Monday, 30 June 2025
NEWS FEED

สำรวจรายชื่อมหาวิทยาลัยจีน ที่ถูกมะกันหมายหัว เพราะกลัวกระทบต่อความมั่นคงของชาติสหรัฐฯ

ไม่นานมานี้ เพจ 'สะใภ้จีนbyฮูหยินปักกิ่ง' ได้แจ้งข่าวกรณีที่หลายสถาบันการศึกษาในจีนถูกหมายหัวจากสหรัฐฯ และทำให้นักเรียนสัญชาติจีนจะถูกกีดกันในการเข้าเรียนที่สหรัฐฯ โดยระบุว่า...

นักเรียนสัญชาติจีนถูกกีดกันด้านการศึกษาในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะการเรียนต่อทางด้าน 'ป.โท-ป.เอก' หลังจากจบการศึกษา ป.ตรี จากมหาวิทยาลัยเหล่านี้ในจีน 

โดยสหรัฐฯ จะไม่ออกวีซ่าให้ หรือไม่ก็ถ้ามีวีซ่า แต่อาจโดนเพ่งเล็งตอนเข้า ตม.ที่ USA

ลูกใครเด็กจีน ก็คิดดี ๆ ว่าอยากให้ลูกมีสัญชาติอะไร เพราะสัญชาติมีผลต่อการเรียนต่อของลูกในอนาคต

สำหรับรายชื่อสถาบันการศึกษาจากจีนที่ถูกกีดกันจากสหรัฐฯ ประกอบไปด้วย....

1. สถาบันเทคโนโลยีปักกิ่ง
2. มหาวิทยาลัยการบินและอวกาศปักกิ่ง
3. มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหนานจิง
4. มหาวิทยาลัยการบินและอวกาศนานกิง
5. สถาบันเทคโนโลยีฮาร์บิน
6. มหาวิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์ฮาร์บิน
7. มหาวิทยาลัยสารพัดช่างนอร์ธเวสเทิร์น

'แชมป์-กษิดิศ' ขอแรงนักเจ็ตสกีทั่วประเทศ เข้าช่วยน้ำท่วมแม่สาย ตอนนี้เริ่มมีผู้เสียชีวิตแล้ว เพราะไม่สามารถเข้าไปช่วยได้ทัน

(12 ก.ย. 67) เฟซบุ๊ก แชมป์ ลอยยย' หรือ แชมป์ กษิดิศ ธีระประทีป หนุ่มดีกรีแชมป์โลกเจ็ตสกีที่ได้ลุยกระแสน้ำเข้าไปช่วยลุงเขียงหมูหรือคุณตาเต็นท์แดงได้สำเร็จนั้น ล่าสุด แชมป์ กษิดิศ ได้โพสต์ขอความร่วมมือ ระบุว่า…

"ตอนนี้เริ่มมีผู้เสียชีวิตแล้วครับเพราะว่าผมเข้าไปช่วยไม่ทันจริง ๆ ฝากถึงนักเจตสกีทั่วประเทศใครอยากมาช่วยขอด่วน ๆ เลยครับ รวมพลังนักเจ็ตสกีที่จะมาช่วยขอให้ไปแจ้งชื่อที่คุณเขียด หรือ กรรมการตัวแทนนักกีฬาท่านใดของสมาคมก็ได้ก่อนนะครับ ตอนนี้หน้างานยุ่งมาก อาจจะรับสายไม่หมดครับ แสดงพลังชาวเจตสกีกันเยอะ ๆ นะครับ"

สมุทรปราการ-เทศบาลตำบลแพรกษา สนับสนุนทุนการศึกษา ร่วม 2 ล้านบาท ดันกองทุน 'ร้อยโรงงาน ร้อยดวงใจ หนึ่งโรงเรียน' ให้เด็กได้เรียนฟรี

ที่ห้องประชุมชั้น 5 สำนักงานเทศบาลตำบลแพรกษา ดร.ยงยุทธ สุวรรณบุตร กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ สมาชิกสภาผู้แทนราษฏร จังหวัดสมุทรปราการ สมัยที่ 25 และที่ปรึกษากิตติมศักดิ์นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา พร้อมด้วย นางอรัญญา สุวรรณบุตร นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา ให้เกียรติเป็นประธานมอบทุนการศึกษาแก่เด็กนักเรียนโรงเรียนในสังกัดเทศบาลตำบลแพรกษา กระทรวงมหาดไทย

ภายใต้กองทุน “ร้อยโรงงาน ร้อยดวงใจ หนึ่งโรงเรียน” ซึ่งก่อนวันรับมอบทุนการศึกษาได้มีการประชุมพิจารณาโดยคณะกรรมการ มีนายเมธากุล สุวรรณบุตร ประธานมูลนิธิแพรกษาเพื่อการศึกษา ร่วมประชุมเเละพิจารณาให้ความเห็นชอบทุนกับนักเรียนในสังกัดเทศบาลตำบลแพรกษา ประจำปี 2567 

