Monday, 7 July 2025
NEWS FEED

'ประธานกกอ.' แจงเคส 'หมอเกศ' กฎหมายทำอะไรได้ลำบาก แต่หากขาดความน่าเชื่อถือ ต้องจี้ตรวจสอบ ก.พ.รับรองวุฒิ

(12 ก.ค. 67) จากกรณี พญ.เกศกมล เปลี่ยนสมัย สว.จากกลุ่มผู้ประกอบวิชาชีพผู้ประกอบอาชีพอิสระ ซึ่งที่ได้คะแนนสูงสุดในการเลือกระดับประเทศ เดินทางมารายงานตัว พร้อมชี้แจงกรณีวุฒิการศึกษาของตนเอง โดยยืนยันว่า วุฒิการศึกษาที่ได้มาทั้งหมดเป็นของจริง จบจริง ไม่มีการซื้อปริญญา มหาวิทยาลัยที่จบก็ไม่ใช่มหาวิทยาลัยห้องแถว

ก่อนหน้านี้ไม่ออกมาชี้แจงเพราะเกรงว่าจะผิดต่อระเบียบของ กกต. ซึ่งจริง ๆ โดนตรวจสอบวุฒิการศึกษาตั้งแต่ระดับอำเภอแล้ว และได้ชี้แจงเป็นเอกสารทั้งหมด ปริญญาที่ได้จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียยูนิเวอร์ซิตี้ และใบรับรองที่ได้จากกระทรวงศึกษาธิการ ของสหรัฐอเมริกา และตัวแคลิฟอร์เนียยูนิเวอร์ซิตี้ ก็เป็นมหาวิทยาลัยจริง ๆ ไม่ใช่ห้องแถว ไม่มีการซื้อปริญญานั้น

ล่าสุด วันที่ 12 ก.ค.67 นายประดิษฐ์ วรรณรัตน์ ประธานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) กล่าวว่า การจบปริญญาจากต่างประเทศแล้วใช้คำว่า ดร.นำหน้า ไม่ถือว่าเป็นตำแหน่งที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการ ดังนั้น ใครได้ ดร.มาจากไหนแล้วจะใช้เป็นคำนำหน้าก็ถือเป็นเรื่องส่วนบุคคล ขณะที่ตำแหน่งทางวิชาการ ทั้งผู้ช่วยศาสตราจารย์ (ผศ.) รองศาสตราจารย์ (รศ.) และศาสตราจารย์ (ศ.) ต้องผ่านการพิจารณาจากสภามหาวิทยาลัย โดยเฉพาะตำแหน่ง ศ. เป็นตำแหน่งที่ต้องได้รับการโปรดเกล้าฯ

ประธาน กกอ.กล่าวต่อว่า กรณีกลุ่มที่จบปริญญาโท-เอก จะเข้ามาทำงานในประเทศไทย จะต้องได้รับการรับรองวุฒิจากสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ซึ่งทาง ก.พ.จะมีรายชื่อมหาวิทยาลัยในต่างประเทศที่ ก.พ.รับรองวุฒิฯ อยู่แล้ว หากไม่ได้รับรองก็ไม่สามารถทำงานในหน่วยงานราชการได้ แต่ยังสามารถไปทำงานในบริษัทเอกชนได้ ไม่มีปัญหา

ส่วนตำแหน่งทางวิชาการที่ได้รับการรับรองจากต่างประเทศนั้น หากจะนำมาใช้เพื่ออ้างอิงการทำงานในหน่วยงานราชการของไทย ต้องผ่านการเทียบจากกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ถ้า อว.รับรองตำแหน่งทางวิชาการก็สามารถนำไปใช้อ้างอิงเพื่อเข้าทำงานในหน่วยงานราชการได้

“แต่ถ้า อว.ไม่รับรองก็ไม่ถือว่าผิดกฎหมาย กรณีนี้ไม่เหมือนกับกลุ่มแพทย์ที่ต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ไม่สามารถแอบอ้างได้ แต่ตำแหน่งทางวิชาการไม่ถึงขั้นนั้น เพียงแต่ไม่สามารถใช้ในการเข้าทำงานในหน่วยงานราชการได้ ไม่ถือว่าผิดกฎหมาย ซึ่งกรณีของหมอเกศ ทางกฎหมายคงเข้าไปดำเนินการอะไรได้ลำบาก แต่ถ้ามีการตรวจสอบในเชิงลึก ตัวผู้ถูกร้องเรียนเองขาดความน่าเชื่อถือ” นายประดิษฐ์กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีใช้ตำแหน่ง ศ.หรือ ดร. ในการดำรงตำแหน่ง สว. จะถือว่าผิดกฎหมายหรือไม่ นายประดิษฐ์กล่าวว่า ตรงนี้ต้องไปดูข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง กรณีวุฒิการศึกษาของ สว. หากมีการร้องเรียนไปที่ อว.ก็ต้องดำเนินการตรวจสอบ ซึ่งก็ต้องไปดูว่า มหาวิทยาลัยที่ผู้ถูกกล่าวหาจบออกมาได้รับการรับรองวุฒิฯ จาก ก.พ.หรือไม่ ส่วน กกอ.จะเข้าไปดำเนินการอะไรได้หรือไม่นั้น ในการประชุม กกอ.นัดแรก วันที่ 18 กรกฎาคมนี้ ตนจะหารือที่ประชุมเพื่อดูว่าบทบาทของ กกอ.ที่มีอยู่สามารถดำเนินการอะไรในเรื่องนี้ได้บ้าง

เชียงใหม่-ขนส่งเชียงใหม่ เชิญชวนประมูลป้ายทะเบียนรถเลขสวย (รถเก๋ง) หมวดอักษร งบ รายได้นำเข้ากองทุน กปถ.

