Monday, 23 June 2025
NEWS FEED

‘ชุมชนบ่อสวก’ จ.น่าน คว้ารางวัล ‘ชุมชนท่องเที่ยวยอดเยี่ยมโลก’ เผย!! มีความโดดเด่น ด้านการจัดการแหล่งท่องเที่ยว อย่างยั่งยืน

(7 ธ.ค. 67) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกรัฐบาล เปิดเผยว่า องค์การการท่องเที่ยวโลกแห่งสหประชาชาติ (UN Tourism) ได้มอบรางวัลให้แก่ ชุมชนตำบลบ่อสวก จังหวัดน่าน ของประเทศไทยได้รับรางวัลชุมชนท่องเที่ยวยอดเยี่ยมโลก (Best Tourism Village 2024) ซึ่งถือว่าเป็นแห่งแรกของประเทศไทย ที่สะท้อนความสำเร็จในการบูรณาการความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ชุมชนและภาคีเครือข่ายมาร่วมกันพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล และมีความโดดเด่นด้านการจัดการแหล่งท่องเที่ยวโดยชุมชนอย่างยั่งยืนของไทย

“บ่อสวกมีความหมายถึงบ่อเกลือที่นักท่องเที่ยวเมื่อไปเยือนจังหวัดน่านมักจะแวะชมเสมอ นอกจากนี้ยังมีชื่อเสียงเรื่องแหล่งโบราณคดีเตาเผาเครื่องปั้นโบราณ ศิลปะพื้นบ้าน และภูมิปัญญาท้องถิ่น มีกิจกรรมที่น่าสนใจให้นักท่องเที่ยวได้เรียนรู้วิถีชุมชนผ่านงานหัตถกรรมพื้นบ้าน ที่หลากหลาย” นายจิรายุ กล่าว

นายจิรายุ กล่าวว่า ทั้งนี้ตามนโยบายของรัฐบาลที่ให้ระดับท้องถิ่นช่วยกันนำเสนอและผลักดัน เพื่อให้ประเทศไทยเข้าสู่เป้าหมายการเป็น Tourism Hub ที่สำคัญของโลก ซึ่งการคว้ารางวัลชุมชนท่องเที่ยวยอดเยี่ยมโลก (Best Tourism Village 2024) จากองค์การการท่องเที่ยวโลกแห่งสหประชาชาติ (UN Tourism) ของชุมชนตำบลบ่อสวก จังหวัดน่าน ครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าไม่ว่าจะเป็นระดับหมู่บ้าน ระดับตำบล อำเภอ หรือจังหวัดล้วนแต่มีศักยภาพ สามารถเป็นแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำของโลกได้ หากทุกภาคส่วนร่วมมือร่วมใจสนับสนุนจะสามารถพลิกโฉมประเทศด้านการท่องเที่ยวได้แน่นอน

นายจิรายุ กล่าวอีกว่า สำหรับ โครงการประกวดรางวัล Best Tourism Villages by UN Tourism หรือองค์การการท่องเที่ยวโลกแห่งสหประชาชาติ ได้เริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2563 มีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับการพัฒนาชุมชนท้องถิ่นสู่มาตรฐานสากล ลดความเหลื่อมล้ำ ส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ ส่งเสริมพลังของสตรีและเยาวชน รวมถึงการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการพัฒนา รวมทั้งยังเน้นการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรม ซึ่งมีหลักเกณฑ์การประเมินชุมชนเพื่อพิจารณาเป็นชุมชนท่องเที่ยวยอดเยี่ยมโลก Best Tourism Village ด้วยกัน 9 ประเด็น ได้แก่ 1) การจัดการทรัพยากรทางธรรมชาติและวัฒนธรรม 2) การส่งเสริมและอนุรักษ์ทรัพยากรทางวัฒนธรรม 3) การยกระดับเศรษฐกิจชุมชนอย่างยั่งยืน รวมถึงการกระจายรายได้และการสร้างงาน สร้างอาชีพให้กับชุมชน 4) การจัดการสังคมวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างเป็นธรรมและทั่วถึง 5) การจัดการสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากทั้งการท่องเที่ยวและการดำรงชีวิต 6) การพัฒนาศักยภาพด้านการท่องเที่ยวและการบูรณาการห่วงโซ่คุณค่าทางการท่องเที่ยว 7) การมีธรรมาภิบาลและให้ความสำคัญกับการพัฒนาพื้นที่เพื่อการท่องเที่ยวและชุมชนท้องถิ่น 8) ระบบสาธารณูปโภคและการเชื่อมต่อสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการท่องเที่ยวและชุมชนท้องถิ่น และ 9) การบริการสุขภาพ สุขอนามัยและความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวและชุมชนท้องถิ่น

“รัฐบาลขอเชิญชวนผู้นำท้องถิ่นองค์การปกครองท้องถิ่น และส่วนราชการต่างๆ ได้ค้นหาสิ่งดีๆ ตามแนวทางของสหประชาชาติด้านการท่องเที่ยวเพื่อนำเสนอในการประกาศสถานที่ต่าง ๆ ในประเทศไทยต่อไป ซึ่งเชื่อว่า ในทุกพื้นที่ของประเทศไทยที่มีอยู่กว่า 74,000 หมู่บ้าน กว่า 800 อำเภอมีสถานที่ท่องเที่ยว ที่ให้นักท่องเที่ยวทั่วโลกได้รับรู้ว่าประเทศไทยเที่ยวได้ทุกหมู่บ้าน ทุกตำบล ทุกอำเภอ” นายจิรายุ กล่าวทิ้งท้าย

