Monday, 30 June 2025
NEWS FEED

'สมเด็จพระสังฆราช' ประทานพระโอวาทแก่ 'พระเถระผู้ใหญ่' โปรดเอื้อเฟื้อต่อพระวินัย ช่วยกันปกป้องดูแลพระศาสนาสืบไป

(10 ก.ย. 67) สำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช เปิดเผยว่าวันจันทร์ ที่ 9 กันยายน 2567 เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จลงพระวิหาร วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ประทานพระวโรกาสให้พระสังฆาธิการเฝ้ารับประทานสำเนาพระบรมราชโองการและพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช ตามที่ได้มีพระบรมราชโองการโปรดแต่งตั้ง และตามที่มีพระบัญชาโปรดแต่งตั้ง ดังนี้...

1. พระพรหมดิลก เจ้าอาวาสวัดสามพระยา เป็นกรรมการมหาเถรสมาคม
2. พระพรหมสิทธิ วัดสระเกศ เป็นกรรมการมหาเถรสมาคมและเจ้าอาวาสวัดสระเกศ
3. พระพรหมเสนาบดี เจ้าอาวาสวัดปทุมคงคา เป็นที่ปรึกษามหาเถรสมาคม
4. พระพรหมวัชรเมธี เจ้าอาวาสวัดอรุณราชวราราม เป็นที่ปรึกษามหาเถรสมาคม
5. พระธรรมโพธิมงคล เป็นเจ้าอาวาสวัดนิมมานรดี
6. พระธรรมวชิรปัญญาภรณ์ เป็นเจ้าอาวาสวัดเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนนทบุรี

การนี้ โปรดประทานพระดำริว่าให้เอื้อเฟื้อต่อพระวินัย โดยเมื่อได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสแล้ว หากมีกรณีที่ต้องเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่แรมคืนในอีกพระอาราม พึงดำเนินการภายหลังปวารณาออกพรรษาแล้ว

โอกาสนี้ เจ้าพระคุณ สมเด็จพระสังฆราช ประทานพระโอวาท ความตอนหนึ่งว่า...

"ในนามคณะสงฆ์ ขอถวายมุทิตา ในโอกาสที่สมเด็จบรมบพิตร พระราชสมภารเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ มีพระบรมราชโองการโปรดให้ท่าน ดำรงตำแหน่งกรรมการมหาเถรสมาคม และในโอกาสที่ท่านได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษามหาเถรสมาคม และเป็นเจ้าอาวาสพระอารามหลวง ซึ่งการทั้งนี้ อนุวัตสนองพระราชดำริของพระองค์ ผู้ทรงเป็นอัครพุทธศาสนูปถัมภก จึงขอให้ทุกท่าน ตั้งกัลยาณจิต ถวายพระพร ให้ทรงเจริญพระชนมสุขสิริสวัสดิ์ทุกประการ

"ท่านทั้งหลายเป็นพระเถระผู้ใหญ่ เป็นหลักเป็นประธาน มีประสบการณ์สูง ในการบริหารการคณะสงฆ์ และการปกครองดูแลพระอารามกันมาแล้วทุกรูป เมื่อท่านได้รับตำแหน่งที่สมควรได้รับ สมควรได้ดำรงอยู่เช่นนี้แล้ว ก็ขออาราธนา เหมือนดังที่เคยอาราธนามาแล้วทุกครั้ง และได้เคยกล่าวย้ำอยู่เสมอ ๆ ว่าขอได้ช่วยกันปกป้องดูแลพระศาสนาของเรา ช่วยกันบริหารงานคณะสงฆ์ของเรา ไม่ว่าจะด้วยการอบรมสั่งสอน การจัดการศึกษา เผยแผ่ และปกครอง ให้พุทธบริษัททุกหมู่เหล่า ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติสมควร ปฏิบัติถูกต้อง ตามหลักธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้สอดคล้องต้องด้วยจารีตแบบแผน ที่บูรพาจารย์ของพวกเรา ได้สู้อุตสาหะสร้างสรรค์และพัฒนามาโดยลำดับ อย่างสุขุมคัมภีรภาพ ตามหลักการในพระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา และคัมภีร์อันอ้างอิงได้ โดยไม่ถืออัตโนมัติเป็นใหญ่ โดยไม่เห็นแก่ลาภสักการะ และไม่ตกอยู่ใต้อำนาจอคติ ไม่ว่าด้วยประการใด ๆ

"เมื่อท่านเป็นผู้ใหญ่ที่ยุติธรรมสม่ำเสมอ แม้ชีวิตอาจจะเผชิญโลกธรรมบ้าง ตามธรรมดาปกติวิสัย แต่ในที่สุดแล้ว มลทินโทษทั้งปวง ก็คงไม่อาจติดต้องพ้องพานท่านอยู่ตลอดไปได้ ถ้าทุกท่านมั่นในธรรมเป็นเครื่องยุติ มุ่งครองตนบนวิถีที่ปราศจากอคติเป็นแนวทาง ทั้งต่อการดำรงฐานะภาวะของตัวท่านเอง ทั้งต่อการจัดการหมู่คณะ ตลอดจนการพระศาสนาในภาพรวม ความยุติธรรมนั้น ย่อมจักช่วยเชิดชูประโยชน์ตน และประโยชน์ส่วนรวม ให้รุ่งเรืองสว่างไสวอยู่ ดุจดั่งดวงจันทร์ดิถีเพ็ญ อันผ่านพ้นจากมลทินของเมฆหมอก ที่บดบังได้เพียงชั่วครู่ชั่วยามฉะนั้น"

‘ครูไทย’ แบกภาระ ‘งานอื่น’ มากกว่า ‘การสอนในห้องเรียน’ กระทบ ‘คุณภาพการศึกษาไทย’ โจทย์ใหญ่ที่รัฐต้องรีบแก้

การพัฒนาคุณภาพครูเป็นภารกิจสำคัญของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการศึกษามาทุกยุค ทุกสมัย เนื่องจากเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการพัฒนาคุณภาพของประชาชนในประเทศ และเป็นกระดุมเม็ดแรกในการแก้ไขปัญหา ‘โง่ จน เจ็บ’ ที่เป็นปัญหาคาราคาซังฝังรากลึกของสังคมไทยเสมอมา

แม้ในนโยบายคณะรัฐมนตรีที่นำโดย ‘นางสาวแพทองธาร ชินวัตร’ นายกรัฐมนตรีหญิงคนปัจจุบัน จะไม่ได้กล่าวถึง ‘การพัฒนาคุณภาพครู’ โดยตรง แต่การแถลงนโยบายมีส่วนที่พูดถึงปัญหาของการพัฒนาคุณภาพประชาชนชาวไทยไว้อย่างตรงประเด็นว่า…

“คุณภาพและทักษะแรงงานของไทยส่วนใหญ่อยู่ในระดับต่ำ เยาวชนและประชากรวัยแรงงานที่มีความรู้ อ่านออกเขียนได้ขั้นพื้นฐานต่ำกว่าเกณฑ์ถึงร้อยละ 64.7 คะแนนวัดผล PISA ของเด็กไทยต่ำสุดในรอบ 20 ปีในทุกทักษะ”

แต่ก็มีชุดนโยบายเกี่ยวกับการศึกษาติดตามมาเป็นจำนวนไม่น้อย ซึ่งงานของรัฐบาลจะสำเร็จได้ต้องอาศัยกลไกที่สำคัญคือ ครู ที่เป็นกระดุมเม็ดแรก

>>แล้วขณะนี้ ‘ครู’ มีปัญหาในด้านการเรียนการสอนอย่างไรบ้าง?

