Tuesday, 1 July 2025
NEWS FEED

'อนุทิน' เข้ม รุดให้กำลังใจตำรวจและฝ่ายปกครอง พื้นที่ อ.บุ่งคล้า จ.บึงกาฬ หลังสกัดจับยาบ้าล๊อตใหญ่กว่า 7 ล้านเม็ด และขยายผลจับกุมผู้ค้าได้ทันควัน

ตามนโยบายรัฐบาลในการปราบปรามยาเสพติด โดยมุ่งกวาดล้างจับกุมเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติดทั้งรายใหญ่และรายย่อยให้หมดสิ้นไป ตำรวจภาค 4 ได้ร่วมบูรณาการกับภาคีเครือข่ายในภาคอีสานเหนือ ได้แก่ ฝ่ายปกครอง ทหาร องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น และหน่วยร่วมอื่นๆในพื้นที่ ในการปราบปราม กวาดล้างจับกุมยาเสพติด ตามนโยบายดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง

(4 ก.ย. 67) ที่ตำรวจภูธรภาค 4 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รักษาการรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เดินทางมาเป็นประธานการแถลงข่าว พร้อมด้วย พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ 4, พล.ต.ต.ธนชาติ รอดคลองตัน รอง ผบช.ภ.4, พล.ต.ต.ณัฐนนท์ ประชุม  รอง ผบช.ภ.4 , พล.ต.ต.นพเก้า โสมนัส ผบก.สส.ภ.4 , พล.ต.ต.วิญญู อำนวยทรัพย์ ผบก.ภ.จว.บึงกาฬ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองในพื้นที่ ร่วมกันแถลงข่าวจับกุมยาเสพติดรายใหญ่ ผู้ต้องหา 1 คน ยาบ้า 7,000,000 เม็ด พร้อมขยายผล เตรียมจับกุมผู้ร่วมขบวนการอีกหลายราย
จากการบูรณาการร่วมกันระหว่างตำรวจ สภ.บุ่งคล้า ภ.จว.บึงกาฬ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ทราบว่าจะมีการลักลอบขนยาเสพติดล็อตใหญ่เข้ามาในเขตพื้นที่ จึงร่วมกันเฝ้าระวังป้องกัน ต่อมาวันที่ 1 ก.ย.67 เวลาประมาณ 05.10 น. ขณะที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง กำลังร่วมกันตรวจตราพื้นที่รับผิดชอบ บริเวณสามแยกทางเข้าบ้านหนองคังคา หมู่ 4 ต.หนองเดิ่น อ.บุ่งคล้า จ.บึงกาฬ พบรถกระบะ หมายเลขทะเบียน 1 ขฮ 73xx กรุงเทพมหานคร บรรทุกสิ่งของเต็มท้ายรถ จอดอยู่ริมถนนโดยไม่ดับเครื่องยนต์ จึงเข้าไปตรวจสอบ ระหว่างนั้นคนขับรถได้เปิดประตูรถวิ่งหลบหนีเข้าป่าข้างทาง ตรวจสอบท้ายกระบะพบกระสอบสีดำ 16 กระสอบ ภายในบรรจุยาบ้ารวม 7,000,000 เม็ด พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4 จึงได้สั่งการให้ ตำรวจ บก.สส.ภ.4 เร่งสืบสวนจับกุมผู้ต้องหาที่หลบหนีให้ได้โดยเร็ว จากการสืบสวนทราบว่า ผู้ขับขี่รถคันดังกล่าวคือ นายธีรเดช อายุ 32 ปี ภูมิลำเนาอยู่ที่ หมู่ 3 ต.ดงมูล อ.หนองกุงศรี จ.กาฬสินธุ์ จากนั้นตำรวจ บก.สส.ภ.4 ได้ติดตามไปจับกุมตัวนายธีรเดช ได้ที่บริเวณหน้า บขส.เก่า ในพื้นที่ อ.เมือง จ.อุดรธานี เมื่อเวลา 17.10 น.ของวันเดียวกัน(1 ก.ย.67) ขณะกำลังหลบหนี จากการสอบถามนายธีรเดช รับสารภาพว่า เป็นคนขับรถกระบะที่บรรทุกยาบ้าดังกล่าวจริง โดยมีการติดต่อซื้อขายกับเครือข่าย ผ่านช่องทางแมสเซนเจอร์ ชื่อ 'พารวย พารวย' ก่อนจะไปลำเลียงยาบ้าทั้งหมดมาจากประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อมาส่งขายในประเทศไทย เบื้องต้นแจ้งข้อกล่าวหา นายธีรเดช ในความผิดฐาน "ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) โดยการมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย อันก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน และทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป" นำส่ง พงส.สภ.บุ้งคล้า ดำเนินคดี

จากการขยายผลเบื้องต้น ทราบว่า ผู้ต้องหาให้ได้ขนยาเสพติดมาหลายครั้ง โดยมีผู้ร่วมขบวนการทั้งในประเทศไทยและจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งตำรวจภาค 4 จะได้สืบสวนจับกุมผู้ร่วมขบวนการมาดำเนินคดี และยึดอายัดทรัพย์ของเครือข่ายทั้งหมดตามกฎหมายต่อไป

ม.อ.ถอดบทเรียนครึ่งทางโครงการสื่อสารณรงค์ลดปัจจัยเสี่ยงบุหรี่ แอลกอฮอล์และอุบัติเหตุในมหาวิทยาลัยและชุมชน 5 วิทยาเขต

จัดกิจกรรมรณรงค์เข้มข้น พบวิทยาเขตภูเก็ตสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่ม ส่วนการสวมหมวกนิรภัยวิทยาเขตหาดใหญ่เกิน 80% วิทยาเขตตรังกว่า 50% วิทยาเขตสุราษฎร์ฯชวนคนงดเหล้าเข้าพรรษา บอร์ดสสส.ชี้ ต้องใช้ข้อมูลที่มีจัดกิจกรรมเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงให้ได้ พร้อมลดปัญหาการทำงาน ผู้เชี่ยวชาญเติมความรู้นักรณรงค์เรื่องพิษภัยบุหรี่ไฟฟ้า

เมื่อวานนี้ (4 ก.ย.67) ณ ห้องประชุม ชั้น 2 ศูนย์กีฬาและนันทนาการ มหาวิทยาสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา มีการจัดอบรมพัฒนาศักยภาพ นักรณรงค์ลดปัจจัยเสี่ยง สร้างสุขภาวะ ครั้งที่ 2 ของโครงการสานพลังมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์รณรงค์และ จัดการความรู้ ลดปัจจัยเสี่ยงในมหาวิทยาลัยและชุมชนซึ่งได้รับการสนับสนุนการดำเนินโครงการจาก  สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยมี ผศ.สุพจน์ โกวิทยา ที่ปรึกษาโครงการเป็นประธานเปิดการอบรม