‘ชาวหาดใหญ่’ ตะโกน!! เสียงดังกึกก้อง ไปทั้งคุ้งน้ำ ขอบคุณ!! คลอง ร.1 ‘เรารักในหลวงรัชกาลที่ 9’

(7 ธ.ค. 67) คลอง ร.1 เป็นคลองอันเนื่องมาจากพระราชดำริในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้ทำหน้าที่อย่างหนักหน่วงในการปกป้องเมืองหาดใหญ่ รักษาชีวิต เศรษฐกิจเมืองหาดใหญ่ไว้อย่างปลอดภัย คลอง ร.1 ได้ทำหน้าที่ในการระบายน้ำบายพาสไม่ให้เข้าตัวเมืองหาดใหญ่ จากคลองอู่ตะเภา เข้าคลอง ร.1 ไหลต่อลงทะเลสาบสงขลา

ไพเจน มากสุวรรณ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา เคยกล่าวไว้ว่า ทางชลประทานได้จัดสรรงบประมาณปรับปรุงคลอง ร.1 จนแล้วเสร็จทันเวลา มีสมรรถภาพสามารถระบายน้ำได้เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า คือเพิ่มขึ้นอีก 1200 ลูกบาศก์เมตร จากเดิมแค่ 400 โดยไพเจนมั่นใจตั้งแต่ต้นว่า ถ้าไม่ใช่ฝน 1000 ปี ฝน 200 ปี คลอง ร.1 รับมือได้ น้ำจะไม่ท่วมหาดใหญ่ และน้ำท่วมใหญ่ภาคใต้ ได้พิสูจน์แล้วว่า คลอง ร.1 ทำหน้าที่ได้สมบูรณ์แบบแล้ว

พสกนิกรชาวหาดใหญ่และพื้นที่ใกล้เคียงจึงได้จัดกิจกรรมร่วมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทรงมีพระราชดำริให้กรมชลประทานดำเนินการก่อสร้างคลองภูมินาถดำริ หรือคลอง ร.1 เพื่อช่วยบรรเทาอุทกภัยให้กับเมืองหาดใหญ่และพื้นที่ใกล้เคียง

นายสรรเพชญ บุญญามณี สส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ชูโครงการ 'คลอง ร.1' ซึ่งเป็นพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ ครม. ปี 2543 ได้อนุมัติงบประมาณ ให้ดำเนินการที่หาดใหญ่ อันเป็นตัวอย่างสำคัญในการลดความรุนแรงของน้ำท่วมซึ่งรัฐบาลควรมีการขยายผลการพัฒนาโครงการนี้ไปยังพื้นที่ที่มีความเสี่ยงน้ำท่วมสูง โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดนใต้ ทั้งสงขลา สตูล ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการขาดแคลนระบบระบายน้ำที่มีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดน้ำท่วมรุนแรงในทุกปี นายสรรเพชญเห็นว่า หากสามารถพัฒนาโครงสร้างการระบายน้ำจากภูเขาให้ไหลลงสู่ทะเลได้อย่างรวดเร็ว จะสามารถลดผลกระทบและป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้

น้ำท่วมใหญ่ภาคใต้ โดยเฉพาะสงขลา / หาดใหญ่ คลอง ร.1 ได้ทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์แบบ ปกป้องเมืองหาดใหญ่ให้รอดพ้นจากอุทกภัยในครั้งนี้ สมควรแล้วที่รัฐบาลจะได้นำแบบอย่างคลอง ร.1 ไปใช้กับพื้นที่อื่น

‘ผอ.เขตฯ’ ก้มกราบ!! ครูที่เคยสอน เผย!! เจอกันโดยบังเอิญ ขณะลงพื้นที่

(7 ธ.ค. 67) นางนัฑวิภรณ์ จันต๊ะพรมมา ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาน่าน โพสต์ภาพและข้อความแชร์เรื่องราวสุดประทับใจ ในเพจ ‘นัฑวิภรณ์ จันต๊ะพรมมา สหายใบไผ่’ ระบุว่า …

เรื่องน่าประทับใจ เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาได้ออกไปตรวจเยี่ยมโรงเรียนน่านนคร เพื่อติดตามการขับเคลื่อนนโยบายเรียนดีมีความสุขสู่ห้องเรียน ขณะที่ลงจากรถก่อนจะขึ้นไปห้องประชุมชั้นสอง ได้ยินเสียงครูกำลังสอนนักเรียน เสียงนักเรียนหัวเราะคิกคักมาแต่ไกล จึงแวะเข้าไปดูว่าใครกำลังสอนทำไมนักเรียนมีความสุขเหลือเกิน

