Thursday, 24 April 2025
POLITICS NEWS

“ประยุทธ์” ร่วมกล่าวปาฐกถา Nikkei Forum ย้ำจุดยืนไทยภายหลังฟื้นฟูโควิด-19 พร้อมผลักดันความร่วมมือทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคและระดับโลกอย่างเข้มแข็ง ครอบคลุม ยืดหยุ่น และยั่งยืน

วันที่ 20 พฤษภาคม 2564 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวปาฐกถาเนื่องในการประชุม International Conference on the Future of Asia (Nikkei Forum) ครั้งที่ 26 ซึ่งจัดโดยหนังสือพิมพ์นิคเค ในหัวข้อหลัก “การสร้างรูปแบบของอนาคตยุคหลังโควิด-19 : บทบาทของภูมิภาคเอเชียต่อการฟื้นตัวของโลก” (Shaping the Post-COVID era : Asia’s Role in the Global Recovery) ผ่านระบบการประชุมทางไกล

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอแบ่งปันมุมมองของไทยเพื่อความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ไทย-ญี่ปุ่นให้แนบแน่นยิ่งขึ้น โดยการแพร่ระบาดของโควิด-19 ถือเป็นสัญญาณเตือนให้ต้องเร่งปรับตัวและแก้ไขจุดอ่อน เพื่อกลับมาลุกขึ้นยืนและเข้มแข็งกว่าเดิมให้ได้เร็วที่สุด ซึ่งต้องร่วมกันค้นหาความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ความร่วมมือพหุภาคีจะเป็นกุญแจที่จะพลิกวิกฤตเป็นโอกาสและเสริมสร้างขีดความสามารถของภูมิภาคในการฟื้นฟูตัวเองให้กลับมาเข้มแข็งและดีกว่าเดิม และเชื่อมั่นว่า เอเชียจะสามารถมีบทบาทนำในการฟื้นฟูเศรษฐกิจโลกให้มีการเจริญเติบโตที่เข้มแข็ง ยืดหยุ่น และยั่งยืนมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างไทยกับญี่ปุ่น ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่จะนำไปสู่การฟื้นฟูแบบองค์รวมได้

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ญี่ปุ่นมีบทบาททางธุรกิจในไทยมายาวนาน ซึ่งไทยก็มีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุปทานของภูมิภาคและของโลก เป็นฐานการผลิตและศูนย์กลางกระจายสินค้าให้แก่ บริษัทญี่ปุ่นที่มีการลงทุนในไทยกว่า 5,800 แห่ง และยังเป็นฐานสำหรับการขยายการลงทุนของญี่ปุ่นไปยังประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย ซึ่งการลงทุนสะสมของญี่ปุ่น (FDI) ในไทยจนถึงปี 2563 มีมูลค่าสูงกว่า 93,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งขอยืนยันว่าไทยมุ่งมั่นที่จะปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจเพื่ออำนวยความสะดวกต่อการลงทุนจากทุกประเทศให้ดียิ่งขึ้นตามนโยบาย Thailand+1 ต่อไป โดยจะดำเนินการตามข้อเสนอแนะของบริษัทญี่ปุ่นในไทยให้ครอบคลุมประเด็น ดังนี้ คือ

1.) รักษาความต่อเนื่องของนโยบายด้านเศรษฐกิจและการลงทุน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต รวมถึงโครงการใน EEC เพื่อขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุนร่วมกัน

2.) พัฒนาและยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน เช่น โครงการระบบราง โครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน และโครงการการพัฒนา smart city รอบสถานีกลางบางซื่อ เป็นต้น  

3.) พัฒนาแรงงานทักษะ โดยเฉพาะวิศวกรและผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมสำคัญ ดังเช่นที่รัฐบาลญี่ปุ่นและไทยร่วมมือกันจัดตั้งสถาบันการเรียนการสอนแบบโคเซ็นในไทย มุ่งหวังให้เป็นศูนย์การอบรมทรัพยากรมนุษย์ในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงต่อไป

4.) ปรับปรุงกฎระเบียบต่าง ๆ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับพิธีการศุลกากรและภาษีนิติบุคคล ซึ่งไทยมีแผนเพิ่มการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการต่างชาติ และ

5.) เสริมสร้างโอกาสการค้าที่เสรี เป็นธรรมและเปิดกว้าง รวมถึงการพิจารณาเรื่องการเข้าเป็นสมาชิกความตกลง CPTPP 

นายกรัฐมนตรี กล่าวเน้นย้ำว่า ความร่วมมือพหุภาคีมีความสำคัญในการผลักดันให้เกิดการฟื้นตัวอย่างรอบด้าน ผ่านกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศ ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลกอย่าง อาเซียน เอเปค RCEP และ CPTPP ล้วนเป็นกลไกสำคัญต่อกระบวนการฟื้นฟู โดยเมื่อปีที่แล้ว อาเซียนได้จัดตั้งกองทุนอาเซียนเพื่อรับมือกับโควิด-19 เพื่อจัดซื้อและกระจายเวชภัณฑ์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ พัฒนาวัคซีนและยารักษา ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากประเทศอาเซียนบวกสาม และไทยพร้อมจะร่วมมือกับญี่ปุ่นอย่างใกล้ชิด ในการจัดตั้งศูนย์อาเซียนด้านภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและโรคอุบัติใหม่ เพื่อช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันจากวิกฤตด้านสาธารณสุขที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตทั้งจากภายในและนอกภูมิภาคอาเซียน

