Saturday, 5 July 2025
NEWS FEED

'อรรถชัย สิงห์ทอง' ชนะเลิศ Microsoft PowerPoint version 2019 เวที The Microsoft Office Specialist World Championship 2024

เมื่อวานนี้ (1 ส.ค.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘MOS Olympic Thailand Competition’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า…

“เย้!!!!! #เฮลั่น เด็กไทยคว้าแชมป์โลก 🇹🇭 โชว์ฟอร์มเก่ง เอาชนะคู่แข่งจากทั่วโลกบนเวทีการแข่งขัน The Microsoft Office Specialist World Championship 2024 การแข่งขันทักษะการใช้งาน Program Microsoft PowerPoint

ซึ่งการแข่งขันจัดขึ้นในระหว่างวันที่ July 28 - 31, 2024 ณ เมือง Anaheim รัฐ California ประเทศสหรัฐอเมริกา

โดยนายอรรถชัย สิงห์ทอง ตัวแทนนักศึกษาจากคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี เข้าแข่งขันในโปรแกรม Microsoft PowerPoint Version 2019 และได้รับรางวัลชนะเลิศจากการแข่งขันดังกล่าว

ขอแสดงความยินดีกับเยาวชนคนเก่ง ที่สร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยได้สำเร็จ”

‘โซเชียล’ แนะ!! 'พินไทย' ในมหกรรมกีฬา น่ารังสรรค์ตามยุคสมัย คงช้างไว้ก็ได้ แต่เปลี่ยนอิริยาบถบ้าง ชาติอื่นน่าจะอยากขอแลก

(1 ส.ค.67) ไม่ว่าจะมีการแข่งขันมหกรรมกีฬากี่ครั้งก็มักจะมีธรรมเนียมแลกพิน รวมถึงในมหกรรมกีฬาโอลิมปิก 2024 ก็มีธรรมเนียมการแลกพินระหว่างนักกีฬา โดยแต่ละประเทศจะมีพินที่เป็นเอกลักษณ์ของประเทศนั้น ๆ จนกลายเป็นหนึ่งในสีสันโอลิมปิกครั้งที่ 33

ซึ่งการแลกเปลี่ยนพิน เริ่มตั้งแต่การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกสมัยใหม่ครั้งแรก ที่กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ ในปี ค.ศ. 1896 นักกีฬาหลาย ๆ คนก็มีการรีวิวการแลกพินกับเพื่อนนักกีฬาทั่วโลก เช่น หนุ่มเฟรม ธนาคาร และเทนนิส พาณิภัค ที่ได้ทำคลิปเผยแพร่ในโซเชียล

โดยพินช้างขนาดใหญ่ของไทยจะมีการแจกเพียง 3 ชิ้นเท่านั้น ส่วนพินช้างสีทองขนาดเล็กจะมีแจก 30 ชิ้น ล่าสุด เกิดดรามาในโลกโซเชียลถึงประเด็นประเทศไทยควรเปลี่ยนพินบ้าง เพราะพินของประเทศไทยรังสรรค์ขึ้นตั้งแต่โอลิมปิกเอเธนส์ 2004 ซึ่งผ่านมา 20 ปีแล้ว

โดยมีคนให้ความเห็นว่า “น่าจะมีการประกวดออกแบบพินให้ดูน่ารัก น่าสะสม มากยิ่งขึ้นนะคะ” , “ควรทำสัญลักษณ์ การแข่งขันปีนั้น ๆ ติดไว้ด้วย”, “เห็นนักกีฬาต่างชาติให้คะแนนพินแต่ละชาติ ให้ไทย 4/10” , “คงช้างไว้ก็ได้ แต่เปลี่ยนอิริยาบถบ้าง อ้าปาก กลับหัวกลับหาง ชูงวงงี้”

“ถ้าจะชูช้างเหมือนจีนชูหมีแพนด้า อย่างแรกคือมีสัญญาดูแลช้างให้ดี เหมือนจีนดูแลหมีแพนด้า สองคือเอาช้างไปทำรูปน่ารัก ๆ ยืนกับสัญลักษณ์ประเทศที่ไปแข่ง เหมือนจีนที่เอาแพนด้าไปคู่หอไอเฟลก็ได้ ลงทุนหน่อยงานสี่ปีครั้งอะ”

แถมยังมีกระแสไวรัลที่ได้รับการรับชม 2.4 ล้านวิว โดยระบุว่า “การใช้พินแบบเดิมมา 10 ปี+ นี่มันโคตรแสดงถึงความไม่ใส่ใจของการกีฬาแห่งประเทศไทยเลย ตปท. เขามหกรรมละแบบไม่ว่า กีฬาแต่ละชนิดก็แยกแบบพินใครพินมัน เห็นแล้วเศร้าแทนนักกีฬาไทยที่ผู้ใหญ่บ้านเมืองเราไม่ได้ทำอะไรด้วย Passion เลยสักนิด”

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีดรามาพินไทยมีความวินเทจ แต่เซเรน่า วิลเลียมส์ นักเทนนิสชื่อดังของโลก แชมป์แกรนด์สแลม 23 สมัย และเหรียญทองโอลิมปิก 4 สมัย ซึ่งเธอเป็นนักสะสมพินตัวยงก็ออกมาเผยพินที่เธอชอบและไม่ได้แลกกับคนอื่นเมื่อได้มาว่า “มีไม่กี่ประเทศ และประเทศไทยเป็นหนึ่งในนั้น ที่ฉันจะไม่เคยคิดจะแลก ในที่สุดฉันก็คว้าพินเกาหลีเหนือ ที่ริโอได้ ดังนั้น ฉันจะไม่มีวันแลกสิ่งนี้เลย”

