Monday, 30 June 2025
NEWS FEED

รมว.พิพัฒน์ ชูยกระดับทักษะฝีมือท่องเที่ยวมูลค่าสูง หนุนไทยเป็นฮับอุตสาหกรรมไมซ์

(5 ก.ย. 67) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ประธานในพิธีเปิดโครงการยกระดับบุคลากรในอุตสาหกรรมไมซ์สู่การรองรับการท่องเที่ยวทางการแพทย์และสุขภาพ (Medical and Wellness Tourism) ระดับนานาชาติ พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ "โอกาสและความท้าทายในการยกระดับศักยภาพและสมรรถนะแรงงานไทยเพื่อรองรับการท่องเที่ยวที่มีมูลค่าสูง" โดยมี 

นายไพโรจน์ โชติกเสถียร ปลัดกระทรวงแรงงาน นางสาวบุณยวีร์ ไขว้พันธุ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงานร่วมเป็นเกียรติ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นิวัติ แก้วประดับ อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวต้อนรับ นายสมนึก พรมเขียว ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา กล่าววัตถุประสงค์การจัดงาน หัวหน้าส่วนราชการหน่วยงานสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดสงขลา ร่วมให้การต้อนรับ ณ เวทีกิจกรรมหลัก ห้องคอนเวนชั่นฮอลล์ ศูนย์ประชุมนานาชาติฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา

นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ผมรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาเป็นประธานในพิธีเปิดงานนี้ ด้วยปัจจัยหลายประการ ทั้งทำเลที่ตั้งที่เป็นศูนย์กลางของภูมิภาค ความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก การบริการและอัธยาศัยของคนไทย การบริการทางการแพทย์ที่ได้มาตรฐานสากล ความหลากหลายของแหล่งท่องเที่ยวและวัฒนธรรม เป็นต้น ส่งผลให้ประเทศไทยมีโอกาสที่จะเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรม MICE และการท่องเที่ยวทางการแพทย์และสุขภาพในภูมิภาคเอเชีย จะกลายอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่มีผลต่อการจ้างงานแรงงานที่มีทักษะฝีมือ จึงเป็นภารกิจของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน ในการผลิตกำลังคนที่มีความรู้ความสามารถป้อนสู่อุตสาหกรรมดังกล่าว

นายพิพัฒน์ กล่าวต่อว่า กระทรวงแรงงานได้มอบหมายให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กำหนดแนวทาง ในการพัฒนาแรงงานในครอบคลุมทุกๆ ด้าน อาทิ ส่งเสริมการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษาในการพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรม เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงาน โดยล่าสุดกรมฯ ได้สร้างความร่วมมือกับสมาคมการแสดงสินค้า (ไทย) สมาคมธุรกิจสร้างสรรค์การจัดงาน สมาคมส่งเสริมการประชุมนานาชาติ (ไทย) สมาคมโรงแรมไทย และสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ ในการพัฒนามาตรฐานบุคลากรในอุตสาหกรรม MICE ดำเนินการร่วมกันกับหน่วยงานต่างๆ กำหนดมาตรฐานฝีมือแรงงาน ส่งเสริมการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานและหนังสือรับรอง เพื่อให้ผู้ผ่านการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน ได้รับค่าจ้างตามทักษะฝีมือ นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาแพลตฟอร์มที่เรียกว่า One Platform for Skill Development เพื่อสนับสนุนการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังส่งเสริมให้นายจ้างและสถานประกอบกิจการ มีการพัฒนาทักษะฝีมือให้แก่พนักงานของตนเอง โดยรับสิทธิประโยชน์ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. 2545

“แนวทางเหล่านี้จะเป็นการยกระดับศักยภาพแรงงานสูงขึ้นรองรับการท่องเที่ยวมูลค่าสูง เป็นการวางรากฐานสู่การเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรม MICE และการท่องเที่ยวทางการแพทย์และสุขภาพระดับภูมิภาค ซึ่งจังหวัดสงขลา เป็นจังหวัดหนึ่งที่ควรจะมีการส่งเสริมในการพัฒนากำลังคนสาขานี้ เนื่องจากเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของภาคใต้ มีความพร้อมในด้านโครงสร้างพื้นฐาน ดังนั้นการมีกำลังแรงงานในสาขาที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม MICE จะช่วยต่อยอดในการเป็นศูนย์กลางในระดับภาค ระดับประเทศ หรือภูมิภาคได้เป็นอย่างดี” รมว.พิพัฒน์ กล่าว

'เอฟเคไอไอ.ไทยแลนด์' ผนึก 'เกาหลี' จัดบิสสิเนส ฟอรั่มกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจ

'อลงกรณ์' ชี้การเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-เกาหลีช่วยยกระดับศักยภาพใหม่2ประเทศขยายการลงทุนเพิ่มมูลค่าการค้า5 แสนล้าน

(5 ก.ย. 67) นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ. ไทยแลนด์ (FKII Thailand: Field for Knowledge Integration and Innovation) เปิดเผยวันนี้ว่าสถาบันเอฟเคไอไอ. ไทยแลนด์(FKII Thailand) สถาบันทิวา(TVA)และสมาคมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเกาหลี-เอเซีย(Korea-Asia Economic Cooperation Association :KOAECA)จับมือจัดงานสัมมนา(seminar)และจับคู่ธุรกิจ(business matching) “เอฟเคไอไอ. โกลบอล บิสสิเนส ฟอรั่ม : ความร่วมมือ ไทย-เกาหลี” (FKII GLOBAL BUSINESS FORUM: THAI - KOREA COLLABORATION) ในวันศุกร์ที่ 6 กันยายน 2567 เวลา 9.00-13.30 น. ณ สวนเสียงไผ่ ทาวน์อินทาวน์ โดยมีเป้าหมายในการส่งเสริมความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจการค้าการลงทุนการท่องเที่ยวรวมทั้งด้านเกษตรอัจฉริยะและธุรกิจไบโอเทคโนโลยีด้านสุขภาพ เกาหลีใต้เป็นหนึ่งในประเทศที่มีความสัมพันธ์อันดีกับไทยมาถึง66 ปีซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะส่งเสริมความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น ปัจจุบันเกาหลีใต้มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงเป็นอันดับ 10 ของโลก และเป็นประเทศที่มีมูลค่าการส่งออกอยู่ที่อันดับ 6 ของโลก มีความเชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยีชั้นสูง รวมทั้งยังเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูงอย่างยิ่งในการใช้ “เศรษฐกิจสร้างสรรค์”เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ ในด้านความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่าง2ประเทศนั้น เกาหลีใต้เป็นประเทศคู่ค้าที่สำคัญในปี 2566 เกาหลี เป็นคู่ค้าอันดับ 12 ของไทย มีมูลค่าการค้าระหว่างกัน14,736.86 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือกว่า 5 แสนล้านบาทโดยไทยส่งออกไปสาธารณรัฐเกาหลี 6,070.44 ล้านดอลลาร์สหรัฐและนำเข้าจากสาธารณรัฐเกาหลี 8,666.42 ล้านดอลลาร์ สำหรับด้านการท่องเที่ยว ในช่วงก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 มีนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีใต้หลั่งไหลเข้ามาเที่ยวในประเทศไทยประมาณ 2 ล้านคนต่อปี

