Monday, 30 June 2025
NEWS FEED

‘กัน จอมพลัง’ ประสานตำรวจ ตามรวบตัว ‘ขอทานหน้าเหลว’ สารภาพรับ!! คนไทยใจดี ทำให้มี ‘รายได้วันละ 5 พันบาท’

เมื่อวานนี้ (7 ก.ย. 67) สืบเนื่องมาจากการ ‘กัน จอมพลัง’ ประสานตำรวจตามรวบ ‘ขอทานหน้าเหลว’ ชาวกัมพูชา แกล้งพิการ แกล้งเป็นใบ้ แกล้งตาบอด แกล้งเดินไม่ได้ รายได้ วันละ 5พันบาท  ล่าสุดเมื่อวันที่ 6 ก.ย 2567 พ.ต.ท.หญิง พรรัมภา พัฒนาวาท สว.กก.ดส.บช.น. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ชุดปฏิบัติการที่ 2  พบเบาะแส มีสามี ภรรยา ‘ขอทานกัมพูชา’ กำลังเดินกลับมาในซอยรามอินทรา 73 เมื่อพบทั้งสองเจ้าหน้าที่ได้เข้าไปสอบถามข้อมูล ทราบชื่อว่า นางเล้ง กับนายเม้ง กำลังกลับมาจากขอทาน ย่านลาดกระบัง

โดยนางเล้งกล่าวว่า ตนมาอาศัยอยู่ ที่ประเทศไทยประมาณ 20 ปีแล้วโดยตอนแรกทำอาชีพเป็นลูกจ้างธรรมดาทั่วไปแต่กระทั่ง 2-3 ปีที่ผ่านมาได้ผันตัวมาขอทาน และได้คบหากับสามีมา 8 ปี โดยสามีก็ขอทานเหมือนกัน และมีลูกด้วยกัน 1 คน ก่อนหน้านี้ตนรู้จักกับเพื่อนชาวกัมพูชาชักชวนให้มาขอทานได้เงินวันละ 100 - 800 บาท ต้องทำงานส่งเงินกลับไปบ้าน ที่ประเทศกัมพูชา กู้เงินมาสร้างบ้านกว่า 400,000 บาท ต้องจ่ายเดือนละ 8,000 บาท

หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ขอค้นบ้านของสองสามีภรรยาคู่นี้ เมื่อเข้าไปเจอกับ น.ส.เอ (นามสมมติ) หญิงชาวกัมพูชากำลังอุ้มลูกหลบอยู่ด้านหลังภายในห้องเช่า นอกจากนี้ยังมีชาวกัมพูชาอีกหลายครอบครัวมีการเปิดโซเชียลดูไลฟ์สดของ กัน จอมพลัง ที่ กำลังตามหาชาวกัมพูชาอยู่ด้วย ในตอนแรกเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มาเคาะบ้านหลังดังกล่าวแล้ว แต่พบว่ามีการล็อกประตูเอาไว้จากด้านหน้าเพื่อพรางว่า ไม่มีคนอยู่ ภายในบ้านเช่าพบมีไพ่อยู่ในกระเป๋า และพบขวดแอลกอฮอล์ตั้งอยู่หน้าห้อง

โดย น.ส.เอ(นามสมมติ)ที่พิการทางใบหน้า กล่าวว่า ที่ใบหน้าเละแบบนี้เพราะเกิดจากเหตุการณ์แก๊สระเบิดเมื่อ 19 ปีก่อน หลังจากนั้นตัดสินใจมาประเทศไทย โดยมีรถตู้ไปรับที่ชายแดนกัมพูชา คิดค่ารถ 3,000 บาท ยอมรับว่า ไม่ได้มีพาสปอร์ตเข้าประเทศไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมายและทราบว่าทำสิ่งผิดกฎหมายอยู่ แต่ไม่รู้ว่าจะไปทำอาชีพอะไร เพราะว่าอยู่ที่ประเทศกัมพูชาก็ไม่มีรายได้ แต่อยู่ที่นี่ มีรายได้ดีจากการขอทาน เพราะคนคนไทยเป็นคนใจดี โดยตน ได้รายได้ต่อวัน เป็นเงิน 800-1,000 บาท

ในขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ตรวจสอบห้องเช่าข้าง ๆ กัน ยังพบ นายบี ชายพิการหน้าเละ ชาวกัมพูชา อาศัยอยู่มีภรรยาและลูกอีก 1 คน เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจค้นห้องพบเงินสด 3 หมื่นบาท และมีทองคำที่ใส่อยู่ในตัวอีกด้วย 

โดย นายบีอ้างว่า ตนเข้า ๆ ออก ๆ ประเทศไทย 5-6 ปี เนื่องจากมีบ้านอยู่ที่ประเทศกัมพูชาด้วย แต่ไม่มีรายได้ ไม่มีอาชีพอะไร เมื่อ 19 ปีที่แล้ว ตนทะเลาะกับเพื่อนแล้วถูกเพื่อนสาดน้ำกรดใส่หน้า ทำให้ต้องมาขอทานที่ประเทศไทย เพราะ คนไทยใจดี เวลาเห็นคนพิการก็จะให้เงินตลอด มีรายได้วันละ 1,500 บาท ได้มาก็ให้ภรรยาเก็บ

ทั้งนี้ พ.ต.ท.หญิง พรรัมภา พัฒนาวาท สว.กก.ดส.บช.น. สั่งการให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ชุดปฏิบัติการที่ 2 กก.ดส.บช.น. คุมตัว ชาวกัมพูชา 10 คน ไปที่ กก.ดส.บช.น. เพื่อดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป

สำนักงานตำรวจแห่งชาติเตือนเทรนด์ใหม่มิจฉาชีพ เปิดบัญชีปลอม ลงโฆษณาผ่าน Reels หลอกขายสินค้าราคาถูก