พอเข้าไปแค่นั้นแหละ อ้าวครูเรืองฤทธิ์ ครูที่เคยสอนเราตอนเรียนที่สันติสุขนี่หน่า แล้วคุณครูก็รายงานเรื่องการจัดการเรียนการสอนให้ฟัง (อย่างเป็นทางการ) ว่าจัดการเรียนการสอนอย่างไรให้เด็ก ๆ มีความสุข แล้วครูก็ถามนักเรียนว่ารูปเหมือนในจอโปรเจกเตอร์ไหม พอหันไปดู ต้องร้องอ้าวครั้งที่สองเพราะครูกำลังสอนเรื่องการสร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็ก ๆ เป็นรูปที่เราถ่ายกับครูกณิศาและครูเรืองฤทธิ์ซึ่งเป็นครูดีในดวงใจของเราทั้งสองท่าน

ครูพูดกับเด็ก ๆ ด้วยความภาคภูมิใจว่า นี่คือตัวอย่างของคนที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจไม่เคยย่อท้อ แล้วครูก็ยื่นไมค์ให้เราได้คุยกับเด็ก ๆ พอเราพูดถึงคุณครู ทุกคนก้มหน้าก้มตาเพราะซาบซึ้งและตื้นตันใจ คุณครูก็น้ำตาซึม นักเรียนก็น้ำตาซึม เราก็น้ำตารื้นขึ้นมา ครูบอกว่าเหลืออีก 10 เดือนครูจะเกษียณแล้วนะ เด็ก ๆ นั่งนิ่งก้มหน้า มีเด็กคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า ผมไม่ทันตั้งตัวเลยครับเพราะมันเร็วเกินไป ในห้องเรียนเงียบไปชั่วขณะ

ขอบคุณความบังเอิญที่ทำให้ได้พบครูในวันนี้ และขอบคุณที่อบรมสั่งสอนตลอด 6 ปี จนทำให้หนูมีวันนี้ได้ค่ะ

รักและเคารพเสมอ

ครูเรืองฤทธิ์_ดวงภูเมฆ

ครูดีในดวงใจ

‘ประกิต โฮลดิ้งส์’ จัดงานประกวด ‘Idea Excellence 2024’ มอบรางวัลใหญ่ พร้อมโอกาสได้ร่วมงานกับกลุ่มบริษัท

(7 ธ.ค. 67) โครงการ Idea Excellence 2024 เป็นโครงการประกวดแผนงานโฆษณาโดยเน้นความคิดสร้างสรรค์ในการวางกลยุทธ์การสื่อสาร การออกแบบสื่อ และการวางแผนการใช้สื่ออย่างมีประสิทธิภาพ จัดโดย บริษัท ประกิต โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ประกิต แอดเวอร์ไทซิ่ง จำกัด โดยในปีนี้ได้รับการสนับสนุนจาก โรงพยาบาลรวมใจรักษ์ @สุขุมวิท 62 ในการมอบโจทย์ที่น่าสนใจ และเป็นแรงบันดาลใจให้กับน้องๆที่เข้าร่วมโครงการได้ฝึกสมอง ลองภูมิกับสินค้าจริง แบรนด์จริง และสถานการณ์ทางการตลาดจริงๆ

โครงการ Idea Excellence เป็นโครงการจัดประกวดที่ทำมาต่อเนื่องและยาวนานกว่า 30 ปี เพื่อเป็นเวทีให้นิสิต นักศึกษา ที่เรียนในภาควิชาที่เกี่ยวข้องกับสายงานโฆษณา และการตลาด ที่ชอบแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ได้แสดงออก เพื่อเฟ้นหานักโฆษณา เจนใหม่ ไอเดียดุ แปลก แหวก ว้าว ทั้งสายงาน ครีเอทีฟ เออี แพลนเนอร์ คอนเทนต์ มีเดีย ป้อนเข้าสู่วงการโฆษณา

ซึ่งในปีนี้ จัดประกวดในหัวข้อ ‘วาระแห่งชาติ Next Gen Care’  กับแนวคิดใหม่ของการดูแลสุขภาพ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการให้คนรุ่นใหม่เห็นถึงความสำคัญในการดูแลสุขภาพร่างกายก่อนเกิดโรค ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมาก จากกว่า 10 คณะ/ภาควิชา ของมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ โดยในปีนี้มีทีมที่ส่งผลงานเข้าประกวดมากถึง 108 ทีม

บอกเลยว่าปีนี้ เข้มข้น ดุเดือด เชือดเฉือน เป็นที่ปวดเฮดกลุ้มฮาร์ท ของเหล่าคณะกรรมการ เพราะโจทย์ของน้องๆ เจนใหม่ คือ ซ้อมทำงานจริง ฝึกคลอดแคมเปญ ผ่านสื่อทั้ง Digital และ Traditional รวมถึงแคมเปญสร้างสรรค์ในรูปแบบอื่นๆ จากทุกๆ สมาชิกในทีมที่ปลุกระดม Insight คิดไอเดียเชิงกลยุทธ์ Creative Idea & Executions พร้อมวาง Media Strategy ต้องนำเสนอผลงานที่นำไปใช้ได้จริงต่อหน้ากรรมการในรอบสุดท้าย 