ทั้งประเทศไทยและเกาหลีใต้ได้ร่วมกันจัดแคมเปญเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างกัน โดยให้ปี 2566 และปี 2567 เป็น “ปีแห่งการเยี่ยมเยียนระหว่างสองประเทศ” ส่วนทางด้านการลงทุนมีบริษัทเกาหลีมากกว่า 400 ราย ที่เข้ามาลงทุนในไทยและประสบความสำเร็จอย่างดี โดยบริษัทรายใหญ่หรือกลุ่มแชโบล เช่น ซัมซุง แอลจี พอสโก ฮันวา และฮันซอล ถือเป็นคลื่นการลงทุนลูกแรกจากเกาหลีที่เข้ามาไทยเมื่อกว่า 30 ปีที่แล้ว และได้ขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่องในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา มีโครงการลงทุนจากเกาหลีเข้ามาอย่างต่อเนื่องปีละเฉลี่ย 30 โครงการ เงินลงทุนราว 5 พันล้านบาทต่อปี โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่ทั้งสองประเทศมีความสนใจร่วมกัน และเกาหลีมีความเชี่ยวชาญ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เซมิคอนดัคเตอร์ ระบบอัตโนมัติ เทคโนโลยีชีวภาพ ดิจิทัล โดยเฉพาะการพัฒนาเกมและระบบอัจฉริยะใน Smart City รวมทั้งอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ อย่างไรก็ตามเมื่อเปรียบเทียบในประเทศอาเซียน เกาหลีใต้ยังลงทุนในไทยน้อย โดยอยู่ในอันดับที่ 8 ซึ่งมากกว่าเพียงแค่ลาวและกัมพูชาเท่านั้นจึงเป็นโอกาสที่จะขยายการลงทุนได้อีกมาก

“ผมเห็นด้วยกับการเจรจาจัดทำความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ (Economic Partnership Agreement: EPA) ไทย-เกาหลี ซึ่งเริ่มการเจรจาและตั้งเป้าเจรจาเสร็จสิ้นภายในสิ้นปี 2568 หรือต้นปี 2569 เป็นหนึ่งในนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการเร่งรัดการจัดทำความตกลงการค้าเสรีของไทยให้มากขึ้น เอฟทีเอฉบับนี้ จะเป็นการต่อยอดจากเอฟทีเอที่ไทยและเกาหลีเป็นภาคีร่วมกัน ทั้งความตกลงการค้าเสรีอาเซียน–เกาหลี (AKFTA) และความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย อีกทั้งยังช่วยดึงดูดการลงทุนจากสาธารณรัฐเกาหลีเข้ามาในไทยเพิ่มขึ้น” นายอลงกรณ์กล่าวว่า สัปดาห์ที่แล้ว ตนและ ดร.อาณัฐชัย รัตตกุล รองประธานFKII ด้านต่างประเทศได้สนทนากับฯพณฯมุน ซึง–ฮย็อน (Moon Seoung–hyun) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) ประจำประเทศไทยซึ่งสถานเอกอัครราชทูตยินดีเข้าร่วมในกิจกรรมครั้งนี้

ก่อนหน้านี้ในการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนไทย ฯพณฯมุน ซึง–ฮย็อน (Moon Seoung–hyun) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) ประจำประเทศไทยได้ชี้ให้เห็นโอกาสใน 4 ด้านที่จะเพิ่มความร่วมมือระหว่างกัน

ด้านที่ 1 คือ ความร่วมมือกันในด้าน EV (Electric Vehicle) ทั้งรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเกาหลีใต้มีผู้ผลิตที่สำคัญ อย่าง “Hyundai” และ “Kia” รวมทั้งแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งมีซัมซุง และแอลจีเป็นผู้นำ นอกจากนี้ ยังมองว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ EV จะมีส่วนช่วยสำคัญในนโยบายการดูแลสิ่งแวดล้อม และการไปถึงเป้าหมาย Zero Corbon ในปี 2593

ด้านที่ 2  “ความร่วมมือด้านดิจิทัล” โดยการเพิ่มความร่วมมือในธุรกิจอี-คอมเมิร์ช (E-commerce) ดิจิทัลแบงกิ้ง (Digital Banking) และธุรกิจจัดส่งอาหารไปยังที่พัก (Food Delivery) ซึ่งเป็นธุรกิจที่เป็นที่นิยมในเกาหลีใต้ และธนาคารในเกาหลีใต้ได้ยกระดับเป็น Digital Banking เกือบทั้งหมดแล้ว ทำให้สามารถเพิ่มความร่วมมือระหว่างกันได้ เพราะเป็นอุตสาหกรรมที่เกาหลีใต้สนใจมาลงทุน

ด้านที่ 3 คือ ความร่วมมือในการส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์Soft Power เพื่อประชาสัมพันธ์ และเพิ่มมูลค่าของทั้งคนไทย และประเทศ ยกตัวอย่าง เกาหลีใต้ มีอุตสาหกรรม K-POP หรือการสอดแทรกส่งเสริมวัฒนธรรม ความเป็นอยู่ สถานที่ท่องเที่ยว หรือตัวสินค้าในซีรีส์เกาหลี ซึ่งจะเห็นว่าสามารถทำเงินได้มหาศาลโดยมองว่า ทั้งสองประเทศมี “จุดแข็ง” ร่วมกันที่จะช่วยส่งเสริม Soft Power ได้ อย่าง Lisa BLACKPINK ซึ่งนอกจากจะทำเงินได้มากมายแล้ว ยังเปรียบเสมือนเป็น “ผู้เชื่อมโยงสานสัมพันธ์ระหว่างไทยและเกาหลีใต้”

และด้านที่ 4  “ความร่วมมือกันในอุตสาหกรรมอนาคต” ซึ่งอาจเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสูง อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ ยานอวกาศ ฯลฯ.