( 8 ก.ย. 67) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปอส.ตร. ได้มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่อาจได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งในปัจจุบันสำนักงานตำรวจแห่งชาติพบว่ามีกลุ่มมิจฉาชีพได้มีการพัฒนารูปแบบวิธีการในการหลอกลวงประชาชน จากเดิมที่มิจฉาชีพจะลงโฆษณาหลอกขายสินค้าราคาถูกผ่านโพสต์ในสื่อสังคมออนไลน์ เปลี่ยนเป็นการโฆษณาผ่านการลงคลิปสั้น หรือ Reels ในเฟซบุ๊ก โดยมิจฉาชีพจะสามารถใส่ปุ่มให้กดซื้อสินค้า ซึ่งเป็นลิงก์ที่จะนำไปสู่เว็บไซต์ขายสินค้าปลอม

อีกทั้งมิจฉาชีพยังใช้กลวิธีในการทำให้โฆษณาปลอมดังกล่าวดูน่าเชื่อถือ ด้วยการนำคลิปวิดีโอจริงของอินฟลูเอนเซอร์ มาตัดต่อใส่ข้อความหลอกขายสินค้า อีกทั้งในรูปโปรไฟล์ของบัญชีปลอมดังกล่าว ยังมีการใส่เครื่องหมายติ๊กถูกสีฟ้า หรือ Meta Verified เพื่อหลอกให้หลงเชื่อว่าเป็นบัญชีที่ได้รับการรับรอง พร้อมทั้งยังใส่ข้อความจำนวนผู้ติดตามปลอมไว้ในข้อมูลทั่วไปของเพจ เพื่อหลอกให้หลงเชื่อว่ามีผู้ติดตามเพจจำนวนมากอีกด้วย

สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงขอแจ้งเตือนพี่น้องประชาชนให้ระมัดระวังในการใช้สื่อสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การกดลิงก์ หรือการสั่งซื้อสินค้าที่มีการลงโฆษณาผ่านคลิปวิดีโอสั้น ในสื่อสังคมออนไลน์แพลตฟอร์มต่าง ๆ เพราะอาจเป็นคลิปวิดีโอจากเพจปลอมที่มิจฉาชีพสร้างขึ้นมาเพื่อหลอกลวงพี่น้องประชาชน

สุดท้ายนี้ หากพี่น้องประชาชนได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ สามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่สถานีตำรวจในพื้นที่ และสำหรับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่ศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ บนเว็บไซต์ www.thaipoliceonline.go.th หรือสายด่วน 1441 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

‘ว่าที่ประธานาธิบดีคนดัง’ เยือน ‘ทักษิณ-อุ๊งอิ๊ง’ ถึงบ้าน เพื่อกระชับความสัมพันธ์ พร้อมเผย!! รอต้อนรับอย่างสมเกียรติ หากไปเยือนที่ประเทศ ‘อินโดนีเซีย’

(7 ก.ย.67) เมื่อประมาณเวลา 10.30 น. นายปราโบโว สุเบียนโต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอินโดนีเซีย ผู้ที่กำลังจะสาบานตนเป็นประธานาธิบดีในเดือนหน้า ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก Prabowo Subianto  เป็นภาษาอังกฤษ และภาษาอินโดนีเซีย โดยมีใจความว่า ...

“ขอบคุณ ฯพณฯ ดร.ทักษิณ ชินวัตร ที่เชิญผมมารับประทานอาหารเย็นอันอบอุ่นที่บ้านพักของท่านในกรุงเทพมหานคร นับเป็นเกียรติอย่างยิ่งต่อมิตรภาพระหว่างครอบครัวของเรา ผมตั้งตารอจะได้ต้อนรับท่านในอินโดนีเซีย”

พร้อมโพสต์ภาพ ว่าที่ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย คู่กับ ดร.ทักษิณ และมีนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ร่วมเฟรมด้วย 

ทั้งนี้ นายสุเบียนโต ชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีในวันที่ 14 ก.พ. ที่ผ่านมา มีกำหนดสาบานตนเป็นประธานาธิบดีอินโดนีเซียในวันที่ 20 ต.ค.นี้

‘เลขาฯ ไบโอไทย’ โดนหมายเรียกปม ‘ปลาหมอคางดำ’ ‘สตช.’ แจ้งข้อหา ‘หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา’

(7 ก.ย.67) เฟซบุ๊กเพจ ‘BIOTHAI’ ของ ‘มูลนิธิชีววิถี’ โพสต์ข้อความ ระบุว่าหมายเรียกจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งแจ้งความดำเนินคดี นายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ เลขาธิการมูลนิธิชีววิถี (BioThai) มาถึงแล้ว โดยแจ้งว่าเป็นการฟ้องในข้อหา หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา

ในหมายเรียกแจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหาเดินทางไปที่สถานีตำรวจภูธรรัตนาธิเบศร์ ในวันที่ 12 กันยายน 2567 เวลา 13.00 น.

อนึ่งเลขาธิการไบโอไทยให้ข้อมูลว่า เพิ่งได้รับหมายเรียกนี้เมื่อเย็นวานนี้ (วันที่ 6 กันยายน 2567 หลังจากประชาชนชาวจังหวัดสมุทรสงครามพร้อมสภาทนายความเดินทางไปยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายบริษัทเอกชนเมื่อวันที่ 5 กันยายน เพียง 1 วัน) โดยที่หัวจดหมายระบุว่าเป็นหมายเรียกครั้งที่ 2 โดยมีเพียงเอกสารแผ่นเดียว ไม่พบ ‘รายละเอียดปรากฏตามเอกสารแนบท้ายหมายเรียกผู้ต้องหา’ แต่อย่างใด

โดยเลขาธิการไบโอไทยได้แจ้งรายละเอียดการได้รับหมายเรียกนี้แล้วแก่ทีมทนายความที่นำโดย มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม(EnLaw) ซึ่งได้รับมอบอำนาจ เป็นผู้ดำเนินการเกี่ยวกับคดีนี้ต่อไป

‘กยศ.’ เผย!! นักศึกษามีความต้องการ ‘กู้เงิน’ เพื่อเรียนต่อเพิ่มมากขึ้น เร่ง!! อนุมัติขยายกรอบ ปรับเพิ่มวงเงินกู้ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน

(7 ก.ย.67) นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ได้เปิดเผยว่า ขณะนี้ คณะกรรมการกองทุนฯ ได้มีมติอนุมัติขยายกรอบการให้กู้ยืมในปีการศึกษา 2567 ส่งผลให้นักเรียน นักศึกษาผู้กู้ยืมได้รับโอกาสทางการศึกษาเพิ่มขึ้น จากเดิม 769,009 ราย เป็นจำนวน 837,009 ราย พร้อมปรับวงเงินให้กู้ยืมเพิ่มขึ้นจากเดิมจำนวน 48,344 ล้านบาท เป็นจำนวน 51,278 ล้านบาท เพื่อเป็นการช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการศึกษาของนักเรียน นักศึกษา และผู้ปกครอง 

สำหรับความคืบหน้าในการปรับโครงสร้างหนี้เพื่อช่วยเหลือผู้กู้ยืม กองทุนฯ ได้ขยายระยะเวลาผ่อนชำระหนี้อีก 15 ปี ปลดภาระผู้ค้ำประกันทันที และให้ส่วนลดเบี้ยปรับที่ตั้งพักไว้ทั้งหมด 100% หลังจากชำระหนี้เสร็จสิ้น ซึ่งกองทุนฯ ได้ทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ทั้งในกรุงเทพฯ และจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์-กันยายน 2567 มีผู้กู้ยืมเงินเข้าทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้แล้วกว่า 168,000 ราย สำหรับภาพรวมการรับชำระหนี้ในปีนี้ กองทุนฯ ได้รับชำระเงินคืนจำนวน 23,359 ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2567) ในโอกาสนี้ กองทุนฯ ขอขอบคุณผู้กู้ยืมทุกท่านที่มีความรับผิดชอบในการชำระคืนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนส่งต่อโอกาสทางการศึกษาให้แก่รุ่นน้อง รวมถึงขอขอบคุณหน่วยงานและผู้ที่เกี่ยวข้องที่มีส่วนสนับสนุนการดำเนินงานกองทุนฯ มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างโอกาสให้แก่นักเรียน นักศึกษา และประชาชนในการเข้าถึงการศึกษาต่อไป 

พบ ‘ศพชายปริศนา’ อยู่ในฝ้าใต้สกายวอล์ก ข้ามแยก สาทร–นราธิวาส ตร.คาด!! เป็นขโมยเข้ามาก่อเหตุลักสายไฟ ก่อนถูกไฟดูดเสียชีวิต

เมื่อวานนี้ (6 ก.ย.67) จากกรณี พบศพชายปริศนา อยู่ในฝ้าใต้สกายวอล์ก ข้ามแยก สาทร–นราธิวาส เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 5 กันยายน 67 ที่ผ่านโดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจคาดว่าเป็นหัวขโมยเข้ามาก่อเหตุลักสายไฟ ก่อนถูกไฟดูดเสียชีวิตนาน 4-5 เดือน

ที่จุดเกิดเหตุพบว่า ใกล้บริเวณพบศพนั้นมีประตูอยู่โดยมีกุญแจล็อกไว้ จากการสอบถามชาวบ้านในพื้นที่ให้ข้อมูลว่า ประตูนี้มีไว้ให้ช่างไฟหรือช่างซ่อมบำรุงขึ้นไปตรวจสอบเท่านั้น และไม่เคยมีใครเห็นว่ามีคนขึ้นไปนอกจากช่าง

นางสาวณี อายุ 50 ปี เจ้าหน้าที่กวาดถนน สังกัด กทม. เขตสาทร เผยว่า ตัวเองทำงานกวาดถนนอยู่บริเวณนี้ช่วงเช้าถึงบ่ายของทุกวัน ซึ่งทุกเช้ามืดตัวเองจะนำมอเตอร์ไซค์มาจอดบริเวณนี้ประจำจน เมื่อช่วงเดือนเมษายน ตัวเองเริ่มเห็นมีเลือดและน้ำหนองไหลออกจากฝ้าเพดานจุดนี้ และเริ่มส่งกลิ่นเหม็นอย่างรุนแรง จึงได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ดูแลความสะอาดด้านบนสกายวอล์ก เจ้าหน้าที่ทำความสะอาดบอกว่าด้านบนสกายวอล์กได้กลิ่นแรงกว่าด้านล่าง แต่ก็คิดว่าเป็นเพียงสุนัขหรือสัตว์อื่น ๆ ที่เสียชีวิต และไม่คิดเลยว่าเป็นคน เพราะด้านในนั้นเป็นพื้นที่แคบ

เคยมีคนร้องเรียนไปยัง กทม. ว่าจุดนี้มีเลือดและน้ำหนองไหล เป็นจำนวนมาก ทาง กทม. จึงให้เจ้าหน้าที่มาทำความสะอาดพื้นบริเวณนี้ แต่หลังทำความสะอาดก็ยังพบว่ามีเลือดและน้ำหนองไหลอยู่แต่ไม่มากเท่าไหร่ หลังเกิดเหตุส่วนตัวรู้สึกกลัวและตกใจที่เป็นคนตาย เพราะตัวเองพักอยู่ตรงจุดนี้เสมอ แต่ก็ไม่กังวลเพราะเหตุการณ์ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง

ขณะที่ นายหนุ่ย อายุ 42 ปี วินมอเตอร์ไซค์ เล่าว่า มีคนเห็นว่าจุดนี้มีไฟฟ้าช็อต จึงเรียกช่างไฟมาดู เมื่อช่างไฟมาตรวจสอบก็พบกะโหลกคนอย่างที่ปรากฏในสื่อ ส่วนตัวได้กลิ่นเหม็นนั้นมาเป็นปีแล้วแต่ช่วง 1 เดือนที่ผ่านมากลิ่นนั้นเหม็นอย่างมาก แต่ตัวเองก็คิดแค่ว่าเป็นกลิ่นจากน้ำคลองหรือไม่ หลังเกิดเหตุเมื่อพบว่าเป็นคน ส่วนตัวก็คิดว่าเป็นขโมยเพราะมีอุปกรณ์ประแจ และหากเป็นช่างซ่อมบำรุงก็น่าจะมีคนมาตามหาแล้ว

