Monday, 23 June 2025
NEWS FEED

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ถวายเป็นพระราชกุศล และกิจกรรมจิตอาสาพระราชทาน เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (วันชาติและวันพ่อแห่งชาติ) เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ

(4 ธ.ค.67) เวลา 07.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานพิธีเจริญพระพุทธมนต์ถวายเป็นพระราชกุศล พิธีทำบุญตักบาตร และพิธีถวายราชสักการะ ถวายราชสดุดี และน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (วันชาติและวันพ่อแห่งชาติ) 5 ธันวาคม 2567 โดยมี คุณกนกวรรณ พันธุ์เพ็ชร์ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ พร้อมด้วยข้าราชการตำรวจระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้แทนจากหน่วยงานในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้แทนสมาคมแม่บ้านตำรวจ ร่วมพิธี 

โอกาสนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้จัดพิธีต่าง ๆ ณ อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้แก่ พิธีเจริญพระพุทธมนต์ ถวายเป็นพระราชกุศล ณ ห้องสารสิน , พิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ อุทิศถวายเป็นพระราชกุศล ณ ห้องศรียานนท์ , พิธีถวายราชสักการะ ถวายราชสดุดี น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ ณ ห้องโถง ชั้น 1 

จากนั้น เวลา 10.00 น. ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเดินทางไปเป็นประธานเปิดกิจกรรมจิตอาสาพระราชทาน เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร “วันพ่อแห่งชาติ” ประจำปี 2567 ณ บ้านมนังคศิลา เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร โดยมี คุณกนกวรรณ พันธุ์เพ็ชร์ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ พร้อมด้วยข้าราชการตำรวจระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้แทนจากหน่วยงานในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้แทนสมาคมแม่บ้านตำรวจ ร่วมกิจกรรม

กิจกรรมจิตอาสาครั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติมอบหมายให้กองบัญชาการตำรวจนครบาลเป็นหน่วยงานรับผิดชอบ โดยได้ประสานหน่วยงานต่าง ๆ ร่วมกิจกรรม ได้แก่ สำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจ , กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน , กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี, กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง , กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด , กองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ , กองบังคับการตำรวจจราจร , กองสวัสดิการ , โรงพยาบาลตำรวจ , กระทรวงแรงงาน , กระทรวงสาธารณสุข , กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ , กระทรวงศึกษาธิการ , กรมประชาสัมพันธ์ , กรมทางหลวง , กรุงเทพมหานคร , การไฟฟ้านครหลวง , การประปานครหลวง , มณฑลทหารบกที่ 11 , สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา , บริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด , บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) , บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด และมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์

สำหรับกิจกรรมจิตอาสาพระราชทานครั้งนี้ มีกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย เช่น การจัดนิทรรศการประชาสัมพันธ์สถาบันพระมหากษัตริย์ มอบถุงพระราชทาน โรงครัวพระราชทาน , บริการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ซ่อมบำรุงรถจักรยานยนต์ , บริการซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก , บริการตัดผม , กิจกรรมฝึกสอนอาชีพเสริม , การออกหน่วยบริการทางการแพทย์จากโรงพยาบาลตำรวจ , บริการตรวจสุขภาพและฉีดวัคซีนสัตว์เลี้ยง , การแสดงดนตรีจากวงดุริยางค์ตำรวจ และการให้ความรู้ในด้านต่าง ๆ เป็นต้น สำหรับในส่วนภูมิภาคต่างๆ ข้าราชการตำรวจในทุกพื้นที่ได้ร่วมทำกิจกรรมจิตอาสาพระราชทาน และกิจกรรมสาธารณประโยชน์เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ด้วยเช่นกัน

'พิชัย' เผย 'นายกฯ' กำชับแต่แรก ให้ดูแลสินค้าอุปโภคบริโภคภาคใต้ ห้ามขาด ห้ามแพง! เร่งจัดส่งถุงยังชีพให้ ปชช. สั่งพาณิชย์จังหวัดลุยฟื้นฟูหลังน้ำลด 

(4 ธ.ค.67) ที่สำนักงานชั่งตวงวัด กระทรวงพาณิชย์ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวภายหลัง นำกระทรวงพาณิชย์ปล่อย 'คาราวานถุงยังชีพช่วยเหลือน้ำท่วมภาคใต้' ตามข้อสั่งการของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อให้ทุกหน่วยงานช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ทันที และเตรียมมาตรการดูแลหลังน้ำลด ขณะนี้มีจังหวัดที่ประสบอุทกภัยหนัก รวมทั้งสิ้น 6 จังหวัด ได้แก่ นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี  ยะลา นราธิวาส และจังหวัดอื่นๆในภาคใต้

นายพิชัย กล่าวว่า ตามที่ท่านนายกรัฐมนตรี (นางสาวแพทองธาร ชินวัตร) ได้สั่งการให้ทุกกระทรวงช่วยเหลือประชาชนตั้งแต่ตอนที่อยู่เชียงใหม่ ตอนที่ทราบว่าน้ำท่วมภาคใต้ให้ทุกคนเร่งช่วยกัน สำหรับกระทรวงพาณิชย์ได้มีการแพ็คถุงยังชีพเพื่อส่งไปที่ภาคใต้อย่างเร่งด่วน โดยถุงยังชีพในวันนี้จะถูกส่งไปถึงสงขลาประมาณเที่ยงคืนวันนี้ และจะกระจายไปในจังหวัดภาคใต้ในช่วงเที่ยงของอีกวันนึง ส่วนมาตรการอื่นคือ ของห้ามขาดห้ามแพง ไม่ให้ประชาชนเดือดร้อนเพื่อแก้ปัญหาให้ผ่านพ้นไปได้ 

ถ้าพบว่ามีการกักตุนสินค้าหรือพบว่าราคาแพงผิดปกติให้แจ้งมาที่สายด่วน 1569 กระทรวงพาณิชย์จะรีบเข้าไปแก้ไขให้อย่างเต็มที่และหลังจากนี้ขอความร่วมมือห้างสรรพสินค้าต่างๆ ทั้งห้างค้าส่ง-ค้าปลีก สำหรับการเตรียมการในช่วงหลังน้ำลดให้มั่นใจว่าของไม่ขาด และหลังน้ำลดจะมีมาตรการฟื้นฟูจัดธงฟ้าขายสินค้าในราคาถูก โดยเฉพาะสินค้าที่จำเป็นในการทำความสะอาด ถ้าจังหวัดไหนเดือดร้อนเราจะเข้าไปดูแลอย่างแน่นอน ก่อนหน้านี้ทางภาคเหนือประสบภัยน้ำท่วมหลังน้ำลดก็มีการจัดธงฟ้าจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคราคาถูก และสินค้าทำความสะอาดบ้านเรือนที่เสียหาย เพื่อช่วยเหลือประชาชนให้กลับมาฟื้นได้ตามปกติ