เมื่อวันศุกร์ที่ 12 กรกฏาคม 2567 เวลา 14.00 น. ที่ สำนักงานขนส่งแห่งที่ 2 (แม่เหียะ) สํานักงานขนส่งจังหวัดเชียงใหม่ แถลงข่าวการจัดประมูลป้ายเลขสวย รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกินเจ็ดคน (รถเก๋ง) หมวดอักษร งบ ประมูลทางวาจาและทางอินเทอร์เน็ต วันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม 2567 ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติเอ็มเพรส โรงแรมดิเอ็มเพรส จังหวัดเชียงใหม่ ตั้งแต่เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป

นายมานพ พุทธวงค์ ขนส่งจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า สํานักงานขนส่งจังหวัดเชียงใหม่ กําหนดจัดการประมูลหมายเลขทะเบียนรถสวย (รถเก๋ง) ครั้งที่ 34 หมวดอักษร งบ “เงินมั่งคั่ง งานมั่งคง บริหารธุรกิจรุ่งเรือง” จํานวน 301 หมายเลข ประมูลทางวาจา (เคาะไม้) และทางอินเทอร์เน็ต ที่เว็บไซต์ www.tabienrod.com โดยสามารถลงทะเบียน เลือกเลข และราคาที่พอใจตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป โดยจะปิดการประมูล ในวันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม 2567 ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติเอ็มเพรส โรงแรมดิเอ็มเพรส จังหวัดเชียงใหม่ ตั้งแต่เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป

การประมูลหมายเลขทะเบียนรถเก๋ง (เลขสวย) ในครั้งนี้ ในส่วนของรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน (รถเก๋ง) แผ่นป้ายที่จะนําออกประมูลเป็นแผ่นป้ายภาพกราฟฟิคที่มีสีสันสวยงาม มีเอกลักษณ์และความหมายบ่งบอก ความเป็นจังหวัดเชียงใหม่ ตามคําขวัญจังหวัดเชียงใหม่ “ดอยสุเทพเป็นศรี ประเพณีเป็นสง่า บุปผชาติล้วนงามตา นามล้ำค่านครพิงค์” ซึ่งจะสื่อความหมายของจังหวัดเชียงใหม่ที่เป็นจังหวัดที่มีความเจริญรุ่งเรือง สงบ ร่มเย็น ประชาชนมีความสุขโดยถ้วนหน้า อันจะส่งผลให้ผู้ที่ครอบครองป้ายดังกล่าวจะมีแต่ความเจริญ เป็นสิริมงคล รถที่ใช้อยู่จะนําพาให้มีทรัพย์เพิ่มพูนทวียิ่งๆขึ้นไป

กรมการขนส่งทางบกได้นําหมายเลขทะเบียนรถซึ่งเป็นที่ต้องการหรือเป็นที่นิยมของประชาชน สําหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน ออกประมูลเป็นการทั่วไปเพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนมีสิทธิ เข้าร่วมการประมูลอย่างเสมอภาค เท่าเทียมกัน ด้วยความโปร่งใส และเป็นธรรม โดยรายได้ทั้งหมดนําเข้า กองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน (กปถ.) เพื่อนําไปสนับสนุนโครงการที่สร้างความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน เช่น โครงการรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลต่าง ๆ โครงการนักเรียนรุ่นใหม่มีใบขับขี่ โครงการจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการเดินรถระบบ GPS ศูนย์ควบคุมสถานตรวจสภาพรถเอกชน และจัดสรรเงิน เป็นค่าอุปกรณ์ช่วยเหลือผู้พิการอันเนื่องมาจากการประสบภัยที่เกิดจากการใช้รถใช้ถนน เป็นต้น

สํานักงานขนส่งจังหวัดเชียงใหม่ จึงขอเชิญชวนพี่น้องชาวจังหวัดเชียงใหม่ทุกท่าน และพี่น้อง ประชาชนทั่วประเทศ ไม่ว่าจะอาศัยอยู่ในจังหวัดใด สนใจป้ายที่มีความหมายสื่อถึงความเป็นคนเชียงใหม่ สามารถเข้าร่วมการประมูลหมายเลขทะเบียนรถเลขสวย และร่วมทําบุญสร้างกุศลโดยการร่วมประมูล หมายเลขทะเบียนรถเลขสวยและแผ่นป้ายทะเบียนรถหมวดอักษรงบ“เงินมั่งคั่งงานมั่งคง บริหารธุรกิจรุ่งเรือง” ครั้งนี้ ได้ทําพิธีเสริมสิริมงคลแผ่นป้ายทะเบียนรถ

โดยพระธรรมเสนาบดี รองเจ้าคณะภาค 7 เจ้าอาวาส วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรมหาวิหาร ประกอบพิธีอธิษฐานจิต ประพรมน้ําพระพุทธมนต์ และเจิมแผ่นป้าย ณ วัดพระธาตุดอยสุเทพราชมหาวิหาร เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ผู้ครอบครอง ผู้เป็นเจ้าของหมายเลข ทะเบียนรถเลขสวยให้มีความสุขความเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน มีทรัพย์สินเงินทองเพิ่มทวีคูณยิ่งๆขึ้นไป สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายทะเบียนรถ 061 268 2266, 061 270 5454 และที่หมายเลข 1584
 

ครอบครัว ‘สาวไทย’ บริจาคอวัยวะต่อชีวิตผู้ป่วยในเกาหลีใต้ 5 ราย หลังเสียชีวิตด้วยภาวะสมองตาย ระหว่างท่องเที่ยวในแดนกิมจิ

(12 ก.ค. 67) องค์กรรับบริจาคอวัยวะของเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า ปุริมา รุ่งทองคำกุล (Purima Rungthongkumkul) อายุ 35 ปี เสียชีวิตเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม ที่โรงพยาบาล Inje University Haeundae Paik หลังจากเธอได้ทำการบริจาคอวัยวะให้แก่คนไข้คนอื่น ๆ 5 ราย

โคเรียไทม์สระบุว่า ปุริมา ซึ่งพำนักอยู่ในกรุงเทพฯ เดินทางมาเที่ยวเกาหลีกับเพื่อนคนหนึ่ง ระหว่างนั้นเธอเกิดหมดสติเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน และถูกรุดพาตัวส่งโรงพยาบาล