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การอำนวยความสะดวกด้านการค้าและการลงทุนให้เสรีและเปิดกว้าง ไทยจะเป็นเจ้าภาพกรอบความร่วมมือเอเปค ในปี ค.ศ.2022 จะริเริ่มการพูดคุยถึงเขตการค้าเสรีเอเชียแปซิฟิก หรือเอฟแทป ซึ่งหวังว่าจะได้รับการสนับสนุนให้บรรลุเป้าหมายการเจริญเติบโตที่เข้มแข็ง สมดุล มั่นคง ยั่งยืน และครอบคลุมในระยะยาว และเสริมสร้างความสัมพันธ์ด้านการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับญี่ปุ่นมากขึ้นให้เพิ่มเติมจากความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) และความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น (AJCEP) ที่มีอยู่แล้ว ขณะเดียวกัน ไทยจะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับ e-commerce และการค้าดิจิทัล เช่น การสนับสนุนธุรกิจ start-ups ตอบสนองต่อยุคสมัยแบบ new normal เพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้ทุกคนมีความพร้อมและมีทักษะที่จำเป็นต่อการเติบโตในสภาพแวดล้อมแบบดิจิทัล

ด้านการฟื้นฟูความเชื่อมโยงของโลก ได้แก่ การเข้าถึงวัคซีนอย่างเท่าเทียม การยอมรับเอกสารการฉีดวีคซีนระหว่างกัน การพัฒนาบัตรสุขภาพแบบดิจิทัลที่สามารถเชื่อมโยงเข้ากับระบบของประเทศต่าง ๆ ได้ ตลอดจนการเปิดพรมแดนและอำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายสินค้าและบริการที่จำเป็น ซึ่งนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า ไทยให้ความสำคัญเร่งด่วนกับการฟื้นฟูความเชื่อมโยงในทุกมิติ โดยเฉพาะการเดินทางและท่องเที่ยว ทั้งนี้ไทยขอเรียกร้องให้วัคซีนโควิด-19 จัดเป็นสินค้าสาธารณะของโลกและผลักดันให้มีการฉีดวัคซีนอย่างครอบคลุม ซึ่งไทยมีข้อริเริ่มการกระตุ้นการเดินทางมาท่องเที่ยวในไทยอย่างปลอดภัย จึงหวังว่าจะได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นผ่านข้อริเริ่มนี้ และด้านความยั่งยืนเพื่อสร้างโอกาสในการพัฒนาภูมิภาคและโลกให้ดีขึ้นและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไทยผลักดันวาระเรื่องการเจริญเติบโตที่ยั่งยืนและครอบคลุม โดยส่งเสริมแนวปฏิบัติและการดำเนินธุรกิจที่มีความรับผิดชอบ รวมทั้งเห็นชอบให้โมเดลเศรษฐกิจ BCG เป็นวาระแห่งชาติเพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูจากโควิด-19 ให้มีความเข้มแข็ง ยั่งยืน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การเติบสีเขียวของญี่ปุ่น ซึ่งจะช่วยเร่งการบรรลุ SDGs ให้สำเร็จโดยเร็ว

ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความสำคัญของภูมิภาคเอเชียว่า สามารถสร้างโลกในยุคหลังโควิด-19 ที่เข้มแข็ง ครอบคลุม ยืดหยุ่น และยั่งยืนมากขึ้น ขอส่งกำลังใจให้ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิคและพาราลิมปิคในปีนี้ ซึ่งทัพนักกีฬาไทยพร้อมเข้าร่วม รวมทั้งขอส่งความปรารถนาดีและความนับถือไปยังนายกรัฐมนตรีซูกะ รัฐบาลญี่ปุ่น และประชาชนชาวญี่ปุ่นทุกคน ขอให้มั่นใจว่า ไทยสนับสนุนญี่ปุ่นเสมอในฐานะเพื่อนและเราจะชนะวิกฤตโรคระบาดนี้ พร้อมกับสร้างโลกที่ดีกว่าเดิมให้แก่ชนรุ่นหลังไปด้วยกัน

‘ประวิตร’ เร่ง ช่วยแรงงานกระทบโควิด-19 เผย เตรียม 45 จุด 45 จุดฉีดวัคซีนผู้ประกันตนในกทม.-9จ.ปริมณฑล ให้ผู้ประกันตน ม.33 แนะ แรงงาน ชะลอไปทำงานพื้นที่เสี่ยง รอสถานการณ์ปลอดภัยก่อน

วันที่ 20 พฤษภาคม 2564 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มอบนโยบายต่อแรงงานจังหวัดและสำนักงานในแรงงานต่างประเทศ ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์มีนายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน เข้าร่วม

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า นโยบาย เพื่อขับเคลื่อนมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในส่วนของแรงงานให้เน้นย้ำในเรื่องการบริหารวัคซีน ร่วมกับคณะกรรมการกระจายวัคซีน สำหรับผู้ประกันตนอย่างทั่วถึง และตรวจคัดกรองเชิงรุกให้ครอบคลุมกลุ่มเสี่ยงสูงมากที่สุด ส่วนการช่วยเหลือเยียวยายังต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการ ม.33 เรารักกัน รวมถึงลดอัตราเงินสมทบผู้ประกันตน และให้การกำกับดูแลการทำงานของแรงงานต่างด้าวให้ยึดถือตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด และเยียวยาผู้ที่ว่างงาน ส่วนที่ระบุว่าแรงงานว่างงานเป็นล้านคนนั้นไม่จริงเพราะมีคนที่กลับเข้ามาทำงานเยอะแยะและที่ว่างงานเป็นส่วนน้อย

