Sunday, 22 June 2025
NEWS FEED

สตม. ทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ยากูซ่าญี่ปุ่น

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ รอง ผบช.ฯ รรท.ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ธนิต ไทยวัชรามาศ รอง ผบช.สอท.ปรก.รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชิตเดชา สองห้อง รอง ผบก.สส.ภ.7 ช่วยราชการ บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชย พานะกิจ ผกก.(สอบสวน) หัวหน้ากลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชูวงษ์ อุทัยสาง ผกก.ปอพ.บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ธวัชชัย นรินรัตน์ ผกก.1 บก.สส.สตม. และ พ.ต.อ.พิสิษฐ์ ศรีอ่อน ผกก.2 บก.สส.สตม. ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ดังนี้  

สืบเนื่องจาก บก.สส.สตม. ได้รับการประสานงานจากสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น ประจำประเทศไทย กรณี มีกลุ่มคนร้ายลักลอบจัดตั้งสำนักงานคอลเซ็นเตอร์เพื่อหลอกลวงชาวญี่ปุ่น เป้าหมายเป็นผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในประเทศญี่ปุ่น โดยหลอกลวงว่าจะได้รับเงินประกันสุขภาพคืน ซึ่งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ญี่ปุ่นนี้ จะทำงานตั้งแต่วันจันทร์ - วันเสาร์ โดยมีรูปแบบการหลอกลวงว่า “เป็นการขอคืนเงินค่ารักษาพยาบาล โดยใช้โทรศัพท์หลอกลวงผู้สูงอายุในญี่ปุ่น โดยอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ” ซึ่งคอลเซ็นเตอร์สายแรกจะปลอมเป็นเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบของหน่วยงานของรัฐ โทรศัพท์ไปอธิบายกับเหยื่อที่ประเทศญี่ปุ่นว่าจะมีการคืนค่ารักษาพยาบาลสะสมจำนวนหลายล้านเยน และจะให้เหยื่อทำการเตรียมเงินไว้ในบัญชี ตั้งแต่จำนวน 500,000 เยน ขึ้นไป จากนั้นจะหลอกให้เหยื่อไปทำรายการโอนเงินที่หน้าตู้เอทีเอ็มไปยังบัญชีของคนร้าย เมื่อเหยื่อโอนเงินให้แล้ว หัวหน้าแก๊งก็จะสั่งการให้ลูกน้องไปถอนเงินออกจากบัญชี โดยพบความเสียหายแล้วกว่าวันละหลายสิบล้านเยน

จากการสืบสวนพบว่ากลุ่มคนร้ายได้ลักลอบจัดตั้งสำนักงานคอลเซ็นเตอร์อยู่ในพื้นที่ จว.ชลบุรี จำนวน 2 แห่ง จึงได้ขออนุมัติหมายค้นต่อศาลจังหวัดพัทยาเข้าตรวจค้น มีรายละเอียดดังต่อไปนี้

จุดที่ 1 บ้านพูลวิลล่าหรู (บ้านระดับหัวหน้าสั่งการ) จากการตรวจค้นพบคนต่างด้าว สัญชาติญี่ปุ่น จำนวน 2 ราย ได้แก่ นายทากายูกิ (สงวนนามสกุล) และนายฮาจิเมะ (สงวนนามสกุล) พักอาศัยอยู่ มีพฤติการณ์เป็นผู้ควบคุมและสั่งการพนักงานคอลเซ็นเตอร์ พร้อมพบพยานหลักฐานโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ รวมจำนวน 42 รายการ และพยานหลักฐานที่ยืนยันว่าเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์จริง ได้แก่ ภาพการสนทนากับสมาชิกคอลเซ็นเตอร์, สคริปและข้อมูลของเหยื่อที่ถูกหลอกลวง เป็นต้น 

จุดที่ 2 บ้านพูลวิลล่า (บ้านทำคอลเซ็นเตอร์) จากการตรวจค้นพบคนต่างด้าวสัญชาติญี่ปุ่น จำนวน 3 ราย ได้แก่ นายเคนจิโระ (สงวนนามสกุล), นายทากาฮิโระ (สงวนนามสกุล) และ นายคัตสึฮิโตะ (สงวนนามสกุล) พักอาศัยอยู่ มีพฤติการณ์ในการเป็นพนักงานคอลเซ็นเตอร์ พร้อมพบพยานหลักฐานโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต กระดานรายชื่อ ข้อมูลของผู้เสียหาย รวมจำนวน 37 รายการ และพบพยานหลักฐานที่ยืนยันว่าเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์จริง ได้แก่ ภาพสคริป การสนทนากับเหยื่อ ข้อมูลของเหยื่อที่ถูกหลอกลวง เป็นต้น  

จากพฤติการณ์และพยานหลักฐานดังกล่าว เป็นที่น่าเชื่อว่าคนต่างด้าวทั้ง 5 ราย เป็นบุคคลที่เป็นภัยต่อสังคม ผบก.สส.สตม. จึงได้เพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร จากนั้นได้นำตัวส่ง กก.3 บก.สส.สตม. เพื่อกักตัวไว้รอการดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