นอกจากความภาคภูมิใจ และรางวัลที่ได้รับแล้ว น้องๆ นิสิต นักศึกษาทั้ง 5 ทีม เสมือนมีตั๋ว Fast Track และโอกาสได้เข้าร่วมงานกับบริษัทในเครือ ประกิต โฮลดิ้งส์ อีกด้วย 

จับแล้ว "ดาบตำรวจ" ยิงปืนขึ้นฟ้ากลางชุมชน รรท.ผบช.ภ.2 ลั่น! ตำรวจแตกแถวดำเนินคดีไม่ไว้หน้า ให้ออกจากราชการ

เมื่อวันที่ (7 ธ.ค. 67) พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (รรท.ผบช.ภ.2) เปิดเผยถึงกรณีชายลักษณะคล้ายคนเมา ยิงปืนขึ้นฟ้า จำนวน 3 นัด หน้าร้านขายของชำ และร้านอาหารตามสั่งภายในซอยเขาน้อย ม.9 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จว.ชลบุรี เหตุเกิดช่วงบ่ายวันนี้ ว่า จากการตรวจสอบพบว่าผู้ก่อเหตุ เป็นตำรวจ ยศดาบตำรวจ ตำแหน่ง ผบ.หมู่(ป.) สภ.นาจอมเทียน ขณะนี้ได้คุมตัวดำเนินคดีตามกฎหมายและมีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนแล้ว

รรท.ผบช.ภ.2 กล่าวว่า หลังก่อเหตุตำรวจ สภ.บางละมุง เร่งตรวจสอบและสืบสวนพบว่า ดาบตำรวจนายดังกล่าวหลบหนีกลับไปยังบ้านพักของตัวเอง เมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึงพบว่า ยังสวมใส่เสื้อผ้าตัวที่ใช้ก่อเหตุ อยู่ในอาการมึนเมา พูดจา วกไปวนมา ในลักษณะที่น่าจะเป็นอันตรายต่อบุคคลอื่น 
จึงเจรจาเกลี้ยกล่อมระยะหนึ่ง ต่อมาสามารถควบคุมตัวไว้ได้และตรวจยึดอาวุธปืน Smith&Wesson ขนาด .357 จำนวน 1 กระบอก และปลอกกระสุน ขนาด .357 จำนวน 3 นัด คาดว่าเป็นปลอกกระสุนที่ใช้ก่อเหตุ จึงควบคุมตัวพร้อมของกลางมายัง สภ.บางละมุง เมื่อตรวจวัดแอลกอฮอล์ในร่างกายพบว่ามีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ตรวจไม่พบสารเสพติด พบเพียงสารกัญชา จึงได้แจ้งข้อหาฐาน 1.พกพาอาวุธปืนติดตัวในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะฯ
2. ยิงปืนในเมือง หมู่บ้าน หรือที่ชุมนุมชนฯ
3. ขับขี่รถในขณะเมาสุรา

“สั่งการให้ดำเนินคดีตามกฎหมาย อย่างเด็ดขาดตรงไปตรงมา เป็นตำรวจมีอาวุธปืนแล้วก่อเหตุในลักษณะเช่นนี้ถือว่าเป็นอันตรายต่อสังคม ไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง 
ทั้งนี้หากพบตำรวจกระทำความผิดต้องดำเนินคดีตามกฎหมายทันที ไม่ละเว้น ดำเนินคดีอาญาพร้อมกับดำเนินการทางวินัยควบคู่กันไป ตำรวจทำผิดกฎหมายเสียเองต้องให้ออกจากราชการ“ รรท.ผบช.ภ.2 กล่าว

สำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล ปฐมนิเทศ นักศึกษาหลักสูตร สสสส.รุ่นที่ 15

 

เมื่อวันที่ (4 ธ.ค.67) ที่โรงแรมเดอะเฮอริเทจ พัทยา บีช รีสอร์ทสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า นำคณะนักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรชั้นสูงการเสริมสร้างสังคมสันติสุข รุ่นที่ 15 ร่วมทำกิจกรรม 'เสริมสร้างความเป็นพลเมือง'

โดยอาจารย์กู้เกียรติ ภูมิรัตน์ ที่ปรึกษาเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ด้านการส่งเสริมการเมืองภาคพลเมือง และคณะ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ให้ความรู้สำนึกความเป็นพลเมือง พร้อมทั้งการทำความรู้จักกัน ทำกิจกรรมและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน  

นอกจากนี้ได้รับเกียรติจาก นายวิทวัส ชัยภาคภูมิ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ร่วมสังเกตุการณ์ในกิจกรรมอบรมปฐมนิเทศดังกล่าวด้วย

ทั้งนี้ ดร.ชิงชัย หาญเจนลักษณ์ ประธานคณะกรรมการอำนวยการหลักสูตรฯ ให้เกียรติบรรยายหัวข้อ 'ความคาดหวังของหลักสูตรต่อการขับเคลื่อนประเด็นสาธารณะเพื่อสร้างสังคมสันติสุข' พร้อมทำกิจกรรมความคาดหวังของนักศึกษา แบบทดสอบประเมินคุณลักษณะความเป็นนักศึกษา (KPI-CDG) และแบบทดสอบความรู้ (ก่อนเรียน) โดย นายศุภณัฐ เพิ่มพูนวิวัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล และ ดร.ชลัท ประเทืองรัตนา นักวิชาการผู้ชำนาญการสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล

ผบ.ทรภ.2 ร่วมประชุมผ่านระบบประชุมทางไกล กับ ผู้บัญชาการภาคทหารเรือที่ 1 กองทัพเรือมาเลเซีย แนะนำตัวในโอกาสเข้ารับหน้าที่ และเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงทางทะเลระหว่างกัน 

(6 ธ.ค.67) พลเรือโท นเรศ วงศ์ตระกูล ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 2 (ผบ.ทรภ.2) ร่วมประชุมผ่านระบบประชุมทางไกล กับ Rear Admiral Dato' Baharudin Bin Wan Md Nor ผู้บัญชาการภาคทหารเรือที่ 1 กองทัพเรือมาเลเซีย เพื่อแนะนำตัวในโอกาสเข้ารับหน้าที่ และเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงทางทะเลระหว่างกัน ณ ห้องประชุม ศูนย์ปฏิบัติการทัพเรือภาคที่ 2

โดยมี รองเจ้ากรมข่าวทหารเรือ และผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารเรือ ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ เข้าร่วมการประชุม

กองทัพเรือ ให้ความสำคัญในการพัฒนาความร่วมมือกับกองทัพเรือมิตรประเทศในทุกระดับ เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางทะเลระหว่างกัน โดยการประชุมดังกล่าว นับเป็นกิจกรรมการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน ในระดับพื้นที่ปฏิบัติการ

รองนายกฯ และรมว.กลาโหม ให้การต้อนรับ ออท.ราชอาณาจักรสวีเดน/ไทย สานสัมพันธ์ด้านการทหาร เสริมความเข้มแข็ง และทันสมัยให้กับกองทัพ

(6 ธ.ค.67) พล.ต.ธนาธิป สว่างแสง โฆษก กห. ได้กล่าวว่า นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ให้การต้อนรับ นาง Anna Hammargren (อันนา ฮัมมาร์เกรน) ออท.ราชอาณาจักรสวีเดน/ไทย ณ ห้องสุรศักดิ์มนตรี ในศาลาว่าการกลาโหม 

โดย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ชื่นชมความสัมพันธ์ที่มีมาแนบแน่นอย่างยาวนาน กว่า 156 ปี ทั้งในระดับราชวงศ์ รัฐบาล และประชาชน นํามาสู่ความร่วมมือระหว่างกัน ในหลายมิติ อาทิ การศึกษาและเทคโนโลยี นวัตกรรม พลังงานและสิ่งแวดล้อม การสาธารณสุข รวมทั้งนโยบายป้องกันประเทศ เน้นย้ำความสัมพันธ์ความร่วมมือด้านความมั่นคงและอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ซึ่งมีความก้าวหน้าอย่างมีนัยยะสําคัญ รวมทั้งยินดีที่ความร่วมมือทางทหารของทั้งสองประเทศ อันมีพัฒนาการที่ก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งการแลกเปลี่ยนการเยือนของผู้บังคับบัญชาและกําลังพล การถ่ายทอดเทคโนโลยีและการพัฒนา ขีดความสามารถด้านยุทโธปกรณ์ 

นอกจากนี้ กระทรวงกลาโหม หวังว่าจะสามารถขยายความร่วมมือร่วมกันต่อไป ทั้งในด้านความมั่นคงทางไซเบอร์อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ตลอดจนการแลกเปลี่ยนข้อมูลสถานการณ์ด้านความมั่นคง ในภูมิภาค รวมถึงพัฒนาการของการนําเทคโนโลยีที่ทันสมัย อาทิ AI มาใช้ในกิจการทางทหาร 

อีกทั้ง เชื่อมั่นว่า ออท.ราชอาณาจักรสวีเดน/ไทย จะสามารถสานต่อการดำเนินงาน ระหว่างกระทรวงกลาโหมของทั้งสองประเทศ ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ รวมทั้ง ขอบคุณสวีเดนที่แสดงความประสงค์จะดำเนินความร่วมมือกับ กห. ในโครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่สมรรถนะสูง และยินดีที่ บ.ขับไล่แบบ Gripen ของสวีเดนเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ผ่านเกณฑ์การพิจารณาของ ทอ. ด้วยมีความเข้ากันได้ของระบบที่ใช้งานในปัจจุบัน และมีความสอดคล้องกับปัจจัยด้านงบประมาณและความต้องการทางทหาร 

โครงการจัดหายุทโธปกรณ์ของ กห. ในครั้งนี้ ไม่เพียงแค่เสริมความเข้มแข็ง และทันสมัยให้กับกองทัพเท่านั้น แต่ยังคำนึงถึงความคุ้มค่า ผลประโยชน์ที่ประเทศและประชาชน จะได้รับตอบแทนกลับคืน 

ในโอกาสนี้ ออท.ราชอาณาจักรสวีเดน/ไทย ได้ขอบคุณรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ได้ให้การต้อนรับ รวมทั้งกล่าวชื่นชมความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างทั้งสองประเทศ และสนับสนุนการพัฒนาความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างกัน

