Sunday, 22 June 2025
NEWS FEED

“ผบช.สตม. เดินหน้าปราบปราม แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย ชูเชียงใหม่เป็นจังหวัดนำร่อง ขอความร่วมมือผู้ประกอบการ เตือนอย่าหลงเชื่อบุคคลอ้างเรียกเก็บค่าดำเนินการ ย้ำหากทำให้หน่วยงานเสียหายจะดำเนินคดีทันที ”

วันนี้ (23 ธ.ค. 67) เวลา 13.00 น. ที่ โรงแรมสมายล์ ล้านนา จ.เชียงใหม่  พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ธนิต ไทยวัชรามาศ รอง ผบช.สอท. ช่วยราชการ รอง ผบช.สตม. , พ.ต.อ.ศราวุธ วะเท รอง ผบก.ตม.5,พ.ต.อ.สุรชัย เอี่ยมผึ้ง ผกก.ตม.จว.เชียงใหม่ เชิญนายจ้าง ผู้ประกอบการในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ทำความเข้าใจให้ความรู้การอนุญาตให้อยู่ต่อในราชอาณาจักรและการจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล สำหรับคนต่างด้าว 4 สัญชาติ เตือน "โบรกเกอร์เถื่อน" หลอกเรียกเงินนายจ้างนำเข้าแรงงาน พบดำเนินคดีเด็ดขาด

พล.ต.ท.ภาณุมาศฯ  กล่าวว่า วันนี้ตนได้เชิญนายจ้างและผู้ประกอบการในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ มาเข้ารับการอบรม ทำความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินการของ สตม. กับคนต่างด้าว 4 สัญชาติ กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม ให้เป็นไปตามมติของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 ก.ย. ที่ผ่านมา ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความถูกต้อง ครบถ้วน สะดวกรวดเร็วกับทั้งตัวผู้ประกอบการและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ เพื่อให้คนต่างด้าวสามารถอยู่ต่อในราชอาณาจักรได้อย่างถูกต้อง  โดยผู้ประกอบการทุกท่านสามารถนำคนต่างด้าวที่ซึ่งได้รับการอนุญาตให้อยู่ต่อในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวถึงวันที่ 13 ก.พ.68 มารับการตรวจอนุญาตให้อยู่ต่อในราชอาณาจักรภายในวันที่ 13 ก.พ.68 และคนต่างด้าวที่มีสถานะไม่ถูกต้องตามกฎหมายเข้าจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคลได้ภายในวันที่ 28 มิ.ย.68 หากล่วงเลยกำหนดระยะเวลาดังกล่าวจะมีความผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ มาตรา 81 ฐานอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือการอนุญาตสิ้นสุด สำหรับนายจ้าง หรือผู้ประกอบการ อาจจะมีความผิดฐานให้เข้าพักอาศัย ซ้อนเร้น ให้ความช่วยเหลือด้วยประการใดๆ ให้คนต่างด้าวพ้นจากการจับกุม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 50,000 บาท และขอความร่วมมือนายจ้างและผู้ประกอบการทุกท่านไม่จ้างแรงงานต่างด้าวที่ไม่มีอนุญาตทำงาน หรือ ให้คนต่างด้าวทำงานที่ต้องห้ามคนต่างด้าวทำ 40 งาน แบ่งเป็น งานที่ห้ามทำเด็ดขาด 27 งาน และงานที่ให้คนต่างด้าวทำได้โดยมีเงื่อนไข 13 งาน ซึ่งหากตรวจพบการฝ่าฝืนกฎหมาย คนต่างชาติทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือทำงานนอกเหนือสิทธิจะมีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 – 50,000 บาท และถูกผลักดันส่งกลับ และในส่วนนายจ้างที่จ้างคนต่างชาติที่ไม่มีใบอนุญาตทำงาน หรือให้คนต่างชาติทำงานนอกเหนือสิทธิจะมีโทษปรับตั้งแต่ 10,000-100,000 บาทต่อคนต่างชาติที่จ้างหนึ่งคน หากกระทำผิดซ้ำต้องมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000 – 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และห้ามจ้างคนต่างชาติทำงานเป็นเวลา 3 ปี 