ส่วนบริเวณนี้นั้นส่วนใหญ่จะมีแต่คนเร่ร่อนที่พบเห็นอยู่บ่อยครั้ง ส่วนขโมยนั้นส่วนตัวไม่ทราบว่ามีหรือไม่ แต่ก็ไม่เคยเห็น

จากการสอบถาม เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ทุ่งมหาเมฆ ให้ข้อมูลว่า ตอนนี้ยังไม่สามารถระบุตัวตนได้ว่าเป็นใคร เนื่องจากขณะที่เจอตัวผู้เสียชีวิตนั้นไม่พบเอกสารส่วนตัวใด ๆ แต่จะตรวจสอบอีกครั้งว่าลายนิ้วมือของผู้เสียชีวิตที่แห้งสามารถนำไปตรวจสอบได้หรือไม่ หรือตามสิ่งของเครื่องใช้ที่พบในที่เกิดเหตุมีลายนิ้วมือหลงเหลืออยู่หรือไม่ ส่วนนี้จะประสานเจ้าหน้าที่ พฐ. อีกครั้ง นอกจากนี้ก็จะนำโทรศัพท์มือถือของผู้เสียชีวิตไปกู้ข้อมูลเพื่อตรวจสอบอีกครั้งว่าผู้เสียชีวิตมีการติดต่อใครบ้างก่อนจะเกิดเหตุ

ซึ่งในขณะนี้ยังไม่มีใครที่แสดงตัวเป็นญาติเดินทางมาติดต่อที่ สน. และในช่วงที่ผู้ตายเสียชีวิตนั้น ก็ไม่มีใครเดินทางมาแจ้งคนหายแต่อย่างใด เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ขอยังไม่ตัดประเด็นใดทิ้ง และต้องดูจากผลตรวจสอบอัตลักษณ์จากแพทย์อีกครั้ง

สงขลา-กงสุลใหญ่ สาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำจังหวัดสงขลาร่วมเสวนาความก้าวหน้าในความ สัมพันธ์ ไทย-จีน ในภาคใต้

เมื่อวานนี้ (6 ก.ย.67) ที่ห้องรับรองบ้านพัก กงสุลใหญ่สาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำ จ.สงขลา นางอู่ ตงเหมย กงสุลใหญ่สาธารณประชาชนจีนประจำจังหวัดสงขลา ได้เชิญนายไชยยงค๋ มณีรุ่งสกุล สมาชิกวัฒิสภา จ.สงขลา ร่วมเสวนาถึงความก้าวหน้าของมิตรภาพไทย-จีน ในโอกาสคครบรอบ 30 ปี ของการต่อตั้ง สำนักงานกงสุลประจำจังหวัดสงขลา โดยนางอู๋ ตงเหมย กล่าวว่า 

สถานกงสุลใหญ่จีนประจำสงขลาก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 1994 รวมเวลาเกือบ 30 ปีแล้ว การก่อตั้งสถานกงสุลใหญ่จีนประจำสงขลาได้สร้างสะพานแห่งใหม่สำหรับการแลกเปลี่ยนและความร่วมมีอระหว่างจีนและภาคใต้ของไทย และแสดงให้เห็นถึงการแลกเปลี่ยนที่ใกล้ชิดมากขึ้นระหว่างจีนและไทย ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของมนุษยชาติ 30 ปีอาจเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่ 30 ปีที่ผ่านมาเป็น 30 ปีแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของประเทศจีน และเป็น 30 ปีแห่งความก้าวหน้าอันยิ่งใหญ่ของมิตรภาพจีน-ไทย ผมขอใช้โอกาสพิเศษในวาระครบรอบ 30 ปีของการสถาปนานกงสุลใหญ่จีนประจำสงขลาเพื่อย้อนประวัติอันน่าตื่นเต้นและเป็นแรงบันดาลใจของพวกเราร่วมกัน 30 ปีที่ผ่านมาเป็นเครื่องยืนยันถึงการพัฒนาอย่างรวดเร็วของจีน

30 ปีที่แล้ว GDP ของจีนมีมูลค่า 600,000 กว่าล้านดอลลาร์สหรัฐ และให้หลัง คือปี 2023 GDP ของจีนมีมูลค่ามากกว่า 18 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 18% ของเศรษฐกิจโลก ในปี 1994 เศรษฐจีนอยู่ในอันดับที่ 8 ของโลก มาในปี 2010 จีนได้กลายเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก และเป็นประเทศอุดสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุด ปัจจุบัน จีนเป็นประเทศเดียวในโลกที่มีอุตสาหกรรมครบทุกประเภทตามการแบ่งประเภทอุตสาหกรรมของสหประชาชาติ โดยมีอุตสาหกรรมการผลิตที่ทรงพลังที่สุด และมีการพัฒนาขีดความสามารถด้านนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว

เศรษฐกิจของจีนมีขนาดมหึมา การพัฒนาที่ยั่งยืนและมีคุณภาพสูงของเศรษฐกิจจีนย่อมเป็นแรงผลักดันสาคัญสาหรับการเติมโดของเศรษฐกิจโลกอย่างแน่นอน ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา จีนได้ขยายการเปิดกว้างสู่โลกภายนอกและยกระดับการเปิดกว้างอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นสัญลักษณ์ที่เด่นชัดอย่างหนึ่งของจีน ปัจจุบัน จีนเป็นคู่ค้าหลักของประเทศและภูมิภาคต่างๆ มากกว่า 140 ประเทศท้าโลก และเป็นผู้ส่งออกและนำเข้ารายใหญ่อันดับสองของโลก นับตั้งแต่เริ่มต้นโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางหรือ Belt and Road Initiative เมื่อปี 2013 จีนได้ดึงดูดประเทศต่างๆ มากกว่า 150 ประเทศและองค์กรระหว่างประเทศมากกว่า 30 องค์กรเข้าร่วม ซึ่งโครงการ หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางได้กลายเป็นผลิตภัณฑ์สาธารณะระดับนานาชาติที่ได้รับความนิยมและเป็นเวทีความร่วมมือระหว่างประเทศ ซึ่งจะส่งแรงขับเคลื่อนใหม่ๆ ต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกอย่างต่อเนื่องจีนยินดีแบ่งปันการพัฒนาของตนเองเพื่อมอบโอกาสใหม่ ๆ ให้กับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก 'เค้ก' ของความร่วมมือแบบ win-win ชาติที่หอมหวาน จีนยินดีทำงานร่วมกับมิตรประเทศรวมทั้งประเทศไทยเพื่อสร้าง 'เค้ก' ที่ใหญ่ขึ้นและดีขึ้น และแบ่งปันประโยชน์จากกพัฒนาของจีน ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จีนมีส่วนร่วมในการเติบโตของเศรษฐกิจโลกเฉลี่ยปีละกว่า 30% ในปี 2023 ท่ามกลางเศรษฐกิจโลก.ที่ฟื้นตัวอย่างยากลำบากและเผชิญความไม่แม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นของอุปสงค์และอุปทานในตลาดโลก เศรษฐกิจจีนมีส่วนสนับสนนการเต็มโดของเศรษฐกิจโลกถึง 32% และกลายเป็นกลไกขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของโลกอีกครั้ง

