั้งนี้อาจเป็นส่วนสำคัญสำหรับการพัฒนาแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ในอนาคต

“Nyobolt EV แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นด้วยเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่ชาร์จเร็วและมีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น ช่วยให้ความจุมีขนาดที่เหมาะสม ในขณะที่ยังคงให้ประสิทธิภาพตามที่ต้องการ เรากำลังขจัดอุปสรรคในการชาร์จที่ช้าและไม่สะดวก ทำให้การใช้พลังงานไฟฟ้าน่าดึงดูดและเข้าถึงได้สำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาในการชาร์จเป็นเวลานานหรือไม่มีพื้นที่สำหรับติดตั้งเครื่องชาร์จที่บ้าน” Shane Davies ผู้อำนวยการฝ่ายระบบแบตเตอรี่รถยนต์ของ Nyobolt กล่าว

บริษัทอ้างว่าได้เตรียมพร้อมสำหรับการผลิตแล้ว โดยกล่าวว่าอาจมีการผลิตในปริมาณน้อยภายใน 1 ปี นับจากนี้ โดยจะเพิ่มเป็น 1,000 แพ็กในปี 2568 และด้วยรูปแบบการผลิตที่ยืดหยุ่นของ Nyobolt ทำให้ผลิตเซลล์แบตเตอรี่ได้มากถึง 2 ล้านเซลล์ต่อปี และแบตเตอรี่ของ Nyobolt จะปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านกฎระเบียบแบตเตอรี่ของสหภาพยุโรปเมื่อมีการผลิตจริงจัง

นอกจากนี้ สถาปัตยกรรมของ Nyobolt EV ยังเน้นย้ำถึงวิธีการดัดแปลงเข้ากับแพลตฟอร์ม EV ที่มีอยู่ ส่งผลให้เวลาในการชาร์จและอายุการหมุนเวียนของแบตเตอรี่เพิ่มขึ้นอีกขั้นหนึ่ง โมดูลแบตเตอรี่ของ Nyobolt EV ถูกระบายความร้อนด้วยแผ่นเย็นที่มีส่วนผสมของน้ำ/ไกลคอล วงจรแบตเตอรี่ใช้คอมเพรสเซอร์และคอนเดนเซอร์ AC และเครื่องทำความเย็นแบตเตอรี่ ซึ่งเข้ากันได้กับยานพาหนะสมรรถนะสูงอื่นๆ และส่งผลให้ได้โมดูลและชุดแบตเตอรี่ที่มีคุณภาพใกล้เคียงมาตรฐาน

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญคือ แบตเตอรี่ของ Nyobolt ขึ้นอยู่กับไนโอเบียม (โลหะที่มีความเหนียวและมันวาวซึ่งสามารถต้านทานการกัดกร่อนและรักษาคุณสมบัติทางกายภาพทั้งหมดไว้เมื่อสัมผัสกับอุณหภูมิที่สูงมาก) ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีการขุดค้นมากนัก เมื่อเทียบกับระดับการผลิตของวัสดุที่ใช้ในการผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน

ทั้งนี้ Nyobolt เป็นเพียงหนึ่งในหลายบริษัทที่ทำงานอย่างขะมักเขม้นเพื่อปรับปรุงแบตเตอรี่ EV เมื่อเดือนที่แล้ว บริษัทชื่อ 24M ได้จัดแสดงแบตเตอรี่ที่ออกแบบมาให้มีระยะทางไกลถึง 1,000 ไมล์(ราว 1,609 กิโลเมตร) ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง แบตเตอรี่นั้นใช้โลหะลิเทียมมากกว่าลิเทียมไอออน ซึ่ง 24M เป็นสปินเอาท์ของ MIT กล่าวว่าให้ความหนาแน่นของพลังงานมากกว่า อย่างไรก็ตาม อาจใช้เวลา 5 ปีก่อนที่เทคโนโลยีดังกล่าวจะออกสู่ท้องถนน

ขณะเดียวกัน เมื่อต้นปีที่ผ่านมา นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยคอร์เนลกล่าวว่าพวกเขาได้สร้างแบตเตอรี่ลิเทียมที่มีความเสถียร ซึ่งสามารถชาร์จได้ในเวลาไม่ถึง 5 นาที และเมื่อปีที่แล้ว บริษัทชื่อ Gravity กล่าวว่าเครื่องชาร์จของบริษัทสามารถจ่ายไฟให้กับรถยนต์ไฟฟ้าสำหรับการเดินทางระยะทาง 200 ไมล์ (ราว 322 กิโลเมตร) ได้ภายในเวลาเพียง 5 นาที แต่ปัญหาคือ EV บางตัวไม่ได้ออกแบบมาเพื่อรองรับพลังงานของเครื่องชาร์จที่ทรงประสิทธิภาพเหล่านี้

'ศาลเนปาล' สั่งจำคุก 10 ปี เจ้าของฉายา 'พระพุทธเจ้าน้อย' หลังพบหลักฐานมัดแน่น ข้อหาล่วงละเมิดทางเพศเด็ก

(4 ก.ค.67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ศาลเขตซาร์ลาฮี ในภาคใต้ของเนปาล มีคำตัดสินเมื่อวันจันทร์ที่ 1 กรกฎาคม 2567 ให้จำคุกนายราม พหาทุร พามชาน อายุ 33 ปี หรือที่รู้จักกันด้วยฉายา ‘พระพุทธเจ้าน้อย’ (Buddha Boy) เป็นเวลา 10 ปี จากความผิดฐานล่วงละเมิดทางเพศผู้เยาว์คนหนึ่ง และสั่งให้จ่ายเงินชดเชยจำนวน 3,750 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 138,000 บาท) แก่ผู้เสียหายด้วย แต่ทนายเปิดเผยว่า เขาจะยื่นอุทธรณ์ โดยมีเวลาภายใน 70 วัน

