Thursday, 24 April 2025
POLITICS NEWS

ทอ. ส่งเจ้าหน้าที่ฉีดพ่นแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ ทำความสะอาด ตลาดยิ่งเจริญก่อนเปิดบริการ

พล.อ.ท.ฐานัตถ์ จันทร์อำไพ เจ้ากรมกิจการพลเรือนทหารอากาศ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการพลเรือน-ทหาร ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพอากาศ นำคณะเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ นิวเคลียร์ ชีวะ เคมี กองทัพอากาศ จากศูนย์วิจัยพัฒนาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีการบินและอวกาศ กองทัพอากาศ ทำการฉีดพ่นแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ เพื่อทำความสะอาดภายในตลาดยิ่งเจริญ หลังจากพบผู้ติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวนมาก จากการตรวจหาเชิงรุก แก่ผู้ค้า ผู้ช่วยค้า แรงงานข้ามชาติ และชุมชน ครอบคลุมพื้นที่ตลาดยิ่งเจริญ ตั้งแต่วันที่ 8 พฤษภาคมเป็นต้นมา

โดยเจ้าหน้าที่ของกองทัพอากาศ ได้ทำการฉีดพ่นแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อ ตั้งแต่บริเวณโซนปลาน้ำจืดถึงโซนอาหารทะเล, โซนอาคารยาว ตลาดท้ายเพชร, เต็นท์ยักษ์ ลานจอดรถที่ 3, โซนพลาซ่า, อาคาร 60 ปี, อาคาร 800 ตารางเมตร และบริเวณพื้นที่ใกล้เคียงตลาดยิ่งเจริญ เพื่อเตรียมความพร้อมในการเปิดให้บริการต่อไป

ทั้งนี้ กองทัพอากาศ ยังคงดำเนินการตามมาตรการบรรเทาและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 อย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง อีกทั้งยังดำรงความพร้อมของทรัพยากรต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขในการรับมือกับสถานการณ์และแนวโน้มการแพร่ระบาดของโรค เพื่อให้พี่น้องประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติสุขโดยเร็ว

ศบค. ต่อพ.ร.ก.ฉุกเฉิน อีก 2 เดือน ถึง 31 ก.ค.

เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2564 ที่ศบค. ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) แถลงผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ครั้งที่ 7 / 2564 ที่มี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศบค. เป็นประธานการประชุมว่า ที่ประชุมศบค.ชุดใหญ่มีข้อสรุปให้ขยายเวลา การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร คราวที่ 12 โดยเห็นชอบให้ขยายตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน-วันที่ 31 กรกฎาคม 2564 โดยเหตุผลเพื่อการควบคุมโรคระบาด โควิด-19 เป็นหลัก
 

"ศรีสุวรรณ" หอบหลักฐาน ร้อง กกต.วินิจฉัยให้เลือกตั้ง อบจ.นนทบุรีใหม่ หลังพบทำผิดซื้อเสียง-ฝ่าฝืนหาเสียงทางอิเล็กทรอนิกส์-สัญญาว่าจะให้เงินเด็ก

เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2564 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เข้ายื่นคำร้องต่อ กกต. เพื่อให้ดำเนินการสืบสวน ไต่สวน หรือวินิจฉัย เพราะมีหลักฐานที่เชื่อได้ว่า การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดนนทบุรี มีผู้สมัครรับเลือกตั้งทำผิดกฎหมายเลือกตั้งอย่างมากมาย

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า สืบเนื่องมาจาก กกต. ได้จัดให้มีการเลือกตั้ง สมาชิก อบจ. และนายก อบจ.ทั่วประเทศเมื่อ 20 ธ.ค. 63 ที่ผ่านมา แต่ปรากฏว่า ผู้สมัครรับเลือกตั้งในพื้นที่ จ.นนทบุรี มีการกระทำความผิดเกี่ยวกับ พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น 2562 มาตรา65 (1) อย่างโจ๋งครึ่ม อาทิ มีการซื้อสิทธิ-ขายเสียง โดยมีการแจกเงินหัวละ 300 บาท โดยมีพยานหลักฐานเป็นคลิปวิดีโอ ซึ่งมีการนำมาโพสต์แพร่หลายในโซเชียลมีเดีย กระทั่งมีความพยายามวิ่งเต้นเพื่อเบี่ยงเบนหลักฐานดังกล่าวที่แพร่หลาย โดยอ้างว่าเป็นการชำระหนี้กันแทน แต่ทว่าหลักฐานของการโทรศัพท์มาเคลียร์ของฝ่ายซื้อเสียงเป็นประจักษ์พยานที่ปฏิเสธไม่ได้

นอกจากนั้น ยังมีหลักฐานการโฆษณาในโซเชียลฯต่าง ๆ ที่สามารถชี้ชัดถึงผู้สมัครนายก อบจ.บางรายเกี่ยวกับการให้หรือสัญญาว่าจะให้เงินหรือทรัพย์สิน โดยเฉพาะการให้เงินเดือนของตนกับเด็กประพฤติดีแต่ยากจนตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่ง ซึ่งถ้าบวกค่าตอบแทนประจำตำแหน่งและค่าตอบแทนพิเศษเข้าไปอีกจะตกประมาณ 75,530 บาทต่อเดือน หรือ 906,360 บาทต่อปี หรือกว่า 18 ล้านบาทตลอดระยะเวลาการดำรงตำแหน่งกว่า 16 ปีที่ผ่านมา ซึ่งขัดต่อประกาศผู้อำนวยการเลือกตั้งประจำ จ.นนทบุรี เรื่อง กำหนดจำนวนเงินค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งของนายก อบจ. ที่กำหนดไว้ไม่เกิน 7 ล้านบาทเท่านั้น