ผบ.ตร.สั่งเด็ดขาดให้ รรท.ผบช.น.เร่งคดีตำรวจจราจรกลาง 7 นาย รุมทำร้ายร่างกาย หากพบความผิดฐานใด ดำเนินการทุกข้อหา พร้อมดำเนินการทางวินัยทุกมิติ ย้ำพร้อมให้ความเป็นธรรม ทำตรงไปตรงมา รับเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สั่งขันน็อตการตั้งด่านทั่วประเทศตามระเบียบ

(6 ธ.ค.67) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึง กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจ กองบังคับการตำรวจจราจร (บก.จร.) 7 นาย รุมทำร้ายร่างกายขณะตั้งด่าน ว่า เรื่องนี้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้รับทราบรายงานจากกองบัญชาการตำรวจนครบาลแล้ว ไม่ได้นิ่งนอนใจ สั่งการให้ดำเนินการอย่างเด็ดขาด ตรงไปตรงมา ให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย

ในทางคดีได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.สยาม บุญสม รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รรท.ผบช.น.) และ พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น.ลงมาดูคดีด้วยตนเอง รวบรวมหลักฐานภาพกล้องวงจรปิด กล้องติดตัว (bodycam) พยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ รวมทั้งพยานอื่นๆ ทุกมิติ เพื่อไขข้อเท็จจริง ดำเนินการตามกฎหมาย เอาผู้กระทำความผิดมาลงโทษ  

สำหรับคดีมีความคืบหน้า มีการเรียกตำรวจทั้ง 7 นายมาแจ้งข้อกล่าวหาในเบื้องต้น รวมทั้งจะมีการพิจารณาความผิดในข้อหาอื่นด้วย หากพบพยานหลักฐานหรือข้อมูลเพิ่มเติม ส่วนทางวินัยได้มีการตั้งกรรมการสอบสวนเรื่องนี้แล้ว 
     
นอกจากนี้ โฆษก ตร. กล่าวว่า ผบ.ตร.เสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้เสียหาย และครอบครัว ยืนยันว่าคดีนี้จะทำตรงไปตรงมา ไม่มีการช่วยเหลือกัน หากพบเป็นความผิดอาญาและวินัยในส่วนใดจะดำเนินการขั้นเด็ดขาด รวมถึงมาตรการทางปกครองกับผู้บังคับบัญชาด้วย  ซึ่งได้กำชับเรื่องนี้กับทาง บช.น. ไปแล้ว ให้เร่งรัดดำเนินการให้ชัดเจน พร้อมกำชับการตั้งด่านของตำรวจทั่วประเทศ ให้ผู้บังคับบัญชาไปกำชับการปฏิบัติตามระเบียบและหลักยุทธวิธี ทำตามกรอบกฎหมาย ในการรักษาความสงบเรียบร้อยในสังคม เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก

รู้จัก...กองทัพสหรัฐว้า (The United Wa State Army) กลุ่มชาติพันธุ์แห่งเมียนมาที่หาญกล้ารุกล้ำดินแดนไทย

(6 ธ.ค.67) ข่าวสำคัญเรื่องหนึ่งที่พี่น้องประชาชนคนไทยต้องติดตามอย่างใกล้ชิดก็คือ ไทยต้องการให้สหรัฐว้า (กลุ่มว้าแดง) ถอนค่ายทหารของกองทัพสหรัฐว้า (The United Wa State Army : UWSA) 9 แห่งที่รุกล้ำดินแดนไทยออกไป แต่ทว่ากลุ่มว้าแดงกลับไม่ตอบสนองและเรียกร้องให้มีการเจรจาทวิภาคี เรื่องนี้กลายเป็นความท้าทายในภูมิภาค ประเด็นเรื่องปัญหายาเสพติดและปัญหาความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ภายในประเทศเมียนมา ‘สหรัฐว้า’ เป็นเขตปกครองตนเองในเมียนมาอย่างเป็นทางการได้รับการประกาศโดยรัฐกฤษฎีกาเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2010 ซึ่งรัฐบาลเมียนมาประกาศให้พื้นที่ดังกล่าวอยู่ภายใต้การบริหารของกลุ่มชาติพันธุ์ว้าภายใต้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า ‘เขตพิเศษว้า’ ดินแดนดังกล่าวอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐว้าอย่างเป็นอิสระโดยพฤตินัย เคยถูกควบคุมโดยตรงโดยกองทัพพม่าจนกระทั่งโอนไปยังสหรัฐว้าในเดือนมกราคม 2024