“ท่านนายกได้สั่งการตั้งแต่ที่เชียงใหม่เชียงราย ทันทีที่เกิดเหตุให้ทุกหน่วยงานเร่งช่วยเหลือและฟื้นฟูดูแลประชาชน โดยกระทรวงพาณิชย์มีการตั้งศูนย์เฉพาะกิจช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมกระทรวงพาณิชย์ และร่วมมือกับภาคเอกชนจัดส่งถุงยังชีพช่วยเหลือผู้ที่ประสบภัยน้ำท่วมและภายหลังน้ำลดก็มีการจัดโครงการฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง ขอความร่วมมือห้างท้องถิ่นลดราคาสินค้าและจัดธงฟ้าจัดจำหน่ายสินค้าอุปกรณ์ซ่อมแซมที่จำเป็นในราคาถูกลดภาระค่าครองชีพในยามวิกฤต”นายพิชัย กล่าว

มท. อิ่ม ยืนยัน กระทรวงมหาดไทยพร้อมจดทะเบียนสมรสเท่าเทียม 22 ม.ค. นี้

นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ยืนยันความพร้อมของกระทรวงมหาดไทยในการเปิดให้บริการจดทะเบียนสมรสเท่าเทียมแก่ประชาชนทุกคู่สมรส โดยนายทะเบียนทั้ง 878 อำเภอทั่วประเทศ และ 50 เขตในกรุงเทพมหานคร ได้รับการอบรมและซักซ้อมการให้บริการอย่างครบถ้วน พร้อมระบบรองรับที่จัดเตรียมไว้เสร็จสมบูรณ์แล้ว

กระทรวงมหาดไทยและกรุงเทพมหานคร พร้อมในการอำนวยความสะดวกในการจดทะเบียนสมรสเท่าเทียม ตามกฎหมายฉบับใหม่ที่มีการบังคับใช้ ในวันที่ 22 มกราคม 2568 นี้ ซึ่งเป็นวันแรกของการเปิดให้บริการจดทะเบียนสมรสเท่าเทียม โดยมีการประชาสัมพันธ์อย่างแพร่หลายเพื่อให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูล

นางสาวธีรรัตน์ระบุว่า การดำเนินการครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของสังคมไทยในการส่งเสริมความเท่าเทียมและการยอมรับความหลากหลายทางเพศ ทั้งยังแสดงความยินดีกับคู่รักทุกคู่ ที่จะเริ่มต้นชีวิตคู่อย่างเท่าเทียมกัน ผ่านการจดทะเบียนสมรสตามกฎหมายฉบับใหม่นี้

"นี่คือก้าวสำคัญในเรื่องความเท่าเทียมของสังคมไทย ที่เปิดรับทุกความหลากหลาย และขออวยพรให้คู่รักทุกคู่ ที่จะมาจดทะเบียนสมรสตามกฎหมายฉบับใหม่นี้ ประสบความสุขและความสำเร็จในชีวิตคู่" นางสาวธีรรัตน์กล่าว

ทั้งนี้ ประชาชนสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานเขต ทุกเขต และที่ว่าการอำเภอทุกแห่ง ทั่วประเทศ

‘รองนายกฯ ประเสริฐ’ เผยความสำเร็จโครงการ ‘ดีอี’ จับมือ ‘Google’ ปกป้องคนไทย ด้วยฟีเจอร์ความปลอดภัยใน Google Play Protect 

เมื่อวานนี้ (3 ธ.ค.67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยผลลัพธ์โครงการความร่วมมือกับ Google ในการปกป้องคนไทยจากกลโกงออนไลน์ที่หลอกให้ติดตั้งมัลแวร์ด้วยฟีเจอร์ป้องกันกลโกงใหม่ใน Google Play Protect ที่ได้นำร่องการใช้งานในประเทศไทยในช่วงเดือนเมษายนปี 2567 ที่ผ่านมาว่า กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ให้ความสำคัญกับการรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ในระดับร้ายแรงอย่างทันท่วงที ดังนั้นกระทรวงดีอี จึงมีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับ Google ในการเสริมสร้างความปลอดภัยทางไซเบอร์ให้กับประชาชนชาวไทย ความร่วมมือครั้งนี้ได้เห็นผลลัพธ์ผ่านฟีเจอร์ Google Play Protect ที่ทำหน้าที่เป็นเหมือนเกราะป้องกันในการตรวจจับและบล็อกแอปพลิเคชันที่อาจเป็นอันตรายก่อนที่จะติดตั้งลงในอุปกรณ์ของผู้ใช้งาน เช่น แอปที่ออกแบบมาเพื่อควบคุมโทรศัพท์ หรือแอปดูดเงิน จากความเชี่ยวชาญของ Google รวมถึงความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการสร้างความตระหนักรู้และเพิ่มความปลอดภัยในการใช้เทคโนโลยี เชื่อมั่นว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันที่เข้มแข็งให้กับประชาชน พร้อมพาคนไทยก้าวสู่สังคมดิจิทัลที่ทั้งปลอดภัย ยั่งยืน และรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจในอนาคตได้อย่างมั่นคง

ทั้งนี้โครงการดังกล่าวซึ่งกระทรวงดีอีได้ร่วมกับ Google นั้นเริ่มดำเนินการร่องการใช้งานในประเทศไทยในช่วงเดือนเมษายน 2567 ที่ผ่านมา ฟีเจอร์ดังกล่าวได้ช่วยบล็อกความพยายามในการติดตั้งแอปที่มีความเสี่ยงไปแล้วกว่า 4.8 ล้านครั้งบนอุปกรณ์ Android กว่า 1 ล้านเครื่อง บล็อกแอปไปกว่า 41,000 รายการ ซึ่งรวมถึงแอปปลอมที่แอบอ้างเป็นแอปรับส่งข้อความ แอปเกม และแอปอีคอมเมิร์ซยอดนิยม 

ฟีเจอร์ความปลอดภัยใหม่ใน Google Play Protect ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยปกป้องผู้ใช้อุปกรณ์ Android จากกลลวงต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น ด้วยการบล็อกการติดตั้งแอปที่อาจมีความเสี่ยงซึ่งโหลดมาจากแหล่งที่มาที่ไม่รู้จักบนอินเทอร์เน็ต (เช่น เว็บเบราว์เซอร์ แอปรับส่งข้อความ หรือโปรแกรมจัดการไฟล์) ที่อาจใช้สิทธิ์เข้าถึงข้อมูลละเอียดอ่อน ซึ่งมักจะถูกนำไปใช้ในกลโกงทางการเงิน

ขณะที่ Eugene Liderman, Director of Android Security Strategy, Google กล่าวว่า “แม้ว่าฟีเจอร์ป้องกันกลโกงใหม่ใน Google Play Protect จะให้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ แต่เราก็ยังไม่สามารถนิ่งนอนใจได้ เนื่องจากมิจฉาชีพมีการพัฒนารูปแบบการหลอกลวงใหม่ๆ อยู่เสมอ ทำให้จำเป็นต้องมีการคุ้มครองผู้บริโภคในเชิงรุก ซึ่ง Google ก็มุ่งมั่นพัฒนาโซลูชันใหม่ๆ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ Android ทุกคนได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดีและปลอดภัย นอกจากนี้ การร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ที่สำคัญ เช่น รัฐบาลไทยและนักพัฒนาแอป ยังมีส่วนสำคัญในการสร้างระบบนิเวศของโทรศัพท์มือถือที่ปลอดภัยและทำให้ผู้ใช้ตัดสินใจได้อย่างสมเหตุสมผล ซึ่งจะช่วยเสริมความปลอดภัยบนโลกออนไลน์ให้กับทุกคน”