​รศ.ดร.นฤทธิ์ ดวงสุวรรณ์ หัวหน้าโครงการฯกล่าวว่าวผลการดำเนินงานลดปัจจัยเสี่ยงด้านยาสูบแอลกอฮอล์และอุบัติเหตุในพื้นที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 5 วิทยาเขตคือ หาดใหญ่ ปัตตานี ตรัง ภูเก็ตและสุราษฎร์ธานีและพื้นที่ชุมชนเป้าหมาย 5 ชุมชนรอบมหาวิทยาลัย ในช่วงตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 ถึงสิงหาคม 2567 มีการแต่งตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษาและกรรมการบริหารโครงการ กรรมการดำเนินงานวิทยาเขต มีการประชุมคณะกรรมการดำเนินงานวิทยาเขต 2 เดือน/ครั้ง มีกลไกบัณฑิตอาสานักจัดการปัจจัยสี่ยงวิทยาเขตละ 1 คน ทำหน้าที่จัดการข้อมูล ประสานงานขับเคลื่อนกิจกรรมและรณรงค์สร้างการรับรู้ โดยมีกิจกรรมที่น่าสนใจคือ วิทยาเขตหาดใหญ่และภูเก็ตจะออกมาตรการเรื่องบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าในมหาวิทยาลัย จำนวน 1 ฉบับ วิทยาเขตปัตตานีผลักดันให้เกิด มัสยิดบ้านม่วงเงินปลอดบุหรี่และจะขยายไปในระดับชุมชนด้วย

ด้านการจัดทำข้อมูลและแผนการขับเคลื่อนระดับวิทยาเขต มีการสำรวจข้อมูลปัจจัยเสี่ยงด้านบุหรี่ แอลกอฮอล์ อุบัติเหตุ เช่น ที่วิทยาเขตหาดใหญ่และตรัง มีการสังเกตพฤติกรรมการสวมหมวกนิรภัย พร้อมทำรายงานสถานการณ์ปัจจัยเสี่ยงวิทยาเขตละ 1 ชุด และชุมชนละ 1 ชุด ร่วมกำหนดแนวทางการจัดการปัจจัยเสี่ยงในมหาวิทยาลัยและชุมชน โดยเฉพาะวิทยาเขตสุราษฎร์ธานีมีการจัดส่งรายงานฉบับสมบูรณ์ที่มีผลการวิเคราะห์ ปัจจัยเสี่ยงด้านอุบัติเหตุ แอลกอฮอล์ บุหรี่ และสารเสพติดอื่นๆในวิทยาเขตสุราษฎร์ธานีและชุมชนภูธรอุทิศ ให้แก่หน่วยงานระดับท้องถิ่น อำเภอ จังหวัด เพื่อวางแผนในการแก้ไขปัญหาต่อไป

หัวหน้าโครงการฯกล่าวต่อว่าด้านการพัฒนานักรณรงค์ปัจจัยเสี่ยง ได้พัฒนานักรณรงค์ที่มาจากนักศึกษา บุคลากรของวิทยาเขตโดยผลิตสื่อรณรงค์ สื่อออนไลน์ เรื่อง สสส.หนุน ม.อ.รณรงค์ลดปัจจัยเสี่ยง 'บุหรี่-เหล้า-อุบัติเหตุ' จำนวน 1 ชุด เผยแพร่ผ่านช่องทางออนไลน์จำนวน 20 สำนัก สื่อออนไลน์ ห่วง 'บุหรี่ไฟฟ้า' เจาะกลุ่มเด็กและเยาวชนผ่านสื่อออนไลน์ 10 สำนัก ผลิตวีดิโอ 11 คลิปเผยแพร่ผ่าน Facebook และผลิตสื่อ TikTok จำนวน 9 คลิปเผยแพร่ผ่าน Facebook และ TikTok ผลิตโปสเตอร์จำนวน 52 ชิ้น พัฒนาบอร์ดเกมส์ 3 ชิ้นงาน คือ แฟลชการ์ด  บิงโก แผนที่จุดเสี่ยง มอบให้กับโรงเรียนเครือข่ายจำนวน 4 โรงเรียน รวมทั้งผลิตไวนิลรณรงค์ช่วงเทศกาลปีใหม่และสงกรานต์ จำนวน 7 ชิ้นงานติดตั้งตามจุดต่าง ๆ ในมหาวิทยาลัยและชุมชน ผลิตป้ายรณรงค์ 4 ป้ายและผลิตชุดนิทรรศการรณรงค์ 2 ชุด

ขณะเดียวกันนักรณรงค์ปัจจัยเสี่ยงวิทยาเขตหาดใหญ่ ผลักดันให้เกิดแกนนำอาสาสมัครจราจรจำนวน 80 คน และแกนนำในชุมชนร่วมขับเคลื่อนโครงการ จำนวน 30 คน ส่วนวิทยาเขตตรัง จัดตั้งชมรม The Volunteers @ PSU Trang 1 ชมรม จำนวน 23 คน แกนนำชุมชนร่วมขับเคลื่อนโครงการ จำนวน 30 คน วิทยาเขตปัตตานี เกิดนักรณรงค์ในกลุ่มนักเรียนสาธิต ม.อ. จำนวน 20 คน เกิดแกนนำชุมชนต้นแบบ ลด ละ เลิกบุหรี่ชุมชนบ้านม่วงเงิน มีคนเลิกบุหรี่ได้เป็นเวลา 3 เดือน 1 คน ลดการสูบและตั้งใจจะเลิกจำนวน 22 คน วิทยาเขตภูเก็ต เกิดแกนนำนักเรียนนักรณรงค์โรงเรียนไทยรัฐวิทยา (29) และโรงเรียนกระทู้วิทยา จำนวนรวม 70 คน จัดกิจกรรมเรื่องพิษภัยบุหรี่ไฟฟ้า 7 ครั้งมีคนเข้าร่วมจำนวน1,111 คน กลุ่มเป้าหมายมีความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้น ส่วนวิทยาเขตสุราษฎร์ธานี มีผู้ลงนามงดเหล้าเข้าพรรษา ปี 2567 จำนวน 42 คน ผลการติดตามครั้งที่ 1 เหลือผู้ร่วมงดเหล้าฯ 39 คน งดเหล้าไม่สำเร็จ จำนวน 3 คน ส่วนการผลักดันเชิงนโยบาย วิทยาเขตหาดใหญ่ มีการเสนอ แต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินงานด้านความปลอดภัยทางถนน พัฒนาระบบเฝ้าระวัง และวิเคราะห์สถานการณ์ติดตามประเมินผล มีการเสนอให้โรงเรียนเทศบาล 1 เมือง คอหงส์ มีการขับเคลื่อนกิจกรรมทั้งการบรรยาย ให้ความรู้ รณรงค์วินัยจราจรและ ประกาศให้ผู้ปกครองและนักเรียนสวมหมวกนิรภัย ตลอดเวลาการดำเนินทาง