จากการสืบสวนเพิ่มเติมพบว่า หัวหน้าแก๊งเคยเป็นสมาชิกยากูซ่า แก๊งยามากูจิ ในประเทศญี่ปุ่น โดยตรวจสอบเบื้องต้นพบว่ามีผู้เสียหายถูกหลอกลวง มูลค่าความเสียหายรวมเป็นเงิน 24,000,000 เยน/วัน หรือประมาณ 5 ล้านบาทต่อวัน ซึ่งพบว่ากลุ่มผู้กระทำความผิดนำเงินไปฟอกโดยการเปิดธุรกิจมีลักษณะการใช้คนไทยเป็นนอมินี ซึ่งจะได้ทำการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขยายผลการกระทำความผิดต่อไป      

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิด ในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองอาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี 11120 หรือติดต่อตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดในพื้นที่ หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

บช.ปส.เปิด ปฏิบัติการ 'สยบไพรีปราบสมุทร ep.3' จับกุมเครือข่ายลำเลียงยาเสพติดทางเรือ พื้นที่ จว.สงขลา ยึดเรือทัก SUMBER OCEAN

ตามนโยบายของ นางสาว แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่แถลงต่อรัฐสภา ว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับแก้ปัญหายาเสพติดเป็นนโยบายเร่งด่วน โดยแก้ปัญหายาเสพติดอย่างเด็ดขาดและครบวงจร เริ่มตั้งแต่การตัดต้นตอการผลิตและจำหน่ายด้วยการร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน การสกัดกั้น ควบคุมการลักลอบนำเข้าและตัดเส้นทางการลำเลียงยาเสพติด การปราบปรามและการยึดทรัพย์ผู้ค้าอย่างเด็ดขาด นั้น 

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. สั่งการให้ ,พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง จตช.รรท.รอง ผบ.ตร./ ผอ.ศอ.ปส.ตร. พล.ต.ท.สำราญ นวลมา  พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร.  และ พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4 รรท.ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. ขับเคลื่อนตามนโยบายของรัฐบาล บช.ปส. 

โดย พล.ต.ท.สันติ ชัยนิรามัย จตร.รรท.ผบช.ปส. ได้สั่งการให้ กองบังคับการข่าวกรองยาเสพติด(บก.ขส.) เปิดปฏิบัติการ 'สยบไพรีปราบสมุทร ep.3' ปิดล้อมตรวจค้น ยึด/อายัดทรัพย์สินกลุ่มเครือข่ายลักลอบขนยาเสพติดทางน้ำข้ามชาติ รายสำคัญในพื้นที่ จว.สงขลา

สืบเนื่องเมื่อวันที่ 4 ธ.ค.66 เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ขส. กับ บก.ปส.3 จับกุม นายเอกวิชญ์ฯ กับพวก พร้อมของกลาง ไอซ์ 1 ตัน คีตามีน 1.2 ตัน ขณะกำลังขนยาเสพติดของกลาง ลงจากรถกระบะ ไปขึ้นเรือ ที่ท่าเทียบเรือ อ.บางปะกง จว.ฉะเชิงเทรา จึงได้สืบสวนขยายผล ขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ร่วมขบวนการ 4 ราย ในข้อหากระทำความผิดฐาน"ร่วมกันผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 และประเภท 2 ฯ ,สมคบโดยการ ตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด" ประกอบด้วย  
1.นายชานนธ์ ฯ หมายจับ ที่ 471/2566  
2.นายนิรันดร์ ฯ หมายจับ ที่ 56/2567
3.นายชาญชัย ฯ หมายจับ ที่ 470/2566 (หลบหนีออกนอกประเทศ ออกหมายแดง) 
4.นายนพดล ฯ  หมายจับ ที่ 192/2567 (หลบหนีออกนอกประเทศ ออกหมายแดง)

สยบไพรีปราบสมุทร ep.1 วันที่ 9 – 20 ธ.ค.66  บก.ขส. ร่วมกับ บก.ปส.3 และ สำนักงาน ป.ป.ส. เปิดปฏิบัติการกดดัน ตัดท่อน้ำเลี้ยง ยึดอายัดทรัพย์สินของนายชาญชัยฯ กับพวก ประกอบด้วย  บ้านพร้อมที่ดิน, ร้านอาหารตำทะลวง, บริษัทประกอบธุรกิจการเดินเรือ, เงินสด, ทองรูปพรรณ,พระเครื่อง, และรถยนต์ จำนวนมาก รวมมูลค่ากว่า 140 ล้านบาท สยบไพรีปราบสมุทร ep.2  วันที่ 10 ส.ค.67 บก.ขส. ร่วมกับ บก.ปส.3 สืบสวนขยายผล อย่างต่อเนื่อง ทราบว่า กลุ่มนี้จะมีการลักลอบลำเลียงยาเสพติด โดยเรือสปีดโบ๊ท บริเวณท่าเรือ ในเกาะนกใหญ่รีสอร์ท ต.ตะกาดง้าว อ.ท่าใหม่ จว.จันทบุรี จึงได้วางแผนจับกุม นายอนันต์ฯ และพวกรวม 10 คน พร้อมของกลาง ไอซ์ 1.5 ตัน  ทำการยึดอายัดทรัพย์สิน เป็น บ้านพร้อมที่ดิน และรถยนต์ มูลค่ากว่า 10 ล้านบาท และติดตามจับกุม เครือข่ายได้ในพื้นที่ภาคกลาง และภาคอีสาน เพิ่มเติมอีก 2 ราย คือ นายเด่นฯ ในพื้นที่ กทม. และ นายวัชรพงษ์ฯ ในพื้นที่ จว.อุบลราชธานี ออกหมายจับกลุ่มเครือข่ายเพิ่มเติมอีก 8 ราย 