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า นอกจากนั้นให้ช่วยเหลือแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงในฉนวนกาซา ประเทศอิสราเอลอย่างเร่งด่วน โดยกระทรวงแรงงานจะดำเนินการประสานกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อนำร่างผู้เสียชีวิตกลับมาประเทศไทยให้เร็วที่สุดและจะช่วยเหลือเยียวยาครอบครัวผู้เสียชีวิตอย่างเต็มความสามารถnโดยมีระเบียบของการช่วยเหลืออยู่แล้ว ทั้งนี้แรงงานที่จะเดินทางไปต่างประเทศขอให้ชะลอก่อน และพื้นที่ใดเป็นพื้นที่เสี่ยงยังไม่ให้ไป หากไม่เสี่ยงสามารถไปได้ ส่วนคนไทยที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงขณะนี้ให้อพยพออกมาก่อนเมื่อปลอดภัยแล้วจะกลับไปอีกค่อยว่ากัน

นอกจากนั้นให้เพิ่มมาตรการเฝ้าระวังแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายลักลอบเข้าประเทศตามแนวชายแดน โดยร่วมกับฝ่ายความมั่นคง เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ต้องขอบคุณผู้บริหารและข้าราชการทุกระดับของกระทรวงแรงงาน ที่ได้ช่วยกันทำงานเพื่อช่วยเหลือแรงงานและประชาชนด้วยความทุ่มเท เสียสละ จนเกิดความคืบหน้าบรรลุเป้าหมายตามนโยบายของรัฐบาลด้วยดี และขอให้ทุกคนปลอดภัยจากโควิด-19 ทุกคน

ผู้สื่อข่าวถามถึงการฉีดวัคซีนให้ผู้ประกันตนมีอุปสรรคอะไรหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่มี เราเตรียมการไว้ทั้งหมดแล้ว โดยเตรียมจุดฉีดไว้ 45 จุดในกทม.และปริมณฑล 9 จังหวัด เมื่อถามถึงการส่วนการลงทะเบียนฉีดวัคซีนแบบวอล์คอิน พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เป็นเรื่องของนายกฯ ตนไม่ตอบ 

เมื่อถามย้ำว่า ควรให้ลงทะเบียนหน้างาน แบบออนไซด์ สำหรับประชาชนทั่วไป ตามที่นายกฯ เปลี่ยน หรือไม่ รองนายกฯ กล่าวว่า เป็นเรื่องของศบค.ว่าอย่างไรก็ว่าตามนั้นจะพิจารณาให้เป็นแบบใด 

ปริญญ์ สานต่อ นโยบายจุรินทร์ เดินหน้า “แจกข้าวกล่อง 40,000 กล่อง-อาสา ปชป.ช่วยหมอพร้อม-ขยายผลช่วยหางาน” เร่งบรรเทาปัญหาปากท้องชาวบ้าน

นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจทันสมัย พรรคประชาธิปัตย์ ร่วมกับนายปพนชัย สุวรรณทศ และทีมงานปชป. บึงกุ่ม ลงพื้นที่ชุมชนสุวรรณประสิทธิ์ 2-3 เขตบึงกุ่ม เดินหน้าโครงการ ”ข้าวกล่องเดลิเวอรี่ 40,000 กล่อง ส่งตรงถึงบ้าน” และ “อาสา ปชป. ช่วยหมอพร้อม” พร้อมแนะนำการสร้างงาน สร้างอาชีพในโลกยุคใหม่ เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ประสบภัยพิบัติด้านสุขภาพอย่างต่อเนื่อง ตามเจตนารมณ์ของท่านจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และประธานมูลนิธิเสนีย์ ปราโมช

นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ กล่าวว่า วิกฤติโควิด-19 ทำให้ประชาชนจำนวนมากจำเป็นต้องกักตัวอยู่บ้าน ขาดรายได้ และไม่สามารถออกมาจับจ่ายใช้สอยเพื่อซื้ออาหารได้ด้วยตนเอง เป็นปัญหาปากท้องครั้งสำคัญที่ต้องเร่งให้การช่วยเหลือ ทีมปชป.จึงอาสาลงพื้นที่กทม.เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดยเดินหน้าแจกข้าวกล่องถึงบ้านประชาชน ช่วยเหลือผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัว 7 โรค ในการลงทะเบียนฉีดวัคซีนโควิด พร้อมทั้งรณรงค์ให้พี่น้องชาวกรุงเทพมหานครฉีดวัคซีน สานต่อโครงการข้าวกล่องเดลิเวอรี่ 40,000 กล่องและโครงการอาสา ปชป. ช่วยหมอพร้อม ทั้งนี้ยังมีผู้สูงอายุและกลุ่มโรคเสี่ยงหลายคนที่ยังเข้าไม่ถึงการลงทะเบียน “หมอพร้อม” ทางพรรคประชาธิปัตย์จึงทํางานเชิงรุก นําทีมอาสาสมัคร ลงพื้นที่ช่วยเหลือ เพราะการได้ฉีดวัคซีนจะช่วยบรรเทาอาการป่วยถ้าติดเชื้อโควิด-19 