ในการสำรวจกิจกรรมภายนอกชั้นเรียนที่กระทบต่อการจัดการเรียนการสอนของครู โดย สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) ระบุว่า…ครูต้องใช้เวลากับกิจกรรมภายนอกชั้นเรียนที่ไม่ใช่การจัดการเรียนการสอนเฉพาะวันธรรมดาถึง 84 วัน หรือคิดเป็น 42% จากการสำรวจนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ที่ทำให้การพัฒนาการเรียนการสอนเป็นไปด้วยความยากลำบาก 

ขณะเดียวกันก็ยังมีอีกหนึ่งงานวิจัย คือ การวิเคราะห์ผลของการใช้เวลาในการปฏิบัติภาระงานสอนที่มีต่อประสิทธิภาพการสอนของครูในสังกัดคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดย ผศ.ดร.จุไรรัตน์ สุดรุ่ง และนางสาวพรทิพย์ ทับทิมทอง โดยในงานวิจัยชิ้นนี้ชี้ให้เห็นว่า อุปสรรคของการทำหน้าที่ครูมาจาก 6 ประเด็นหลัก ได้แก่ 

1. ภาระหนักนอกเหนือจากการสอน 
2. จำนวนครูไม่เพียงพอ ต้องทำการสอนที่ไม่ตรงกับวุฒิ 
3. ขาดทักษะด้านไอซีที 
4. ครูรุ่นใหม่ขาดจิตวิญญาณ ขณะที่ครูรุ่นเก่าไม่ปรับตัว 
5. ครูสอนหนักส่งผลให้เด็กเรียนมากขึ้น
6. ขาดอิสระในการจัดการเรียนการสอน 

จะเห็นได้ว่าปัญหาที่มาเป็นอันดับหนึ่ง คือ ครูมีภาระงานอื่นนอกเหนือจากการสอนหนักไป โดยภาระงานส่วนนี้มีทั้งการทำธุรการต่าง ๆ การเตรียมความพร้อมรับการประเมินที่มีจำนวนมาก ตลอดจนการทำหน้าที่อื่น ๆ ควบคู่กับการสอนหนังสือ 

>>แล้วครูไทยจะหลุดพ้นจากปัญหา ‘ใช้เวลานอกห้องเรียนเยอะเกินไป’ ได้อย่างไร 

สำหรับประเด็นนี้ จุไรรัตน์ สุดรุ่ง และผัสสพรรณ ถนอมพงษ์ชาติ ได้ระบุไว้ในหัวข้อ ‘การพัฒนาครู : แก้ปัญหาให้ตรงจุด Teacher Development: Solution to the Point’ โดยเสนอแนวทางแก้ปัญหาไว้ 6 ข้อดังนี้

1. คืนครูสู่ห้องเรียน ให้ครูมีหน้าที่สอน ดูแลพัฒนานักเรียนเพียงอย่างเดียว รับผิดชอบนักเรียนให้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ดีขึ้น ซ่อมเสริมนักเรียนที่มีปัญหาให้มีพัฒนาการที่เห็นได้อย่างเป็นรูปธรรม 

2. ให้มีฝ่ายบุคลากรสนับสนุนการศึกษาที่ทำหน้าที่ธุรการ การเงิน พัสดุหรืองานสนับสนุนฝ่ายต่าง ๆ รวมทั้งงานแผนงาน งานประกันคุณภาพภายในโรงเรียน และควรกำหนดมาตรฐานวิชาชีพให้เขาได้มีความก้าวหน้าในสายงานที่ปฏิบัติที่แตกต่างไปจากมาตรฐานวิชาชีพครู

3. กำหนดนโยบายให้โรงเรียนจัดการนิเทศภายในอย่างชัดเจนเป็นระบบ มีการกำกับติดตามและประเมินจากหน่วยงานภายนอก

4. กำหนดให้ครูต้องสอบวัตประเมินความรู้ทั้งด้านเนื้อหาวิชาที่สอน วิธีการสอบทักษะภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารและทักษะด้านการใช้เทคโนโลยีทุก 3 ปี

5. จัดตั้งศูนย์การพัฒนาครูในเขตพื้นที่การศึกษา มอบหมายให้หน่วยศึกษานิเทศก์เป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินการ กำกับติดตามโดยสำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน

6. กำหนดให้มีการประเมินการจัดการเรียนการสอนของครูทุกสิ้นปีการศึกษา โดยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการประเมิน และครูต้องนำผลการประเมินไปใช้ปรับปรุงการเรียนการสอนให้เห็นผลในเชิงประจักษ์

และแน่นอนว่า สิ่งสำคัญที่สุดในการขับเคลื่อนการคืนครูให้นักเรียน คือ นโยบายต้องชัดเจน ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามการเมืองในแต่ละยุค มีมาสเตอร์แพลนที่ชัดเจน ไม่เช่นนั้นแล้ว ‘การคืนครูให้นักเรียน’ จะยังคงเป็นภาพฝันในจินตนาการไปอีกนานเท่านาน

‘ดร.ธรณ์’ ชี้!! ‘ไต้ฝุ่นยางิ’ เป็นสัญญาณความหย่อนยานลดก๊าซเรือนกระจก ลั่น!! จากนี้ 'โลกจะยิ่งแปรปรวน-น้ำท่วม-ระบบนิเวศพัง' นี่ไม่ใช่คำขู่

(10 ก.ย. 67) ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้านทะเลและสิ่งแวดล้อม อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Thon Thamrongnawasawat’ เตือนภัยถึงสถานการณ์ของซูเปอร์ไต้ฝุ่น ‘ยางิ’ ระบุว่า…

ไต้ฝุ่นยางิคือ พายุรุนแรงที่สุดในรอบ 30 ปีที่ขึ้นฝั่งทางตอนเหนือของเวียดนาม สร้างความเสียหายเหลือคณานับ

ทุกคนทราบว่าไต้ฝุ่นกำลังมา แต่ไม่คาดคิดว่าจะแรงถึงเพียงนี้ นั่นคือสิ่งที่เกิดในยุคโลกร้อน เพราะเราไม่เคยชินกับภัยพิบัติในยามที่โลกโกรธ

ความแปรปรวนของโลกจะเพิ่มมากขึ้น จะไม่หยุด จะต่อเนื่องไปอีกหลายสิบปี ตราบใดที่มนุษย์ยังไม่บรรลุเป้าหมายในการลดก๊าซเรือนกระจก

