Saturday, 5 July 2025
NEWS FEED

เบื้องลึก!! 'บิ๊กน้อย' พลเรือเอก อาภากร อยู่คงแก้ว คีย์แมนสำคัญ พา '13 หมูป่า' กลับสู่อ้อมอกชาวไทย

ผ่านพ้นมา 6 ปี (2561) กับเหตุการณ์ที่หลายคนยังคงจำกันได้ดี กับภารกิจช่วยเหลือ 13 หมูป่า ที่คนไทยทั้งประเทศนั้นต่างเอาใจช่วยกับเหตุการณ์นี้ ที่ถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน จังหวัดเชียงราย 

แน่นอนว่า ภารกิจในครั้งนี้ลุล่วงได้จากความร่วมมือร่วมใจจากหลายฝ่าย แต่มีอยู่อีกหนึ่งคนที่หลาย ๆคนยกย่องให้เป็นอีกหนึ่งฮีโร่สําคัญ ซึ่งเป็นบุคลากรแห่งกองทัพเรือที่เข้าไปช่วยเหลือเหตุการณ์ในวันนั้น 

พลเรือเอก อาภากร อยู่คงแก้ว หรือ 'บิ๊กน้อย' ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพเรือ อดีตผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 3  

เกี่ยวกับเรื่องนี้ พลเรือเอก อาภากร เล่าว่า จากวันนั้นถึงวันนี้ ตนยังจําเหตุการณ์นั้นได้จําได้ดี เพราะว่าเป็นเหตุการณ์ที่สําคัญ และไม่ได้สําคัญกับแค่ประเทศไทย แต่ว่าสําคัญทั้งโลกจริง ๆ กับปฏิบัติการดังกล่าว

"ย้อนไปเมื่อวันที่ 8 ก.ค. ของเมื่อ 6 ปีที่แล้ว เป็นช่วงเวลาแห่งการลุ้นระทึก เพราะว่าเป็นช่วงที่มีการช่วยเหลือคนแรกออกมา ซึ่งใจจดใจจ่อว่าเขาจะรอดชีวิตหรือไม่ และเมื่อนักดำน้ำชาวอังกฤษได้นำตัวเด็กคนแรกแบบปลอดภัยไปยังเนินนมสาว โถงสาม ก็ทำให้เกิดเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนมีความสุข" พลเรือเอก อาภากร กล่าวพร้อมทั้งเล่ารายละเอียดในช่วงเวลานั้น ว่า...

สำหรับปฏิบัติการช่วย 13 หมูป่านั้น เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 23 มิถุนา ของ 6 ปีที่แล้ว หลังเกิดเหตุเด็กติดอยู่ในถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน ซึ่งเขาก็เข้าไปก็ตามประสาเด็ก ๆ เพียงแต่ว่าช่วงเวลานั้น อาจจะฤดูกาลมันไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่ ประกอบกับว่าฝนตกเร็วในช่วงนั้น

เมื่อทราบเรื่อง ทางจังหวัด ก็มีพยายามเข้าไปช่วยกู้ ภัยของทางจังหวัดเข้าไปช่วยทันที เพียงแต่จุดเกิดเหตุเป็นจุดเสี่ยงก็คือว่า ในช่องระหว่างที่ใกล้จุด 3 แยก ถ้านึกภาพได้จะมี 3 แยก หากเข้าไปในถ้ำ โดยจากปากถ้ำไปประมาณสองกิโลมันจะมีเป็นทางแยกนะครับ ซึ่งบริเวณนั้นจะต้องมุดลง คือตอนเด็กเดินเข้าไป เด็กก็จะมุดแล้วก็เดินไปต่อ ซึ่งช่องนั้นเป็นช่วงที่น้ำเต็ม แล้วก็มีทรายมาปิดอยู่

ดังนั้นในการที่จะเข้าไปช่วยเหลือนั้นจะมีความเสี่ยงสูงมาก ซึ่งทางผู้ว่าฯ หมูป่า (ณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร) ก็บอกว่า หากสถานการณ์เป็นแบบนี้ ก็ต้องให้หน่วยที่มามีความเชี่ยวชาญในการดําน้ำไปปฏิบัติ และ ผว.ท่านก็เลยได้ปรึกษากับทาง ผอ. หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลําน้ำโขงที่เชียงราย และทางเขตเชียงราย ก็แจ้งไปที่ ผบ.หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขงที่เขตนครพนม และก็มีการขอชุดจากกองทัพเรือ ซึ่งก็คือ 'หน่วยซีล' (หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ) มาจะช่วยปฏิบัติ โดยขณะนั้น ผมเป็น ผบ.หน่วยซีล อยู่

ตอนนั้น ผมได้รับคําสั่งจากผู้บัญชาการกองเรือยุทธการในขณะนั้นคือ พลเรือเอกรังสฤษดิ์ สัตยานุกูล ซึ่งท่านก็ได้โทรศัพท์มาหาผมให้รีบจัดทีมไปช่วยเหลือ

วันที่ 23 ทราบข่าว วันอาทิตย์วันที่ 24 ก็จัดทีมกันไปด่วนเลย โดยทางกองทัพเรือก็ได้เตรียมเครื่องบินให้ โดยออกจากอู่ตะเภาเที่ยงครึ่งของคืนวันที่ 24 ไปถึงจุดหมายประมาณตีสองกว่า ๆ ภายใต้กำลังพล 17 นาย (หน่วยซีลมีการประจำการทุกเหตุการณ์ด่วนตลอด 24 ชม.)

หน้างานในวันแรก มีนาวาเอก อนันท์ สุราวรรณ์ เป็นผู้นำกำลังไปถึง และก็เริ่มเข้าไปในถ้ำเพื่อไปช่วยเด็กทันที เพราะมันต้องทํางานแข่งกับเวลา แต่ว่าก็เจอความยากลําบากเยอะ เพราะผมได้รับรายงานว่าพอไปถึงสามแยกแล้ว การที่จะมุดช่องที่ผมกล่าวไปก่อนหน้านั้นมันยากลําบากพอสมควร และเมื่อผ่านไปได้แล้ว ก็ยังต้องดําน้ำต่อ โดยไม่มีรายละเอียดว่าจะต้องดําน้ำไปไกลเท่าไร มืดแปดด้านมาก ๆ 

นอกจากนี้ ยังต้องคิดเผื่อไว้ด้วยว่า ตัวเด็ก ๆ ไปถึงตรงไหนแล้วบ้าง และถ้าหากเราดําน้ำเข้าไปมันจะสุดที่จุดไหนและเมื่อไร กอปรกับอุปกรณ์ดําน้ำของเราเนี่ยก็คือเราใช้ขวดอากาศขวดเดียว ซึ่งมีข้อจำกัดในการใช้งานได้แค่ประมาณครึ่งชั่วโมงเท่านั้น และยิ่งต้องทำงานในภาวะที่ใช้กําลังเยอะด้วย เวลาของอากาศก็จะยิ่งลดน้อยลงไปอีก และอย่าลืมว่า แต่ละคนที่ดําน้ำลงไป ก็ต้องเผื่อเวลากลับมาด้วย