แม้ได้รับการรักษา แต่เธอก็ไม่ฟื้นคืนสติอีกเลย และถูกระบุว่าอยู่ในภาวะสมองตาย ทางครอบครัวรุดเดินทางมายังเกาหลีใต้หลังจากได้ทราบข่าว

ทางครอบครัวตกลงบริจาคอวัยวะของเธอ หวังว่าบางส่วนของ ปุริมา จะยังคงมีชีวิตต่อไปในร่างกายของคนอื่น

ครอบครัวระบุว่า "สำหรับเรานี่อาจเป็นความปรารถนาสุดท้ายของเธอ ในวัฒนธรรมไทย มีความเชื่อว่าเมื่อบุคคลรายหนึ่งเสียชีวิต พวกเขาจะกลับมาเกิดในชีวิตใหม่ เราคิดว่าการช่วยรักษาชีวิตผู้คนในช่วงเวลาของการจากลา เป็นการกระทำแห่งความเอื้ออารีที่ยิ่งใหญ่ที่สุด"

รายงานข่าวระบุว่า ปุริมา บริจาคหัวใจ ปอด ตับและไตทั้ง 2 ข้าง พร้อมให้ข้อมูลว่าเธอเป็นที่รู้จักในฐานะที่เป็นบุคคลที่มีความร่าเริงและมีความสามารถในการสร้างขวัญกำลังใจแก่บุคคลที่อยู่รอบ ๆ ตัว

โคเรียไทม์สรายงานว่า ปุริมา ทำงานที่ร้านเสริมสวยแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ มีความฝันอยากก้าวมาเป็นช่างออกแบบทรงผมระดับโลก เธอชื่นชอบการท่องเที่ยวด้วยรถจักรยานยนต์ และใช้เวลาส่วนใหญ่ดูแลแมวและอยู่กับครอบครัว อ้างข้อมูลจากองค์กรรับบริจาค

คุณแม่ของผู้เสียชีวิตกล่าวด้วยว่า "ลูกคือสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของพวกเรา ตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องพักผ่อนแล้ว ดังนั้น อย่ากังวลเรื่องอื่นใดอีก และพักผ่อนอย่างสงบในสวรรค์ เราจะคิดถึงและรักลูกอย่างสุดหัวใจเสมอ"

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง บรรเทาทุกข์ผู้ประสบอัคคีภัยบริเวณชุมชนตรอกโพธิ์ ย่านเยาวราช มอบเงินช่วยเหลือพร้อมเครื่องอุปโภคบริโภค รวมมูลค่า 1.85 ล้านบาท โดยมี นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. เป็นประธานในพิธี ณ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ

ตามที่ได้เกิดอัคคีภัยบ้านเรือนประชาชนบริเวณชุมชนตรอกโพธิ์ ถนนทรงสวัสดิ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ เมื่อค่ำคืนวันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา เมื่อเกิดเหตุมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดยแผนกบรรเทาสาธารณภัย ฝ่ายปฏิบัติการ จัดกำลังเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครพร้อมอุปกรณ์ลงพื้นที่ปฏิบัติการและให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในทันที หลังจากนั้น แผนกสาธารณภัย ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ ได้จัดทีมลงพื้นที่เพื่อรับลงทะเบียนผู้ประสบภัยต่อเนื่องในทันที

วันนี้ (วันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม 2567 เวลา 11.30 น.) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการ นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ ที่ปรึกษาประธานกรรมการ นายสัก กอแสงเรือง รองประธานกรรมการ นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการ นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ พร้อมด้วยคณะกรรมการมูลนิธิฯ  ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอัคคีภัย โดยมอบเงินสดช่วยเหลือคนละ 3,500 บาท รวมประมาณ 400 คน เป็นเงิน 1,400,000 บาท  พร้อมมอบเครื่องอุปโภคบริโภคอีกจำนวนหนึ่ง มูลค่ากว่า 450,000 บาท รวมบรรเทาความเดือดร้อนทั้งหมด เป็นเงินจำนวน 1,850,000 บาท (หนึ่งล้านแปดแสนห้าหมื่นบาทถ้วน) โดยมี นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยอาสาสมัครศิลปินมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นางสาวอัญชลี จงคดีกิจ (ปุ๊-อัญชลี) นายปิยะวัฒน์ รัตนหรูวิจิตร (หรูหรา) นางสาวพัชร์สิตา อธิอนันตศักดิ์ (เกรซ-พัชร์สิตา) นางสาวอาจารียา พรหมพฤกษ์ (หลิว) ฯลฯ ร่วมให้กำลังใจ รวมทั้ง มูลนิธิฯ/สมาคมจีนต่างๆ ร่วมให้ความช่วยเหลือ และผู้แทนจากหน่วยงานรัฐ ร่วมในพิธี ณ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ

ตลอดระยะเวลากว่า 114 ปี มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลาย ๆ ทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ดังปณิธาน “มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

เปิดผลสอบคุณสมบัติเชิงลึก 3 บริษัทฯ ผู้ซื้อข้าว 10 ปี พบพัวพันนิติบุคคลที่มีคดีค้างเก่า ทำความเสียหายกับ 'อคส.'