นี่ไม่ใช่คำขู่ ไม่ใช่คำทำนาย นี่คือเรื่องจริงที่นักวิทยาศาสตร์บอกมานานแล้ว แต่มันน่ากลัว มันไม่สนุก เราไม่อยากฟัง

จนเมื่อโลกคำรามดังลั่น เราถึงได้ยิน เราถึงตัวสั่นด้วยความกลัว

แม้โอกาสที่ไต้ฝุ่นเข้าเมืองไทยโดยตรงจะมีน้อยมาก แต่ผลกระทบด้านอื่นยังมี เราเป็นประเทศเสี่ยงต่อน้ำท่วมรุนแรง ทะเลยังปั่นป่วนจนระบบนิเวศเสื่อมโทรมลงอย่างรวดเร็ว

ความเสี่ยงสูงสุดของโลกในยุคนี้และยุคต่อไปคือโลกร้อน เราต้องตั้งหลัก หันมาทุ่มเทสุดๆ ในการเรียนรู้และเข้าใจ ทุ่มเทให้กับการรับมือและปรับตัวชีวิตความเป็นอยู่

ทุ่มเทกับการรักษาธรรมชาติให้ถึงที่สุด !

โลกยุคที่ใช้ GDP และเศรษฐกิจแบบเดิมเป็นตัววัดจากไปแล้ว การคิดแบบเดิมๆ ทำแบบเดิมๆ จากไปเช่นกัน

ตัวอย่างมีมากมายใน 5-6 ปีที่ผ่านมา หวังว่าเราคงเลิกปิดหูปิดตาแล้วหันมายอมรับความจริง

ความกลัวเป็นนายที่เลว แต่เป็นทาสที่ดี เมื่อใดที่เรากลัว แต่คุมสติไว้ได้ เตรียมการรับมือกับสิ่งที่เรากลัว เราจะมีหวัง

ขอแสดงความเสียใจกับชาวเวียดนามทุกท่าน เมื่อใดที่มีช่องทางการช่วยเหลือ เชื่อว่าน้ำใจจากคนไทยจะไปถึงเพื่อนๆ ของเราครับ

เชียงใหม่- จังหวัดเชียงใหม่ ประกาศเจตจำนง เป็นเมืองคาร์บอนต่ำ Chiang Mai Low Carbon City

เมื่อวานนี้ (9 ก.ย.67) ณ ห้องประชุมทองกวาว สำนักบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (UNISERV) อำเภอเมืองเชียงใหม่ 

นายทศพล เผื่อนอุดม รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นประธานใน พิธีเปิดงานสัมมนาวิชาการ 'Chiang Mai Low Carbon City' พร้อมทั้งเป็นตัวแทนภาครัฐ ร่วมกับ ตัวแทนภาคสถาบันการศึกษา ภาคเอกชน และภาคประชาชน ประกาศเจตจำนงลงนามบันทึกข้อตกลง ที่จะร่วมกันขับเคลื่อนมุ่งสู่เป้าหมายให้เป็น Chiang Mai Low Carbon City 

ภายในงานมีตัวแทนจากภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม สถาบันการ ศึกษา และภาคประชาชน ร่วมจัดนิทรรศการ จำนวน 27 บูธ และเข้าร่วมงานสัมมนา ปาฐกถาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ สร้างแรงบันดาลใจในการขับเคลื่อนจังหวัดเชียงใหม่เป็นเมืองคาร์บอนต่ำ Chiang Mai Low Carbon City รวมกว่า 250 คน

การจัดงานสัมมนาวิชาการฯ ครั้งนี้ จัดขึ้นภายใต้ความร่วมมือระหว่างจังหวัดเชียงใหม่ สำนักบริการ วิชาการ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (UNISERV) สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ เครือข่ายเขียว สวยหอม และสภาลมหายใจเชียงใหม่ โดยมีศูนย์ประสานงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความหลากหลายทางชีวภาพ จังหวัดเชียงใหม่ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่ เป็นตัวแทนการจัดงานสัมมนาฯ 

โดยมีเป้าหมายให้ทุกภาคส่วนของจังหวัดเชียงใหม่ มีความรู้ และเพิ่มความตระหนักเกี่ยว กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สาเหตุ ผลกระทบ และแนวทางการแก้ไข เกิดความเข้าใจที่ดีขึ้น ในเรื่องความสำคัญของการดำเนินการเชิงนโยบาย และการสนับสนุนจากทุกภาคส่วนในการรับมือ กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของจังหวัดเชียงใหม่อีกทั้งเพื่อเป็นการเปิดเวทีให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นประสบการณ์และแนวปฏิบัติที่ดีระหว่างกัน ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างองค์กร ภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชน ในการขับเคลื่อนการเป็นเมืองคาร์บอนต่ำ Chiang Mai Low Carbon City

จังหวัดเชียงใหม่ ได้ตระหนักและให้ความสำคัญกับการเร่งแก้ไขปัญหาทางด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศที่เกิดขึ้น จึงได้มีการปรับกระบวนทัศน์การพัฒนาและขับเคลื่อนตามนโยบายระดับประเทศ คือ การขับเคลื่อนไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงการยกระดับขีดความสามารถในการรับมือและการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเพื่อให้จังหวัดเชียงใหม่ สามารถดำเนินการตามนโยบายดังกล่าว ได้อย่างเป็นรูปธรรม 

จึงมีการพัฒนามาตรการลดก๊าซเรือนกระจก 30 มาตรการ และมาตรการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ใน 6 สาขา เพื่อเป็นกรอบและแนวทางการดำเนินงานให้แก่ ทุกภาคส่วนซึ่งหากดำเนินการได้ครบถ้วนและบรรลุผลสำเร็จตามแผนที่กำหนดไว้ จะช่วยให้จังหวัดเชียงใหม่ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปี พ.ศ.2573 ลงได้มากถึงร้อยละ 21

‘ดร.อาร์ม’ ชี้ ยุคโลกาภิวัตน์ไม่หวนกลับมาแล้ว นี่คือโจทย์ใหม่ของไทยบนการเมืองโลก

เมื่อวานนี้ (9 ก.ย. 67) สำนักข่าว TNN ได้มีการจัดสัมมนาในหัวข้อ ‘ปลดล็อกกับดัก: การปรับจุดยืนไทย ในโลกที่แบ่งขั้ว’ ซึ่งการจัดงานสัมมนาที่ได้มีการเชิญนักวิชาการไทยจากหลากหลายสาขาและภูมิภาคมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันว่า ประเทศไทยควรมีการดำเนินนโยบายอย่างไรเพื่อสร้างความเข้มแข็งและให้ผลประโยชน์กับเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศชาติได้