สำหรับสถาบันเอฟเคไอไอ. ไทยแลนด์(FKII Thailand: Field for Knowledge Integration and Innovation)เป็นองค์กรวิสาหกิจเพื่อสังคม(Social Enterprise)ทำหน้าที่สนับสนุนความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศไทยกับนานาประเทศรวมทั้งเป็นตัวกลางเชื่อมประสานระหว่างหน่วยงานวิจัยกับภาคเอกชนภาครัฐทั้งในและต่างประเทศทางด้านนวัตกรรมและองค์ความรู้เพื่อเพิ่มศักยภาพใหม่ของประเทศและการพัฒนาอย่างยั่งยืนตอบโจทย์ความท้าทายใหม่ของโลกปัจจุบันและอนาคต

'กรณ์' แนะ!! แนวทางบรรเทาหนี้ครัวเรือนไทย หลังพุ่งแตะอันดับ 9 ของโลก ชี้!! ส่วนใหญ่ยืมมาเพื่อใช้จ่าย ไม่ใช่ลงทุนในสินทรัพย์ที่เพิ่มมูลค่า

เมื่อวานนี้ (4 ก.ย. 67) นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ 'วิกฤตเศรษฐกิจไทยในวันที่ต้องรอด' ในงานประชุมใหญ่สมาคมอสังหาริมทรัพย์ฉะเชิงเทรา ที่จัดขึ้น ณ โรงแรมวันธาราเวลเนส รีสอร์ท แอนด์ โฮเทล ต.คลองนา อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา โดยมีสมาชิกสมาคมอสังหาริมทรัพย์จากทั่วประเทศเข้าร่วม

โดยนายกรณ์ได้กล่าวถึงหนี้รัฐบาลว่ายังถือเป็นเรื่องที่น่าจะแบกรับได้ เมื่อเทียบกับภาระการชดใช้ดอกเบี้ยและเงินต้นของรัฐบาล ที่เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายทั้งหมดจะอยู่ที่ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ของ GDP

แต่สิ่งที่กำลังเป็นปัญหาของรัฐบาลคือการที่หนี้ภาคครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ ซึ่งหลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในปี 2554-2556 พบว่า หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นจาก 50 เปอร์เซ็นต์ของ GDP เป็น 80 เปอร์เซ็นต์ของ GDP ในระยะเพียง 5 ปี ถือว่าเร็วที่สุดเมื่อเทียบกับเกือบทุกประเทศในโลก

ขณะที่ในวันนี้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนของไทยอยู่ที่ประมาณ 86.9 เปอร์เซ็นต์ของ GDP ซึ่งติดอยู่ในกลุ่มหนี้ครัวเรือนที่สูงที่สุดในโลก หรือติดอยู่ในลำดับที่ 9 ใน 10 ของโลก และที่น่าแปลกใจคือ ประเทศที่มีหนี้ครัวเรือนสูงที่สุด คือ สวิตเซอร์แลนด์ ที่เคยถูกมองว่าเป็นประเทศที่ร่ำรวยและไม่คิดว่าประชากรของประเทศนี้จะกู้หนี้ยืมสินมากเป็นอันดับ 1 ของโลก คือ 128.3 เปอร์เซ็นต์ของ GDP

“แต่เหตุใดคนสวิสจึงไม่เดือดร้อนในเรื่องของปัญหาหนี้ครัวเรือน นั่นก็เพราะ 99 เปอร์เซ็นต์ของหนี้สินคนสวิสคือ หนี้ซื้อบ้านซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นอยู่ตลอดเวลา แต่ประเทศไทย หนี้ภาคครัวเรือนเป็นหนี้ที่ยืมมาเพื่อใช้จ่าย อีกทั้งรายได้ของประเทศไทยยังน้อย จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้กำลังซื้อของคนไทยหายไป”

นายกรณ์ ยังเผยอีกว่า ที่ผ่านมาตนได้เคยฝากความเห็นไปยังรัฐบาล ‘เศรษฐา’ เกี่ยวกับเรื่องที่มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย แก้ปัญหาเรื่องหนี้ว่าปัญหาหนี้ต้องแก้ด้วยเงิน และกระทรวงที่มีเงินคือ กระทรวงการคลัง ที่มีธนาคารของรัฐอยู่ในมือจึงเหมาะจะเป็นเจ้าภาพ ทั้งธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส.

แต่ไม่ได้หมายความว่าเรื่องหนี้จะแก้ได้โดยง่าย เพราะเป็นปัญหาที่สะสมมานาน และที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหาหนี้ไม่ใช่การพักหนี้หรือยกหนี้ให้ แต่เป็นการเพิ่มรายได้ให้แก่ลูกหนี้ ด้วยการทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น ถ้าเศรษฐกิจดีขึ้นเราจะสามารถแบกรับภาระหนี้เหล่านี้ได้

“หาก GDP โตสัดส่วนหนี้ต่อ GDP จะค่อยๆ ลดลงไปเอง วิธีการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนที่สุด คือทำให้ GDP โต ฉะนั้นประเด็นคือเราจะทำให้เศรษฐกิจของเราโตขึ้นได้อย่างไร ซึ่งจะต้องรอดูและให้เวลาต่อรัฐบาลชุดใหม่ว่าจะขับเคลื่อนอย่างไร เช่น การมีนโยบายส่งเสริมพัฒนาส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ EEC ต่อหรือไม่ หรือจะหันไปสนใจในเรื่องแลนด์บริดจ์ที่เป็นนโยบายของรัฐบาลนี้โดยตรง”

ทั้งนี้ เหตุผลหลักที่ทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตเมื่อ 40 ปีก่อนคือการที่ญี่ปุ่นย้ายฐานการผลิตมาที่ไทย เนื่องจากญี่ปุ่นมีปัญหาด้านการค้ากับอเมริกา ขณะที่เงินเยนแข็งค่าเกินไปจึงต้องการส่งออกสินค้ากับประเทศที่มีอัตราแลกเปลี่ยนเทียบกับสหรัฐฯ ที่ไม่ได้มีการปรับในระดับเดียวกับญี่ปุ่น

ซึ่งเงินบาทของไทยในขณะนั้นยังผูกอยู่กับเงินดอลลาร์สหรัฐ จึงตรงกับความต้องการของนักลงทุนญี่ปุ่น อีกทั้งยังมีการก่อสร้างทางอุตสาหกรรม จึงมีแรงงานที่เป็นปัจจัยในทางบวกกับประเทศไทยอย่างมาก

แต่ในวันนี้การลงทุนจากต่างประเทศของไทยลดลงเหลือแค่เพียงประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น EEC จึงมีความสำคัญในการดึงการลงทุนให้ไหลกลับคืนเข้ามา

