Wednesday, 30 April 2025
ECONBIZ NEWS

รัฐบาลตั้ง 3 แนวทางแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน

 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี แสดงความเป็นห่วงสถานการณ์หนี้ครัวเรือนที่เรื้อรังมายาวนาน และจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ยืดเยื้อ ส่งผลกระทบต่อรายได้และความสามารถในการชำระหนี้ของประชาชน และยิ่งทำให้ปัญหานี้ท้าทายมากขึ้น ดังนั้น เพื่อเป็นการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนแบบเบ็ดเสร็จ รัฐบาลจึงเดินหน้าใน 3 เรื่องสำคัญ ประกอบด้วย 1. การให้ความรู้ทางการเงินแก่ประชาชน 2.การกำกับดูแลเจ้าหนี้ให้ปล่อยสินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม และ 3.การปรับโครงสร้างหนี้และการไกล่เกลี่ยปัญหาหนี้สิน

ทั้งนี้ มาตรการแก้ไขปัญหาหนี้สินในครั้งนี้จะมีผลช่วยลดภาระของประชาชน และทำให้ประชาชนมีเงินเหลือไว้ใช้สอยมากขึ้น ซึ่งถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยอีกทางหนึ่ง โดยจะมีประชาชนกลุ่มต่างๆหลายล้านคนได้รับประโยชน์จากมาตรการแก้ปัญหาในครั้งนี้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก โดยเห็นว่าระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วย “การเป็นหนี้” ไม่มีทางที่จะยั่งยืน สุ่มเสี่ยงต่อปัญหาเสถียรภาพในระยะยาว ประชาชนที่มีหนี้มักจะมีความกังวลต่างๆมากมาย ไม่มีสมาธิ ทำให้ใช้ชีวิตได้ไม่เต็มศักยภาพ ซึ่งบั่นทอนศักยภาพของประเทศโดยรวม
 
สำหรับการผลักดันมาตรการแก้หนี้ ซึ่งรัฐบาลได้กำหนดมาตราการระยะสั้นและระยะยาวในการแก้ปัญหาดังกล่าว โดยมาตรการระยะสั้นที่สามารถดำเนินการได้ภายใน 6 เดือน อาทิ การลดภาระดอกเบี้ยของประชาชน การแก้ไขการคำนวณดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้และดอกเบี้ยในช่วงพักชำระหนี้ที่ไม่เป็นธรรม การทบทวนเพดานดอกเบี้ยบัตรเครดิต สินเชื่อบุคคลและสินเชื่อจำนำทะเบียน การปรับลดค่าธรรมเนียมที่ไม่จำเป็นและที่เรียกเก็บอย่างไม่สมควร โดยเร่งรัดให้คณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ประกาศกำหนดอัตราค่าทวงถามหนี้โดยเร็วที่สุด

ขณะที่ การกำกับดูแลธนาคารเฉพาะกิจ และสหกรณ์ออมทรัพย์ให้มีการบริหารความเสี่ยงการให้สินเชื่อที่เหมาะสม ลดการให้ลูกหนี้ซื้อประกันความเสี่ยงที่ไม่จำเป็นและพิจารณายกเลิกการค้ำประกันด้วยบุคคล เน้นการไกล่เกลี่ยปัญหาหนี้สินเพื่อลดการดำเนินคดีกับประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรให้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เร่งไกล่เกลี่ยปัญหาหนี้กับผู้กู้ที่คำพิพากษาถึงที่สุดแล้วกว่า 1.2 ล้านราย และกลุ่มที่ยังไม่ฟ้องอีก 1.1 ล้านราย และเพิ่มการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ เพราะการที่ประชาชนรายย่อยไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนในระบบได้และต้องไปกู้นอกระบบเป็นหนึ่งในต้นเหตุของการเป็นหนี้ที่กติกาไม่เป็นธรรมและดอกเบี้ยสูงเกินเหตุ และแก้ปัญหาหนี้ครูด้วย

รมว.เฮ้ง เปิดศูนย์ฉีดวัคซีนโควิด-19 ผู้ประกันตน ม.33 สร้างภูมิคุ้มกันหมู่ 4 จังหวัดเศรษฐกิจ ชลบุรี ระยอง สมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา เริ่ม 8 ก.ค. 64 เป็นต้นไป

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดศูนย์ฉีดวัคซีนโควิด-19 เพื่อผู้ประกันตนมาตรา 33 ณ เซ็นทรัลพลาซ่า ชลบุรี, อมตะ คาสเซิล อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี พร้อมเดินหน้าสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้ผู้ประกันตนใน 4 จังหวัดเศรษฐกิจ ชลบุรี ระยอง สมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา โดยมี นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พลตำรวจตรีนันทชาติ ศุภมงคล ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประจำกระทรวงแรงงาน นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ โฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง) ร่วมตรวจเยี่ยมในครั้งนี้โดยมี นายภัครธรณ์ เทียนไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี นายนันทชัย ปัญญาสุรฤทธิ์ โฆษกสำนักงานประกันสังคม นาวาตรีวิทวัส กู้ประเสริฐ ประกันสังคมจังหวัดชลบุรี และผู้บริหารกระทรวงแรงงานพร้อมเจ้าหน้าที่ให้การต้อนรับ 

จากนั้น รมวแรงงาน และคณะได้เดินทางลงพื้นที่ต่อไปยังศูนย์ฉีดวัคซีน บริษัท เดลต้า อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) สาขานิคมอุตสาหกรรมเวลโกรว์ อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยมี นางสาวไพลิน จินดามณีพร หัวหน้าผู้ตรวจราชการกรม สำนักงานประกันสังคม นางสาวปาริฉัตร จันทร์อำไพ ประกันสังคมจังหวัดฉะเชิงเทรา และนางสาวหัฏหิริภิม ณมงคลบุญวงษ์ หัวหน้าประกันสังคมจังหวัดฉะเชิงเทรา สาขาบางปะกง พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงแรงงานและเจ้าหน้าที่ ให้การต้อนรับ 

นายสุชาติ กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้มีนโยบายให้การฉีดวัคซีนเป็น “วาระแห่งชาติ”กระทรวงแรงงาน ภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงาน ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้มอบหมายสำนักงานประกันสังคมบูรณาการร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข โดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กระทรวงการคลัง โดยธนาคารกรุงไทย และสถานพยาบาลเครือข่ายประกันสังคม ทั้งภาครัฐและเอกชน ให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้กับผู้ประกันตน เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดไม่ให้กระจายออกสู่วงกว้างทั้งในโรงงานและสถานประกอบการ ซึ่งระยะแรกได้มีการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ผู้ประกันตนมาตรา 33 ในพื้นที่สีแดงเข้ม ในกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย.- 6 ก.ค.64 ที่ผ่านมา มีผู้ประกันตนมาตรา 33 ได้รับการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca) เข็มแรกไปแล้ว 583,313 คน โดยในระยะถัดไปจะได้เร่งฉีดให้กับผู้ประกันตนในจังหวัดพื้นที่เศรษฐกิจ
          