สำหรับการมอบทุนการศึกษาแก่เด็กนักเรียน ประจำปี 2567 ในครั้งนี้ มีคณะผู้บริหาร คณะสมาชิกสภาเทศบาล หัวหน้าส่วนราชการ ผู้อำนวยการโรงเรียน ตลอดจนผู้ปกครองร่วมในพิธีครั้งนี้ ณ ห้องประชุมเทศบาลตำบลแพรกษา ชั้น 5 ต.แพรกษา อ.เมือง สมุทรปราการ

ด้าน ดร.ยงยุทธ สุวรรณบุตร กล่าวว่า สำหรับทุนการศึกษา คณะกรรมการบริหารกองทุน “ร้อยโรงงาน ร้อยดวงใจ หนึ่งโรงเรียน” ได้ประชุมพิจารณาคัดเลือกรายชื่อนักเรียน เพื่อเข้ารับทุนการศึกษาของสถานศึกษาในสังกัดเทศบาลตำบลแพรกษา ประจำปี พ.ศ. 2567 โดยแบ่งทุนการศึกษาออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ 1 ทุนการศึกษา ค่าบำรุงการศึกษา ทุนประเภทที่ 2 ทุนการศึกษา ผู้ทำคุณประโยชน์และสร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียน ทุนประเภทที่ 3 ทุนการศึกษา ผู้มีความประพฤติดี มีผลการเรียนดี และทุนประเภทที่ 4 ทุนการศึกษาต่างประเทศ สนับสนุนนักเรียน ครู ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารเทศบาลตำบลแพรกษา และผู้ที่เกี่ยวข้องที่ได้รับคัดเลือกให้ไปนำเสนอผลงานการแข่งขันแลกเปลี่ยนทางวิชาการ หรือวัฒนธรรม การเข้าค่าย และการศึกษาดูงาน ณ ต่างประเทศ

ทั้งนี้ มีนักเรียนที่ได้รับการพิจารณาคัดเลือกให้ได้รับทุนการศึกษา จำนวนทั้งสิ้น 235 ทุน 1 โรงเรียนอนุบาลแพรกษาวิเทศศึกษา จำนวนทั้งสิ้น 21 ทุน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 91,000 บาท 2 โรงเรียนแพรกษาวิเทศศึกษา จำนวนทั้งสิ้น 161 ทุน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,224,522 บาท 3 โรงเรียนมัธยมแพรกษาวิเทศศึกษา จำนวนทั้งสิ้น 53 ทุน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 266,000 บาท รวมแล้วเป็นเงินทั้งสิ้น 1,581,522 บาท 

อย่างไรก็ตาม เทศบาลตำบลแพรกษา โดยนางอรัญญา สุวรรณบุตร นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา พร้อมด้วย คณะผู้บริหาร คณะสมาชิกสภา พร้อมที่จะขับเคลื่อนเดินหน้ากองทุน “ร้อยโรงงาน ร้อยดวงใจ หนึ่งโรงเรียน” และพร้อมเป็นเจ้าภาพในการดูแลให้เด็กนักเรียนทุกคนได้เรียนฟรีใน ปี พ.ศ. 2570 โดยเหตุผลที่ว่า การศึกษาต้องมาก่อน

“เราเก่งคนเดียวไม่ได้…ถ้าไม่มีทีมที่ดี” ข้อคิดดี ๆ จาก ‘ซุปเปอร์เล็ก เกียรติหมู่ 9’

❤ข้อความจากใจแชมป์โลก 2 กติกา ถึง #เทรนเนอร์คู่ใจ พี่ชายผู้อยู่เบื้องหลังในทุกไฟต์ที่เขาทำมันสำเร็จ

ผบ.ฉก.กร.642 นำกำลังพลมอบถุงยังชีพพระราชทานฯ ให้ ปชช. ประสบอุทกภัย

ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกองเรือยุทธการ 642 (ผบ.ฉก.กร.642) อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี พร้อมกำลังพลเดินทางเข้าพื้นที่ประสบอุทกภัย นำเรือเข้ามอบถุงยังชีพพระราชทาน และถุงยังชีพกองทัพเรือ ให้แก่ประชาชนชุมชน ต.รางจรเข้ อ.เสนา จว.พระนครศรีอยุธยา

โดยคณะ ต้องนั่งเรือไปมอบถุงยังชีพ เนื่องจากเป็นบ้านติดข้างคลอง มีคนชราและผู้ป่วยที่ไม่สามารถออกมารับถุงยังชีพในพื้นที่ที่กำหนดได้ เป็นการมอบความห่วงใย เป็นกำลังใจจาก กองทัพเรือ ที่มีให้กับประชาชนที่ประสบอุทกภัย

และขณะนี้ น้ำในคลองมีระดับน้ำเป็นปกติแล้ว และพื้นที่ทั่วไปไม่มีน้ำท่วมขัง เพียงแต่มีปริมาณน้ำที่ถูกปล่อยลงมาตามคลองต่ำกว่าปริมาณน้ำที่ส่งผ่านออกไป ถือเป็นการพร่องน้ำ เพื่อรอเวลาน้ำลดลง เมื่อวันที่ (10 ก.ย.67) เวลา 09.00 - 12.00 น. ที่ผ่านมา

เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา พระราชทานถุงยังชีพ ทร. ส่งเรือผลักดันน้ำ รถ AAV และมนุษย์กบ ให้การช่วยเหลือ ปชช.จากอุทกภัย จ.เชียงราย

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา พระราชทานถุงยังชีพ แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดเชียงราย  ด้านกองทัพเรือ จัดกำลัง พร้อมเรือผลักดันน้ำ และยานรบสะเทินน้ำสะเทินบก (รถ AAV)  และมนุษย์กบ ให้การช่วยเหลือประชาชน จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย

พลเรือตรี วีรุดม ม่วงจีน โฆษกกองทัพเรือเปิดเผยว่า ตามที่ได้เกิดสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัด เชียงราย ส่งผลให้มีน้ำท่วมบ้านเรือนประชาชนและพื้นที่การเกษตร ในหลายพื้นที่

การนี้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา องค์ประธานมูลนิธิอนุรักษ์แนวปะการังและสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทย ในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงห่วงใยต่อราษฎรที่ได้รับความเดือดร้อนจากอุทกภัย ในพื้นที่ต่าง ๆ จึงทรงโปรดให้กองทัพเรือ อัญเชิญถุงยังชีพพระราชทานมูลนิธิอนุรักษ์แนวปะการังและสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทย ในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา พร้อมถุงยังชีพจาก กองทัพเรือ และหน่วยงานพันธมิตรของกองทัพเรือ ประกอบด้วย การรถไฟฟ้ามหานคร และธนาคารไทยพาณิชย์ รวมจำนวน 1,100 ชุด  มอบให้กับพี่น้องประชาชนที่ประสบอุทกภัย ในพื้นที่ จังหวัดเชียงราย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน และให้สามารถกลับมาดำรงชีวิตได้ด้วยความปกติสุขในเร็ววัน 

โดยจะมีการมอบถุงยังชีพเพิ่มเติมในโอกาสต่อไป อีกจำนวนหนึ่ง นอกจากนี้แล้วยังจะได้มีการจัดรถครัวสนามลงพื้นที่ เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนและเยียวยา ในเบื้องต้น

โฆษกกองทัพเรือ กล่าวต่ออีกว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กองทัพเรือ โดยพลเรือเอก อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการทหารเรือในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพเรือ ได้สั่งการให้  หน่วยเฉพาะกิจเรือผลักดันน้ำกองทัพเรือ จัดกำลังพลและยุทโธปกรณ์  ให้การสนับสนุนทางจังหวัดเชียงราย ในการจัดเรือผลักดันน้ำ จำนวน 20 ลำ พร้อมกำลังพล อุปกรณ์ และยุทโธปกรณ์ ลงไปติดตั้งในพื้นที่อำเภอที่แม่น้ำอิงไหลผ่าน ประกอบด้วย อำเภอป่าแดด อำเภอเทิง อำเภอขุนตาล อำเภอพญาเม็งราย และอำเภอเชียง จังหวัดเชียงราย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายน้ำที่ท่วมขังในพื้นที่ ลงสู่แม่น้ำโขงจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย  พร้อมทั้งให้ กองเรือยุทธการ จัดชุดปฏิบัติการจาก หน่วยสงครามพิเศษทางเรือ (หรือมนุษย์กบ) และหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน จัดยานรบสะเทินน้ำสะเทินบก (AAV) ให้การช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ ทั้งการลำเลียงประชาชน และทรัพย์สิน ออกจากพื้นที่ประสบภัยและพื้นที่เสี่ยง

โดยใน ช่วงบ่ายเมื่อวานนี้ (11 กันยายน 2567 ) กำลังพลชุดแรกจาก จากหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ กองเรือยุทธการ ประกอบด้วย ชุดควบคุมและสนับสนุนและชุดปฏิบัติการพิเศษ พร้อมเรือยางท้องแข็งและเรือยางยุทธวิธี ได้ถูกลำเลียงโดยเครื่องบินลำเลียงแบบ C - 130 ของกองทัพอากาศ ออกเดินทางจากสนามบินอู่ตะเภา ไปยัง จังหวัดเชียงราย แล้ว นอกจากนั้น ยังได้สั่งการให้หน่วยต่างๆ ดำเนินการตามสั่งการดังนี้

- ให้ ฐานทัพเรือกรุงเทพและกรมการขนส่งทหารเรือ จัดหน่วยเคลื่อนที่ ทั้งรถบรรทุก เรือท้องแบนที่มีอยู่ทั้งหมด ขึ้นไปช่วยเหลือ โดยให้ออกเดินทางภายในวันนี้ (11 ก.ย.67)

- ให้ผู้บัญชาการหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง เป็นผู้รับผิดชอบ การปฏิบัติในพื้นที่ จังหวัด เชียงรายทั้งหมด
- ให้หน่วยต่างๆ ของกองทัพเรือ รวมถึงหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ กองเรือยุทธการ จัดชุดปฏิบัติการพิเศษ (หน่วยซีล) ให้การสนับสนุนตามที่ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพเรือ ร้องขอ
- ให้ฐานทัพเรือกรุงเทพ จัดถุงยังชีพ สำหรับ แจกจ่ายให้กับประชาชน ผู้ได้รับผลกระทบให้ได้มากที่สุด 