ประธานวุฒิสภาให้การรับรองเอกอัครราชทูตเครือรัฐออสเตรเลียประจำประเทศไทย ในโอกาสหารือข้อราชการ

เมื่อวานนี้ (4 ก.ย.67) เวลา 10.30 นาฬิกา ณ ห้องรับรองพิเศษ 204 ชั้น 2 อาคารรัฐสภา (ฝั่งวุฒิสภา) นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ให้การรับรองนางสาวแอนเจลา เจน แม็กดอนัลด์ (H.E. Ms. Angela Jane Macdonald) เอกอัครราชทูตเครือรัฐออสเตรเลียประจำประเทศไทย ในโอกาสแสดงความยินดีที่เข้ารับตำแหน่งประธานวุฒิสภา และหารือข้อราชการเพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับออสเตรเลีย โดยมี นายวีระพันธ์ สุวรรณนามัย และนายปริญญา วงษ์เชิดขวัญ สมาชิกวุฒิสภา พร้อมด้วยนางสาวแก้วเกศร์ ถาวรพันธ์ ที่ปรึกษาด้านระบบงานนิติบัญญัติ ร่วมให้การรับรอง

ประธานวุฒิสภา กล่าวชื่นชมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับออสเตรเลียที่มีความใกล้ชิดและแน่นแฟ้นมาอย่างยาวนานนับตั้งแต่การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน ในปี พ.ศ. 2495 และได้ยกระดับความสัมพันธ์โดยมีแผนปฏิบัติการร่วมกันเพื่อขับเคลื่อนความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างไทยกับออสเตรเลีย ปี พ.ศ. 2565 - 2568 รวมถึงมีความร่วมมือกันในระดับทวิภาคีหลายมิติ สำหรับความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติมีกลุ่มมิตรภาพสมาชิกรัฐสภาเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศ 

นอกจากนี้ ความร่วมมือในระดับพหุภาคี ทั้งสองประเทศทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดในการแก้ไขปัญหาท้าท้ายร่วมกันในการกรอบการประชุมสหภาพรัฐสภา (IPU) สมัชชารัฐสภาอาเซียน (AIPA) การประชุมประจำปีรัฐสภาภาคพื้นเอเชียและแปซิฟิก (APPF) สำหรับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ ออสเตรเลียเป็นคู่ค้าสำคัญของไทยและอาเซียน โดยปีนี้นับเป็นปีเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีแห่งความสัมพันธ์อาเซียน-ออสเตรเลีย เชื่อมั่นว่าไทยและออสเตรเลียจะขยายความร่วมมือที่มีอยู่เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ สมาชิกวุฒิสภาได้แลกเปลี่ยนในประเด็นความร่วมมือและแนวปฏิบัติที่ดีระหว่างไทยกับออสเตรเลียในการพัฒนาวิชาชีพการพยาบาลดูแลผู้สูงอายุเพื่อให้สอดรับกับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของไทย รวมถึงการพิจารณาอำนวยความสะดวกในการตรวจลงตรา (Visa) ให้แก่นักเรียนและนักท่องเที่ยวไทยที่จะเดินทางไปออสเตรเลียเพื่อส่งเสริมการไปมาหาสู่ระหว่างกันให้มากยิ่งขึ้น ด้านเอกอัครราชทูตฯ กล่าวขอบคุณประธานวุฒิสภาและสมาชิกวุฒิสภาที่ให้การต้อนรับ รวมถึงชื่นชมความหลากหลายของสมาชิกวุฒิสภาที่ครอบคลุมทุกภาคส่วนของสังคมที่สามารถสะท้อนความเป็นอยู่ของประชาชน

เอกอัครราชทูตฯ กล่าวว่า ออสเตรเลียให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างบทบาทในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงผ่านความร่วมมือด้านความมั่นคง พลังงาน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการบริหารจัดการน้ำ ที่ผ่านมามีโครงการศึกษาดูงานและการแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญทั้งในด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน การจัดเก็บแบตเตอรี่ และการเกษตรอย่างยั่งยืน โดยในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้จะมีบริษัทออสเตรเลียกว่า 25 บริษัท มาร่วมงานสัมมนาด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนและเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียวในไทย เอกอัครราชทูตฯ กล่าวชื่นชมความร่วมมือด้านการพยาบาลและการดูแลผู้สูงอายุที่ปัจจุบันมีหลักสูตรต่อเนื่องโดยเรียนที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงเป็นระยะเวลา 3 ปี และไปศึกษาต่อที่ออสเตรเลียจนสำเร็จการศึกษา สำหรับประเด็นการอำนวยความสะดวกด้านการตรวจลงตรา เอกอัครราชทูตฯ จะนำข้อคิดเห็นของสมาชิกวุฒิสภาหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป  

นอกจากนี้ ผู้ช่วยทูตทหารกล่าวชื่นความร่วมมือทางการทหารระหว่างไทยกับออสเตรเลียที่มีอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันออสเตรเลียมีโครงการให้นักศึกษาไทยเดินทางไปฝึกอบรมด้านการทหารทั้งสามเหล่าทัพ ซึ่งเป็นช่องทางหนึ่งในการส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างทั้งสองประเทศ ทั้งนี้ เอกอัครราชทูตฯ กล่าวชื่นชมความสัมพันธ์ระดับรัฐสภาของทั้งสองประเทศและหวังเป็นอย่างยิ่งว่าในอนาคตทั้งสองประเทศจะมีการแลกเปลี่ยนด้านนิติบัญญัติในมิติต่าง ๆ มากขึ้น และยินดีที่จะให้การสนับสนุนในการส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างไทยกับออสเตรเลียให้มั่นคงและแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นต่อไป 

'สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ' จัดการฝึกซ้อมการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล เพื่อรับมือเหตุภัยพิบัติ ประจำปี 2567 เตรียมความพร้อมเจ้าหน้าที่ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นที่ยอมรับตามมาตรฐานสากล

(5 ก.ย.67) เวลา 10.00 น. พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการสำนักงานพิสูจหลักฐานตำรวจ เป็นประธานเปิดโครงการฝึกซ้อมการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลเพื่อรับมือเหตุภัยพิบัติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ณ ลานสรัลนุช สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สพฐ.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.ท.ดิเรก ธนานนท์นิวาส ที่ปรึกษา(สบ 8) สพฐ.ตร. , พล.ต.ต.วิสูตร นาคจู รอง ผบช.สพฐ.ตร. , พล.ต.ต.ทนงค์ ทองประดับเพชร ที่ปรึกษา(สบ 7) สพฐ.ตร.,  พล.ต.ต.ไกรวิน วัฒนสิน ผบก.อก.สพฐ.ตร., พล.ต.ต.วาที อัศวุตมางกุร ผบก.พฐก., พล.ต.ต.หญิง วิรญา พรหมายน ผบก.ทว. และ พล.ต.ต.กัลป์ ทังสุพานิช ผบก.สฝจ. ร่วมพิธีเปิดโครงการ 