นายสุชาติ กล่าวต่อว่า ในวันนี้ถือเป็นโอกาสอันดีที่ตนได้มาเปิดศูนย์วัคซีนโควิด-19 เพื่อผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่จังหวัดชลบุรี ตามนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญในการฉีดให้กับผู้ประกันตน เพื่อสร้างภูมิป้องกันโรคให้กับผู้ประกันตน คนรอบข้าง และผู้เข้ามารับบริการ เพื่อให้กิจการและเศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้ พร้อมกันนี้ กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม จะเร่งดำเนินการฉีดวัคซีนให้กับผู้ประกันตนมาตรา 33 ใน 4 จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี ระยอง สมุทรปราการ และฉะเชิงเทรา ซึ่งศูนย์ฉีดวัคซีนผู้ประกันตนในแต่ละจังหวัด มีดังนี้ซึ่งจากการสำรวจความต้องการฉีดวัคซีนผ่านระบบ e-service ของผู้ประกันตน ตัวเลขล่าสุด ณ วันที่ 7 ก.ค.64 จังหวัดชลบุรี ที่นิคมอมตะซิตี้ ชลบุรี เซ็นทรัลพลาซ่า ชลบุรี แปซิฟิกพาร์ค ศรีราชา และเซ็นทรัลมารีน่า พัทยา มีผู้ประกันตนลงทะเบียนต้องการวัคซีน 394,899 คน มีศักยภาพการฉีดวันละ 4,200 คน จังหวัดระยอง ที่สวนอุตสาหกรรมอีสเทิร์นอินดัสเตรียลปาร์ค ปลวกแดง บริษัท เอส ซี จี เคมีคอลไทย จำกัด มีผู้ประกันตนลงทะเบียนต้องการฉีดวัคซีน จำนวน 257,851 คน มีศักยภาพการฉีดได้วันละ 2,000 คน จังหวัดฉะเชิงเทรา ที่บริษัท เดลต้า อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) มีผู้ประกันตนลงทะเบียนต้องการฉีดวัคซีน จำนวน 150,527 คน และจังหวัดสมุทรปราการ ที่บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ หอประชุมที่ว่าการอำเภอพระสมุทรเจดีย์ บริษัท ต่อยอดเฟรช (ประเทศไทย) จำกัด และหอชมเมืองสมุทรปราการ มีผู้ประกันตนที่ต้องการฉีดวัคซีนจำนวน 483,426 คน มีศักยภาพ การฉีดวันละ 4,000 คน โดยจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 8 กรกฎาคม 2564 เป็นต้นไป เวลา 09.00- 16.00 น. (จันทร์- ศุกร์)


         
ทั้งนี้ เฉพาะผู้ประกันตนที่ลงทะเบียนผ่านระบบ e-service เท่านั้น ไม่รับ Walk in ขอให้ผู้ประกันตนทุกคนมั่นใจว่า กระทรวงแรงงานพร้อมดำเนินงานอย่างเต็มความสามารถ เพื่อสนับสนุน ให้ผู้ประกันตนเข้าถึงบริการวัคซีนโควิด-19 อย่างแน่นอน สำหรับผู้ประกันตนที่ลงทะเบียนไว้แล้ว แต่ยังไม่ได้รับการนัดหมายให้เข้ารับการฉีดวัคซีนในล็อตแรก หากสำนักงานประกันสังคมได้รับการจัดสรรวัคซีน จะนัดหมายให้เข้ารับการฉีดในล็อตถัดไปเรียงตามลำดับการลงทะเบียน หากท่านไม่มาตามกำหนดเวลา จะถือว่าสละสิทธิ์ หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ติดต่อ สายด่วน 1506 กด 7 เจ้าหน้าที่พร้อมให้บริการตั้งแต่เวลา 08.00 - 17.00 น. ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ

กระทรวงอุตสาหกรรม ผนึกกำลังภาครัฐและภาคเอกชน เปิดงานประกวดนวัตกรรม Catalyst Startup 2021 เร่งศักยภาพ Startup ยกระดับนวัตกรรมไทย เฟ้นหาสุดยอด BCG Startup ต่อยอดธุรกิจเข้าถึงแหล่งทุน

นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เผยถึงที่มาของการจัดงาน เกิดจากนโยบายรัฐบาล ที่ตั้งเป้าหมายในการเปิดประเทศในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งจะมุ่งเน้นการเร่งฟื้นตัวเศรษฐกิจของประเทศ การปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจให้สอดคล้องกับวิถีใหม่ที่เกิดขึ้น ตลอดจนการปรับทักษะแรงงาน เน้นการสร้างโอกาสใหม่ให้แก่บุคลากรภาคอุตสาหกรรมที่ต้องการประกอบอาชีพอิสระ ค้าขายส่วนตัว หรือการประกอบธุรกิจส่วนตัวที่นำความรู้ความสามารถของตนเองมาช่วยในการสร้างธุรกิจ จนอาจจะสามารถเกิดเป็นผู้ประกอบการใหม่ หรือผู้ประกอบการธุรกิจ Startup ได้ เพื่อตอบสนองนโยบายของรัฐบาล

กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานภายใต้กำกับทุกหน่วยงาน ได้เตรียมแนวทางในการสนับสนุนด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นด้านการเงินที่มีการสนับสนุนสินเชื่อสำหรับการพัฒนาธุรกิจ การส่งเสริมและพัฒนาภาคอุตสาหกรรม ภายใต้แนวคิดการพัฒนาการตลาด และการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมไปใช้ในธุรกิจ ซึ่งจะสามารถเร่งศักยภาพและยกระดับนวัตกรรมไทย ตามนโยบายและเป้าหมายที่กำหนดไว้ได้

งาน Catalyst Startup 2021 เร่งศักยภาพ Startup ยกระดับนวัตกรรมไทย จะเป็นหนึ่งในแนวทางที่กระทรวงอุตสาหกรรม โดยสำนักงานกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ และหน่วยงานพันธมิตร ภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันต่าง ๆ จะร่วมกันขับเคลื่อนและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การส่งเสริมและสนับสนุนให้มีผู้ประกอบการ Startup ที่สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์หรือบริการด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมให้มีจำนวนมากขึ้น