หากเปิดดูในเว็บไซต์อีเบย์ก็พบว่าราคาการซื้อขาย พินของประเทศไทยมีราคา 54.99 เหรียญ หรือเกือบ 2,000 บาท

'อัษฎางค์' แนะ!! คนไทยปล่อยวางกระแสโฆษณา Apple เชื่อ!! ดูถูกหรือไม่? คนทั้งโลกรู้จักไทยวันนี้ดีพออยู่แล้ว

(1 ส.ค. 67) อัษฎางค์ ยมนาค นักประวัติศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

โฆษณาของ Apple อีกสักที

ผมอยู่เมืองนอกมานานมากพอสมควร ไอ้เรื่องฝรั่งที่มีมุมมอง ความรู้หรือทัศนคติแบบดูถูก เหยียดหยามหรือแค่เข้าใจผิด เกิดขึ้นอยู่เสมอ

แต่เวลาที่ถูกฝรั่งเข้าใจผิด หรือดูถูก เหยียดหยามก็ตาม ไม่เคยทำให้ผมโกรธจนตัวเนื้อสั่น แต่ผมกลับมีความรู้สึกเดียวคือ ไอ้ฝรั่งคนนี้ ‘กระจอก โคตรบ้านนอก ไดโนเสาร์’

เพราะอะไรถึงคิดแบบนั้น?

ก็เพราะคนเขารู้จักเมืองไทยกันทั้งโลกแล้ว แกมาจากหลังเขาลูกไหนถึงไม่รู้ว่าเมืองไทยเป็นยังไง Google Internet ใช้เป็นรึเปล่า ทำไมถึงคิดว่าเมืองไทยเป็นอย่างนั้น

คือแทนที่จะโกรธจนตัวสั่นที่ถูกฝรั่งดูถูก ผมดูถูกมันกลับไปแล้วในทันที เพราะฉะนั้น สบายตัว

ใครพูดอะไรออกมา ย่อมบ่งบอกตัวตนของเขา ‘คนโง่ก็พูดอะไรโง่ ๆ ออกมา’ เราจะต้องไปเต้นแร้งเต้นกาทำไม

Apple ทำโฆษณาแบบนี้ออกมา ก็บ่งบอกตัวของ Apple เอง บ่งบอกความเป็นอเมริกันชนของตนเอง และจะโดนฝรั่งชาติอื่น ๆ หัวเราะเยาะไปเอง

แต่ผมว่า มันคงไม่ถึงกับต้องโยน iPhone iPad Apple Watch ทิ้งแล้วแห่กันย้ายค่ายกระมัง

คือผมไม่รู้สึกอะไรเลยถ้าใครจะโกรธ Apple หรือใครจะเลิกใช้ จะย้ายค่าย อันนั้นมันเรื่องส่วนตัวของแต่ละคน ซึ่งทำได้อยู่แล้ว และผมเคารพการตัดสินใจส่วนตัวของแต่ละคน

แต่คงไม่ต้องถึงขั้นออกมารณรงค์ ชักชวนหรือแห่กันแบน 

ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ ตามความคิดเห็นหรือความรู้สึกของแต่ละคน

อย่างไรก็ตาม การที่มีกระแสไม่พอใจในเมืองไทยหนัก ๆ แบบนี้ ผมว่าก็ดีเหมือนกัน เพราะเป็นเสียงสะท้อนที่ดังกลับไปถึง Apple และชาวอเมริกัน (บางคน) ที่เข้าใจอะไรผิด ๆ คิดว่าตัวเองนำสมัยและเป็นเจ้าโลกอยู่ฝ่ายเดียว และให้ชาวโลกได้รู้ถึงความกระจอก กับความรู้ที่ล้าสมัย และความเป็นฝรั่งบ้านนอก เป็นกบในกระลาอเมริโกย ที่ไม่เคยออกมาดูโลกว่า เขาไปกันถึงไหนแล้ว

สรุป ความเห็นและคำวิพากษ์วิจารณ์ของผมคือ…

1. ผมเห็นด้วยกับกระแสความไม่พอใจ ที่จะดังสะท้อนไปถึง Apple และชายอเมริกัน (บางคน) 

2. ผมเคารพในความคิดเห็นของแต่ละคนต่อ Apple หลังจากชมโฆษณาชิ้นนี้ 

3. แต่ไม่เห็นด้วยกับการตีโพยตีพายอะไรกันจนมากมาย โดยเฉพาะเรื่อง 'กระแสแห่ตามกัน'

เพราะไอ้กระแสแห่ตามกันนี้มันอันตราย เหมือนที่เกิดขึ้นกับเรื่องการบ้านการเมืองของไทย ที่ชอบใครเกลียดใครก็แห่ตามกันจนไม่ลืมหูลืมตา แล้วมันเป็นผลเสียมากกว่าผลดี เพราะมันบ่งบอกว่าคนไทยหลอกง่าย การจะหลอกหรือจะสร้างกระแสให้ชอบหรือเกลียดใครหรืออะไรก็ทำได้ไม่ยาก เพราะถ้าจุดกระแสอะไรที่ขึ้นมาได้ คนไทยก็มักแห่ตามกัน

ผมเชื่อในแนวคิดที่ว่า ‘ถ้าเราเป็นทองแล้วมีคนเห็นเราเป็นอึ เราจะไม่มีวันกลายเป็นอึ แต่จะยังคงเป็นทองตลอดไป’