ผบช.สพฐ.ตร. เปิดเผยว่า ปัจจุบันภัยพิบัติเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติ หรือภัยพิบัติที่มนุษย์สร้างขึ้น เมื่อเกิดขึ้นแล้วย่อมก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน อันส่งผลกระทบต่อการดำเนินวิถีชีวิตของผู้คน และภาวะทางเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว การฝึกซ้อมการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลเพื่อรับมือเหตุภัยพิบัติ เป็นสิ่งที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งในการเสริมสร้างประสบการณ์ ทบทวนขั้นตอนการปฏิบัติให้กับเจ้าหน้าที่ รวมถึงเป็นการบูรณาการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากมีภัยพิบัติเกิดขึ้นก็จะสามารถปฏิบัติหน้าที่ และประสานการปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นที่ยอมรับตามมาตรฐานสากล และเป็นไปตามแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2567 และระเบียบคำสั่งอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

โครงการฝึกซ้อมการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลเพื่อรับมือเหตุภัยพิบัติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 จัดขึ้นตามแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2567 ซึ่งได้แบ่งชุดปฏิบัติงานออกเป็นทีม A-D ซึ่ง สพฐ.ตร. เป็นชุดปฏิบัติการตรวจพิสูจน์ (ทีม D) รับผิดชอบในการตรวจสถานที่เกิดเหตุ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในสำนวนการสอบสวน การทำสำนวนชันสูตรพลิกศพ ตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์เพื่อยืนยันตัวบุคคล และส่งกลับคืนศพให้กับญาติผู้เสียชีวิต โดยการการฝึกซ้อมตามโครงการดังกล่าว เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์ ความคุ้นเคยกับขั้นตอน และวิธีการปฏิบัติในการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล เป็นการเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้น ตลอดจนทบทวนบทเรียน ปัญหาอุปสรรค และพัฒนาแนวทางปฏิบัติ รวมทั้งการประสานงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อการบูรณาการทรัพยากรและเครื่องมือที่มีอยู่ให้สามารถสนับสนุนซึ่งกันและกันได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ สามารถปฏิบัติงานและบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามขั้นตอนได้อย่างมีประสิทธิภาพตามมาตรฐานสากล

‘เคทีซี’ จัดกิจกรรม ‘KTC on Tour : ชิล ชม ชิม @ พัทยา’ แจกสิทธิพิเศษ-ส่วนลด ‘ร้านอาหาร-แหล่งท่องเที่ยว’ เพียบ!!

(5 ก.ย. 67) ‘เคทีซี’ หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมกับพันธมิตรการตลาดในหมวดกิน (Dining) และหมวดแหล่งท่องเที่ยว (Attraction) จัดกิจกรรม ‘KTC on Tour : ชิล ชม ชิล @ พัทยา’ ชวนอินฟลูเอนเซอร์ สายกิน ดื่ม เที่ยว สัมผัสประสบการณ์ความคุ้มค่า ‘มื้อนี้มีโปรกับบัตรเครดิตเคทีซี’ และ ‘คะแนนน้อยแลกได้’ ที่จังหวัดชลบุรี ตอกย้ำผู้นำด้านการตลาดบัตรเครดิตที่ครอบคลุมทุกหมวดไลฟ์สไตล์ 

ภายในงานเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ได้ร่วมล่าโปรบัตรเครดิตเคทีซี โดยเริ่มต้นเช็กอินที่ร้าน TEA FACTORY AND MORE คาเฟ่ชาในสวนสวย ตกแต่งบรรยากาศด้วยกลิ่นอายแบบโรงงานชาที่ศรีลังกาผสมผสานกับยุโรป ลิ้มรสชาติชาตามแบบฉบับพิเศษของร้านที่ได้รับรางวัลการันตีความอร่อยเคียงคู่เมืองพัทยามากว่า 10 ปี 

ต่อด้วยอาหารเที่ยงที่ร้านอาหารในเครือของ ‘The Sky’ ได้แก่ The Lunar Beach House Pattaya / The Forest by The Sky / The Oxygen Pattaya / The Sky Gallery Pattaya แลนด์มาร์กแห่งใหม่เอาใจสายคาเฟ่ เพลิดเพลินกับอาหารหลากหลายสไตล์เคล้าบรรยากาศริมทะเล 

และสนุกสนานไปกับโชว์โลมาระดับเวิลด์คลาสที่ดีที่สุดในเอเชียที่ Pattaya Dolphinarium 

ปิดท้ายด้วยอาหารค่ำที่ร้าน Under The Sun บนชายหาดทอดยาวที่มองเห็นแสงอาทิตย์อัสดง ในโรงแรมสุดหรู Ana Anan Resort and Villas Pattaya

สำหรับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีที่อาศัยในพื้นที่ชลบุรีหรือจังหวัดใกล้เคียง และผู้เดินทางไปท่องเที่ยวพัทยา สามารถรับสิทธิพิเศษมากมายจากการใช้บริการที่ร้านต่าง ๆ ดังนี้

ร้าน TEA FACTORY AND MORE รับส่วนลด 10% เฉพาะค่าอาหาร (วันจันทร์ - วันศุกร์) รับส่วนลด 5% เฉพาะค่าอาหาร (วันเสาร์ วันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์) พิเศษ แลกคะแนนรับเครดิตเงินคืน 10% เมื่อใช้คะแนน KTC FOREVER เท่ายอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2567 - 31 ธันวาคม 2567

ร้านอาหารในเครือ The Sky ได้แก่ The Lunar Beach House Pattaya / The Forest by The Sky / The Oxygen Pattaya / The Sky Gallery Pattaya แลกคะแนนรับเครดิตเงินคืน 200 บาท เมื่อทานครบ 1,000 บาทต่อเซลส์สลิป และใช้ 1,599 คะแนน KTC FOREVER ระหว่างวันที่ 15 กรกฎาคม 2567 - 31 ตุลาคม 2567 

Pattaya Dolphinarium ใช้คะแนน KTC FOREVER 999 คะแนน แลกรับ e-Coupon ส่วนลด 150 บาท สำหรับบัตรเข้าชมโลมา ผ่านแอป KTC Mobile ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2567 - 31 ธันวาคม 2567 