ทั้งนี้ยังได้กำชับ นายจ้าง สถานประกอบการ ปัจจุบันเริ่มมีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับ
การมอบอำนาจให้ตัวแทน ( Agent )  ไปดำเนินการติดต่อ กับทาง กระทรวงแรงงาน หรือ ตรวจคนเข้าเมือง เพื่อดำเนินการเกี่ยวกับแรงงานต่างด้าว  ตาม มติ ครม. โดยมีการเรียกค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ นั้น  ขอเรียนว่าในส่วนขั้นตอนของ สตม.  นั้น  ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ที่เกินจากค่าธรรมเนียมที่ทางราชการกำหนดไว้  และปัจจุบันยังไม่ถึงขั้นตอนของ สตม. คือขั้นตอนการอนุญาตให้อยู่ต่อในราชอาณาจักร จึงมั่นใจว่าไม่มีเจ้าหน้าที่คนใดไปเรียกเก็บผลประโยชน์อย่างแน่นอน หากพบเบาะแสสามารถแจ้งเข้ามาได้ที่ตรวจคนเข้าเมืองทุกจังหวัด หรือแจ้งมาที่ตน จะดำเนินการอย่างเด็ดขาดทุกกรณี

ผบช.สตม. กล่าวอีกว่า ทั้งนี้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลโดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเน้นไปที่ภาคการท่องเที่ยว พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. จึงได้สั่งการให้ทุกหน่วยโดยเฉพาะ สตม. เร่งปราบปรามอาชญากรรม ที่เกี่ยวข้องกับการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย การแย่งอาชีพคนไทย อย่างจริงจัง หากพบเบาะแส การกระทำความผิดของคนต่างด้าว สามารถแจ้งได้ที่ตรวจคนเข้าเมืองทุกจังหวัดทั่วประเทศ

'มนพร' เปิดโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมเปิดใช้ถนนทางหลวงชนบทสาย มห.3019 มุกดาหาร มอบเป็นของขวัญปีใหม่ 2568

เมื่อวานนี้ (22 ธ.ค.67) เวลา 09.00 น. นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มอบให้ นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 72 พรรษา 28 กรกฎาคม 2567 ของกระทรวงคมนาคม พร้อมเปิดใช้ถนนสาย มห.3019 แยก ทล.212 - บ้านบางทรายใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร มอบเป็นของขวัญปีใหม่ 2568 ให้ประชาชนได้รับความสะดวก ปลอดภัย และมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น 

นางมนพร กล่าวว่า กรมทางหลวงชนบท (ทช.) ได้ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงคมนาคม ในการพัฒนาและยกระดับมาตรฐานทางหลวงชนบท สนับสนุนการคมนาคมขนส่งและการท่องเที่ยว โดยเฉพาะจังหวัดมุกดาหารซึ่งเป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงถนนสายดังกล่าวให้มีความสมบูรณ์ตามนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจ เพิ่มศักยภาพการขนส่งระหว่างนิคมอุตสาหกรรมกับสะพานมิตรภาพไทย - ลาว แห่งที่ 2 สู่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) และจังหวัดใกล้เคียง ได้แก่ กาฬสินธุ์ และนครพนม สนับสนุนเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน (Special Economic Zone: SEZ) ส่งเสริมการเพิ่มขีดสมรรถนะทางเศรษฐกิจของประเทศตามนโยบายส่งเสริมและยกระดับเปิดประตูการค้า การท่องเที่ยว เพื่อเชื่อมโยงการเดินทางทุกมิติ สอดรับกับวิสัยทัศน์ของรัฐบาลในการเป็นศูนย์กลางขนส่งของภูมิภาค (Logistic Hub) เพื่อเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจ กระจายความเจริญจากเมืองใหญ่สู่เมืองเล็ก อีกทั้งเป็นการเพิ่มโครงข่ายโลจิสติกส์การขนส่งออกสู่ สปป.ลาว โดยไม่ต้องผ่านเข้าสู่ตัวเมืองอีกด้วย