'นายราม พหาทุร พามชาน' ถูกตำรวจเนปาลจับกุมตัว ที่บ้านชานกรุงกาฐมาณฑุ เมื่อ 9 มกราคมที่ผ่านมา ในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศเด็กหญิงคนหนึ่ง ละทำร้ายร่างกายผู้ศรัทธา ตลอดจนเป็นผู้ต้องสงสัยว่าอาจเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของผู้ศรัทธาของเขาอย่างน้อย 4 คน ตำรวจยึดธนบัตรเนปาลมูลค่า 227,000 ดอลลาร์ กับเงินสกุลต่างประเทศอื่น ๆ อีก 23,000 ดอลลาร์ ก่อนที่ศาลจะมีคำตัดสินในวันที่ 26 มิถุนายน ว่าเขามีความผิดจริงในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศ

'นายราม พหาทุร พามชาน' หรือที่เรียกกันในภายหลังว่า 'ลามะปัลเดน ดอร์เจ' เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก หลังจากเขาซึ่งตอนนั้นมีอายุเพียง 14 ปี เขาไปนั่งสมาธิใต้ต้นโพธิ์ในป่า ก่อนจะมีข่าวลือว่า เขานั่งสมาธิติดต่อกันนานถึง 10 เดือนโดยที่ไม่ลุกไปไหน ไม่ดื่มน้ำ ไม่ทาน และไม่นอน แม้ปาฏิหาริย์ของเขายังไม่เคยได้รับการพิสูจน์ แต่ผู้คนต่างเชื่อว่า เขาคือ สิทธัตถะ โคตม ที่ประสูติที่เนปาลเมื่อ 2,500 ปีก่อน ก่อนจะรู้จักในพระนาม ‘พระพุทธเจ้า’ ความน่าเลื่อมใสดึงดูดให้ผู้คนจำนวนมากมารวมตัวกันเพื่อชมปาฏิหาริย์ของเขาขณะนั่งสมาธิในป่า โดยในช่วงพีคที่สุด มีผู้ศรัทธามารวมตัวกันหลายหมื่นคน หลายคนพยายามอย่างมากเพื่อจะพิสูจน์ว่าเขานั้นนั่งสมาธิโดยไม่ทานอะไรเลยจริงหรือไม่ และมีผู้ถ่ายคลิปวิดีโอขณะที่เขาทานอาหาร และนอนหลับระหว่างการทำสมาธิในป่าเอาไว้ได้

‘ญี่ปุ่น’ สวนกระแสสังคมไร้เงินสด เริ่มใช้ ‘ธนบัตรรุ่นใหม่’ ในรอบ 20 ปี พิมพ์ด้วยเทคโนโลยีโฮโลแกรมล้ำสมัย ป้องกันการปลอมแปลง

(3 ก.ค. 67) ญี่ปุ่นเริ่มใช้ธนบัตรหมุนเวียนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงในรอบ 20 ปี โดยใช้เทคโนโลยีโฮโลแกรมที่ทำให้เห็นหน้าบุคคลสำคัญบนธนบัตรแบบสามมิติ เพื่อป้องกันการปลอมแปลง นับเป็นครั้งแรกในโลกที่ใช้เทคโนโลยีดังกล่าวบนธนบัตร

ธนบัตรแบบใหม่นี้มี 3 ราคา ได้แก่ ธนบัตร 10,000 เยน ที่มีภาพของ ‘เออิจิ ชิบูซาวะ’ ผู้ก่อตั้งธนาคารและตลาดหลักทรัพย์แห่งแรก เป็นที่รู้จักกันในนาม ‘บิดาแห่งทุนนิยมญี่ปุ่น’ มีชีวิตอยู่ระหว่างปี พ.ศ.2383-2474

ส่วนธนบัตร 5,000 เยน มีภาพของ ‘อุเมโกะ สึด’ ผู้ก่อตั้งหนึ่งในมหาวิทยาลัยสตรีแห่งแรกในญี่ปุ่น มีชีวิตระหว่างปี 2407-2472 และธนบัตร 1,000 เยน มีภาพของ ‘ชิบาซาบูโระ คิตะซาโตะ’ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์รุ่นบุกเบิกที่มีชีวิตอยู่ในระหว่างปี 2396-2474

โรงพิมพ์ธนบัตรของญี่ปุ่นวางแผนจะพิมพ์ธนบัตรรุ่นใหม่ประมาณ 7.5 พันล้านใบ ภายในสิ้นปีงบประมาณปัจจุบัน และจะพิมพ์ธนบัตรจำนวน 1.85 หมื่นล้านใบ มูลค่า 125 ล้านล้านเยนที่หมุนเวียนอยู่นับถึงเดือนธันวาคมปีที่แล้ว

อย่างไรก็ตาม ธนบัตรที่ยังใช้กันอยู่ในปัจจุบันยังคงใช้ต่อไปได้ ในขณะที่รัฐบาลผลักดันให้ผู้บริโภคและธุรกิจต่าง ๆ ใช้เงินสดน้อยลง เพื่อเปลี่ยนเศรษฐกิจให้เป็นดิจิทัล

‘คาซูโอะ อุเอดะ’ ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) กล่าวในพิธีฉลองการใช้ธนบัตรรุ่นใหม่ว่า เงินสดเป็นวิธีการชำระเงินที่ปลอดภัย ซึ่งทุกคนสามารถใช้ได้ทุกที่ ทุกเวลา และจะยังคงมีบทบาทสำคัญต่อไป แม้ว่าจะมีวิธีชำระเงินแบบอื่นก็ตาม

‘ออมเงินล้างแค้น’ เทรนด์ฮิตวัยรุ่นจีน งดฟุ่มเฟือย-ใช้จ่ายแค่จำเป็น แลกกับได้เห็นตัวเลขเงินเก็บที่เพิ่มขึ้น ในยามที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน

ในขณะที่วัยรุ่นยุค Gen Z ทั่วโลก มีพฤติกรรมใช้จ่ายเงินสูงขึ้น และเริ่มเป็นหนี้กันตั้งแต่อายุน้อย ๆ แต่ที่จีนกลับมีเทรนด์ที่สวนกระแสไม่แคร์โลก เมื่อวัยรุ่นจีนแข่งขันกันเก็บออมเงินกันมากขึ้น และไม่ใช่การเก็บออมเงินแบบธรรมดาทั่วไป แต่เป็นการเก็บเงินแบบเอาเป็นเอาตาย เก็บโหด เหมือนโกรธใครมา

กระแสการเก็บเงินแบบโหด เกิดขึ้นในโลกออนไลน์จีนเมื่อไม่นานมานี้ ที่วัยรุ่นจีนเรียกว่า 报复性存钱 (เป้าฟู่ซิ่งฉุนเฉียน) หรือการเก็บเงินล้างแค้น ด้วยการตั้งเป้าหมายการออมเงินต่อเดือนในระดับสูงสุด และใช้จ่ายเงินเพื่อยังชีพเท่าที่จำเป็นให้น้อยที่สุด แล้วจึงเอารายละเอียดการใช้จ่ายของตนมาแชร์ในโลกออนไลน์ เพื่อแข่งกันว่าใครสามารถเหลือเงินเก็บได้มากกว่ากัน 

แต่นอกจากจะแข่งขันกันแล้ว บรรดานักเก็บเงินล้างแค้นยังมีการสร้างแรงจูงใจด้วยการแบ่งปันเทคนิคการประหยัดเงินในชีวิตประจำวันให้เพื่อน ๆ ในโซเชียลอีกด้วย อาทิ การเลือกรับประทานอาหารในโรงอาหารชุมชน ซึ่งเมื่อก่อนมักถูกมองว่าเป็นร้านสำหรับผู้สูงอายุ แต่ปัจจุบันมีวัยรุ่น หนุ่มสาวเข้าไปใช้บริการโรงอาหารชุมชนกันมากขึ้น เพราะค่าอาหารถูกโดยไม่ต้องไปคำนึงถึงความหรูหรา บางคนเน้นทำอาหารเองที่บ้าน บางคนเลือกซื้อเฉพาะผัก ผลไม้ตามฤดู หรือมีโปรโมชันลดราคาพิเศษเพื่อเน้นประหยัด

ชาวเน็ตรายหนึ่ง ที่ใช้นามแฝงว่า Little Zhai Zhai เล่าว่า เธอมีเป้าหมายที่จะลดค่ากินอยู่ให้เหลือเพียงแค่ 300 หยวนต่อเดือน (ประมาณ 1520 บาท/เดือน) ซึ่งล่าสุดเธอได้แชร์คลิปวิดีโอว่าสามารถใช้ชีวิตด้วยเงิน 10 หยวนต่อวันได้อย่างไร 

แถมหลายคนยังกลัวว่าตัวเองจะหลุดเป้า จึงเกิดไอเดียหาคู่หูร่วมประหยัด ให้มาช่วยกันดึงสติในการประหยัดเงินไปด้วยกันให้สามารถบรรลุเป้าหมายในแต่ละเดือนได้สำเร็จอีกด้วย 

กระแส ‘ออมเงินล้างแค้น’ สะท้อนหลายสิ่งที่น่าสนใจในสังคมจีนปัจจุบัน จากมุมมองของ ฉวน เหลียน ผู้อำนวยการของสำนักวิเคราะห์ตลาด China Market Research Group กล่าวว่า คนรุ่นใหม่จีนเลือกที่จะตอบโต้ต่อสภาพสังคมที่กดดัน บีบคั้น ด้วยการเก็บเงินอย่างเอาเป็นเอาตาย 

ซึ่งแตกต่างจากกลุ่มวัยรุ่นในยุคก่อนหน้าช่วงปี 2010s ที่ใช้จ่ายเงินสุรุ่ยสุร่ายเพื่อคลายเครียด ซึ่งเป็นยุคที่ตลาดสินค้าแบรนด์เนมในจีนเฟื่องฟูมาก จนวัยรุ่นยุคนั้นถึงขนาดยอมกู้หนี้ยืมสินเพื่อซื้อกระเป๋ากุชชี่สักใบ หรือ iPhone สักเครื่องกันมากมาย 

แต่วัยรุ่นจีนในยุคนี้ กลับมีความระมัดระวังในการใช้เงินมากขึ้น ส่งสัญญาณค่านิยมแบบ ‘การบริโภคย้อนกลับ’ หรือ ‘เศรษฐกิจแบบตระหนี่’ ซึ่งก็มีทั้งความพยายามในการใช้สติก่อนใช้สตางค์ หรือการเสาะหาโปรโมชันลดราคาทุกครั้งเมื่อต้องจับจ่ายซื้อของแต่ละชิ้น

ซึ่งตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับกระแสค่านิยมของวัยรุ่นยุค Gen Z โดยรวมทั่วโลก ที่มักใช้เงินเพื่อการท่องเที่ยว ซื้อความสุขให้ตัวเองก่อนคิดที่จะออมเงิน เช่นเดียวกับรายงานดัชนีความมั่งคั่งโดย Intuit พบว่า 73% ของกลุ่มวัยรุ่น Gen Z ในสหรัฐอเมริกาให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตที่ดีของตน มากกว่ายอดเงินออมในธนาคาร 

แต่ค่านิยมการเก็บเงินล้างแค้นของวัยรุ่นจีนมาจากไหน? 