จากการสอบสวน นายอนันต์ฯ ให้ข้อมูลว่า เมื่อประมาณเดือน ม.ค.67 นายนพดลฯ ได้สั่งการให้ตนไปซื้อเรือทัก (Tug Boat) หรือ เรือลากจูง ที่ใช้ลากจูงเรือใหญ่ ในการเข้า/ออกท่าเรือ จากเมืองบาตั้ม ประเทศอินโดนิเซีย ชื่อว่า SUMBER OCEAN  โดยให้นายสมคิดฯ ทำหน้าที่กัปตันเรือ เพื่อใช้ลักลอบลำเลียงยาเสพติดออกนอกประเทศ บก.ขส. สืบทราบว่าวันที่ 17 ธ.ค.67 เรือ SUMBER OCEAN ที่มี นายสมคิดฯ กัปตันเรือ จะนำเข้ามาจอดซ่อมที่ท่าเรือเทพา อ.เทพาจว.สงขลา จึงได้รายงานให้ ผู้บังคับบัญชาทราบ 

วันนี้ (18 ธ.ค.67) พล.ต.ท.สันติ ชัยนิรามัย จตร.รรท.ผบช.ปส. สั่งการให้ พล.ต.ต.สมบูรณ์ เทียนขาว รอง ผบช.ปส.  พล.ต.ต.อิทธิพล จันทร์ศรีบุตร ผบก.ขส. ลงไปบัญชาการการปฏิบัติในพื้นที่ บูรณาการกำลังเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน ประกอบด้วย  บก.ขส.(ศขส.สข.) บก.ปส.4 ตำรวจน้ำ สงขลา, ปปส. ภ.9, กรมเจ้าท่าสงขลา, สภ.เทพา จว.สงขลา เปิดปฏิบัติการ  สยบไพรีปราบสมุทร ep.3 จับกุม นายสมคิดฯ กัปตันเรือ SUMBER OCEAN ตามหมายจับที่ 674/2567 ในข้อหา สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำ ผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดโดยมีลักษณะเป็นการกระทำขององค์กรอาชญากรรม ได้ที่บ้านพักใน จว.ตรัง และเข้าตรวจยึดอายัดเรือทัก (Tug Boat) หรือ เรือลากจูง SUMBER OCEAN บ้านพร้อมที่ดิน รถยนต์ และทรัพย์สินอื่น ๆ รวมมูลค่ากว่า 20 ล้านบาท

อนึ่ง เครือข่ายลำเลียงยาเสพติดทางเรือ ข้ามชาติขนาดใหญ่ นี้ สามารถจับกุมผู้ร่วมขบวนการ แล้ว 19 ราย ยึดอายัดทรัพย์สินกว่า 170 ล้านบาท มีนายนพดลฯเป็นผู้สั่งการ ลำเลียงยาเสพติดเส้นทางจากทะเลอันดามัน และ อ่าวไทย ปลายทางจะเป็นน่านน้ำสากลของเกาะใต้หวัน และประเทศฟิลิปปินส์  บช.ปส.จะได้ทำการสืบสวนขยายผล จับกุม ขุดรากถอนโคน และ ยึดอายัดทรัพย์สินของเครือข่ายนี้ อย่างต่อเนื่อง และ เต็มกำลังความสามารถ ต่อไป

กรุงเทพมหานคร ร่วมกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หารือแนวทางการทำงานร่วมกัน เพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ทั้งจราจร ยาเสพติด การประกอบธุรกิจผิดกฎหมาย 

เมื่อวานนี้ (17 ธ.ค.67) เวลา 15.30 น. นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ประชุมหารือแนวทางการทำงานร่วมกันระหว่างกรุงเทพมหานคร และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อบูรณาการแก้ไขปัญหาหลักในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยมี พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สยาม บุญสม จตร.รรท.ผบช.น. , นางวันทนีย์ วัฒนะ ปลัดกรุงเทพมหานคร , พล.ต.อ.อดิศร์ งามจิตสุขศรี ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร , รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องนพรัตน์ ชั้น 5 ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร

การประชุมหารือแนวทางการทำงานร่วมกันระหว่างกรุงเทพมหานครและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีการหารือประเด็นในด้านต่าง ๆ ดังนี้

1. การแก้ไขปัญหาด้านการจราจร โดยการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการชั่งน้ำหนักรถบรรทุก แล้วให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดี ซึ่งดำเนินการไปแล้วกว่า 300 คดี , การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการควบคุมสัญญาณไฟจราจร บังคับใช้กฎหมาย และวินัยจราจร ส่วนการจอดรถริมถนนสาธารณะ รอรับผู้โดยสาร หรือกลุ่มรถสาธารณะที่ตั้งตัวเป็นกลุ่ม สร้างพื้นที่อณาเขตต่าง ๆ ใช้กำลังทำร้ายร่างกาย หรือกลุ่มรถจักรยานยนต์ส่งสิ่งของหรืออาหารที่ขับขี่ฝ่าฝืนกฎหมาย จะต้องดำเนินการขั้นเด็ดขาด