นายมนตรี เดชาสกุลสม อธิบดีกรมทางหลวงชนบท กล่าวเพิ่มเติมว่า พื้นที่โครงการตั้งอยู่บริเวณตำบลโพนทราย และบางทรายใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร มีจุดเริ่มต้นบริเวณ ทล.12 (กม. ที่ 781+000) และไปสิ้นสุดที่บริเวณ ทล.212 (กม. ที่ 414+262) ซึ่งในช่วง 4 กิโลเมตรแรกจะดำเนินการขยายถนนจาก 2 ช่องจราจร เป็น 4 ช่องจราจร ส่วนที่เหลือดำเนินการก่อสร้างถนนใหม่ทั้งหมดจนไปถึงจุดสิ้นสุดโครงการเชื่อมกับสะพานมิตรภาพไทย - ลาว แห่งที่ 2 โดยเป็นถนนผิวจราจรแบบคอนกรีตเสริมเหล็กขนาด 4 ช่องจราจร ไป - กลับ กว้างช่องละ 3.5 เมตร ไหล่ทางกว้างข้างละ 1.5 - 2.5 เมตร และทางเท้าบริเวณชุมชน พร้อมสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก 4 แห่ง ติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่าง เครื่องหมายจราจร สิ่งอำนวยความปลอดภัย และระบบระบายน้ำ ระยะทาง 14.211 กิโลเมตร ใช้งบประมาณ 804.159 ล้านบาท ถนนสายนี้จะช่วยเพิ่มความสะดวกรวดเร็วในการคมนาคมขนส่งอย่างเต็มประสิทธิภาพ ช่วยเสริมสร้างความปลอดภัยและมั่นใจให้แก่ประชาชนที่สัญจรบนเส้นทางดังกล่าว รวมทั้งจะช่วยแก้ไขปัญหาการจราจรที่ติดขัดในตัวเมือง รองรับการเจริญเติบโตของเมืองในอนาคตได้อย่างเป็นรูปธรรม

ในโอกาสนี้ นายวรญาณ บุญณราช ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงและหัวหน้าหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม สื่อมวลชน ประชาชนในพื้นที่ ร่วมให้การต้อนรับ โดยมี นายมนตรี เดชาสกุลสม อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เป็นผู้กล่าวรายงาน

บึงกาฬ-สนามบึงกาฬเดือด2พรรคใหญ่ส่งชิงนายกฯ-ส.อบจ.

สนามการเมืองท้องถิ่น ชิง นายกอบจ. และ ส.อบจ. วันแรกคึกคัก โดยครั้งนี้มีตัวแทนจากพรรคใหญ่ อย่างพรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย ส่งตัวแทนชิงเก้าอี้อย่างดุเดือด

เมื่อเวลา 07.30 น.วันที่ 23 ธ.ค.ผู้สื่อข่าวรายว่า ที่บริเวณโดมเอนกประสงค์ สำนักงานองค์การบริหารส่วนจังหวัดบึงกาฬ อ.เมืองบึงกาฬ จ.บึงกาฬ ที่ กกต.ใช้เป็นสถานที่รับสมัครเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ซึ่งเป็นวันรับสมัครวันแรก ท่ามกลางบรรยากาศคึกคักของกองเชียร์และผู้สมัครมีมาเฝ้ารอตั้งแต่เช้าตรู่ ประมาณ 07.30 น. ซึ่งก่อนถึงเวลารับสมัคร โดยทางคณะกรรมการจัดการเลือกตั้งได้จัดเตรียมสถานที่ไว้อย่างเป็นระบบ จัดโซนผู้สมัคร ผู้ติดตามและกองเชียร์อย่างชัดเจน