คนที่เป็นทองก็มักไม่นิยมที่จะเอา ‘พิมเสนไปแลกกับเกลือ’

โฆษณาแบบนี้ ทำให้เราคนไทยและชาวโลกได้ตาสว่างว่า คนอเมริกันหลงตัวเองอยู่ในกะลา และเป็นการเปิดเผยตัวตนออกว่าว่าตัวเองเป็น ‘ไอ้กระจอก โคตรบ้านนอก ไดโนเสาร์’

‘เป็นผู้ที่ครอบครองเทคโนโลยีที่ทันสมัย แต่คนของตนโคตรล้าสมัย’

เห็นด้วยหรือเห็นต่างจากผมก็ไม่มีปัญหาอะไร ผมก็แค่แสดงความคิดเห็นส่วนตัวในบ้านของตัวเอง

‘สุชาติ’ หารือ ‘ทูตโมซัมบิก’ ผลักดันอุตสาหกรรม-การค้าอัญมณี เล็งแลกเปลี่ยนความเชี่ยวชาญ-วัตถุดิบในการทำเครื่องประดับ

(1 ส.ค. 67) ณ กระทรวงพาณิชย์ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้รับมอบหมายจากรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายภูมิธรรม เวชยชัย ให้การต้อนรับและหารือกับนายเบลมีรู จูแซ มาลาตี (H.E. Mr. Belmiro José Malate) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐโมซัมบิกประจำประเทศไทย ถิ่นพำนัก ณ กรุงจาร์กาตา ในโอกาสเยือนประเทศไทยเพื่อเข้าร่วม ‘พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗’ 

โดยโมซัมบิกเป็นประเทศที่ตั้งอยู่บริเวณแอฟริกาตอนใต้ เป็นเมืองท่าสำคัญ สามารถเป็นประตูการค้าไปสู่ทวีปแอฟริกา โดยเฉพาะกลุ่มประเทศแอฟริกาตอนใต้ อาทิ แอฟริกาใต้ มาลาวี ซิมบับเว แซมเบีย และเอสวาตินี 

นอกจากนี้ โมซัมบิกยังเป็นแหล่งวัตถุดิบอัญมณีและก๊าซธรรมชาติที่สำคัญของไทย ขณะเดียวกัน ไทยมีศักยภาพในการส่งออกสินค้าเกษตร และเครื่องจักรกลการเกษตร ซึ่งโมซัมบิกมีความต้องการใช้ภายในประเทศสูง จึงได้ฝากเชิญชวนนักธุรกิจโมซัมบิกเข้าร่วมงานแสดงสินค้าของไทย อาทิ Bangkok Gems & Jewelry Fair (อัญมณีและเครื่องประดับ) งาน Bangkok RHVAC and E&E (สินค้ากลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์) และงาน THAITHAM (เครื่องจักรกลการเกษตร) เพื่อส่งเสริมการส่งออกสินค้าศักยภาพของไทยเข้าสู่ตลาดโมซัมบิก ขณะเดียวกัน โมซัมบิกได้ฝากเชิญชวนนักธุรกิจไทยเข้าร่วมงาน FACIM ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าขนาดใหญ่ของโมซัมบิก จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 สิงหาคม - 1 กันยายน 2567 ณ กรุงมาปูโต 

“ผมได้พูดคุยหารือเกี่ยวกับความร่วมมือในอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับของทั้งสองประเทศ
ซึ่งมีผลประโยชน์เกื้อกูลกัน โดยโมซัมบิกมีความประสงค์ที่จะเรียนรู้ทักษะการเจียระไนจากไทยซึ่งมีความเชี่ยวชาญ ขณะที่ไทยมีความต้องการวัตถุดิบอัญมณี โดยเฉพาะพลอยแดงและพลอยเนื้ออ่อนจากโมซัมบิก ซึ่งถือเป็นแหล่งกำเนิดพลอยคุณภาพดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ผมจึงเสนอให้ทั้งสองฝ่ายจัดทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านอัญมณีและเครื่องประดับระหว่างกัน และในโอกาสเดียวกัน ผมได้แจ้งท่านเอกอัครราชทูตว่า ขอเรียนเชิญนายการ์โลส ซาคาเรียส (H.E. Mr. Carlos Zacarias) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรณีและพลังงานโมซัมบิก เดินทางเยือนประเทศไทย ในช่วงที่กระทรวงพาณิชย์มีการจัดงานแสดงสินค้า Bangkok Gems & Jewelry Fair ในเดือนกุมภาพันธ์และกันยายนของทุกปี เพื่อต่อยอดความสัมพันธ์ด้านการค้าอัญมณีระหว่างสองประเทศต่อไป” นายสุชาติกล่าวเพิ่มเติม

ทั้งนี้ โมซัมบิกเป็นคู่ค้าอันดับที่ 56 ของไทย และอันดับที่ 6 ในทวีปแอฟริกา โดยในปี 2566 การค้าระหว่างกันมีมูลค่า 693.48 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (24,254.61 ล้านบาท) โดยไทยส่งออกไปโมซัมบิก 181.87 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (6,264.90 ล้านบาท) และไทยนำเข้าจากโมซัมบิก 511.61 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (17,989.71 ล้านบาท) สำหรับการค้าระหว่างกันในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 มีมูลค่า 299.41 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (10,765.76 ล้านบาท) โดยไทยส่งออกไปโมซัมบิก 134.93 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (4,813.16 ล้านบาท) และไทยนำเข้าจากโมซัมบิก 164.48 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (5,952.60 ล้านบาท) สินค้าส่งออกสำคัญ เช่น ข้าว น้ำมันสำเร็จรูป รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เม็ดพลาสติก และเคหะสิ่งทอ สินค้านำเข้าสำคัญ เช่น ก๊าซธรรมชาติ อัญมณี ถ่านหิน สินแร่โลหะ และกุ้งแช่เย็นแช่แข็ง