​ด้านนายวิเชษฐ์ พิชัยรัตน์ กรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า จากการสรุปความคืบหน้าของการดำเนินงานแต่ละวิทยาเขตมีความโดดเด่นที่แตกต่างกันเช่น วิทยาเขต หาดใหญ่และวิทยาเขตตรังเลือกประเด็นการลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุมีการระบุพฤติกรรมเสี่ยงของกลุ่มเป้าหมาย ระบุจุดเสี่ยงทั้งในมหาวิทยาลัยและชุมชนรวมทั้งมีการสังเกตพฤติกรรมการสวมหมวก นิรภัยซึ่งวิทยาเขตหาดใหญ่สวมหมวกนิรภัยเกิน 80 %ส่วนวิทยาเขตตรังสวมหมวกนิรภัยเกิน 50% วิทยาเขตปัตตานีและวิทยาเขตภูเก็ตเลือกประเด็นบุหรี่จากข้อมูลที่จัดเก็บสะท้อนว่าปัญหาบุหรี่ไฟฟ้า ในวิทยา เขตภูเก็ตนั้นรุนแรงขึ้นมีคนสูบบุหรี่ไฟฟ้า 19.5% สูบบุหรี่ธรรมดา 8.2% และ 87%ซื้อจากออนไลน์ ส่วน วิทยาเขตปัตตานีนั้นเน้นทำงานร่วมกับชุมชนด้วยการสร้างต้นแบบมัสยิดปลอดบุหรี่และจะขยายไปสู่ ชุมชน ในขณะที่วิทยาเขตสุราษฎร์ธานีเน้นให้ความรู้กับประชาชนและนักศึกษาปี 1 มีการร่วมรณรงค์ลงนามเครือข่ายคนงดเหล้าเข้าพรรษา

กรรมการกองทุนสสส.กล่าวต่อว่าการดำเนินกิจกรรมแต่ละวิทยาเขตต้องยึดตัวชี้วัดโครงการ นอกจากนี้พบว่ายังมีจุดที่ควรดำเนินการเพิ่มเติมเช่นการจัดการความรู้ทั้งการจัดเก็บข้อมูลการวิเคราะห์ข้อมูลและการใช้ประโยชน์จากข้อมูลเพื่อนำไปสื่อสารรณรงค์ให้ความรู้และจัดกิจกรรมเช่นเมื่อระบุจุดเสี่ยงของอุบัติเหตุแล้วจะลดจุดเสี่ยงอย่างไรหรือสวมหมวกนิรภัยน้อยจะมีกิจกรรมเพิ่มการสวมหมวกนิรภัยให้มากขึ้นได้อย่างไร รวมทั้งการหาแนวทางลดปัญหาอุปสรรคในการทำงานที่มีการระบุไว้ทั้งการวางแผนจัดกิจกรรมให้มีความแน่นอนและการเชื่อมประสานการทำงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วย

​ขณะที่ผศ.ดร.ลักขณา เติมศิริกุลชัย ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาศักยภาพกำลังคนด้านการควบคุมยาสูบได้สรุปสถานการณ์ความรุนแรงของบุหรี่ไฟฟ้าว่า ประชากรไทยวัย 15 ปีขึ้นไปมีการสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจาก 48,336 คนในปี 2557 เป็น 709,677 คนในปี 2565 โดยเฉพาะ เด็กผู้ชายและผู้หญิงวัย 13-15 ปีสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 5.3 เท่าแต่ที่น่าตกใจคือถ้าแยกเฉพาะเพศหญิงเพิ่มขึ้นถึง 7.9 เท่า อันตรายและโรคที่เกิดจากบุหรี่ไฟฟ้าพบว่ามี การทำลายเซลล์หลอดเลือดแดง 58% เสี่ยงต่อเส้นเลือดในสมองตีบเร็วกว่าบุหรี่ธรรมดา 10 ปีและก่อให้เกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังเช่น ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน ควันบุหรี่ไฟฟ้าทั้งมือหนึ่งและมือสองมีผลต่อพัฒนาการสมองของทารกในครรภ์ ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงมากกว่าเด็กที่ไม่สูบ 3-4 เท่า นิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้าทำให้เส้นเลือดหดตัวทั่วร่างกาย ทำให้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ มีข้อมูลชุดเจนว่า53%ของวัยรุ่นไทยที่สูบบุหรี่ไฟฟ้ามีอาการซึมเศร้า

นอกจากพิษภัยของบุหรี่ไฟฟ้าที่รุนแรงแล้ว นักรณรงค์จะต้องชี้เห็นว่าเป็นสิ่งผิดกฎหมายทั้งประกาศกระทรวงพาณิชย์ที่ห้ามนำมีบทลงโทษจำคุกจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับเป็นเงิน 5 เท่าของราคาสินค้าหรือทั้งจำทั้งปรับ พ.ร.บ.ศุลกากรก็ห้ามน้ำเข้ามีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปีหรือปรับไม่เกิน 500,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ คำสั่งคณะกรรมการคุมครองผู้บริโภคห้ามขาย ห้ามให้บริการ ฝ่าฝืนจำคุกไม่เกิน 5 ปีหรือปรับไม่เกิน 500,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ โดยกลยุทธ์ของธุรกิจบุหรี่คือทำให้บุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าเป็นเรื่องปกติในสังคม โดยมุ่งเป้าไปที่เด็กและเยาวชน อ้างว่าปลอดภัย ช่วยเลิกบุหรี่มวนได้ มีการสร้างเครือข่ายสนับสนุนฝ่ายตัวเองทั่วโลกผ่านมูลนิธิเพื่อโลกปลอดควันบุหรี่ เราต้องสื่อสารให้ประชาชนรู้เท่าทัน

'อินฟลูฯ ต่างชาติ' ยกย่อง!! ประเทศไทยดูแลประชาชนได้ดีจริงๆ ยกเคส 'เติมลมยางรถฟรี' แต่ที่อังกฤษต้องเสียเงินและมีเวลาจำกัด