โดย ‘ดร.อาร์ม ตั้งนิรันดร’ ผ.อ. ศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีความคิดเห็นว่า ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ทั่วโลกอยู่ในช่วงโลกาภิวัตน์ หรือ โลกที่ไร้พรมแดน ทว่าไม่กี่ปีมานี้ โลกเหมือนจะเข้าสู่ Deglobalization และกำลังถูกตอกฝาโลงด้วยสงครามที่เกิดขึ้นทั่วโลก และประเทศไทยก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่กำลังได้รับผลกระทบ Supply Chain ที่กำลังปั่นป่วนอยู่ในขณะนี้ 

“ก็จริง ๆ แล้วเนี่ย สมัยก่อนพูดกันนะครับว่าเป็นเทรนด์ของโลกว่าเป็นยุคที่ไม่มีสงคราม ยุคของความซิงลี้ ผู้คนค้าขาย ผู้คนที่เรียกกันว่า… เป็นมิตรต่อกันและกัน แต่ตั้งแต่สงครามการค้าของทรัมป์ตั้งแต่ปี 2017 ตามมาด้วยวิกฤตโควิด 19 ซึ่งทำให้เกิดความปั่นป่วนของ Supply Chain ทั่วโลก แล้วก็มา ‘ตอกฝาโลง’ โลกาภิวัตน์ด้วยสงครามยูเครน ซึ่งเราบอกว่าทำให้ความไม่ไว้วางใจระหว่างมหาอำนาจเนี่ยสูงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้ตอนนี้ผมคิดว่าบรรดานักวิชาการในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลกต่างเห็นตรงกันว่าเป็นยุค Deglobalization คือเป็นยุคที่โลกาภิวัตน์ไม่หวนกลับมาแล้ว”

“แต่ว่าจริงๆ แล้ว หลายคนบอกว่า มันกำลังเกิดห่วงโซ่การค้าโลกแตกเป็น 2 ห่วงโซ่ ก็คือ ห่วงโซ่สหรัฐฯ เชื่อมโลก แล้วก็พยายามที่จะสกัดขัดขวางจีน และห่วงโซ่จีนเชื่อมโลก ซึ่งก็พยายามสกัดขัดขวางสหรัฐฯ อันนี้เลยเป็นโจทย์ใหม่สำหรับประเทศไทย เพราะว่าในอดีต เราถามตลอดว่า เราจะเป็นส่วนหนึ่งของ Supply Chain อย่างไร แต่วันนี้ต้องพูดกันตามตรงนะครับว่า Global Supply Chain กำลังปั่นป่วนมากครับ”

อย่างไรก็ตาม ศตวรรษที่ 21 ไม่ใช่ยุคแห่งสงครามเย็น แต่เป็นยุคสงครามร้อนที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งต่างๆ มากมายที่เกิดขึ้นหลายพื้นที่ทั่วโลก พร้อมกันนั้น ประเทศไทยก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ได้รับผลกระทบมากมายต่อการขับเคี่ยวกันทางการเมืองของประเทศมหาอำนาจ ดังนั้นงานสัมมนาครั้งนี้จึงมีความสำคัญที่จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถสร้างจุดยืนที่เป็นประโยชน์ท่ามกลางความร้อนระอุของโลกยุคนี้

‘สว.อังกูร’ เดินหน้าแก้ปัญหาช้างป่ากับคน เชิญ TSPCA หาแนวทางเพื่อลดความขัดแย้งอย่างยั่งยืน

เมื่อวันที่ (9 ก.ย. 67) ที่ห้องประชุม CA328 รัฐสภา ฝั่งสมาชิกวุฒิสภา พล.ต.ต.อังกูร คล้ายคลึง สมาชิกวุฒิสภา (สว.) และสมาคมป้องกันการทารุณสัตว์แห่งประเทศไทย (TSPCA) ประชุมร่วมเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งของคนและสัตว์ กรณีช้างป่า

พล.ต.ต.อังกูร กล่าวว่า สืบเนื่องมาจากสถานการณ์ช้างป่าที่ออกนอกพื้นที่อนุรักษ์ จนก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินและชีวิตของประชาชน โดยล่าสุด เมื่อวันที่ 6 ก.ย.2567 ได้รับแจ้งเกิดเหตุช้างป่าจากอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ลงมายังพื้นที่ชุมชน หมู่ 3 ตำบลสาริกา อำเภอเมืองนครนายก จังหวัดนครนายก ก่อนจะวิ่งเข้าทำร้ายนายนิคม ซ้อนพิมพ์ อายุ 58 ปี ชาวบ้านได้รับบาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิตในเวลาต่อมา

จากการสอบถามชาวบ้านทราบว่าก่อนเกิดเหตุผู้บาดเจ็บ เห็นช้างป่าเดินมา จึงใช้ไฟส่อง ช้างจึงวิ่งพุ่งมาหาและทำร้าย ต่อมาเจ้าหน้าที่จากอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ชุดเฝ้าระวังช้าง ตำบลสาริกา จึงออกติดตาม พบช้างอยู่ภายใต้วัดตำหนัก พื้นที่ตำบลสาริกา ซึ่งห่างจากจุดเกิดเหตุ 800 เมตร จึงทำการผลักดันช้างกลับขึ้นสู่พื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ที่อยู่นอกแนวเขตชุมชน

ด้าน รศ.น.สพ.ปานเทพ รัตนากร อุปนายกสมาคมป้องกันการทารุณสัตว์แห่งประเทศไทย (TSPCA) กล่าวว่า ปัญหาช้างป่าเป็นปัญหาที่ซับซ้อน ต้องการการแก้ไขที่ยั่งยืน ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน ไม่กลัวช้างป่าจนเกินไป ควรเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับช้างป่าอย่างสันติ การเลี้ยงช้างเพื่อการท่องเที่ยวเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการฆ่าทิ้งหรือควบคุมประชากรด้วยวิธีรุนแรง ช่วยสร้างรายได้ให้กับควาญช้างและชุมชนควรมีการจัดการอย่างถูกต้องและมีระบบ  การหาแนวทางเยียวยาผู้เสียหายจากปัญหาช้างป่า เป็นเรื่องที่สำคัญ ปัญหาช้างป่าเป็นปัญหาใหญ่ที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนกับช้าง ประชากรช้างป่าเพิ่มขึ้น พื้นที่ป่าลดลง ทำให้ช้างออกมาหากินในพื้นที่เกษตรกรรม เกิดปัญหาความขัดแย้ง ช้างทำลายพืชผล ชาวบ้านได้รับผลกระทบ มีการเปรียบเทียบกับประเทศอินเดีย ศรีลังกา ที่มีจำนวนช้างตายจากคนเป็นจำนวนมาก ประเทศไทยยังมีระดับความขัดแย้งที่ต่ำกว่า แต่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ประเด็นหลัก การลดความขัดแย้งระหว่างช้างป่าและมนุษย์ ควรนำเทคโนโลยีที่ช่วยติดตามช้างป่าและแจ้งเตือนชาวบ้าน การศึกษาและเก็บข้อมูลเกี่ยวกับช้างป่าและประชากร การจัดการพื้นที่ป่าเพื่อลดการเผชิญหน้าระหว่างช้างป่าและมนุษย์  ที่สำคัญพบว่า ชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ถูกช้างป่าไล่บ่อยขึ้น จำเป็นต้องให้ความรู้แก่ชาวบ้านเกี่ยวกับพฤติกรรมช้างป่า ใช้เทคโนโลยี AI สามารถช่วยจำแนกช้างแต่ละตัวและติดตามความเคลื่อนไหว จำเป็นต้องมีระบบแจ้งเตือนภัยแบบเรียลไทม์ การเชื่อมต่อพื้นที่ป่าช่วยลดการเผชิญหน้าระหว่างช้างป่าและมนุษย์ ต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับประชากรช้างป่าและผลกระทบต่อพื้นที่เกษตร โดยต้องหาและจัดสมดุลระหว่างการปกป้องช้างป่าและการสร้างพื้นที่ด้านความปลอดภัยของมนุษย์ด้วย