30 ปีที่ผ่านมาเป็นเครื่องยืนยันถึงการพัฒนาความสัมพันธ์จีน-ไทยอย่างครอบคลุม จีน-ไทยเป็นเพื่อนบ้านที่ดีที่เชื่อมต่อกันด้วยภูเขาและแม่น้ำ เป็นญาติที่ดีด้วยสายเลือด และเป็นหุ้นส่วนที่ดีที่มีอนาคตร่วมกัน ตั้งแต่ 'แถลงการณ์ร่วม' ปี 2001 ที่รัฐบาลจีนและไทยบรรลุฉันทามติในการส่งเสริมความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ร่วมกัน จนถึงปี2012 ที่ทั้งสองประเทศได้เริ่มต้นความสัมพันธ์หุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน และปี 2022 ที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เยือนประเทศไทยและร่วมกับผู้นำรัฐบาลไทยในการสร้างเป้าหมายยุคใหม่ของ 'ประชาดิมที่มีอนาคตร่วมกันจีน-ไทย' จนถึงปี 2023 ที่นายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสินเยือนประเทศจีน และได้แลกเปลี่ยนเชิงลึกกับผู้นำจีนเกี่ยวกับความร่วมมือด้านต่าง ๆ ระหว่างสองประเทศ และบรรลุฉันทามติอย่างกว้างขวาง 

ทำให้ทั้งสองประเทศมีความไว้วางใจทางการเมืองต่อกันเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ผู้นำระดับสูงของทั้งสองประเทศมีการเยือนระหว่างกันเหมือนเครือญาติ ผู้นำจีนหลายคนเคยมาเยือนประเทศไทย ราชวงศ์ไทย ผู้นำรัฐบาล รัฐสภา และผู้นำกองทัพของไทยก็ได้เยือนจีนหลายครั้งเช่นเดียวกัน ความสัมพันธ์จีน-ไทยรักษาโมเมนตัมการพัฒนาที่มั่นคงและแข็งแรงมาโดยดลอด และกลายเป็นต้นแบบของการอยู่ร่วมกันอย่างปรองดองและพัฒนาร่วมกัน

ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ขนาดการค้าระหว่างจีนและไทยยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จีนกลายเป็นคู่คำรายใหญ่ที่สุดของไทย เป็นแหล่งเงินทุนต่างประเทศที่สำคัญที่สุด เป็นประเทศต้นทางของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่สำคัญที่สุด และเป็นตลาดส่งออกสินค้าเกษตรที่ใหญ่ที่สุดของไทย ตั้งแต่ปี 2021 เป็นต้นมา ปริมาณการค้าจีน-ไทยทะลุ 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นเวลา 3 ปีติดต่อกัน ประเทศไทยเป็นฐานสำคัญของโครงการ 'หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง' ที่มีคุณภาพสูง ภายใต้กรอบของ 'หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง' การส่งออกสินค้าเกษตรของไทยไปยังจีนยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในปี 2023 การส่งออกสินค้าเกษตรของไทยไปยังจีนมีมูลค่าร่วม 11,262 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 42% ของการส่งออกสินค้าเกษตรทั้งหมดของไทย เพิ่มขึ้น 6.19% เมื่อเทียบเป็นรายปีการส่งออกทุเรียนไทยไปยังจีนคิดเป็น 70% ของการส่งออกทั้งหมดของไทย 

ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนเมษายนปีนี้ไทยส่งออกทุเรียนสดไปยังจีนถึง 225,000 ตัน ธุรกิจจีนมีการลงทุนในไทยอย่างแข็งขัน ในปี2023 การลงทุนโดยตรงของจีนในประเทศไทยมีมูลค่า 4,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 109% เมื่อเทียบเป็นรายปี และมีส่วนช่วยในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และการจ้างงานของไทยอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างจีนะไทยมีความใกล้ชิดกันมากขึ้น ประเทศไทยเป็นหนึ่งใงในจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจีน ในปี 2023 มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาเยือนประเทศไทย 3.52 ล้านคน สร้างรายได้ด้านการท่องเที่ยวให้ไทยกว่า 196,700 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคมปีนี้ จีนและไทยได้เข้าสู่ 'ยุคปลอดวีซ่า' จำนวนนักท่องเที่ยวทั้งจีนมาไทยและไท่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ในช่วงสี่เดือนแรกของปีนี้ มีนักท่องเที่ยวจีนประเทศไทย 2.352 ล้านคน ซึ่งกว่าชาติอื่น ๆ ในช่วงเวลาดังกล่าว วันที่ 1 มีนาคม มีนักท่องเที่ยวไทยไปเที่ยวจีนเพิ่มขึ้น 3 เท่า เพิ่มขึ้นม60% เมื่อเทียบกับปี 2019 ในช่วงก่อนโควิด นักศึกษาจีนยังคงศึกษาต่างชาติกลุ่มหลักในรั้วมหาวิทยาลัยไทย ในภาคการศึกษาของปีการศึกษา 2023 มีนักศึกษาจีนในสถาบันอุดมศึกษาของ21,906 คน คิดเป็น 60% ของนักศึกษาต่างชาติทั้งหมดในประเทศไทย

