Monday, 23 June 2025
NEWS FEED

'ด.ต.เสน่ห์' ตร.ไทยเข็นนทท.เมาแอ๋ส่งที่พัก เผยเข้าใจหัวอกพ่อแม่ห่วงลูกหลาน

(6 ธ.ค. 67) ตำรวจไทยกลายเป็นที่ชื่นชมในหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติ หลังคลิปวิดีโอหนึ่งเผยให้เห็นการช่วยเหลือนักท่องเที่ยวสาว 2 รายที่เมาหนักจนหมดสติบนเกาะพีพี โดยเว็บไซต์ข่าวในออสเตรเลียรายงานเหตุการณ์นี้เมื่อวันที่ 3 ธันวาคมที่ผ่านมา

ในคลิปวิดีโอเผยภาพ ด.ต.เสน่ห์ เจือละออง เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ สภ.เกาะพีพี ช่วยนักท่องเที่ยวหญิงอายุ 19 ปีจากออสเตรเลีย และ 23 ปีจากเยอรมนีที่หมดสติหลังจากดื่มหนักตลอดทั้งคืน เพื่อนนักท่องเที่ยวพยายามปลุกแต่ไม่สำเร็จ ด.ต.เสน่ห์จึงยืมรถเข็นจากร้านค้าในพื้นที่นำพวกเธอขึ้นรถและเข็นกลับไปยังที่พักอย่างระมัดระวัง เมื่อถึงโฮสเทล เพื่อน ๆ ของนักท่องเที่ยวร่วมมือกับ ด.ต.เสน่ห์ช่วยพาพวกเธอไปยังห้องพักอย่างปลอดภัย

ด.ต.เสน่ห์ เป็นคุณพ่อของลูกสาว 3 คน เปิดเผยว่าเขาเข้าใจหัวอกผู้ปกครองและต้องการปกป้องนักท่องเที่ยวจากอันตราย "ผมคิดว่าเราเหมือนเป็นผู้ปกครองที่พาพวกเขากลับบ้าน ทั้งสองคนเมามากจนพูดไม่ได้และยืนไม่ไหว ในสถานการณ์แบบนี้พวกเขาอาจเกิดอุบัติเหตุอย่างตกบันไดหรือทะเลได้ ผมจึงอยากมั่นใจว่าพวกเขาจะเข้านอนอย่างปลอดภัย"

ด.ต.เสน่ห์ย้ำว่า การช่วยนักท่องเที่ยวที่เมาหนักเป็นหน้าที่หนึ่งของตำรวจบนเกาะพีพี และเขาได้ทำแบบนี้มานานกว่า 2 ปีแล้ว โดยถือปฏิบัติตามโครงการ 'You drink, I drive เมาไม่ขับ กลับกับตำรวจ' ซึ่งช่วยดูแลนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติที่เมาจนไม่สามารถกลับที่พักเองได้

"เราไม่อยากลงโทษหรือตำหนิ แต่เลือกที่จะช่วยเหลือและปกป้องพวกเขาแทน เพราะเข้าใจว่าทุกคนมาเที่ยวที่เกาะพีพีเพื่อความสนุกสนาน"

เหตุการณ์นี้ไม่เพียงสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว แต่ยังช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของตำรวจไทยในสายตาชาวต่างชาติอีกด้วย

ทัพเรือภาคที่ 1 จัดกิจกรรมจิตอาสา 'เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ' เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ ในหลวง ร. 9 วันชาติ วันพ่อแห่งชาติ และวันดินโลก 5 ธันวาคม 2567

(6 ธ.ค.67) พลเรือโท อาภา ชพานนท์ ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 นำกำลังพลจิตอาสาทัพเรือภาคที่ 1 ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ประกอบด้วย ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 1 (ศรชล.ภาค1) กองบัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 กองพันซ่อมบำรุง กรมสนับสนุน กองพลนาวิกโยธิน หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน กองพันต่อสู้อากาศยานที่ 21 กรมต่อสู้อากาศยานที่ 2 หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง เทศบาลตำบลบางเสร่ เทศบาลตำบลเกล็ดแก้ว คณะครู และนักเรียนโรงเรียนเกล็ดแก้ว จัดกิจกรรมจิตอาสา 'เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ' ณ โรงเรียนเกล็ดแก้ว ตำบลบางเสร่ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี

กิจกรรมนี้ จัดขึ้นเพื่อน้อมรำลึกใน พระมหากรุณาธิคุณของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ตลอดระยะเวลา 70 ปี แห่งการครองราชย์ ทรงปกครองประชาราษฏร์ด้วยหลักทศพิธราชธรรม ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการ เพื่อขจัดความทุกข์ยากแก่พสกนิกร ก่อให้เกิดคุณอเนกอนันต์แก่ ประเทศชาติ และกิจกรรมนี้ ยังเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดี ความรักสามัคคี ระหว่าง กองทัพเรือ หน่วยงานภาครัฐ และประชาชนในพื้นที่รับผิดชอบ โดยกิจกรรม ประกอบด้วย การปรับปรุงภูมิทัศน์ การตัดหญ้า กวาดใบไม้ เก็บขยะ และปลูกพืชผักผลไม้ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง               

นอกจากนี้ ยังมีการจัดเลี้ยงไอศกรีมให้กับเด็กๆ ชั้นอนุบาลของโรงเรียนเกล็ดแก้ว สร้างความสุขและรอยยิ้มให้กับเด็กนักเรียนและผู้เข้าร่วมกิจกรรม