เมื่อไม่นานมานี้ ‘คุณลูค’ หรือ เจ้าของบัญชีติ๊กต๊อก (TikTok) ที่ใช้ชื่อว่า ‘imlukematthew’ ซึ่งเป็นอินฟลูเอนเซอร์ชาวต่างชาติจากสหราชอาณาจักร ที่มาท่องเที่ยวประเทศไทยจนรู้สึกติดใจและอาศัยอยู่ในประเทศอยู่ยาวมาข้ามปีกว่าแล้ว ได้ลงคลิปความประหลาดใจกับสาธารณูปโภคของไทยที่สะดวกในการใช้บริการแบบที่บ้านเกิดของเขาไม่มี โดยได้มีการยกตัวอย่าง การเติมลมยางรถในปั๊มน้ำมันของไทย ที่ใช้กันได้ฟรี ๆ ว่า…

'Thailand is King ประเทศไทยคือ ราชา'

โดยเนื้อหาในคลิปดังกล่าวจะเห็นคุณลูคอยู่ในปั๊มน้ำมันเชลล์ พร้อมกับพูดถึงว่า ใคร ๆ ต่างก็พูดกันว่าประเทศไทยเป็นประเทศยากจน แต่สำหรับเขาที่ได้มาอาศัยอยู่ในประเทศไทยนั้นก็ได้พบว่า ประเทศไทยมีดีกว่าอังกฤษมาก พร้อมกับแพนกล้องไปที่เครื่องเติมลมยางรถในปั๊มเชลล์และเสริมว่า…

“ปกติในอังกฤษนะ เขาจะคิดเงินค่าใช้เครื่องเติมลม ไม่ได้ฟรี แต่ในไทย เราแต่จอดรถตรงนี้ (ที่เครื่องปั๊มลม)”

จากนั้นคุณลูคก็ได้อธิบายเปรียบเทียบความแตกต่างในการใช้บริการเครื่องเติมลมระหว่างปั๊มน้ำมันในไทยและอังกฤษว่า...

“ในอังกฤษมีช่องให้หยอดเหรียญ แล้วพอใส่เหรียญ เครื่องเติมลมก็จะทำงานในเวลาจำกัด แต่ที่ไทยให้ใช้ฟรีไม่จำกัดเวลา”

พร้อมกับย้ำว่า ประเทศไทยนั้นดูแลประชาชนดีจริง ๆ ไม่คิดเงินค่าลมยางรถที่เติมใส่ล้อรถ พร้อมกับทิ้งท้ายว่า 'ทีมไทยแลนด์!!'

ทางด้านชาวเน็ตต่างก็เข้ามาแสดงความคิดเห็นกับคลิปของคุณลูค ซึ่งส่วนมากจะเป็นการสนับสนุนความคิดเห็นของเขาเช่นกัน “ไม่ใช่แค่ปั๊มเชลล์ครับ ทุกปั๊มเลยครับ แม้แต่ร้านซ่อมรถข้างทาง เขาก็ให้เติมลมฟรีครับ” 

นอกจากความคิดเห็นสนับสนุนแล้ว ชาวเน็ตคนไทยต่างก็ขอบคุณคุณลูคที่รักประเทศไทยและตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่ดูเหมือนธรรมดาสำหรับคนไทยอย่างเรื่องการเติมลมยางในปั๊มน้ำมัน แต่กลับเป็นเรื่องมหัศจรรย์ในสายตาชาวต่างชาติ

ถือเป็นหนึ่งในซอฟต์พาวเวอร์ของไทยในทางอ้อมจริง ๆ

‘รวมไทยสร้างชาติ’ จับมือผู้ค้า-เอกชน จัดงาน ‘รวมไทยสร้างชาติแฟร์’ จัดทัพ ‘สินค้าราคาถูก’ ออกจำหน่ายแก่ประชาชน เริ่ม 12-15 ก.ย. นี้

(4 ก.ย. 67) ที่อาคารรัฐสภา นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้เปิดเผยถึงกำหนดการและวัตถุประสงค์ของการจัดงาน ‘รวมไทยสร้างชาติแฟร์’ โดยระบุว่า พรรครวมไทยสร้างชาติได้ประกาศนโยบายของพรรคตั้งแต่เริ่มต้นว่า จะรื้อ ลด ปลด สร้าง เพื่อสังคมที่ถูกต้องและเป็นธรรม 

ปัจจุบันประชาชนชาวไทยกำลังเผชิญความเดือดร้อนจากค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้นจากสภาพเศรษฐกิจและปัจจัยด้านอื่น ๆ จึงต้องเร่งลดภาระค่าใช้จ่ายของพี่น้องประชาชน โดยนำหลักการการแบ่งปันมาใช้ คนที่มีมากแบ่งปันให้คนที่มีน้อยหรือคนที่ขาดแคลน จึงเป็นที่มาของการจัดงาน ‘รวมไทยสร้างชาติแฟร์’ ร่วมกับผู้ค้าและภาคเอกชน เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชนในเบื้องต้น โดยงานนี้จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 12-15 กันยายน 2567 ณ MBK Center ลานกิจกรรม Avenue A ชั้น G ฝั่งถนนพระราม 1 ตั้งแต่เวลา 10.00 น.-19.00 น. รวม 4 วัน

ทั้งนี้ ภายในงานจะมีสินค้าอุปโภคบริโภคหลากหลายมาจำหน่ายในราคาที่ถูกกว่าท้องตลาด ยกตัวอย่าง ข้าวหอมมะลิ 5 กิโลกรัม จำหน่ายเพียง 100 บาท ไข่ไก่คละไซซ์ 40 ฟอง ราคา 100 บาท น้ำตาลทราย 2 กิโลกรัม ราคาเพียง 20 บาท เนื้อไก่สดกิโลกรัมละ 50 บาท และอาหารพร้อมรับประทาน 20 บาททุกเมนู 

นอกจากนี้ ยังมี อาหารแห้ง อาหารสำเร็จรูป น้ำมันพืช ผลไม้ตามฤดูกาล ของใช้ภายในบ้าน สินค้าอุปโภคบริโภคอื่น ๆ มาจำหน่ายในงาน พร้อมมอบส่วนลดพิเศษเพิ่มเติมให้ผู้ร่วมงานอีกคนละ 200 บาท ด้วย

“พรรครวมไทยสร้างชาติพยายามที่จะแบ่งเบาภาระความเดือดร้อนด้านค่าครองชีพของพี่น้องประชาชนตามนโยบาย รื้อ ลด ปลด สร้าง และการช่วยเหลือดูแลแบ่งปันกัน ในภาวะต้นทุนในการค้าขายและการผลิตที่สูงขึ้นในสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน จึงได้ประสานงานและขอความร่วมมือจากผู้ค้าสินค้าอุปโภคบริโภคหลายแห่งและหวังว่าการจัดงานครั้งนี้จะช่วยแบ่งเบาภาระและมอบความสุขให้แก่พี่น้องประชาชน รวมถึงพ่อค้าแม่ค้ารายย่อยที่จะได้มีโอกาสเลือกซื้อสินค้าที่ดี มีคุณภาพ ในราคาถูก” นายพีระพันธุ์กล่าว