“การนําข้าวกล่องและถุงยังชีพมาแจกเป็นการช่วยเหลือที่ทำในระยะสั้น แต่การสร้างงาน สร้างอาชีพ เป็นสิ่งที่จะช่วยให้ประชาชนยืนด้วยลำแข้งตัวเองได้ในระยะยาว ครั้งนี้เราจึงไม่ได้มาเพื่อแจกอาหารเพียงอย่างเดียว แต่มาแจกงาน ช่วยคนตกงาน แนะนำการเข้าถึงงานในโลกยุคใหม่ด้วย เพื่อให้ทุกคนยืนด้วยลำแข้งของตนเองได้ ผ่านโครงการ “เรียนจบ พบงาน” ที่จะช่วยยกระดับแรงงานฝีมือให้กับคนในชุมชนและช่วยฝึกผู้ประกอบการยุคใหม่ให้พร้อมสู้กับยุคดิจิทัล ซึ่งเป็นโครงการที่ทีมเศรษฐกิจทันสมัยปชป. ได้ดำเนินการมานานกว่าหนึ่งปีแล้ว สามารถช่วยคนให้มีงานทำได้มากมาย ประชาชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถติดต่อได้ทางเฟซบุ๊กเพจ เรียนจบพบงาน หรือแอดไลน์ไอดี prinnpa

เกษตรกร เฮ! จุรินทร์ ชง ครม.อนุมัติ ! จ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการฝายหัวนาแล้ว 

เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2564 นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากการที่คณะกรรมการแก้ไขปัญหาโครงการฝายหัวนา เพื่อช่วยเกษตรกรชาวนานั้น นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาโครงการฝายหัวนา ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย โดยมีนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมแก้ไขนำเรื่อง ขออนุมัติในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอังคาร 18 พ.ค. 2564 ที่ผ่านมา 

" ล่าสุด ครม.อนุมัติจ่ายเงินค่าทดแทนกรณีที่ดินมีเอกสารสิทธิ จำนวน 82 แปลง เนื้อที่ 422 กว่าไร่ ในอัตราไร่ละ 125,000 บาท เป็นเงิน 52,785,937 บาท และที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิจำนวน 22 แปลง เนื้อที่ 206-2-02 ไร่ ในอัตราไร่ละ 45,000 บาทเป็นเงิน 9,292,725 บาท ให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการฝายหัวนา จังหวัดศรีสะเกษ " นางมัลลิกา กล่าว 

นางมัลลิกา กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นโครงการที่ผ่านการตรวจสอบและเห็นชอบโดยคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาโครงการฝายหัวนา จังหวัดศรีสะเกษ และคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาโครงการฝายหัวนาจังหวัดศรีสะเกษ เฉพาะกลุ่มโนนสัง กลุ่มราษีไศล และกลุ่มกำนันผู้ใหญ่บ้านรวมทั้งสิ้น 104 แปลง เนื้อที่ 628 กว่าไร่ เป็นเงิน 62,078,662 บาท 

"เป็นเรื่องที่พิจารณากันมายาวนานจนสำเร็จในยุคปัจจุบันนี้ ซึ่งเรื่องนี้นายกรัฐมนตรีมอบรองนายกรัฐมนตรี จุรินทร์เป็นผู้รับผิดชอบ และล่าสุดเกษตรกรชาวนาดีใจมากเพราะรัฐบาลนี้จริงใจใส่ใจแก้ไขปัญหาแม้จะเป็นเรื่องยืดเยื้อมาหลายยุค แล้วเมื่อวาน นางรัชฎาภรณ์ แก้วสนิท อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ แจ้งว่าเกษตรกรติดป้ายขอบคุณนายกฯ รองนายกฯ จุรินทร์ และรัฐมนตรีเฉลิมชัย กันว่อนเลยที่จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งก็ดีใจกับเกษตรกรด้วยเพราะเขาก็สู้อดทนกันมานาน " นางมัลลิกา กล่าว

พิมรี่พาย แจง แค่ โทนี่ พูดถึง 5 วินาทีต้องเจออะไรบ้าง บริจาคของหน่วยงานโดนตีกลับ ไม่รับของ-กลัวมีปัญหา ขอตั้งโรงพยาบาลสนามที่คลองเตยก็ไม่ได้

กรณี ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ร่วมเสวนาใน Clubhouse โดยตอนหนึ่ง นายทักษิณ ได้พูดในประเด็นว่าภายในเรือนจำเขามีสนามฟุตบอล มีโรงอาหาร เราสามารถเปลี่ยนมาเป็นโรงพยาบาลสนามชั่วคราวได้หรือไม่ หรือถ้าตั้งมันแพง ก็ไปขอ “พิมรี่พาย” ตั้งให้ ทำให้ พิมรี่พาย ต้องออกมาพูดถึงประเด็นดังกล่าวระหว่างไลฟ์สดขายของ ว่าขออย่าลากพิมรี่พายไปเกี่ยวข้อง

ล่าสุด ในช่วงเย็นวันเดียวกัน (19 พ.ค. 64) พิมรี่พาย แม่ค้าออนไลน์ชื่อดัง ก็ได้ออกมาไลฟ์ชี้แจงถึงกรณีนี้อีกครั้งว่า ไม่เคยคิดจะพูดเรื่องนี้แต่ต้องพูดให้เข้าใจ พิมรู้ดีว่าพิมไม่ได้เป็นคนที่พิเศษหรือวิเศษไปกว่าใคร รู้ดีว่าตัวเองแตะต้องได้ เพราะเป็นแค่แม่ค้าธรรมดา เป็นคนธรรมดา ทุกคนวิจารณ์ได้ แต่ยอมรับตามตรง แค่ 5 วินาทีที่คุณทักษิณพูดถึง แค่ 5 วินาทีนี้ไม่มีใครรู้ว่าเราต้องเจออะไรบ้าง

เมื่อเช้าพิมซื้อของบริจาคอุปกรณ์การแพทย์ โดยไม่ได้ทำเป็นคอนเทนต์ แค่ต้องการช่วยหลังบ้าน ซื้อของไป 2 แสนกว่า แต่แค่คุณทักษิณพูดถึง 5 วินาทีเมื่อคืน ของบริจาคถูกส่งไปตอนเช้า 9 โมง โดยไม่ประสงค์ออกนาม หน่วยงานนั้นให้เอาของกลับ ไม่รับของจากฉัน กลัวมีปัญหา นี่แค่ชม 5 วินาทีเอง”