โดยภายในงาน จะมีกิจกรรม Online Demo Day ที่จะคัดเลือกผู้สมัครจำนวน 35 ทีม มาทำร่วมทำ Work Shop พร้อมการนำเสนอไอเดียหรือแผนธุรกิจต่อคณะกรรมการจากหน่วยงานพันธมิตร เพื่อคัดเลือกเข้าสู่กิจกรรม Pitching Day ที่จะได้มีโอกาสนำเสนอไอเดียหรือแผนธุรกิจต่อหน่วยงาน บริษัทชั้นนำ และเหล่านักลงทุน ได้แก่

กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม, สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล, ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, บริษัท ไลฟ์ฟินคอร์ป จำกัด, บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน), บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน), บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท บีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล จำกัด, บริษัท บัวหลวงเวนเจอร์ส จำกัด, บริษัท อินโนสเปซ (ประเทศไทย) จำกัด และ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย เป็นต้น

ซึ่ง Startup ที่ผ่านการคัดเลือกเหล่านี้ อาจจะมีโอกาสในการได้รับการร่วมลงทุน หรือได้รับสินเชื่อ เพื่อต่อยอดหรือเสริมสภาพธุรกิจได้ในอนาคต โดยภายหลังจากการจัดงานในครั้งนี้ คาดว่าจะสามารถเกิดการร่วมลงทุนหรือได้รับสินเชื่อจากหน่วยงานหรือบริษัทชั้นนำที่ร่วมงาน ไม่น้อยกว่า 12 ทีม วงเงินสินเชื่อ หรือเงินลงทุนไม่น้อยกว่า 60 ล้านบาท ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวปิดท้าย

ผู้สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการหรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง Facebook สำนักงานกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ www.facebook.com/thaismefund/ หรือเว็บไซต์งาน Catalyst Startup 2021 เร่งศักยภาพ Startup ยกระดับนวัตกรรมไทย www.catalyststartup.tech

ทั้งนี้ ผู้สมัครที่ผ่านการคัดเลือกเข้าสู่กิจกรรม Online Demo Day จำนวน 35 ทีม จะได้รับการสนับสนุนค่าใช้บริการ Online Enterprise System จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และบริษัท ไลฟ์ฟินคอร์ป จำกัด ทีมละ 10,000 บาทต่อทีม

และบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด มอบคูปองใช้บริการ HUAWEI CLOUD Credit ทีมละ 5,000 USD หรือประมาณ 150,000 บาทต่อทีม และสำหรับผู้ชนะภายในกิจกรรม Pitching Day บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด มอบคูปองใช้บริการ HUAWEI CLOUD Credit ทีมละ 10,000 USD หรือ ประมาณ 300,000 บาทต่อทีม พร้อมสิทธิในการเข้าร่วม HUAWEI Partner Network และสิทธิ์ในการเข้าร่วมอบรมหลักสูตร HUAWEI CLOUD หลักสูตรละประมาณ 50,000 บาทต่อทีม


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

กระทรวงแรงงาน เตรียมจัด"นัดพบแรงงาน Online" ช่วยคนหางาน ผ่านวิกฤตโควิด -19

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน สั่งจัด"นัดพบแรงงาน Online พร้อมกันใน 9 จังหวัดใหญ่ นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ นครราชสีมา อุดรธานี เชียงใหม่ เชียงราย พิษณุโลก และนครศรีธรรมราช เป้าหมายช่วยคนถูกเลิกจ้าง คนว่างงาน และคนได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 ที่รุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยังไม่มีทีท่าว่าจำนวนผู้ติดเชื้อจะลดลง ส่งผลให้การดำเนินการในกิจกรรมต่างๆรวมทั้งการจัดหางานในรูปแบบที่ผ่านมา ที่มีการรวมตัวกันของคนจำนวนมาก ต้องชะลอ ปรับ เปลี่ยน เพื่อความปลอดภัยตามมาตรการศบค. อย่างไรก็ดี ความต้องการจ้างงานและความต้องการมีงานทำยังคงมีอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่รอไม่ได้  ทุกหน่วยงานจึงต้องปรับรูปแบบและแนวทางของการดำเนินงานตามโครงการต่างๆ ให้เหมาะสม หลังประชุมหารือได้ข้อสรุปว่า สำนักงานจัดหางานจังหวัดจะจัดงานนัดพบแรงงานใหญ่ในรูปแบบ “นัดพบแรงงาน  Online” พร้อมกันใน 9 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนนทบุรี จังหวัดปทุมธานี จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดอุดรธานี จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดเชียงราย จังหวัดพิษณุโลก และจังหวัดนครศรีธรรมราช ในวันที่ 6 สิงหาคม 2564 เวลา 09.00 น. -16.30 น. โดยการใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ สร้างห้องแต่ละประเภทกิจกรรม อาทิ ห้องกิจกรรมนัดพบแรงงาน ห้องกิจกรรมการฝึกอบรมสาธิตการประกอบอาชีพ ห้องกิจกรรมการฝึกอบรมเพิ่มทักษะฝีมือแรงงาน เพื่อให้ผู้สนใจได้ลงทะเบียนในห้องกิจกรรมที่ต้องการ และมีสำนักงานจัดหางานจังหวัดเป็นผู้ประสาน กำหนดนัดหมาย ตารางคิวการสัมภาษณ์งานผ่านระบบ VDO Conference  ซึ่งขั้นตอนทั้งหมดจะดำเนินการแบบออนไลน์ ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์

“ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน รู้สึกห่วงใยคนว่างงานจากสถานการณ์โควิด-19 อย่างมาก และได้กำชับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกคนว่า นอกจากการปฏิบัติงานในหน้าที่แล้ว ยังต้องทำงานด้วยความเห็นอกเห็นใจประชาชน คำนึงถึงความลำบากของคนหางาน เพื่อเปิดโอกาสให้กับคนหางานได้เข้าถึงตำแหน่งงาน นำไปสู่การมีงานทำ มีรายได้ มีคุณภาพชีวิตที่ดี ตามที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน เน้นย้ำมาโดยตลอดว่าคนไทยที่ประสงค์ทำงานต้องได้รับโอกาส สามารถเข้าถึงการจ้างงานที่สะดวกรวดเร็ว เพื่อให้มีรายได้เลี้ยงดูตนเองและครอบครัว” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าว

ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า ขณะนี้ได้มอบหมายให้สำนักงานจัดหางานจังหวัดลงพื้นที่สำรวจตำแหน่งงานว่างของนายจ้าง/สถานประกอบการที่ต้องการเข้าร่วมงานนัดพบแรงงาน Online เพิ่มเติมตั้งแต่วันนี้ จนถึงสิ้นเดือนกรกฎาคม  เพื่อรวบรวมข้อมูลตำแหน่งงานว่างอย่างเป็นปัจจุบันที่สุดลงในระบบ เตรียมพร้อมแก่คนหางานที่จะมาใช้บริการนัดพบแรงงาน Online ในวันที่  6 สิงหาคม 2564  
นอกจากการจัดงานนี้ กรมการจัดหางานยังรวบรวมตำแหน่งงานว่าง ทั้งงานประจำและงานพาร์ทไทม์ จากนายจ้าง/สถานประกอบการทั่วประเทศที่ยังมีความต้องการจ้างงาน จำนวน 72,569 อัตรา โดยตำแหน่งงานว่าง 10 อันดับแรกที่นายจ้าง/สถานประกอบการต้องการมากที่สุด ได้แก่ 1.แรงงานในด้านการผลิตต่าง ๆ, แรงงานทั่วไป 2.แรงงานด้านการประกอบอื่น ๆ 3.แรงงานด้านการผลิต 4.พนักงานขาย และผู้นำเสนอสินค้าอื่นๆ 5.ตัวแทนนายหน้าขายบริการธุรกิจอื่นๆ 6. ตัวแทนขายผลิตภัณฑ์ 7.พนักงานจัดส่งสินค้าอื่น ๆ 8.พนักงานขายสินค้า (ประจำร้าน), พนักงานขายของหน้าร้าน 9.พนักงานขับรถยนต์ 10.นักการตลาด ; เจ้าหน้าที่การตลาด ; เจ้าหน้าที่ส่งเสริมการขาย ซึ่งจะได้รับอัตราค่าจ้างตามที่กฎหมายกำหนด

“ทั้งนี้ ผู้ว่างงานที่ประสงค์จะหางานทำ สามารถเลือกสมัครงานผ่านช่องทางการให้บริการจัดหางานรูปแบบออนไลน์ด้วยตนเองได้ที่เว็บไซต์ smartjob.doe.go.th  เพื่อหลีกเลี่ยงการเดินทางไปติดต่อที่สำนักงาน ลดการรวมตัวกันของคนจำนวนมาก และป้องกันการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 แต่ในกรณีที่ไม่สามารถใช้บริการแบบออนไลน์ได้ สามารถติดต่อขอรับบริการ ณ ศูนย์บริการจัดหางานเพื่อคนไทย (Smart Job Center) สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 และสำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด โดยปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรคที่สาธารณสุขในพื้นที่กำหนด” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว

โฆษกแรงงาน โต้ ส.ส.มด ประกันสังคมจ่ายเยียวยาคนงานในแคมป์ไปแล้วกว่า 28 ล้านบาท  

นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ โฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง) เปิดเผยว่า ตามที่ ส.ส.มด นางสาววรรณวิภา ไม้สน ส.ส.พรรคก้าวไกล ออกมาให้ข่าวทางทวิตเตอร์และเพจ
เฟสบุ๊คส่วนตัวว่า วันนั้นบอกจ่ายเงินสดทุก 5 วัน วันนี้ บอกดีเดย์เริ่ม 23 นี้ สรุปว่าจะเยียวยาก็เกือบเดือน รัฐบาลชุดนี้เหลืออะไรให้เชื่อถือได้บ้าง ? นั้น ในเรื่องนี้ กระทรวงแรงงาน ขอชี้แจงรายละเอียด ดังนี้ กรณีการประกาศปิดแคมป์คนงานก่อสร้างตามประกาศ ศบค.นั้น กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม ได้จ่ายสิทธิประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานเหตุสุดวิสัยโควิด-19 โดยตัดจ่ายระยะเวลา 5 วัน ตั้งแต่วันที่ 28 มิถุนายน - 2 กรกฎาคม 2564 ได้มีการจ่ายให้แก่ลูกจ้างจำนวน 13,655 ราย เป็นเงิน 28,494,966.60 บาท

นางเธียรรัตน์ กล่าวต่อว่า ส่วนการจ่ายเงินวันที่ 23 กรกฎาคมนั้น เป็นเงินของรัฐบาล ตาม พ.ร.บ.กู้เงินที่จะเยียวยาให้ลูกจ้างและนายจ้างเพิ่มเติม ซึ่งเป็นเงินคนละส่วนกับของสำนักงานประกันสังคม การที่ ส.ส.พรรคฝ่ายค้าน ออกมาให้ข่าวลักษณะดังกล่าวทำให้ประชาชนเกิดความสับสน เข้าใจผิด ถ้าไม่ทราบข้อมูลที่แท้จริงให้มาสอบถาม ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานยินดีต้อนรับทุกคน ในการแก้ไขปัญหาให้พี่น้องผู้ใช้แรงงานให้ได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด

บทเรียนจากกิ่งแก้ว ภาพจำจากอดีตสู่แนวทางของโรงงานอุตสาหกรรมในวันข้างหน้า

จากเหตุการณ์ไฟไหม้โรงงานผลิตเม็ดโฟมพลาสติก “หมิงตี้” ซอยกิ่งแก้ว สมุทรปราการ เปลวไฟที่โหมกระหน่ำและควันสีดำที่พวยพุ่งสู่เบื้องสูงสร้างมลภาวะไปทั่วบริเวณเป็นรัศมีไกลหลายกิโลเมตร ความสูญเสียนอกจากทรัพย์สินของชาวบ้านนับหมื่นครัวเรือน ยังรวมไปถึงชีวิตของนักกู้ภัยที่หาญกล้าในการเข้าไปผจญเพลิงเพื่อจบการโหมของอัคคีภัยต้นเหตุ

หลายคนคาดการณ์ถึงสาเหตุการเกิดเพลิงไหม้ในครั้งนี้ไปอย่างหลากหลาย ทั้งส่วนที่เป็นการรั่วไหลของวาล์วถังเก็บวัตถุไวไฟ ทั้งส่วนของการเสื่อมซึ่งคุณภาพของท่อเชื้อเพลิง ทั้งส่วนการควบคุมในกระบวนการผลิต และอีกหลายเหตุผลอันนำไปสู่การประทุใหญ่ในครั้งนี้ แต่ไม่ว่าจะเกิดจากเหตุอะไร ทุกสิ่งที่สูญเสียย่อมต้องมีคำตอบในการเยียวยา

เบื้องต้น “โรงงานเม็ดพลาสติก” คงต้องมาออกโรงในการเป็นผู้เยียวยาหลัก เพราะเหตุนั้นเกิดขึ้นจากโรงงาน ส่วนอื่น ๆ ก็คงไม่พ้นตัวจังหวัดสมุทรปราการเองที่ต้องมาตอบคำถามในเรื่องของการจัดทำผังเมืองในอดีต ความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต และแน่นอนย่อมไม่พ้นจังหวัดที่ต้องออกมายอมรับความจริงในการที่จะต้องเยียวยาผู้ประสบภัยในครั้งนี้อย่างชัดเจนหลังจากจัดพื้นที่พำนักของผู้ประสบภัยไปแล้วในเบื้องต้น