ทางด้าน ดร.สาธิต ปรัชญาอริยะกุล เลขาธิการและผู้อำนวยการสมาคมป้องกันการทารุณสัตว์แห่งประเทศไทย (TSPCA) กล่าวว่า  จากการสรุปสถานการณ์ช้างป่า ข้อมูลจาก ศ.(ปฏิบัติ) น.สพ.ดร.ฉัตรโชติ ทิตาราม คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พบว่าจำนวนประชากรช้างป่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากรายงานของ สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และ พันธุ์พืช ประมาณการว่าในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ 93 แห่งทั่วประเทศ ในปีพ.ศ. 2566 มีช้างป่าจำนวน 4,013-4,422 ตัว ในปี พ.ศ. 2566 พบคนเสียชีวิตจากช้างป่า จำนวน 21 ราย และได้รับบาดเจ็บจากช้างป่าจำนวน 29 ราย และช้างป่าล้ม (ตาย) จากความขัดแย้งนี้จำนวน 24 ตัว ซึ่งเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งปัญหาช้างออกนอกพื้นที่นี้พบได้ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ 70 แห่ง จาก 93 แห่ง (75%) ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มป่าตะวันออก สำหรับสถานการณ์ช้างเลี้ยง ในประเทศไทย มีจำนวนประมาณ 3,800-4,000 เชือก

สำหรับสถานการณ์ด้านกฎหมายที่เกี่ยวกับช้างไทย เช่น

1.ควรแก้ไขปรับปรุงข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับช้างเลี้ยง หรือระเบียบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กฎหมายในเรื่องการป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ เช่น การออกประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง กำหนดสัตว์ที่อาศัยอยู่ในธรรมชาติ (เพิ่มเติม) ตามมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ. 2557 ให้ครอบคลุมถึงช้างป่า และเสนอแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่เพิ่มเติม ตามมาตราดังกล่าว ในส่วนของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ในการดูแลเฉพาะสัตว์ป่า
2. เร่งรัดผลักดัน  (ร่าง) พระราชบัญญัติช้าง พ.ศ. .... ให้ครอบคลุมถึงช้างป่า ในการป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพ รวมทั้งการป้องกันมิให้มีการนำช้างป่ามาสวมสิทธิเป็นช้างบ้านโดยมิชอบ การลักลอบค้าช้างป่า การค้างาช้าง การค้าซากและผลิตภัณฑ์อื่นที่ทำมาจากช้างป่า การมีกองทุนในการช่วยเหลือและพัฒนาช้างป่าและการตั้งคณะกรรมการช้างแห่งช้าง ในการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาช้างโดยเฉพาะ เป็นต้น
3. ควรมีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ หรือกำหนดแนวทางที่ถูกต้องเหมาะสม เกี่ยวกับ พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 โดยเฉพาะในมาตรา 12 และ มาตรา 13 สำหรับในส่วนของการกระทำ ด้วยความจำเป็นและเหตุสุดวิสัยจากการบุกรุกของช้างป่าภายใต้เงื่อนไข เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากอันตราย หรือเพื่อสงวนหรือรักษาไว้ซึ่งทรัพย์สินของตนเองและผู้อื่นนั้น ควรดำเนินการตามแนวทางสันติวิธี มีมาตรการแนวทางที่เหมาะสมสอดคล้องตามสภาพบริบทแต่ละพื้นที่และเหตุการณ์ต่างๆ  โดยควรใช้มาตรการแนวทางที่ต่ำสุดเท่าที่จำเป็นในการกระทำเพื่อให้พ้นภัย หรือควรพิจารณาทางเลือกอื่นที่เหมาะสมมีสัดส่วนของการกระทำต่อช้างป่า ไม่เกินความเสียหายที่ได้รับ โดยการกระทำต่อช้างป่านั้น ต้องเป็นการกระทำที่พอสมควรแก่เหตุอย่างแท้จริง ตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย ในการสงวนอนุรักษ์และการคุ้มครองสัตว์ป่านั้น เป็นต้น

‘ราเกซ สักเสนา’ พ่อมดการเงิน ได้รับพระราชทานอภัยโทษฯ เตรียมถูกส่งกลับอินเดีย หลังรับโทษคดียักยอกทรัพย์ในไทย 15 ปี

(10 ก.ย. 67) รายงานข่าวแจ้งว่า ตำรวจกองกำกับการ 5 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ได้ไปรับตัว ‘นายราเกซ สักเสนา’ (Rakesh Saxena) สัญชาติอินเดีย ผู้ต้องขังในคดียักยอกทรัพย์ธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การ (บีบีซี) ออกจากเรือนจำ เพื่อผลักดันออกนอกประเทศ

หลังได้รับพระราชทานอภัยโทษ ตามพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ ในโอกาสพระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ วันที่ 28 ก.ค. 67 โดยได้ส่งตัวนายราเกซไปยังกองกำกับการ 3 กองบังคับการสืบสวนสอบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (บก.สส.สตม.) เพื่อดำเนินการผลักดันออกนอกประเทศตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ต่อไป

นับเป็นการปิดฉากชีวิตพ่อมดการเงินในประเทศไทย จากการปล่อยสินเชื่อให้แก่นักธุรกิจและนักการเมืองเพื่อเข้าเทกโอเวอร์บริษัทต่างๆ ในตลาดหลักทรัพย์ โดยมีกำไรจากการซื้อมา-ขายไป จนเกิดหนี้เน่ามากกว่า 80,000 ล้านบาท และเป็นต้นเหตุที่ทำให้บีบีซีปิดกิจการ

สำหรับนายราเกซ ชาวเมืองอินดอร์ รัฐมัธยประเทศ อดีตโบรกเกอร์ค้าเงิน เป็นผู้ต้องขังคดีหมายเลขแดงที่ อ 4138/2559 ในความผิดฐานพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คดียักยอกทรัพย์ธนาคารกรุงเทพพาณิชย์การ จำกัด (มหาชน) หรือ บีบีซี ระหว่างปีพ.ศ. 2537-2539 ขณะดำรงตำแหน่งที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ ซึ่งขณะนั้นคือ ‘นายเกริกเกียรติ ชาลีจันทร์’