(12 ก.ค.67) ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงพาณิชย์ ว่า คณะกรรมการตรวจสอบคุณสมบัติผู้เสนอซื้อข้าวสารในสต๊อกรัฐบาล หรือข้าว 10 ปี ที่จัดตั้งขึ้นโดยองค์การคลังสินค้า (อคส.) ได้ตรวจสอบเอกชนที่ยื่นเสนอราคาซื้อข้าวทั้ง 6 รายแล้ว พบว่า ผู้ที่ให้ราคาสูงสุด 3 ราย คือ บริษัท วีเอท อินเตอร์เทรดดิ้ง จำกัด, บริษัท ธนสรร ไรซ์ จำกัด และบริษัท เอส.เอส.เอ็ม.อาร์.การเกษตร จำกัด ไม่ผ่านคุณสมบัติ

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบเชิงลึก พบว่า ทั้ง 3 ราย มีส่วนเกี่ยวข้องคดีค้างเก่ากับนิติบุคคล ซึ่งเป็นผู้ที่ได้ทำความเสียหายให้แก่ อคส. และถูก อคส. ฟ้องคดีเรียกค่าเสียหายตามสัญญารับฝากเก็บรักษามันเส้น ข้าวสาร และสัญญาจ้างตรวจสอบและรับผิดชอบคุณภาพข้าว ซึ่งเป็นคดีค้างเก่าและยังอยู่ในการพิจารณาของศาลปกครอง แม้บริษัททั้ง 3 ราย จะไม่ใช่เป็นคู่กรณีโดยตรง แต่มีความเชื่อมโยงทางอ้อมและเกี่ยวพันกัน จึงเห็นว่าไม่สมควรที่จะเดินหน้าเจรจาต่อรอง และควรตัดสิทธิ์การยื่นซองประมูลซื้อข้าวสารในครั้งนี้

สำหรับขั้นตอนต่อไป จะพิจารณาว่าเมื่อทั้ง 3 ราย ถูกตัดสิทธิ์ไปแล้ว จะต้องคืนหลักประกันให้แต่ละรายหรือไม่ และความผิดมีหรือไม่ เพราะตามกรอบและหน้าที่ของ อคส. เมื่อตรวจสอบแล้ว คุณสมบัติไม่ผ่าน แม้จะเป็นผู้เสนอราคาข้าวสารสูง ก็ต้องคืนหลักประกันให้ ส่วนความผิดที่เกี่ยวข้องเป็นเรื่องที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเป็นผู้ดำเนินการต่อไป

ส่วนอีก 3 รายที่เหลือ และมีคุณสมบัติครบถ้วน อคส. จะดำเนินการต่อรองให้ได้ราคาที่ดีที่สุด เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติมากที่สุด คือ บริษัท สหธัญ จำกัด จังหวัดนครปฐม, บริษัท บีเอ็นเค การเกษตร 2024 จำกัด จังหวัดนครสวรรค์ และบริษัท ทรัพย์แสงทอง ไรซ์ จำกัด จังหวัดสุพรรณบุรี ที่เสนอราคาซื้อข้าวตั้งแต่ 12 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) ขึ้นไป โดยการต่อรองราคาได้ตั้งเป้าที่จะให้ได้ราคาสูงกว่าที่ 3 รายที่ถูกตัดสิทธิ์เสนอมา แต่จะได้เพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหนอยู่ที่คณะกรรมการจะเจรจาต่อรอง

สำหรับทั้ง 3 บริษัทที่ผ่านคุณสมบัติ ได้เสนอราคา ดังนี้ บริษัท ทรัพย์แสงทองไรซ์ จำกัด เสนอราคาซื้อข้าวคลังพูนผลเทรดดิ้ง เฉลี่ย 12.208.81 บาท/กก. คลังสินค้ากิตติชัย เฉลี่ย 15.617.35 บาท/กก. , บริษัท สหธัญ จำกัด เสนอราคาซื้อข้าวคลังพูนผลเทรดดิ้งคลังเดียว เฉลี่ย 18.690 บาท/กก. และ บริษัท บี เอ็น เค การเกษตร 2024 จำกัด เสนอราคาซื้อข้าวคลังพูนผลเทรดดิ้ง เฉลี่ย 16 บาท/กก. คลังสินค้ากิตติชัย เฉลี่ย 16 บาท/กก.

รรท.รอง ผบ.ตร. เร่งรัดขับเคลื่อนงานความมั่นคงในพื้นที่ภาคเหนือ มุ่งแก้ไขความเดือดร้อน สร้างความสงบสุขอย่างยั่งยืนแก่ประเทศชาติและประชาชน

วันนี้ (12 กรกฎาคม 2567) พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร.) ได้เดินทางลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ เพื่อเร่งรัดขับเคลื่อนงานความมั่นคงในพื้นที่ภาคเหนือ ตามนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งให้ความสำคัญในการรักษาความมั่นคง ความสงบเรียบร้อย และแก้ไขปัญหาภัยคุกคามด้านความมั่นคงในทุกรูปแบบ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมและกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้บรรลุผลสำเร็จ เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชนอย่างสูงสุดนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ได้นำนโยบายมาสู่การปฏิบัติ โดยได้มอบหมาย พล.ต.ท.ประจวบฯ ขับเคลื่อนงานความมั่นคงในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ให้บรรลุผลสำเร็จเป็นรูปธรรมโดยเร็ว

พล.ต.ท.ประจวบฯ ได้ร่วมพิธีเปิดโครงการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 โดยมี นายชัชวาลย์ ปัญญา รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธาน โดย พล.ต.ท.ประจวบฯ ได้บรรยายพิเศษ หัวข้อ “นโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และความร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” และพบปะสมาชิกสันนิบาตเทศบาลจังหวัดเชียงใหม่ และผู้นำท้องถิ่นภาคเหนือ กว่า 1,200 คน ณ โรงแรมเชียงใหม่ภูคำ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ เพื่อร่วมแสวงหาแนวทางและใช้กลไกความร่วมมือเครือข่ายผู้นำท้องถิ่นและประชาชน ร่วมป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ปัญหาความมั่นคง ชุมชนต้องเข้มแข็งและยั่งยืน            

จากนั้น พล.ต.ท.ประจวบฯ ได้ตรวจเยี่ยมบำรุงขวัญ ส.ต.อ.ชินวุฒิ มันทนา ผบ.หมู่ กก.ตชด.33 ซึ่งได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ ถูกยิงบริเวณช่องท้องและต้นขา จำนวน 2 นัด ขณะเข้าจับกุมคดียาเสพติด บริเวณบ้านห้วยตุ๊บ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา และพักรักษาตัว ณ โรงพยาบาลนครพิงค์ จ.เชียงใหม่ พร้อมมอบสิ่งของและเงินบำรุงขวัญ ตลอดจนกำชับให้หน่วยงานต้นสังกัดเร่งรัดสิทธิประโยชน์ให้ได้รับครบถ้วนโดยเร็ว