2. การแก้ไขปัญหายาเสพติด บุหรี่ไฟฟ้า การขายสิ่งของผิดกฎหมาย Sex toy โดยเฉพาะในพื้นที่บริเวณโรงเรียนและสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ จะต้องสืบสวนปราบปรามไปยังผู้จำหน่าย ต้นตอการนำเข้า หรือการจำหน่ายที่ผิดกฎหมาย เพื่อสร้างอนาคตของเด็กและเยาวชนต่อไป

3. การแก้ไขปัญหาคนขอทาน การค้าประเวณี การค้าสินค้าผิดกฎหมาย คนเร่ร่อน หรือคนไร้บ้าน โดยนำหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ , สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง , กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว และกรุงเทพมหานคร เข้ามาร่วมกันแก้ไขปัญหา โดยจะมีการดำเนินการตามกฎหมาย หรือนำเข้าไปพักยังสถานที่พัก (Shelter) ส่วนคนขอทานทั้งคนไทยหรือคนต่างด้าวจะต้องดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

4. การหลอกลวงเอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยว การประกอบธุรกิจผิดกฎหมาย จะต้องร่วมกันตรวจสอบ บังคับใช้กฎหมาย ปราบปรามทุกมิติ ในสถานที่ต่าง ๆ  เช่น พื้นที่โดยรอบเกาะรัตนโกสินทร์ , ถนนสุขุมวิท , ถนนข้าวสาร เป็นต้น

5. ปัญหากลุ่มจีนเทาในพื้นที่ห้วยขวางและเขตอื่น ๆ จะต้องดำเนินการตรวจสอบ ปราบปรามทุกด้าน ตั้งแต่การเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักร วัตถุประสงค์การเข้ามา การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว สินค้าหรือธุรกิจที่ดำเนินกิจการ โดยดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะร่วมกับกรุงเทพมหานคร ตรวจสอบและดำเนินการในทุกด้าน

6. การใช้ที่ดินเขตพญาไทหรือพื้นที่เขตอื่น ๆ กรุงเทพมหานคร และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะได้หารือการใช้พื้นที่ร่วมกัน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้ใช้ร่วมกันสมัยที่เป็นตำรวจดับเพลิงแล้วโอนภารกิจไปให้กรุงเทพมหานคร และมีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อปี พ.ศ.2546 กำหนดแนวทางการดำเนินการในพื้นที่ดังกล่าวไว้ส่วนหนึ่งแล้ว

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวร่วมกันว่า ทั้งหมดนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกับกรุงเทพมหานคร แต่งตั้งคณะทำงานย่อยเชิงปฏิบัติการแต่ละด้าน เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาร่วมปฏิบัติการโดยเร็ว จะนำร่องปฏิบัติในพื้นที่โดยรอบเกาะรัตนโกสินทร์ ศาลหลักเมือง ถนนสุขุมวิท ถนนเยาวราช และพื้นที่ห้วยขวาง โดยจะกำหนดการปฏิบัติและกรอบระยะเวลาที่ชัดเจน ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและเห็นผลโดยเร็ว เพื่อให้กรุงเทพมหานครเป็นเมืองหลวง เมืองแห่งการท่องเที่ยว เมืองที่น่าอยู่ มีความสะดวกและปลอดภัย

พิษณุโลก กองทัพภาคที่ 3 จัดกิจกรรมเสริมทักษะและศักยภาพการปฏิบัติงานการพัฒนา พื้นที่เพื่อเสริมความมั่นคงตามแนวชายแดน 

(18 ธ.ค.67) เวลา 08.45 นาฬิกา ที่ ห้องประชุมปางอุบลโรงแรมวังจันทน์ ริเวอร์วิว อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก พลโท กิตติพงษ์ แจ่มสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 3 เป็นประธานเปิดกิจกรรมเสริมทักษะและศักยภาพการปฏิบัติงานการพัฒนาพื้นที่เพื่อเสริมความมั่นคงตามแนวชายแดนระดับจังหวัดและบูรณาการงาน ร่วมกับจังหวัดพื้นที่ตอนใน ประจำปีงบประมาณ 2568  

เพื่อให้กำลังพลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับทราบแนวทางการบริหารจัดการเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงเชิงพื้นที่ พ.ศ. 2566 – 2570 ของ สมช. ซึ่งจะเป็นข้อมูลในการเตรียมการดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้สามารถบูรณาการขับเคลื่อนงานในพื้นที่เป้าหมายร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาพื้นที่เป้าหมาย ได้แก่ 1.พื้นที่เป้าหมายที่จังหวัดประกาศ 2. พื้นที่โครงการพัฒนาเพื่อเสริมความมั่นคงเฉพาะพื้นที่ 3. พื้นที่เป้าหมายหมู่บ้านตำบลชายแดนของกองกำลังป้องกันชายแดน ในพื้นที่ กองทัพภาคที่ 3 เพื่อให้กำลังพลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เข้าใจ และมีความรู้ในกระบวนการจัดทำแผนงาน/โครงการด้านความมั่นคงหรือแผนงานเสริมความมั่นคง เพื่อบรรจุในแผนพัฒนาจังหวัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นรูปธรรม