"พอสถานการณ์มีความยากเช่นนั้น ผมเองจึงต้องไปดูด้วยตาตัวเอง เพราะว่าอยู่สัตหีบจะมองภาพไม่ออกได้แค่รับรายงาน ก็เลยต้องไปด้วยตัวเองเมื่อวันที่ 26 ช่วงบ่าย" พลเรือเอก อาภากร กล่าว

ตรงนี้สำคัญมาก โดยพลเรือเอก อาภากร เผยว่า การที่เราจะตัดสินใจสั่งการอะไรไป ถ้าเราไม่เห็นสภาพความเป็นจริง เราอาจจะสั่งผิดได้ เพราะฉะนั้นผมต้องไปเห็นก่อน จึงจะมาประมวลว่า เราควรจะต้องแก้ปัญหาอย่างไร ซึ่งผมเองก็ได้เข้าไปจากปากถ้ำ ใช้เวลาประมาณสัก 45 นาที จะได้ระยะประมาณหนึ่งกิโล ก็จะเห็นได้ว่าสภาพของถ้ำบางช่วงเดินได้สะดวก บางช่วงต้องไต่ไปตามโขดหิน บางช่วงเป็นรูแคบ ๆ แล้วก็ต้องไต่ลงไปข้างล่าง

ขณะที่ บางช่วงของถ้ำตรงด้านผนังด้านบนจะเป็นเหมือนโคลน ก็ประเมินได้ว่า ก่อนหน้านี้ช่วงดังกล่าวเคยมีน้ำเต็มถ้ำ แต่บางช่วงถ้าไม่มีโคลน เราก็จะประเมินได้ว่าตรงจุดนี้น้ำไม่เต็ม อย่างกรณีโถงสามซึ่งเป็นโถงที่ใหญ่ ผนังด้านบนไม่มีโคลน และก็เป็นห้องที่ใหญ่พอสมควร และนั่นก็ทําให้ผลสามารถตัดสินใจได้ว่า จะใช้โถงสามเป็นฐานปฏิบัติการส่วนหน้า ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ถือเป็นการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจ เป็นต้น

พลเรือเอก อาภากร เล่าต่อว่า ผมเข้าไปตอนหนึ่งทุ่ม ออกมาอีกทีตอน 10 โมงเช้า ซึ่งในช่วงเวลานั้นก็ต้องทำหลายเรื่องไปพร้อม ๆ กัน แต่ที่สัมผัสได้อย่างชัดเจน คือ ความยากลำบากในการทำงาน และที่ต้องออกมาก่อน ก็เพราะน้ำขึ้นเยอะ จนทั้งหมดต้องถอยออกมา 

ต้องบอกแบบนี้ ว่า ตอนที่เราเข้าไปถึงโถงสามนั้น ก็เป็นระยะทางร่วม 2 กิโลเมตร แต่พอน้ำขึ้น เราก็ต้องถอยออกมาจนถึงปากน้ำ ซึ่งก็คือ เหมือนกลับมาจุดเริ่มต้น คำถาม คือ แล้วทางหน่วยของเราจะทําอย่างไรถึงจะเข้าไปช่วยเด็ก ๆ ได้ แล้วตอนที่เราถอยออกมานั้น ยังต้องประเมินอีกว่าน้อง ๆ ไม่กินข้าวทุกวันจะเป็นอย่างไรบ้าง? สภาพร่างกายเป็นอย่างไรแล้ว? น้อง ๆ จะอยู่ตรงไหน? แล้วที่สำคัญยังมีชีวิตอยู่หรือจมน้ำที่ท่วมเข้ามาหรือเปล่า? มันมีหลากหลายเรื่องให้ต้องคิดพิจารณา

แน่นอนว่า ไม่เพียงการประเมินผู้ประสบภัยเท่านั้น แต่เมื่อเห็นสถานการณ์จริงแล้ว ก็จำเป็นต้องประเมินความเสี่ยงของเจ้าหน้าที่อีกด้วย 

แต่ถึงกระนั้น พลเรือเอกอาภากร ก็มองว่า เมื่อตนเป็นหน่วยที่ได้รับคําสั่งแล้ว ก็จะต้องปฏิบัติภารกิจไปให้สุดทาง จะไม่ล่าถอยหรือว่าล้มเลิกภารกิจ ต้องไปหาน้อง ๆ ให้เจอ ไม่ว่าจะมีชีวิตอยู่หรือเสียชีวิตก็ตาม

2 กรกฎาคม เป็นระยะเวลาที่ล่วงเลยไปกว่า 10 วันของ 13 หมูป่า แต่ถือเป็นเรื่องที่เซอร์ไพรส์อย่างมาก เพราะเป็นช่วงเวลาที่เจ้าหน้าที่ได้เข้าถึงตัวเด็ก ซึ่งตอนนั้น พลเรือเอก อาภากร ก็กังวลว่า การที่เด็กไม่ได้ทานอาหารหลายวัน จะอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่อิดโรย แต่โชคดี คือ ยังได้เห็นว่า เด็ก ๆ ยังตื่นตัว ถ้าใครเห็นภาพวันนั้น จะพบว่า เด็กวิ่งออกมาได้จากจุดที่พักในถ้ำ แล้วเมื่อนักดำน้ำสอบถามพวกเขา เขาก็สามารถโต้ตอบได้ดี เพียงแต่จะมีลักษณะของการอิดโรย ซึ่งก็ดีกว่าที่เราคาดไว้มาก ๆ

เมื่อได้เจอ 13 หมูป่า แล้ว ทีนี้ก็ถือเป็นช่วงเวลาสุดระทึก เพราะจะเป็นขั้นตอนของการนำตัวเด็ก ๆ ออกมา ซึ่งต้องบอกว่า ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเขาไม่ได้แข็งแรงเหมือนเรา และเขาก็ไม่ใช่นักดำน้ำ เบื้องต้นหลังนักดำน้ำอังกฤษเจอตัว เราก็เตรียมการและส่งทีมไปพร้อมอาหารทันที แล้วก็ฟังสถานการณ์จากทีมดำน้ำที่เข้าไปว่า ข้างในเป็นอย่างไร เพื่อนำมาประเมินเป็นแนวทางในการช่วยเหลือ

"เราพยายามคิดหลาย ๆ วิธี ทั้งในเรื่องที่จะให้เด็ก ๆ ดําน้ำออกมาเนี่ย ก็ถือว่าเป็นวิธีที่เสี่ยงที่สุด เพราะว่าถ้าเด็กเกิดแพนิคหรือตื่นตระหนก ก็จะเป็นอันตรายอย่างมาก และก็จะเป็นอันตรายต่อผู้เข้าไปช่วยเหลือด้วยเช่นกัน" พลเรือเอก อาภากร เสริม