นอกจากนั้น ผู้บัญชาการทหารเรือ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพเรือ ยังได้สั่งการให้ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยพื้นที่ต่าง ๆ ของกองทัพเรือ รวมทั้งหน่วยต่าง ๆ ของกองทัพเรือ เตรียมความพร้อมในการปฏิบัติเชิงรุกทั้งด้านองค์บุคคล องค์วัตถุ และองค์ยุทธวิธี ให้มีความพร้อม ในการช่วยเหลือประชาชนได้ทันที โดยบูรณาการและประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งให้มีการสำรวจความเดือดร้อนและความต้องการของประชาชน พร้อมทั้งติดตามการแจ้งเตือนภัยจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โฆษกกองทัพเรือ กล่าวว่า กองทัพเรือ ยังคงเตรียมความพร้อม ทั้งกำลังพล และยุทโธปกรณ์ ที่จะให้การสนับสนุนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถแจ้งขอความช่วยเหลือผ่านสายด่วนศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพเรือ 1696 ตลอด 24 ชั่วโมง

‘สุรัชนี’ ชี้ ควรยึดประโยชน์ของไทยเป็นที่ตั้ง แนะ ไทยสามารถร่วมมือกับประเทศอื่นนอกจากมหาอำนาจ

เมื่อไม่นานมานี้ สำนักข่าว TNN ได้มีการจัดสัมมนาในหัวข้อ ‘ปลดล็อกกับดัก: การปรับจุดยืนไทย ในโลกที่แบ่งขั้ว’ ซึ่งการจัดงานสัมมนาที่ได้มีการเชิญนักวิชาการไทยจากหลากหลายสาขาและภูมิภาคมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันว่า ประเทศไทยควรมีการดำเนินนโยบายอย่างไรเพื่อสร้างความเข้มแข็งและให้ผลประโยชน์กับเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศชาติได้

‘ผศ.ดร. สุรัชนี ศรีใย’ นักวิจัยอาคันตุกะ สถาบันเอเชียอาคเนย์ศึกษา ยูซุฟ อิสฮัค ประเทศสิงคโปร์ และเป็นหนึ่งในนักวิชาการที่ได้รับเชิญไปสัมมนางานดังกล่าว มีความเห็นว่า ประเทศไทยจะต้องตอบตนเองให้ได้ก่อนว่าต้องการผลประโยชน์ของชาติแบบใด นโยบายแบบใด ที่น่าจะสามารถให้ประโยชน์กับทุกคนในประเทศส่วนใหญ่ที่ไม่ใช่เพียงเฉพาะคนบางกลุ่มเท่านั้น และยังเสริมว่า ประเทศไทยสามารถทำงานร่วมกับประเทศอื่นๆ นอกเหนือจากประเทศมหาอำนาจที่กำลังจะก้าวขึ้นมาเป็นตลาดอื่นๆ ทางเศรษฐกิจได้ เช่น อาเซียนและประเทศในกลุ่ม EU เป็นต้น 

“คิดว่าไทยต้องเริ่มจากการ Identify ความต้องการของตนเองก่อนว่าผลประโยชน์ของชาติไทยมันคืออะไร ซึ่งอันนี้ขีดเส้นใต้เยอะมากว่าหมายถึง ‘ผลประโยชน์ของคนไทย’ ส่วนใหญ่นะคะว่า การที่ประเทศจะบริหารความสัมพันธ์ระหว่างไทยเองกับประเทศที่เป็นมหาอำนาจนี้น่ะค่ะ มันจะส่งผลประโยชน์ต่อคนไทยยังไง เมื่อไปจากจุดนั้นแล้ว เราก็จะสามารถนึกได้นอกกรอบว่า เราจะสามารถบริหารความสัมพันธ์เหล่านี้ยังไงได้บ้างนะคะ นี่คือจุดเริ่มต้นสำคัญที่เราจะต้องเริ่มก่อน หลังจากนั้นเราก็จะสามารถที่จะเลือกได้ว่า เราจะไปสู่ผลประโยชน์เหล่านั้นเนี่ย โดยการที่จะทำงานร่วมกับมหาอำนาจไหน? หรือเราไม่จำเป็นต้องทำงานร่วมกับมหาอำนาจอย่างเดียวค่ะ เราสามารถที่จะนึกถึงตัวละครอื่นๆ อย่างเช่น ทำงานผ่านกรอบอาเซียน ทำงานร่วมกับ EU ก็ได้ หรือแม้กระทั่งกับประเทศอื่นๆ ที่กำลังจะก้าวขึ้นมาเป็นตลาดอื่นๆ ที่ไทยจะสามารถ Explore ได้ค่ะ” 