แม้จะเป็นเผือกร้อนในการตอบคำถามของบางบุคคลที่ว่าทำไมโรงงานถึงมาตั้งอยู่ตรงนั้น? แต่คำถามนี้ก็ย้อนแย้งกันว่าแล้วทำไมชุมชนถึงไปอยู่ตรงนั้น? ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ล่วงมาแล้ว 32 ปี ไม่เคยมีบ้านเรือนไปตั้งอยู่ตรงนั้น หากเรามองพื้นที่รอบนอกกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะจังหวัดสมุทรปราการ สมุทรสาคร ปทุมธานี นนทบุรี เป็นพื้นที่ที่มีโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลาง และขนาดเล็ก รวมถึงโกดังเก็บสินค้ากระจายอยู่โดยทั่วไป หลายโรงงานเกิดขึ้นก่อนที่จะมีผังเมือง เมื่อมีผังเมืองบังคับใช้แล้วผู้ที่มีส่วนในการออกแบบผังเมืองจึงพยายามตีกรอบให้โรงงานที่มีอยู่แล้วเหล่านั้นเป็นเขตอุตสาหกรรม แบ่งเป็นสีต่าง ๆ ตามที่เห็นในผังเมืองของแต่ละจังหวัด และในหลายพื้นที่ก็มีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของสีผังเมืองเช่นกัน รองรับการขยายตัวของเมืองในหลากหลายมิติ โดยเฉพาะความเป็นชุมชนที่เข้ามารองรับกลุ่มพนักงานและผู้ที่ช่วยขับเคลื่อนตัวโรงงานนั่นเอง ดังนั้น การหาคำตอบจากอดีตไม่น่าจะใช่เหตุที่เราพึงมาโยนบาปใส่กัน

เราจะไปต่ออย่างไรในเรื่องของโรงงานอุตสาหกรรม? โดยเฉพาะโรงงานผลิตเม็ดโฟมซึ่งเป็นจำเลยในครั้งนี้ ต้องยอมรับว่าโรงงานผลิตเม็ดโฟมนั้นอาจจะไม่ใช่อุตสาหกรรมหลักสำหรับการพัฒนาเชิงอุตสาหกรรมของประเทศ แต่เราก็ขาดเม็ดโฟมไม่ได้ ตราบใดก็ตามที่เรายังต้องการวัสดุเพื่อทำแพ็คเกจจิ้ง เพื่อทำตู้เย็น เพื่อทำฉนวนกันความร้อน ฯลฯ เมื่อเราขาดไม่ได้โรงงานเหล่านี้ก็ยังคงต้องมีอยู่ บางแห่งก็ยังคงอยู่ในชุมชนที่ขยับขยายไปไหนไม่ได้ เนื่องจากการย้ายโรงงานคือเม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่ต้องใช้ ท่ามกลางเศรษฐกิจแบบนี้การย้ายโรงงานคือความเสี่ยงของการปิดตัว การปิดตัวคือความเสี่ยงของการตกงานของพนักงานจำนวนมาก การย้ายไปอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมก็ไม่ใช่ทางออก เพราะเอาเข้าจริงชุมชนก็เริ่มเข้าไปล้อมนิคมอุตสาหกรรมเช่นกัน แต่ทางออกของเรื่องเหล่านี้ก็ใช่ว่าจะไม่มี

ปัจจุบันกระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินการทางมาตรฐานต่าง ๆ ที่เข้มงวดกับโรงงานทั้งที่มีอยู่แล้ว และก่อตั้งขึ้นใหม่ไม่ว่าจะเป็นการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA การรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EHIA รวมไปถึงการประเมินต่าง ๆ ในยุค 4.0 ที่เข้มงวดกว่าในอดีต “แล้วยังไงล่ะ? วัวหายก็ล้อมคอกทุกที !!!” ประโยคสะท้อนความตระหนักรู้บางอย่างที่ไม่มีอยู่ของผู้ที่ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับโรงงานอุตสาหกรรม ต้องยอมรับว่าการยึดโยงของชุมชมกับโรงงานอุตสาหกรรมในประเทศไทยวันนี้มันแยกกันไม่ได้และมันไม่ใช่วัวหายล้อมคอก เนื่องจากชุมชนเขาเอาวัวไว้ในคอกตั้งนานแล้ว เพราะโรงงานฯ คือแหล่งรายได้ที่ทำให้ชุมชนมีอยู่

ดังนั้น จิตสำนึกแห่งความปลอดภัยร่วมกันต่างหากที่วันนี้เราต้องสร้าง แม้ว่ากระทรวงอุตสาหกรรมจะควบคุมและดูแลโรงงานอุตสาหกรรมได้อย่างเหมาะสม พร้อมทั้งการผลักดันให้อุตสาหกรรมของประเทศก้าวไปสู่อุตสาหกรรมสีเขียว หรือ Green Industry เพื่อให้เกิดความยั่งยืนของระบบอุตสาหกรรมของประเทศไทยอย่างเข้มข้นแล้วก็ตาม แต่จำนวนโรงงานกว่า 60,000 แห่งที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ หลายพันแห่งที่ตั้งอยู่กลางชุมชน คงไม่มีอะไรที่จะดีไปกว่าการสร้างชุมชนรอบโรงงานอุตสาหกรรมให้แข็งแรงและอยู่ด้วยกันอย่างปลอดภัย ซึ่งนั่นน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดของวันนี้ เพื่อเป็นแนวทางของโรงงานอุตสาหกรรมกับชุมชนในวันข้างหน้าที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

'วัชระ' ยื่นหนังสือทวงถาม 'โตโยต้า' ติดสินบนเจ้าหน้าที่ไทยนับพันล้าน จริงหรือไม่

(8 ก.ค.64 ) เวลา 13.00 น. นายวัชระ เพชรทอง อดีตส.ส.ประชาธิปัตย์ แถลงข่าวที่อาคารรัฐสภา กรณีที่ได้ส่งหนังสือไป เมื่อวันที่ 11 มิถุนายนที่ผ่านมา ถึงนายนินนาท ไชยธีรภิญโญ ประธานคณะกรรมการ นายโนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และนายประมนต์ สุธีวงศ์ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ขอให้ชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีมีข่าวให้สินบนเจ้าหน้าที่รัฐไทย เพื่อให้ชนะคดีหรือกลับคำตัดสินกรณีภาษีประมาณ 350 ล้านดอลลาร์ ที่ทางการไทยเรียกเก็บจากการนำเข้ารถโตโยต้าพรีอุส และอ้างว่าเกี่ยวกับผู้พิพากษาอาวุโส 3 ท่านในศาลยุติธรรม สร้างความเสื่อมเสียให้กับกระบวนการยุติธรรมไทยเป็นอย่างมาก