ตม.สนามบิน ติด 'หัวใจสีรุ้ง' ย้ำเชื่อมั่น 'LGBTQIAN+' บินเข้าออกไทย

ตม.สนามบิน ประกาศสร้างความเชื่อมั่น แก่บุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ หรือ ชาว "LGBTQIAN+ “ ในการบินเข้าออกประเทศของไทย และพร้อมรองรับการที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ จัดเทศกาล "WorldPride 2030" 

เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2567 พล.ต.ต.เชิงรณ ริมผดี ผบก.ตม.2 ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าว กรณี ตม.สนามบินสุวรรณภูมิ ได้ติด sticker มีสัญลักษณ์ เป็นรูปหัวใจสีรุ้ง มีอักษร LGBTQ+ และข้อความ Immigration2 ที่บริเวณช่องตรวจหนังสือเดินทาง ขาเข้า และขาออก ประเทศ โดยชี้แจงว่า  

“เนื่องจากโลกยุคปัจจุบัน มีการเปิดกว้างด้านเพศทางเลือกต่างๆ และทางรัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับความเสมอภาคทางเพศโดยเฉพาะชาว "LGBTQIAN+“ ซึ่งประเทศไทยประกาศจะเป็นเจ้าภาพจัดงาน "WorldPride 2030“ ขึ้น 

ดังนั้น ในฐานะที่ด่าน ตม.สนามบิน ทั้ง 5 แห่ง ของ บก.ตม.2 ได้แก่ สุวรรณภูมิ ดอนเมือง ภูเก็ต เชียงใหม่ และหาดใหญ่ เป็นประตูหลักของประเทศ และมีคนเดินทางเข้าออกจากทั่วโลกกว่าวันละ 1.2 แสนคน มีคนไทยและคนต่างชาติที่มีความหลากหลายทางเพศเดินทางผ่านแดนจำนวนมาก โดยพบว่าที่ผ่านมา กลุ่ม "LGBTQIAN+“ หลายท่าน วิตกกังวลต่อการตรวจผ่านแดน เนื่องจาก อาจมีเพศสรีระ เช่น การแต่งตัว ที่ไม่ตรงกับเพศสภาพในเอกสารการเดินทาง อาจด้วยข้อจำกัดทางกฏหมายของประเทศเจ้าของสัญชาติในการเปลี่ยนสถานะทางเพศ หรือ บางกรณีอาจมีการทำศัลยกรรมเปลี่ยนแปลงเค้าโครงใบหน้าผิดไปจากเดิม ทำให้การตรวจผ่านแดนที่ช่องตรวจ ตม.ติดขัดไม่ราบรื่น และอาจเป็นข้อสงสัยว่า เจ้าหน้าที่มีการกีดกั้นเจาะจงเฉพาะกลุ่มหรือไม่ นั้น

และ เพื่อสร้างความมั่นใจ แก่คนเดินทางทั้งไทย และต่างชาติ จึงได้จัดกิจกรรม Welcome Pride by Immigration ขึ้น ภายใต้ความเห็นชอบของ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม. โดยให้ฝ่ายตรวจคนเข้าเมืองขาเข้า นำโดย พ.ต.อ.หญิง เนาวรัตน์ เฉลิมศรี ผกก.ฝ่าย ตม.ขาเข้า ด่าน ตม.ทอ.สุวรรณภูมิ เป็นด่านนำร่อง และจะขยายการปฏิบัติไปยังช่องทางตรวจคนเข้าเมืองสนามบินหลักให้ครบทั้ง 5 แห่ง ในสังกัด บก.ตม.2 โดย  Kick off ตั้งแต่ 1 สิงหาคม 2567 เป็นต้นไป 