อย่างไรก็ตาม ศตวรรษที่ 21 ไม่ใช่ยุคแห่งสงครามเย็น แต่เป็นยุคสงครามร้อนที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งต่างๆ มากมายที่เกิดขึ้นหลายพื้นที่ทั่วโลก พร้อมกันนั้น ประเทศไทยก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ได้รับผลกระทบมากมายต่อการขับเคี่ยวกันทางการเมืองของประเทศมหาอำนาจ ดังนั้นงานสัมมนาครั้งนี้จึงมีความสำคัญที่จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถสร้างจุดยืนที่เป็นประโยชน์ท่ามกลางความร้อนระอุของโลกยุคนี้

'แม่สาย' เผชิญน้ำท่วมบ่อย แต่ทำไมไม่มีมีระบบเตือนภัย จากนี้ควรปรับแนว ส่งข้อมูลให้ประชาชนโดยตรง

(11 ก.ย. 67) อิทธิพลจากพายุ ‘ยางิ’ ทำให้พื้นที่ภาคเหนือตอนบนของประเทศไทยเกิดฝนตกหนัก โดยเฉพาะที่ จ.เชียงราย ซึ่งทำให้ภาวะน้ำป่าไหลหลากลงมาท่วมอย่างหนักที่ตลาดสายลมจอย อ.แม่สาย อีกรอบ ทั้งที่ จ.เชียงรายเพิ่งถูกน้ำท่วมหนักไปช่วงในปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมานี่เอง (2567)

ชาวแม่สายจำนวนมากยังติดอยู่ในบ้านที่ถูกน้ำท่วมสูงถึงหลังคา บางคนต้องย้ายมาใช้ชีวิตอยู่บนหลังคาบ้าน ซึ่งเป็นส่วนเดียวที่ยังไม่ถูกน้ำท่วม การเข้าให้ความช่วยเหลือเป็นไปอย่างยากลำบากตลอดทั้งกลางวันต่อเนื่องไปถึงกลางคืน เพราะน้ำสูง แรง ไหลเชี่ยว ในระหว่างที่ฝนยังคงตกลงมาเพิ่ม

อ.แม่สาย เป็นพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมมาถึง 8 ครั้งแล้ว ถ้านับเฉพาะในปี 2567 นี้ จึงมาพร้อมคำถามใหญ่ว่า อ.แม่สาย หรือ จ.เชียงราย มีระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพในพื้นที่นี้หรือไม่ ในเมื่อเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยจากน้ำป่า เกิดน้ำท่วมซ้ำซากบ่อยๆ ทำไมประชาชนจึงยังคงได้รับความสูญเสียอย่างหนัก ทั้งที่มีการแจ้งเตือนพายุล่วงหน้าหลายวัน

“กรมอุตุฯ บอกว่า เราสามารถพยากรณ์ฝนล่วงหน้า 7 วัน ได้แม่นยำถึงประมาณ 90% แล้ว แต่ถ้าเป็นการพยากรณ์ล่วงหน้า 3 วัน เราจะมีความแม่นยำถึงเกือบ 100% เต็ม ... ส่วนข้อมูลการไหลของน้ำ ความแรง เส้นทาง เราก็มีหน่วยงานที่จัดทำข้อมูลอย่างละเอียด คือ ‘สทนช.’ (สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ) ดังนั้น เรามีทั้งข้อมูลฝนที่จะตกหนักแน่ เรารู้เส้นทางน้ำ รู้ปริมาณน้ำในแหล่งน้ำต่างๆ แต่กลับไม่มีใครบอกให้คนแม่สายทำอะไร ... คำถามคือ การเตือนภัย เป็นหน้าที่ของใครกันแน่?”

‘ไมตรี จงไกรจักร์’ ผู้จัดการมูลนิธิชุมชนไท และอดีตผู้ประสานงานเครือข่ายผู้ประสบภัยสึนามิ ตั้งคำถามดังๆ ไปถึง ‘ระบบเตือนภัย’ ของประเทศไทย ซึ่งดูเหมือนเป็น ‘หน้าที่’ ที่ยังไม่มีหน่วยงานใดรับผิดชอบอย่างชัดเจนเต็มตัว จนทำให้เกิดความสูญเสียมากกว่าที่ควรทุกครั้งเมื่อเกิดภัยพิบัติ

“ในมุมผม ควรเป็นหน้าที่ของศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ซึ่งปัจจุบันกลายไปเป็นหน่วยงานหนึ่งในกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ไปอยู่ในความดูแลของกระทรวงมหาดไทย”

“ผมคิดว่า การเตือนภัยควรมี 2 ระบบ ระบบแรก คือ การเตือนล่วงหน้า 3 วัน ซึ่งศูนย์เตือนภัยฯ สามารถใช้ข้อมูลฝน ข้อมูลน้ำ ปริมาณน้ำในแหล่งน้ำต่างๆ หรือขอข้อมูลจาก สทนช. มาทำการเตือนภัยได้เอง ... ระบบที่ 2 ในกรณีเร่งด่วนต้องเตือนภัยภายใน 24 ชั่วโมง ศูนย์เตือนภัยฯ ควรมีอำนาจไปขอให้ กสทช.ใช้วิธีบูรณาการความร่วมมือกับสื่อสารมวลชน และผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ ออกประกาศแจ้งเตือนไปยังสื่อต่างๆ ทุกแพลตฟอร์ม รวมถึงต้องส่งข้อความตรงไปถึงโทรศัพท์ของคนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงได้เลย ... แต่ที่ทำอยู่ในปัจจุบันนี้ เป็นการส่งคำเตือนไปให้กับผู้บริหารส่วนราชการที่มีอำนาจตัดสินใจเท่านั้น”