นานมาแล้วที่ชาติพันธุ์ว้ากระจายตัวอยู่ตามพื้นที่ภูเขาในดินแดนพม่า (เมียนมาปัจจุบัน) โดยไม่มีการปกครองแบบรวมเป็นหนึ่ง ในช่วงราชวงศ์ชิงพื้นที่ดังกล่าวถูกแยกออกจากการควบคุมทางทหารของชนเผ่าไตภายใต้การปกครองของอังกฤษในพม่า ซึ่งไม่ได้ปกครองรัฐว้า และพรมแดนพม่ากับจีนก็ไม่มีการกำหนดไว้อย่างชัดเจน ตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1940 ในช่วงสงครามกลางเมืองในจีน กองกำลังที่เหลือของกองทัพสาธารณรัฐจีน (พรรคก๊กมินตั๋ง) ได้ล่าถอยเข้ามายังดินแดนพม่า เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์จีนเข้ายึดครองประเทศจีน กองกำลังของกองพลที่ 8 กองทัพที่ 237 กองพลที่ 93 และกองทัพที่ 26 ได้ยึดพื้นที่ในพม่าเป็นเวลาสองทศวรรษเพื่อเตรียมการโต้กลับพรรคคอมมิวนิสต์จีน แต่ภายใต้แรงกดดันจากสหประชาชาติการโจมตีถูกยกเลิก และกองกำลังดังกล่าวเคลื่อนย้ายมายังทางภาคเหนือของประเทศไทย และต่อมาถูกส่งไปไต้หวัน อย่างไรก็ตามกองกำลังบางส่วนตัดสินใจที่จะอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำสาละวินต่อ กลายเป็นกลุ่มกองโจรชนเผ่าเข้าควบคุมพื้นที่โดยได้รับการสนับสนุนจากพรรคคอมมิวนิสต์พม่า

ในช่วงทศวรรษ 1960 พรรคคอมมิวนิสต์พม่าสูญเสียฐานปฏิบัติการในพม่าตอนกลาง และด้วยความช่วยเหลือของคอมมิวนิสต์จีน จึงได้ขยายพื้นที่ในเขตชายแดนทางตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีเยาวชนปัญญาชนจำนวนมากจากจีนเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์พม่า และกองกำลังเหล่านี้ยังรับเอาสมาชิกกองโจรในพื้นที่เข้าร่วมอีกเป็นจำนวนมาก พรรคคอมมิวนิสต์พม่าได้เข้าควบคุมเมืองปางคาม ซึ่งต่อมากลายเป็นฐานปฏิบัติการหลัก ตอนปลายทศวรรษ 1980 ชนกลุ่มน้อยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของพม่าถูกแยกทางการเมืองจากพรรคคอมมิวนิสต์พม่า (อันเป็นที่มาของชื่อ ‘กลุ่มว้าแดง’) เมื่อวันที่ 17 เมษายน 1989 กองกำลังติดอาวุธของเป่าโหยวเซียง (Bao Youxiang) ประกาศแยกตัวจากพรรคคอมมิวนิสต์พม่าและก่อตั้งพรรคสหชาติพันธุ์เมียนมา ซึ่งต่อมากลายเป็น ‘พรรคสหรัฐว้า’ เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 1989 กองทัพสหรัฐว้าได้ลงนามในข้อตกลงหยุดยิงกับสภาฟื้นฟูกฎหมายและระเบียบของรัฐซึ่งเข้ามาแทนที่ระบอบทหารของเนวิน หลังจากการลุกฮือ8888 หลังจากการหยุดยิง รัฐบาลเมียนมาเริ่มเรียกพื้นที่ดังกล่าวว่า "เขตพิเศษรัฐฉานที่ 2 (เขตว้า) 

ภายหลังการรัฐประหารในเมียนมาในปี 2021 สหรัฐว้าเริ่มต่อต้านรัฐบาลเมียนมาโดยตรงมากขึ้น โดยเปลี่ยนจากกลยุทธ์ 'การป้องกันล่วงหน้า' ไปเป็นการสนับสนุนกองกำลังต่อต้านรัฐบาลที่มีขนาดเล็กกว่าในด้านการทหาร ซึ่งควรจะใช้เพื่อป้องกันไม่ให้กองทัพเมียนมาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยมีเป้าหมายเพื่อขยายอิทธิพลทางการเมืองและการทหารของพวกเขาไปยังเมียนมาตอนกลาง เมื่อการสู้รบในรัฐฉานทางตอนเหนือทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงปลายเดือนตุลาคมและต้นเดือนพฤศจิกายน 2023 สหรัฐว้าได้แสดงจุดยืนเป็นกลางโดยเรียกร้องให้มีการหยุดยิงในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2023 กองทัพสหรัฐว้าได้ระบุอีกครั้งว่าพวกเขาจะตอบโต้ต่อการดำเนินการทางทหารใด ๆ ที่มีต่อสหรัฐว้า

กองทัพสหรัฐว้า (UWSA) มี 'กองกำลัง' จำนวน 5 กองพลที่ประจำการตามแนวชายแดนไทย-พม่า ได้แก่ กองพลที่ 778 กองพลที่ 772 กองพลที่ 775 กองพลที่ 248 กองพลที่ 518 และประจำการตามชายแดนจีน-พม่าอีกสามหน่วยได้แก่ กองพลที่ 318 กองพลที่ 418 และ กองพลที่ 468 โดยกองทัพสหรัฐว้ามีกำลังพลประจำการ 30,000 นาย (แหล่งข่าวบางแหล่งระบุว่าอาจมีมากถึง 80,000 นาย) พร้อมกำลังเสริมอีก 10,000 นาย โดยเงินเดือนของทหารอยู่ที่ 60 หยวน (300 บาท) เท่านั้น ตามรายงานของ Jane's Intelligence Review เมื่อเดือนเมษายน 2008 จีนเป็นแหล่งสนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์หลักให้กองทัพสหรัฐว้าแทนที่แหล่งอาวุธตลาดมืดดั้งเดิมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ไทยและกัมพูชา การส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ไปยังกองทัพสหรัฐว้าจากจีนจะดำเนินการตามนโยบายระดับสูงสุดในกรุงปักกิ่ง