นายวนาชาติ วงศ์พุทธา ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดบึงกาฬ ในฐานะ ผอ.การเลือกตั้งประจำองค์การบริหารส่วนจังหวัดบึงกาฬ  พร้อมเจ้าหน้าที่คณะกรรมการ คอยรับสมัครและอำนวยความสะดวกให้กับผู้มารับสมัคร โดยในวันนี้มีผู้มาสมัครชิงตำแหน่งนายก อบจ.จำนวน 3 คน โดยคนแรกเป็นว่าที่ร้อยตรีภูมิพันธ์ บุญมาตุ่น ประธานสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว กลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 พร้อมคณะผู้สมัคร สจ.จากกลุ่มเพื่อไทบึงกาฬ ที่ได้รับการสนับสนุนจากพรรคเพื่อไทย คนที่ 2 นายฉัตราวุฒ ทองสัมฤทธิ์ ในนามอิสระ คนที่ 3 นางแว่นฟ้า ทองศรี ดีกรีภริยา ดร.ทรงศรี ทองศรี รมช.มหาดไทย อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบึงกาฬ(แชมป์เก่า) พร้อมคณะผู้สมัคร สจ.จากกลุ่มฅนบึงกาฬ ที่ได้รับการสนับสนุนจากพรรคภูมิใจไทย 

หลังจากนั้น ทางคณะกรรมการจึงได้ให้ตามเวลาลงทะเบียนการรับสมัคร รับเบอร์ผู้สมัครนายก อบจ. ผลปรากฏว่าการลงทะเบียน ว่าที่ร้อยตรีภูมิพันธ์ บุญมาตุ่น กลุ่มเพื่อไทบึงกาฬ จากพรรคเพื่อไทย ได้เบอร์ 1
นายฉัตราวุฒ ทองสัมฤทธิ์ ได้เบอร์ 2 ในนามอิสระ
นางแว่นฟ้า ทองศรี จากพรรคภูมิใจไทย ได้เบอร์ 3 จากนั้นคณะกรรมการได้ดำเนินการจับสลากผู้สมัคร สมาชิก อบจ.ในแต่ละเขต ทั้ง 24 เขตซึ่งเหตุการณ์เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ท่ามกลางกองเชียร์ที่เดินทางมาให้กำลังใจและมอบดอกไม้ พวงมาลัยคล้องคอ ผูกผ้าขาวม้า กันอย่างคึกคักให้กับผู้สมัครของตนที่มาสมัครและจับสลากเอาเบอร์

ส่วนพรรคประชาชน ส่งผู้สมัครแค่สมาชิก อบจ. 2 เขต มี ส.อบจ.เมืองบึงกาฬ เขต 1 และ ส.อบจ.เซกา เขต 3 เท่านั้น

ด้านนายจุมพฎ วรรณฉัตรสิริ ผู้ว่าราชการจังหวัด กล่าวว่า เชิญชวนประชาชนชาวบึงกาฬออกมาใช้สิทธิ์ ในครั้งนี้ให้มากๆ เลือกคนที่ท่านรักที่ท่านชอบ ช่วยบริหารท้องถิ่น พัฒนาบึงกาฬร่วมกัน และยืนยันว่า การเลือกตั้งนายก อบจ. และ ส.อบจ. บึงกาฬ ด้วยความโปร่งใส และยุติธรรม 

ณฐพรหม อิทธิพัทธ์พล//บึงกาฬ 0961464326

ประธานชมรมพยาบาลสี่เหล่า มอบรางวัล ”คนดีศรีพยาบาลสี่เหล่า

พลเรือตรีหญิง ทัศนีย์ อาชวาคม อดีตท่านผู้บริหารวิทยาลัยพยาบาลกองทัพเรือ และ นาวาเอกหญิงเรืองรอง วิยาภรณ์ อดีตรองผู้อำนวยการ รพ. สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ ที่ทำคุณประโยชน์ต่อสังคม นานัปการ เข้ารับรางวัล ”คนดีศรีพยาบาลสี่เหล่า” จาก พลตรีหญิง ศิริจันทร์ งาทอง ประธานชมรมพยาบาลสี่เหล่า ณ ห้องชมัยมรุเชฐ ชั้น 3 สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ 