ด้าน แจ็คกี้ หวาง Country Director, Google ประเทศไทย ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมืออย่างต่อเนื่องระหว่าง Google กับรัฐบาลไทยในการปกป้องคนไทยจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ โดยกล่าวว่า “ดิฉันดีใจที่ได้เห็นความคืบหน้าของความร่วมมือระหว่าง Google และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในการต่อสู้กับกลลวงบนโลกออนไลน์ ท่ามกลางการระบาดของภัยการหลอกหลวงทางโทรศัพท์ในประเทศไทย เรามุ่งมั่นที่จะพัฒนาแพลตฟอร์มให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพื่อช่วยให้คนไทยพร้อมรับมือกับกลโกงรูปแบบต่างๆ ซึ่ง Google มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เพื่อรับมือกับภัยไซเบอร์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อคนไทยทั่วประเทศ”

ความมุ่งมั่นในเรื่องนี้มีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากประเทศไทยมีคดีหลอกลวงและกลโกงทางออนไลน์เพิ่มสูงขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แม้ว่าในปีที่ผ่านมาผู้คนจะตระหนักถึงกลโกงทางออนไลน์กันมากขึ้น แต่กลับพบว่า 7 ใน 10 ของผู้ใช้ออนไลน์ในประเทศไทยตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวงทางออนไลน์ ทั้งๆ ที่มีความมั่นใจว่าตนเองนั้นสามารถมองกลโกงออกและหลีกเลี่ยงได้

สำหรับกลไกการทำงานของฟีเจอร์ความปลอดภัยใหม่ใน Google Play Protect นั้น หากผู้ใช้พยายามติดตั้งแอปที่อาจมีความเสี่ยงจากแหล่งที่มาที่ไม่รู้จักบนอินเทอร์เน็ต (เช่น เว็บเบราว์เซอร์ แอปรับส่งข้อความ หรือโปรแกรมจัดการไฟล์) ที่อาจใช้สิทธิ์เข้าถึงข้อมูลละเอียดอ่อน ซึ่งมักจะถูกนำไปใช้ในกลโกงทางการเงิน Google Play Protect จะบล็อกการติดตั้งโดยอัตโนมัติ โดยจะตรวจสอบสิทธิ์ของแอปแบบเรียลไทม์ โดยเฉพาะสิทธิ์ 4 รายการนี้ ซึ่งได้แก่ การรับ SMS (RECEIVE_SMS) การอ่าน SMS (READ_SMS) การฟังการแจ้งเตือน (BIND_Notifications) และการช่วยเหลือพิเศษ (Accessibility) มิจฉาชีพมักจะใช้สิทธิ์เหล่านี้เพื่อดักจับรหัสผ่านแบบใช้ครั้งเดียว (One-time Password หรือ OTP) ที่ส่งมาทาง SMS หรือการแจ้งเตือน รวมทั้งแอบส่องเนื้อหาบนหน้าจอของผู้ใช้ เมื่อผู้ใช้พยายามติดตั้งแอปที่อาจมีความเสี่ยงจากแหล่งที่มาที่ไม่รู้จักบนอินเทอร์เน็ต และมีการขอใช้สิทธิ์เหล่านี้ Google Play Protect จะบล็อกการติดตั้งโดยอัตโนมัติ พร้อมแสดงคำอธิบายให้ผู้ใช้ทราบ

Google ยังคงยึดมั่นในพันธกิจ Leave No Thai Behind และเดินหน้าส่งเสริมศักยภาพของคนไทยด้วยการให้ความรู้และเครื่องมือที่จำเป็นเพื่อให้พวกเขาสามารถท่องโลกออนไลน์ได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย นอกจากนี้ Google ยังมุ่งมั่นที่จะสร้างระบบนิเวศออนไลน์ที่ส่งเสริมนวัตกรรมและความปลอดภัยไปพร้อมๆ กัน โดยให้ความสำคัญกับการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มุ่งเน้นความเป็นส่วนตัว มีความปลอดภัยโดยค่าเริ่มต้น และให้ผู้ใช้ควบคุมประสบการณ์การใช้งานด้วยตนเอง สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่ Google รักษาความปลอดภัยให้กับผู้คนในทุกวันได้ที่ https://safety.google 

คณะกรรมการอำนวยการจัดงานกาชาดเข้าพบนายกรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์การจัด 'งานกาชาดประจำปี 2567' วันที่ 11-22 ธันวาคม 2567 ณ สวนลุมพินี และงานกาชาดออนไลน์ www.iredcross.org

(3 ธ.ค.67) เวลา 09.30 น. ณ ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายขรรค์ ประจวบเหมาะ ผู้อำนวยการสำนักงานจัดหารายได้ สภากาชาดไทย รองประธานคณะกรรมการอำนวยการจัดงานกาชาดประจำปี 2567 พร้อมด้วย นางจันทร์ประภา วิชิตชลชัย รองผู้อำนวยการสำนักงานจัดหารายได้ สภากาชาดไทย กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการอำนวยการจัดงานกาชาดประจำปี 2567 นางสุดฤทัย เลิศเกษม อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ประธานคณะกรรมการแผนกประชาสัมพันธ์งานกาชาดประจำปี 2567 ร่วมด้วย คณะกุลบุตร-กุลธิดากาชาด เข้าพบ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์การจัดงานกาชาดประจำปี 2567 ภายใต้แนวคิด 'ทศมราชา 72 พรรษา ถวายพระพร' ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 11-22 ธันวาคม 2567 ณ สวนลุมพินี และแพลตฟอร์มงานกาชาดออนไลน์ www.iredcross.org (เวิล์ด-ไวด์-เว็บ-ดอท-ไอ-เรด-คอส-ดอท-โอ-อาร์-จี) เพื่อหารายได้โดยเสด็จพระราชกุศลบำรุงสภากาชาดไทย 

กองอำนวยการจัดงานกาชาด ได้จัดกิจกรรมเข้าพบนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี เพื่อประชาสัมพันธ์การจัดงานกาชาดประจำปี 2567 ภายใต้แนวคิด 'ทศมราชา ๗๒ พรรษา ถวายพระพร' เนื่องในโอกาสมหามงคลพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว พระบรมราชูปถัมภกสภากาชาดไทย ทรงเจริญพระชนมพรรษา 6 รอบ 72 พรรษา วันที่ 28 กรกฎาคม 2567 กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 11-22 ธันวาคม 2567 เวลา 11.00-22.00 น. ณ สวนลุมพินี และงานกาชาดออนไลน์ www.iredcross.org โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่พระมหากรุณาธิคุณและพระราชกรณียกิจขององค์พระบรมราชูปถัมภก  สภากาชาดไทย องค์สภานายิกาสภากาชาดไทย และองค์อุปนายิกาผู้อํานวยการสภากาชาดไทย รวมถึงเผยแพร่ภารกิจของสภากาชาดไทยและสร้างการมีส่วนร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา มูลนิธิสมาคม สโมสร ผู้มีอุปการคุณ และประชาชนทั่วไป และเพื่อหารายได้โดยเสด็จพระราชกุศลบํารุงสภากาชาดไทย ในการบรรเทาทุกข์ บำรุงสุข บำบัดโรค กำจัดภัยแก่ประชาชนผู้ยากไร้ ผู้ด้อยโอกาส และผู้ประสบภัยพิบัติ