รายงานของ Jane's ในปี 2001 ระบุว่า กองทัพสหรัฐว้าได้จัดหาขีปนาวุธพื้นสู่อากาศ (SAM) HN-5 N จากจีนอันเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างฐานทัพใกล้ชายแดนไทย ซึ่งมีรายงานว่าที่ตั้งทางทหาร 40-50 แห่งที่ประจำการขีปนาวุธดังกล่าว ในเดือนพฤศจิกายน 2014 Jane’s รายงานเพิ่มเติมว่า กองทัพสหรัฐว้าได้จัดหาขีปนาวุธพื้นสู่อากาศ FN-6 เพื่อมาแทนที่ HN-5N ที่ใช้งานอยู่ ซึ่งกองทัพสหรัฐว้าได้ปฏิเสธในทันที นอกจากนี้สหรัฐว้ายังทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างผู้ผลิตอาวุธจีนและกลุ่มกบฏอื่น ๆ ในเมียนมา ในปี 2012 การสนับสนุนจากจีนเพิ่มขึ้นจนถึงขั้นการจัดหายานเกราะจู่โจมแบบ PTL-02 6 × 6 ที่พบเห็นในเมือง Pangkham

29 เมษายน 2013 Jane's รายงานว่า จีนได้ส่งมอบเฮลิคอปเตอร์แบบ Mil Mi-17 ซึ่งติดตั้งขีปนาวุธอากาศสู่อากาศ TY-90 ให้กับกองทัพสหรัฐว้า แต่ถูกปฏิเสธจาก แหล่งข่าวทางทหารของจีน ไทย กลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ของเมียนมา และกองทัพสหรัฐว้าเอง ในปี 2015 Jane's รายงานว่า ทหารของกองทัพสหรัฐว้าถูกถ่ายภาพขณะฝึกการใช้กับปืนใหญ่ Type 96 ขนาด 122 มม. และ ATGM HJ-8 ของจีน รายงานของ Jane’s ในเดือนธันวาคม 2008 ระบุว่า กองทัพสหรัฐว้าได้เริ่มมาผลิตอาวุธเองเพื่อเสริมรายได้จากการค้าอาวุธและยาเสพติด และเริ่มสายการผลิตอาวุธปืนแบบ AK- 47 สหรัฐว้ามีนโยบายการเกณฑ์ทหารโดยกำหนดให้ผู้ชายอย่างน้อย 1 คนในแต่ละครัวเรือนต้องประจำการในกองทัพสหรัฐว้าหรือหน่วยงานของสหรัฐว้า 

ระหว่างเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม 2002 กองทัพสหรัฐว้าเคยปะทะกับกองทัพไทย และประสบความสูญเสียค่อนข้างหนักอันเนื่องมาจากอาวุธหนักจากฝ่ายไทย จนเป็นที่มาของคำกล่าวของทหารว้าที่ว่า “ทหารว้าไม่กลัวทหารไทยเลย ถ้ารบกันแบบเห็นตัว แต่ที่กลัวที่สุดคือ ปืนใหญ่ของไทย เพราะมาแบบไม่เห็นตัว” ปัญหาความมั่นคงจากสหรัฐว้าที่ไทยเผชิญอยู่ตลอดมาก็คือ การค้ายาเสพติด ซึ่งเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของสหรัฐว้า และมีความลักลอบลำเลียงเข้าไทยอย่างต่อเนื่องตลอดมา และไทยได้พยายามปราบปรามภายในเขตแดนของประเทศตลอดมา ตอนที่ พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ เป็นผู้บัญชาการทหารบก และทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ก็เคยมีสถานการณ์ในลักษณะนี้แล้วครั้งหนึ่ง โดย พล.อ.สุรยุทธ์ เตรียมการส่งกำลังทหารม้าไปปฏิบัติการร่วมกับกองทัพภาคที่ 3 แต่นายกรัฐมนตรีไทยในขณะนั้นกลับบอกว่า กองทัพไทยทำเกินไป (กองทัพไทย Over-react) ทั้งที่ตอนนั้นมีกองกำลังว้าแดงอยู่ในสมการความขัดแย้งด้วย จึงไม่มีปฏิบัติการทางทหารในกรณีดังกล่าวเกิดขึ้น และทำให้สหรัฐว้าแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนปัจจุบัน สำหรับความตึงเครียดระหว่างสหรัฐว้าและไทยครั้งนี้เริ่มต้นขึ้นในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2567 อันเนื่องมาจากที่ตั้งของค่ายทหารของสหรัฐว้า 9 รุกล้ำดินแดนไทย และกองทัพไทยได้มีการกำหนดเส้นตายเอาไว้ว่าภายในวันที่ 18 ธันวาคม UWSA ต้องมีการรื้อถอนค่ายทหารออกและเคลื่อนกำลังออกจากดินแดนไทยให้หมด ก่อนที่จะดำเนินการในขั้นตอนต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top