ทว่า สถานการณ์ที่ดูเหมือนจะราบรื่น กลับเกิดคลื่นความเสี่ยงใหม่ โดย พลเรือเอก อาภากร เล่าว่า จังหวะที่จะเข้าสู่การพาเด็กออกมานั้น ก็เกิดกรณีอากาศภายในถ้ำลดลง เหตุจากเมื่อมีน้ำมาปิดรอบ ๆ จุดที่เรียกว่า โถง 9 นั้น ผนวกกับการหายใจที่ทำให้คาร์บอนไดฯ เพิ่มขึ้นนั้น ส่งผลให้ปริมาณออกซิเจนภายโถง 9 ลดลง เหลือแค่ประมาณ 15% ซึ่งน้อยมาก และจาก 15 ก็ค่อย ๆ ลดลงเหลือ 12 ซึ่งกลายเป็นเรื่องน่าห่วงอย่างมาก

"แน่นอนว่า สถานการณ์แบบนี้ เจ้าหน้าที่ทุกคนที่ไปอยู่ตรงนั้น จะเลือกดำน้ำออกมาเลยก็ได้ แต่นั่นคือ การทิ้งเด็ก ซึ่งเราทำไม่ได้ ก็เครียดกันพอสมควร แต่พยายามหาวิธีต่าง ๆ ที่จะพยุงสถานการณ์ เช่น เอาออกซิเจนไปเติมในโถงที่น้อง ๆ อยู่ ซึ่งก็ไม่ง่ายแต่ก็ต้องทำ...

"ขณะเดียวกัน ช่วงนั้นก็เกิดเหตุสลด เมื่อเราต้องสูญเสีย 'จ่าแซม' ไปในขณะปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งตอนนั้น ผมก็ต้องปลุกขวัญกําลังใจพี่น้องเรา และต้องออกไปแถลงข่าวยืนยันกับประชาชนทั่วไป รวมทั้งทั่วโลกด้วยว่า การเสียชีวิตของจ่าแซมเนี่ยจะไม่มีวันสูญเปล่า"

สำหรับวิธีการนำตัวเด็กออกมานั้น พลเรือเอก อาภากร เล่าว่า ต้องใช้วิธีการให้เด็กไม่แพนิค ก็คือ จะต้องให้เด็กหลับ และสวมอุปกรณ์ที่เรียกว่า Full Face Mask ซึ่งเป็นหน้ากากแบบใส่เต็มหน้า แล้วก็ปล่อยอากาศให้เด็กหายใจ

วันที่ 8 ก.ค.ของเมื่อ 6 ปีที่แล้ว 13 หมูป่าคนแรก ก็ออกมาอย่างปลอดภัย จนถึงวันที่ 10 ก.ค.ทุกคนรอดชีวิตกันทั้งหมด ภารกิจจบสมบูรณ์ เหลือไว้ซึ่งความอาลัยในผู้กล้าอย่าง 'จ่าแซม' 

สำหรับภารกิจในการช่วยชีวิต 13 หมูป่า ถือเป็นอีกหนึ่งภารกิจระดับโลก ที่แม้ว่าในเบื้องต้นหลายคนจะมองว่า 'เป็นไปไม่ได้' แต่สุดท้ายด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วน และการตัดสินใจของผู้นำภารกิจที่รอบคอบ ทำให้เหตุการณ์ในครั้งนี้จบลงด้วยคำว่า 'เป็นไปได้' ไปในที่สุด...

‘กมธ.อุตฯ’ เผย ‘กากแคดเมียม’ ขนถึงจ.ตาก ครบ 100% คาด!! ดำเนินการฝังกลบเสร็จเรียบร้อย ภายใน 30 พ.ย.67

(31 ก.ค. 67) รายงานข่าวระบุว่า กมธ.การอุตสาหกรรม เผยความคืบหน้ากรณีกากแคดเมียมล่าสุด รับรายงานขนย้ายจาก 3 จังหวัด ถึงโรงพักคอยจังหวัดตาก จำนวน 12,912 ตัน ครบ 100% แล้ว ระบุ ขั้นตอนต่อไปรอตรวจสอบความสมบูรณ์ของบ่อในวันที่ 5 สิงหาคมนี้ คาดดำเนินการฝังกลบได้เสร็จเรียบร้อยภายใน 30 พฤศจิกายน 2567

นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วย นางสาวกมนทรรศน์ กิตติสุนทรสกุล สส.ระยอง นายรัฐ คลังแสง สส.มหาสารคาม และนายชิษณุพงศ์ ตั้งเมธากุล สส.นครปฐม ร่วมแถลงความคืบหน้าการขนย้ายกากตะกอนแคดเมียมในพื้นที่ต่าง ๆ กลับสู่จังหวัดตาก ว่า… 

ในวันนี้ คณะกรรมาธิการได้เชิญผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูลต่อคณะกรรมาธิการ ได้แก่ กระทรวงอุตสาหกรรม สนง.ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ และกรมโรงงานอุตสาหกรรม โดยกระทรวงอุตสาหกรรมได้ดําเนินการขนย้ายกลับไปสู่จังหวัดตากตั้งแต่วันที่ 29 เมษายน 2567 จนครบ 100% เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2567 ซึ่งขณะนี้กากตะกอนแคดเมียมอยู่ที่โรงพักคอยทั้งหมด 12,912 ตัน เป็นตัวเลขที่ชั่งน้ำหนักที่ปลายทางที่จังหวัดตาก 

อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบก่อนหน้านี้ พบว่า ได้มีการแจ้งขนย้ายจริงคือขออนุญาต 15,000 ตัน แต่มีการแจ้งเข้าไปในระบบอิเล็กทรอนิกส์ 13,800 ตัน แต่จากการตรวจโดยการคํานวณปริมาตรคร่าว ๆ จะอยู่ที่ 12,948 ตัน และเมื่อขนกลับไปแล้วชั่งน้ำหนักจริงก็จะเหลือ 12,912 ตัน

ส่วนขั้นตอนฝังกลบนั้น หลังจากนี้จะต้องทำการตรวจสอบบ่อฝังกลบที่ 4 และ 5 ก่อนว่ามีความพร้อมหรือไม่ ซึ่งจากข้อมูลพบว่าบ่อที่ 4 ตอนที่ขนออกมานั้น มีกากแคดเมียมเหลืออยู่ครึ่งบ่อ ดังนั้น ขั้นตอนต่อไปต้องดําเนินการตรวจสอบการรั่วซึมหรือไม่ โดยทางกรมทรัพยากรเหมืองแร่ฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะเข้าไปดำเนินการในวันที่ 5 สิงหาคมนี้ 