โดยมี คณาจารย์วิทยาลัยพยาบาลกองทัพเรือ ข้าราชการฝ่ายการพยาบาล โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ และโรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ ร่วมแสดงความยินดี เมื่อ 19 ธ.ค.67 ผ่านมา

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน 0909535645

‘สองแถวใจดี’ ขับรถพา นักเรียนทำงานพาร์ทไทม์ ส่งถึงที่บ้านฟรี เผย!! เลิกงานดึก ไม่มีรถไปถึงที่บ้าน ชาวเน็ต แห่ชื่นชม ความมีน้ำใจ

(22 ธ.ค. 67) หญิงขับรถสองแถว โพสต์คลิปแบ่งปันเรื่องราวดีๆ ในสังคม เมื่อเจอ 2 นักเรียนทำงานพาร์ทไทม์ เลิกงานดึกมา หารถกลับบ้านไม่ได้ จึงเข้ามาขอความช่วยเหลือ ชาวเน็ต แห่ชื่นชม ความใจดี ช่วยให้เด็กๆได้กลับบ้านปลอดภัย

โดยผู้ใช้ TikTok ชื่อ 'kai_kanokon' ได้โพสต์คลิป พร้อมคำบรรยายในคลิปว่า  

"เด็กๆเลิกเรียนมาทำงานพิเศษ ภาพไม่ต้องสร้าง เพราะถ้าสร้างทุกวันคงจะเหนื่อยน่าดู"

พร้อมใส่คำบรรยายเล่าเรื่องราวเพิ่มเติมว่า "หลังสี่ทุ่มแล้วหารถต่อยากมาก ปกติเด็กๆจะลงปากซอย 28 (ก่อนถึงสวนหลวง ร.9) วันนี้เด็กๆกดกริ่งลงปากซอย 28 แต่ๆ..น้องเดินมาคุยพร้อมกันสองคนว่า ป้าไปส่งพวกผมถึงที่ได้มั้ย ตอนนี้ไม่มีรถไปถึงที่บ้านแล้วครับ"

ซึ่งในคลิป จะเห็นหญิงคนขับรถสองแถวที่กำลังขับรถพาเด็กๆ ที่เพิ่งเลิกจากงานพาร์ทไทม์ ไปส่งบ้าน ทั้งยังใจดีบอกด้วยว่า ไม่คิดเงิน ส่งให้ฟรี

ด้านชาวเน็ตที่ได้รับชมคลิปต่างเข้ามาคอมเมนต์ชื่นชม เช่น ขอบคุณแทนน้องค่ะขอให้เจริญรุ่งเรืองค่ะ / ขอบคุณในความใจดีของพี่ ดีใจแทนเด็กๆที่เจอคุณพี่ / ขอบคุณที่ช่วยน้องๆนะคะ / เด็กๆคงมีกำลังใจทำงาน / ขอบคุณในความใจดี ขอให้สิ่งดีๆเกิดขึ้นกับคุณในทุกวันนะคะ เป็นต้น

‘อาจารย์สาว’ เป็นงง!! หลังโทรไปหา ‘ผู้ปกครองของนักเรียน’ ยังไม่ทันได้อธิบาย โดนด่าว่าเป็น ‘แก๊งคอลเซ็นเตอร์’ แล้วตัดสาย

(22 ธ.ค. 67) อาจารย์ที่ปรึกษาของห้องเรียน โทรไปถามผู้ปกครองว่า ลูกชายทำไมถึงไม่มาเรียน เรื่องกลับตาลปัตร โดนพ่อด่าหาว่าเป็น ‘แก๊งคอลเซ็นเตอร์’

โดยในคลิปอาจารย์โบนัส กำลังโทรไปหาผู้ปกครองของนักเรียนคนหนึ่ง หลังพบว่าไม่มาเรียนหนังสือโดยไม่ได้แจ้งลา 