โดยถือโอกาสนี้ ขอสื่อสารถึงนักเดินทางชาว "LGBTQIAN+“ ที่กังวลต่อเงื่อนไขต่างๆในการเดินทางบินเข้าไทย 4 ประเด็นคือ
1.  กรณีผู้เดินทางซึ่งเดินทางเข้าไทยครั้งแรก  และมีเพศสภาพซึ่งระบุในหนังสือเดินทาง มีความแตกต่างจากเพศสรีระจริงที่ปรากฏตัว ไม่ว่าจะเป็นกรณีทำศัลยกรรม หรือ กรณีเพศสรีระไม่ตรงกับหนังสือเดินทาง เช่น แต่งกายเป็นหญิง แต่หนังสือเดินทางระบุเป็นชาย ฯลฯ ผู้เดินทางควรมีเอกสารยืนยันตัวตน เช่น บัตรประจำตัวประชาชน ( Citizen card) หรือ ใบอนุญาตขับขี่ (Driving License) หรือ เอกสารเดินทางซึ่งเคยใช้ก่อนหน้า หรือ เอกสารหรือประวัติทางการแพทย์ที่แสดงถึงการรับการผ่าตัดเปลี่ยนแปลงเพศ ฯลฯ เพื่อแสดงต่อเจ้าหน้าที่ ตม.หากมีข้อซักถาม เพื่อยืนยันตัวตนด้วย
2. กรณีผู้เดินทาง ที่มีใบหน้าหรือสรีระทางกายขณะปัจจุบันแตกต่างกันกับภาพข้อมูลบุคคลในหนังสือเดินทาง แต่เคยมีการบันทึกข้อมูลใบหน้าและลายนิ้วมือตามข้อแรกดังกล่าวมาแล้ว ทางระบบ ตม.จะเก็บข้อมูลไว้ในระบบ Biometric เพื่อตรวจเปรียบเทียบใบหน้าผู้เดินทางปัจจุบันกับข้อมูลชิปภายในหนังสือเดินทาง เพื่อยืนยันตัวตน โดยไม่ต้องเรียกซักถามอีก
3. ผู้เดินทางคนไทย และคนต่างชาติที่ เป็นชาว "LGBTQIAN+“ ที่เดินทางบินเข้าออกประเทศไทย โดยเฉพาะคนต่างชาติที่ได้รับสิทธิยกเว้นวีซ่า หรือ ได้รับวีซ่าเข้าประเทศไทย จะได้รับการปฏิบัติที่เท่าเทียม เช่นเดียวกับนักเดินทางอื่นๆ โดยเฉพาะการอำนวยความสะดวกในการตรวจหนังสือเดินทางตามนโยบายรัฐบาล
4. กรณีที่ประเทศไทยรับเป็นเจ้าภาพจัดกิจกรรม World Pride ในปี 2030 ทาง ตม.สนามบิน พร้อมให้ความร่วมมือร่วมกับ TCEB หรือ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ เพื่อจัดช่องทางพิเศษ และ อำนวยความสะดวกด้านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง ตามที่มีการประสานงานอย่างเต็มที่ 

ทั้งนี้ เครื่องหมายสติ๊กเกอร์ “หัวใจสีรุ้ง”  ของ ตม.ที่จัดทำขึ้น มาจากแนวคิด “ธงสีรุ้ง" ที่เป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมกันของกลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ ภายใต้การออกแบบของ "กิลเบิร์ต เบเกอร์" (Gilbert Baker) ศิลปินชาวอเมริกันและนักขับเคลื่อนสิทธิมนุษยชนของเกย์ในปี 1978 ระบุข้อความ LGBTQIAN+ และ Immigration 2 ติดที่บริเวณหน้าช่องตรวจหนังสือเดินทาง ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ดอนเมือง และท่าอากาศยานต่างๆ ในสังกัด ตม.2 เพื่อสร้างความมั่นใจแก่นักเดินทางที่มีความหลากหลายทางเพศ ในการเข้าออกประเทศไทย เพื่อบอกให้สังคมโลกได้รับทราบว่า ประเทศไทย เป็นดินแดนที่เปิดกว้างสำหรับนักเดินทางจากทั่วโลก โดยไม่มีข้อจำกัดด้านเพศแต่อย่างใด  พล.ต.ต.เชิงรณ ฯ กล่าว

ทั้งนี้ การจัดกิจกรรมดังกล่าว นับเป็นการจัดกิจกรรมที่ ด่าน ตม. ของประเทศไทย เป็นแห่งแรกของโลก ที่สร้างความชัดเจนในเรื่องดังกล่าว ให้ปรากฏต่อสังคมชาวโลก ที่ตอบสนองแนวคิดการส่งเสริมการท่องเที่ยวและการลงทุน รวมถึงการจัดกิจกรรมระดับโลกในไทย ตามนโยบายของรัฐบาล

ผบ.ตร. และนายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ ลงพื้นที่ จ.นครพนม ตรวจเยี่ยมสถานีตำรวจน้ำนครพนม และสถานีตำรวจภูธรธาตุพนม ให้กำลังใจ มอบสิ่งของบำรุงขวัญแก่ข้าราชการตำรวจและครอบครัว กำชับเตรียมความพร้อมช่วยเหลือประชาชน รับมืออุทกภัย

(1 ก.ย. 67) เวลา 10.30 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และคุณนิภาพรรณ สุขวิมล นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ พร้อมด้วย พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 และคณะ ได้เดินทางลงพื้นที่จังหวัดนครพนม เพื่อตรวจเยี่ยมสถานีตำรวจน้ำนครพนม (สถานีตำรวจน้ำ 1 กองกำกับการ 10 กองบังคับการตำรวจน้ำ) โดยมี พล.ต.ต.ธวัชชัย ถุงเป้า ผบก.ภ.จว.นครพนม, พ.ต.อ.อดิศักดิ์ มีศิลป์ ผกก.10 บก.รน., พ.ต.อ.ภาคภูมิ เดชะเรืองศิลป์ ผกก.สภ.เมืองนครพนม และ พ.ต.ต.นวพล ขวัญทอง สว.ส.รน.1 กก.10 บก.รน. พร้อมด้วยข้าราชการตำรวจ สถานีตำรวจน้ำนครพนม ให้การต้อนรับ

ผบ.ตร. และนายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ พร้อมคณะ ได้รับฟังบรรยายสรุปเกี่ยวกับสถานการณ์โดยทั่วไปในพื้นที่ ปัญหาข้อขัดข้อง และการดูแลสวัสดิการของข้าราชการตำรวจ จากนั้นได้มอบสิ่งของและเงินบำรุงขวัญให้กับข้าราชการตำรวจ สถานีตำรวจน้ำนครพนม เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่