นายวัชระ กล่าวว่า ไม่เชื่อว่าเป็นความจริง อาจเป็นการแอบอ้างหรือเป็นการดิสเครดิตศาลยุติธรรม รู้สึกเสียใจที่ปรากฏเรื่องในทางลบเป็นอย่างยิ่งกับศาลยุติธรรม ซึ่งจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่จะมาลงทุนในประเทศไทยในอนาคต และมีผลกระทบต่อความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นเพื่อให้ความจริงปรากฏ จึงขอให้บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยรายละเอียดในเรื่องที่ลูกค้าและประชาชนสงสัยในธรรมาภิบาลของบริษัทโดยด่วนที่สุด

ล่าสุดทางบริษัท โตโยต้า มีหนังสือตอบกลับมายังนายวัชระว่า บริษัทยึดมั่นที่จะทำให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปตามกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ทั้งในไทยและประเทศอื่น ๆ ให้ความสำคัญต่อข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการกระทำความผิดอย่างจริงจัง และกำลังให้ความร่วมมือกับการสอบสวนที่ยังดำเนินการอยู่อย่างต่อเนื่อง บริษัทจึงยังไม่สามารถให้รายละเอียดเพิ่มเติมได้ เนื่องจากการสอบสวนยังคงดำเนินการไม่เสร็จ และตามที่บริษัทได้เคยแจ้งต่อสาธารณะไปก่อนหน้านี้ว่า ขอบเขต ระยะเวลา และผลสรุปของกรณีดังกล่าวยังไม่เป็นที่ยุติ ดังนั้น จึงอาจเป็นการด่วนสรุปเกินไปที่จะคาดเดาผลของการสอบสวนที่ยังคงอยู่ระหว่างการพิจารณาอยู่นั้น

จากการชี้แจงของบริษัทโตโยต้านี้ นายวัชระ ได้ถามกลับบริษัท โตโยต้า ว่าการที่อ้างว่าเรื่องอยู่ระหว่างการสอบสวน ใครเป็นผู้สอบสวน เป็นภาครัฐหรือเอกชน มีใครเป็นกรรมการสอบสวนบ้าง และเมื่อผลการสอบสวนยังไม่แล้วเสร็จ จะเสร็จเมื่อใด มีการกำหนดระยะเวลาได้หรือไม่ และสิ่งสำคัญที่สุดที่บริษัทสามารถตอบได้ทันทีในขณะนี้ก็คือ มีการจ่ายเงินนับพันล้านบาทให้ใครจริงหรือไม่ ซึ่งบริษัทย่อมต้องมีข้อมูลในฝ่ายบัญชีอยู่แล้ว หากมีการจ่ายจริงก็ต้องบอกว่าจ่ายให้ใคร เป็นจำนวนเท่าใด หรือหากไม่ได้จ่ายก็ต้องบอกให้สาธารณชนได้ทราบ ทั้งนี้ หากยังไม่ได้คำตอบใด ๆ ก็จะไปยื่นหนังสือทวงถามอีกครั้งหนึ่งภายใน 30 วัน


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ม.หอการค้าฯ หวั่นล็อกดาวน์ ทำเศรษฐกิจเจ๊งหนัก

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า จากการสำรวจความเห็นภาคธุรกิจ ให้ความเห็นเกี่ยวกับการล็อกดาวน์ เช่นเดียวกับโควิด-19 รอบแรก โดยมีส่วนที่ไม่เห็นด้วย 38.4% เนื่องจากกลัวกระทบและทำให้เศรษฐกิจแย่ลง กลัวว่าธุรกิจต้องหยุดดำเนินการ ส่วนที่เห็นด้วย 35.7% ต้องการให้เจ็บแต่จบ ขณะที่กลุ่มแน่ใจ 25.9% เพราะต้องการข้อมูลข่าวสารที่ชัดเจนกว่านี้ 

ส่วนการล็อกดาวน์นั้นจะส่งผลต่อเศรษฐกิจอย่างไร ในตอนนี้ยังตอบไม่ได้เพราะ ไม่ทราบว่าจะทำการล็อกดาวน์หรือไม่ และอย่างไร แต่ถ้าหากมีการล็อกดาวน์ 1 เดือนจะสร้างความศูนย์เสียในระบบเศรษฐกิจ 2-3 แสนล้านบาท ซึ่งขึ้นอยู่กับความยืดเยื้อ และการกระตุ้นเศรษฐกิจหลังคลายล็อกดาวน์ ดังนั้น จึงยังประเมินตัวเลขทางเศรษฐกิจไม่ได้

ทั้งนี้หากมีการล็อกดาวน์จริง รัฐบาลก็ควรเยียวและกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่าน โครงการคนละครึ่ง ซึ่งเหมาะสมที่สุด โดยอาจเติมเงินในโครงการคนละครึ่ง ช่วยให้มีเงินหมุนเวียน ส่วนประชาชนที่มีกำลังซื้อน้อยก็เติมเงินด้วยโครงการ เราชนะ หรือ ม33เรารักกัน

ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ในเดือนมิถุนายน 2564 อยู่ที่ 43.1 ลดลงจากเดือนพฤษภาคม 2564 ซึ่งอยู่ที่ 44.7 โดยดัชนีลดลงอย่างต่อเนื่องมาเป็น เดือนที่ 4 และต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ในรอบ 22 ปี 9 เดือน ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโดยรวม อยู่ที่ 37.3 ลดลงจาก 38.9 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสการหางานทำ อยู่ที่ 40.0 ลดลงจาก41.3 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ที่ 52.1 ลดลงจาก 53.9

ลูกจ้าง-นายจ้าง เตรียมรับเงินเยียวยา 23 ก.ค.นี้ พร้อมโอนเยียวยาครั้งแรก 

นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะโฆษกประจำศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการระบาดของโรคติเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบศ.) เปิดเผยว่า สำหรับการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนหรือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 นั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ออกมาตรการช่วยเหลือประชาชนทุกกลุ่ม โดยล่าสุด ครม. เห็นชอบอนุมัติงบประมาณสำหรับชดเชยเร่งด่วน จำนวน 2,519.38 ล้านบาท เพื่อเยียวยากลุ่มแรงงานและผู้ประกอบการด้านก่อสร้าง  ที่พัก บริการด้านอาหาร ศิลปะ บันเทิง และนันทนาการ และผู้ประกันตนมาตรา 33 ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 6 จังหวัด ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ถูกปิดกิจการชั่วคราว เป็นระยะเวลา 1 เดือน โดยเริ่มโอนเงินเยียวยาครั้งแรกภายในวันที่ 23 ก.ค.นี้ 