เนื่องจากที่ผ่านมาค่าการตรวจสอบความรั่วซึมของกรมควบคุมมลพิษกับทางวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ค่ายังไม่ตรงกัน จึงต้องเข้าไปตรวจสอบโดยละเอียดอีกครั้ง และหากว่าตรวจสอบแล้วไม่พบการรั่วซึม ก็จะขนย้ายจากโรงพักคอยไปเก็บที่บ่อ 4 ให้เต็ม ส่วนบ่อที่ 5 ขณะนี้ได้ทำการซ่อมแซมไปแล้ว และในวันที่ 5 สิงหาคมที่จะถึงนี้ จะทําการตรวจสอบอีกครั้ง หากไม่มีการรั่วซึมก็จะดําเนินการขนย้ายจากโรงพักคอยนะครับ 12,912 ตัน ไปเก็บในบ่อที่ 5 ต่อไป

นายอัครเดช กล่าวย้ำว่า หลังจากนี้ คณะทํางานที่ท่านนายกรัฐมนตรี ได้แต่งตั้ง ซึ่งมีท่านปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธาน จะดําเนินการขนย้ายจากโรงพักคอยไปเก็บไว้ที่บ่อฝังกลบให้เสร็จภายใน 30 พฤศจิกายน 2567 ซึ่งก็จะทำให้ภารกิจเสร็จสิ้นสมบูรณ์ แต่ตอนนี้ขั้นตอนต่าง ๆ ยังไม่เสร็จ เพราะว่าต้องรอตรวจสอบบ่อกักเก็บกากแคดเมียมว่ามีความแข็งแรงไม่รั่วซึมก่อน จากนั้นจึงจะสามารถทำการขนย้ายจากโรงพักคอยไปที่บ่อฝังกลบต่อไป

“ตอนนี้ขอเรียนให้พี่น้องประชาชนทั้งที่สมุทรสาคร กรุงเทพมหานคร และชลบุรี ได้อุ่นใจว่ากากแคดเมียม ซึ่งเป็นสารอันตรายได้ถูกเคลื่อนย้ายออกจากพื้นที่แล้ว และที่สําคัญได้มีการส่งมอบพื้นที่คืนเรียบร้อยแล้ว โดยพื้นที่กรุงเทพมหานคร ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือกรมควบคุมมลพิษได้เข้าไปตรวจสอบ พบว่า ไม่มีสารตกค้างแล้ว 100% ส่วนที่ชลบุรีก็ได้มีการเข้าไปดูดฝุ่นและก็ไม่พบสารตกค้างเช่นกัน รวมถึงอีก 2 บริษัท ที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้ ก็ได้ตรวจสอบสารตกค้าง และตอนนี้สามารถส่งพื้นที่ได้เรียบร้อย ดังนั้น ขอให้พี่น้องประชาชนใน 3 จังหวัด ทั้ง 5 พื้นที่ อุ่นใจได้ ส่วนที่โรงพักคอยจังหวัดตากจะลงบ่อฝังกลบเมื่อไหร่ จะแล้วเสร็จทันกําหนดวันที่ 30 พฤศจิกายน หรือไม่ ทางคณะกรรมาธิการฯ ได้หารือร่วมกับทางกระทรวงอุตสาหกรรม และจะติดตามการทํางานของเจ้าหน้าที่ภาครัฐต่อไป ส่วนเรื่องของการดําเนินคดีนั้น ก็ยังมีการติดตามอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในสัปดาห์หน้าก็จะเชิญหน่วยงานมาชี้แจง และจะรายงานความคืบหน้าให้ได้ทราบต่อไป” นายอัครเดช กล่าว

รองผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นผู้แทนผู้บัญชาการทหารเรือ ร่วมงานเลี้ยงรับรองครบรอบ 97 ปี วันกองทัพปลดปล่อยสาธารณรัฐประชาชนจีน

เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.67) พล.ร.อ.สุวิน แจ้งยอดสุข รองผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นผู้แทนผู้บัญชาการทหารเรือ พร้อมด้วยคณะผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพเรือ ร่วมงานเลี้ยงรับรองเนื่องในวันกองทัพปลดปล่อยสาธารณรัฐประชาชนจีน ตามคำเชิญของสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย โดยมี พล.ร.ต.Wang Zheng ผู้ช่วยทูตทหารสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำกรุงเทพมหานคร เป็นเจ้าภาพ ณ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมแชงกรี-ลา กรุงเทพมหานคร

ไทยและจีน สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน เมื่อ 1 ก.ค.2518 ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศมีความใกล้ชิด มีการแลกเปลี่ยนการเยือนในทุกระดับอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีที่ได้เสด็จฯ เยือนจีนมากกว่า 40 ครั้งในทุกมณฑล

ทั้งนี้ความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพเรือไทย และกองทัพเรือจีนเป็นไปอย่างใกล้ชิด ที่สำคัญดังนี้
- การแลกเปลี่ยนการเยือนของเรือรบ ระหว่างกองทัพเรือ 2 ประเทศ อย่างสม่ำเสมอ
- การศึกษา 
กระทรวงกลาโหมจีนสนับสนุนที่นั่งในการศึกษาให้กองทัพเรือไทย เช่น หลักสูตรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร , วิทยาลัยการทัพเรือ , โรงเรียนเสนาธิการทหารเรือ และที่นั่งในการศึกษาที่โรงเรียนนายเรือต้าเหลียนแก่นักเรียนนายเรือ ทั้งนี้กองทัพเรือไทยสนับสนุนที่นั่งการศึกษาหลักสูตรโรงเรียนเสนาธิการทหารเรือให้กับกำลังพลของกองทัพเรือจีน

- การประชุม มีการจัดการประชุม Navy To Navy Talks ระหว่างกองทัพเรือไทยและกองทัพเรือจีน ครั้งที่ 1 ระหว่าง 18 - 22 ก.ย.66 ณ เมืองพัทยา จ.ชลบุรี
- การฝึกผสม Blue Strike เป็นการฝึกในลักษณะทวิภาคี ระหว่างกองทัพเรือไทยและกองทัพเรือจีน
- การฝึกผสม ASEAN – CHINA Maritime Exercise 2019 (ACMEX 2019) ระหว่างกองทัพเรืออาเซียนกับกองทัพเรือจีน
- การจัดหายุทโธปกรณ์ กองทัพเรือมีการจัดหายุทโธปกรณ์และการปรับปรุงขีดความสามารถของเรือฟริเกตจากจีน รวมถึงการจัดหาอาวุธ และระบบอาวุธ เป็นต้น

จากความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกันมาอย่างยาวนานส่งผลให้กองทัพเรือไทยและกองทัพเรือจีนมีความร่วมมือที่ดีในหลายมิติด้านความมั่นคงทางทะเล เป็นไปตามนโยบายยุทธศาสตร์ของกองทัพเรือในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อมิตรประเทศ การมีบทบาทนำด้านความร่วมมือที่ส่งเสริมความมั่นคงในภูมิภาคให้สูงขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