คริสโตเฟอร์ เบดดอร์ รองผู้อำนวยการสถาบันจีนศึกษาของ Gavekal Dragonomics กล่าวว่า คนรุ่นใหม่จีนเริ่มมีความรู้สึกตรงกันว่าเศรษฐกิจไม่ได้ดีอย่างที่คิด ทำให้คนจีนเลือกที่จะเก็บเงินสำรองไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัย

เพราะหากดูจากตัวเลข GDP ของจีนในช่วงไตรมาสแรกของปี 2024 นี้ เติบโตขึ้น 5.3% ซึ่งดีกว่าที่รัฐบาลเคยคาดการณ์ไว้ แต่จากรายงานของธนาคารแห่งชาติจีนก็ยังชี้ว่าครัวเรือนจีนยังออมเงินเพิ่มขึ้นเป็น 11.8% เช่นกัน ซึ่งสะท้อนถึงความไม่มั่นใจต่ออนาคตของเศรษฐกิจจีน 

เจี๋ย เหมี่ยว ผู้ช่วยศาสตราจารย์สถาบัน NYU เซี่ยงไฮ้ กล่าวว่า ปัญหาตลาดแรงงานที่คับแคบและหดตัวลง เป็นสาเหตุสำคัญที่หนุ่ม-สาวจีน ใช้จ่ายเงินลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

จากตัวเลขอัตราการว่างงานในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาของกลุ่มวัยรุ่นอายุ 16 - 24 ปีอยู่ที่ 14.2% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยอัตราการว่างงานของประเทศถึง 5% ส่วนเงินเดือนเฉลี่ยขอผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรี ที่สำรวจในปี 2023 อยู่ที่ 6,050 หยวน/เดือน (ประมาณ 3 หมื่นบาท) ซึ่งสูงกว่าปีที่ผ่านมาเพียง 1% 

จากสถานการณ์ที่ตลาดแรงงานแข่งขันสูง หนุ่มสาวจำนวนไม่น้อยยังหางานทำไม่ได้ และการหารายได้เสริมทำได้ยากขึ้น เป็นสิ่งที่บั่นทอนจิตวิญญาณ และ ความมั่นใจของหนุ่มสาวจีนให้หมดไฟ จึงต้องหาทางระบายด้วยการเก็บเงินล้างแค้น แม้ชีวิตจะลำเค็ญ แต่เมื่อเห็นตัวเลขเงินออมที่เพิ่มขึ้น ก็ยังพออุ่นใจในอนาคตที่ไม่แน่นอนของพวกเขาได้นั่นเอง

‘โตโยต้า-GAC’ เตรียมเปิดตัวรถยนต์ EV รุ่นแรก เจาะตลาดจีนในปีหน้า มาพร้อมจุดเด่น ‘ระบบช่วยขับอัตโนมัติ’ ล้ำกว่าทุกแบรนด์ต่างชาติในจีน

(3 ก.ค.67) กิจการร่วมค้าระหว่างโตโยต้า กับกว่างโจว ออโตโมบิล กรุ๊ป(GAC) ที่มีรัฐเป็นเจ้าของ มีเป้าหมายเพื่อกอบกู้ส่วนแบ่งตลาดจีนของผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่สัญชาติญี่ปุ่น ในความพยายามไล่ตามให้ทันบรรดาคู่แข่งสัญชาติจีนทั้งหลายในด้านเทคโนโลยีต่างๆ ในรถยนต์ไฮบริด รถไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่ และยานยนต์อัจฉริยะ

ทั้งนี้ กิจการร่วมค้าดังกล่าวได้แถลงเป้าหมายด้านนวัตกรรมต่างๆ ภายในงานกิจกรรมหนึ่งที่เมืองกว่างโจว เมื่อวันศุกร์ (28 มิ.ย.67) ที่ผ่านมา

ทางกิจการร่วมค้า GAC Toyota ระบุว่าพวกเขาจะเปิดตัวรถยนต์อเนกประสงค์ Bozhi 3X SUV ในปีนี้ ซึ่งจะเป็นรุ่นแรกที่ติดตั้งระบบที่จะสามารถใช้ระบบช่วยขับขี่ล้ำสมัยสำหรับเข้าจอดและเดินทางไปตามถนนหลวง รวมถึงการสัญจรในเมือง ความเคลื่อนไหวนี้จะเป็นการรับประกันความเป็นผู้นำของพวกเขา ในด้านเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติเหนือกว่าแบรนด์ต่างชาติทั้งหมดในจีน

ถ้อยแถลงระบุว่า GAC Toyota กำลังพัฒนาระบบนี้ร่วมกับโมเมนตา โกลบอล บริษัทสตาร์ทอัปผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ขับขี่อัตโนมัติ สำหรับผู้ผลิตรถยนต์ต่างๆ ในนั้นรวมถึงเมอร์เซเดส-เบนซ์

นอกจากนี้ ทาง GAC Toyota ยังทำงานร่วมกับหัวเว่ย สำหรับเริ่มใช้ซอฟต์แวร์ปฏิบัติการในรถยนต์ของฝ่ายหลัง กับรถยนต์ซีดานรุ่นหนึ่ง ที่มีกำหนดจะเปิดตัวในจีนในปี 2025

ขณะเดียวกัน ผู้ผลิตรถยนต์แห่งนี้ ระบุด้วยว่าพวกเขามีแผนจะเปิดตัวแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนฟอสเฟต ระหว่างปี2026 และ 2027 ที่จะลดต้นทุนการผลิตลงราว 40%

ในบรรดาแบรนด์ทั้งหมดในจีน โตโยต้ามียอดขายรั้งอันดับ 5 ในตลาดรถยนต์ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้ในช่วง 4 เดือนแรกของปี โดยพวกเขามียอดขายตกลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2023 ถึง 22% อ้างอิงข้อมูลจากสมาคมผู้ผลิตยานยนต์ของจีน

ที่มา: MGROnline 

‘เกาหลีใต้’ จุดประเด็นถกเถียง ‘ผู้สูงอายุ’ ควรขับรถเองหรือไม่ หลัง ‘ชายวัย 68 ปี’ ขับรถชนคนเดินเท้า ดับ 9 ราย กลางกรุงโซล