ทั้งนี้จะโอนผ่านบัญชีพร้อมเพย์ หากนายจ้างที่เป็นนิติบุคคล สำนักงานประกันสังคมจะโอนเข้าบัญชีเงินฝากตามที่นายจ้างแจ้ง หรือตามวิธีการอื่นๆ ที่กระทรวงแรงงานกำหนด ส่วนกรณีนายจ้างที่ยังไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม สามารถลงทะเบียนนายจ้างและขึ้นทะเบียนประกันสังคมรายใหม่ตั้งแต่ตอนนี้จนถึงวันที่ 30 ก.ค.64 เพื่อเข้าสู่ระบบประกันสังคม และจะได้เข้าเงื่อนไขของการเยียวยาในครั้งนี้

‘เฉลิมชัย’ เปิดแนวรุกสมุนไพรไทย ฝ่าแนวรบโควิด-19 จับมือกระทรวงสาธารณสุข และสภาการแพทย์แผนไทยระดม 6 พันคลีนิค เปิดสายด่วนใช้สมุนไพรและตำรับยาไทยร่วมรักษาผู้ป่วย พร้อมใช้ 3 แนวทาง ‘ป้องกัน-รักษา-ฟื้นฟู’ สู้โควิด

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร แถลงวันนี้ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (7 ก.ค) ว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ "โควิด-19" ระลอกใหม่ที่รุนแรงมากขึ้น ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้สั่งการให้เร่งส่งเสริมพืชสมุนไพร และตำรับยาไทย เพื่อแก้ไขปัญหาโควิด-19 โดยผนึกความร่วมมือกับสภาการแพทย์แผนไทย และกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข

จากข้อสั่งการดังกล่าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้จัดการประชุมหารือ โดยประสานกับ ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมามี นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรเป็นประธาน และมีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบ ด้วยนายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรฯ พล.ร.อ.ชาญชัย เจริญสุวรรณ นายกสภาการแพทย์แผนไทย พันเอกนายแพทย์ พงศ์ศักดิ์ ตั้งคณา ประธานมูลนิธิจิตเป็นผู้ให้ใจเป็นนิพพาน นพ.ธิติ แสวงธรรม รองอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข ดร.ภญ.มณฑกา ธีรชัยสกุล ผู้อำนวยการกองสมุนไพรเพื่อเศรษฐกิจ รศ.ดร.ธัญญะ รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พท.ภ.บัญชา สุวรรณธาดา ที่ปรึกษาโครงการพัฒนาการแพทย์ไทนร่วมสมัย ฯลฯ

ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นพ้องต้องกันว่าพร้อมดำเนินแนวทางการแพทย์ทางร่วมระหว่างการแพทย์แผนปัจจุบันและการแพทย์แผนไทยโดยใช้สมุนไพรและตำรับยาไทยควบคู่กับยาแผนปัจจุบันซึ่งมี 3 แนวทางในการขับเคลื่อน

1.) แนวทางการป้องกันการติดเชื้อโดยใช้เครื่องยาสมุนไพรและตำรับยาไทย

2.) แนวทางการรักษาผู้ป่วยด้วยยาแผนปัจจุบัน เครื่องยาสมุนไพรและตำรับยาไทย

3.) แนวทางการฟื้นฟูผู้ป่ายหลังการรักษาโดยเฉพาะกรณี Long COVID Syndrome

นายอลงกรณ์กล่าวต่อไปว่า สภาการแพทย์แผนไทยแจ้งว่าปัจจุบันมีคลีนิคแพทย์แผนไทย 6,000 คลินิก และแพทย์แผนไทยกว่า 30,000 คน รวมทั้งศูนย์ฮอตไลน์แพทย์แผนไทยที่มีอยู่ทุกภาค และยังมีคลีนิคจิตอาสาแพทย์แผนไทยอีก 60 แห่ง และคลังยาสมุนไพรและตำรับยาไทยของสภาการแพทย์แผนไทยที่พร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่

ในขณะที่รองอธิบดีกรมแพทย์แผนไทยแจ้งว่า กระทรวงสาธารณสุขมีแพทย์แผนไทยประจำโรงพยาบาลของรัฐทุกแห่ง และมีการใช้สมุนไพรฟ้าทะลายโจรในการรักษาผู้ป่วยในโรงพยาบาลสนาม เช่น กรุงเทพ นครปฐม และเพชรบุรี

ทั้งนี้ที่ประชุมมีความเห็นร่วมกันว่า ควรเริ่มทดสอบแนวทางการแพทย์ทางร่วมที่โรงพยาบาลสนาม จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งมีความพร้อมมากที่สุดเป็นแห่งแรกตามข้อเสนอของ พอ.นายแพทย์พงศพศักดิ์ ตั้งคณา โดยให้มีการจัดกลุ่มผู้ป่วยตามกลุ่มยาและให้ตรวจเลือดผู้ป่วย ทั้งก่อนและหลังการบำบัดรักษาเพื่อวัดผลลัพธ์หากได้ผลดีจะขยายผลต่อไป

“จากนั้นได้มีการประชุมต่อเนื่องที่จังหวัดเพชรบุรี เมื่อวานนี้ (วันที่ 6 ก.ค.) เป็นการประชุมร่วมระหว่าง ที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี สาธารณสุขจังหวัด ทีมแพทย์แผนไทยเพชรบุรี พ.อ.นายแพทย์ พงศ์ศักดิ์ ตั้งคณา โดยนายภัคพงศ์ ทวิพัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรีเห็นด้วยและพร้อมดำเนินการในการรักษาผู้ป่วยตามแนวทางการแพทย์ทางร่วม

ทั้งนี้ในส่วนสาธารณสุขจังหวัดเพชรบุรี ยินดีที่จะดำเนินการทันทีที่มีคำสั่งจากกระทรวงสาธารณสุขให้สามารถดำเนินการทดสอบดังกล่าว โดย พ.อ.นายแพทย์ พงศ์ศักดิ์ แจ้งว่าพร้อมร่วมดำเนินการทดสอบและจะเป็นผู้สนับสนุนเครื่องยาและตำรับยาไทย เช่น ฟ้าทะลายโจร กระชาย เบญจโลกวิเขียร (5 ราก) จันทน์ลีลา เป็นต้น"