‘รองนายกฯ ประเสริฐ’ ลงพื้นที่ภาคใต้ ติดตามสถานการณ์น้ำท่วม-ช่วยเหลือประชาชน ย้ำทุกหน่วยงานเร่งคลี่คลายสถานการณ์โดยเร็วที่สุด เผย ‘นายกรัฐมนตรี’ ห่วงใยผู้ได้รับผลกระทบ 

(6 ธ.ค.67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นางสาวธีรรัตน์ สําเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย , ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) , พันตำรวจโท วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) , นายอำพล พงศ์สุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ตรวจราชการในพื้นที่อุทกภัยภาคใต้ ณ จังหวัดยะลา  โดยได้รับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์อุทกภัย และแผนการแก้ไขปัญหาพร้อมกล่าวมอบนโยบาย ณ อาคารศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ อำเภอเมืองยะลา ก่อนเดินทางต่อไปยังอาคารศรีนิบง ศูนย์เยาวชนเทศบาลนครยะลา อำเภอเมืองยะลา เพื่อพบปะประชาชนและมอบถุงยังชีพให้ผู้แทนประชาชนที่ได้รับผลกระทบ

นายประเสริฐ กล่าวว่า ขณะนี้ได้เกิดอุทกภัยขึ้นในหลายแห่งของพื้นที่ภาคใต้ ประกอบกับหย่อมความกดอากาศต่ำจะเคลื่อนผ่านอ่าวไทย ทำให้ภาคใต้มีความเสี่ยงฝนตกหนักและฝนตกหนักมากบางแห่ง รัฐบาลโดยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีความเป็นห่วงประชาชนที่ได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก จึงได้มอบหมายให้ลงพื้นที่ในครั้งนี้เพื่อเร่งให้ความช่วยเหลือดูแลประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้และพื้นที่ใกล้เคียงที่ได้รับความเดือดร้อน เพื่อคลี่คลายโดยเร็วที่สุด 

นายประเสริฐ กล่าวว่า วันนี้ได้เน้นย้ำกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งระดมสรรพกำลังเพื่อบูรณาการแก้ไขปัญหาอุทกภัยอย่างต่อเนื่องเพื่อลดปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน โดยมอบจังหวัด ศอ.บต. กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัย และจัดเตรียมเครื่องจักรเครื่องมือ ให้พร้อมต่อสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้น และมอบ สทนช. ประสานกรมชลประทาน จังหวัด ปภ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งระบายน้ำในพื้นที่ที่เกิดอุทกภัย เพื่อแก้ไขสถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว พร้อมกันนี้ สทนช. จังหวัด การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กรมชลประทาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ต้องประสานการทำงานอย่างใกล้ชิดตามมาตรการรับมือฤดูฝนปี 2567 และป้องกันสถานการณ์ไว้ล่วงหน้า โดยเฉพาะการบริหารจัดการน้ำในเขื่อนบางลาง และการจัดการน้ำในพื้นที่เสี่ยงหรือพื้นที่เปราะบาง และเมื่อมีผลกระทบกับประชาชน ต้องเร่งดำเนินการให้ความช่วยเหลือให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด

“นอกจากนี้ ได้เน้นย้ำกับ สทนช. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรมอุตุนิยมวิทยา สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) กรมประชาสัมพันธ์ และจังหวัด ประชาสัมพันธ์สถานการณ์อุทกภัยและแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า เพื่อลดผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่ พร้อมมอบหมายศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า (ชั่วคราว) ในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยภาคใต้ ประสานและบูรณาการการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ขอให้มั่นใจว่ารัฐบาลให้ความสำคัญต่อสถานการณ์น้ำ ทั้งน้ำท่วมและน้ำแล้ง ที่ส่งผลต่อวิถีชีวิตของประชาชนเป็นอย่างมาก และจะดูแลให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มกำลังเพื่อทุกครัวเรือนผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้โดยเร็ว” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี กล่าว 

ด้าน ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการ สทนช. กล่าวว่า ปัจจุบันยังคงมีสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ รวม 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนครศรีธรรมราช 7 อำเภอ จังหวัดพัทลุง 5 อำเภอ จังหวัดสงขลา 4 อำเภอ จังหวัดปัตตานี 4 อำเภอ จังหวัดนราธิวาส 3 อำเภอ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งระบายน้ำท่วมขังในพื้นที่เพื่อบรรเทาผลกระทบให้ประชาชน โดยเฉพาะในระยะนี้ที่ปริมาณฝนจะลดลง รวมทั้งได้เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ในช่วงหลังจากนี้ตามที่รองนายกรัฐมนตรีมอบหมาย เนื่องจากกรมอุตุนิยมวิทยา และ สสน. คาดการณ์ว่าจะกลับมามีฝนตกหนักถึงหนักมากอีกครั้งในช่วงวันที่ 13 – 16 ธ.ค. 67 บริเวณจังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา สตูล ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส จากนั้นแนวโน้มฝนจะลดลงตามลำดับ สำหรับเขื่อนบางลางจะยังคงอัตราการระบายน้ำที่ 18 ล้านลูกบาศก์เมตร (ล้าน ลบ.ม.) ต่อวัน ซึ่งจะต้องมีการติดตามประเมินสภาพอากาศอย่างใกล้ชิดเพื่อปรับแผนการระบายให้เหมาะสม โดยจะต้องพิจารณาให้สอดคล้องกับระดับน้ำทะเลด้วย 