ในการนี้ นางจันทร์ประภา วิชิตชลชัย รองผู้อำนวยการสำนักงานจัดหารายได้ สภากาชาดไทย กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการการอำนวยการจัดงานกาชาดประจำปี 2567 นำเสนอการจัดงานกาชาดประจำปี 2567 ในรูปแบบ พรีเซนเทชันบนจอทัชสกรีน ทั้งกิจกรรมออนกราวน์ ณ สวนลุมพินี และกิจกรรมงานกาชาดออนไลน์ www.iredcross.org พร้อมกันนี้เชิญชวนให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ร่วมอุดหนุนสลากบำรุงสภากาชาดไทยออนไลน์ของร้านสำนักงานจัดหารายได้ ซึ่งจำหน่ายในราคาพิเศษราคาใบละ 95 บาท ถึงวันที่ 10 ธันวาคมนี้ และจะจำหน่ายในราคาปกติ 100 บาท ตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม 2567 ไปจนถึงวันที่ 22 ธันวาคม 2567 เวลา 14.00 น. และในวันเดียวกัน เวลา 15.00 น. เป็นต้นไป ร่วมลุ้นประกาศผลรางวัลสลากบำรุงสภากาชาดไทย จากนั้นนำชมตัวอย่างเสื้อและกางเกงงานกาชาดที่จะมีจำหน่ายเฉพาะในงานกาชาดเท่านั้น และสินค้าจากร้านโครงการส่วนพระองค์ ผักดองจากร้านอุปนายิกา 

การจัดงานกาชาดประจำปี 2567 ได้จัดให้มีกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ เพื่อน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีต่อสภากาชาดไทยและพสกนิกรทุกหมู่เหล่า อาทิ การแสดงพิธีเปิดงานกาชาดประจำปี 2567 ชุด “ทศมราชา ๗๒ พรรษา มหามงคลสมโภช” ในวันพุธที่ 11 ธันวาคม 2567 เวลา 17.00 น. ณ สวนลุมพินี, การแสดงประดับไฟ “แสงแห่งพระบารมี”, จัดแสดงว่าวเฉลิมพระเกียรติ-โคมถวายพระพร, การแสดงน้ำพุประกอบดนตรีเฉลิมพระเกียรติ และเชิญชวนหน่วยงานที่ร่วมออกร้านในงานกาชาดและประชาชนที่มาชมงานได้ร่วมกิจกรรมจุดเทียนถวายพระพรในวันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม 2567 ณ เวทีกลาง สวนลุมพินี โดยพร้อมเพรียงกัน

ด้านกิจกรรมรื่นเริงเปี่ยมสุข ทั้งการเสี่ยงโชคชิงรางวัลในรูปแบบต่างๆ ตักไข่ สอยดาว ลุ้นรางวัลกับสลากบำรุงสภากาชาดไทย การจำหน่ายสินค้าจากโครงการส่วนพระองค์ สินค้าจากเหล่ากาชาดจังหวัด รวมถึงสินค้าคุณภาพดีราคาประหยัดจากหน่วยงานที่มาร่วมออกร้านกว่า 200 หน่วยงาน การบริการรับปรึกษาสุขภาพฟรี การรับบริจาคโลหิต บริจาคดวงตา และบริจาคอวัยวะ การจำหน่ายยาจุฬาโอสถ การจำหน่ายอาหารเมนูดังจากร้านค้าต่าง ๆ ที่ร่วมออกร้านในงานกาชาดกว่า 100 ร้านค้า รับชมการแสดงแสงสีเสียงจากศิลปิน ดารา นักแสดง การแสดงศิลปวัฒนธรรม ณ เวทีกลาง การแสดงดนตรีเปิดหมวกจากนักเรียนนักศึกษาเยาวชนคนรุ่นใหม่ ชมแฟชั่นโชว์ผ้าไทยในสวนในวันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม 2567 เวลา 17.00 น. ณ บริเวณหน้าห้องสมุดประชาชน สวนลุมพินี และการจำหน่ายเสื้อและกางเกงงานกาชาด กระเป๋าผ้าที่ระลึกสภากาชาดไทย นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมสุดครื้นเครงในแต่ละวันอีกมากมายให้รอติดตาม 

ด้านกิจกรรมงานกาชาดออนไลน์ www.iredcross.org พบกับ Map งานกาชาดในรูปแบบ Fantasy art Style กับ 3 กิจกรรมเฉลิมพระเกียรติบนเกาะลอยฟ้า และ 13 กิจกรรมสุดแสนหรรษาบนเกาะงานกาชาดออนไลน์ อาทิ โดรน–โคมถวายพระพร ม่านน้ำพุ ขบวนพาเหรดน้องไอจังสุดน่ารัก กิจกรรมแข่งว่าวกาชาดที่ทุกคนรอคอย กิจกรรมบ้านผีสิงสุดหลอนร่วมกับ The Ghost Radio และเอาใจสายมูด้วยบริการทำนายดวงชะตาออนไลน์กับนักพยากรณ์ตัวจริง ตามด้วยการซื้อสลากบำรุงสภากาชาดไทยออนไลน์ และเลือกซื้อสินค้าราคาพิเศษจากร้านค้ามากมายได้ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมผุดกิจกรรมใหม่สุดเพลิดเพลินเลี้ยงน้องไอจังใน iJung wonderland

มาร่วมสัมผัสมนต์เสน่ห์อัตลักษณ์งานกาชาดมหรสพรื่นเริงการกุศลแห่งปี ระหว่างวันที่ 11–22 ธันวาคม 2567 ตลอด 12 วัน 12 คืน เวลา 11.00–22.00 น. วันสุดท้ายปิดงานเวลา 23.00 น. ณ สวนลุมพินี เข้างานฟรีไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยในปีนี้ยังคงขอความร่วมมือให้ทุกท่านที่มาเที่ยวงาน เดินทางโดยรถสาธารณะเพื่อความสะดวก และใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติก คัดแยกขยะไม่เทรวม และร่วมสนุกแบบไร้ขีดจำกัดที่งานกาชาดออนไลน์ www.iredcross.org ตลอด 24 ชั่วโมง

‘ยูเนสโก’ ขึ้นทะเบียน ‘ต้มยำกุ้ง’ เป็นมรดกวัฒนธรรมฯ นับเป็นรายการที่ 5 ของไทย ที่ได้รับการรับรอง