โดยกระทำการทุจริตอนุมัติวงเงินสินเชื่อเกินบัญชี (โอดี) กับบริษัท สมประสงค์ อินเตอร์คอมมิวนิเคชั่น จำกัด และเอกชนอื่นร่วม 10 แห่ง เกินกว่า 30 ล้านบาท โดยไม่ผ่านการพิจารณากลั่นกรองจากคณะกรรมการสินเชื่อ หรือคณะกรรมการบริหารของธนาคารก่อน อีกทั้งไม่ได้จัดให้มีหลักประกัน ไม่มีการวิเคราะห์ฐานะของลูกหนี้ และความสามารถในการชำระหนี้คืน อันเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งธนาคารแห่งประเทศไทย

นอกจากนี้ จำเลยและพวกยังได้ร่วมกันแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ร่วมกันเบียดบังเอาเงินของธนาคารผู้เสียหาย (บีบีซี) ซึ่งอยู่ในความครอบครองของนายเกริกเกียรติ ไปเป็นของจำเลยกับพวกและนายเกริกเกียรติโดยทุจริต แม้ภายหลังจำเลยกับพวกได้ชดใช้เงินให้แก่ผู้เสียหายบางส่วน แต่คงเหลือเงินที่ยังไม่ได้คืนผู้เสียหาย 353,363,966 บาท

คดีนี้ต่อสู้กันสามศาล ในที่สุดศาลฎีกามีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 12 ก.ย.65 จำคุกกระทงละ 5 ปี และปรับกระทงละ 500,000 บาท โดยมีสำนวนแรก 60 กระทง สำนวนที่สอง 6 กระทง และสำนวนที่สาม 1 กระทง รวม 67 กระทง รวมจำคุก 335 ปี และปรับ 33,500,000 บาท เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วคงจำคุก 20 ปี และสั่งคืนเงินผู้เสียหายกว่า 2,000 ล้านบาท

ก่อนหน้านี้นายราเกซหลบหนีคดีไปยังประเทศแคนาดา ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 7 ก.ค.39 แม้ทางการไทยได้ประสานงานกับแคนาดาขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน แต่นายราเกซได้ให้ทนายความยื่นคัดค้าน ใช้ระยะเวลาพิจารณาถึง 13 ปี กระทั่งวันที่ 29 ต.ค.52 ศาลฎีกาแคนาดามีคำสั่งไม่อนุญาตให้ฎีกา และส่งตัวมาถึงประเทศไทยด้วยเที่ยวบิน TG 615 เมื่อวันที่ 30 ต.ค.52

ต่อมาศาลอาญากรุงเทพใต้ พิพากษาเมื่อปี 2555 จำคุกนายราเกซ 10 ปี และต่อสู้คดีเรื่อยมา กระทั่งคดีถึงที่สุดเมื่อปี 2565 รวมระยะเวลาที่รับโทษในประเทศไทย 15 ปี

'นราธิวาส' – ผบ.ทบ.และคณะฯ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหน่วยในพื้นที่ จชต. พร้อมมอบนโยบายการปฏิบัติงาน เพื่อให้ทุกส่วนเข้าใจหลักการทำงาน และประสานสอดคล้อง ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

พลเอก เจริญชัย หินเธาว์ ผู้บัญชาการทหารบก / ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก / รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และคณะผู้บังคับบัญชา ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมหน่วยเฉพาะกิจตำรวจนราธิวาสที่ 93 ตำบลโคกเคียน อำเภอเมืองนราธิวาส จังหวัดนราธิวาส พร้อมรับฟังการบรรยายสรุป ติดตามผลและการปฏิบัติงานของหน่วยในพื้นที่และร่วมพบปะกำลังพล ตลอดจนรับทราบปัญหา ข้อขัดข้อง และข้อเสนอแนะ รวมทั้งมอบนโยบายการปฏิบัติงานแก่กำลังพลให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ยังได้มอบสิ่งของอุปโภค บริโภคแก่หน่วยในพื้นที่ เพื่อแทนคำขอบคุณและเป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ต่อไป โดยมี พลโท ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 พร้อมด้วย พลโท ปราโมทย์ พรหมอินทร์ แม่ทัพน้อยที่ 4/ รองผู้อำนวยรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า, พลตรี ไพศาล หนูสังข์ รองแม่ทัพภาคที่ 4 / รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส, ตำรวจ, ทหาร, หัวหน้าส่วนราชการ, ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจตำรวจนราธิวาสที่ 93 และกำลังพลร่วมให้การต้อนรับ

จากนั้น ผู้บัญชาการทหารบก และคณะฯ เดินทางไปปฏิบัติศาสนกิจ ณ วัดเขากง ตำบลลำภู อำเภอเมืองนราธิวาส จังหวัดนราธิวาส โดยได้สักการะพระพุทธทักษิณมิ่งมงคล ถวายสังฆทาน และกราบนมัสการพระครูบรรพต พรหมญาณ เจ้าอาวาสวัดเขากง  ก่อนรับมอบวัตถุมงคลเพื่อเป็นขวัญกำลังใจและที่ยึดเหนี่ยวทางใจให้แก่กำลังพลผู้ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มารอให้การต้อนรับ

ต่อมาเวลา 14.15 น. ผู้บัญชาการทหารบก และคณะฯ พร้อมด้วยแม่ทัพภาคที่ 4 ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ศูนย์ปฏิบัติการ อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี และฐานปฏิบัติการชุดคุ้มครอง ตำบลท่าสาป อำเภอเมือง จังหวัดยะลา พร้อมมอบสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภค เพื่อเป็นขวัญกำลังใจตอบแทนการปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

โอกาสนี้ผู้บัญชาการทหารบก ได้รับฟังบรรยายสรุปการปฏิบัติงาน เหตุการณ์และแนวโน้มสถานการณ์ในอนาคต พร้อมมอบนโยบายการปฏิบัติงานที่สำคัญให้แก่เจ้าหน้าที่อาสารักษาดินแดน ตลอดจนรับทราบปัญหา ข้อขัดข้อง และข้อเสนอแนะ เพื่อให้ทุกส่วนเข้าใจหลักการทำงาน และปฏิบัติได้ประสานสอดคล้อง ทั้งทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง ให้เกิดประสิทธิภาพยิ่งขึ้นตามแผนบูรณาการการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ต้องการเสริมสร้างศักยภาพของสมาชิกอาสารักษาดินแดนจังหวัดชายแดนภาคใต้ทุกนาย ทำงานดูแลความปลอดภัยและสร้างความเชื่อมั่นให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ได้ โดยการเข้าถึงพื้นที่และใกล้ชิดกับพี่น้องประชาชน เพื่อเป็นการสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีนำไปสู่ความเข้าใจและความร่วมมือระหว่างกัน ทั้งนี้ขอให้เชื่อมั่นว่า กองทัพบก กระทรวงมหาดไทย 

ตลอดจนทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีความร่วมมือและตั้งใจร่วมกันในการปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ ซึ่งที่ผ่านมาได้ให้ความสำคัญกับการฝึกเสริมสร้างศักยภาพของอาสารักษาดินแดนจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อให้เกิดการพัฒนาขีดความสามารถ มีความพร้อมเพิ่มมากขึ้นในห้วง 2-3 ปีนี้ นั่นจะทำให้เขาเหล่านั้นมีขีดความสามารถในการดูแลพี่น้องประชาชนได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ในระยะยาว เกิดความยั่งยืน และหากมีสิ่งไหนที่ต้องการหนุนเสริมเรื่องใด สามารถสะท้อนผ่านมายัง กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

'อัษฎางค์' ให้ข้อคิด!! คนทำชั่วได้ดีมีถมไป คือเรื่องจริง แต่ 'ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว' ก็คือเรื่องจริงไม่ต่างกัน

(10 ก.ย. 67) อัษฎางค์ ยมนาค นักประวัติศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กให้มุมมองถึงประเด็นดัง 'ชาลี-กามิน' ระบุว่า...

"ทำดีต้องไม่ได้อะไร จำไว้ไอ้น้องรัก" และต้องทำดีกันต่อไป

ผมแอบคิดตั้งแต่เริ่มต้นจีบกันแล้วว่าคู่นี้อยู่ไม่นาน เพียงแต่ไม่คิดว่าเร็วขนาดนี้

ที่ว่าแอบคิดว่าไม่รอดคือ...

เริ่มต้นผมก็เหมือนคนอื่น ๆ ที่ติดตาม คือเชียร์คู่นี้เพราะเขาน่ารักกันดี ก็อยากให้สมหวัง

แต่แอบคิดว่า 'ไม่น่ารอด' เพราะความที่เป็นรักออนไลน์ ผ่านสังคมออนไลน์ที่มีคนรับรู้ทุกแง่มุม สังเกตได้ว่ามีดรามาตลอด ทั้งจากตัวเองและแฟนคลับ ซึ่งจุดนี้เป็นจุดสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาไม่ยาก

เอาชีวิตจริง ๆ ของเรา ๆ ทุกคน ลองรักใครแล้ว มีพ่อแม่พี่น้องเพื่อนพ้องมาเกี่ยวข้อง ไม่ช้าไม่นานก็พัง

เช่น พ่อแม่หรือพี่น้อง เพื่อน จะไม่พอใจว่าที่ลูกเขยลูกสะใภ้ ทำไมทำแบบนี้กับคนของเรา เราดูแลทะนุถนอม แต่แฟนลูก แฟนพี่น้อง แฟนเพื่อนเรา ทำไมไม่ทะนุถนอมเหมือนเรา เป็นต้น ซึ่งก็เห็นข่าวเสมอว่า แฟนคลับขย่มตลอด

เชียร์ แต่แอบคิดมาตั้งแต่ต้นว่าไม่น่ารอด เพียงแต่ไม่คิดว่าเร็วขนาดนี้ จบเร็วมาก ๆ

ที่สำคัญ ไม่เคยคิดว่า กามิน เป็นแบบนี้ นี่คือ จุดหักมุมที่สำคัญ

ชาลี ดวงอาภัพเรื่องคู่อย่างไม่ต้องสงสัย

………………………………………………………………………

พวกเราดูชีวิตคนอื่น ๆ ที่เขาเป็นคนดีที่ทำดีเสมอ แต่ชีวิตกลับมีอุปสรรคไม่หยุดหย่อน ควรตั้งสติแล้วคิดใหม่ โดยใช้หลักธรรมของพุทธศาสนา

ใครคิดว่า "คนดี ที่คิดว่าทำดีแล้วต้องได้ดี" ควรคิดใหม่

ชีวิตมันไม่ง่ายอย่างนั้น  โชคชะตาเล่นตลกกับเราเสมอ เพราะจะเจอบททดสอบไม่จบไม่สิ้น ทั้งที่เราคิดว่า เราทำดีแล้ว แต่ทำไมไม่ได้ดีตอบ

"ทำดี อย่าหวังว่าจะได้ดีตอบเสมอไป"

เพราะเวรกรรมในอดีตที่เราทำไว้คืออะไรเราจำไม่ได้ เราอาจเคยทำชั่วไว้ก็ได้ เพราะฉะนั้นกรรมเวรเก่าจึงตามมาเอาคืน

"เราทำดีกับเขาแทบตาย แต่เค้าไม่เคยเห็นหรือไม่ตอบแทนคุณเราเลย หรือทำร้ายเราอีกต่างหาก" นั่นอาจเป็นเพราะเราเคยทำกรรมชั่วไว้กับเขา เขาจึงมาเอาคืน

นั้นทำให้…ชาตินี้ทำดียังไง ก็ไม่ได้ดี

………………………………………………………………………

ส่วนคำที่ชอบเอามาพูดล้อเล่นว่า "คนทำชั่วได้ดีทีถมไป" นั้นคือ 'เรื่องจริง' เพราะผลบุญเก่าที่เคยทำดีไว้มันส่งผลอยู่

แต่ที่ทำชั่วไว้ในปัจจุบันมันจะตามมาตามคิวแน่นอน

ถ้าดูชาลีเป็นตัวอย่างของคนดีแล้วไม่ได้ดี ก็ต้องดูตัวอย่างทักษิณคนทำชั่วได้ดีเอาไว้ด้วย

"ทำดีได้ดีมีที่ไหน คนทำชั่วได้ดีทีถมไป"

คือ ภาพที่เราเห็น ณ ปัจจุบัน ซึ่งผลดีที่เขาเคยทำในอดีตชาติมันส่งผลอยู่ ถึงแม้ว่าปัจจุบันเขาทำชั่ว

แต่คำว่า "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" ก็คือเรื่องจริง

แต่ที่ทำดีอยู่แต่ไม่ได้รับผลดีเสียที เพราะเราอาจเคยทำชั่วมาเยอะ หรือเรายังอยู่ในช่วงที่รับกรรมอยู่ก็ได้ เพราะเราเวียนว่ายเกิดมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว และเราก็จำไม่ได้ว่าชาติต่าง ๆ ในอดีตเคยทำดีและทำชั่วสลับกันมามากน้อยแค่ไหน

ถ้าอยากให้คำว่า "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" ปรากฏชัดและส่งผลต่อเราตลอดเวลา ก็จงมั่นทำดีเอาไว้ตลอดเวลา 

แล้วรอให้ผลจากกรรมชั่วนั้นหมดไป ผลดีจะส่งผลเอง หรือเคยทำชั่วไว้แค่ไหนก็ตาม แต่เราทำดีไว้มาก ๆ มากจนกรรมชั่วตามไม่ทัน นั้นแหละเราจะได้รับแต่ผลจากกรรมดีที่เราสร้างไว้อย่างมากมายมหาศาล