ร้านอาหาร Under The Sun รับส่วนลด 15% สำหรับอาหารและเครื่องดื่ม (ยกเว้นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์) ระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 - 31 ธันวาคม 2567

ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.ktc.co.th หรือสอบถามที่ KTC PHONE 02 123 5000 สมัครบัตรเครดิตเคทีซีทุกประเภท คลิก https://ktc.today/apply-card หรือศูนย์บริการสมาชิก ‘เคทีซี ทัช’ ทุกสาขาทั่วประเทศ ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรเครดิตควรใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนเต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี 

‘สายสุนีย์’ สุดยอด!! คว้าทองที่ 2 ให้ตัวเองจากกีฬาฟันดาบ สมทบเหรียญทองที่ 5 ให้แก่ทัพพาราลิมปิกไทย

(5 ก.ย. 67) สายสุนีย์ จ๊ะนะ คว้าเหรียญทองเหรียญที่ 5 และเป็นเหรียญทองที่ 2 ของตัวเอง จากดาบฟอยล์ คลาสบี หญิงในการแข่งขันกีฬาพาราลิมปิกเกมส์

การแข่งขันกีฬาพาราลิมปิกเกมส์ 2024 ที่ประเทศฝรั่งเศส ฟันดาบ พาราลิมปิก 2024 ดาบฟอยล์ คลาสบี หญิง รอบชิงชนะเลิศ ‘แวว’ สายสุนีย์ จ๊ะนะ นักกัฬาฟันดาบมากประสบการณ์ มือ 2 ของรายการจากไทย ที่ชนะ ‘ซากุไร อานะรี’ จากญี่ปุ่นมาได้ ในรอบรองชนะเลิศ พบ ‘เซียว หรง’ มือ 5 ของรายการจากจีน คู่ปรับเก่า ที่เพิ่งพบกันในรอบชิงชนะเลิศเซเบอร์ โดยเป็น สายสุนีย์ ที่ชนะไปได้ 

ผลปรากฏว่า สายสุนีย์อาศัยความแม่นยำ ทำคะแนนนำ 7-2 แต่สาวจีนก็ไล่ทำแต้มพลิกมานำ 9-8 แต่หลังจากนั้นนักกีฬาไทย ใช้ความนิ่งก่อนจะมาแซงและได้แต้มสุดท้ายจากจังหวะดึงรอก่อนออกดาบเร็วกว่า สายสุนีย์เป็นฝ่ายเก็บชัยชนะไปแบบสนุก 15-11 พร้อมกับคว้าเหรียญทองไปได้ เป็นเหรียญที่ 2 ให้ตัวเอง และเป็นเหรียญทองที่ 5 ให้กับทัพนักกีฬาพาราลิมปิกไทย 

'อ.สุวินัย' ชี้!! ก่อนเป็นนักยุทธศาสตร์ต้องเป็นนักรบแห่งธรรมก่อน 'อยู่-ตาย' และหายใจเข้าเป็นความรับผิดชอบต่อส่วนรวม

(5 ก.ย. 67) รองศาสตราจารย์ ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กในหัวข้อ 'ทางเลือก' คืออำนาจเดียวที่เรามี ระบุว่า…

จงภูมิใจเถิดที่เกิดมาเป็นคนของบ้านเมืองนี้ บ้านเมืองของเราอยู่ที่นี่ ไม่ใช่เป็นของตระกูลใด ไม่ได้เป็นของใครแต่ผู้เดียว 

ต่อให้บ้านเมืองของเราล่มสลายลงด้วยน้ำมือของใครหรือตระกูลใดก็ตาม มันเป็นหน้าที่ เป็นภารกิจและเป็นศักดิ์ศรีแห่งความเป็น ‘คนในชาติ’ ของแต่ละคนที่ต้องลุกขึ้นมากอบกู้บ้านเมืองและช่วยกันสร้างชาติของเราขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

ท่ามกลางยุคสมัยที่กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทางประวัติศาสตร์ของบ้านเมืองเรา 

คนเราแต่ละคนล้วนมี 'ทางเลือก' ว่าจะเป็นคนโฉด คนชั่ว คนอ่อนแอ คนขี้ขลาด คนเห็นแก่ตัว ซึ่งล้วนมีส่วนในการทำร้ายทำลายบ้านเมืองไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ไม่มากก็น้อย

หรือจะเลือกเป็นผู้กล้า ผู้มีปัญญา ผู้หลุดพ้น ผู้รู้แจ้ง ผู้เสียสละ ผู้เข้มแข็งเพื่อประโยชน์สุขของบ้านเมืองก็ได้ทั้งสิ้น 

ขณะนี้ มันเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าคนทั้งโลกล้วนอยู่ท่ามกลางยุคสมัยแห่งมิคสัญญี ...สงครามใหญ่กำลังนับถอยหลังรอวันระเบิด ดุจปราสาททรายที่จะล้มครืนลงมาเมื่อใดก็ไม่รู้ 

มีแต่ 'ทางเลือก' ที่ผู้นั้นเลือกเองเท่านั้นที่บ่งบอกถึง 'ตัวตน' ของผู้นั้นอย่างชัดแจ้ง

สำหรับเขา ทางเลือกของเขานั้นชัดเจนเสมอมา ไม่ว่าจะต้องเลือกกี่ครั้ง เขาก็ไม่เคยลังเลเลยที่จะเลือกแบบนั้น ...ซึ่งเป็น 'จริยผู้กล้า' ดังต่อไปนี้

"จอมยุทธ์ชุดรัดกุม ควบอาชาต้านไพรี 
เหยียบย่ำทั่วปฐพี ทุกสิบก้าวฝ่ามารผจญ 

หนทางไกลไม่เคยล้า ล้วนมุ่งหน้าปราบทุรชน 
เสร็จเรื่องทุกแห่งหน ล้วนจากลาอย่างไร้นาม 

สามจอกให้สัจจะ ยินดีสละแม้ชีวัน 
ถ้อยคำคือคำมั่น ดุจบรรพตคู่ธรณี 

บอกไว้เป็นสักขี ว่าตัวข้าหยัดยืนทะนง 

ยามกู้สู้ยิบตา ใช้สองบ่าค้ำคีรี 
ฝากชื่อในปฐพี แม้ตายไปโลกระบือ .... "

"บทกวีจริยผู้กล้า" รจนาโดยเซียนกวีหลี่ไป๋ (李白,ค.ศ.701-762)

● จงเป็นนักรบแห่งธรรม ●

ทะเลแผดเสียงหัวเราะคำราม กระแทกเซาะชายฝั่ง
ข้าเองยังถูกม้วนซัดไปกับเกลียวคลื่นของยุคสมัย