ข่าวดีของประเทศไทย!! ‘ต้มยำกุ้ง’ ถูกประกาศขึ้นทะเบียนเป็นมรดกวัฒนธรรมฯ จากยูเนสโก เมื่อกลางดึกที่ผ่านมา นับเป็นรายการที่ 5 ของไทย ที่ได้รับการรับรองต่อจาก โขน, นวดไทย, โนราห์, และ ประเพณีสงกรานต์

(4 ธ.ค. 67) เวลา 02.00 น. เวลาในประเทศไทยที่ กรุงอะซุนซิออง สาธารณรัฐปารากวัย องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ได้มีการประชุมคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการสงวนการรักษามรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ครั้งที่ 19 (The 19th Session of the Intergovernmental Committee for the Safeguarding of the Intangible Cultural Heritage) โดยที่ประชุมได้ประกาศขึ้นทะเบียน ‘ต้มยำกุ้ง’ เป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ (The Representative List of the Intangible Cultural Heritage of Humanity) ในการประชุมฯ

โดยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวแสดงความยินดีผ่านระบบวีดิทัศน์ ว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับเกียรติในโอกาสพิเศษนี้ ในนามของรัฐบาลไทยและคนไทยทั้งประเทศ ขอขอบคุณสาธารณรัฐปารากวัยสำหรับการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมฯ ในครั้งนี้ รวมถึงคณะกรรมการฯ ที่ได้ขึ้นทะเบียนให้ 'ต้มยำกุ้ง' เป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ 

ทั้งนี้การขึ้นทะเบียน 'ต้มยำกุ้ง' ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของอนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ค.ศ. 2003 ในการสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ โดยต้มยำกุ้งของไทย เป็นเมนูอาหารเพื่อสุขภาพ มีต้นกำเนิดจากภูมิปัญญาและวิถีปฏิบัติอันประณีตของชุมชนริมน้ำในภาคกลางของไทย สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นในทุกระดับของสังคม ไม่ว่าจะเป็นในครอบครัว ชุมชน โรงเรียน และร้านอาหาร จนกลายมาเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ต้มยำกุ้งจึงเป็นเครื่องยืนยันอย่างดีถึงมรดกทางวัฒนธรรม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Soft Power ไทย โดยอาหารไทยจานนี้ยังสะท้อนถึงความเข้าใจในการใช้ชีวิตอย่างสอดคล้องร่วมกับธรรมชาติอย่างลึกซึ้งอีกด้วย ทั้งการใช้สมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ การเพาะเลี้ยงกุ้งน้ำจืด การอนุรักษ์น้ำ ดิน และอากาศ การคัดเลือกและเตรียมวัตถุดิบอย่างพิถีพิถัน และท้ายสุดคือศิลปะการปรุงอาหารไทยที่ผสมผสานรสชาติ และคุณค่าทางโภชนาการอย่างลงตัว

นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า ความรู้และแนวปฏิบัติเหล่านี้ไม่เพียงช่วยสร้างความมั่นคงด้านอาหาร สุขภาพและความอยู่ดีกินดีของประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังช่วยพัฒนาเศรษฐกิจโดยรวม ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม และความสมานฉันท์ในสังคมอีกด้วย ประเทศไทยจึงมุ่งมั่นในการสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม (Intangible Cultural Heritage – ICH) ทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และระดับนานาชาติอย่างเต็มที่ และพร้อมร่วมมือกับทุกประเทศเพื่อรักษา (safeguard) ICH ในฐานะทรัพยากรเพื่อการพัฒนาที่ครอบคลุมและยั่งยืนในทั้ง 3 ด้าน - เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ยังได้เชิญชวน ลิ้มลองต้มยำกุ้ง ที่ร้านอาหารไทยทั่วโลก หรือค้นหาสูตรอาหารออนไลน์เพื่อทดลองทำต้มยำกุ้งเองที่บ้าน และร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางอันแสนอร่อยและเต็มไปด้วยรสชาตินี้ด้วยกัน

แน่นอนว่า การขึ้นทะเบียนต้มยำกุ้งในครั้งนี้ทำให้ประเทศไทยได้รับความสนใจมากยิ่งขึ้น ในฐานะประเทศที่มากด้วยประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ประเพณีและอาหารที่มีทั้งสตรีทฟู้ด อาหารนานาชนิดที่ขึ้นชื่อจนทำให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาประเทศไทย หรือแม้แต่คนในต่างประเทศที่มีร้านอาหารไทยอยู่ในเมนูอันดับแรก ๆ ที่มักจะสั่งก็คือต้มยำกุ้งของไทย ซึ่งถือเป็นการสร้างมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์เมดอินไทยแลนด์ได้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาประเทศไทย มีรายการมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติจากยูเนสโกมาแล้ว 4 รายการ คือ  โขน/ นวดไทย/ โนราห์ และ ประเพณีสงกรานต์ในประเทศไทย โดย ต้มยำกุ้ง ถือเป็นรายการที่ 5 ของไทย ที่ได้รับการรับรอง

นอกจากนี้ ยังมีประกาศขึ้นทะเบียน ‘ชุดเคบาย่า’ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ซึ่งเป็นรายการที่เสนอร่วม 5 ประเทศ คือ บรูไน อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และไทย

‘แสนชัย’ ของขึ้น! โพสต์ฟาดกลับเกรียนคีย์บอร์ด หลังโดนคอมเมนต์ด้อยค่าหาว่า ‘ชกแต่กับหมู’

วันที่ (3 พ.ย. 67) แสนชัย พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม ยอดนักมวยไทย โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวถึงเกรียนคีย์บอร์ดที่คอมเมนต์ด้อยค่าการชกมวยในปัจจุบันของเจ้าตัว ว่า ขออนุญาตอธิบายในพื้นที่ของผมนิดนะครับ

ขอบคุณสำหรับการติชม แต่ผมก็ต้องชกเลี้ยงครอบครัวผม ไม่ชอบดูก็แค่เลื่อนผ่าน แค่นั้นเองนะครับ ด้วยความเคารพ

ผมอายุ44แล้ว ไม่ต้องบอกผมว่าถ้าเก่งจริงให้ไปชกรายการนั้น รายการนี้หรอก มันขึ้นอยู่กับมุมมองของคุณ ว่าคุณจะมองผมแบบไหน จะมองว่าเก่งหรือไม่เก่ง มันก็ขึ้นอยู่ที่มุมมองของคุณ ผมจะไม่พิสูจน์อะไรแล้ว แค่งานสัมมนาเผยแพร่มวยไทยผมก็เต็มทุกเดือนแล้ว!!!

พร้อมตอบคนที่เข้ามาคอมเมนต์ว่า 
1“คนไทย(บางคน)บอกว่า “ผมชกแต่หมูชกกับเด็กอนุบาลใครก็ชกเหมือนผมได้!!
ตอบ(1)แต่ฝรั่งถามผมว่าคุณชกและทำได้อย่างไรฉันอยากทำได้เหมือนคุณ!!