เป็นกำลังให้ชาลีและคนที่มุ่งมั่นเป็นคนดีที่ทำดี จงทำดีต่อไป

………………………………………………………………………

ท่องกันเอาไว้ว่า "ทำดี ต้องไม่ได้อะไร"
"นอกจากได้ละกิเลสออกไป"

การไปทำบุญที่วัด หรือทำบุญกับโรงพยาบาล กับผู้ด้อยโอกาส แล้วอธิษฐานขอทุกอย่างเช่น ขอให้ร่ำรวย มีสุขภาพดี ฯลฯ อย่างที่เราชอบทำกันนั้น ไม่เรียกว่า เราทำทาน

ทำทานคือ ให้โดยไม่หวังอะไรตอบแทน

แล้วที่สุด ผลตอบแทนมันจะกลับมาเอง เมื่อเราไม่หวังอะไรตอบแทน

นี่คือความลับและความมหัศจรรย์ของการทำความดีหรือการทำบุญ

………………………………………………………………………

สรุป

ชาลี ทำดีต่อไป อย่าให้กรรมชั่วในอดีตมาบั่นทอนจิตใจให้หลงไปทำชั่ว เพราะคิดว่าทำดีไม่เห็นได้ดีเสียที

คนที่เหมาะสมและสร้างบุญและกรรมร่วมกันมารออยู่ และจะได้เจอในอนาคตอันใกล้นี้แน่นอน

พ่อหมอเอ็ดดี้ ฟันธง

‘อดีตทูตนริศโรจน์’ ชี้!! ‘จนท.สายการบิน’ มีการควบคุมข้อมูลแบบเป๊ะๆ ‘เครื่องถึง-ดีเลย์-ปิดเคาน์เตอร์’ ตอนไหน? และคุณมาถึงเวลาเท่าไหร่?

(10 ก.ย. 67) นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Fuangrabil Narisroj' ระบุว่า…

เห็นมาหลายรายแล้ว พวกที่ชอบเปิดศึกกับสายการบิน คือ ถ้าข้อมูลของคุณไม่แม่นแล้ว คุณจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบมากกว่า

เพราะ จนท.สายการบินเขาคุมข้อมูลแบบเป๊ะ ๆ อยู่กับมือว่าเครื่องถึงเมื่อไหร่ ดีเลย์เท่าไหร่ ปิดเคาน์เตอร์ เมื่อไหร่ คุณมาถึงเวลาเท่าไหร่ ก่อนหรือหลังเคาน์เตอร์ปิดกี่นาที บวกกับมีกฎการบินสากล ที่คุมบังคับทุกสายการบินในภาพรวม

ยังไง ๆ คุณก็ไม่ชนะครับ !!

ยกเว้น คุณถูก treat แบบไม่เป็นธรรม มีการลงไม้ลงมือ มีการเลือกปฏิบัติต่อเชื้อชาติ ศาสนา ผิว เพศสภาพอย่างดูหมิ่นเหยียดหยาม แบบนี้มีโอกาสชนะมากกว่า 

หมายเหตุ พวกที่ชอบโอดครวญว่า ลูกเรือไม่มีน้ำใจช่วยยกกระเป๋าขึ้นช่องเก็บของก็เช่นกัน ! ตามกฎการบินสากล ลูกเรือไม่มีหน้าที่ยกกระเป๋าผู้โดยสารขึ้นเก็บให้ เพราะถ้าคุณ handle กระเป๋าไม่ได้เพราะหนักเกินไป คุณเตี้ยเกินไป คุณต้องโหลดลงเก็บใต้ท้องเครื่องครับ

เพราะกระเป๋าที่คุณถือขึ้นเครื่องเอง คุณก็ต้องรับผิดชอบว่าคุณสามารถยกขึ้นเก็บได้เอง 

ทำไมกฎการบินถึงห้ามลูกเรือยกกระเป๋าให้ผู้โดยสาร เพราะหากเกิดพลาดพลั้งกระเป๋าใบนั้นสร้างความบาดเจ็บกับลูกเรือคนใดคนนึง เที่ยวบินนั้นจะต้องถูกดีเลย์หรือยกเลิกเพื่อเปลี่ยนลูกเรือคนใหม่  

อย่าลืมว่าผู้โดยสารมีเป็นร้อย ๆ คน แต่ลูกเรือมีไม่กี่คน ถ้าเขาต้องมาช่วยยกกระเป๋าผู้โดยสารขึ้นลง โอกาสเกิดอุบัติเหตุทำให้บาดเจ็บมีสูงมาก ส่วนกรณีที่ลูกเรือบางคนช่วยผู้โดยสารที่มีเหตุสุดวิสัยไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้แบบกะทันหันนั้นเป็นข้อยกเว้นแต่ละกรณีไปครับ 

และโปรดจำไว้เสมอว่า ลูกเรือบนเครื่องบิน เขามิใช่ ‘ขี้ข้าหรือคนรับใช้ส่วนตัวบนเครื่องบินของคุณ’ แต่พวกเขาเป็น ‘ผู้อำนวยความสะดวกให้การเดินทางโดยเครื่องบินของคุณเป็นไปโดยราบรื่นถูกต้องตามกฎการบินสากล’ พวกเขาต้อง operate เครื่องไม้เครื่องมือบนเครื่องบินที่ ผู้โดยสารไม่รู้เรื่องเพราะไม่ได้ฝึกมาแบบลูกเรือ

เมื่อขึ้นเครื่องก็แค่ทำตามคำแนะนำของลูกเรือทุกอย่างก็จะ smooth ผมเองเดินทางโดยเครื่องบินมานับเป็นพันครั้งแล้วกระมัง ทุกครั้งที่ขึ้นผมจะทำตัวลีบ ๆ ไม่ demand มากถ้าไม่จำเป็น เพราะเห็นใจว่าลูกเรือเขามี ผดส.เป็นร้อย ๆ คน เขาเหนื่อยกว่าเราเยอะ

จึงเป็นเหตุว่าผมแทบไม่เคยเจอปัญหาอะไรเลยกับการเดินทางโดยเครื่องบิน

มีเพื่อนผมบางคน ค่อนข้างโรคจิตประเภทชอบจับผิด ยิ่งถ้าขึ้นเครื่อง TG พอเห็นลูกเรือไทย อาการจะกำเริบ จับผิด จิก กัด demand ต่าง ๆ แค่เขาไม่ยิ้มก็เป็นเรื่อง แล้วก็เอามานินทาว่า TG ห่วยอย่างนั้นอย่างนี้ 

แต่พอไปเจอลูกเรือสายการบินต่างชาติเงียบกริบไม่หือไม่อืออะไรเลย มีจริง ๆ ครับคนแบบนี้ ทำให้เวลาเดินทางจะไม่มีความสุข

ส่วนผมสบายมาก enjoy การบินด้วย TG เกือบทุกครั้ง มีบางครั้งที่ขลุกขลักแต่ก็เป็นเรื่องเข้าใจได้ และผมได้รับการบริการด้วยดีจากลูกเรือ TG ทุกครั้งครับ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top