(3 ก.ค. 67) นสพ.The Straits Times ของสิงคโปร์ เสนอรายงานพิเศษ Too old to drive? Deadly Seoul car crash reignites debate on elderly driving ระบุว่า เหตุการณ์ชายวัย 68 ปี ขับรถชนคนเดินเท้าเสียชีวิต 9 ราย และบาดเจ็บ 4 คน ที่กรุงโซลของเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2567 ที่ผ่านมา จุดประเด็นการถกเถียงในสังคมเกาหลีใต้ขึ้นมาว่า ผู้สูงอายุควรขับรถเองหรือไม่

ย้อนกลับไปในเดือน พ.ค. 2567 ทางการเกาหลีใต้ ได้เสนอแนวคิดเรื่องใบอนุญาตขับขี่แบบมีเงื่อนไขซึ่งจะจำกัดการเข้าถึงทางหลวงและการขับรถในเวลากลางคืนสำหรับผู้ที่อายุ 65 ปีขึ้นไป โดยขึ้นอยู่กับความสามารถในการขับขี่ ซึ่งสืบเนื่องมาจากอุบัติเหตุทางถนนที่เกี่ยวข้องกับผู้ขับขี่อายุ 65 ปีขึ้นไป ได้เพิ่มขึ้นทุกปีตั้งแต่ปี 2563 ทำลายสถิติสูงสุดที่ 39,614 กรณีในปี 2566 เพิ่มขึ้นจาก 31,072 ในปี 2563 เพิ่มขึ้นร้อยละ 27.5

ในเวลานั้น กระแสต่อต้านอย่างรุนแรงเกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติด้านอายุทำให้ทางการต้องชี้แจงว่านโยบายดังกล่าวไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ ‘ผู้ขับขี่อาวุโส’ ในกลุ่มอายุใดโดยเฉพาะ แต่มุ่งเป้าไปที่ ‘ผู้ขับขี่ที่มีความเสี่ยงสูง’ ซึ่งถือว่าก่อให้เกิดอันตรายจากการจราจรที่มากขึ้นเนื่องจาก ไปสู่สภาวะทางสติปัญญาและทางกายภาพที่ลดลง ซึ่งทางการให้คำมั่นที่จะทำการสำรวจสาธารณะอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจว่าจะดำเนินการตามแผนในปี 2568 หรือไม่

เนื่องจากเกาหลีใต้เข้าสู่ภาวะสังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว จึงคาดการณ์ว่าจำนวนผู้ขับขี่อาวุโสจะเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 4.74 ล้านคนเป็น 7.25 ล้านคนภายในปี 2573 และอุบัติเหตุสะเทือนขวัญในวันที่ 1 ก.ค. 2567 เรื่องผู้สูงอายุกับการขับรถก็ถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียงกันอีกครั้ง บางคนเรียกร้องให้มีการตรวจสุขภาพอย่างละเอียดสำหรับผู้ขับขี่ที่มีอายุเกินกำหนด เพื่อพิจารณาความสามารถในการขับขี่ของพวกเขา ในขณะที่คนอื่น ๆ กล่าวว่ามีความจำเป็นต้องเข้มงวดแนวทางการตรวจสอบใบอนุญาตสำหรับผู้ขับขี่อาวุโส

ซุง ฮเย-จิน (Sung Hye-jin) หญิงวัย 36 ปี ซึ่งทำงานอยู่ใกล้ศาลาว่าการกรุงโซล กล่าวว่า อุบัติเหตุครั้งนี้ทำให้ตนเห็นด้วยอย่างหนักแน่นขึ้นว่าควรมีแนวทางปฏิบัติที่เข้มงวดมากขึ้นสำหรับผู้ขับขี่อาวุโส โดยยกความเป็นห่วงพ่อของตนเอง ซึ่งมีอายุ 73 ปีแล้ว แต่ยังเดินทางด้วยการขับรถเองบนทางหลวงเป็นเวลา 40 นาที ซึ่งเกาหลีใต้เป็นประเทศที่เข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว จึงต้องระมัดระวังกับผู้ที่ความสามารถในการขับขี่ลดลงตามอายุ นอกจากความปลอดภัยของผู้สูงอายุที่ขับรถเองแล้ว ตนก็ไม่อยากให้ใครได้รับบาดเจ็บอีกด้วย

บง ฮวา-จา (Bong Hwa-ja) หญิงชราวัย 80 ปี ซึ่งทำงานเป็นพนักงานล้างจานในร้านอาหารแห่งหนึ่งในบริเวณศาลาว่าการกรุงโซล กล่าวว่า บริเวณนี้เป็นที่นิยมมากในหมู่พนักงานออฟฟิศในช่วงเวลาอาหารกลางวันและอาหารเย็น แทนที่จะชี้นิ้ว ลองคิดดูว่าโชคดีแค่ไหนที่รถไม่ชนร้านอาหาร หากเป็นเช่นนั้น อาจมีผู้เสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น

แต่ในทางกลับกัน ฝ่ายที่คัดค้านก็ให้เหตุผลว่า ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ ผู้สูงวัยมีสุขภาพที่ดีขึ้น และอายุเป็นเพียงตัวเลข พวกเขาตั้งคำถามว่าผู้ที่มีอายุ 68 ปีถือเป็นผู้สูงอายุและทำอะไรไม่ถูกหรือไม่ อีกทั้งยังอ้างถึง ฮัน ด็อก-ซู (Han Duck-soo) นายกรัฐมนตรีเกาหลีใต้ ในปี 2565 ที่เข้ารับตำแหน่งก็มีอายุ 72 ปีแล้ว และกำลังจะมีอายุครบ 75 ปี ในปี 2567 นี้ ทำให้กลายเป็นบุคคลที่อายุมากที่สุดในประวัติศาสตร์เกาหลีใต้ ที่ได้รับตำแหน่งดังกล่าว