“ฉันโดนอำนาจมืดข่มขู่จะตรวจสอบกี่ครั้งรู้หรือไม่ ฉันโดนแอคหลุมมาด่าทั้งที่ไม่ได้ทำอะไร ผลกระทบจากการที่คุณทักษิณพูดถึงฉัน เพียงต้องการแซะรัฐบาลและขบขัน แต่ผลกระทบที่ตามมาฉันโดนอะไรบ้าง ฉันอยู่ในสังคมนี้ฉันรู้ต้องทำอย่างไร”

“ทำไมถึงไม่อยากให้โยงการเมือง เพราะฉันขยับตัวไม่ได้เลย ถ้าขยับจะถูกมองทำในเจตนาไม่ได้ ธุรกิจพิมทำอย่างสุจริตและเสียภาษี ระวังตัวที่สุด รู้มั้ยฉันให้คนไปขอตั้งโรงพยาบาลที่คลองเตย รออยู่ 2 อาทิตย์ เขาไล่ฉันกลับมา แถมยังต้องแบกรับภาระลูกน้องอีกหลายชีวิต แต่พอถูกโยงว่ามีปัญหา ความจริงโดนโยงมาหลายครั้ง แต่พูดไม่ได้”

“ความจริงพิมเพิ่งมารวยแค่ 2 ปีนี้เอง โดยจนมาก่อน เป็นแม่ค้าตลาดนัด เรียนก็ไม่จบ ทำให้เข้าใจคนจนดี จึงช่วยเพราะเข้าใจหัวอกคนจน เข้าใจความลำบากและความทุกข์ ทำให้คิดตอบแทนคืนให้สังคมบ้าง ยิ่งคุณทักษิณพูดถึง 5 วินาที มีเอฟเฟคมากมาย ท่านพูดขบขำกดดันรัฐบาล แต่ทำให้เราซวย ซึ่งเดือดร้อนจากคำพูดของท่านจริงๆ รอบนี้พูดถึงพิมแล้วฉันจะอยู่อย่างไร”

 

ที่มา : https://www.komchadluek.net/news/hotclip/467364


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

“รมว.ดีอีเอส” เผย ประสาน ตร.เอาผิด “สมศักดิ์ เจียม” ผิดพ.ร.บ.คอมพ์ฯ-ม.112 ชี้ ลากตัวมาดำเนินคดีได้ ไม่ว่าในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน หรือช่องทางอื่นที่มี 

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ให้สัมภาษณ์ถึงมาตรการป้องกันเฟกนิวส์ว่า ได้ให้มีการศึกษาเกี่ยวการปรับแก้กฎหมาย หรืออาจจะออกกฎกระทรวงหรือออกประกาศ ออกระเบียบในส่วนของการกระทำผิดเกี่ยวกับการนำข้อมูลสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ยกตัวอย่าง ที่ผ่านมาเวลาขอแพลตฟอร์มต่าง ๆ ให้ปิดกั้นหรือดำเนินคดีค่อนข้างจะช้า ก่อนหน้านี้มีการขอไปยังเฟซบุ๊กให้ปิด 12,259 ยูอาร์แอล แต่ปิดให้แค่ 5,740 ยูอาร์แอล หรือไม่ถึงครึ่ง 

โดยอ้างว่าไม่เข้าเกณฑ์และไม่ผิดกฎหมายของประเทศเขา จึงมีแนวคิดที่จะปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การทำงานเข้มข้นขึ้น เพราะเราต้องการแก้ไขปัญหาเรื่องเฟคนิวส์ หรือการโพสต์ข้อความในโซเชียลมีเดียที่เข้าข่ายผิดกฎหมายให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น 

“ขณะนี้มีเฟกนิวส์ต่าง ๆ ออกมามาก โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 จึงอยากเตือนคนที่กำลังตั้งใจจะทำร้ายบ้านเมืองด้วยการปล่อยเฟกนิวส์เพื่อปั่นป่วนกันเองขอให้หยุด เพราะที่ผ่านมาเรามีคณะติดตามเรื่องนี้คอยรวบรวบพยานหลักฐานไว้หมด หากพบว่ากระทำผิดจะดำเนินการปิดกั้นและดำเนินคดีตามกฎหมาย จึงขอให้เคารพกฎหมายด้วย” นายชัยวุฒิ กล่าว 

เมื่อถามถึงกรณีมีข่าวว่าจะประสานกับตำรวจให้ล่าตัวนายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ผู้ต้องหาประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่ออกมาโพสต์ข่าวลือเกี่ยวกับสถาบันก่อนหน้านี้ นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ที่ผ่านมาดีอีเอสได้มีการแจ้งไปยังเจ้าของแฟลตฟอร์ม ขอให้ปิดกั้นข้อมูลที่สร้างความตื่นตระหนกและไม่เป็นความจริงมาตลอด ไม่ใช่เฉพาะเพจของนายสมศักดิ์ หรือเพจของนายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์เท่านั้น ซึ่งกรณีของนายสมศักดิ์นั้น ดีอีเอสได้ประสานไปยังตำรวจให้ดำเนินคดีในความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 แล้ว และตนเชื่อมั่นว่าในที่สุดจะดำเนินคดีเอาตัวคนผิดมาลงโทษในเมืองไทย โดยใช้กลไกส่งตัวผู้ร้ายข้ามและช่องทางอื่นที่มีตามกฎหมายระหว่างประเทศ