ด้านนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้เปิดเผยถึงสิทธิพิเศษที่จะช่วยเหลือประชาชนเพิ่มเติมว่า ภายในงานได้รับการสนับสนุนคูปองส่วนลดพิเศษให้ผู้ร่วมงานอีกคนละ 200 บาท เพื่อเป็นส่วนลดเพิ่มเติมในการซื้อสินค้าทุกประเภท วันละ 2,500 สิทธิ รวมทั้งสิ้น 10,000 สิทธิ โดยผู้เข้าร่วมงานสามารถลงทะเบียนเพื่อรับคูปองส่วนลดพิเศษนี้ได้ด้วยตนเองวันละ 2 รอบ ในเวลา 10.30 น. และ 17.00 น.

“ถึงแม้สินค้าทุกอย่างภายในงานจะจำหน่ายในราคาถูกอยู่แล้ว แต่พี่น้องประชาชนก็ยังสามารถจับจ่ายสินค้าเหล่านี้ในราคาที่ถูกลงไปได้อีก จากการใช้คูปองส่วนลดพิเศษ 200 บาท ซึ่งจะมอบให้ภายในงานวันละ 2,500 สิทธิ และสามารถลงทะเบียนรับได้ที่หน้างาน” นายเอกนัฏกล่าว

ขณะที่ นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่า ในงานนี้จะมีผู้ค้าและภาคเอกชนที่ประสงค์จะช่วยเหลือประชาชนนำสินค้ามาจำหน่ายในราคาถูกเพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพของพี่น้องประชาชน

“ผู้ค้าและภาคเอกชนจำนวนมากติดต่อขอนำสินค้าบริโภคหลายรายการมาจำหน่ายในงานในราคาถูกกว่าท้องตลาดเกือบครึ่ง เช่น น้ำตาลทรายที่จำหน่ายเพียงกิโลกรัมละ 10 บาท เท่านั้น นับเป็นน้ำใจที่มีกับประชาชนเป็นอย่างยิ่ง” นางสาวพิมพ์ภัทรากล่าว

ด้าน นายสุชาติ ชมกลิ่น รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยว่า ในงานจะมีศิลปินนักร้องมาสร้างความคึกคัก และยังมีกิจกรรมเสริมสร้างอาชีพ การเสวนา และการแสดงบนเวที ตลอดทั้ง 4 วันของการจัดงาน อาทิ เวิร์กช็อปสอนการทำอาหารเพื่อต่อยอดด้านอาชีพ ซึ่งอำนวยการสอนโดย อ.ยิ่งศักดิ์ จงเลิศเจษฎาวงศ์ อาจารย์สอนทำอาหารและพิธีกรชื่อดัง การแสดงจากศิลปินนักร้อง รวมทั้ง โชว์พิเศษจากสมาชิก และ สส. พรรครวมไทยสร้างชาติด้วย

สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ทาง Facebook Page พรรครวมไทยสร้างชาติ

ข่าวปลอม!! มวลน้ำจากสุโขทัยใกล้ ถึง กทม. สทนช. ยัน!! มวลน้ำยังสามารถควบคุมได้

(4 ก.ย.67) 'Anti-Fake News Center Thailand' ได้แจ้งข่าวว่า ตามที่มีการประกาศเตือนเกี่ยวกับเรื่อง มวลน้ำจากสุโขทัยใกล้ถึง กทม. แล้ว ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ

จากกรณีการโพสต์ระบุข้อความว่า เตรียมรับมือมวลน้ำจากสุโขทัย ถึง กทม. ในวันที่ 2 ก.ย. 67 ทางสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) สำนักนายกรัฐมนตรี ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่า ข้อมูลดังกล่าวไม่เป็นความจริง มวลน้ำจากจังหวัดสุโขทัย ได้ไหลผ่านจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งมีการผันน้ำเข้าสู่ทุ่งบางระกำ ในส่วนของปริมาณน้ำที่เหลือซึ่งไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาในขณะนี้ ยังอยู่ในปริมาณที่สามารถควบคุมได้

ดังนั้นขอเตือนให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อ และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.onwr.go.th หรือ โทร. 02-554-1800

บทสรุปของเรื่องนี้คือ : มวลน้ำจากจังหวัดสุโขทัย จะไหลผ่านจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งมีการผันน้ำเข้าสู่ทุ่งบางระกำ ในส่วนของปริมาณน้ำที่เหลือจะไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยา ซึ่งยังอยู่ในปริมาณที่สามารถควบคุมได้

'สายสุนีย์' คว้าทอง!! ฟันดาบพาราลิมปิก 2024 นับเป็นเหรียญทองที่ 4 ของทัพพาราลิมปิกไทย

(4 ก.ย.67) ผลการแข่งขัน ฟันดาบ พาราลิมปิก 2024 ประเภทดาบเซเบอร์ คลาสบี หญิง รอบชิงชนะเลิศ 'สายสุนีย์ จ๊ะนะ' มือ 4 และเป็นตัวความหวังของไทย โชว์ฟอร์มได้สมราคา เจอกับ XIAO RONG มือ 3 จากจีน ซึ่งรูปเกมจากที่ตามอยู่ 3-4 แต้ม ก่อนจะมาปิดจ็อบเอาชนะไปได้ 15-14 คว้าเหรียญทองมาครองได้สำเร็จ

เหรียญนี้นับเป็นเหรียญทองที่ 4 ของทัพพาราลิมปิกไทย ขอแสดงความยินดีด้วย

สถิติ 11 เดือน ‘ดีอี’ รุกปราบเพจ/URLs ผิดกฎหมาย เพิ่มขึ้น 11 เท่า เดินหน้าปิดกั้นกว่า 138,000 รายการ