“เราต้องเปลี่ยนใหม่ ต้องส่งข้อมูลให้ประชาชนโดยตรง”

ในฐานะอดีตผู้ประสบภัยสึนามิ ทำให้ไมตรี มีความสนใจต่อการแนวทางจัดการภัยพิบัติในรูปแบบที่ต้องให้ชุมชนในพื้นที่เสี่ยงจัดการตัวเอง ก่อนหน้านี้เขาจึงได้จัดทำข้อมูลชุมชนเสี่ยงภัยพิบัติทั่วประเทศไทย และพบว่ามีมากถึง 4 หมื่นชุมชน ในขณะที่ภาครัฐจัดสรรงบประมาณมาสร้างความรู้ให้ชุมชนได้เพียงปีละ 10-20 ชุมชน ในงบประมาณแห่งละ 2 หมื่นบาทเท่านั้น

“เขามักจะอ้างว่า ที่ไม่รายงานข้อมูลภัยพิบัติตรงไปที่ประชาชน เพราะกลัวจะเกิดความตื่นตระหนก เกิดความวุ่นวายในการอพยพ แต่แท้จริงแล้วนั่นสะท้อนให้เห็นว่า เป็นเพราะรัฐเองไม่สามารถสร้างความไว้วางใจให้ประชาชนได้ เพราะการส่งข้อมูลภัยพิบัติที่แม่นยำ แม้จะหยุดภัยพิบัติไม่ได้ แต่จะช่วยลดมูลค่าความสูญเสียลงไปได้มาก ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องบอกให้ได้ด้วยว่า เมื่อประชาชนในพื้นที่เสี่ยงเห็นข้อมูลแบบนี้แล้ว จะต้องปฏิบัติตัวอย่างไร ไปหาใคร ไปที่ไหน ไม่ใช่แค่การแจ้งเตือนรวมๆ กว้างๆ ให้ไปคิดเอาเอง”

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ อ.แม่สาย ผู้จัดการมูลนิธิชุมชนไท ระบุว่า เป็นลักษณะเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีกในปีนี้กับหลายพื้นที่ เพราะเป็นปีที่ประเทศไทยมีฝนมาก ดังนั้น รัฐบาลชุดใหม่จึงไม่ควรนิ่งนอนใจ และควรเร่งประกาศเป็นนโยบาย ซึ่งมีข้อเสนอดังนี้

(1) ข้อมูลภัยพิบัติต้องเป็นข้อมูลเปิดที่ประชาชนเข้าถึงได้ ต้องมีนโยบายบูรณาการข้อมูลของหน่วยราชการ เพื่อสร้างช่องทางสื่อสารตรงไปถึงประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย ไม่ควรส่งข้อมูลให้เฉพาะผู้มีอำนาจไม่กี่คนเท่านั้น

(2) ต้องมีนโยบายส่งเสริมให้ท้องถิ่น โดยเฉพาะชุมชนในพื้นที่เสี่ยงภัย มีความสามารถจัดการภัยพิบัติได้ด้วยตัวเอง เช่น สร้างที่พักในจุดปลอดภัย สำรวจข้อมูลประชากรกลุ่มเปราะบาง อบรมหน่วยกู้ภัยชุมชน ฯลฯ

(3) เมื่อเกิดภาวะวิกฤต จะต้องมีกลไกระดมกำลังเจ้าหน้าที่ของรัฐเขามาดูแลช่วยเหลือประชาชนได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งรวมถึงเจ้าหน้าที่จากพื้นที่ข้างเคียง ไม่ใช่ปล่อยให้กลุ่มอาสาสมัครจากภาคเอกชนกลายเป็นกำลังหลักในการกู้ภัย และยังควรแก้ไขระเบียบเพื่อให้จ่ายค่าเบี้ยเลี้ยงและค่าที่พักให้กับอาสาสมัครที่มาช่วยงานได้ด้วย ซึ่งการสร้างกลไกเหล่านี้ จะทำให้หน่วยงานรัฐสามารถสถาปนา ‘ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์’ (Incident Command System - ICS) ขึ้นมาได้ง่ายขึ้น และสามารถจัดกำลังเพื่อเข้าให้ความช่วยเหลือได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น
“อย่างที่บอกไปแล้ว เรามีชุมชนเสี่ยงภัย 4 หมื่นชุมชน รัฐจัดอบรมได้ปีละ 10-20 ชุมชน บางปีทำได้แค่ 6 ชุมชนด้วยซ้ำ ต้องใช้เวลาอีกประมาณ 100 ปี ถึงจะอบรมได้ครบทั้งหมด ดังนั้นรัฐต้องเลิกผูกขาดการจัดการภัยพิบัติ จะต้องมีนโยบายหรือกฎหมายเพื่อกระจายอำนาจการจัดการภัยพิบัติมาให้ท้องถิ่น แนวทางที่เราเห็นว่าสามารถทำได้เลย คือ การตั้งกองทุนเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติระดับตำบล โดยให้รัฐส่วนกลางสนับสนุนงบประมาณร่วมกับท้องถิ่นคนละครึ่ง สามารถนำงบประมาณไปจัดฝึกอบรม จัดทำแผนภัยพิบัติที่เหมาะกับชุมชนนั้นๆ โดยเฉพาะ หรือยังอาจใช้ตั้งโรงครัวกลางในระหว่างเกิดภัยได้ด้วย”