โดยขณะนี้การระบายน้ำของเขื่อนบางลางยังไม่ส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำบริเวณหน้าเขื่อนปัตตานี โดยเขื่อนปัตตานีได้มีการหน่วงน้ำไว้ตั้งแต่วันที่ 2 ธ.ค. 67 ส่งผลให้ระดับน้ำท้ายเขื่อนลดลงตามลำดับ โดยเฉพะเขตตัวเมืองปัตตานี จ.ปัตตานี ระดับน้ำลดลงต่ำกว่าตลิ่งแล้ว และในการบริหารจัดการน้ำ ได้ให้ความสำคัญกับการดูแลความมั่นคงแข็งแรงและปลอดภัยของเขื่อนทุกแห่ง ทั้งนี้ ศูนย์ฯ ส่วนหน้าจะบูรณาการความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการประเมินวิเคราะห์สถานการณ์ประกอบการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่และระดมสรรพกำลังเพื่อเร่งคลี่คลายสถานการณ์อุทกภัย รวมทั้งฟื้นฟูเยียวยาความเสียหายให้ประชาชนสามารถกลับมาดำเนินชีวิตตามปกติได้โดยเร็วที่สุด

ยกย่อง 'อาคารรพินทร' อนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม เปลี่ยนโรงยิมเก่าสู่ออฟฟิศและโรงเรียนของสถาปนิก

(6 ธ.ค.67) องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNESCO ประกาศมอบรางวัล UNESCO Asia-Pacific Awards for Cultural Heritage Conservation ประจำปี 2024 ซึ่งรางวัลดังกล่าวเป็นรางวัลที่ยูเนสโก ยกย่องความพยายามของบุคคลและองค์กรต่าง ๆ ในเอเชียและแปซิฟิกในด้านการบูรณะ และอนุรักษ์อาคารที่มีคุณค่าทางมรดกทางวัฒนธรรมในแต่ละชาติทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยรางวัลนี้มีการมอบให้กับองค์กรต่างที่อนุรักษ์มรดกทางสถาปัตยกรรมดีเด่นมาตั้งแต่ปี 2000 โดยพิจารณาจากเกณฑ์ 3 ประการ ได้แก่ ความเข้าใจเกี่ยวกับสถานที่ ความสำเร็จเทคนิคทางสถาปัตย์ และผลกระทบด้านความยั่งยืน

ในปี 2024 คณะกรรมการตัดสินได้ประกาศยกย่องโครงการดีเด่นด้านการอนุรักษ์อาคารที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมทั้งสิ้น 8 รางวัล ทั้งในประเทศจีน อินเดีย ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ และประเทศไทย

สำหรับประเทศไทยในปีนี้ UNESCO ได้มอบรางวัลสาขา New Design in Heritage Context ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้กับสิ่งปลูกสร้างที่เกิดขึ้นใหม่ที่ยังคงรักษาคุณค่าดั้งเดิมของพื้นที่ที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมเอาไว้อย่างกลมกลืน ให้แก่ อาคารรพินทร สถาบันอาศรมศิลป์ จากความเปลี่ยนแปลงอันโดดเด่นที่พัฒนาอาคารจากโรงยิมเก่าสู่พื้นที่ทำงานและห้องเรียนสำหรับเหล่าสถาปนิกและภูมิสถาปนิกของสถาบัน

UNESCO ระบุในคำแถลงว่า อาคารรพินทร สถาบันอาศรมศิลป์ ได้รับรางวัลจากยูเนสโกในหมวดการออกแบบใหม่ในบริบทมรดกทางวัฒนธรรม สำหรับความเปลี่ยนแปลงอันน่าทึ่งในงานด้านสถาปัตย์ที่ยังคงเอกลักษณ์ความเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน โดยเปลี่ยนจากโรงยิมเก่าที่เคยใช้ประโยชน์เพียงด้านเดียว สู่การเป็นพื้นที่สำหรับการเรียนและการทำงานของเหล่าสถาปนิก ซึ่งได้ปรับปรุงโรงยิมที่ไม่ได้ใช้ให้กลายเป็นพื้นที่ทำงานที่มีประสิทธิภาพและมีเสน่ห์สำหรับสถาปนิกและนักออกแบบชุมชน

การออกแบบของอาคารได้รับการผสมผสานระหว่างความร่วมสมัยและโครงสร้างเดิมได้อย่างลงตัว โดยการรักษาพื้นที่โล่งและโปร่งสูงของอาคารไว้ พร้อมกับการใช้วัสดุที่เรียบง่ายเพื่อเสริมความสวยงามและสร้างความสมดุลให้กับประวัติศาสตร์ของอาคาร นอกจากนี้ การออกแบบสีเขียวที่ใช้การระบายอากาศธรรมชาติและการจัดสวนที่ร่มรื่นยังแสดงให้เห็นถึงการมุ่งมั่นในหลักการของการสร้างอาคารที่ยั่งยืน ซึ่งทำให้โครงการนี้กลายเป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของการพัฒนาเมืองที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในกรุงเทพฯ

ทั้งนี้ นอกเหนือจากอาคารรพินทร สถาบันอาศรมศิลป์แล้ว ในปีนี้ยูเนสโกยังได้มอบรางวัลประเภทอื่น ๆ อาทิ รางวัลอนุรักษ์ย่านประวัติศาสตร์แก่ ถนนกูนันในเมืองอี้ซิง มณฑลเจียงซู ประเทศจีน โครงการอนุรักษ์วัดอาบัทซาเยชวราร์ในเมืองธุกคัตชี รัฐทมิฬนาฑู ประเทศอินเดีย ได้รับรางวัลเกียรติยศ Award of Distinction ขณะที่โครงการอนุรักษ์อีกสี่โครงการได้รับรางวัลความดีเยี่ยม (Award of Merit) ได้แก่ โครงการอนุรักษ์ร้านน้ำชาเกวนหยินฮอลล์ในเมืองเฉิงตู มณฑลเสฉวน ประเทศจีน, โครงการอนุรักษ์หอเฮหลูในเมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน, โครงการอนุรักษ์ BJPCI ในเมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย และโครงการอนุรักษ์หอคอยสังเกตการณ์ในเมืองไครสต์เชิร์ช ประเทศนิวซีแลนด์

คุมกำเนิดเด็กแว้น! รรท.ผบช.ภ.2 แถลง ตำรวจสระแก้ว เปิดปฏิบัติการ 'เขตห้ามแว้น ปิดตำนานซิ่ง สกัดทุกความรุนแรง' ยึดรถแต่งซิ่ง 160 คัน

(6 ธ.ค.67) ที่ตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้ว พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (รรท.ผบช.ภ.2) พร้อมด้วย พล.ต.ต.ออมสิณ บุญญานุสนธิ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้ว (ผบก.ภ.จว.สระแก้ว) แถลงผลปฏิบัติการ “เขตห้ามแว้น ปิดตำนานซิ่ง สกัดทุกความรุนแรง” กวาดล้างจับกุมยึดรถจักรยานยนต์แต่งซิ่ง ต้นเหตุก่อความเดือดร้อนรำคาญ ก่ออุบัติเหตุบนท้องถนน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวและประชาชนในพื้นที่ จว.สระแก้ว

พล.ต.ท.ยิ่งยศ กล่าวว่า ตามนโยบายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และตำรวจภูธรภาค 2 จึงกำชับปราบปรามจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับการโจรกรรมรถยนต์ รถจักรยานยนต์ ดัดแปลง แต่งซิ่ง ที่สร้างความเดือดร้อนรำคาญให้แก่ประชาชน และความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกที่เกี่ยวข้อง และสิ่งผิดกฎหมายทุกประเภท ตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้วสั่งการไปยังกองกำกับการสืบสวน และสถานีตำรวจทุกแห่ง เปิดปฏิบัติการกวาดล้างจับกุมยึดรถจักรยานยนต์แต่งซิ่งผิดกฎหมาย ยึดของกลางได้ ดังนี้ 

1. รถจักรยานยนต์แต่งซิ่งผิดกฎหมาย 160 คัน 
2. ท่อไอเสียที่ไม่ได้มาตรฐาน 95 ชิ้น 
3. อาวุธปืน 13 กระบอก กระสุน 7 นัด 

นอกจากนี้ ในระหว่างปฏิบัติการกวาดล้างรถแต่งซิ่ง เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2567 ตำรวจ สภ.วัฒนานคร จว.สระแก้ว ได้กุมแก๊งขโมยสายไฟ คุมตัวผู้ต้องหา 3 คน ขณะกำลังปีนรั้วเข้าไปในบ้านอดีตนักการเมืองเพื่อขโมยสายไฟ จึงจับกุมตัวพร้อมของกลางรถยนต์ที่ใช้ในการตระเวนลักทรัพย์ พร้อมสายไฟ 7 ม้วน ยาวประมาณ 270 เมตร ดำเนินคดีตามกฎหมาย 

อย่างไรก็ตามตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้วได้ดำเนินการระดมกวาดล้างห้วงก่อนเทศกาลปีใหม่ระหว่างวันที่ 25 พ.ย. - 4 ธค 67 มีผลการปฏิบัติสามารถจับกุม ผู้ต้องหาตามหมายจับได้ทั้งหมด 391 หมาย หมายจับคดียาเสพติด 13 หมาย หมายจับคดีอาญาทั่วไป 154 หมายและหมายศาล 224 หมาย ซึ่งมีผลการจับกุมเป็นอันดับ 2 ของตำรวจภูธรภาค 2

ปฏิบัติการดังกล่าว เป็นเพียงหนึ่งในนโยบายในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมในพื้นที่ หลังจากนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นการป้องกัน แต่จะเป็นการ ปฏิบัติการเชิงรุก ปราบปรามอาชญากรรม รูปแบบต่าง ๆ และอาชญากรรมที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวและประชาชน โดยตำรวจภูธรภาค 2 และตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้ว จะดูแลพี่น้องประชาชน เพื่อสร้างความปลอดภัย จนเกิดความอุ่นใจ นำไปสู่ความเชื่อมั่นของประชาชนและสายตาชาวโลก ดังวิสัยทัศน์ของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ "เป็นตำรวจมืออาชีพ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โปร่งใส เพื่อให้เกิดความผาสุกแก่ประชาชน"

กองเรือยุทธการ ร่วมภาครัฐและเอกชน จัดกิจกรรม ตามรอยพ่อ สืบสานต่อเพื่อแผ่นดิน 5 ธันวาคม