ฟ้ายิ้มเย้ยให้กับโลกอันวุ่นวาย
มีแต่ฟ้าเท่านั้นที่รู้ว่าใครผิดใครถูก

มีแต่พสุธาเท่านั้นที่รู้ว่าใครดีใครเลว
ขุนเขาคำรามรับเสียงหัวเราะจากฟากฟ้า

คลื่นลูกเก่าเริ่มโรยรา คลื่นลูกใหม่เข้ามาทดแทน
แต่โลกยังคงหมุนเวียนสืบไปไม่รู้จบสิ้น

พวกข้ายิ้มเย้ยกับสายลม และพายุที่โหมกระหน่ำ
ใส่เปลวเทียนแห่งธรรม ที่พวกข้าร่วมกันจุดขึ้นมา

พวกข้าของปกป้องเปลวเทียนนี้สุดชีวิต
จนกว่ามันจะกลายเป็นเปลวเพลิงใหญ่
ที่ขับไล่ความมืดมิดให้หมดไปจากสังคมนี้

ก่อนเป็นนักยุทธศาสตร์ต้องเป็นนักรบแห่งธรรมก่อน

หลักการนักรบของนักรบแห่งธรรม คือการมีชีวิตอยู่และตายไปโดยปราศจากความอาลัยและความสำนึกเสียใจ

แรกสุดของการฝึกจิตเพื่อเป็นนักรบแห่งธรรม คือการที่ผู้นั้นต้อง ‘ดูจิต’ ของตนให้เป็นอย่างทะลุปรุโปร่งว่าจิตของตนมีกระบวนการทำงานเยี่ยงไร

จากนั้นก็ทำการฝึกจิตของตนให้เชื่องด้วยวิธีการอันแยบยล จนกระทั่งจิตของตนมีความอ่อนเหมาะสมแก่การใช้งาน และทำให้ผู้นั้นเป็นนายแห่งจิตใจของตนเองได้

ต่อสู้กับการคดโกงปล้นชาติโดยไม่ยำเกรง แปรเปลี่ยนการต่อสู้เพื่อบ้านเมืองให้เป็นหนทางไปสู่การเจริญเติบโตของจิตใจตนเอง

นักรบแห่งธรรมจะเฝ้าดูอารมณ์ต่าง ๆ ที่ผุดขึ้นมาอย่างแจ่มชัดและรู้ทัน โดยไม่ปล่อยให้อุปทานมาครอบงำจิตใจ

นักรบแห่งธรรมจึงรู้ดีว่าตนเองควรมองอารมณ์ของตนเยี่ยงไร และควรจัดการกับอารมณ์แต่ละอารมณ์ของตนอย่างไรถึงจะเหมาะสมกับสถานการณ์นั้น

นักรบแห่งธรรมจะบอกกับตนเองอยู่เสมอว่า ตนเองจะไม่หลบเลี่ยงไปจากความทุกข์ ความปวดร้าว แต่จะใช้มันอย่างดีที่สุดเพื่อที่ตัวเองจะได้มีจิตใจที่กรุณายิ่งขึ้น และสามารถช่วยเหลือประชาชนได้มากกว่าเดิม

นักรบแห่งธรรมล้วนตระหนักดีว่า ปีติอันใดที่มีอยู่ในโลกล้วนเกิดจากความปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข และความทุกข์ใดที่มีอยู่ในโลกล้วนเกิดจากความปรารถนาให้ตัวเองมีความสุข

ดังนั้นนักรบแห่งธรรมจึงได้ตั้งปณิธานอันยิ่งใหญ่ให้แก่ตัวเองว่า

"จงมอบความสำเร็จและชัยชนะให้แก่ปวงชน
และยินดีน้อมรับความเจ็บปวดทั้งปวงไว้กับตนเอง"

ด้วยปณิธานเช่นนี้นักรบแห่งธรรมย่อมเดินอยู่บนวิถีแห่งความไร้พ่าย ด้วยความไร้ตัวตนและไร้อัตตาอย่างถึงที่สุด

หลักการที่ค้ำจุน "วิถีไร้พ่าย" ของนักรบแห่งธรรม คือหลักแห่งอนัตตา หรือหลักการแห่งการไร้ตัวตนอย่างถึงที่สุดในทุก ๆ การกระทำเพื่อส่วนรวมของนักรบแห่งธรรม

เพราะในสงครามเพื่อปกป้องบ้านเมือง ปกป้องสถาบันหลัก ศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดของนักรบแห่งธรรมนั้น มิใช่ศัตรูภายนอก แต่คือศัตรูภายใน หรือความยึดมั่นถือมั่นในอัตตาของตนเอง

ทุก ๆ เวลา และทุก ๆ สถานที่ที่มีโอกาสอำนวย นักรบแห่งธรรมจะนั่งกรรมฐานเงียบ ๆ ร่างตั้งตรงสงบนิ่ง สงบจิตใจรำงับ ปล่อยให้ความคิดและอารมณ์ผุดขึ้นมาเองโดยไม่เข้าไปแทรกแซงใด ๆ ทั้งสิ้น

ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนถูกปลดเปลื้อง ปล่อยออกไปให้เป็นอิสระภายใน ดุจปมเงื่อนที่คลายตัวเองออกมาในความว่างอันไพศาลดุจท้องฟ้า

ไม่ว่าจะกระทำสิ่งใด นักรบแห่งธรรมจักรไม่ยอมกีดกันความเจ็บปวดรวดร้าวออกไปจากใจ แต่นักรบแห่งธรรมจะน้อมรับ ยอมรับความทุกข์ใจเหล่านั้นด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง

เพราะความปวดร้าวคือพรจำแลง ที่เป็นโอกาสอันมีค่าให้นักรบแห่งธรรมสามารถค้นพบสิ่งที่ดำรงอยู่เบื้องหลังความทุกข์ทั้งปวง

นักรบแห่งธรรมจะหายใจเอาสิ่งเลวร้ายและพลาดผิดเข้าไป จากนั้นหายใจออกมาเป็นน้ำมิตรไมตรี

นักรบแห่งธรรมจะหายใจเข้าเป็นความรับผิดชอบต่อส่วนรวม และหายใจออกเป็นการให้อภัย

นักรบแห่งธรรม คือผู้ที่ตระหนักดีว่าผู้ใดก็ตามที่ยังไม่ได้ค้นพบขุมทรัพย์แห่งอริยสมบัติในตน ผู้นั้นล้วนแต่เป็นผู้ยากไร้ทั้งสิ้น