'กรณ์' ติงกู้เพิ่ม 7 แสนล้านต้องใช้ให้คุ้ม! พุ่งเป้าผู้ประกอบการรายเล็ก แทนหว่านแจก

กรณ์ สะท้อนเสียงลมหายใจเฮือกสุดท้ายผู้ประกอบการ กรอบเงินกู้ชนเพดาน เงินกู้ 7 แสนล้าน สำคัญอยู่ที่ว่า 'ใช้ถูกทางหรือไม่' ต้องพุ่งเป้าผู้ประกอบการรายเล็ก SMEs ร้านอาหาร และภาคบริการ

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า ในฐานะอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงกรณีรัฐบาลมีมติออกเงินกู้อีก 700,000 ล้านว่า นับเป็นรัฐบาลที่ออก พรก. กู้เงินฉุกเฉินนอกระบบงบประมาณ ถึงสองครั้งเป็นรัฐบาลแรกในประวัติศาสตร์ โดยครั้งแรกสมัย รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี โดยที่ตนเป็น รมว.คลัง เพื่อแก้วิกฤตเศรษฐกิจโลก Hamburger สำเร็จด้วย พรก.ไทยเข้มแข็ง ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยฟื้นไวเป็นอันดับ 2 ของโลก และอีกครั้งในสมัยรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี โดยอ้างเหตุงเหตุแก้ปัญหาน้ำท่วม แต่สุดท้ายไม่ได้ใช้เพราะโครงการไม่พร้อม 

นายกรณ์ กล่าวว่า มาถึงรัฐบาลนี้ออก พรก.พิเศษกู้เงินแก้วิกฤตโควิดสองรอบ (1ล้านล้าน+7แสนล้าน) รวม 1.7 ล้านล้านบาท เท่ากับ 10% ของ GDP รอบล่าสุดนี้ ก้อนแรก 7 แสนล้านคือการกู้เพื่อชดเชยขาดดุลงบประมาณปี 2565 ก้อนสองอีก 7 แสนล้านโดยออกเป็นพรก.พิเศษ รวม 1.4 ล้านล้าน รวมสองปี การกู้ทั้งหมดของ ‘64 และ ‘65 รวมเกือบ 3 ล้านล้านบาท หรือเกือบ 20% ของ GDP สะท้อนสภาพเศรษฐกิจที่ยังตกต่ำ และฟื้นช้าเพราะวัคซีนยังไม่เรียบร้อยดี คนไทยยังกลับไปทำมาหากินยังไม่ได้ รัฐบาลจึงต้องกู้ และกู้โดยไม่มีทางเลือกอื่น

อย่างไรก็ตามหากถามว่า การกู้ครั้งใหม่นี้มีผลต่อเสถียรภาพทางการคลังหรือไม่ คำตอบคือในสภาพเศรษฐกิจอย่างนี้ รัฐบาลจำเป็นต้องใช้เงิน คำตอบคือ ไม่กู้ไม่ได้อยู่ดี โดยที่ ‘ภาระต่องบประมาณ’ ยังรับได้อยู่ (สัดส่วนงบดอกเบี้ยและงบคืนเงินต้น เทียบกับงบรายจ่ายโดยรวมของรัฐบาล) แต่นั่นเป็นเพราะอัตราดอกเบี้ยช่วงนี้ต่ำมาก และเริ่มมีความเสี่ยงมากขึ้นว่าดอกเบี้ยนโยบายประเทศอื่นจะปรับขึ้น เพราะสัญญาณเงินเฟ้อเริ่มกลับมาจากการฟื้นตัวเศรษฐกิจของประเทศใหญ่ๆเช่น สหรัฐอเมริกา จีน และยุโรป ทั้งหมดจะไม่เป็นปัญหาหากเศรษฐกิจเราฟื้นอย่างต่อเนื่อง แต่ถ้า GDP เราโตได้เฉลี่ยเพียงปีละ 2-3% ไปอีก 4-5 ปี เราอาจจะเริ่มมีปัญหา ดังนั้นการใช้เงินจึงต้องเข้าเป้า และนี่คือ โจทย์ที่สำคัญที่สุด ต้องกู้แต่ต้องใช้เงินกู้ให้คุ้มที่สุด

“รอบแรก 1 ล้านล้านบาทผมให้แค่ 6/10 คะแนน จากส่วน 'เยียวยา' ผมถือว่ารัฐบาลทำได้ดี ไม่ว่าจะเป็น ‘เราไม่ทิ้งกัน’ หรือ ‘คนละครึ่ง’ ฯลฯ แต่ที่หัก 4 คะแนน ผมว่าผิดเป้า เพราะเอาไป ‘ฟื้นฟู’ ในเรื่องไม่เป็นเรื่องเสียเยอะ และเบิกจ่ายช้ามาก ไม่สมกับเป็น ‘งบฉุกเฉิน’ ตามนิยามของ ‘พรก.’ รอบใหม่นี้ไม่ควรแจกแนวเดิม และไม่ควรมีเรื่องฟื้นฟูไม่เป็นเรื่องอีกเลย แต่ต้องยิงให้เข้าเป้า นั่นคือเป้าหมายหล่อเลี้ยงผู้ประกอบการขนาดเล็ก SMEs ร้านอาหาร ธุรกิจภาคบริการทั้งระบบให้อยู่รอดจนถึงการฉีดวัคซีนครบตามเป้า” อดีต รมว.คลัง กล่าว