เมื่อวานนี้ (5 ธ.ค.67)  พลเรือเอก ณัฏฐพล เดี่ยววานิช ผู้บัญชาการ กองเรือยุทธการ เป็นประธาน ในการจัดกิจกรรม 'ตามรอยพ่อสืบสานต่อเพื่อแผ่นดิน' ณ ลานอุทยานประวัติศาสตร์ เรือของพ่อ ต.91 

ประกอบด้วย กิจกรรมเดินเทิดพระเกียรติ มีกำลังพลจากหน่วยขึ้นตรงกองทัพเรือ หน่วยงานภาครัฐและเอกชน พี่น้องประชาชนในพื้นที่สัตหีบ คณะครู อาจารย์ ผู้ปกครอง นักเรียนของโรงเรียนสัตหีบ เขตกองเรือยุทธการ ร่วมกันจัดกิจกรรมร้องเพลงชาติ กล่าวน้อมรำลึก ฯ การมอบรางวัลการประกวดวาดภาพ และการประกวดการเขียนเรียงความ 

กิจกรรมนี้ จัดขึ้นเพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระผู้ทรงเป็นพ่อของแผ่นดินไทย ผู้ทรงปกครองแผ่นดินด้วยหลักธรรม พระสติปัญญา เพื่อความผาสุกของประชาชนชาวไทย ทรงดำเนินงานโครงการ อันเนื่องมาจากพระราชดำริมากมาย เพื่อพัฒนาประเทศชาติอย่างยั่งยืน รวมทั้งโครงการต่อเรือชุดเรือ ต.91 จำนวน 9  ลำ ประกอบด้วยเรือ ต.91 ถึง เรือ ต.99 ซึ่งได้ดำเนินการต่อเรือชุดดังกล่าว ในประเทศไทยทั้ง 9 ลำ ถือว่าเป็นการสืบสาน รักษา ต่อยอด โครงการในพระราชดำริ ให้ดำเนินต่อไปอย่างยั่งยืน

ความปลอดภัยทางถนน หนุนลดการเจ็บตายบนท้องถนน ตั้งเป้าลดตายในกลุ่ม 'เยาวชน'

ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) และเครือข่ายความปลอดภัยทางถนน แพทย์ นักวิชาการ สถาบันการศึกษา จัดงานสัมมนาวิชาการระดับชาติ เรื่องความปลอดภัยทางถนน ครั้งที่ 16 ภายใต้แนวคิด 'สานพลังเข้มข้น สร้างกลไกเข้มแข็ง เพื่อถนนไทยปลอดภัย : Road Safety Stronger Together' เมื่อวันที่ 20-21 พฤศจิกายน 2567 ณ ศูนย์การประชุม อิมแพ็ค ฟอรั่ม อิมแพ็ค

เมืองทองธานี โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธี ดร.สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวในห้องย่อยที่ 1 ระบบนิเวศความปลอดภัยทางถนนสำหรับเด็กและเยาวชน : Road Safety Ecosystem for Youthด้วยว่า “กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) มีแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับความปลอดภัยมาอย่างต่อเนื่อง เช่น แนวทางรถรับส่งนักเรียนหรือแนวทางการจัดทัศนศึกษาที่ปลอดภัย แต่ปัญหาอยู่ที่การปฏิบัติของบุคลากรทางการศึกษา ที่จะทำอย่างไรให้เป็นการปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพและคำนึงถึงความปลอดภัยของเด็กนักเรียนเมื่อมีการเดินทาง แต่อย่างไรก็แล้วแต่เรื่องความปลอดภัยทางถนนควรเป็นวาระที่สำคัญที่ต้องให้ความสำคัญตั้งแต่ระดับครอบครัว ซึ่งก็คือการที่พ่อแม่มีวินัยจราจรให้บุตรหลานได้เห็นเป็นแบบอย่างและสถานศึกษา มาเน้นย้ำในสิ่งที่ควรปฏิบัติเมื่ออยู่บนท้องถนน

น่าสนใจว่าประชาชนยังขาดจิตสำนึกเกี่ยวกับความปลอดภัยทางถนน หากย้อนไปเมื่อ 4-5 ปีก่อนประเทศไทยมีความพยายามที่จะบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการห้ามนั่งท้ายกระบะ แต่เกิดเสียงตำหนิรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างมาก ที่ไม่เห็นอกเห็นใจผู้มีรายได้น้อยที่จำเป็นต้องโดยสารท้ายรถกระบะเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่าเรายังคำนึงถึงเรื่องค่าใช้จ่ายก่อนเรื่องความปลอดภัยทางถนน จึงเป็นโจทย์ที่ท้าทายระบบการศึกษาของไทยและกลไกของครอบครัวว่าจะทำอย่างไรให้ทุกคนตระหนักถึงความปลอดภัยเป็นอันดับแรก เมื่อมีการเดินทางสัญจรเกิดขึ้น ทั้งนี้สำหรับข้อเสนอเชิงนโยบายที่เกี่ยวกับกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้แก่ การเป็นเจ้าภาพหลักในการสร้างเสริมระบบนิเวศที่ปลอดภัย (Ecosystem) ในกลุ่มเด็กและเยาวชน คือการจัดให้มีการกำหนดมาตรการความปลอดภัยทางถนนหรือจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้เรื่องความปลอดภัยทางถนน รวมถึงจัดให้มีกิจกรรมเสริมหลักสูตรเรียนรู้เรื่องความปลอดภัยทางถนนในชั้นเรียนนั้น ทาง ศธ. ยินดีรับข้อเสนอดังกล่าวไปพิจารณาและดำเนินการต่อไป”