ต่อมาเวลา 12.00 น. ผบ.ตร.และนายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ พร้อมคณะ ได้เดินทางไปยัง สภ.ธาตุพนม จ.นครพนม เพื่อตรวจเยี่ยมบำรุงขวัญข้าราชการตำรวจและครอบครัว โดยมี พ.ต.อ.ภวิล คำเกษ ผกก.สภ.ธาตุพนม และข้าราชการตำรวจ สภ.ธาตุพนม ให้การต้อนรับ ซึ่ง ผบ.ตร. และนายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ ได้มอบสิ่งของและเงินบำรุงขวัญให้กับข้าราชการตำรวจ สภ.ธาตุพนม อีกทั้งยังได้มอบเงินและสิ่งของช่วยเหลือให้กับข้าราชการตำรวจสังกัด ภ.จว.นครพนม ที่ต้องดูแลบุตรหลานซึ่งเป็นผู้พิการ เพื่อเป็นการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้กับข้าราชการตำรวจและครอบครัว

ทั้งนี้ ผบ.ตร. ได้กำชับแนวทางการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตำรวจดังต่อไปนี้ เน้นย้ำปกป้อง เทิดทูน และพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข , ให้ติดตามประเมินสถานการณ์ด้านอุทกภัยอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งจัดเตรียมกำลังพล การตรวจสอบอุปกรณ์เครื่องมือที่ต้องใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ให้มีความพร้อมอยู่เสมอ เพื่อให้สามารถออกช่วยเหลือพี่น้องประชาชนได้ทันท่วงที , เน้นย้ำการปฏิบัติหน้าที่โดยแสวงหาความร่วมมือจากภาครัฐและประชาชน เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่นในการป้องกันอาชญากรรม การปฏิบัติงานด้านการข่าว และความมั่นคงให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และให้ผู้บังคับบัญชาดูแลเอาใจใส่ผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างจริงจังในทุกระดับ เน้นผู้บังคับบัญชาต้องเป็นแบบอย่างที่ดี และให้ข้าราชการตำรวจทุกนายร่วมกันสร้างความสามัคคี ผ่านแนวคิด Police’s Home พร้อมพัฒนากำลังพลให้มีความพร้อมในการปฏิบัติงานอย่างมืออาชีพ เพื่อเสริมสร้างให้ข้าราชการตำรวจปฏิบัติราชการได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีคุณธรรม และยึดมั่นในหลักจริยธรรม

นอกจากนี้ ผบ.ตร. ยังได้กล่าวชมเชย และขอบคุณข้าราชการดำรวจในสังกัด ภ.จว.นครพนม ทุกนาย ที่ได้ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม สร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้กับพี่น้องประชาชน

สมุทรปราการ-รำลึก 24 ปี!! คุณพ่อสมเกียรติ มูลนิธิร่วมกตัญญู มอบเงินช่วยเหลือสังคม กว่า 60 ล้านบาท

(1 ก.ย. 67) ที่ อาคารมูลนิธิร่วมกตัญญู สำนักงานบางพลี ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ดร.รัตนา สมสกุลรุ่งเรื่อง ประธานมูลนิธิร่วมกตัญญู ประธานในพิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลแด่”คุณพ่อสมเกียรติ สมสกุลรุ่งเรื่อง” ผู้ก่อตั้งและอดีตประธานมูลนิธิร่วมกตัญญู โดยมีคณะผู้บริหาร คณะเจ้าหน้าที่ และศิลปินดารานักแสดง อาทิเช่น นางสาวสกาวรัตน์ สมสกุลรุ่งเรือง เลขาธิการมูลนิธิฯ ดร.บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ผู้จัดการฝ่ายกิจกรรมพิเศษ นายเอกพันธ์ บรรลือฤทธิ์ หัวหน้าอาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญู นายอธิวัฒน์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา รองหัวหน้าอาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญู ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และคณะเจ้าหน้าที่อาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญูร่วมในพิธีครั้งนี

นอกจากนี้ยังได้รับความเมตตาจาก พระพรหมวชิราธิบดี (พีร์ สุชาโต) รองสมเด็จพระราชาคณะ อธิบดีสงฆ์วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร  ที่ปรึกษาเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร นายกสภามหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เป็นประธานในพิธีมอบทุนการศึกษา แด่ พระภิกษุ-สามเณร, บุตร-ธิดา ข้าราชการตำรวจ มอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลต่างๆ ทั่วประเทศ นอกจากนี้ ยังมอบเงินเพื่อสนับสนุนกิจกรรมของโรงเรียนและทุนอาหารกลางวัน, มอบอุปกรณ์การเรียน-การกีฬาแก่โรงเรียนต่างๆ ทั่วประเทศ รวมถึงถวายปัจจัยกองทุนโรงทานสำหรับผู้แสวงบุญชาวพุทธ ณ วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์เมืองกุสินาคาร์ รัฐอุตตรประเทศ สาธารณรัฐอินเดีย ปีละ 1,200,000 บาท

นอกจากนี้ มูลนิธิร่วมกตัญญู ประกอบพิธีเททองหล่อรูปเหมือน สมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารี) หน้าตักกว้าง 35 นิ้ว และ พระพุทธรูป ปางรำพึง ความสูงรวมฐาน 2.65 เมตร เพื่ออัญเชิญไปประดิษฐาน ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร กรุงเทพฯ โดยได้รับความเมตตาจาก ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์  อธิบดีสงฆ์วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะใหญ่หนเหนือ  เป็นประธานฝ่ายสงฆ์