30 ปีที่ผ่านมาเป็นเครื่องยืนยันถึงความมีชีวิตชีวาของความร่วมมือระหว่างจีนกับภาคใต้ของไทย ภาคใต้ของไทยอุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ จีนมีตลาดขนาดใหญ่และมีฐานการผลิตที่แข็งแกร่ง ทั้งสองฝ่ายมีส่วนส่งเสริมระหว่างกันอย่างมากในด้านเศรษฐกิจ การสงอองออกเนื่อง ในปี 2023 ไทยส่งออกยางพาราทั้งสิ้น 4.267 ล้านตัน ในจำนวนนี้ 2.057 ล้านต้นส่งออกไปจีน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นยางที่ผลิตในภาคใต้ ในปี 2023 ประเทศไทยสงออกทเรียนไปยังจีนจำนวน 945,000 ต้นเฉพาะจังหวัดชุมพรเพียงจังหวัดเดียวก็ส่งออกทเรียนไปยังจีนถึง 400,000 ตัน ผลไม้อื่น ๆ จากภาคใต้ เช่น มะพร้าว สับปะรด กล้วยมะม่วง ฯลฯ ก็เป็นที่นิยมอย่างมากในประเทศจีนเช่นกัน การลงทุนและการสร้างโรงงานของบริษัทจีนในพื้นที่ภาคใต้ของไทยได้ช่วยแก้ปัญหาการดำรงชีพของคนท้องถิ่นจำนวนมาก เช่น การจ้างงาน การกำจัดขยะและแหล่งจ่ายไฟฟ้า เป็นต้น 

อีกทั้งมีส่วนร่วมในการพัฒนาภาคใต้ของไทย การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างจีนและภาคใต้ของไทยด่าเนินไปอย่างต่อเนื่อง ชาวใต้มีความสนใจในภาษาและวัฒนธรรมจีนเพิ่มมากขึ้น โรงเรียนจีนในภายได้ได้ผลิตทูดสันถวไมตรีระหว่างจีน-ไทยจำนวนมาก ภาคใต้อุดมไปด้วยทรัพยากรด้านการท่องเที่ยว ภูเก็ดสมย และหลีเป๊ะเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวจีน ในสื่อสังคมออนไลน์ของจีน มีนักท่องเที่ยวจีนจำนวนนับไม่ถ้วนได้แบ่งปันความทรงจำดีๆ ขณะไปท่องเที่ยวในสถานที่เหล่านี้ 30 ปีที่ผ่านมาเป็นเครื่องยืนยันถึงมิตรภาพจีน-ไทยที่เรียกว่า 'ไทยจีนใช่อื่นใกล พี่น้องกัน' 

ซึ่งมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง คนจีนและไทยมีมิตรภาพอันยาวนานและมีความใกล้ชิดเหมือนครอบครัวเดียวกันนับตั้งแต่สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ประชาชนทั้งสองประเทศได้ร่วมทุกร่วมสุขกัน ช่วยเหลือเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ร่วมกันเอาชนะภัยพิบัติทางธรรมชาติ ร่วมกันตอบสนองต่อวิกฤตการณ์ทางการเงิน และร่วมกันส่งเสริมการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจ เราจะไม่มีวันลืมว่าเมื่อเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ครั้งแรกในปี 2019 รัฐบาลและประชาชนทุกสาขาอาชีพในไทย รวมถึงประชาชนในภาคใต้ ต่างมีความห่วงใยกับความปลอดภัยของประชาชนในเมืองอู่ฮั่น และได้จัดกิจกรรม 'อู่ฮั่นสู้ๆ' 

โดยร่วมกันบริจาคเงินและสิ่งของให้กับประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ อำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ติดอยู่ในประเทศไทยและรักษาผู้ป่วยชาวจีนที่คิดเชื้อในประเทศไทยโดยทันทีในทำนองเดียวกัน หลังจากเกิดการแพร่ระบาดในประเทศไทย ฝ่ายจีนก็ได้จัดหาอุปกรณ์ป้องกัน แบ่งปันประสบการณ์ในการรับมือ และจัดหาวัคขืนให้กับประเทศไทยมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนเกิดเรื่องที่น่าประทับใจครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งสองฝ่ายได้ใช้การปฏิบัติจริงอธิบายถึงมิตรภาพอันลึกซึ้งสมกับคำกล่าวที่ว่า 'จีนไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน' ตั้งแต่ข้าพเจ้าเข้ารับตำแหน่งที่สงขลา ข้าพเจ้ามักจะไปเยี่ยมสถานที่ต่างๆในเขตรับผิดชอบ ได้พบปะพุดคุยกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น นักธุรกิจชาวจีนโพ้นทะเล และนักศึกษา ได้รู้จักเพื่อนมากมาย ในทุกพื้นที่เข้าจะได้สัมผัสถึงความกระตือรือร้นอย่างมากของผู้นำท้องถิ่นและระชาชนภาคใต้ต่อความปรารถนาในการสร้างความร่วมมือกัมจีน 

นับตั้งแต่ก่อตั้งสถานกงสุลใหญ่ประจ่าสงขลา เพื่อนจากทุกสาขาอาชีพในภาคใต้ได้ให้การสนับสนุนเรามากมายอย่างประเป็นค่ามิใต้ แม้ว่าเจ้าหน้าที่ของสถานกงสุลใหญ่จะสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันหลายครั้งแต่มิตรภาพระหว่างเราไม่เคยเปลี่ยน และยังคงสัมผัสได้ถึงมิตรภาพอันลึกซึ้งที่ทุกท่านมอบให้เราเสมอมา ข้าพเจ้าขอใช้โอกาสนี้ เป็นของเจ้าหน้าที่ทุกคนของสถานกงสุลใหญ่ทั้งในอดีตและปัจจุบันเพื่อแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจต่อประชาชนจากทุกสาขาอาชีพในภาคใต้ของประเทศไทยที่ห่วงใยและสนับสนุนการดำเนินงานของสถานกงสุลใหญ่มาโดยตลอดเมื่อย้อนมองความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของความร่วมร่วมมือจีน-ไทยในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา 