ในพื้นที่ออนไลน์ของเกาหลีใต้ ผู้ใช้ชื่อว่า แบ็ก ยอง-ดัม (Baek Yong-dam) แสดงความคิดเห็นว่า แม้จะเป็นเรื่องจริงที่ปฏิกิริยาตอบสนองอาจลดลงตามอายุ แต่ก็ไม่ยุติธรรมที่จะกล่าวหาผู้ขับขี่สูงอายุว่าขับรถไม่ดี และเสนอแนะให้บังคับใช้การตรวจสุขภาพโดยละเอียดสำหรับผู้ขับขี่ที่มีอายุมากกว่าที่กำหนด ขณะที่ ศ.ลี แจ-มิน (Prof.Lee Jae-min) นักวิชาการด้านกฎหมาย มหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล กล่าวว่า 65 ปีถือเป็นสัญลักษณ์ตามธรรมเนียมในบริบทของสังคมเกาหลี

“เป็นเวลานานที่สุดแล้วที่คนเราจะถูกพิจารณาว่าเป็นผู้อาวุโส โดยสามารถนั่งรถไฟใต้ดินได้ฟรีและมีสิทธิได้รับเงินบำนาญ แต่ทุกวันนี้ เมื่อพิจารณาจากสภาวะสุขภาพที่ดีขึ้นของผู้สูงอายุแล้ว จึงมีการอภิปรายอย่างต่อเนื่องว่าควรจะเก็บ 65 ไว้เป็นเส้นแบ่ง หรือจะขยับขึ้นเป็น 70 หรือแม้แต่ 75 ทั้งนี้ การสอบสวนอุบัติเหตุดังกล่าวยังอยู่ระหว่างดำเนินการ หากอายุของผู้ขับขี่ได้รับการพิจารณาว่าเป็นหนึ่งในสาเหตุที่แท้จริง ก็มีแนวโน้มว่าจะเร่งความคืบหน้าในการจัดเตรียมใบอนุญาตขับขี่แบบมีเงื่อนไขสำหรับผู้ขับขี่ในช่วงอายุที่กำหนด” ศ.ลี กล่าว

รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า ภายใต้หลักเกณฑ์ปัจจุบันของเกาหลีใต้ ผู้ขับขี่ที่มีอายุเกิน 75 ปีจะต้องผ่านรอบการต่ออายุใบอนุญาตขับขี่เป็นเวลา 3 ปี และจะต้องผ่านการทดสอบความสามารถทางปัญญาและการศึกษาด้านความปลอดภัยในการจราจร ณ เวลาที่ต่ออายุ นอกจากนี้ ผู้ขับขี่ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปยังได้รับการสนับสนุนให้ได้รับการศึกษาด้านความปลอดภัยในการจราจรอีกด้วย สิ่งจูงใจที่เป็นเงินสดมูลค่า 100,000-300,000 วอน (2,670-8,010 บาท) จะถูกห้อยไว้เหมือนแครอท เพื่อส่งเสริมให้ผู้ขับขี่สูงอายุคืนใบอนุญาตโดยสมัครใจ อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ไม่ได้รับความนิยม โดยมีผู้ขับขี่เพียงประมาณร้อยละ 2 เท่านั้นที่ทำเช่นนั้นในแต่ละปี

ในขณะที่ประเทศสิงคโปร์ ผู้ขับขี่รถยนต์ทุกคนที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปจะต้องผ่านการตรวจสุขภาพและได้รับการรับรองความพร้อมในการขับขี่โดยผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ที่จดทะเบียนในสิงคโปร์ ก่อนจึงจะสามารถตรวจสอบใบขับขี่ของสิงคโปร์อีกครั้งได้ รอบการตรวจสอบซ้ำคือทุก ๆ 3 ปี โดยไม่จำกัดอายุสูงสุด

เปิดใจ!! แอดมินเพจมองพม่า (LOOK Myanmar) ในวันที่ถูกมองว่าเป็นไอโอของกองทัพเมียนมา

วันนี้มีบทสัมภาษณ์ที่เอ็กคลูซีฟส่งตรงจากย่างกุ้งมาถึง เอย่า เมื่อทางทีมงานของเราได้บทสัมภาษณ์สุดเอ็กคลูซีฟของทีมแอดมินเพจมองพม่า (LOOK Myanmar) มาให้อ่านกัน...

Q : เพจนี้มีจุดเริ่มต้นยังไง?
A : เพจนี้เริ่มจากพี่คนหนึ่งที่แกมาทำงานในพม่ายุคแรก ๆ สมัยที่เทคโนโลยียังไม่เอื้ออำนวยมากนัก แกบอกว่าในสมัยที่แกมาอยู่ 3G ในพม่าช้ากว่า Edge ในไทยเสียอีก จากนั้นพี่เขาจึงเปิดเพจมาเพื่อบันทึกเรื่องราวสิ่งที่พี่เขาไปพบเจอตลอดการที่ทำงานที่พม่า

Q : แล้วทีมงานที่ทำอยู่ปัจจุบันมาจากไหน?
A : หลังจากพี่เขาปิดเพจไปหลังจากรัฐประหาร ทางทีมงานเราที่เป็นคนทำงานอยู่ที่นี่หลายคนและกระจายอยู่ในหลายเมืองก็ได้คุยกันเรื่องนี้ จากที่เคยเป็นแฟนเพจของพี่เขา เราเลยขอมาทำเพจแทนพี่เขาเสียเลย

Q : ทำไมอยู่ดี ๆ เพจนี้กลายเป็นเพจการเมือง?
A : ความจริงเราไม่ได้ต้องการให้มันเป็นเพจการเมืองนะ เพียงแต่ทีมงานเราอยู่กันมาก่อนเกิดรัฐประหารมาหลายปี พอมาเกิดรัฐประหาร เราก็อยู่ในเหตุการณ์ หลังรัฐประหารมันก็มีข่าวเรื่องการเมืองพม่าส่วนมาก แต่ในความจริง เรายังคงเหมือนเดิมคือ นำเรื่องราวในพม่ามาสู่สายตาคนไทย