2.คนไทย(บางคน)บอกว่า “ชกแบบนี้ไม่มีใครอยากดู 
ตอบ(2)แต่ฝรั่งบอกผมว่า ฉันอยากดูและอยากเรียนรู้กับคุณ ช่วยมาสอนฉันที่ประเทศฉันได้ไหมโดยที่ฝรั่งเขาไม่สนว่าผมจะชกกับใคร!! 

นั่นล่ะทำไมผมถึงมีสัมมนาในหลายประเทศ
#คนจะรักชกที่ไหนเขาก็รัก #รักในสไตล์การชกของเรา จบนะ

มินิ วปอ. สนับสนุนกิจกรรมการกุศลงานกาชาดประจำปี 2567

เมื่อวานนี้ (2 ธ.ค.67) คณะตัวแทนนักศึกษาหลักสูตร วปอ.บอ. รุ่นที่ 1 หรือที่รู้จักในนาม มินิ วปอ. นำโดย นางสาวณัฐธิดา เทพสุทิน (ที่ 4 จากกลาง) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี  (กลาง) และนางชนิดา คล้ายพันธ์ หัวหน้าฝ่ายนโยบายสาธารณะ บริษัท ติ๊กต๊อก เทคโนโลยีส์ จำกัด (กลางซ้าย) นำสิ่งของมูลค่า 185,000 บาท มอบให้กับสมาคมแม่บ้านกองบัญชาการกองทัพไทย ณ สมาคมแม่บ้านกองบัญชาการกองทัพไทย โดยการมอบมีนางปัญญดา หนุนภักดี นายกสมาคมแม่บ้านกองบัญชาการกองทัพไทย (กลางขวา) ให้เกียรติเป็นตัวแทนสมาคมฯ รับมอบสิ่งของ เพื่อนำไปสนับสนุนกิจกรรมการกุศลงานกาชาดประจําปี 2567 ที่จะมีการจัดขึ้นทั้งหมด 12 วัน 12 คืน ตั้งแต่วันที่ 11-22 ธันวาคม 2567

สิ่งของที่ คณะตัวแทนนักศึกษาหลักสูตร วปอ.บอ. รุ่นที่ 1 นำมามอบมีหลากหลาย เช่น จักรยานจาก ดร.ณัฐนัย อนันตรัมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม จำกัด (มหาชน), ปลากระป๋อง จากนางสาววรรณศิริ เหล่าศิริชน กรรมการบริหารบริษัทซี เวลท์ โฟรเซ่น ฟู้ด จำกัด อีกทั้ง เครื่องใช้ไฟฟ้า จากนายพสุ ลิปตพัลลภและนาย สกลกรย์ สระกวี บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด เป็นต้น

‘พีระพันธุ์’ ติดตามสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ใกล้ชิด เร่งหน่วยงานในกำกับดูแล ก.พลังงาน เข้าช่วยเหลือประชาชน

(3 ธ.ค. 67) ‘พีระพันธุ์’ ติดตามสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ใกล้ชิด สั่งการหน่วยงานในกำกับดูแลของ ก.พลังงาน เร่งช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบเหตุอุทกภัย พร้อมจับมือ ก.อุตสาหกรรม ตั้งศูนย์บรรเทาทุกข์

จากสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ในหลายจังหวัดภาคใต้ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่ากระทรวงพลังงาน ได้มอบหมายให้หน่วยงานในกำกับดูแลของกระทรวงพลังงานเร่งดูแลช่วยเหลือประชาชน พร้อมติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยนายพีระพันธุ์ ได้เปิดเผยในวันนี้ (2 ธันวาคม 2567) ว่า ที่ผ่านมาทางกระทรวงพลังงานไม่ได้นิ่งนอนใจ และได้ประสานงานให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในด้านต่าง ๆ กับทาง อบต. และส่วนราชการในพื้นที่มาตลอด โดยเฉพาะในเรื่องการขาดแคลนน้ำมันและก๊าซ ซึ่งทางกระทรวงพลังงานได้ประสานงานให้ทาง ปตท. และ โออาร์ ซึ่งรับผิดชอบงานในส่วนนี้ เข้าไปประสานงานให้ความช่วยเหลือมาอย่างต่อเนื่อง

นายพีระพันธุ์กล่าวว่า ล่าสุด ตนได้รับรายงานว่าสถานการณ์ในภาพรวมดีขึ้น เช่น ปั๊มน้ำมันต่าง ๆ ก็กลับมาเปิดให้บริการได้จํานวนมากพอสมควรแล้ว ขณะที่การขนส่งน้ำมัน ก๊าซ ก็สามารถดำเนินการได้อย่างเรียบร้อย ไม่มีปัญหาอะไร และตนยังได้กําชับให้ทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตตรวจสอบสถานการณ์ต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องของการผลิต และการส่งไฟฟ้าไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ด้วย

นอกจากนั้น ในกลุ่มของ ปตท. ปตท.สผ. และ โออาร์ ยังได้ร่วมกันมอบถุงยังชีพต่าง ๆ ให้กับพี่น้องประชาชนและส่วนราชการต่าง ๆ โดยเฉพาะ โออาร์ ได้มอบแก๊สหุงต้ม 100 ถัง ให้กับโรงครัวพระราชทานที่จังหวัดสงขลาเพื่อประกอบอาหารดูแลพี่น้องประชาชน ขณะที่ โรงไฟฟ้าจะนะ จ. สงขลา ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต ก็ได้จัดหาอาหารดูแลพี่น้องประชาชนผู้ประสบภัยพิบัติที่อยู่รอบโรงไฟฟ้าเช่นกัน

นายพีระพันธุ์กล่าวเพิ่มเติมว่า ในวันที่ 3 ธันวาคม 2567 กระทรวงพลังงานกับกระทรวงอุตสาหกรรมจะร่วมกันดำเนินการจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมเขต 7 ที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เพื่อช่วยบรรเทาทุกข์พี่น้องประชาชนผู้ประสบภัยจากสถานการณ์น้ำท่วมในครั้งนี้

“ทางกระทรวงพลังงานจะพยายามดูแลว่า เราจะสามารถดําเนินการอะไรได้มากขึ้น เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วม และขอเป็นกําลังใจให้กับพี่น้องประชาชนทุกท่านที่กำลังประสบเหตุอยู่ในขณะนี้ด้วย ซึ่งผมจะรายงานความก้าวหน้าให้ทราบต่อไปครับ” นายพีระพันธุ์ กล่าว

เวทีประชาธิปัตย์เดโมแครต ฟอรั่มแนะรัฐขจัดการผูกขาดลดทุจริตเป็นวาระเร่งด่วนแห่งชาติ ปชป.เสนอ7นโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจเพิ่มศักยภาพประเทศลดเหลื่อมล้ำแก้จน