นอกจากนี้ พล.ต.ท.ประจวบฯ พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกอบด้วย ผู้แทนกองทัพภาคที่ 3, สำนักงาน ป.ป.ส.ภาค 5, สำนักงานศุลกากรภาคที่ 3, จังหวัดเชียงใหม่, ตำรวจภูธรภาค 5, ตำรวจภูธรภาค 6, กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 3, กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 5, กองบังคับการตำรวจทางหลวง และกองบังคับการตำรวจน้ำ ได้ร่วมประชุมติดตามสถานการณ์และแก้ไขปัญหาความมั่นคงในพื้นที่ภาคเหนือ ณ กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 3 โดยได้กำชับการป้องกันและปราบปรามการค้ายาเสพติดในพื้นที่ภาคเหนือ สกัดกั้นขบวนการลักลอบขนยาเสพติดเข้ามาพื้นที่ชั้นใน ตลอดจนการสกัดกั้นทางน้ำ ในส่วนพื้นที่ชั้นใน ต้องบูรณาการกับฝ่ายปกครอง และสำนักงาน ป.ป.ส.ภาค 5 ในการจับกุมผู้ค้า ขยายผลจับกุมทั้งขบวนการ และใช้มาตรการยึดทรัพย์ โดยชุมชนต้องร่วมมือกันทำให้ชุมชนเข้มแข็งปลอดยาเสพติด และมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา

พล.ต.ท.ประจวบฯ ยังได้กำชับการแก้ไขปัญหาการลักลอบหลบหนีเข้าเมือง ต้องปราบปรามขบวนการรับตัวจากชายแดน ซุกซ่อนมากับรถเข้ามาในพื้นที่ชั้นใน ทั้งเส้นทางหลักและเส้นทางรอง มีรถนำคล้ายกับขบวนการขนยาเสพติด ซึ่งจากสถานการณ์ภายในประเทศเมียนมา ทำให้มีการหลบหนีเข้ามาหางานทำในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก เกิดปัญหาด้านความมั่นคง อาชญากรรมต่าง ๆ จึงต้องเร่งจัดระเบียบแรงงานต่างด้าวโดยเร็ว พร้อมทั้งเร่งรัดปราบปรามองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติทุกรูปแบบ กลุ่มผู้มีอิทธิพล กลุ่มทุนสีเทา ซึ่งมักใช้พื้นที่ตามแนวชายแดนประเทศไทยเข้า - ออก ไปประเทศเพื่อนบ้านทางช่องทางธรรมชาติ เพื่อกระทำผิดกฎหมาย เช่น แก๊งคอลเซ็นเตอร์ การค้ามนุษย์ เป็นต้น ต้องพิจารณารื้อถอนเสาสัญญานอินเตอร์เน็ต ตรวจค้นแหล่งพักพิงสำหรับใช้เป็นที่กระทำผิด การจับกุม ขยายผล และดำเนินการตาม พ.ร.บ.ฟอกเงิน ในมาตรการยึดทรัพย์ พร้อมทั้งกวดขันการลักลอบขนสินค้าหนีภาษี และของเถื่อนต่างๆ อีกทั้งได้เน้นย้ำไม่ให้เจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับผลประโยชน์โดยเด็ดขาด

อีกทั้งยังได้แถลงผลการจับกุมรายสำคัญในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 5 ได้แก่ สภ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ จับกุมยาบ้า 1 ล้านเม็ด ขยายผลจับกุมเครือข่าย 7 ราย ตรวจยึดทรัพย์สินกว่า 10 ล้านบาท , กองร้อย ตชด.327 ตรวจยึดยาบ้า 3 ล้านเม็ด , บก.สส.ภ.5 จับกุมผู้ต้องหาลักลอบตั้งโรงงานผลิตอาวุธปืน กลางเมืองพะเยา เปิดร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าบังหน้า ตรวจยึดอุปกรณ์การผลิตและส่วนประกอบอาวุธปืนกว่า  269 ชิ้น เงินหมุนเวียนกว่าล้านบาท และจับกุมผู้ต้องหา 4 ราย ติดตั้งเครื่อง Simbox ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 12 เครื่อง ซึ่งสามารถโทรศัพท์หลอกลวงเหยื่อได้วันละไม่ต่ำกว่า 100,000 ราย

ทั้งนี้ พล.ต.ท.ประจวบฯ ขอบคุณหน่วยร่วมบูรณาการทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยตำรวจทุกหน่วย กองกำลังชายแดน ฝ่ายทหาร ฝ่ายปกครอง ท้องถิ่นและภาคประชาชน และหน่วยสนับสนุนที่เกี่ยวข้อง ที่ร่วมบูรณาการทำงานด้านความมั่นคงในทุกมิติ โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการปฏิบัติจะบรรลุผลสำเร็จ เพื่อให้ประเทศชาติและประชาชนมีความปลอดภัย สังคมมีความสงบเรียบร้อย มีสันติภาพและความมั่นคงอย่างยั่งยืน

‘สมุทรสาคร’ เปิดปฏิบัติการเกลือจิ้มเกลือ กำจัด!! ‘ปลาหมอคางดำ’ พร้อมปล่อย ‘ปลากะพงขาว’ ไซส์ใหญ่หลายหมื่นตัวไล่ล่า 18 ก.ค.นี้

(12 ก.ค. 67) นายนิรันดร์ พรหมครวญ ประมงอาวุโสจังหวัดสมุทรสาคร เปิดเผยว่า นายเผดิม รอดอินทร์ ประมงจังหวัดสมุทรสาคร มีแผนที่จะดำเนินการในวันที่ 18 ก.ค.นี้ ถือเป็นวันดีเดย์ใช้แผนเกลือจิ้มเกลือ ในการปล่อย ‘ปลากะพงขาว’ ไซส์ใหญ่ ไล่ล่า ‘ปลาหมอคางดำ’