นายกรณ์ กล่าวาว่า พรรคกล้า เราเสนอทางออกไปหลายครั้งเพื่อแก้ปัญหา อย่างล่าสุดเราเสนอให้รัฐบาลออกมาตรการเพื่อช่วยทุกคนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอาหาร แต่ก็ถูกกระทรวงการคลังปฏิเสธ ส่วนในเงินกู้ 7 แสนล้านใหม่ มีส่วนที่กันไว้เพื่อการฟื้นฟูสูงถึง 270,000 ล้าน ตรงนี้ก็จะนำไปสู่ความผิดพลาดซํ้ากับปีที่ผ่านมา ตรงนี้ต้องปรับ และสำคัญที่สุดที่ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลต้องเร่งทำคือ 'ยุทธศาสตร์การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ' มิเช่นนั้นเงินกู้ทั้งหมดนี้ก็จะถูกละลายหายไปโดยที่ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ทำให้คนไทยรู้สึกมีความหวังมากขึ้น ทั้งหมดนี้คือ เสียงสะท้อนจากเฮือกสุดท้ายของผู้ประกอบการ รวมไปถึงกรอบเงินกู้ที่ล้นชนเพดานแล้ว

กระทรวงแรงงาน กำชับนายนายจ้าง/สถานประกอบการ ดูแลคนต่างด้าวตามมาตรการป้องกันโควิด-19

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ห่วงกังวลการแพร่เชื้อในสถานประกอบการ กำชับนายจ้างดูแลสถานที่ทำงาน และแรงงานต่างด้าวปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรคของกระทรวงสาธารณสุข

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้กำกับดูแลกระทรวงแรงงาน  ห่วงใยสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 จากกรณีที่พบการติดเชื้อในแคมป์คนงานก่อสร้างช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เกี่ยวกับเรื่องนี้ กระทรวงแรงงานได้มอบหมายกรมการจัดหางานเร่งประชาสัมพันธ์วิธีการป้องกัน และปฏิบัติตัว ในสถานที่ทำงานตามมาตรการของ ศบค. แก่นายจ้าง/สถานประกอบการ รวมทั้งประชาสัมพันธ์เป็นภาษาประจำชาติ (ภาษากัมพูชา ลาวและเมียนมา) ของแรงงานต่างด้าว เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง อย่างไรก็ดีขอให้นายจ้างกำชับให้แรงงานต่างด้าว ที่อยู่ในความรับผิดชอบการจ้างงานของตน ปฏิบัติตามข้อกำหนดและมาตรการป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด

ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า ที่ผ่านมาสำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด และสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 มีการประสานนายจ้าง/สถานประกอบการในพื้นที่ของตนเอง ให้ทราบมาตรการป้องกันและควบคุมโรค รวมทั้งการอยู่ร่วมกันในสถานประกอบการ

โดยกำชับนายจ้างให้ดูแลสถานประกอบการให้มีความสะอาดปลอดภัย ถูกสุขลักษณะตามมาตรการป้องกันโรคที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด ทำความสะอาด เช็ดถูพื้นผิววัสดุอุปกรณ์ ที่มีการใช้ร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ ทั้งต้องควบคุมให้แรงงานต่างด้าวในความดูแลเข้าใจและปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด เพื่อตัวแรงงานต่างด้าวเอง เช่น สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลาที่ทำงาน หรือทำกิจกรรมอื่นๆ หมั่นล้างมือ หรือทำความสะอาดด้วยเจลแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะก่อนทานอาหาร และหลังเข้าห้องน้ำ ทานอาหารในจานตนเอง งดเว้นการรวมกลุ่มกัน เน้นทานอาหารปรุงสุก เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อ งดการรวมกลุ่มสังสรรค์หลังเลิกงาน อาบน้ำทำความสะอาดร่างกายทันทีที่ถึงที่พัก เพื่อป้องกันเชื้อที่ติดตามร่างกาย แพร่สู่ครอบครัว และหากมีอาการผิดปกติ อย่านิ่งนอนใจ ควรแจ้งหัวหน้างาน หรือนายจ้างทันที

"นายกฯ" สั่งกอ.รมน.แจงข่าว​ Fake News​ ในโซเซียล หวั่น ปชช. สับสน​ ย้ำ กอ.รมน.ทั่วประเทศสอดส่องเฝ้าระวังแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมือง

เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2564 ที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.)  พล.ต.ธนาธิป สว่างแสง โฆษกกอ.รมน. กล่าวว่า กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ได้ประชุมหน่วยขึ้นตรง กอ.รมน. ผ่านระบบวีดิทัศน์ทางไกล (VTC) โดยมี พล.อ. วรเกียรติ  รัตนานนท์ เลขาธิการ กอ.รมน. เป็นประธานการประชุม

พล.ต.ธนาธิป กล่าวว่า​ การประชุมในวันนี้ มีวาระการประชุมในเรื่องที่กอ.รมน.ร่วมประชาสัมพันธ์ชี้แจงข้อกฎหมายและผลกระทบที่มีการส่งต่อข้อมูลอันเป็นเท็จ เพื่อให้ประชาชนใช้สื่อโซเชียลอย่างรู้เท่าทัน​ ทั้งนี้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในฐานะ ผอ.รมน. มอบหมายให้กอ.รมน.ภาค และ กอ.รมน.จังหวัด มวลชนของ กอ.รมน. ร่วมประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องกับประชาชน​ กรณีสื่อโซเชียลเผยแพร่ข้อมูลที่ทำให้เกิดความสับสนในลักษณะข่าวปลอม (fake news) ไม่มีที่มาที่ไป หากเผยแพร่ส่งต่อข้อมูลอันเป็นเท็จอาจจะสร้างความแตกแยกความเข้าใจผิดต่อสังคม ตลอดจนทำลายภาพลักษณ์ต่อประเทศ ถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ 