(2 ธ.ค. 67) ในการจัดเสวนา เดโมแครต ฟอรั่ม (Democrat Forum) ครั้งที่ 3 ในหัวข้อ “ขจัดการผูกขาด: ปฏิรูปเศรษฐกิจลดเหลื่อมล้ำแก้จน” ที่พรรคประชาธิปัตย์วันนี้เป็นการนำเสนอแนวทางในการขจัดการผูกขาดเพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ผ่านการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจและการพัฒนาที่ยั่งยืนโดยมีผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์จากหลายหน่วยงาน อาทิ ศ. ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายนริศ ขำนุรักษ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และอดีตรมช.มหาดไทย ดร.มานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) ผศ. ดร. พรเทพ เบญญาอภิกุล ผู้อำนวยการโครงการเศรษฐศาสตร์บัณฑิต หลักสูตรนานาชาติ รศ. ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตสมาชิกวุฒิสภา และสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ มาร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มีนายพลีธรรม ตริยะเกษมทำหน้าที่พิธีกร

นายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคประชาธิปัตย์ ได้เป็นตัวแทนหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน)เป็นประธานเปิดงานและกล่าวปาฐกถาพิเศษว่าการผูกขาดทางเศรษฐกิจเป็นต้นเหตุของความเหลื่อมล้ำและความยากจนของประเทศ
ตัวอย่างเช่นประเทศจีน ประธานาธิบดีสีจี้นผิงดำเนินการปราบทุจริตคอรัปชั่นอย่างเฉียบขาดและตั้งแต่ปี 2564 ได้เร่งรัดการแก้ไขปัญหาการผูกขาด และปัญหาความเหลื่อมล้ำ โดยให้เจ้าหน้าที่รัฐมุ่งต่อต้านการผูกขาดเพื่อนำไปสู่การแข่งขันที่เป็นธรรม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการบรรลุเป้าหมาย ‘ความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน’ และลดความเหลื่อมล้ำที่พุ่งสูงขึ้นมากในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาเช่นเดียวกับสหรัฐอเมริกา แม้จะเป็นประเทศมหาอำนาจทั้งทางทหารและเศรษฐกิจแต่ก็ยังเผชิญกับปัญหาความเหลื่อมล้ำ และประธานาธิบดีโจ ไบเดนถึงกับประกาศความเร่งด่วนในการแก้ปัญหาดังกล่าวเพราะคนระดับกลางหรือคนส่วนใหญ่ไม่สามารถสร้างฐานะได้เหมือนคนรุ่นก่อนหน้า ในขณะที่กลุ่มรวยสุด 1% ของอเมริกากอบโกยประโยชน์ทางเศรษฐกิจ คิดเป็น 21% ของ GDP ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 10% ของ GDP เมื่อปี 1979

ในขณะที่World Bank และ IMF ได้จัดสัมมนาประจำปี 2021 เรื่อง Taxation of the Wealthy in Developing Countries เพื่อมุ่งแก้ปัญหาความร่ำรวยสุดขั้วที่กระจุกอยู่บนยอดปิรามิด อันเป็นปัญหาร่วมที่รุนแรงมากขึ้นในหลายประเทศกำลังพัฒนา เพราะคนรวยสุด 10% ทั่วโลก ถือครองความมั่งคั่งในประเทศเฉลี่ย 60-80% แต่คนฐานะ 50% ล่างของสังคม ถือครองเพียงแค่ 5% ของความมั่งคั่ง

สำหรับสถานการณ์ในประเทศไทยพบว่า สินทรัพย์ของคนทั้งประเทศไทยมากกว่า 2ใน3กระจุกอยู่กับกลุ่มคนรวยที่มีสัดส่วนเพียง 10% ของประชากรทั้งหมด คนไทย 10% หรือประมาณ 7 ล้านคน ยังมีชีวิตอยู่ใต้เส้นความยากจน คนไทยมากกว่า 3 ใน 4 ไม่มีที่ดินของตัวเอง โฉนดที่ดิน 61% ของประเทศไทยอยู่ในมือประชากร 10%

ทำให้ไทยกลายเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำด้านความมั่งคั่งมากที่สุดในโลก และเป็นประเทศที่มีการกระจายรายได้ไม่เป็นธรรมสูงมาก อยู่ลำดับที่ 162 จาก 174 ประเทศ “กฎหมายสู้ทุนผูกขาดไม่ได้ เรามีกฎหมายหลายฉบับเกี่ยวกับการป้องกันการค้ากำไรเกินควร ป้องกันการผูกขาด ซึ่งกฎหมายป้องกันผูกขาดมีมาตั้งแต่ปี2522 และรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ได้ออกพรบ.การแข่งขันทางการค้า พ.ศ.2542 และต่อมามีการปรับปรุงเป็น ฉบับแก้ไขพ.ศ.2560 ปรากฎว่า ไม่มีแม้แต่คดีเดียว ที่เกิดข้อพิพาทนำคดีขึ้นสู่ศาล จากการแข่งขันไม่เป็นธรรม จนประเทศไทยเป็นประเทศเสรีในการผูกขาด”
นายอลงกรณ์ กล่าวอีกว่า วันนี้ ทุนผูกขาดได้เข้ามามีอิทธิพลต่ออำนาจรัฐ เข้ามามีอิทธิพลสนับสนุนพรรคการเมืองจนท้ายที่สุดลงมาเล่นการเมือง มีตำแหน่งทางการเมืองด้วย จนต้องตั้งคำถามว่าปัญหาเหล่านี้จะสามารถจบลงในรุ่นเราได้หรือไม่ ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ ไม่รับทุนสามานย์ผูกขาดทางการเมือง จึงมีการรณรงค์ให้พี่น้องประชาชนบริจาคภาษี 001 เพื่อให้เป็นพรรคการเมืองที่เป็นอิสระไม่ตกอยู่ภายใต้การครอบงำของทุนผูกขาด ทุนสามานย์ ทุนสีเทาทั้งหลาย และเป็นการบริจาคอย่างโปร่งใส เพื่อให้พรรคการเมืองนำเงินบริจาคดังกล่าวไปดำเนินกิจกรรมทางการเมืองที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนต่อไป 

นายอลงกรณ์ยังนำเสนอแนวนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ในการขจัดการผูกขาดลดความเหลื่อมล้ำประกอบไปด้วย การส่งเสริมระบบเศรษฐกิจเสรีที่เป็นธรรม การปฏิรูปเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มศักยภาพของประเทศ การลดความเหลื่อมล้ำ ปรับปรุงกฎหมายแข่งขันทางการค้า การกระจายอำนาจให้เป็นธรรมและทั่วถึง จำกัดการถือครองที่ดิน และการกำจัดคอรัปชั่นทุกรูปแบบ ดร.มานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) กล่าวว่า การผูกขาดเกิดขึ้นมานานตั้งแต่ในอดีต มีมหาเศรษฐีในประเทศไม่กี่ราย มาในยุคที่อำนาจทหารเรืองรองมีการตั้งรัฐวิสาหกิจขึ้นมามากมายถึง 140 แห่ง แม้วันนี้จะถูกแปรสภาพไปหมด แต่รัฐวิสาหกิจไทยในขณะนั้นได้ใช้ทรัพยากรของรัฐไปเป็นจำนวนมาก แต่ผลประโยชน์ไปตกอยู่กับผู้มีอำนาจและกลุ่มนายทุนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น 