ครม. เคาะงบกว่า 368 ล้านบาท รักษาเสถียรภาพราคามันสำปะหลัง ช่วยเหลือชาวไร่มัน ลดต้นทุนเกษตรกร

(17 ธ.ค. 67) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ (17 ธ.ค. 67) ที่นำโดยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มีมติอนุมัติมาตรการรักษาเสถียรภาพราคามันสําปะหลังตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ  ซึ่งเป็นไปตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการมันสำปะหลัง (นบมส.) เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2567 เพื่อช่วยเหลือสภาพคล่องของสถาบันเกษตรกรและผู้ประกอบการรับซื้อมันสำปะหลังโดยไม่เร่งระบายผลผลิต รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกและสร้างศักยภาพการแปรรูปของเกษตรกร ในการรักษาเสถียรภาพราคามันสำปะหลังในช่วงผลผลิตออกสู่ตลาดมาก ซึ่งจะส่งผลให้ราคามันสำปะหลังที่เกษตรกรขายได้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ประกอบด้วย 4 โครงการ ดังนี้
 
1. โครงการชดเชยดอกเบี้ยในการเก็บสต็อกมันสำปะหลัง ปี 2567/68 วงเงิน 300 ล้านบาท โดยสนับสนุนดอกเบี้ยแก่ผู้ประกอบการลานมัน โรงแป้ง โรงงานเอทานอลที่กู้ยืมเงินจากธนาคารพาณิชย์หรือธนาคารของรัฐ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้สามารถรับซื้อมันสำปะหลังและแปรรูปเก็บสต็อกในรูปแบบมันเส้นหรือแป้งมัน เป็นระยะเวลา 60 - 180 วัน เพื่อดึงผลผลิตส่วนเกินออกจากตลาด เป้าหมาย 6 ล้านตันหัวมันสด รัฐชดเชยดอกเบี้ยแก่ผู้เข้าร่วมโครงการฯ ในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี ตามระยะเวลาที่เก็บสต็อก และมีระยะเวลารับซื้อ ตั้งแต่ 1 มกราคม – 31 พฤษภาคม 2568 ระยะเวลาเก็บสต็อก ตั้งแต่ 1 มกราคม – 30 พฤศจิกายน 2568 ระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่วันที่ ครม.มีมติ – 31 ตุลาคม 2569

2. โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมมันสำปะหลังและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปี 2567/68 วงเงิน 17.50 ล้านบาท

โดย ธ.ก.ส.สนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร (สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชน) ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการรวบรวมหรือรับซื้อหัวมันสำปะหลังสด มันสำปะหลังเส้นจากเกษตรกร สถาบันเกษตรกรที่ดำเนินกิจการโดยมีสมาชิกประกอบอาชีพเลี้ยงสัตว์เป็นหลัก เพื่อช่วยดูดซับปริมาณผลผลิตมันสำปะหลัง เป้าหมาย วงเงินกู้ 500 ล้านบาท ผลผลิตประมาณ 200,000 ตัน อัตราดอกเบี้ยโครงการฯ ร้อยละ 4.5 ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อปี และรัฐสนับสนุนดอกเบี้ยให้ร้อยละ 3.5 ต่อปี ระยะเวลา 12 เดือน ระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่ ครม.มีมติ – 30 มิถุนายน 2569

3. โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกมันสำปะหลัง ปี 2567/68 วงเงิน 41.40 ล้านบาท โดย ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อแก่เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังเพื่อเป็นเงินทุนในการพัฒนาการผลิตโดยใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม และลดต้นทุนการผลิตมันสำปะหลัง เป้าหมายเกษตรกร 3,000 ราย รายละไม่เกิน 230,000 บาท วงเงินกู้รวม 690 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยโครงการฯ เท่ากับ MRR และรัฐรับภาระดอกเบี้ยให้ร้อยละ 3 ต่อปี เกษตรกรรับภาระในอัตรา MRR – 3 ระยะเวลา 24 เดือน  กำหนดระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่ ครม.มีมติ – 31 ตุลาคม 2570 

4. โครงการยกระดับศักยภาพการแปรรูปมันสำปะหลัง (เครื่องสับมันฯ)  วงเงิน 10 ล้านบาท โดยเป็นการสนับสนุนเงินทุนให้กลุ่มเกษตรกรเพื่อจัดหาเครื่องสับมันสำปะหลังขนาดเล็กพร้อมเครื่องยนต์ และอุปกรณ์สำหรับตากมันเส้น เครื่องละไม่เกิน 15,000 บาท เป้าหมาย 650 เครื่อง ระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่ ครม.อนุมัติ – 30 กันยายน 2568

นอกจากนี้ ยังได้เตรียมของบประมาณกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร เพื่อให้เกษตรกรชะลอการเก็บเกี่ยว มันสำปะหลังไปก่อนในช่วงที่ผลผลิตกำลังจะออกสู่ตลาดมากนี้ ให้ผลผลิตมีเชื้อแป้งและผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้เกษตรกรขายได้ราคา โดยจะสนับสนุนให้ใช้สินเชื่อจาก ธ.ก.ส. เป็นค่าใช้จ่ายในครัวเรือนระหว่างรอการเก็บเกี่ยว โดยรัฐบาลจะรับภาระดอกเบี้ยให้ส่วนหนึ่ง คาดว่าจะเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรได้ภายในสัปดาห์หน้า