“กอ.รมน. จึงขอความร่วมมือประชาชนรับข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงานราชการหรือรัฐบาลเป็นหลัก และขอให้ตรวจสอบข้อมูลก่อนแชร์หรือส่งต่อให้ผู้อื่น จึงอยากเตือนผู้ที่มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารอย่าได้ทำการเผยแพร่โดยเด็ดขาด และหากพี่น้องประชาชนพบเห็นการกระทำอันผิดกฎหมายพรบ.คอมพิวเตอร์ฯ สามารถแจ้งมาได้ที่สายด่วนความมั่นคง กอ.รมน. 1374 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อดำเนินการตรวจสอบ หากพบว่ามีความผิดจริงจะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป” โฆษกกอ.รมน. กล่าว 

พล.ต.ธนาธิป กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ที่ประ​ชุมกอ.รมน. ใช้กลไก กอ.รมน.ภาค และกอ.รมน.จังหวัด ร่วมบูรณาการกับหน่วยงานภาครัฐเฝ้าระวังติดตามการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย​ โดยเฉพาะการนำแรงงานต่างด้าวเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย โดยให้สนับสนุนการปฏิบัติกองกำลังป้องกันชายแดนกองทัพบก ป้องกันการลักลอบนำแรงงานต่างด้าวเข้าเมืองตามแนวชายแดนโดยเน้นย้ำให้มีการดำเนินการอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะกระบวนการนำพา​จึงขอความร่วมมือประชาชน เป็นหูเป็นตา​ หากพบเห็นขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่เข้าดำเนินการโดยทันที

อย่างไรก็ตาม​ กอ.รมน.ได้นำข้อมูลอ้างอิงจาก ศบค. และ สธ. มาให้เจ้าหน้าที่ call center ใช้ในการให้บริการข้อมูลการสอบถามขั้นตอนการลงทะเบียนฉีดวัคซีนบน App หมอพร้อม คู่มือวัคซีนสู้โควิดฉบับประชาชน รวมถึงการรับแจ้งเหตุ​ ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ยังไม่เข้าถึงการรักษาในโรงพยาบาลโดยมีประชาชนโทรมาสอบถามข้อมูลข้อมูลดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง

‘บิ๊กตู่’ วาง 3 แนวทาง กระจายวัคซีนอย่างทั่วถึง ย้ำชัด ผู้ประกันตนทุกคนต้องได้ฉีดวัคซีนโควิด

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม โพสต์ข้อความบน Facebook ส่วนตัว ถึงมาตรการการฉีดวัคซีนป้องกัน โควิด-19 ให้กับกลุ่มผู้ประกันตนในระบบมาตรา 33 ว่า “กลุ่มผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมตามมาตรา 33 เป็นกลุ่มแรงงานที่ความสำคัญกลุ่มหนึ่ง เป็นกลุ่มเสี่ยงที่มีอาชีพต้องสัมผัส ต้องเจอคนจำนวนมาก อีกทั้งยังเป็นกลไกสำคัญของระบบเศรษฐกิจของประเทศ

การเตรียมการฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มผู้ประกันตนนี้ จะเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวง แรงงาน กระทรวงการคลัง และภาคเอกชน โดยจะพร้อมฉีดตั้งแต่ต้นเดือน มิ.ย. นี้ครับ

ผมได้กำชับให้ทำการฉีดให้ต่อเนื่อง และรวดเร็วที่สุด เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมการผลิต และภาคบริการ ฟื้นตัวได้โดยเร็ว

สำหรับแนวทางการกระจายวัคซีนมีดังนี้ครับ

1.) สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน ร่วมมือกับภาคเอกชน และ สปสช. ในการดำเนินการ โดยกลุ่มผู้ประกันตนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปและผู้ป่วยในกลุ่ม 7 โรคเรื้อรัง จะให้ทางกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้ดำเนินการเนื่องจากกลุ่มดังกล่าวได้ลงทะเบียนผ่านหมอพร้อมไปแล้ว

2.) สำนักงานประกันสังคมจะประสานกับนายจ้างของแต่ละบริษัทให้ส่งข้อมูลลูกจ้างที่จะฉีดวัคซีน เพื่อทำการจัดสรรเวลาการฉีดวัคซีนให้แก่ผู้ประกันตน โดยในระยะแรกจะเน้นการฉีดวัคซีนสำหรับผู้ประกันตนใน กทม. และในระยะถัดไปจะเร่งฉีดวัคซีนให้แก่ผู้ประกันตนใน 9 จังหวัดเศรษฐกิจ จากนั้นจะดำเนินการฉีดวัคซีนให้แก่ผู้ประกันตนในจังหวัดที่เหลือต่อไป ที่สำคัญคือ จำนวนวัคซีนต้องเพียงพอกับจำนวนคน หากไม่ได้ทั้งหมดก็จะจัดสรรทยอยให้ตามลำดับความเร่งด่วน

3.) การฉีดวัคซีนใน กทม. นั้น จะมีจุดฉีดวัคซีน 45 แห่ง และจุดฉีดวัคซีนใน 9 จังหวัดเศรษฐกิจอีก 22 แห่ง

ทั้งหมดนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานตามแผน “วาระแห่งชาติ” เรื่องการฉีดวัคซีน ผู้ประกันตนทุกคนจะต้องได้รับการฉีดวัคซีน ที่จะทั้งป้องกันโรคให้กับตนเอง คนรอบข้าง และผู้เข้ามารับบริการ เพื่อให้กิจการและเศรษฐกิจเดินหน้าต่อได้”


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top