“คนไทยในอดีตหากอยากรวย ถ้าไม่กอดปืนก็ต้องกอดคนมีอำนาจในขณะนั้น การกอดปืนหรือกอดอำนาจมีมาจนถึงทุกวันนี้เพียงแค่รูปแบบลดความชัดเจนลง ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมากระบอกปืนกลับมามีอำนาจจึงเห็นกลุ่มคนที่มีอำนาจไปกอดปืนอีกรอบหนึ่ง ทำให้มีคนบางกลุ่มร่ำรวยแบบก้าวกระโดด ซึ่งหากดำเนินการตรวจสอบในวันนี้จะเห็นว่าหลายกลุ่มได้งานสัมปทานของรัฐแบบผิดกฎหมาย” ดร.มานะ กล่าว 

พร้อมกับตั้งข้อสังเกตว่า ธุรกิจที่เข้าสู่การผูกขาดจะมีลักษณะดังต่อไปนี้ มีอัตราการขยายตัวของ product ต่ำ มีศักยภาพการผลิตของอุตสาหกรรมต่ำเกินความเป็นจริง มียอดการส่งออกต่ำเนื่องจากมีฐานในต่างประเทศน้อย และมีการลงทุนต่ำเกินจริงเนื่องจากมีรัฐอุดหนุนทั้งทางตรงและทางอ้อม มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตัวเองน้อย แต่จะใช้สิ่งที่มีอยู่เพื่อกอบโกยเงินของหลวงให้มากที่สุด จากปรากฏการณ์ดังกล่าวถือเป็นการทำลายศักยภาพการพัฒนาประเทศ จนเกิดเป็นกับดักทางรายได้ของประเทศ เนื่องจากผลประโยชน์ไปตกอยู่กับคนกลุ่มเดียว

ด้าน ศ. ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง คุณภาพชีวิตของคนไทยวันนี้พัฒนาต่ำลง ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันให้กับชีวิต ที่ผ่านมาจากเหตุการณ์รถบัสไฟไหม้ ไปจนถึงสะพานถล่ม ทั้งที่ลาดกระบัง และล่าสุดพระราม 2 ล้วนเป็นภัยที่เริ่มใกล้ตัวมากกว่าที่คิด วันนี้ภาคประชาชนจึงได้เสนอกฎหมายความปลอดภัยสาธารณะ เพื่อมีคนกลางเข้ามาทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพ 

“ผมอยากใช้เวทีนี้ซึ่งเป็นเวทีที่ไม่ได้ทำขึ้นเพื่อพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น แต่เป็นการทำเวทีเพื่อให้บ้านเมืองหลุดพ้นเรื่องความเหลื่อมล้ำ เรื่องคอรัปชั่น จึงอยากให้มาร่วมกันสนับสนุนพระราชบัญญัติเพื่อความปลอดภัยสาธารณะ ให้เกิน 10,000 ชื่อ เพื่อให้มีเจ้าภาพคนกลางที่จะลงไปดูติดตามรายงานตรวจสอบและป้องกัน จะได้รู้สักทีว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นเกิดจากสาเหตุอะไร” ศ. ดร.สุชัชวีร์ กล่าว  

ด้าน ผศ. ดร.พรเทพ เบญญาอภิกุล ผู้อำนวยการโครงการเศรษฐศาสตร์บัณฑิต หลักสูตรนานาชาติ ระบุว่า ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ จึงเห็นว่าการแข่งขันจะช่วยเพิ่มการจัดสรรทรัพยากร เป็นการเปลี่ยนจากตลาดผูกขาด เป็นตลาดแข่งขันจะทำให้ราคาสินค้ามีแนวโน้มถูกลง ทั้งเป็นการกระจายผลประโยชน์ ซึ่งจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมได้ 

นอกจากนี้ ผศ. ดร.พรเทพ ได้ยกตัวอย่างปัญหาการดำเนินการของ สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (สำนักงาน กขค.) ขาดการทำงานเชิงรุกเพื่อยับยั้งป้องกันหรือเยียวยาผลกระทบการกระทำอันไม่เป็นธรรมทางการค้าผู้บริโภคไม่สามารถใช้สิทธิ์ในการร้องเรียนโดยตรงได้ ทั้งยังขาดศักยภาพทางวิชาการและแรงจูงใจ ดังนั้นเพื่อการกำกับดูแลการแข่งขันของไทยให้มีประสิทธิภาพ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงบทบัญญัติของกฎหมายเกี่ยวกับการแข่งขันทางการค้า ตลอดจนพิจารณาเรื่องบทลงโทษทางอาญาด้วยเนื่องจากกระบวนการทางอาญาที่ใช้เวลานาน อีกนัยหนึ่งก็สามารถเป็นอุปสรรคในการกำกับดูแลเช่นกัน 

สำหรับ รศ. ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตสมาชิกวุฒิสภา และสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ได้ระบุว่า อำนาจกับผลประโยชน์อยู่คู่กันมาโดยตลอด และมีพัฒนาการจากเดิมที่อำนาจและประโยชน์ทางเศรษฐกิจอยู่ในกลุ่มทหาร ปัจจุบันจะเห็นว่ากลุ่มทุนได้ย้ายมาอยู่เบื้องหลังพรรคการเมือง และสื่อมวลชน นอกจากนี้ยังชี้ให้เห็นว่าไม่ได้มีแต่การผูกขาดเฉพาะทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังมีการผูกขาดทางการเมือง ไปจนถึงการผูกขาดทางทรัพยากร และลุกลามไปถึงการผูกขาดในกระบวนการยุติธรรมอีกด้วย

รศ. ดร.เจิมศักดิ์ ยังได้ตั้งคำถามถึงผู้มีอำนาจในปัจจุบันว่า เมื่อพวกเขาเติบโตมาจากการผูกขาดการค้า ก็ย่อมจะเห็นประโยชน์ของการผูกขาด เมื่อผู้นำไม่รังเกียจการผูกขาด วิธีหนึ่งที่ทำได้คือการแจกเงินคนจน ซึ่งวิธีดังกล่าวยังเป็นการตอกย้ำระบบอุปถัมภ์ในสังคมไทย จะเห็นได้ว่านอกเหนือจากเรื่องความเหลื่อมล้ำที่เกิดจากการผูกขาดโดยรัฐแล้ว ยังมีปัญหาซ้ำเติมในเรื่องความเหลื่อมล้ำ และในอนาคตอันใกล้เมื่อประเทศเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย จึงไม่ต่างจากระเบิดเวลาที่กำลังจะทำให้ประเทศเดินต่อไปไม่ได้ 

ทั้งนี้ในช่วงท้ายของการสัมมนา ยังมีการเปิดเวทีให้ผู้เข้าชมได้แสดงความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ อาทิ ดร.เพ็ญจันทร์ ล้อสีทอง นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ นายสิงห์ชัย ทุ่งทอง นายปรพล อดิเรกสาร นายราม คุรุวาณิชย์ นายเมฆินทร์เอี่ยมสอาด กก.บห.พรรคประชาธิปัตย์นางรัชฎาภรณ์ แก้วสนิทเป็นต้น 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top