Q : แล้วที่ใคร ๆ บอกว่าเพจนี้เป็น 'ไอโอพม่า' ในฝั่งแอดมินมีความเห็นว่าไง?
A : ฮาๆๆๆๆๆ (ขำกันใหญ่) ถามว่าถ้าเป็นไอโอจริงป่านนี้พวกเรากลุ่มแอดมินคงมีชีวิตสบายกว่านี้แล้ว แต่เปล่าเลย เราก็ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับคนพม่านี่แหละ ใช้ชีวิตเหมือนเขา เจอความทุกข์เหมือนเขาเช่นกัน

Q : อ้าวแล้วทำไมทำตัวเป็นกระบอกเสียงให้รัฐบาลทหารละ? 
A : ความจริงเราไม่ได้เป็นกระบอกเสียงให้ฝ่ายไหนนะ อย่างเรื่องธรรมกายในพม่าก็เป็นกลุ่มพระวีระธูที่กองทัพสนับสนุน เราก็ด่า!! เพราะมันกัดกินบ่อนทำลายศาสนาเขา ในขณะเดียวกันความฉิบหายในบ้านเมืองนี้จะโทษฝั่งทหารฝ่ายเดียวก็ไม่ใช่ ต้องโทษทุกฝ่ายนั่นแหละ เพราะนี่คือตัวอย่างของบ้านเมืองที่คนในชาติแตกความสามัคคี ทำให้ต่างชาติที่อ้างว่าหวังดีจะเข้ามาชักใยได้ ดังที่เห็นจากสื่อของพม่าทั้งภาษาอังกฤษและพม่า รวมถึงแปลไปยังสื่อต่างประเทศที่เป็นกลุ่มเดียวกันด้วย 

ในขณะที่ฝ่ายต่อต้าน เวลาทำไม่ดีอะไร แทบไม่มีคนนอกรับรู้เลย มีแค่สื่อภาษาพม่าเท่านั้นที่ออกข่าว พอเราเห็นแบบนั้น เราเลยคิดว่า เราคนไทยหวังอย่างเดียวคือ ให้พม่าอยู่รอดได้ ถ้าพม่ามีชีวิตที่ดีขึ้นไม่รบกัน คนหันมาปรองดองทำมาหากินคนก็จะมีเงิน เราจึงให้คนนอกพม่าได้รู้ว่า คนที่ทำพม่าพังไม่ได้มีแค่ฝ่ายทหารฝ่ายเดียว มันทั้งสองฝ่ายนั่นแหละเราก็แค่นำเสนอข่าวอีกฝั่งให้เห็นก็เท่านั้น

Q : แต่มีหลายคนบอกเพจนี้อวยทหารพม่านะ?
A : เราเอาข่าวส่วนใหญ่มาจากเว็บข่าวต่าง ๆ และข้อมูลตามเพจที่ลงไว้ถามว่าคนที่เขากล่าวหาเรานั่น เพราะเขาเสียประโยชน์ใช่ไหมจะดีกว่า

Q : คำถามสุดท้ายแล้ว อะไรที่ทำให้ทีมงานยังยืนหยัดทำเพจทั้งที่คนส่วนใหญ่มองว่า โปรเผด็จการ เป็นไอโอ ไม่รักชาติไทยบ้างก็มี?
A : ถ้าใครตามเพจจริงจะทราบว่าเพจเรารักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์แค่ไหน เราแค่ต้องการให้พม่าดีขึ้น คนพม่ามีความเป็นอยู่ดีขึ้น เพจเราคงทำให้คนพม่ากลับมารักกันไม่ได้ แต่ทำให้คนไทยได้ทราบปัญหาที่แท้จริงของพม่าได้ว่ามันเกิดมาจากทั้งสองฝ่ายไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

"สุดท้ายปัญหาของพม่าก็ต้องให้คนพม่าเป็นคนแก้ เราแค่เป็นคนนอกที่มีหน้าที่บอกคนนอกด้วยกันให้ทราบว่าปัญหาเขา เขาต้องแก้เองและเรียนรู้ถึงปัญหาในบ้านเขาเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาแบบเดียวกันในบ้านของเรา" นี่คือคำกล่าวทิ้งท้ายของแอดมินเพจมองพม่า เพจที่ใคร ๆ เขาก็ว่า คือ ไอโอทหารพม่า

เกิดขึ้นแน่!! Internet of Bodies อนาคตมนุษยชาติที่มิอาจแยกร่างจากอินเทอร์เน็ต โลกสุดล้ำที่กำลังส่งสัญญาณแห่งความเหลื่อมล้ำระหว่าง 'คนรวย-คนจน' ชัดขึ้น

ต้องยอมรับว่าในปัจจุบัน อินเทอร์เน็ตมีความสำคัญอย่างมากในการเชื่อมต่อสังคมมนุษย์ทั่วโลกเข้าด้วยกัน เป็นสื่อกลางในการรับส่งคลังข้อมูล ข่าวสารที่ทรงพลัง และส่งเสริมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของมนุษย์ แต่นั่นยังไม่สุดขีดความพัฒนาของโลกอินเทอร์เน็ต เพราะอีกไม่นาน นอกจากเราจะขาดอินเทอร์เน็ตในชีวิตไม่ได้แล้ว เราอาจแยกตัวออกจากมันไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

ก่อนหน้านี้ เราคงเคยได้ยินคำว่า 'Internet of Things' หรือ อินเทอร์เน็ตในทุกสิ่งรอบตัวเรา แต่ทว่าในปี 2016 ได้เกิดนิยามศัพท์ใหม่ของโลกยุคอินเทอร์เน็ตขึ้น

โดย ด็อกเตอร์ แอนเดรีย แมทไวชิน นักวิชาการด้านกฎหมาย นโยบายเทคโนโลยี และ คอมพิวเตอร์ จาก The Pennsylvania State University ได้ให้คำนิยามของโลกอินเทอร์เน็ตในอนาคต ว่ากำลังพัฒนาสู่ระดับ 'Internet of Bodies' หรือ IoB โดยได้อธิบายว่า มันคือเครือข่ายของร่างกายมนุษย์ที่บูรณาการ หรือมีฟังก์ชันการทำงานอย่างน้อย 1 ส่วนที่เชื่อมโยงกับอินเทอร์เน็ต และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง อาทิ ปัญญาประดิษฐ์