‘ครูเดวิด’ เผยให้สัมภาษณ์ CNN ปม Apple เหยียดเมืองไทย ลั่น!! ไม่ต้องเสียใจที่โดนดูถูก เพราะวันนี้เสียงคนไทยดังไปทั่วโลก

เมื่อวานนี้ (30 ก.ค. 67) ‘เดวิด วิลเลี่ยม’ ชาวต่างชาติที่สอนภาษาอังกฤษในประเทศไทย และเป็นเจ้าของช่อง Tiktok @davidwilliamdw ที่มีผู้ติดตามเกือบ 3 ล้านคน ได้โพสต์วิดีโอพร้อมเล่าเรื่องราวว่า CNN ขอติดต่อสัมภาษณ์ ประเด็นโฆษณาของ Apple ที่มีผลกระทบต่อภาพลักษณ์เมืองไทย โดยจะลงคลิปที่ให้สัมภาษณ์กับทาง CNN ในโอกาสต่อไป เพราะเพิ่งให้สัมภาษณ์จบ

“การสัมภาษณ์ในครั้งนี้ สิ่งที่พี่พูดเต็มปาก คือ สนามบินในไทยเป็นหนึ่งในสนามบินที่เลิศที่สุดในโลก แล้วพี่ก็พูดต่อในเรื่องความปลอดภัยในบ้านเราด้วย ตั้งแต่มาอยู่ประเทศไทยไม่เคยต้องห่วงเรื่องนี้เลย สำหรับใครที่ทุกข์มากกับโฆษณานี้ พี่อยากจะบอกว่าไม่ต้องเครียดแล้ว เพราะคนไทยมีเสียงทั่วโลกในตอนนี้” ครูเดวิดกล่าว

ย้อนไปที่จุดเริ่มต้นดรามาร้อนแรง กรณีโฆษณา iPhone ในช่อง Youtube Apple UK ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา ได้ทำให้หลายคนออกมาแสดงความคิดเห็นถึงความไม่เหมาะสม ในการนำเสนอภาพประเทศไทย ด้วยมุมมองที่ล้าหลัง 

ซึ่งในวันที่ 29 กรกฎาคมที่ผ่านมา ดาราหนุ่มซี ศิวัฒน์ ก็ออกมาวิจารณ์โฆษณานี้เช่นกันว่า “ไม่ขำ” และ “อยากเขวี้ยง iphone ทิ้ง” รวมถึงคนมีชื่อเสียงคนอื่น ๆ และชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยจำนวนมาก ต่างออกมายืนยันว่าภาพในโฆษณานั้นต่างกับความเป็นจริงในประเทศไทยมาก

ในโฆษณาดังกล่าว มีหลายช่วงที่ทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยดูแย่ เช่น ขนส่งสาธารณะแออัด นั่งเรือแล้วเมาจนอ้วก นั่งรถเมล์แล้วต้องอุ้มลูกให้คนอื่น ไม่มีแท็กซี่จนต้องนั่งรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้าง สนามบินเล็กและคนเยอะ พนักงานสนามบินทำให้กระเป๋าผู้โดยสารหายไป แท็กซี่พาไปผิดโรงแรม อีกทั้งยังพูดว่า “I think she likes me” กับผู้หญิงไทยอีกด้วย

จากการนำเสนอภาพของระบบขนส่งสาธารณะในประเทศไทยด้วยบรรยากาศที่แย่ รวมถึงพยายามถ่ายทอดภาพให้ ‘ฝรั่ง’ หรือชาวตะวันตกในโฆษณา สูงส่งกว่าคนไทย ทั้งในแง่ของมุมมองภาพ การกระทำ และวัฒนธรรม เช่น ถามว่าในโรงแรมที่ประเทศไทยมีแอร์ หรือห้องน้ำไหม?

อีกทั้งยังมีประเด็นเรื่องการย้อมสีภาพสำหรับฉากในประเทศไทย ให้กลายเป็นสีโทนร้อน ออกแนวเก่า ๆ ซึ่งเป็นโทนสีที่วงการภาพยนตร์มักใช้นำเสนอฉากหรือภูมิประเทศที่มีความล้าหลัง หรือด้อยพัฒนา เมื่อโฆษณา iPhone เลือกใช้โทนสีดังกล่าว ประกอบกับเขียนสตอรี่ให้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในประเทศไทยล้วนเต็มไปด้วยความยากลำบาก และไม่สะดวกสบาย จนทำให้ฝรั่งอยากกลับบ้าน ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นสาเหตุให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก นับตั้งแต่วันที่ปล่อยโฆษณานี้ออกมาสู่โลกออนไลน์

ศึกช่วงชิง 10 ที่นั่งเฟ้นหาตัวแทนภาคสุดท้าย เข้ารอบชิงชนะเลิศฯ คว้าถ้วยพระราชทานฯ บนเวทีการแข่งขัน Cabling Contest ปีที่ 12 ตอกย้ำความเชี่ยวชาญ สู่ความสำเร็จเป็นเยาวชนสุดยอดทักษะด้านสายสัญญาณของประเทศ

วันนี้ (31 ก.ค. 67) ผลการแข่งขัน Cabling Contest ปีที่ 12 รอบคัดเลือกภาคสุดท้ายกับ 10เยาวชนคนเก่ง เข้าไปชิงชัยเป็นที่ 1 ของประเทศ บนเวทีสุดยิ่งใหญ่แห่งปี ค้นหาผู้ที่มีทักษะด้านสายสัญญาณ ชิงถ้วยพระราชทานฯ จากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และถ้วยรางวัลเกียรติยศ และเงินรางวัลมูลค่ารวมกว่า 400,000 บาท โดย บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน ผลักดัน ตอกย้ำ และต่อยอดผู้ที่มีทักษะเฉพาะด้าน ก้าวสู่ความสำเร็จในอนาคตอย่างไร้ขีดจำกัด จากความตั้งมั่นที่ “จะนำเทคโนโลยีมาพัฒนาประเทศไทย” จึงเปิดโอกาสให้เยาวชนผู้ที่มีความสามารถจากทั่วทุกสถาบันทั่วประเทศ พร้อมกับความตั้งใจที่นำความเชี่ยวชาญอันโดดเด่นจากสินค้า และอุปกรณ์ LINK AMERICAN & GERMAN RACK ต่อยอดสู่การแข่งขัน เพื่อสร้างเสริม พัฒนาศักยภาพ และยกระดับคุณภาพทางการศึกษา นำความรู้ไปพัฒนาระบบที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีทางด้านสายสัญญาณแห่งยุค (Digital Infrastructure) และนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง และสังคม สร้างอาชีพที่เติบโตในอนาคต ก้าวไปสู่ความสำเร็จได้ทัดเทียมเท่านานาชาติอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

🔴สนับสนุนโดย LINK AMERICAN & GERMAN RACK EVERYWHERE

'เพจดัง' แชร์มุมมองสาวญี่ปุ่นอยู่ไทยมานานในอีกด้าน เผย!! ด้านดีเมืองไทยมีมาก แต่ก็ต้องระวังด้านมืดไว้ด้วย

(31 ก.ค.67) จากเพจ 'J-doradic' ได้โพสต์ข้อความของชาวญี่ปุ่นที่เผยผ่านแพลตฟอร์ม X โดยระบุว่า...