เรามีความมั่นใจเต็มเปี่ยมต่ต่ออนาคดข้างหน้า จีนกำลังพัฒนา ความสัมพันธ์จีน-ไทยกำลังเผชิญกับโอกาสครั้งสาคัญในประวัติศาสตร์ ความร่วมมือระหว่างจีนกับภาคใต้ของไทยมีอนาคตที่สดใสนี้ถือเป็นวาระครบรอบ 75 ปีของการสถาปนาสาธารณรัฐปรจีน และเป็นปีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 6 รอบของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ปีหน้าจะเป็นวาระครบรอบ 50 ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนและไทย บนจุดเริ่มต้นครั้งใหม่ทางประวัติศาสดร์นี้ สถานกงสุลใหญ่จีนประจ่าสงขลายินดีทำงานร่วมกับเพื่อนจากทุกสาขาอาชีพในภาคใต้ของไทย เพื่อดำเนินการตามฉันทามติที่สำคัญของผู้นำผู้น่าทั้งสองประเทศ และมุ่งมันที่จะเร่งสร้างชุมชนที่มีอนาคดร่วมกันระหว่างจีนไทยที่มีความมั่นคง รุ่งเรือง และยังยืนมากขึ้น โปรดจับมือกันต่อไป ร่วมกันต่อสู้เพื่อส่งเสริมมิตรภาพอันดีระหว่างจีน-ไทย ส่งเสริมความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ระหว่างจีนและภาคใต้ของไทย

สตม. รวบหนุ่มแดนมังกรสวมบัตรประชาชนไทย พบประวัติฉ้อโกงประชาชน นานกว่า 14 ปี ความเสียหายกว่า 50 ล้านบาท

กก.4 บก.สส.สตม. ได้ทำการสืบสวนคนต่างด้าวทำการสวมบัตรประชาชนไทย พบว่า  Mr.Yu (นามสมมติ) อายุ 59 ปี สัญชาติจีน มีพฤติการณ์ต้องสงสัยสวมบัตรประชาชนไทยในชื่อนายยงยุทธ์ จึงได้มีหนังสือไปยังสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย เพื่อสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล อัตลักษณ์ ประวัติการกระทำผิดของ Mr.Yu รับแจ้งว่า Mr.Yu มีประวัติกระทำความผิดในสาธารณรัฐประชาชนจีน ในความผิดฐาน ฉ้อโกงประชาชน โดยพฤติการณ์คือ Mr.Yu ได้เปิดบริษัทประกอบกิจการโรงแรม และได้ชักชวนหลอกลวงกลุ่มผู้เสียหายเข้ามาร่วมลงทุน มูลค่าความเสียหายกว่า 50 ล้านบาท แล้วได้เดินทางเข้ามาในประเทศไทย กก.4 บก.สส.สตม. จึงได้รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ Mr.Yu ส่งให้กับกรมการปกครองเพื่อตรวจสอบ ต่อมากรมการปกครอง ได้มีคำสั่งเพิกถอนบุคคลชื่อนายยงยุทธ์ ออกจากฐานระบบทะเบียนราษฎร์ 

จากการสืบสวนของ กก.4 บก.สส.สตม. ทราบว่าหลังจากที่ Mr.Yu ได้เดินทางออกจากประเทศไทยทางจังหวัดสระแก้วเพื่อไปยังประเทศกัมพูชา จากนั้นได้หลบหนีเข้ามายังประเทศไทยผ่านช่องทางธรรมชาติ แล้วได้สวมบัตรประชาชนไทยในชื่อนายยงยุทธ์ อาศัยอยู่ในประเทศไทย มานานกว่า 14 ปี โดยพักอาศัยอยู่บ้านพักแห่งหนึ่งย่านห้วยขวาง จึงได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ส่วนป้องกันและปรามปรามการทุจริตทางทะเบียนและบัตรประจำตัวประชาชนสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง และเจ้าหน้าที่ส่วนการสอบสวนคดีอาญา สำนักการสอบสวนและนิติการ นำหมายค้นของศาลแขวงพระนครเหนือเข้าตรวจค้น ผลการตรวจค้นพบ Mr.Yu พร้อมบัตรประชาชนไทยชื่อนายยงยุทธ์ ซึ่ง Mr.Yu ให้การรับสารภาพว่าได้หลบหนีเข้ามาที่ประเทศไทยผ่านช่องทางธรรมชาติและทำการสวมบัตรประชาชนไทย เมื่อปี พ.ศ.2553 และได้อยู่ในประเทศไทยมาโดยตลอด เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาว่า เป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต นำตัวส่ง พนักงานสอบสวน กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. ดำเนินคดีตามกฎหมาย สำหรับในส่วนการกระทำความผิดในเรื่องของการสวมบัตรและการใช้บัตรประชาชนที่ได้มาจากการกระทำความผิด กรมการปกครองได้พิจารณาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไปแล้ว      

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิด ในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี 11120 หรือติดต่อตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดในพื้นที่ หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

สตม. จับเฒ่ามะกันอ้างเป็น Life Coach ขายคอร์สบำบัดโรคซึมเศร้าด้วยเห็ดขี้ควาย

กก.1 บก.สส.สตม. จับกุมนายดาเรียส (สงวนนามสกุล) อายุ 62 ปี สัญชาติอเมริกัน พร้อมเห็ดขี้ควายแห้ง ของกลาง น้ำหนักชั่งพร้อมถุงบรรจุรวม 1,360 กรัม โดยกล่าวหาว่า เป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน และมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท 5 (เห็ดขี้ควาย) โดยไม่ได้รับอนุญาต นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.สุทธิสาร ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม บ้านพักภายในซอยลาดพร้าว 108 แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพฯ

สืบเนื่องจาก กก.1 บก.สส.สตม. ได้เข้าไปสืบหาผู้โพสต์ขายยาเสพติดในสื่อสังคมออนไลน์ พบว่านายดาเรียสได้โพสต์ขายคอร์สบำบัดโรคซึมเศร้าด้วยเห็ดขี้ควาย โดยอ้างว่าเป็น Life Coach ที่มีปริญญาโทด้านจิตวิทยา มีประสบการณ์มากกว่า 20 ปี จึงได้ทำการสืบหาที่อยู่ของนายดาเรียสจนทราบว่าพักอาศัยอยู่ที่บ้านหลังหนึ่งภายในซอยลาดพร้าว 108 แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพฯ จากนั้นได้ให้สายลับติดต่อเพื่อซื้อคอร์สบำบัด โดยได้นัดให้ไปจ่ายเงิน จำนวน 2,000 บาท/คอร์ส ที่บ้านหลังดังกล่าว หลังจากสายลับได้จ่ายเงินซื้อคอร์สบำบัดให้กับนายดาเรียสแล้ว เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้อาศัยอำนาจตามกฎหมายเข้าตรวจสอบ โดยนายดาเรียสไม่สามารถแสดงใบอนุญาตทำงานได้ จากนั้นเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้ตรวจค้นภายในบ้านพบเห็ดขี้ควายแห้งบรรจุถุงอยู่ภายในช่องแช่แข็งของตู้เย็นที่ชั้นล่างของบ้าน จำนวนรวม 13 ถุง น้ำหนักชั่งพร้อมถุงบรรจุรวม 1,360 กรัม และพบเงินล่อซื้อที่ได้ลงบันทึกประจำวันไว้

อยู่ในสมุดโน้ตบนโต๊ะคอมพิวเตอร์ในห้องนอนของนายดาเรียสชั้นสอง จากการสอบถามนายดาเรียสให้การว่า ตนทราบว่าเห็ดขี้ควาย หรือ magic mushroom มีสารสกัดสำคัญในการต้านอาการซึมเศร้าได้ และไม่ทราบว่าในประเทศไทย เห็ดขี้ควายยังคงเป็นยาเสพติดให้โทษจึงได้เปิดคอร์สบำบัดผู้ที่มีอาการโรคซึมเศร้าด้วยเห็ดขี้ควาย ในราคาคอร์สละ 2,000 บาท โดยวิธีการสูบและผสมในช็อกโกแลตให้รับประทานแล้วจะเปิดเสียงเพลงกล่อมให้เคลิบเคลิ้มและผ่อนคลาย โดยได้เปิดรับบำบัดมาเป็นเวลาประมาณเดือนเศษมีลูกค้ายังไม่กี่ราย เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับชุดจึงได้แจ้งข้อกล่าวหาและจับกุมดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สตม. จับผู้ร้ายสำคัญแดนภารตะ

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.สส.สตม., นายสุภณ สยามบุญนัญ ผู้อำนวยการสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง, นายเอกอนันต์ ศรีอินทร์ ผู้อำนวยการส่วนป้องกันและปรามปรามการทุจริตทางทะเบียนและบัตรประจำตัวประชาชน สำนักบริหารการทะเบียน, พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ภาณุภาคยณ์ จิตต์ประยูรตี รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.แดนไพร แก้วเวหล รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.สุรศักดิ์ สุรินทร์แก้ว รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชิตเดชา สองห้อง รอง ผบก.สส.ภ.7 ปฏิบัติราชการ บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ธวัชชัย นรินรัตน์ ผกก.1 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐพงศ์ แก้วยอด ผกก.4 บก.สส.สตม. ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ดังนี้   
สตม. จับผู้ร้ายสำคัญแดนภารตะ 

บก.สส.สตม. ได้รับการประสานงานจากศูนย์รักษาความปลอดภัย กองบัญชาการกองทัพไทย ให้ร่วมทำการสืบสวนกรณีพบชายชาวต่างชาติลักษณะคล้ายคนอินเดียรายหนึ่งพักอาศัยอยู่ในโรงแรมในย่าน ถนนข้าวสาร เขตพระนคร กรุงเทพฯ มีพฤติการณ์น่าสงสัยโดยจะเก็บตัวอยู่ภายในห้องพักผิดวิสัยของนักท่องเที่ยวทั่วไป อาจจะเกี่ยวข้องกับยาเสพติด หรืออาจจะมาก่อเหตุร้ายในประเทศไทย จากการสืบสวนพบว่าชายชาวต่างชาติคนดังกล่าวคือ MR.PARVEEN (สงวนนามสกุล) อายุ 27 ปี สัญชาติอินเดีย จึงได้ประสานงานกับสถานเอกอัครราชทูตอินเดีย ประจำประเทศไทย 

เพื่อตรวจสอบประวัติ รับแจ้งว่า MR.PARVEEN ชื่อจริงคือ MR.RAKESH หรือ KALA (สงวนนามสกุล) เป็นบุคคลอันตรายซึ่งได้ก่อคดีอุกฉกรรจ์ในสาธารณรัฐอินเดีย จำนวน 13 คดี เช่น ฆ่าผู้อื่น พยายามฆ่า ปล้น อุ้มเรียกค่าไถ่ กรรโชกทรัพย์ การโจรกรรม การเตรียมการสมรู้ร่วมคิดทางอาญา ความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืน ส่วนหนังสือเดินทางที่ MR.PARVEEN ใช้อยู่ก็เป็นหนังสือเดินทางที่เปลี่ยนชื่อนามสกุล เพื่อใช้หลบหนีคดี ซึ่งทางการอินเดียได้แจ้งเพิกถอนหนังสือเดินทางเล่มดังกล่าวแล้ว 

พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.สส.สตม. จึงสั่งการให้ กก.1 บก.สส.สตม. เร่งสืบหาตัว MR.PARVEEN เนื่องจากเกรงว่าจะมาก่อเหตุร้ายขึ้นในประเทศไทย จนกระทั่งทราบว่า MR.PARVEEN ไปพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งในซอยสามเสน 6 แขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร กรุงเทพฯ จึงร่วมกับ ศูนย์รักษาความปลอดภัย กองบัญชาการกองทัพไทย ไปตรวจสอบ จนกระทั่งพบ MR.PARVEEN ที่ร้านอาหารภายในซอยสามเสน 4 จึงได้แสดงตัวเข้าควบคุมนำตัวส่ง กก.3 บก.สส.สตม. เพื่อกักตัวไว้รอการส่งกลับไปยังสาธารณรัฐอินเดียต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top