เมื่อผู้ปกครองรับสายก็ถามทันทีว่า “ใครครับ” อาจารย์จึงบอกว่า “อันนี้เป็นอาจารย์เองค่ะ”

แต่ยังไม่ทันที่จะได้อธิบายหรือแจ้งธุระที่ต้องโทรไป คุณพ่อก็วีนใส่หาว่าอาจารย์คือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พร้อมกับบ่นแล้วด่าว่า “แก๊งคอลเซ็นเตอร์อีกแระ วันๆ ไม่ทำ 5 อะไร แค่นี้แหละ ทำงาน ทำการบ้าน” ก่อนจะวางสายใส่ทันที

ทำเอาอาจารย์ถึงกับอึ้ง ก่อนจะบ่นว่า “ไม่ใช่ จะบอกว่าลูกคุณไม่มาโรงเรียน” จากนั้นอาจารย์ก็โทรไปใหม่ แล้วรีบอธิบายตัวเองอย่างรวดเร็ว เพราะกลัวว่าคุณพ่อจะเข้าใจผิดอีกว่าเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แล้วถามว่าทำไมลูกชายของคุณพ่อถึงไม่มาเรียนในวันนี้

เมื่อคุณพ่อรู้ว่า เป็น ‘อาจารย์จริง’ ไม่ใช่ ‘แก๊งคอลเซ็นเตอร์’ เสียงก็เปลี่ยนทันที แล้วบอกว่า นึกว่าเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โทรมา แล้วก็บอกเหตุผลที่ลูกไม่เรียนว่า ‘ลูกป่วย’

‘เป็ด เชิญยิ้ม’ เข้ารพ.!! หลังพบติดเชื้อ ‘โนโรไวรัส’ เจ้าตัวยังอารมณ์ดี ชี้!! รีบเป็นเพราะ ‘กลัวตกเทรนด์’

เมื่อวานนี้ (21 ธ.ค. 67) ดร.ธัญญา โพธิ์วิจิตร หรือ ‘เป็ด เชิญยิ้ม’ นักแสดงตลกอาวุโส ได้โพสต์ภาพในชุดผู้ป่วย ระบุว่า … 

ทันสมัยมากครับ กลัวตกเทรนด์รีบเป็นกันซะครับ ราคาไม่แพง โรคระบาดเพิ่งมา เป็ดแม่งงงงเป็นซะก่อน อาการ ท้องเสีย ถ่ายเป็นน้ำ ปวดเมื่อยตัวคลื่นไส้อาเจียน แข็งใจว่าจะไม่มา สุดท้ายต้องนอนให้น้ำเกลือ ณ โรงพยาบาลพญาไท นวมินทร์

เหล่าแฟนๆ และชาวโซเชียล ได้เข้าไปส่งกำลังใจ ขอให้หายป่วยกันอย่างต่อเนื่อง

‘เชน ธนา’ ประกาศขาย!! ตึกสำนักงาน ที่ลาดพร้าว ราคาแบบขาดทุน 58 ล้าน เผย!! ถึงเวลาต้องจากลา หลังคาน้อยที่พาโตจนเติบใหญ่ จะคิดถึงสุดหัวใจ

(21 ธ.ค. 67) ขอทำงานขายของเพื่อกู้วิกฤตให้กับบริษัท สำหรับผู้บริหารหนุ่ม ‘เชน ธนา’ หรือ ธนาตรัยฉัตร ภูโชคอนันต์ หลังจากบริษัทรับผลิตอาหารเสริมแจ้งความ ฐานฉ้อโกง ไม่จ่ายค่าผลิตสินค้าเสริมอาหาร มูลค่า 79 ล้านบาท

ทำให้ที่ผ่านมาจะเห็น ‘เชน ธนา’ ไลฟ์ขายของและขายสินค้าหลาย ๆ อย่าง เพื่อนำเงินมาชดใช้ในกรณีที่เกิดขึ้น