“รัฐบาลนำโดยท่านนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญกับการดูแลราคาสินค้าเกษตรทุกตัวให้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในส่วนของกระทรวงพาณิชย์เอง ก็จะเร่งดำเนินมาตรการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยรักษาเสถียรภาพของราคา และขอให้เกษตรกรพัฒนาผลผลิตของตนเองให้มีคุณภาพ ซึ่งรัฐบาลจะช่วยสนับสนุนเกษตรกรไทยอย่างต่อเนื่อง ในการเพิ่มคุณภาพผลผลิต และลดต้นทุนการผลิต เป็นการเพิ่มรายได้ให้กับพี่น้องเกษตรกรไทยอย่างยั่งยืน“นายพิชัย กล่าว

โดยก่อนหน้านี้นายพิชัยได้หารือกับนายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ขอให้ผู้นำเข้าจีนช่วยรับซื้อมันสําปะหลังของไทย ที่ผลผลิตกำลังจะออกมามากในช่วงนี้ ทั้งยังได้ประสานขอให้ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ในไทย ให้ช่วยกันใช้ส่วนผสมจากมันสำปะหลังในการผลิตเยอะขึ้นด้วย

'เผ่าภูมิ' ตรวจเตรียมพร้อม 3 พิพิธภัณฑ์ธนารักษ์ ร่วมเทศกาล Night at the Museum 2024

ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ตรวจเยี่ยมเตรียมความพร้อมการจัดงานเทศกาลท่องเที่ยวพิพิธภัณฑ์ในยามค่ำคืน 2567 (Night at the Museum Festival 2024) ที่กรมธนารักษ์เข้าร่วม ณ พิพิธบางลำพู พิพิธภัณฑ์เหรียญกษาปณานุรักษ์ พิพิธตลาดน้อย โดยเข้าร่วมเทศกาลดังกล่าว ในวันที่ 20-22 ธันวาคม 2567

พิพิธภัณฑ์ที่เข้าตรวจเตรียมความพร้อมในวันนี้ แห่งแรกคือ 'พิพิธบางลำพู' เป็นศูนย์การเรียนรู้เพื่อชุมชนและสังคม รวมถึงพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญด้านต่าง ๆ ของชุมชนย่านบางลำพูตั้งแต่สมัยต้นรัตนโกสินทร์จนถึงปัจจุบัน กิจกรรมภายในงาน เช่น เข้าชมพิพิธบางลำพูยามค่ำคืน ชมนิทรรศการพิเศษตลาดอาหารไทยชูรส ร้านจำหน่ายสินค้าฝีมือคนไทย กิจกรรมสาธิตการทำขนมและเครื่องหอมไทย ชมวิวป้อมพระสุเมรุ และฉายหนังกลางแปลงบนดาดฟ้าพิพิธบางลำพู 

แห่งที่ 2 'พิพิธภัณฑ์เหรียญกษาปณานุรักษ์' จัดแสดงเกี่ยวกับเงินตราโบราณและเหรียญกษาปณ์ ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์จนถึงปัจจุบัน และเหรียญต่างประเทศ รวมทั้งการผลิตเหรียญกษาปณ์ และการอนุรักษ์เงินตรา ภายใต้แนวคิด 'วิถีแห่งเงินตรา สินล้ำค่าของแผ่นดิน' ในงาน จัดให้มีการเข้าชมนิทรรการรอบพิเศษในยามค่ำคืน (รอบสุดท้ายเวลา 20.30 น.) ชมนิทรรศการพิเศษ จังหวะ-กะ-เหรียญ ในรูปแบบ Mix Art Media ร่วม Workshop ชุมทางงานศิลป์ และลุ้นของรางวัลจากกิจกรรมเกมลูกเล่น-ลูกทุ่ง 

แห่งที่ 3 'พิพิธตลาดน้อย' จัดแสดงนิทรรศการเผยแพร่ความรู้ด้านประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจและสังคมของชุมชนย่านตลาดน้อย ภายในงาน มีการจัดกิจกรรมเข้าชมพิพิธภัณฑ์ยามค่ำคืน ชม ชิม ช็อป ตั๊กลักเกี้ย ไนท์มาร์เก็ต workshop ของเล่นกระดาษ ย้อนอดีตวันวาน ขนมมงคลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ และชมไฟแสงสีรอบอาคาร

โดยในช่วงเทศกาล Night at the Museum Festival 2024 จะเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมโดยไม่เสียค่าเข้าชม

ผบ.ทร./รอง ผอ.ศรชล. เป็นประธานการประชุม ศรชล. และหน่วยงานหลัก ร่วมมือจัดทำโครงการเสริมสร้างขีดความสามารถและการปฏิบัติงานบูรณาการร่วมกัน

(16 ธ.ค. 67) ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) จัดการประชุมคณะกรรมการบริหาร ศรชล. ครั้งที่ 3/2567 ณ โรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน กรุงเทพฯ 

โดยมีพลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ผบ.ทร.ในฐานะ รอง ผอ.ศรชล. เป็นประธานการประชุมฯ พร้อมผู้บริหารจากหน่วยงานหลักใน ศรชล.ในฐานะ ผช.ผอ.ศรชล. ประกอบด้วย พลเรือเอก ชลธิศ นาวานุเคราะห์ รอง ผบ.ทร. นายกริชเพชร ชัยช่วย อธิบดีกรมเจ้าท่า นายสุวัฐน์ วงศ์สุวัฒน์
รองอธิบดีกรมประมง ผู้แทนอธิบดีกรมประมง นายจักกฤช อุเทนสุต รองอธิบดีกรมศุลกากร ผู้แทนอธิบดีกรมศุลกากร ดร.ปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พล.ต.ต.จักรพันธุ์ รัตนเทวมาตย์ ผู้แทนผู้บังคับการกองบังคับการตำรวจน้ำ และนางสาวสุนัน เพชรชู ผู้ตรวจราชการ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ร่วมด้วยกรรมการบริหาร ศรชล. อีก 26 หน่วยงานเข้าร่วมการประชุมฯ 

โดยมี พลเรือเอก ไพโรจน์ เฟื่องจันทร์ เสธ.ทร. ในฐานะเลขาธิการ ศรชล. ดำเนินการประชุมฯ ก่อนการประชุมคณะกรรมการบริหารฯ เป็นการประชุมระดับผู้บริหาร ศรชล. (Senior Officials Meeting: SOM) โดยมีประเด็นหารือเกี่ยวกับแนวความคิดในการบูรณาการการเสนอโครงการเสริมสร้างขีดความสามารถของ ศรชล. แนวทางการจัดหาที่ดินสำหรับก่อสร้างอาคาร ศคท.จังหวัด กรณีเรือประมงที่เข้าไปทำการประมงในพื้นที่ที่ไม่ได้รับอนุญาต และแนวทางปรับโครงสร้างและอัตรากำลังของ ศรชล.

จากนั้น ผบ.ทร./รอง ผอ.ศรชล. ได้เข้ามาเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหาร ศรชล. ครั้งที่ 3/2567 โดยมีสาระสำคัญในการประชุมฯ ได้แก่ การรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของ ศรชล. ประจำปีงบประมาณ 2567 และแผนการดำเนินงานประจำปีงบประมาณ 2568 และรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ครั้งที่ 1/2567 ที่ผ่านมา

โดยก่อนปิดการประชุม ผบ.ทร./รอง ผอ.ศรชล. ได้กล่าวขอบคุณหน่วยงานหลักของ ศรชล. ที่ได้ให้ความร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจในการขับเคลื่อนการปฏิบัติงานของ ศรชล. ในมิติต่าง ๆ ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นไปด้วยความเรียบร้อยตามความมุ่งหมาย “ศรชล. เป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ที่ได้รับการยอมรับในระดับภูมิภาคเพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนของประเทศชาติและประชาชน”

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน 0909535645

ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ ตรวจเยี่ยมการทดสอบความรู้ ของทหารใหม่ ผลัด 3/67

เมื่อวานนี้ (16 ธ.ค.67) พล.ร.อ.พิจิตต  ศรีรุ่งเรือง ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ ตรวจเยี่ยมการทดสอบความรู้ หัวข้อวิชาชีพทหารเรือ ของทหารใหม่ ผลัด 3/67 โดยมี  น.อ.ทิวา  อ่อนละออ ผู้บังคับการศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ และคณะ ให้การต้อนรับ ณ​ กองบังคับการศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

การทดสอบความรู้ หัวข้อวิชาชีพทหารเรือ ประกอบด้วย วิชาการเรือ , เชือกเงื่อน และ การป้องกันความเสียหาย (ปคส.) ของทหารใหม่ผลัด 3/67 ถูกบรรจุให้มีการอบรมแก่ทหารใหม่ทุกนาย เป็นไปตามนโยบายผู้บัญชาการทหารเรือที่กำหนดให้เป็นปีแห่งความปลอดภัยของกองทัพเรือ 'Navy-Safety 2025'

โอกาสนี้ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารเรือ ได้ให้แนวทางแก่ทหารใหม่ ในการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์แก่กองทัพเรือ สังคม และในชีวิตประจำวันต่อไป

ทร.โดย ทรภ.1 จับกุมผู้ต้องหา 2 ราย พร้อมของกลางไอซ์ 483 กก.เตรียมส่งออกทางทะเล

กองทัพเรือ (ทร.) โดยทัพเรือภาคที่ 1 (ทรภ.1) บูรณาการจับเครือข่ายยาเสพติดเตรียมนำส่งออกทางทะเล การจับกุมเครือข่ายยาเสพติดครั้งนี้ เกิดจากการบูรณาการร่วมกันระหว่าง สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด, กองทัพเรือโดยทัพเรือภาคที่ 1 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หลังจากสืบทราบว่าเครือข่ายยาเสพติดข้ามชาติ ลำเลียงยาเสพติดจากภาคเหนือผ่านพื้นที่ภาคกลาง โดยมีเป้าหมายกระจายในประเทศและลักลอบส่งออกทางทะเล ผ่านเส้นทางชายฝั่งภาคตะวันออกและอ่าวไทย เจ้าหน้าที่จึงเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด จนนำไปสู่การจับกุมผู้ต้องหาพร้อมของกลาง ที่ซุกซ่อนในกล่องโฟมท้ายรถกระบะในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี 