ทั้งนี้ เบื้องต้นภายในเดือน ก.ค.67 จะปล่อยปลากะพงขาว ทั้งหมดถึง 90,000 ตัว ที่คลองธรรมชาติ เริ่มในวันที่ 18 ก.ค.67 เวลา 11.00 น. โดยนายผล ดำธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร จะมาเป็นประธานในการปล่อยปลากะพงขาวที่แม่น้ำท่าจีน หน้าวัดกำพร้า ต.บางหญ้าแพรก อ.เมือง จังหวัดสมุทรสาคร จำนวน 30,000 ตัว และต่อด้วยวันที่ 23 ก.ค.67 เวลา 09.30 น. ปล่อยปลากะพงขาวที่บริเวณคลองท่าแร้ง วัดยกกระบัตร อ.บ้านแพ้ว 20,000 ตัว, วันที่ 24 ก.ค.67 เวลา 09.30 น. ที่คลองดำเนินสะดวก หน้า อ.บ้านแพ้ว ปล่อยปลากะพงขาว 20,000 ตัว, วันที่ 26 ก.ค.67 เวลา 09.00 น. ปล่อยปลากะพงขาวที่คลองพิทยาลงกรณ์ อบต.พันท้ายนรสิงห์ ติดกับพื้นที่เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร อีก 20,000 ตัว รวมปลานักล่าทั้งหมด 90,000 ตัว เพื่อทวงคืนระบบนิเวศให้กลับมาดีเหมือนเดิม

‘นายกฯ เศรษฐา’ นำยึด 'โทลูอีน' ล็อตใหญ่ 90 ตัน สารตั้งต้นผลิตไอซ์-โคเคน ก่อนถึงปลายทางเมียนมา

(12 ก.ค. 67) ที่สำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง โดยเฮลิคอปเตอร์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก่อนนั่งรถโตโยต้า อัลพาร์ด สีดำ ทะเบียน 8 กผ 1127 เพื่อเป็นประธานการแถลงผลการสืบสวน และตรวจยึดสารโทลูอีน (Toluene) เคมีภัณฑ์ที่เป็นวัตถุอันตรายประเภท 3 ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) วัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 จำนวน 90 ตัน 

โดยมี พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการแถลง

โดย นายกฯ ได้รับฟังรายงานการสืบสวนจับกุม พร้อมดูวิธีการทดสอบเบื้องต้นการตรวจสารเคมีว่าเป็นสารโทลูอีน ที่ใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิตยาเสพติดจาก 6 ตู้คอนเทนเนอร์ น้ำหนัก 90 ตัน ซึ่งสารโทลูอีนปริมาณ 90 ตัน หากใช้เป็นสารเคมีจำเป็นในขั้นตอนการผลิตยาเสพติดจะผลิตยาไอซ์ได้ 4,500 กิโลกรัม ยาบ้า 270 ล้านเม็ด และโคเคน 4,500 กิโลกรัม

นายเศรษฐา กล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายชัดเจนเรื่องของการป้องกันปราบปรามยาเสพติดขั้นเด็ดขาด เป็นเรื่องที่รัฐบาลให้ความสนใจมาก และครั้งนี้ถือว่าเป็นการปฏิบัติการอีกครั้งหนึ่งที่ต้องชื่นชมกรมศุลกากร กรมอุตสาหกรรมโรงงาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงาน ป.ป.ส. ที่ร่วมมือร่วมใจกันตรวจค้นจนได้สารตั้งต้นของการผลิตยาบ้า ยาไอซ์ และโคเคน โดยที่ผู้นำเข้ามาไม่เคยนำเข้าสารชนิดนี้มาก่อน ซึ่งต้นทางมาจากเกาหลี ปลายทางที่เมียนมา

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีการขยายผลเรื่องนี้อย่างเต็มที่ ได้มีการออกหมายเรียกตัวบริษัทที่นำเข้ามา ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะถือว่าเป็นสารตั้งต้นของการผลิตยาเสพติดอีกหลายชนิด ซึ่งจำนวนที่จับกุมได้ครั้งนี้ 90 ตัน ถึงแม้มูลค่าไม่กี่ล้านบาท แต่ถ้าสารนี้หลุดไปถึงแหล่งผลิตโคเคนได้ก็จะเป็นน้ำหนักหลาย 1,000 กิโลกรัม มูลค่าเป็นหมื่น ๆ ล้านบาท ก็จะกลับมาเป็นวังวนอุบาทว์ให้กับพี่น้องประชาชนชาวไทย และทั่วโลก ดังนั้น การปฏิบัติการครั้งนี้จึงขอชื่นชมว่าเป็นเรื่องที่ดี และสิ่งที่สำคัญมากคือเรื่องของการขยายผล

นายกฯ กล่าวว่า ขณะที่เดินทางมาได้มีการพูดคุยกับ พล.ต ท.สำราญ ที่ดูแลด้านยาเสพติดก็มีเรื่องที่ไม่ดีเกิดขึ้น ที่ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ มีการเข้าไปตรวจค้นผู้ค้ายาซึ่งมีลักษณะอยู่บนเขา จึงมองเห็นเจ้าหน้าที่ก่อนจึงเกิดการปะทะมีเจ้าหน้าที่ถูกทำร้ายจนเสียชีวิต และบาดเจ็บ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่มีการพูดคุยกับตนว่าจะต้องมีการจัดการขั้นเด็ดขาด จึงกำชับให้ดูแลสวัสดิการ สวัสดิภาพ เจ้าหน้าที่ของเราให้เต็มที่ และต้องมีความพร้อมในการใช้กำลังตอบโต้ พร้อมกำชับให้ดูแลเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของฝ่ายปราบปรามซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก วันนี้เรามีการยกระดับการปราบปรามยาเสพติดอย่างไม่มีความย่อท้อ เรายังมีภารกิจอีกมากก็ถือเป็นนิมิตหมายอันดีต้องขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกรายที่เกี่ยวข้อง และขอให้ดูแลสวัสดิภาพของตัวเองให้ดี