ล่าสุด เชน ธนา โพสต์ประกาศขายตึกสำนักงาน โครงการ WISE ลาดพร้าว 71 เป็นโฮมออฟฟิศ 5 ชั้น 3 คูหา ในราคา 58 ล้านบาท ซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัท โดยระบุในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า …

“ขายสำนักงาน 3 ตึก 58 ล้าน ลดค่าใช้จ่ายบริษัทครับ”

นอกจากนี้ เชน ธนา ยังแชร์โพสต์ดังกล่าวลงในสตอรี่ พร้อมข้อความด้วยว่า … 

“ถึงเวลาบอกกล่าวและจากลา หลังคาน้อยที่พาโตจนเติบใหญ่ จะคิดถึงในอดีตสุดหัวใจ สู้ต่อไป สู้สุดใจ สู้ทุกวัน”

‘จิรายุ’ เผย!! ‘แพทองธาร’ เป็นนายกรัฐมนตรี 3 เดือน ทำงานเข้าตาประชาชน วางเป้า!! ทำให้คนไทย หลุดจาก ‘กับดักความยากจน’ ก้าวสู่ประเทศพัฒนาแล้ว

(21 ธ.ค. 67) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากผลการสำรวจความคิดเห็นของนอร์ทกรุงเทพโพล มหาวิทยาลัยนอร์ท กรุงเทพ ในประเด็น ‘ท่านเห็นว่าบุคคลใดที่สมควรได้รับการยกย่องให้เป็นนักการเมืองแห่งปี 2567’ พบว่า ประชาชนชื่นชมและชื่นชอบโหวตให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร มาเป็นอันดับหนึ่ง นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณทุกกำลังใจ ถือว่าจะเป็นอีกแรงผลักดันสำคัญในการทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชนต่อไป

นายจิรายุ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีทำหน้าที่บริหารประเทศมาเพียง 3 เดือน ได้เร่งผลักดันแก้ไขปัญหาที่เป็นประโยชน์ ต่อประเทศชาติและตรงตามความต้องการของประชาชน ซึ่งผลการสำรวจความคิดเห็นนี้จะเป็นอีกเสียงที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการทำงาน ความสำเร็จที่เห็นผล อย่างเป็นรูปธรรมในการเดินหน้าในทุกนโยบาย ของรัฐบาล ทั้งนี้ รัฐบาลรับฟังความคิดเห็นทั้งคำชมหรือข้อแนะนำเพื่อนำไปปรับปรุงให้เป็นประโยชน์ในการบริหารราชการแผ่นดิน

นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลยืนยันว่าจะขอทำงานให้หนักมากขึ้นกว่าเดิม ทั้งการลงพื้นที่แก้ไขปัญหาในทุก ๆ หมู่บ้าน ทุกตำบล ทุกอำเภอ ทุกจังหวัดและทุกภาคของประเทศและการเป็นตัวแทนของประเทศเพื่อนำพาประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักและเชิญชวนนักลงทุนและนักท่องเที่ยวมาประเทศไทยให้ได้มากที่สุด โดยมีเป้าหมายที่จะทำให้ประเทศไทยมีความเจริญก้าวหน้าในทุกตารางนิ้วของประเทศ ตามนโยบาย 2568 โอกาสไทยทำได้จริง หลังจากภาวะเศรษฐกิจ สังคมหยุดนิ่งมานานหลายปี

โฆษกรัฐบาล ยังกล่าวอีกด้วยว่า นายกรัฐมนตรียืนยันว่าปีหน้าจะเร่งสปีดนโยบายต่างๆโดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาอุทกภัย ซึ่งช่วงหน้าฝน ประชาชนจะได้ไม่ต้องมาเสี่ยงภัยกับอุทกภัยซ้ำซากแบบนี้อีก นอกจากนี้การเร่งรัดนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ รัฐบาลจะเร่งทำอย่างเป็นระบบเพื่อให้เห็นผลสัมฤทธิ์โดยเร็ว รวมทั้งการปราบปรามยาเสพติดที่ มอบนโยบายเร่งด่วนให้ส่วนราชการให้ดำเนินการให้เป็นไปตามเป้าหมาย