ด้าน ดร.รัตนา สมสกุลรุ่งเรื่อง ประธานมูลนิธิร่วมกตัญญู กล่าวว่า สำหรับในปีนี้มูลนิธิร่วมกตัญญูทำพิธีเปิดอาคารเรียนมูลนิธิร่วมกตัญญู แห่งที่ 35 เป็นอาคารศูนย์การเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านห้วยลู่ พร้อมห้องน้ำและครุภัณฑ์ ตำบลสะเนียน อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน โดยมอบชุดนักเรียน กระเป๋านักเรียน ถุงยังชีพ อุปกรณ์การเรียน หนังสือสำหรับห้องสมุด ซึ่งเป็นโรงเรียนตามพระราชดำริ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตชาว มลาบรีในพื้นที่บ้านห้วยลู่ จ.น่าน รวมมูลค่า 320,000 บาท

เตรียมส่งมอบอาคารเรียนมูลนิธิร่วมกตัญญู แห่งที่ 37 เป็นอาคารเรียนแบบ สปช.105/29 ขนาด 4 ห้องเรียน 1 ห้องพักครู 1 เวที 1 เสาธงและห้องน้ำพร้อมปรับปรุงภูมิทัศน์ ให้แก่ โรงเรียนวัดสระไม้แดง อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท รวมมูลค่า 4,270,000 บาท เตรียมส่งมอบอาคารเรียนมูลนิธิร่วมกตัญญู แห่งที่ 38 เป็นอาคารเรียนแบบ สปช.105/29 ขนาด 4 ห้องเรียน 1 ห้องพักครู 1 เวที 1 เสาธงและห้องน้ำพร้อมปรับปรุงภูมิทัศน์ ให้แก่ โรงเรียนวัดศรีล้อม อ.หางดง จ.เชียงใหม่ รวมมูลค่า 4,130,000 บาท

มอบทุนการศึกษาพระปริยัติธรรมแด่พระภิกษุ-สามเณร ทั้งในเขตกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด จำนวน 91 ทุน, มอบทุนการศึกษาให้กับนักเรียน-นักศึกษาที่มีผลการเรียนดีแต่ฐานะยากจน ทุนการศึกษาบุตร-ธิดาของข้าราชการอำเภอบางพลี-องค์การบริหารส่วนตำบลบางพลีใหญ่, บุตร-ธิดาของข้าราชการตำรวจ, บุตร-ธิดาของสื่อมวลชน, บุตร-ธิดาของเจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญู, บุตร-ธิดาของอาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญูทุกเขต/จังหวัด  ตั้งแต่ระดับประถมศึกษาจนถึงระดับปริญญาตรี

มอบเงินสนับสนุนกิจกรรมโรงเรียน-ทุนอาหารกลางวันและอุปกรณ์การเรียน-การกีฬา ให้กับโรงเรียนในพื้นที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด จำนวน 68 โรงเรียน โดยมอบให้เป็นรายเดือนตลอดระยะเวลา 1 ปี คิดเป็นเงิน 15,348,000 บาท ด้านพระพุทธศาสนา ถวายปัจจัยสมทบทุนก่อสร้าง เมรุเผาศพ ณ วัดบางพลีใหญ่กลาง ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ รวมมูลค่ากว่า 3,000,000 บาท ถวายปัจจัยสมทบทุนบูรณะ เมรุเผาศพ ณ วัดท่ามะปราง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.พิษณุโลก รวมมูลค่า 4,500,000 บาท ถวายปัจจัยบูรณะ ศาลาการเปรียญ ให้แก่ วัดป่าสัก ต.กกโอ อ.เมือง จ.ลพบุรี รวมมูลค่า 870,000 บาท

พร้อมทั้งในวันนี้มีพิธีเททองหล่อรูปเหมือน สมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารี) หน้าตักกว้าง 35 นิ้ว และ พระพุทธรูป ปางรำพึง ความสูงรวมฐาน 2.65 เมตร เพื่ออัญเชิญไปประดิษฐาน ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร กรุงเทพฯ ถวายปัจจัยซื้อที่ดิน จำนวน 1 ไร่ ให้แก่ วัดไทยนวราชรัตนาราม 960 รัฐอุตตรประเทศ สาธารณรัฐอินเดีย เนื่องจากพื้นที่เดิมโดนเวนคืนเพื่อตัดถนนผ่าน รวมมูลค่า 4,000,000 บาท มูลนิธิฯ รับเป็นเจ้าภาพค่าอาหารสำหรับจัดเลี้ยงให้แก่ผู้แสวงบุญชาวพุทธ ณ วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ เมืองกุสินาคาร์ รัฐอุตตรประเทศ สาธารณรัฐอินเดีย ปีละ 1,200,000 บาท ด้านสาธารณะประโยชน์มอบถุงยังชีพ เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัย วาตภัย อัคคีภัย และประชาชนยากไร้ ทั้งในกรุงเทพ ปริมณฑล และพื้นที่ห่างไกล ทุรกันดาร เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เชิญรูปหล่อเหมือนท่านผู้ก่อตั้งมูลนิธิฯ ไปประดิษฐาน ณ วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ เมืองกุสินาคาร์ รัฐอุตตรประเทศ สาธารณรัฐอินเดีย โอกาสนั้นได้มอบถุงยังชีพและเงินช่วยเหลือให้แก่ประชาชนชาวอินเดียที่ยากไร้ จำนวน 2,015 ครอบครัว รวมมูลค่า 6,357,500 บาท