“ภาพที่เกิดขึ้นกับ อ.แม่สาย คือถูกน้ำท่วมซ้ำซากจนมีความเสียหายมากติดต่อกันบ่อยๆ เป็นภาพเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นกับ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ซึ่งปัจจุบันแม้จะยังถูกน้ำท่วมอยู่ แต่หลายชุมชนมีแผนจัดการเป็นของตัวเอง มีกองเรือที่ต่อกันเองด้วยลักษณะที่เหมาะกับสภาพลำน้ำ และสภาพพื้นที่สำหรับใช้กันเองในช่วงประสบภัย ทำให้ช่วยลดความสูญเสียลงไปได้มาก” 

ไมตรีกล่าวทิ้งท้าย

'แรงงาน' แจ้งข่าว!! รับสมัครคนไทยไปทำงานที่เกาหลีใต้ เน้นแรงงาน 'ภาคเกษตร-ประมง' เงินเดือนสูงสุด 6.2 หมื่นบาท

(11 ก.ย. 67) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน (กกจ.) เปิดรับสมัครคนไทยไปทำงานภาคเกษตรและประมงตามฤดูกาลในสาธารณรัฐเกาหลี จำนวน 2 ตำแหน่ง 15 อัตรา ได้แก่ คนงานเกษตรตามฤดูกาล ทำงานเพาะปลูกในไร่ และเพาะปลูกกระเทียม จำนวน 13 อัตรา เพศชาย 10 อัตรา เพศหญิง 3 อัตรา ค่าจ้าง 2,060,740 วอนต่อเดือน ประมาณ 52,343 บาท

คนงานประมงตามฤดูกาล ทำงานเพาะเลี้ยงพืชทะเล และเพาะเลี้ยงสาหร่าย จำนวน 2 อัตรา เพศชาย ค่าจ้าง 2,473,000 วอน หรือประมาณ 62,814 บาท (อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 4 กันยายน 2567 : 1 วอน เท่ากับ 0.0254 บาท) มีระยะเวลาการจ้างงาน 5 เดือน และสามารถขยายระยะเวลาเพิ่มได้อีก 3 เดือน ผู้สนใจสามารถสมัครทางเว็บไซต์ toea.doe.go.th

โดยลงทะเบียนระบบอิเล็กทรอนิกส์การบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ กรอกข้อมูลเพื่อลงทะเบียนคนหางาน และดำเนินการสมัครไปทำงาน โดยเลือกหัวข้อ ‘สมัครไปทำงานโดยรัฐจัดส่ง’ และเลือกรายการ ‘การรับสมัครคนหางานเพื่อไปทำงานภาคประมงตามฤดูกาลในอำเภอโคฮึง จังหวัดชอลลานัม สาธารณรัฐเกาหลี’ ภายในวันที่ 11-13 กันยายน 2567 ตลอด 24 ชั่วโมง

“กระทรวงแรงงาน สนับสนุนให้คนไทยเดินทางไปทำงานต่างประเทศอย่างถูกต้องตามกฎหมายมาโดยตลอด เพราะนอกจากทำให้แรงงานไทยมีโอกาสทางอาชีพ มีรายได้เพิ่มขึ้น สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตตนเองและครอบครัวได้แล้ว เม็ดเงินที่ได้รับยังถูกส่งกลับมาหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ส่งผลต่อการเจริญเติบโตและยั่งยืนของประเทศไทยต่อไป แรงงานไทยที่เดินทางไปทำงานด้วยวีซ่า E-8 ไม่ต้องทดสอบทักษะภาษาเกาหลี และผู้ที่เคยเดินทางไปทำงานแล้วยังสามารถไปซ้ำได้ในปีถัดไป เงื่อนไขนี้จะเปิดโอกาสให้คนไทยเดินทางไปทำงานเกาหลีใต้ได้มากขึ้น” นายพิพัฒน์กล่าว

ด้าน นายสมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า สำหรับวิธีการคัดเลือกในครั้งนี้กรมการจัดหางานจะคัดเลือกคนหางานโดยการคัดเลือกจากใบสมัครและสัมภาษณ์ออนไลน์ หากผ่านการคัดเลือก จะส่งเอกสารให้อำเภอโคฮึงยื่นขอวีซ่าที่สาธารณรัฐเกาหลี