ที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรยังแถลงต่อไปว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ดำเนินการสนับสนุนและส่งเสริมสมุนไพรไทยอย่างต่อเนื่อง ภายใต้นโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ และนโยบายสมุนไพรแห่งชาติ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานคณะกรรมการฯ โดยขับเคลื่อนนโยบายผ่านแผนแม่บทว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรไทยประกอบด้วย 5 ด้าน คือ

1.) ด้านยุทธศาสตร์สมุนไพรแห่งชาติ

2.) ด้านการวิจัยและนวัตกรรมสมุนไพร

3.) ด้านวัตถุดิบสมุนไพร

4.) ด้านส่งเสริมอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์สมุนไพร

และ 5.) ด้านส่งเสริมภาพลักษณ์และการตลาดสมุนไพร

ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ มีบทบาทหน้าที่ในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การส่งเสริมผลิตผลของสมุนไพรไทยที่มีศักยภาพตามความต้องการของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งจากการดำเนินการที่ผ่านมาได้สนับสนุนการปลูกพืชสมุนไพร 64,917 ไร่ จำนวน 80 ชนิด แบ่งเป็น พื้นที่ที่มาตรฐาน GAP จำนวน 54,755 ไร่ พื้นที่ที่มาตรฐาน Organic Thailand จำนวน 13,162 ไร่ พร้อมทั้งจัดตั้งกลุ่มวิสาหกิจชุมชน และกลุ่มเกษตรกร จำนวน 60 กลุ่ม และมีการจัดทำมาตรฐานสินค้า GAP และมาตรฐานพืชสมุนไพรตามกลุ่มของส่วนที่ใช้ของพืช จำนวน 5 ฉบับ ได้แก่ ฉบับที่ 1 หัว เหง้า และราก ฉบับที่ 2 ใบ ส่วนเหนือดิน และทั้งต้น ฉบับที่ 3 ดอก พืช สมุนไพรแห้ง ฉบับที่ 4 ผล และเมล็ด และฉบับที่ 5 เปลือก และเนื้อไม้

นอกจากนี้กระทรวงเกษตรยังมีการพัฒนาบุคคลากรเพื่อตรวจสอบคุณภาพวัตถุดิบสมุนไพร รวมทั้งแผนดำเนินการปรับปรุงห้องปฏิบัติการที่ได้รับรองมาตรฐาน ISO 17025 เพื่อให้บริการตรวจสอบคุณภาพวัตถุดิบมาตรฐาน GAP หรือมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ และได้จัดทำแผนที่ความเหมาะสมของที่ดินสำหรับปลูกพืชสมุนไพร (Land Suitability) จำนวน 24 ชนิด เช่น ฟ้าทะลายโจร ขมิ้นชัน ไพล บัวบก กระชายดำ กระชายเหลือง กระวาน ข่า ขิง คำฝอย ตะไคร้ บุก พริกไทย ว่านชักมดลูก กระเจี๊ยบแดง เก๊กฮวย ดีปลี บอระเพ็ด พญายอ เพชรสังฆาต มะระขี้นก มะลิ มะแว้งเครือ และมะแว้งต้น รวมทั้งจัดทำฐานข้อมูลพื้นที่ปลูกพืชสมุนไพร เพื่อให้มีฐานข้อมูลพื้นที่ปลูกสมุนไพรที่ชัดเจนสามารถส่งเสริมเกษตรกรได้ โดยมีฐานข้อมูลสมุนไพร ประกอบด้วย

1.) ข้อมูลพื้นที่ปลูกสมุนไพร จากกรมส่งเสริมการเกษตร

2.) ข้อมูล Land Suitability (แผนที่ความเหมาะสมของที่ดินสำหรับปลูกพืชสมุนไพร) จากกรมพัฒนาที่ดิน

3.) ข้อมูลพืชสมุนไพรที่ได้รับการรับรอง GAP จากกรมวิชาการเกษตร

4.) ข้อมูลพื้นที่ปลูกพืชสมุนไพร ของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม

“สมุนไพรเป็นพืชเศรษฐกิจและพืชสุขภาพใช้ประโยชน์หลากหลายทั้งในการประกอบอาหารเป็นยารักษาโรค อาหารเสริมดูแลสุขภาพ และเป็นผลิตภัณฑ์เวชสำอาง ปัจจุบันความต้องการใช้สมุนไพรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเห็นได้จากมูลค่าการบริโภควัตถุดิบสมุนไพรและผลิตภัณฑ์สมุนไพรภายในประเทศที่เพิ่มขึ้นจากเดิม 43,100 ล้านบาท ในปี 2560 เป็น 52,100 ล้านบาท ในปี 2462 ซึ่งเกิดจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ใส่ใจเรื่องสุขภาพ และมุ่งเน้นใช้ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติมากขึ้นทำให้เกิดแรงหนุนเรื่องธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องด้านสุขภาพ

รวมถึงโครงสร้างประชากรและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งเรื่องสังคมผู้สูงอายุ และกระแสค่านิยมการบริโภคอาหารปลอดภัยมากขึ้น โดยเฉพาะในการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ความต้องการผลิตภัณฑ์สมุนไพรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศ เกษตรกรจะมีรายได้แน่นอน และมั่นคงถือเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ นอกจากนี้กระทรวงเกษตรฯ ได้ร่วมมือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยในการส่งเสริมการแปรรูปสมุนไพรให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น สำหรับตลาดในประเทศ และต่างประเทศ แทนการส่งออกสมุนไพรในรูปของวัตถุดิบ

โดยเฉพาะสถานการณ์โควิด-19 ล่าสุดดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ห่วงใยประชาชนจึงสั่งการให้กระทรวงเกษตรฯ สนับสนุนและร่วมมือในการแก้ไขปัญหาโควิด-19 ของรัฐบาลโดยใช้ 3 แนวทาง ป้องกัน-รักษา-ฟื้นฟู ด้วยสมุนไพรและตำรับยาไทยเสริมการแพทย์แผนปัจจุบัน

พร้อมกับชี้แนะว่าประเทศจีน คือ ตัวอย่างของประเทศที่ใช้สมุนไพรและตำรับยาจีนควบคู่กับการแพทย์แผนปัจจุบันสู้กับโควิด-19 จนประสบความสำเร็จ ซึ่งสมุนไพรและตำรับยาไทยใช้มาหลายร้อยปีได้พิสูจน์แล้วว่า สามารถช่วยประชาชนคนไทยมาในแต่ละยุค แต่ละสมัยให้อยู่รอดปลอดภัยมาจนถึงทุกวันนี้ การเสริมการแพทย์แผนปัจจุบันด้วยการแพทย์แผนไทยจะช่วยแก้ไขปัญหาโควิด-19 ได้เป็นอย่างดี และควรทำพร้อมกันทั่วประเทศ” นายอลงกรณ์กล่าวในที่สุด


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top