ในไทยไม่ได้มีแต่ด้านดีแต่อย่างเดียว หลังจากที่ตนแต่งงานอาศัยอยู่ที่ไทยนับสิบปี จึงสังเกตเห็นด้านมืดเหล่านี้ด้วย

หลังจากคุณซายากะ สาวลูกครึ่งญี่ปุ่น-อเมริกา เผยด้านดีของเมืองไทยหลายอย่าง จนทำให้เธอตัดสินใจย้ายมาอาศัยที่ประเทศไทยไปโพสต์ก่อนหน้า (https://www.facebook.com/share/p/u73HnqHo8JD55Hk9/?mibextid=oFDknk)

ก็มีชาวญี่ปุ่นใน X แอค Akbkk5 ซึ่งลงไบโอว่าแต่งงานกับสามีชาวไทย และ ทำงานที่ไทยมานับสิบปี พร้อมทั้ง ยังประกาศว่าตัวเองเป็นแฟนตัวยง Silly fools ยุคบังโตด้วย ออกมาให้ข้อมูลอีกมุมหนึ่ง ถึงด้านมืดของประเทศไทยดังนี้ 

**คำเตือน ใครโลกสวย ไม่แนะนำให้อ่านนะครับ

สิ่งที่คุณซายากะเขียน คือ ด้านดี ส่วนด้านมืด 

- ติดอันดับโลกในเรื่องการจราจรติดขัด, จำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนน, มลพิษทางอากาศในฤดูแล้ง และความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ
- เงินคือพระเจ้า
- ถ้าบ่นเจ้าหน้าที่รัฐ ชีวิตจบ
- เส้นสายสำคัญมาก
- มีการลักพาตัวเด็กค่อนข้างบ่อย
- ไม่ค่อยตรงต่อเวลา
- ฝนตกนิดหน่อยก็น้ำท่วม
- รถยนต์ ค่าไฟ ค่ารักษาพยาบาลแพง
- มีตำรวจรีดไถเยอะ
- พนักงานร้านค้าพูดจาส่งเดชเยอะ

แอดนี่ แปลไปกำหมัดแน่นไปเลย ไม่ใช่โกรธหรือไร หลายอย่าง เราเองก็ปฏิเสธไม่ลง 😅 

แล้วเพื่อน ๆ คิดเห็นยังไง?? หากไม่โลกสวย เห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ชาวญี่ปุ่นท่านนี้พูดหรือไม่?

พัดลมพกพา 'JISULIFE' ดูให้ดีก่อนซื้อ ! ขนาดของปลอมยังได้ความนิยมขายได้ 800 ล้านบาท จะได้ของดีไม่ผิดหวัง!

ในสภาวะที่อากาศของไทยที่ร้อนมาก สูงสุดกว่า 45 องศาเซลเซียส และกรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าบางพื้นที่อาจอุณหภูมิสูงสุดอาจเกิน 50 องศาเซลเซียส ผู้บริโภคจึงพากันมองหาผลิตภัณฑ์เพื่อคลายร้อน และเมื่อไม่นานมานี้ พัดลมพกพา JISULIFE มียอดขายพุ่งสูงบนแพลตฟอร์มออนไลน์ อาทิ Shopee และ Lazada ในประเทศไทย กลายเป็นหนึ่งในสินค้าที่ขายดีที่สุดในช่วงฤดูร้อนนี้ อย่างไรก็ตาม นี่ก็เป็นโอกาสให้มิจฉาชีพแฝงตัวเข้ามาเช่นกัน ตามสถิติทั่วโลกมีของปลอมขายได้ถึง 800 ล้านบาท

ระวังสินค้าปลอม:
เนื่องจากพัดลมพกพา JISULIFE มีความต้องการในตลาดสูง ทำให้มีสินค้าปลอมออกมามากมาย สินค้าปลอมเหล่านี้มักมีราคาถูก ภาพโฆษณาไม่ตรงกับสินค้าที่ขายจริง และใช้โลโก้แบรนด์โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นการหลอกลวงผู้บริโภคอย่างร้ายแรง ผู้บริโภคควรระมัดระวังในการซื้อสินค้าจากร้านค้าที่เชื่อถือได้เพื่อความมั่นใจที่จะได้รับของแท้ที่มีคุณภาพ สินค้าปลอมที่ไม่มีคุณภาพอาจมีความเสี่ยงในการระเบิดของแบตเตอรี่หรือใบพัดหลุดออกมา ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินอย่างร้ายแรง

ความอันตรายและตัวอย่างของสินค้าปลอม:
ปัจจุบันมีพัดลม JISULIFE ปลอมมากกว่า 1.1 ล้านเครื่อง ถูกขายออกไปแล้ว ทำให้ผู้บริโภคและแบรนด์สูญเสียมากกว่า 830 ล้านบาท ความอันตรายของสินค้าปลอมไม่ได้จำกัดแค่ความเสียหายทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นภัยต่อสุขภาพและความปลอดภัยของผู้บริโภคอีกด้วย

ล่าสุดมีผู้เสียหายร้องเรียนเข้ามา ว่าได้สั่งซื้อพัดลม JISULIFE HANDHELD FAN PRO 1S ผ่าน Shopee หลังจากได้รับสินค้าจึงพบว่าพัดลมไม่ตรงกับรูปภาพที่แสดงในร้านค้า เมื่อเทียบกับของแท้พบว่าพัดลมปลอมมีประสิทธิภาพลมและเวลาใช้งานต่ำกว่าของแท้มาก ที่น่ากังวลยิ่งกว่านั้นคือพัดลมปลอมใช้วัสดุคุณภาพต่ำและเสียหายภายในไม่ถึงสองสัปดาห์

อีกทั้งแบตเตอรี่และมอเตอร์ของพัดลมปลอมมีคุณภาพไม่เท่ากัน ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อความปลอดภัยอย่างมาก เคยมีเหตุการณ์ผู้บริโภคที่ใช้พัดลมปลอมประสบปัญหาแบตเตอรี่ร้อนเกินไปจนพัดลมไฟไหม้ โชคดีที่พบเห็นทันเวลาก่อนจะเกิดเหตุร้าย นอกจากนี้ใบพัดของพัดลมปลอมอาจหลุดออกมาในขณะใช้งาน ทำให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้และคนรอบข้าง ความเสี่ยงเหล่านี้ทำให้สินค้าปลอมไม่เพียงแต่ทำให้ผู้บริโภคสูญเสียเงิน แต่ยังอาจเป็นภัยต่อชีวิตและความปลอดภัยของพวกเขาด้วย