ทั้งนี้นายกรัฐมนตรียืนยันและขอให้มั่นใจว่ารัฐบาลจะนำพาเศรษฐกิจและสังคมรวมทั้งสิ่งดี ๆ กลับคืนสู่พี่น้องประชาชนให้ได้ในเร็ววันนี้ โดยมีเป้าหมายที่จะต้องทำให้ประเทศไทยหลุดกับดักความยากจนและก้าวไปสู่ประเทศพัฒนาแล้วให้ได้

รมว.กต.เผยเวที 6 ประเทศเพื่อนบ้านเมียนมา-เวทีอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการลุล่วงด้วยดี - ชี้เป็นเวทีสำคัญให้เมียนมาร่วมมือกับเพื่อนบ้านเข้ามามีส่วนร่วมแก้ไขปัญหา - ย้ำทุกประเทศอาเซียนยึดฉันทามติ 5 ข้อ 

นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยภายหลังการเป็นเจ้าภาพการหารืออย่างไม่เป็นทางการระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ 6 ประเทศเพื่อนบ้านเมียนมา ทั้งไทย สปป.ลาว จีน อินเดีย และบังกลาเทศ เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2567 เพื่อหารือแนวทางการส่งเสริมความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เป็นข้อห่วงกังวลร่วมกัน และการหารืออย่างไม่เป็นทางการในกรอบอาเซียนซึ่ง สปป.ลาวเป็นประธาน และประเทศไทยเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการจัดการหารือเมื่อวานนี้ (20 ธ.ค.) ว่า การประชุมเมื่อวันที่ 19 ธ.ค. เป็นโอกาสให้มีการหารือระหว่างเมียนมากับประเทศเพื่อนบ้านทุกประเทศพร้อมกันเกี่ยวกับปัญหาที่เป็นผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งในเมียนมาที่มีต่อประเทศเพื่อนบ้านและภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านความมั่นคงบริเวณชายแดน และอาชญากรรมข้ามชาติ อาทิ การค้ายาเสพติด การค้ามนุษย์ การหลอกลวงออนไลน์ เพื่อหาแนวทางจัดการแก้ไขปัญหาร่วมกัน โดยเชื่อว่าจะช่วยเสริมความพยายามของอาเซียนใน การแก้ไขปัญหาเมียนมาผ่านแนวทางการเจรจาได้ในท้ายที่สุด ทั้งนี้ ไทยเห็นว่าความร่วมมือจะเกิดขึ้นได้ก็เมื่อมีการพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมาและจริงใจ รวมถึงการแสดงความพร้อมที่จะสนับสนุนการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งการหารืออย่างไม่เป็นทางการครั้งนี้ก็ถือได้ว่าประสบผลสําเร็จอย่างดี เพราะประเทศเพื่อนบ้านรอบๆ เมียนมาต่างแสดงความพร้อมสนับสนุนเมียนมาในการหาข้อยุติภายในประเทศ 

ส่วนการหารืออย่างไม่เป็นทางการในกรอบอาเซียนซึ่ง สปป.ลาวเป็นประธานนั้น นายมาริษ เปิดเผยว่า ทุกประเทศสมาชิกอาเซียนยังคงยึดฉันทามติ 5 ข้อ หรือ 5 Point Consensus และหวังเห็นพัฒนาการ หรือมีสัญญาณเชิงบวกในการแก้ไขปัญหาเมียนมา แต่ท้ายที่สุด การตัดสินใจจะเป็นไปในทิศทางใด ก็ขึ้นอยู่กับเมียนมา หรือหากพูดตรงๆ ก็คือ ''ไม่มีใครรู้จักประเทศเมียนมา ดีเท่ากับประเทศเมียนมาเอง'' 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top