สำหรับการแถลงผลการจับกุมครั้งนี้ เนื่องจากมีพลเมืองดีแจ้งเบาะแส ว่าจะมีการนำเข้าสารโทลูอีน จำนวน 90 ตัน โดยไม่ได้รับอนุญาต และจะนำส่งต่อไปยังปลายทางนครย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา ซึ่งอาจจะนำไปใช้ในทางที่ไม่ถูกกฎหมาย โดยมีต้นทางมาจากเมืองปูซาน เกาหลีใต้ ขึ้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง นำผ่านประเทศไทย และออกที่ศุลกากรแม่สอด จ.ตาก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงเดินทางกลับจากท่าเรือแหลมฉบัง นายกฯ ได้สั่งการให้นักบิน บินวนดูเพื่อดูความคืบหน้าการก่อสร้างท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 โดยนายเศรษฐา ระบุว่า มองลงไปคนน้อยมาก อย่างไรก็ตาม การลงพื้นที่แถลงข่าวจับกุมสารตั้งต้นยาเสพติดครั้งนี้ นายกฯ ใช้เวลาเพียง 30 นาที ก่อนที่จะบินกลับ เนื่องจากมีภารกิจหารือข้อราชการเตรียมการจัดงานฉลองพระราชบัญญัติสมรสเท่าเทียม พ.ศ…. ที่ทำเนียบรัฐบาล ก่อนที่ช่วงเย็นวันนี้ นายกฯ และคณะ จะเดินทางไปลงพื้นที่ตรวจราชการ จ.เชียงราย และ จ.สระแก้ว แล้วจะเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร ในช่วงค่ำวันอาทิตย์ที่ 14 ก.ค. 67

'รัฐ' ปลื้ม!! '30 บาทรักษาทุกที่-ร้านยาชุมชนอบอุ่น' ช่วยคนเจ็บป่วยนับล้าน เข้าถึง 'สิทธิ-บริการ' ได้จริง

(12 ก.ค. 67) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า 'นโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่' บริการที่ 'ร้านยาคุณภาพ' ในการร่วมดูแลประชาชนผู้ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) ภายใต้โครงการ 'ร้านยาดูแลเจ็บป่วยเล็กน้อย 16 กลุ่มอาการ' (common illnesses) ซึ่งเป็นหนึ่งใน 'หน่วยนวัตกรรมบริการสาธารณสุข' ที่ผ่านมาจากที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้ขับเคลื่อนร่วมกับสภาเภสัชกรรมมาอย่างต่อเนื่อง ผลปรากฏว่าได้รับการตอบรับจากประชาชนอย่างมากในพื้นที่ 45 จังหวัดที่เริ่มนโยบายนี้ 

นายคารม กล่าวว่า จากข้อมูลในระบบ AMED ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ที่ใช้เป็นระบบปฏิบัติการในการเบิกจ่าย เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2567 พบว่า ขณะนี้มีร้านยาชุมชนอบอุ่นในระบบ จำนวน 2,151แห่ง มีประชาชนเข้ารับบริการแล้วจำนวน 1,125,253 คน เป็นการรับบริการจำนวน 2,849,528 ครั้ง โดยช่วงอายุ 45-64 ปี เป็นกลุ่มประชากรที่เข้ารับบริการมากที่สุดจำนวน 429,907 คน สำหรับกลุ่มอาการในการเข้ารับบริการ พบว่า ไข้ ไอ เจ็บคอ เป็นกลุ่มอาการที่มีการเข้ารับบริการมากที่สุด จำนวน 1,191,643 ครั้ง หรือร้อยละ 47 ของการเข้ารับบริการ กลุ่มอาการรองลงมาได้แก่ ปวดข้อ เจ็บกล้ามเนื้อ จำนวน 597,737 ครั้ง อาการทางผิวหนัง ผื่น คัน จำนวน 339,846 ครั้ง ปวดท้อง จำนวน 239,967 ครั้ง ความผิดปกติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับตา จำนวน 145,591 ครั้ง ปวดหัว จำนวน 117,091 ครั้ง และบาดแผล จำนวน 114,809 ครั้ง เป็นต้น

“จากข้อมูลที่ปรากฏนี้สะท้อนให้เห็นว่า 30 บาทรักษาทุกที่ รับบริการที่ร้านยาชุมชนอบอุ่น ได้ช่วยดูแลประชาชนที่มีภาวะเจ็บป่วยเล็กน้อย ซึ่งอยู่ใน 16 กลุ่มอาการ ได้เข้าถึงการรักษาโดยใช้สิทธิบัตรทอง 30 บาท และไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ การบริการที่ร้านยาชุมชนอบอุ่นนี้ เป็นส่วนสำคัญในการร่วมขับเคลื่อนนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ เป็นบริการที่มีคุณภาพและมาตรฐาน ซึ่งผู้ป่วยจะได้รับการดูแลจากเภสัชกรที่เป็นหนึ่งในวิชาชีพระบบสุขภาพ และให้คำปรึกษาหรือแนะนำการกินยา สำหรับการเข้ารับบริการขอให้ประชาชนสังเกตสติกเกอร์ 'ร้านยาคุณภาพของฉัน ให้บริการดูแลอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย' โดยมีวิธีรับบริการ 2 รูปแบบ ไม่เสียค่าใช้จ่าย คือ 1. โทร.สายด่วน สปสช. 1330 จะมีเจ้าหน้าที่แนะนำให้รับบริการที่ร้านยาชุมชนอบอุ่นใกล้บ้าน หรือ 2. ดูรายชื่อร้านยาใกล้บ้านที่เข้าร่วมโครงการได้ที่เว็บไซต์ สปสช. https://www.nhso.go.th/page/List_of_retail_pharmacies หรือสังเกตสติกเกอร์ติดหน้าร้านยา ภายใต้ชื่อ ร้านยาคุณภาพของฉัน ให้บริการดูแลอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย” นายคารม กล่าว