เพื่อแก้ไขปัญหานี้ เราได้ติดต่อกับทีมงานของ JISULIFE เพื่อสอบถามเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังพัดลมรุ่น Handheld Fan Pro 1S ซึ่งเป็นสินค้าขายดี คำตอบที่ได้น่าทึ่งมาก ไม่คิดว่าพัดลมขนาดเล็กนี้จะมีเทคโนโลยีมากมายที่ซ่อนอยู่ในตัว เช่น เทคโนโลยี Air-Turbo ที่สามารถดูดอากาศเข้ามาได้จำนวนมากและเร่งความเร็วในช่องอากาศเพื่อพัดลมให้แรงลมมากขึ้น โดยเทคโนโลยีมอเตอร์ประหยัดพลังงานความเร็วสูงที่ไม่เพียงแต่ให้ความเร็วรอบสูงถึง 9 เมตรต่อวินาที แต่ยังช่วยลดการใช้พลังงานเมื่อทำงานที่ความเร็วสูง ทำให้ใช้งานได้นานถึง 18.5 ชั่วโมง/ต่อครั้ง การชาร์จเร็วผ่านพอร์ต Type-C และหน้าจอแสดงผล LED ที่แสดงความเร็วลมและปริมาณแบตเตอรี่ ทำให้ผู้ใช้สามารถรับรู้สถานะได้ตลอดเวลา และชาร์จไฟได้เต็มในเวลาเพียง 2 ชั่วโมง สินค้าทุกชิ้นของ JISULIFE ผ่านการออกแบบและการทดสอบการผลิตอย่างเข้มงวด มีมาตรฐาน เพื่อให้มั่นใจในผลประโยชน์ของผู้บริโภค นอกจากนี้ JISULIFE ยังมีบริการหลังการขายที่ครบวงจรเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาให้กับผู้ใช้

ดังนั้น อยากจะขอเตือนผู้บริโภคให้ระมัดระวังเป็นพิเศษเมื่อเลือกซื้อพัดลมพกพา JISULIFE เนื่องจากสินค้าปลอมมักขาดการรับรองความปลอดภัยที่เกี่ยวข้อง ในด้านความปลอดภัยของแบตเตอรี่และมอเตอร์ ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้หรือการระเบิดของมอเตอร์และแบตเตอรี่ รวมถึงใบพัดที่อาจหลุดออกมาในขณะทำงานที่มีความเร็วสูง ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่าสินค้าที่คุณซื้อนั้นไม่ใช่ของปลอม! 

ผู้ขายสินค้าปลอมเหล่านั้นไม่สนใจประโยชน์ของผู้บริโภค ซึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 ถือเป็นการฉ้อโกง การฉ้อโกงอาจถูกลงโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากการกระทำเข้าข่ายความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 343 อาจถูกลงโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ทั้งนี้หากต้องการสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ JISULIFE ของแท้สามารถสั่งจากช่องทางการได้ตามข้อมูลนี้
1.ร้านค้าออนไลน์ 
- แพลตฟอร์ม Tiktok ชื่อบัญชี : Jisulife.Thailand 
- แพลตฟอร์ม Shopee ชื่อร้านค้า :  JISULIFE Official Shop  ชื่อบัญชี  : jisulife.thแพลตฟอร์ม LAZADA ชื่อบัญชี : JISULIFE Flagship Store 

2.ร้านค้าออฟไลน์

- Life 
- Xiaomi 
- Betrend

‘ดร.เจษฎา’ เฉลย!! ปมผวา ‘ปลานิลคางดำ’ ไม่มีจริง ชี้!! แค่ ‘ปลาหมอคางดำ’ ที่กินเยอะจนตัวใหญ่

(31 ก.ค. 67) รายงานข่าวระบุว่า รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก Jessada Denduangboripant ถึงประเด็นปลานิลกลายพันธุ์ หรือเป็นลูกผสมระหว่างปลานิลกับปลาหมอคางดำ เป็นปลานิลคางดำ โดยระบุว่า…

มันคือ ‘ปลาหมอคางดำที่อ้วน’ แค่นั้นแหละครับ…ไม่ใช่ปลานิลที่กลายพันธุ์

เช้าวันนี้มีพาดหัวข่าว กันหลายสำนักข่าวเลย ว่าเจอ ‘ปลานิลคางดำ’ ปลานิลกลายพันธุ์มาจากปลาหมอคางดำ หรือเป็นลูกผสมระหว่างปลานิลกับปลาหมอคางดำ!? 

ซึ่งผมว่า มันไม่ใช่ปลากลายพันธุ์หรือปลาลูกผสมอะไรหรอกครับ เพราะดูตามในรูป ในคลิปข่าวแล้ว ก็ปลาหมอคางดำนั่นแหละครับ... แค่มันกินจนอ้วนใหญ่ จนคนไม่คุ้นตากัน เพราะคิดว่ามันจะต้องผอมเรียวยาวเท่านั้น

จากข้อมูลของที่แอฟริกา ปลาหมอคางดำนั้น ถ้าเติบโตดี อาหารดี จะยาวเฉลี่ย 8 นิ้วนะครับ และสถิติตัวยาวสุดนี่ ถึงขนาด11 นิ้วเลยครับ (และเป็นปลาอาหารชนิดหนึ่ง ของคนในท้องถิ่นครับ)

การจำแนกความแตกต่างระหว่าง ‘ปลาหมอคางดำ’ ออกจาก ‘ปลาหมอเทศ’ และ ‘ปลานิล’ ให้ดูที่ลักษณะจำเพาะของมัน อย่าดูแต่ความอ้วนผอมครับ 

โดย ดร.ชวลิต วิทยานนท์ นักวิชาการอิสระ ด้านความหลากหลายของสัตว์น้ำ เคยโพสต์ข้อมูลไว้ว่า ปลาหมอคางดำ หรือ blackchin tilapia (หรือชื่อวิทยาศาสตร์ Sarotherodon melanotheron) จะมีลักษณะเด่นคือ ใต้คาง มักมีแต้มดำ หางเว้าเล็กน้อย และไม่มีลายใด ๆ 

ในขณะที่ ปลาหมอเทศ หรือ  Mozambique tilapia (ชื่อวิทยาศาสตร์ Oreochromis mossambicus) จะมีแก้ม ในตัวผู้มักมีแต้มขาว หางมน มีขอบแดงเสมอ 

ส่วนปลานิล หรือ Nile tilapia (ชื่อวิทยาศาสตร์ O. niloticus) จะมีแก้มและตัวสีคล้าย ๆ กัน หางมน และมีลายเส้นคล้ำขวางเสมอ

ซึ่งถ้าพิจารณาดูจากปลาต้องสงสัยในคลิปข่าวแล้ว ก็จะเห็นว่า ไม่ได้มีลักษณะ ‘ลายเส้นคล้ำขวาง (ตามลำตัว และหาง)’ แบบปลานิล ที่จะให้คิดว่าเป็นปลานิลกลายพันธุ์มาคล้ายปลาหมอคางดำ หรือเกิดลูกผสมกัน แต่มีรูปร่างหน้าตาสีสันไปทางเดียวกับปลาหมอคางดำตามปกติ เพียงแต่ตัวอ้วนกว่าเท่านั้นครับ!