โดยผู้สมัครต้องมีอายุระหว่าง 25-39 ปี เป็นแรงงานเกษตร หรือประมงชาวไทย ที่อาศัยอยู่ในจังหวัดยโสธร หรือจังหวัดสตูล และต้องมีประสบการณ์ด้านการเกษตรหรือประมงไม่น้อยกว่า 1 ปี มีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ไม่เป็นโรคติดต่อ เช่น วัณโรค ซิฟิลิส หรือเป็นผู้ติดยาเสพติด ไม่มีภาวะตาบอดสี ไม่มีประวัติอาชญากรรม หรือมีประวัติเข้าเมืองและพำนักผิดกฎหมายในสาธารณรัฐเกาหลี ไม่เป็นคนที่ให้กำเนิดบุตรไม่เกิน 1 ปี หรืออยู่ระหว่างการตั้งครรภ์ ไม่เป็นบุคคลที่ถูกห้ามเดินทางเข้าสาธารณรัฐเกาหลี

“การรับสมัครเพื่อไปทำงานภาคเกษตรหรือประมงตามฤดูกาล ในอำเภอโคฮึง จังหวัดซอลลานัม สาธารณรัฐเกาหลี เป็นการจัดส่งไปทำงานโดยวิธีรัฐจัดส่งเท่านั้น คนหางานไม่ต้องสอบภาษาเกาหลี ไม่ต้องเสียค่าบริการใด ๆ ทั้งสิ้น ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกให้ไปทำงานจ่ายเพียงค่าใช้จ่ายที่จำเป็น ได้แก่ ค่าทำหนังสือเดินทาง (กรณียังไม่มี) ค่าตรวจสุขภาพและตรวจสารเสพติด ค่าตรวจประวัติอาชญากรรม ค่าเดินทางไปสนามบิน ค่าโดยสารเครื่องบินไป-กลับ ค่าประกันการเดินทาง และค่าสมัครสมาชิกกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงาน รวมค่าใช้จ่ายประมาณ 35,000 บาท

หากมีผู้แอบอ้างว่าสามารถช่วยเหลือในการจัดหาและส่งแรงงานภาคเกษตรหรือประมงตามฤดูกาลไปทำงานในสาธารณรัฐเกาหลีได้ โปรดอย่าหลงเชื่อ ขอให้แจ้งและตรวจสอบข้อมูลกับกรมการจัดหางานก่อน” นายสมชายกล่าวและว่า

หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ ทางโทรศัพท์หมายเลข 0-2245-1034 หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร 1694

สตูล ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 3 / ผู้อำนวยการ ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 3 ได้เดินทางมาตรวจเยี่ยมหน่วยงานของกองทัพเรือบนเกาะต่างๆในจังหวัดสตูล

(11 ก.ย. 67) พลเรือโท สุชาติ ธรรมพิทักษ์เวช ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 3 / ผู้อำนวยการ ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 3 ได้เดินทางมาตรวจเยี่ยมหน่วยงานของกองทัพเรือในพื้นที่เกาะจังหวัดสตูลโดยมี นาวาโท ธนภูมิ ประทีป ผู้บังคับหน่วยปฏิบัติการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่งที่ 452 หัวหน้าสถานีตรวจการณ์ทางทะเลเกาะปูยูและหัวหน้าตรวจการณ์ทางทะเลเกาะยาวพร้อมกำลังพลให้การต้อนรับที่เกาะปูยู โดยได้รับการสนับสนุนเรือรับ-ส่งกำลังพลในการให้การต้อนรับจาก หน่วยงานศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลโดย นาวาเอก แสนไทย์ บัวเนียม และต่อมา นาวาโทน้ำน่าน  บุนนาค ผู้บังคับหน่วยปฏิบัติการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่งที่491ร่วมให้การต้อนรับพร้อมทั้งกำลังพล ที่เกาะหลีเป๊ะ

ทั้งนี้เพื่อติดตามผลการปฏิบัติงานในห้วงที่ผ่านมา และรับทราบปัญหาอุปสรรคข้อขัดข้องของหน่วยต่างๆ ตลอดจนเยี่ยมบำรุงขวัญเพื่อสร้างกำลังใจให้กับกำลังพลในการปฏิบัติงานเพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล และตรวจความพร้อมของกำลังพลและยุทโธปกรณ์เพื่อให้หน่วยต่างๆ ในทัพเรือภาคที่ 3 ทั้งพื้นที่ฝั่งและในพื้นที่เกาะต่างๆ ให้มีความพร้อมในการป้องกันประเทศและช่วยเหลือพี่น้องประชาชนครอบคลุมทั้ง 6 จังหวัด ของฝั่งทะเลอันดามันจากภัยต่างๆ โดยเฉพาะภัยจากธรรมชาตินับวันจะมีความรุนแรง และเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนมิอาจจะทันตั้งตัว ดังนั้น หน่วยต่างๆ ของทัพเรือภาคที่ 3 และหน่วยงานศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลในพื้นที่จังหวัดสตูลจะต้องมีความพร้อม และตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้สามารถช่วยเหลือพี่น้องประชาชนได้ทันท่วงที และช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนให้ได้มากที่สุด

นิตยา แสงมณี // ผู้สื่อข่าวภูมิภาคประจำจังหวัดสตูล


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top