ซึ่งในวันที่ 16 ธันวาคม 2567 พลเรือโท เฉลิมชัย สวนแก้ว รองเสนาธิการทหารเรือ (สายงานกำลังพล) พลเรือตรี รังสรรค์ บัวเผือก รองผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 / รองผู้อำนวยการ ศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ทัพเรือภาค 1 พร้อมด้วย พลเรือโท ภาณุรัตน์ หลักบุญ (เลขาธิการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหา 2 ราย พร้อมของกลางไอซ์ จำนวน 483 กิโลกรัม ณ สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เขตพญาไท กรุงเทพฯ 

ในการนี้ เลขาธิการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กล่าวเพิ่มเติมว่า จะมีการขยายผลยึดทรัพย์เครือข่ายและประสานกับประเทศปลายทาง ตามนโยบายรัฐบาลที่มุ่งเน้นการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดอย่างเป็นรูปธรรม โดยเน้นการบูรณาการข่าวสารและกำลัง จากทุกภาคส่วน ทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ

ฝนสะสม 3 วัน มวลน้ำจากเทือกเขาหลวงทะลัก สุราษฎร์ธานีอ่วมประกาศพื้นที่ภัยพิบัติ บางจุดสูง 1 เมตร

(16 ธ.ค. 67) จังหวัดสุราษฎร์ธานีประกาศพื้นที่ภัยพิบัติเพิ่มเป็น 8 อำเภอ หลังชาวบ้านประสบความเดือดร้อนหนักจากน้ำท่วม รักษาการผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี พร้อมเจ้าหน้าที่ ปภ. และฝ่ายปกครอง นำถุงยังชีพเยี่ยมชาวบ้าน โดยมีราษฎรได้รับความเดือดร้อน 14,319 ครัวเรือน มีผู้เสียชีวิต 3 ราย  ขณะที่สถานการณ์ล่าสุดยังมีฝนตกหนักต่อเนื่องในหลายพื้นที่

พื้นที่บ้านดอนหลวง ม.1 ต.ท่าอุแท อ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นจุดรับน้ำก่อนลงทะเล ประสบปัญหาน้ำท่วมสูงกว่า 80 เซนติเมตร บางจุดสูงถึง 1 เมตร โดยมวลน้ำจากเทือกเขาหลวง จ.นครศรีธรรมราช และมวลน้ำฝนที่ตกหนักต่อเนื่องมากกว่า 3 วัน ไหลมาสมทบ สร้างความยากลำบากในการใช้ชีวิตของชาวบ้าน

นายธีรุตม์ ศุภวิบูลย์ผล รักษาการผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี พร้อมเจ้าหน้าที่จาก ปภ. และฝ่ายปกครอง ได้นำถุงยังชีพมาเยี่ยมชาวบ้านในพื้นที่ และประเมินสถานการณ์ในช่วงกลางคืน พบว่าชาวบ้านสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ในระดับหนึ่ง แต่ยังคงประสบความยากลำบากในการดำรงชีวิต โดยล่าสุดประกาศพื้นที่ภัยพิบัติแล้ว 8 อำเภอ ได้แก่ อ.เมืองสุราษฎร์ธานี อ.กาญจนดิษฐ์ อ.ดอนสัก อ.ท่าชนะ อ.ท่าฉาง อ.เกาะสมุย อ.เกาะพะงัน และ อ.บ้านนาสาร

สำหรับสถานการณ์ในพื้นที่ อ.กาญจนดิษฐ์ มีผู้ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมแล้ว 8 ตำบล 47 หมู่บ้าน 2,208 ครัวเรือน รวม 5,247 คน ส่วนผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้มี 2 ราย โดยล่าสุดคือ นายวรกิตต์ อายุ 15 ปี ซึ่งเสียชีวิตจากดินถล่มในพื้นที่ อ.เมืองสุราษฎร์ธานี เมื่อเช้าวันนี้ (16 ธ.ค.)

ในส่วนของเขตเทศบาลนครสุราษฎร์ธานี ฝนตกหนักติดต่อกันเป็นเวลานานกว่า 3 ชั่วโมง ทำให้ถนนหลายสายถูกน้ำท่วมขังและเกิดการจราจรติดขัดจากถนนกาญจนวิถีไปจนถึงหน้าโรงพยาบาลทักษิณ ซึ่งเป็นพื้นที่ลุ่มที่รับน้ำจากถนนอื่นๆ น้ำจึงท่วมสูงและการสัญจรเป็นไปอย่างยากลำบาก ล่าสุดรักษาการผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานีได้สั่งปิดการจราจรบนถนนเส้นดังกล่าวชั่วคราว และจัดการสูบน้ำท่วมขังออกจากพื้นที่ด้วยรถสูบน้ำของ ปภ.สุราษฎร์ธานี

นอกจากนี้โรงเรียนในเขตเทศบาลได้ประกาศปิดเรียนหลายแห่ง และปรับแผนมาเรียนออนไลน์เพื่อความปลอดภัยของนักเรียน ขณะเดียวกัน สายการบินหลายแห่งที่มีกำหนดการถึงสนามบินสุราษฎร์ธานีในช่วง 19.00-19.30 น. ต้องเปลี่ยนเส้นทางไปยังสนามบินภูเก็ตจนกว่าสภาพอากาศจะดีขึ้น ก่อนจะบินกลับมายังสนามบินสุราษฎร์ธานีในช่วง 20.00-21.00 น.


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top