ข้อสังเกตอีกอย่างคือ ปลานิลและปลาหมอเทศนั้น (สกุล Oreochromis) เป็นปลาคนละสกุล กับปลาหมอคางดำ (สกุล Sarotherodon) เลยครับ การที่อยู่ ๆ ในเวลาไม่กี่ปีนี้ มันจะกลายพันธุ์มาคล้ายกันได้นั้น ก็เป็นไปไม่ได้เลย 

ส่วนการเกิดลูกผสมข้ามสกุล ระหว่างปลานิลกับปลาหมอคางดำนั้น เคยโพสต์อธิบายอย่างละเอียดแล้ว ว่ามีการทดลองทำได้จริงในระดับงานวิจัย แต่ทำลูกผสม F1 สำเร็จได้ในปริมาณที่น้อยมาก ๆ และไม่มีรายงานว่าเกิดขึ้นในธรรมชาติครับ 

'มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง' รุดเพิ่มโครงการบรรเทาทุกข์สภาวะอากาศร้อน ภายในสถานศึกษา ในถิ่นทุรกันดาร จัดงบกว่า 5 แสนบาท มอบชุดพัดลมเพดาน แขวนผนัง และตั้งพื้น นำร่อง 5 จังหวัด 25 โรงเรียน

ระหว่างวันที่ 24-31 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการ ห่วงใยนักเรียน ครู และบุคลากรในสถานศึกษาถิ่นทุรกันดารที่ขาดแคลนพัดลม จึงมอบหมายคณะกรรมการมูลนิธิฯ นำโดย นายสุรพงศ์ เสรฐภักดี กรรมการและรองเหรัญญิก และ นายชูเดช เตชะไพบูลย์ ผู้ช่วยกรรมการฯ ดำเนินการโครงการ พัดลมคลายร้อน สร้างสุข เพื่อน้องถิ่นทุรกันดาร (นำร่อง) จัดทีมฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นำโดย นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นางสาวดวงชุตา ติยะพจนพรกุล ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ และ นางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย หัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ ลงพื้นที่มอบชุดพัดลมเพดาน แขวนผนัง และตั้งพื้น ให้แก่สถานศึกษาในถิ่นทุรกันดารจังหวัดสระบุรี ลพบุรี กาญจนบุรี สุพรรณบุรี และราชบุรี รวม 5 จังหวัด  25 โรงเรียน พร้อมมอบค่าพาหนะให้แก่โรงเรียนๆ ละ 2,000 บาท และค่าติดตั้งพัดลมแก่โรงเรียนๆ ละ 3,000 บาท รวมงบประมาณการดำเนินการทั้งสิ้น 596,000 บาท (ห้าแสนเก้าหมื่นหกพันบาทถ้วน) เพื่อลดสภาวะอากาศร้อนภายในโรงเรียน ให้นักเรียน ครู และบุคลากรในโรงเรียน ได้คลายร้อน โดยมี เยาวชน และผู้แทนจากสถาบันการศึกษา เป็นผู้รับมอบ พร้อมด้วย มูลนิธิฯ / สมาคมจีนประจำจังหวัดต่างๆ เป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี

ตลอดระยะเวลากว่า 114 ปี มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลาย ๆ ทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ดังปณิธาน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

ศาลอาญายกคำร้อง ไม่อนุญาตให้ ’ทักษิณ’ เดินทางไปดูไบ หลังขอไปรักษาตัว ชี้มีแพทย์ในประเทศ ตรวจรักษาอยู่แล้ว

(31 ก.ค. 67) เมื่อไม่นานมานี้ ณ ศาลอาญาถนนรัชดาภิเษก นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยในคดีประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ได้ยื่นคำร้องขอเดินทางออกนอกราชอาณาจักร ศาลจึงมีคำสั่งให้นัดไต่สวนคำร้องในวันที่ 30 ก.ค. 2567 ที่ผ่านมาและมีคำสั่งในวันเดียวกัน

วันนัดฟังคำสั่งโจทก์ นายทักษิณ ผู้เป็นจำเลย และทนายได้เดินทางมาที่ศาล ภายหลังศาลได้ไต่สวนพยานแล้วมีคำสั่งในทางไต่สวนสรุปว่า จำเลยได้รับอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวระหว่างพิจารณาและห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร 

แต่จำเลยมีความประสงค์เดินทางออกนอกราชอาณาจักร ไปพำนักอยู่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ดูไบ) ระหว่างวันที่ 1-16 ส.ค.2567 เพื่อพบแพทย์ซึ่งเคยตรวจรักษาอาการป่วยของจำเลยเกี่ยวกับปอดอักเสบเรื้อรัง ระบบหายใจและหลอดเลือดหัวใจ เอ็นไหล่ขวาฉีกขาด และหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน ในสถานพยาบาล ที่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ในวันที่ 2 และ 8 ส.ค.2567 

โดยช่วงเวลาที่จำเลยพำนักอยู่ ณ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จำเลยยังมีนัดหมายกับบุคคลสำคัญหลายคน เกี่ยวด้วยภารกิจส่วนตัวของจำเลยหลายเรื่อง จำเลยจะเดินทางกลับเข้ามาในราชอาณาจักรก่อนวันนัดตรวจพยานหลักฐานซึ่งศาลนัดไว้ในวันที่ 19 ส.ค.2567

ศาลเห็นว่า แม้จำเลยอ้างตนเองเป็นพยานเบิกความยืนยันถึงความจำเป็นที่ต้องเดินทางออกนอกราชอาณาจักร โดยมีเอกสารหลักฐานจากแพทย์สนับสนุน และนัดพบบุคคลสำคัญหลายคน โดยช่วงเวลาที่จำเลยพำนักอยู่ ณ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นช่วงเวลาก่อนกำหนดนัดตรวจพยานหลักฐานก็ตาม 

แต่อาการป่วยของจำเลยเป็นโรคที่เกิดแก่บุคคลทั่วไป และแพทย์ในประเทศไทยตรวจรักษาเป็นประจำอยู่แล้ว การเดินทางไปพบบุคคลสำคัญของจำเลยเป็นเรื่องส่วนตัวของจำเลยทั้งไม่มีพยานหลักฐานยืนยันชัดแจ้งถึงความจำเป็นดังกล่าว ประกอบกับช่วงระยะเวลาที่เดินทางใกล้กับวันนัดตรวจพยานหลักฐานในชั้นนี้ไม่สมควรอนุญาตให้จำเลยเดินทางออกนอกราชอาณาจักร ให้ยกคำร้อง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top