ด้านนายธนันท์ เมฆประเสริฐวนิช ผู้อำนวยการกองนโยบายและแผนงาน สำนักการจราจรและขนส่ง กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า “ปัจจุบันกรุงเทพมหานครได้ดำเนินโครงการ 'เด็กเริ่ม ผู้ใหญ่ร่วม' เป็นภารกิจของศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนกรุงเทพมหานคร (ศปถ.กทม.) เริ่มดำเนินการตั้งแต่ 2563 โดยมีเป้าหมายและจุดเน้นคือการสร้างเยาวชนต้นแบบและผู้ริเริ่ม 'รักษ์วินัยจราจร' ที่จะเป็นกำลังสำคัญของกรุงเทพมหานคร โดยเริ่มพฤติกรรมรักษ์วินัยจราจรจากตนเองส่งต่อไปยังกลุ่มเพื่อน และผู้ใหญ่ที่เป็นพ่อแม่ ผู้ปกครอง สมาชิกอื่น ๆ บนท้องถนน รวมถึงโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร 437 โรงเรียน ทั้งนี้จากข้อมูลของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข คาดการณ์ว่าหากเราไม่ทำอะไรกับเรื่องนี้แนวโน้มปี 2564 – 2573 หรืออีก 10 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะมีเด็กเสียชีวิตเพิ่มอีก 30,204 คน แต่ถ้าเราลงมือเริ่มแก้ไขปัญหานี้ เริ่มจากเล็ก ๆ น้อย ๆ ถ้ามีการลดการตายได้ปีละ 5% ใน 10 ปีจะช่วยชีวิตเด็กและเยาวชนได้ สูงถึง 9,675 คน

ด้านนายรวิศุทธ์ คณิตกุลเศรษฐ์ รองเลขาธิการสถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า “สถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย ภายใต้การสนับสนุนของ สสส. มีบทเรียนสำคัญที่ดำเนินงานในพื้นที่จังหวัดระยอง โดยเมื่อปี 2564 ที่ผ่านมา ได้จัดให้มีการลงนามความร่วมมือ (MOU) กับ 5 สถาบันอาชีวศึกษาจังหวัดระยอง ซึ่งดำเนินงาน 5 มาตรการอย่างเข้มงวด ได้แก่ 1. ส่งเสริมการบังคับใช้กฎหมาย 2.ประกาศนโยบายสถานศึกษาปลอดภัย 3.พัฒนาองค์ความรู้ด้านการขับขี่และทักษะการขับขี่ 4.ส่งเสริมการทำใบอนุญาตขับขี่ร่วมกับกรมการขนส่งทางบก 5.สนับสนุนการปรับปรุงสภาพแวดล้อมส่งผลทำให้จำนวนของการบาดเจ็บลดลง และสามารถลดผู้เสียชีวิตให้เป็นศูนย์ได้ภายในปี 2565 ความสำเร็จดังกล่าว ยท. และ สสส. จึงได้สานต่อความสำเร็จในครั้งนี้เพื่อเป้าหมายการใช้หมวกนิรภัยให้ได้ 100% ในกลุ่มนักเรียน นักศึกษา รวมไปถึงสร้างนิสัยความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน โดยเฉพาะการดื่มไม่ขับ เคารพกฎจราจร โดยในปี 2567 ได้ขยายความร่วมมือไปยังจังหวัดขอนแก่นและเมืองพัทยาจังหวัดชลบุรี และนำ 5 มาตรการดังกล่าวไปปรับใช้เพื่อหนุนเสริมความปลอดภัยทางถนนอย่างต่อเนื่องผ่านกลไกอนุกรรมการด้านเด็กและเยาวชน ในศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจังหวัดขอนแก่นและจังหวัดชลบุรี”

'สมศักดิ์' สั่งการ สธ. รับ4 ลูกเรือประมงไทยกลับคืนสู่มาตุภูมิ จัดทีมแพทย์ พยาบาลพร้อมอุปกรณ์พร้อมตรวจสุขภาพทันทีเมื่อถูกส่งตัวมาถึงฝั่งไทย

น.ส.ตรีชฎา ศรีธาดา โฆษกกระทรวงสาธารสุข ฝ่ายการเมืองเปิดเผยว่า นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้แสดงความยินดีต่อครอบครัวและประชาชนชาวไทยที่ลูกเรือประมงไทย 4 คน ได้รับการปล่อยตัวจากทางการประเทศเมียนม่าแล้วเมื่อเย็นวันที่ 5 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมานับแต่วันที่ 30 พฤศจิกายนที่เรือประมงไทยถูกเมียนม่าจับกุมทั้งลูกเรือ และยึดเรือประมงไปด้วยนั้น รัฐบาลน.ส.แพทองธาร ชินวัตร โดยรองนายกรัฐมนตรี รัฐมตรีและผู้รับผิดชอบในหน่วยงานทั้งส่วนกลางและระดับพื้นที่ที่เกิดเหตุได้พยายามติดต่อประสานงานกับทางฝั่งเมียนม่าอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เมียนม่าปล่อยตัวลูกเรือประมงไทยโดยเร็วที่สุด ในส่วนของนายสมศักดิ์และทรวงสาธารณสุขนั้นมีความเป็นห่วงเรื่องสุขภาพอนามัยของลูกเรือประมงว่ามีโรคภัยอะไรหรือไม่ 