ซึ่งนั่นหมายความว่า อีกไม่นาน อินเทอร์เน็ต จะไม่ใช่เพียงแค่อุปกรณ์เสริมสำหรับใช้งานภายนอกเท่านั้น แต่ในไม่ช้า จะมีอุปกรณ์ที่สามารถผสานเข้ากับการทำงานของร่างกายคนเราได้อย่างสมบูรณ์ และเชื่อมต่ออุปกรณ์ภายนอกได้แบบเรียลไทม์ โดยไม่จำเป็นต้องใช้นิ้วสัมผัสอีกต่อไป

คลื่นลูกใหม่ของ Internet of Bodies ในปัจจุบันถูกแบ่งออกเป็น 3 ยุค ได้แก่...

ยุคที่ 1 - อุปกรณ์ที่ยังใช้ได้เพียงภายนอกร่างกาย อาทิ Apple Watch ที่สามารถตรวจสอบการเต้นของหัวใจ จำนวนก้าว หรือการเผาผลาญแคลอรีของผู้สวมใส่ได้

ยุคที่ 2 - อุปกรณ์ที่ใช้ภายในร่างกาย อาทิ ประสาทหูเทียม เครื่องกระตุ้นหัวใจไฟฟ้า หรือ ยาดิจิทัล ที่ทำหน้าติดตาม หรือควบคุมการทำงานของร่างกายเราจากภายในและส่งข้อมูลออกมายังภายนอกได้

ยุคที่ 3 - อุปกรณ์ที่ฝังตัวเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายมนุษย์ ที่สามารถเชื่อมโยง และควบคุมอุปกรณ์ภายนอกได้แบบเรียลไทม์ 

และหนึ่งในบริษัทผู้พัฒนาเทคโนโลยีในยุคที่ 3 ที่โดดเด่นที่สุดคือ Neuralink ของ อีลอน มัสก์ ที่กำลังพัฒนาชิปรุ่นพิเศษขนาดเท่าเหรียญเงิน ให้สามารถฝังไว้ใต้กะโหลกศีรษะเพื่ออ่านสัญญาณสมอง จากนั้นก็จะเชื่อมต่อสัญญาณสมอง เข้ากับการทำงานของคอมพิวเตอร์หรือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ภายนอก ที่เรียกว่า 'The Link'

โดย Neuralink ได้ทำการทดสอบกับมนุษย์รายแรก ซึ่งเป็นผู้พิการอัมพาตตั้งแต่ไหล่ลงไป โดยได้ทดลองใช้อุปกรณ์นี้เล่นหมากรุกบนแล็ปท็อปของเขา แม้ว่าการทดลองครั้งนั้น ยังไม่ถือว่าประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เนื่องจาก Neuralink พบการทำงานผิดปกติบางอย่างหลังจากการทดสอบขั้นนี้ไปเพียงไม่กี่สัปดาห์ แต่นี่เป็นเพียงก้าวแรกของคลื่นลูกใหม่ในยุค Internet of Bodies ที่ยังต้องพัฒนากันต่อไป 

ด้านผู้ที่สนับสนุนเทคโนโลยี IoB กล่าวว่า ประโยชน์ที่ได้จากการผสานเทคโนโลยียุคใหม่เข้ากับร่างกายมนุษย์นั้นชัดเจนมาก ที่ทำให้เราปรับปรุงการรับรู้ของสมอง และการทำงานของร่างกายเราได้ดียิ่งขึ้น ที่จะช่วยประหยัดต้นทุนในการดูแลสุขภาพ ส่งเสริมการทำงานของผู้คน และ องค์กร

แต่สำหรับผู้ที่เห็นต่าง และกังขาการมาถึงของ Internet of Bodies มองว่า อันตรายจากการฝังอุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์แปลกปลอมเข้าสู่ร่างกายนั้นเป็นเรื่องหนึ่งที่ยังต้องใส่ใจ แต่ยังมีอีกประเด็นที่สำคัญไม่แพ้กันคือ ความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล ตราบใดที่อุปกรณ์เหล่านี้เชื่อมต่อกับโลกภายนอกได้ สามารถติดตาม สอดแนมหรือ ส่งต่อข้อมูลไปยังบุคคลที่ 3 ได้ แล้วเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าจะไม่เกิดปัญหาการแฮ็กข้อมูลจากอัตลักษณ์ และร่างกายของแต่ละคนในภายหลัง 

นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องความเท่าเทียมของผู้คนในสังคม หากกลุ่มคนร่ำรวยมีโอกาสเข้าถึงเทคโนโลยีในโลกยุคใหม่ได้มากกว่า ซึ่งยุค Internet of Bodies สามารถสร้างความแตกต่าง และความได้เปรียบในศักยภาพร่างกายของมนุษย์ได้ และจะยิ่งทำให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำระหว่างคนร่ำรวย และ คนยากจน ขยายตัวอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น

ซึ่งประเด็นที่ยังถกเถียงอยู่นี้ คงไม่อาจหยุดยั้งการพัฒนาในโลกยุคอินเทอร์เน็ตในร่างกายของคนเราได้ ในปัจจุบันธุรกิจอุปกรณ์เทคโนโลยีทางการแพทย์ในยุคเริ่มต้นของ IoB สร้างมูลค่าได้ถึง 6.6 หมื่นล้านเหรียญในปี 2024 และคาดว่าธุรกิจนี้จะโตได้ถึง 1.32 แสนล้านเหรียญภายในอีก 5 ปีข้างหน้า คิดเป็นอัตราการเติบโตที่สูงเกือบ 15% ต่อปีเลยทีเดียว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top