เมื่อวานนี้ (3 ก.ย. 67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า กระทรวงดีอี ให้ความสำคัญกับการเร่งรัดปราบปรามอาชญากรรมทางออนไลน์ โดยเฉพาะการปิดกั้นโซเชียลมีเดีย เพจ และเว็บไซต์ URLs ผิดกฎหมายทุกรูปแบบ ซึ่งมิจฉาชีพได้ใช้เป็นช่องทางสำคัญในการก่ออาชญากรรมทางออนไลน์ โดยจัดตั้งทีมปฏิบัติการทำการตรวจสอบ เฝ้าระวัง และดำเนินการปิดกั้น พร้อมยกระดับกระบวนการปิดกั้นให้มีความรวดเร็ว รัดกุม และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ จากสถิติการปิดกั้นโซเชียลมีเดีย เพจ และ URLs ผิดกฎหมายทุกรูปแบบ ของกระทรวงดีอี ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 – 31 สิงหาคม 2567 พบว่า มีการปิดกั้นโซเชียลมีเดีย เพจ และ URLs ผิดกฎหมายทุกประเภทแล้ว จำนวน 138,660 รายการ เพิ่มขึ้น 11 เท่า จากช่วงเวลาเดียวกันก่อนหน้านี้ (1 ตุลาคม 2565 – 31 สิงหาคม 2566) ที่มีจำนวน 12,611 รายการ

สำหรับโซเชียลมีเดีย เพจ/URLs ที่มีการปิดกั้นตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 – 31 สิงหาคม 2567 ประเภทบิดเบือน หลอกลวง และลามกอนาจาร มีดังนี้ กรณีบิดเบือน/หลอกลวง  จำนวน 47,471 รายการ เพิ่มขึ้น 7.68 เท่า จากช่วงเวลาเดียวกันก่อนหน้านี้ (1 ตุลาคม 2565 – 31 สิงหาคม 2566) ที่มีจำนวน 6,182 รายการ , กรณีลามกอนาจาร จำนวน 11,948 รายการ เพิ่มขึ้น 14.82 เท่า จากช่วงเวลาเดียวกันก่อนหน้านี้ (1 ตุลาคม 2565 – 31 สิงหาคม 2566) ที่มีจำนวน 806 รายการ

“จะเห็นได้ว่าในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมา กระทรวงดีอี ได้ทำการปิดกั้นโซเชียลมีเดีย เพจ/URLs ผิดกฎหมายไปแล้วกว่า 138,000 รายการ โดยสถิติตัวเลขที่เพิ่มสูงขึ้นในทุกเดือนนั้น เนื่องจากการปรับกระบวนการทำงานให้มีความรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมถึงมีการตรวจสอบ เฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา พร้อมทั้งได้รับความร่วมมือจากประชาชนในการแจ้งเบาะแส ข้อมูลข่าวปลอม เว็บไซต์ผิดกฎหมายผ่านทางสายด่วน 1111” นายประเสริฐ กล่าว

นายประเสริฐ กล่าวว่า กระทรวงดีอีห่วงใยพี่น้องประชาชน จึงขอแจ้งเตือนอย่าหลงเชื่อ ข่าวปลอม ข้อมูลบิดเบือน หรือกลโกงของมิจฉาชีพที่หลอกให้เข้าไปลงทุน หรือกดลิงก์แพลตฟอร์มต้องสงสัยภายในโซเชียลมีเดีย เพจ และ URLs ผิดกฎหมาย เพราะอาจตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ ทำให้สูญเสียข้อมูลส่วนบุคคล รวมทั้งสูญเสียทรัพย์สินได้ หรือหากมีการเชื่อ และแชร์ข้อมูลที่อยู่ใน URLs ผิดกฎหมายต่อๆกัน อาจทำให้เกิดผลกระทบต่อสังคมในวงกว้างได้ โดยพี่น้องประชาชนสามารถ แจ้งเบาะแส ข่าวปลอมและอาชญากรรมออนไลน์ทุกรูปแบบ โทรสายด่วน 1111 (24 ชั่วโมง ) ,  Line ID: @antifakenewscenter และเว็บไซต์ www.antifakenewscenter.com

เชียงใหม่-คณะพยาบาลศาสตร์ มช. ร่วมกับ 8 มหาวิทยาลัยต่างประเทศ จัดการประชุมวิชาการนานาชาติ Global Health Recalibration 2024

(4 ก.ย.67) คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมกับ 8 มหาวิทยาลัยต่างประเทศ จัดประชุมวิชาการนานาชาติ ‘การเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาพโลก’: การสร้างความเข้มแข็งด้านผลลัพธ์ทางสุขภาพ การศึกษา การปฏิบัติทางคลินิก และวิจัย (Global Health Recalibration: Strengthening Outcomes, Education, Clinical Practice, and Research) โดยมี นายวรวิทย์ ชัยสวัสดิ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ให้เกียรติเป็นประธานพิธีเปิดการประชุม พร้อมด้วย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ทพ.พิริยะ เชิดสถิรกุล  รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธานี แก้วธรรมานุกูล คณบดีคณะพยาบาลศาสตร์  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตลอดจนนักวิชาการ นักวิจัยด้านสุขภาพ นักศึกษาจากประเทศไทยและต่างประเทศ  เข้าร่วมประชุม ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติ โรงแรมดิเอ็มเพรส จังหวัดเชียงใหม่

คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมกับสถาบันการศึกษาชั้นนำ จำนวน 8 แห่ง ได้แก่ 1) University of Adelaide 2) Columbia University 3) Duke University 4) University of Illinois at Chicago 5) Johns Hopkins University 6) Kagawa University 7) University of Michigan และ 8) Taipei Medical University ได้จัดงานประชุมวิชาการนานาชาติ เรื่อง การเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาพโลก: การสร้างความเข้มแข็งด้านผลลัพธ์ทางสุขภาพ การศึกษา การปฏิบัติทางคลินิก และวิจัย (Global Health Recalibration: Strengthening Outcomes, Education, Clinical Practice, and Research) กำหนดจัดในระหว่างวันที่ 4 – 6 กันยายน 2567 ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติ โรงแรมดิเอ็มเพรส จังหวัดเชียงใหม่ 

ผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย นักวิชาการ นักวิจัยด้านสุขภาพ รวมทั้งนักศึกษาจากประเทศไทยและต่างประเทศ รวมทั้งสิ้น 433 คน จากทั่วโลก ได้แก่ ออสเตรเลีย สาธารณรัฐประชาชนจีน จีนไทเป เขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น มัลดีฟส์ นิวซีแลนด์ ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ศรีลังกา สหรัฐอเมริกา เวียดนาม และไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่ออภิปรายเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาพโลก ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาผลลัพธ์ทางสุขภาพที่เข้มแข็ง การศึกษา การปฏิบัติทางคลินิก และวิจัย รวมถึงโอกาสและความท้าทาย ของการสร้างผลลัพธ์ที่เข้มแข็งทางด้านสุขภาพ ผ่านความร่วมมือระหว่างสหวิชาชีพ นอกจากนั้น ยังเป็นเวทีสำหรับสหวิชาชีพ ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพในการสร้างเครือข่าย อันจะนำไปสู่การพัฒนาทีมสุขภาพและการพัฒนาสุขภาพโลกในระดับภูมิภาคและระดับโลก 