“หลังจากกระทรวงสาธารณสุขได้รับการประสานงาน ให้จัดแพทย์และพยาบาลเพื่อเตรียมพร้อมในการตรวจสุขภาพของคนไทยทั้ง 4 คนเมื่อเดินทางถึงประเทศไทย  กระทรวง สธ.ก็ดำเนินการโดยมีความพร้อมทั้งบุคลากรและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ขอให้ความมั่นใจว่าในการตรวจสุขภาพทั้งทางกายและสุขภาพจิต สธ.จะทำอย่างเต็มที่ รัฐบาลต้องดูแลและปกป้องคุ้มครองอย่างดีที่สุด”

โฆษกกระทรวงสธ. ฝ่ายการเมืองกล่าวทิ้งท้ายว่า เมื่อคืนวันที่ 5 ธันวาคม ลูกเรือประมงทั้ง 4 คนได้พักรอที่เกาะสอง จังหวัดระนอง มีการส่งมอบข้ามมายังจังหวัดระนองในวันที่ 6 ธันวาคม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม ได้เตรียมพาหนะพร้อมแล้ว ทั้งกรณีที่จำเป็นต้องเดินทางไปรับที่เกาะสอง หรือรอรับที่ท่าเรือระนอง โดยยึดถือหลักความปลอดภัยของคนไทยเป็นสำคัญ ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้เตรียมการจัดแพทย์และพยาบาลไว้พร้อมในการตรวจสุขภาพของคนไทยทั้ง 4 คนเมื่อเดินทางถึงประเทศไทย และทีมสุขภาพจิตของ รพ.ระนอง ได้ทราบข้อมูลพื้นฐานของทั้ง 4 ครอบครัว และได้เตรียมพร้อมให้การประเมินและดูแลทั้ง 4 ครอบครัวแล้ว

‘กลุ่มเต้นแอโรบิก’ เปิดเพลงสุดมัน!! เสียงดังรบกวน ลั่น!! สนามกีฬากลาง คือ ‘พื้นที่ส่วนรวม’ ควรเกรงใจ

(5 ธ.ค. 67) สายรักสุขภาพ คนชอบออกกำลังกาย อาจจะคุ้นชินกับบรรยากาศการ ‘เต้นแอโรบิก’ ในสนามกีฬาสาธารณะ ซึ่งก็จะมีการเปิดเพลงประกอบจังหวะ ทำให้สามารถเต้นได้อย่างพร้อมเพรียงและสนุกสนานมากยิ่งขึ้น

ทว่า ล่าสุดก็กลายเป็นประเด็นถกสนั่นในโลกออนไลน์ เมื่อผู้ใช้บัญชี X : @Mr_Whathapened ออกมาแชร์คลิปจากผู้ร้องเรียนรายหนึ่ง โวยกลุ่มคนกำลังเต้นแอโรบิก พร้อมข้อความเขียนในคลิปว่า 

สนามกีฬากลางไม่ใช่สนามกีฬาส่วนตัว ใช่ว่าทุกคนจะอยากฟังเสียงเพลงแอโรบิก ซึ่งพวกคุณเปิดดังมาก ไม่มีความเกรงใจคนที่เขามาใช้สนามกีฬาเลย

โดย บัญชี X : @Mr_Whathapened ก็ได้เขียนแคปชันชวนชาวเน็ตมาถกเถียงเสนอความคิดเห็นต่อกรณีดังกล่าว ระบุว่า 

ประเด็นนี้น่าถกว่า สนามกีฬากลางที่มีการเต้นแอโรบิกแล้วใช้เครื่องเสียงซึ่งดังมาก จนไปรบกวนการเล่นกีฬาชนิดอื่น ๆ เหมาะสมหรือไม่ หรือคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ

ฝั่งเต้นแอโรบิกก็บอกว่า แค่ชั่วโมงเดียวเองจะอะไรนักหนา ไม่ได้เต้นทั้งวัน หรือ ไปบอกให้เบาเสียงก็ได้ แต่คนถ่ายคลิปบอกกูเคยเดินไปบอกแล้ว สรุปคือเปิดดังกว่าเดิม 

งานนี้ก็มีชาวเน็ตเข้ามาแสดงความคิดเห็นกันสนั่น โดยเสียงแตกออกเป็นสองฝ่าย มีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยว่าพื้นที่ส่วนกลางควรลดเสียงและเกรงใจผู้ใช้สนามรายอื่น กับฝ่ายที่มองว่า เป็นเรื่องปกติ และการเต้นแอโรบิกก็ใช้เวลาไม่นาน ควรแบ่งปัน

ความคิดเห็นนั้นมีหลากหลาย อาทิเช่น

คนไทยจำนวนมากติดเสียงดังเกินความจำเป็นอะ ตามงานวัด งานโอท็อป กาชาด หมอลำ ฯลฯ จะเจอเปิดเพลงดังเยอะมาก แบบไม่สนใจความเดือดร้อนของคนอื่น แล้วก็อ้างสารพัดว่าปีละครั้ง หรือ แค่แป๊ปเดียว ประเด็นคือการทำให้คนอื่นเดือดร้อน แค่แป๊ปเดียวก็ไม่ควรทำป่ะ เปิดเสียงเบาลงแล้วจะเต้นไม่ได้เหรอ?