‘ไทยรัฐ’ ออกแถลงขออภัย!! เหตุนำเสนอข่าวทำเมืองพัทยา ‘เสียภาพลักษณ์’ ยัน!! ไม่มีเจตนาลบหลู่ด้อยค่า เพียงแค่อยากนำเสนอมุมมองอีกด้าน

(12 ก.ค.67) จากกรณีที่มีสื่อใหญ่ได้นำเสนอข่าวเกี่ยวกับภาพลักษณ์​เมืองพัทยา ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับโลกในประเด็นข่าว ‘พัทยาเมืองบาป แดนสวรรค์โสเภณี’ จนทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ขณะที่ชาวเน็ตเสียงแตกมีทั้งเห็นด้วยและคัดค้านการนำเสนอข่าวในประเด็น​ดังกล่าวนั้น

ล่าสุด ช่วงค่ำวานนี้ (11 ก.ค.67) กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจในเมืองพัทยา ได้นัดหมายรวมตัวแสดงพลังปกป้องชื่อเสียงและศักดิ์ศรีของเมืองพัทยา ที่ปากทางเข้าโครงการถนนคนเดินพัทยาใต้ หรือโครงการวอล์กกิ้งสตรีท พัทยาใต้

โดยมี นางลิซ่า แฮมิลตัน นายกสมาคมผู้ประกอบการธุรกิจกลางคืนเมืองพัทยา นายบุญอนันต์ พัฒนสิน นายกสมาคมนักธุรกิจและการท่องเที่ยวเมืองพัทยา นางอำพร แก้วแสง นายกสมาคมอุตสาหกรรมบันเทิงและการท่องเที่ยวเมืองพัทยา นายดีโอ้ ซิงห์ นายกสมาคมอินเดียชลบุรี และนายสุขราช กาลรา ประธานชุมชนวอล์กกิ้งสตรีท เป็นแกนนำ

โดย นางลิซ่า แฮมิลตัน นายกสมาคมผู้ประกอบการธุรกิจกลางคืนเมืองพัทยา เผยว่า เมืองพัทยาไม่ได้มีแค่การท่องเที่ยวเกี่ยวกับสถานบันเทิงเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีความหลากหลายที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการขอวนักท่องเที่ยวได้ทั่วโลก 

"การนำเสนอข่าวว่าพัทยาเป็นเมืองบาป ทำให้อาชีพอื่น ๆ มีความน้อยเนื้อต่ำใจและไม่อยากให้เหยียดกันด้วยมุมมองเช่นนี้ พวกเราจึงอยากเรียกร้องให้สื่อดังกล่าวออกมาแสดงความรับผิดชอบในเรื่องที่นำเสนอข่าวทำร้ายเมืองพัทยา" นายกสมาคมผู้ประกอบการธุรกิจกลางคืนเมืองพัทยา กล่าว

เช่นเดียวกับ นางอำพร แก้วแสง นายกสมาคมอุตสาหกรรมบันเทิงและการท่องเที่ยวเมืองพัทยา กล่าวว่า “เมืองพัทยาเป็นเมืองเศรษฐกิจที่มีผู้คนจำนวนมากเดินทางเข้ามาหางานทำ จนได้รายได้ มีอาชีพที่จะส่งเงินกลับไปให้ที่บ้านและเลี้ยงดูครอบครัว จึงไม่อยากให้ดูถูกอาชีพอื่นที่ทำรายได้ด้านการท่องเที่ยว รวมทั้งผู้หญิงกลางคืนที่สร้างรายได้ให้ประเทศอย่างมหาศาล”

ด้าน นายบุญอนันต์ พัฒนสิน นายกสมาคมนักธุรกิจและการท่องเที่ยวเมืองพัทยา กล่าวในทิศทาง​เดียวกันว่า “ผู้ประกอบการเมืองพัทยา ต้องการให้สื่อมวลชนช่วยนำเสนอข่าว และมุมมองเกี่ยวกับเมืองพัทยาในเชิงสร้างสรรค์บ้าง เพื่อให้เมืองพัทยาเป็นเมืองแห่งโอกาสของผู้คนที่ต้องการมีงานทำอย่างถูกกฎหมาย”

“และขอให้สื่อเห็นใจว่าเรื่องดังกล่าวที่นำเสนอออกไปไม่ใช่มีเฉพาะแค่เมืองพัทยาเท่านั้น และหากมองอย่างเป็นธรรมจะเห็นว่าเมืองท่องเที่ยวอื่น ๆ ก็มีเช่นกัน”

ขณะที่ล่าสุด ทางสำนักข่าวไทยรัฐได้ออกมาแถลงการณ์ถึงกรณีดังกล่าว โดยระบุว่า…

แถลงการณ์ขออภัยชาวเมืองพัทยา

ไทยรัฐ ขออภัยชาวเมืองพัทยา ที่นำเสนอ สกู๊ปข่าวที่เกี่ยวกับอาชีพผู้ค้าบริการ และพาดหัวข่าวโดยใช้ถ้อยคำที่ส่งผลกระทบด้านลบ และทำให้เมืองพัทยาเสียภาพลักษณ์ ของความเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศและติดอันดับแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของโลก

ไทยรัฐ ไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ด้อยค่าเมืองพัทยา และผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว รวมทั้งธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้องแต่อย่างใด เพียงแค่ต้องการนำเสนอความจริงให้ปรากฎและเปิดมุมมองอีกด้านให้สังคมภายนอกได้เห็น โดยเฉพาะเสียงสะท้อนจากกลุ่มผู้ทำอาชีพค้าบริการ ซึ่งส่วนใหญ่มีความเห็นตรงกันว่าควรยกเลิกพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 เพื่อทำให้อาชีพนี้มีกฎหมายคุ้มครอง มีสวัสดิการดูแลจากภาครัฐ ตามสิทธิอันพึงมี ด้วยศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และความเท่าเทียมกัน

ไทยรัฐ พร้อมที่จะนำเสนอข่าวสารเพื่อแก้ไขภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่เมืองพัทยา
รวมถึงส่งเสริมและช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวและธุรกิจ ทุกภาคส่วนของเมืองพัทยาต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top