ด้านสาธารณสุขในงานวันนี้มูลนิธิร่วมกตัญญู มอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้แก่ 33 หน่วยงาน เพื่อสนับสนุนการแพทย์ของโรงพยาบาลที่ห่างไกล ตามที่ทุกท่านได้ร่วมพิธีรับมอบไปก่อนหน้านี้ รวมมูลค่า 13,488,800 บาท (สิบสามล้านสี่แสนแปดหมื่นแปดพันแปดร้อยบาทถ้วน) และมอบอุปกรณ์ช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินให้แก่อาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญูและมูลนิธิเครือข่าย รวมมูลค่า 867,000 บาท และรายละเอียดอื่นๆ รวมยอดเงินกิจกรรมในวันนี้ 60,718,950 บาท

นอกจากนี้มูลนิธิร่วมกตัญญูยังให้ความร่วมมือกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ในการจัดกิจกรรมต่างๆ ตลอดจนจัดตั้งโรงครัวเพื่อบริการประชาชนตามที่หน่วยงานร้องขอ เนื่องในวันเด็กแห่งชาติ, วันสำคัญทางศาสนา, งานวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทั้งยังมีกิจกรรมอื่น ๆ อีกมากมายตามที่ได้ปรากฏทางสื่ออยู่เป็นระยะ

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

แฉต่อ!! ‘ศูนย์กีฬาอ่อนนุช’ ซื้อเครื่องออกกำลังกาย 21 รายการ งบ 15 ลบ. แถมซื้อเสร็จก็ไม่มีที่ไว้ ต้องจับมายัดใส่ในตู้คอนเทนเนอร์เล็กๆ

(1 ส.ค. 67) จากเพจ 'ชมรมSTRONGต้านทุจริตประเทศไทย' ได้เปิดเผยว่า...

ศูนย์กีฬาอ่อนนุช จัดซื้อเครื่องออกกำลังกาย 21 รายการ งบ 15,696,600 บาท...

ซื้อเสร็จก็ไม่มีที่ไว้ มายัดไว้ในตู้คอนเทนเนอร์เล็ก ๆ แบบนี้แหละครับท่านผู้ชม…

รายละเอียดแต่ละเครื่องก็อย่างที่เราเคยนำเสนอไปแล้ว ลู่วิ่ง 7.5 แสน ฯลฯ 

ติดตามกันต่อไป..

#สร้างสังคมไม่ทนต่อการทุจริต 
#ศูนย์ปฏิบัติการSTRONGประเทศไทย
#กองการกีฬา #สำนักวัฒนธรรม #กีฬา และ #การท่องเที่ยว #กรุงเทพมหานคร

รางวัลที่ควรแก่การมอบชีวิต น้องฝ้ายช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้คนไทย

รางวัลที่ควรแก่การมอบชีวิตน้องฝ้ายช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้คนไทยที่กำลังจมทุกข์กับปัญหานานัปการให้หยัดยืนสู้ปัญหาไม่ท้อแท้ท้อถอย แม้น้องฝ้ายไม่มีแขนไม่มีมือ แต่ใช้เท้าแต่งหน้า โด่งดังมากในโลกออนไลน์ แม้ร่างกายจะพิการ แต่ใฝ่เรียนจนจบปริญญาตรี 

ล่าสุด วันนี้ น้องฝ้าย เป็นเจ้าของแบรนด์เครื่องสำอาง และยังเป็นนักพูดสร้างแรงบัลดาลใจ ผมก้มลงมอบรางวัลให้เธอเสมือนศิษย์มอบพวงมาลัยดอกไม้ให้ครูบาอาจารย์ เพราะเพียงชั่วเวลาสั้นๆ เธอได้สอนบทเรียนชีวิตบทสำคัญให้กับผม 

อลงกรณ์ พลบุตร
31 ก.ค. 2024

IWRM ลงนามขายน้ำให้นิคม TFD รองรับกลุ่มอุตสาหกรรม PCB มูลค่ากว่า 1,500 ล้านบาท

PCB พร้อม...น้ำพร้อม!!  บริษัท เจซีเค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (JCK) ผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรม TFD ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายน้ำเพื่ออุตสาหกรรม กับ บริษัท อินดัสเตรียล วอเตอร์ รีซอร์ส แมนเนจเม้นท์ จำกัด (IWRM) ผู้ให้บริการน้ำแก่นิคมอุตสาหกรรม TFD 2 และส่วนขยาย เพื่อเสริมสร้างเสถียรภาพทางด้านน้ำ และสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ใช้น้ำของนิคมฯ ในระยะยาว

นายธนวัฒน์ สันตินรนนท์ กรรมการ IWRM เปิดเผยว่า การลงนามในสัญญาซื้อขายน้ำเพื่ออุตสาหกรรมครั้งนี้ เพื่อรองรับความต้องการใช้น้ำของกลุ่มอุตสาหกรรม PCB ในพื้นที่นิคมTFD 2 และส่วนขยาย ปริมาณสูงสุด 20,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน หรือประมาณ 7.3 ล้าน ลูกบาศก์เมตรต่อปี  โดยมีระยเวลาของสัญญา 25 ปี มูลค่ากว่า 1,500 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถเริ่มส่งน้ำให้แก่นิคมฯ ภายในไตรมาสแรกของปี 2568

นิคมอุตสาหกรรม TFD 2 มีเนื้อที่กว่า 1,000 ไร่ ปัจจุบันพื้นที่ได้รับการจัดสรรหมดเป็นที่เรียบร้อย และมีแผนจะขยายพื้นที่เพิ่มเติมอีกไม่น้อยกว่า 800 ไร่ โดยลูกค้าส่วนใหญ่ของนิคมฯ เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมในอนาคต (New S-curve) ซึ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ได้รับการส่งเสริมจากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี)  


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top