เอาแค่ให้คนที่เต้นได้ยินก็พอ ไม่ต้องสาระแนเผื่อแผ่ชาวบ้าน บีทดนตรีมันไม่ได้ชิวค่ะ มันหนวกหู แล้วมันอยู่ติดบ้านคนด้วยมั้ยล่ะ ถ้าติดด้วยนี่ควรโดนด่าเลย ไม่มีมารยาท

หลังบ้านเป็นอนามัยเมื่อก่อนมีกลุ่มแม่บ้านมาซ้อมรำทุกเย็นเปิดเพลงดังมากกกก จนเด็กที่กำลังจะอ่านหนังสือสอบอ่านไม่ได้เลยพี่เราเลยไปแจ้งเทศบาล เค้าก็เปิดเบาลงนะ คือสมัยนี้คนไทยก็ได้เรียนหนังสือกันแล้วก็น่าจะคุยกันได้นะ (ถ้ามีจิตสำนึกบ้าง)

ส่วนมากที่เจอ เสียงดังจริงค่ะ แต่ก็คิดว่าเขาเต้นไม่นานหรอก แต่เราแค่คนผ่านมาไง เราไม่ใช่คนใช้ชีวิตตรงนั้น ไม่ได้มาฟังทุกวันๆ ก็น่าเห็นใจคนที่บ้านอยู่แถวนั้นนะคะ ถ้าเบาได้ก็ช่วยเบาลงหน่อยน่าจะดี

เปิดเสียงในระดับที่ร้านคาเฟ่เขาเปิดกันก็พอแล้วมั้ย มากไปก็เป็นมลพิษทางเสียง
เปิดปกติ มันก็เต้นได้ ไม่เข้าใจจะเปิดดังๆทำไม เบียดเบียนคนอื่น เอาจริงๆ ไม่ควรเปิดเสียงรบกวนคนอื่นในที่สาธารณะเลย คนอื่นเค้าไม่ได้อยากฟังด้วย กทม. มาทำไรหน่อย

ไม่ได้รู้สึกว่าดังอะไรเลย สนามกีฬาก็ฟีลประมาณนี้อยู่แล้ว แล้วที่ว่ารบกวนกีฬาชนิดอื่น คืออะไร หมากรุก? เตะบอลก็ต้องมีเสียงเฮ ตะกร้อลอดห่วงก็ต้องมีเสียงเอ้วๆ แม้แต่อาม่ารำไทเก็กเช้าก็ยังเปิดเพลงจีน

ไม่ต้องเปิดเผื่อคนอื่นก็ได้ หนวกหู!!

งานนี้ก็คงต้องรอดูว่าทั้งสองฝ่ายจะมีการเคลื่อนไหวเจรจาเพื่อหาทางออกร่วมกันหรือไม่ 

‘พรรครวมไทยสร้างชาติ - รร.สตรีวัดระฆัง - 2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ’ ร่วมมือ!! นำเยาวชน เรียนรู้ ประชาธิปไตย เข้าใจรากฐานของ ‘รัฐธรรมนูญ’

เมื่อวานนี้ (4 ธ.ค. 67) พรรครวมไทยสร้างชาติ จัดโครงการสัมมนาเชิงวิชาการและเผยแพร่ความรู้ ‘เบื้องแรกประชาธิปไตย: พัฒนาการปกครอง การปฏิรูปสยาม สภาพสังคมและเศรษฐกิจ เตรียมพร้อมสู่การมีรัฐธรรมนูญด้วยพระมหากรุณาธิคุณจากรัชกาลที่ 4 ถึงรัชกาลที่ 7’ โดย ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้อำนวยการพรรครวมไทยสร้างชาติ มอบหมายให้นายอิทธิพัทธ์ เศรษฐยุกานนท์ คณะทำงานรองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายวสวัตติ์ กลิ่นขจร เลขานุการผู้อำนวยการพรรครวมไทยสร้างชาติ
ดำเนินการโครงการในครั้งนี้

เป้าหมายในการจัดโครงการ เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้สร้างความรู้และความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตยอย่างถ่องแท้ โดยมีนักเรียนโรงเรียนสตรีวัดระฆัง ให้ความสนใจเข้าร่วมกว่า 150 คน ซึ่งมีกิจกรรมดังต่อไปนี้

การรับชมภาพยนตร์ ‘2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ’ ที่ถ่ายทอดเรื่องราวประวัติศาสตร์ สร้างแง่คิดให้คนรุ่นหลังได้อย่างน่าสนใจ ร่วมกับนายวิวัธน์ จิโรจน์กุล ผู้กำกับภาพยนตร์ฯ 

ร่วมรับฟังบรรยายพร้อมเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งนำเสนอประวัติศาสตร์ของการเปลี่ยนผ่านการปกครองของไทยจากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สู่ประชาธิปไตย พร้อมทั้งได้เรียนรู้ถึงบทบาทสำคัญของพระมหากษัตริย์ในรัชกาลที่ 4 ถึงรัชกาลที่ 7 ในการวางรากฐานสู่รัฐธรรมนูญไทย 

และเข้าเยี่ยมชมรัฐสภาไทย องค์กรสำคัญตามรัฐธรรมนูญไทย ได้สัมผัสบรรยากาศการทำงาน และได้ฟังบรรยายถึงบทบาทของรัฐสภา ที่มีผลต่อการปกครองบ้านเมืองและการบริหารประเทศในหลายด้าน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top