การประชุมวิชาการนานาชาติ เรื่อง การเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาพโลก: การสร้างความเข้มแข็งด้านผลลัพธ์ทางสุขภาพ การศึกษา การปฏิบัติทางคลินิก และวิจัยในครั้งนี้ นับเป็นการจัดประชุมวิชาการนานาชาติครั้งที่ 7 ที่คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้เป็นเจ้าภาพจัดประชุม ซึ่งจะเป็นการสานต่อ และพัฒนาองค์ความรู้ ด้านการส่งเสริมสุขภาพของโลกต่อเนื่องมาจากการจัดประชุมวิชาการนานาชาติที่คณะพยาบาลศาสตร์ได้จัดไปแล้ว จำนวน 6 ครั้ง เมื่อปี พ.ศ. 2544, พ.ศ. 2547, พ.ศ. 2551, พ.ศ. 2555, พ.ศ. 2559, และ พ.ศ. 2563 (จัดทุก 4 ปี) ซึ่งประสบผลสำเร็จอย่างมาก ซึ่งจะเห็นได้จากการที่มีผู้เข้าร่วมการประชุมมาจากทั่วโลก ทั้งนี้ยังได้ดำเนินกิจกรรมพบปะสนทนาระหว่างผู้แทนจากเครือข่ายของศูนย์ความร่วมมือทางการพยาบาลและการผดุงครรภ์ขององค์การอนามัยโลก The Global Network of WHO Collaborating Centers จากนานาประเทศ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น กระชับความสัมพันธ์ และส่งเสริมการทำงานร่วมกันระหว่างศูนย์ความร่วมมือและสมาชิกพันธมิตร

สำหรับการจัดประชุมวิชาการนานาชาติ Global Health Recalibration 2024 จะเป็นการเผยแพร่ให้ความรู้ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากวิทยากร/ผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงในระดับโลก จำนวน 15 คน นอกจากนี้ ในการประชุม ได้มีการนำเสนอผลงานวิจัย จำนวน 236 เรื่อง แบ่งเป็นการนำเสนอแบบปากเปล่า (Oral Presentation) 120 เรื่อง และนำเสนอด้วยโปสเตอร์ 116 เรื่อง และได้มีการจัดนิทรรศการวิชาการจากสถาบันการศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมประชุมสามารถเลือกชมกิจกรรม และความก้าวหน้าของสถาบันการศึกษาต่าง ๆ อีกด้วย 

'การบินไทย' ตรวจสอบความปลอดภัย ‘Airbus A350’ ยัน!! ไม่พบปัญหาจากเครื่องยนต์ และคงให้บริการตามปกติ

เมื่อวานนี้ (3 ก.ย. 67) นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงกรณีสายการบิน ‘คาเธ่ย์ แปซิฟิก แอร์เวย์’ (Cathay Pacific Airways) ตรวจสอบพบชิ้นส่วนเครื่องยนต์ที่มีปัญหาในเครื่องบิน Airbus SE A350 ส่งผลให้ต้องระงับการใช้เครื่องบินดังกล่าว และยกเลิกเที่ยวบินหลายเส้นทาง

ในส่วนของการบินไทยปัจจุบันมีอากาศยานรุ่น Airbus A350 ให้บริการ ซึ่งมีการตรวจสอบ และซ่อมบำรุงตามวงรอบปกติ โดยปัจจุบันอากาศยานรุ่นดังกล่าวยังคงให้บริการตามปกติ และยังไม่พบปัญหาจากเครื่องยนต์

สำหรับกรณี Cathay Pacific Airways ตรวจสอบพบชิ้นส่วนเครื่องยนต์ Airbus A350 มีการรายงานจากสำนักข่าวบลูมเบิร์กว่า ในวันนี้ (3 ก.ย.) Cathay Pacific Airways ได้ยกเลิกเที่ยวบินจากฮ่องกงไปสิงคโปร์เกือบทั้งหมด รวมถึงเที่ยวบินอื่น ๆ ทั่วเอเชีย หลังจากพบชิ้นส่วนเครื่องยนต์ที่มีปัญหาในเครื่องบิน Airbus SE A350 ของตน โดยคาดว่าท่อส่งน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผิดรูปหรือเสื่อมสภาพเป็นสาเหตุ

สายการบินได้ขอให้นักวิศวกรของตนตรวจสอบท่อสายยางที่จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้กับเครื่องยนต์อย่างเฉพาะเจาะจง เพื่อหาความผิดปกติ การเสียรูป การบิด การพองตัวหรือการเสื่อมสภาพ ตามแหล่งข่าวสองคนที่ขอไม่เปิดเผยชื่อ เนื่องจากไม่ได้รับอนุญาตให้พูดต่อสาธารณะ ขณะด้าน Cathay Pacific ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาชิ้นส่วนเครื่องยนต์โดยเฉพาะ

นอกจากนี้ สายการบิน Cathay Pacific ยังได้ยกเลิกเที่ยวบินจากฮ่องกงไปกรุงเทพฯ และเที่ยวบินไปสนามบินนาริตะของโตเกียวเกือบครึ่งหนึ่ง โดยเที่ยวบินที่ยังคงเปิดให้บริการอยู่นั้น ไม่มีเที่ยวบินใดใช้เครื่องบินแอร์บัส A350 แล้ว ซึ่งสายการบินระบุว่า มีการยกเลิกเที่ยวบินเดี่ยวประมาณ 48 เที่ยวบิน รวมถึงเที่ยวบินขาไปและขากลับ

ทั้งนี้ Cathay Pacific ได้ตรวจพบปัญหาเกี่ยวกับชิ้นส่วนเครื่องยนต์ในเครื่องบินลำหนึ่งที่ต้องกลับจากเที่ยวบินเดิมที่มุ่งหน้าไปยังเมืองซูริคในวันจันทร์ การตรวจสอบเครื่องบินอื่น ๆ ในฝูงบินพบว่าชิ้นส่วนเครื่องยนต์แบบเดียวกันหลายชิ้นก็จำเป็นต้องเปลี่ยน

'นนทบุรี' เตือน!! 30 ชุมชนนอกแนวป้องกันเสี่ยงน้ำท่วม อิทธิพล 'ฝนหนัก-น้ำเหนือ' แนะ!! เร่งยกของขึ้นที่สูง