ไม่ว่าผู้นั้นจะร่ำรวยมีทรัพย์สินเงินทองนอกกายมากแค่ไหนก็ตาม
อริยสมบัติที่ว่านี้คือ 'จิตเดิมแท้' นั่นเอง

จิตเดิมแท้เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง คนเราสามารถเข้าถึงจิตเดิมแท้นี้ได้เสมอ เพราะมันดำรงอยู่ในตัวเราทุกคน และเป็นธรรมชาติที่แท้จริงของคนเราทุกคน

นักรบแห่งธรรมเข้าถึงจิตเดิมแท้นี้ได้โดยมีสติที่ตั้งมั่นอยู่ใน ‘จิตปัจจุบัน’ อย่างสม่ำเสมอ

ความเข้มข้นของความทุกข์ของคนเรานั้นจึงขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงที่ผู้นั้นต่อต้านการเข้าถึงจิตปัจจุบัน

การฝึกจิตให้ว่าง จึงเป็นหนทางนำนักรบแห่งธรรมเข้าสู่จิตเดิมแท้
หลักการเข้าถึง ‘จิตว่าง’ ของนักรบแห่งธรรมนั้นมีอยู่ว่า 

"จงอย่าจริงจังกับทุกสิ่งที่ใจคิด 
เพราะตัวเรามิใช่ใจของเรา 
ใจของเราก็เป็นอนัตตาเช่นกัน"

นักรบแห่งธรรมต้องสามารถมองทุกสิ่งที่ใจคิดอย่างเอ็นดู และอย่างมีอารมณ์ขันได้

หากทำได้เช่นนี้ นักรบแห่งธรรมก็จะไม่ตกเป็นทาสของความคิด และสามารถเป็นนายของความคิดได้
ด้วยจิตคารวะ

~ สุวินัย ภรณวลัย

'พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ' มอบประกาศเกียรติคุณ 'ทำดี มีรางวัล' ให้กับตำรวจจราจร ช่วยเหลือคนพิการนั่งวีลแชร์ข้ามถนน

เมื่อวานนี้ (4 ก.ย. 67) เวลา 11.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มอบใบประกาศเกียรติคุณตามโครงการ 'ทำดี มีรางวัล' ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 นาย คือ ร.ต.ต.บัญชา คำบุบผารอง สว.(จร.) สภ.เสม็ด และ ส.ต.อ.บารมี​ ศิลา​เชษฐา​นันท์ ผบ.หมู่ (ป.)​ สภ.เสม็ด จ.ชลบุรี

โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2567 เวลาประมาณ 13.00 น. ในขณะที่ ร.ต.ต.บัญชา คำบุบผารอง สว.(จร.) สภ.เสม็ด และ ส.ต.อ.บารมี ศิลาเชษฐานันท์ ผบ.หมู่ (ป.) สภ.เสม็ด ปฏิบัติหน้าที่อยู่ ได้พบเห็นหญิงผู้พิการซึ่งนั่งเก้าอี้รถเข็นสำหรับคนพิการ หรือ วีลแชร์ บริเวณใต้สะพานต่างระดับวัดบางเป้ง ต.เสม็ด อ.เมืองชลบุรี จ.ชลบุรี โดยหญิงคนดังกล่าวมีความพยายามจะข้ามถนน แต่ไม่สามารถข้ามได้ เนื่องจากมีรถจำนวนมากสัญจรไปมาด้วยความเร็วสูง ตลอดจนมีความเหนื่อยล้าจากสภาพอากาศที่ร้อนจัด และมือที่ใช้หมุนล้อมีอาการอักเสบปวดพอง เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 2 นาย จึงได้เข้าทำการช่วยเหลือ ส่งหญิงคนดังกล่าวถึงที่หมายที่ต้องการได้อย่างปลอดภัย โดยประชาชนผู้พบเห็นเหตุการณ์ได้บันทึกวีดีโอ และเหตุการณ์ดังกล่าวได้ถูกส่งต่อเผยแพร่ในสังคมออนไลน์ ได้รับกระแสความชื่นชมในวงกว้าง

ทั้งนี้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ กล่าวว่า ขอขอบคุณและชื่นชม เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 2 นาย ที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยหัวใจความเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างแท้จริง เป็นที่ประจักษ์แก่สังคม สมควรได้รับการยกย่องสรรเสริญ ตามโครงการ 'ทำดี มีรางวัล' เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ เป็นแบบอย่างที่ดีแก่สังคมสืบไป พร้อมขอให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับส่งเสริมข้าราชการตำรวจปฏิบัติหน้าที่เพื่อพี่น้องประชาชนลักษณะเช่นนี้อย่างต่อเนื่องต่อไป

ทัพเรือภาคที่ 1 ฝึกปฏิบัติการร่วมกับท่าเรือประจวบ

เมื่อวานนี้ (4 ก.ย.67) พลเรือโทสุระศักดิ์ สิงขรวัฒน์ ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 มอบหมายให้ นาวาเอกอโศก ศรีสวัสดิ์ รองเสนาธิการ ทัพเรือภาคที่ 1 เป็นประธานเปิดการฝึกปฏิบัติการร่วม ทัพเรือภาคที่ 1 กับบริษัท ท่าเรือประจวบ จำกัด ในการฝึกซ้อมแผนรักษาความปลอดภัยท่าเรือและเรือ ตาม ISPS Code ภายใต้รหัสการฝึก Naval Security Prachuap Port  Exercise 2024 : 'NAPPEX’24'

โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน รวมทั้งทำการทดสอบแผนเผชิญเหตุ มาตรการรักษาความปลอดภัย และการปฏิบัติของส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้มีความพร้อมรับสถานการณ์เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่ปกติ ในพื้นที่เขตท่าเรือ และนำผลลัพธ์ที่ได้มาปรับปรุงมาตรการรักษาความปลอดภัยของบริษัท/ท่าเรือ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

ซึ่งมีกำหนดการฝึกฯ ระหว่างวันที่ 4 - 5 กันยายน 2567 ประกอบด้วย การบรรยายเชิงวิชาการ การฝึกซ้อมแผน รูปแบบการฝึกภาคสนามภาคทะเล ของหน่วยงานต่าง ๆ ในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ประกอบด้วย บริษัท ท่าเรือประจวบ จำกัด กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 14 โรงพยาบาลบางสะพาน โดยทัพเรือภาคที่ 1 จัดกำลังพลฝ่ายอำนวยการ ทัพเรือภาคที่ 1 ร.ล.กระบุรี และชุดปฏิบัติการพิเศษ หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ จากกองเรือยุทธการ เข้าร่วมการฝึก ในครั้งนี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top