เมื่อวานนี้ (3 ก.ย. 67) นายอภิชัย อร่ามศรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี ปฏิบัติราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี ในฐานะผู้อำนวยการจังหวัด ได้มีหนังสือด่วนที่สุด ในราชการกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดนนทบุรี ถึงหัวหน้าส่วนราชการหลายหน่วยและนายกเทศมนตรีหลายแห่ง และแจ้งให้พร้อมรับมือน้ำฝนและรับน้ำเหนือ และ 30 ชุมชนเสี่ยงถูกน้ำท่วม

โดยอ้างประกาศฉบับที่ 2 ของกรมอุตุนิยมวิทยา ลงวันที่ 2 กันยายน แจ้งว่า ประเทศไทยจะมีฝนเพิ่มขึ้นและฝนตกหนักถึงหนักมาก บางพื้นที่บริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จะยังคงมีฝนฟ้าคะนอง และลมกระโชกแรงบางพื้นที่ โดยมีพื้นที่เฝ้าระวังสถานการณ์พายุฝนฟ้าคะนอง และลมกระโชกแรงระหว่างวันที่ 3-9 กันยายน 2567

และกรมชลประทานได้มีหนังสือ ด่วนที่สุด ลงวันที่ 2 กันยายน 2567 แจ้งว่า จะมีการระบายน้ำผ่านท้ายเขื่อนเจ้าพระยา ในอัตราระหว่าง 1,400-1,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ทำให้พื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำบริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยามีระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นจากปัจจุบัน อีกประมาณ 0.25-1.40 เมตร และอาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่ชุมชน ตั้งแต่วันที่ 5 กันยายน 2567 เป็นต้นไป ประกอบกับจากการคาดการณ์ระดับน้ำทะเลหนุนสูง จากกรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ น้ำทะเลหนุนสูงถึงวันที่ 5 กันยายน 2567 และระหว่างวันที่ 14-20 กันยายน 2567

เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์ และลดผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดนนทบุรีจึงขอให้ถือปฏิบัติตามแนวทาง ดังนี้

1.แจ้งเตือนประชาชนให้ติดตามข้อมูลสภาวะอากาศและข่าวสารจากทางราชการ ประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ให้กับประชาชน ระวังอันตรายจากพายุฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ สิ่งก่อสร้างและป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง รวมถึงระวังอันตรายจากฟ้าผ่า สำหรับเกษตรกรควรป้องกันผลิตผลทางการเกษตรที่อาจได้รับความเสียหาย และแจ้งเตือนประชาชนที่อยู่นอกแนวคันกั้นน้ำให้ขนย้ายสิ่งของเพื่อลดความเสียหายจากกรณีเพิ่มการระบายน้ำ และน้ำทะเลหนุนสูง จากระดับน้ำปัจจุบันประมาณ 0.25-1.40 เมตร

2.หากมีแนวโน้มจะเกิดสถานการณ์ฝนฟ้าคะนองรุนแรงในพื้นที่ ให้เตรียมพร้อมทรัพยากร และแผนเผชิญเหตุ รวมถึงกำลังเจ้าหน้าที่ให้มีความพร้อมบรรเทาภัย อำนวยความสะดวก ให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยตลอด 24 ชั่วโมง โดยประสานและบูรณาการหน่วยงานพลเรือน เครือข่ายอาสาสมัคร จิตอาสา ภาคเอกชนทุกภาคส่วนเข้าร่วมปฏิบัติงาน

3.หากเกิดสาธารณภัยขึ้นในพื้นที่ให้รายงานสถานการณ์ และการให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้น ให้กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดนนทบุรีทราบทันที ทางหมายเลขโทรศัพท์ 0-2591-2471 สายด่วน 1784 หรือแจ้งผ่านแอพพลิเคชั่น Line ปภ.โดยดำเนินการเพิ่มเพื่อน Line ID : @๑๗๘๔DDPM ตลอด 24 ชั่วโมง

กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดนนทบุรี จึงขอให้ประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภาคเอกชนที่ประกอบกิจการในแม่น้ำ เช่น งานก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่ง แพร้านอาหาร เป็นต้น รวมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแจ้งเตือนประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณพื้นที่ลุ่มน้ำต่ำ 30 จุด ให้เฝ้าระวังและยกของขึ้นที่สูงและเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และหากมีแนวโน้มจะเกิดสถานการณ์สาธารณภัยในพื้นที่ ให้แจ้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทหาร ตำรวจ อาสาสมัคร ประชาชนจิตอาสา หรือกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดนนทบุรี ร่วมปฏิบัติงานให้ความช่วยเหลือประชาชนต่อไป

สำหรับชุมชนทั้ง 30 แห่ง ที่อยู่ในพื้นที่ลุ่มต่ำ นอกแนวป้องกันน้ำท่วม เสี่ยงได้รับผลกระทบ ประกอบด้วย

1.ชุมชนบริเวณวัดค้างคาว ม.4
2.ชุมชนริมน้ำท่าอิฐ ม.8
3.ชุมชนบริเวณมัสยิดท่าอิฐ ม.10
4.ชุมชนคลองบางภูมิ ม.5 ฝั่ง ต.คลองพระอุดม
5.ชุมชนบริเวณวัดไทรม้าเหนือ
6.ชุมชนบริเวณวัดไทรม้าใต้
7.ชุมชนวัดเฉลิมพระเกรียรติ
8.ชุมชนวัดอมฤต
9.ชุมชนบริเวณเกาะเกร็ด
10.ชุมชนบริเวณวัดแคนอก

11.ชุมชนวัดศาลารี
12.ชุมชนวัดค้างคาว ม.4
13.ชุมชนบริเวณวัดโพธิ์ทองบน
14.ชุมชนบริเวณวัดสลักเหนือ
15.ชุมชนวัดแจ้งศิริสัมพันธ์
16.ชุมชนบริเวณ หลัง รพ.พระนั่งเกล้า
17.ชุมชนบริเวณท่าน้ำนนทบุรี
18.ชุมชนบริเวณหมู่บ้านเทพประทาน
19.ชุมชนบริเวณวัดกู้
20.ชุมชนบริเวณวัดบ่อ

21.ชุมชนบริเวณวัดสนามเหนือ
22.ชุมชนวัดกลางเกร็ด
23.ชุมชนวัดแสงสิริธรรม
24.ชุมชนริมน้ำท่าอิฐ ม.4, ม.5, ม.6 และ ม.7
25.ชุมชนวัดตำหนักใต้
26.ชุมชนบริเวณวัดท่าบางสีทอง
27.ชุมชนบริเวณวัดชลอ
28.ชุมชนบริเวณวัดเกตุประยงค์เล็ก
29.ชุมชนบริเวณวัดพิกุลทอง
30.ชุมชนวัดใหญ่สว่างอารมณ์


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top