อีกทั้งยังมีหลักฐานที่ชี้ว่าการโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ยังมีการฝ่าฝืนระเบียบกกต.ว่าด้วยวิธีการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น 2563 มากมาย ทั้งการนำเด็กๆมาใช้ในการทำแผ่นป้ายหาเสียง ซึ่งเข้าข่ายฝ่าฝืน มาตรา 27 ประกอบ มาตรา79 แห่ง พ.ร.บ.การคุ้มครองเด็ก 2546 อีกด้วย

นายศรีสุวรรณ กล่าวอีกว่า แม้ กกต.จะได้ประกาศผลการเลือกตั้ง สมาชิก อบจ.และนายก อบจ.นนทบุรีไปแล้วก็ตาม แต่ทว่าตาม มาตรา17 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น 2562 บัญญัติไว้ว่า “การประกาศผลการเลือกตั้ง ไม่เป็นการตัดหน้าที่และอำนาจของ กกต.ที่จะดำเนินการสืบสวน ไต่สวน หรือวินิจฉัย เมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่า การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม” ด้วยเหตุดังกล่าว สมาคมฯ จึงนำพยานหลักฐานที่ชี้ชัดเกี่ยวกับการทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง อบจ.นนทบุรี มาร้อง กกต. เพื่อให้ดำเนินการเอาผิดและหรือร้องต่อศาลสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ต่อไป

“บิ๊กป้อม” ประชุมกนภ. ย้ำ ทส.ขับเคลื่อน ลดก๊าซเรือนกระจกต่อเนื่อง ตามกรอบ UN เน้นสร้างการรับรู้-ปชช. มีส่วนร่วม เห็นชอบ มาตรการทดแทนปูนเม็ด และแถลงการณ์ร่วม ไทย-สวิส สานความสัมพันธ์ มุ่ง ปก.ภาวะโลกร้อน ทั้งภายในประเทศ และของโลก

เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2564  พล.ต.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษกประจำรอง นรม. เปิดเผยว่าพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. ได้เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (กนภ.) ครั้งที่ 3/2564 ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยมี นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทส. เข้าร่วมการประชุม ณ ห้องประชุม 301  ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล

ที่ประชุมได้รับทราบ การดำเนินงานที่สำคัญ และผลการประชุมระดับรัฐมนตรีระหว่างผู้นำสหรัฐ และผู้นำจากประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกระดับสูง รวมทั้งผู้นำจากประเทศที่มีการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อย่างโดดเด่น และได้เตรียมการประชุมครั้งต่อไป ณ สหราชอาณาจักรในเดือน พ.ย.2564 โดยมี รมว.ทส.ของไทยได้รับเชิญเข้าร่วมประชุม ในหัวข้อ "Climate Adaptation and Resilience" 

กนภ. ได้มีการพิจารณาเห็นชอบ (ร่าง) กรอบท่าทีเจรจาของไทยในการประชุมกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประจำปี พ.ศ.2564 เพื่อใช้ในการเจรจาการประชุมองค์กรย่อยต่อไป และเห็นชอบ ข้อเสนอตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือฯ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก : มาตรการทดแทนปูนเม็ด อาทิ ให้ เร่งรัดปรับปรุงมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ประเภทผลิตภัณฑ์คอนกรีต ให้สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ปูนซีเมนต์ ที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป็นวัตถุดิบได้ เป็นต้น รวมถึงได้มีการเห็นชอบ (ร่าง) แถลงการณ์ร่วม (joint statement) ระหว่างสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของไทยกับกรมสิ่งแวดล้อมของสวิส ในความร่วมมือด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เนื่องในโอกาสฉลองครบรอบ 90 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตของทั้ง 2 ประเทศ

พล.อ.ประวิตร ยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่ง ต่อภาวะโลกร้อน ซึ่งได้มีความพยายามแก้ปัญหา มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม ทั้งภายในประเทศ และของโลก ตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติ พร้อมกำชับ ทส.ให้เร่งสร้างการรับรู้/ความเข้าใจให้แก่ประชาชน และมีส่วนร่วมสนับสนุนภาครัฐ รวมถึงรณรงค์ขอให้ประชาชนร่วมกันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เพื่อป้องกันภาวะโลกร้อน ไปด้วยกัน

ดีอีเอส เตรียมออกร่างประกาศฯ แก้ปัญหาข้อมูลเท็จท่วมโซเชียล 

“ชัยวุฒิ” เรียกประชุม คกก.ป้องกันฯ การเผยแพร่ข้อมูลเท็จทางโซเชียลนัดแรก ไฟเขียวเตรียมออกร่างประกาศกระทรวงฯ หลักเกณฑ์เก็บ Log files หนุน พรบ.คอมพ์ฯ ตามทันยุคโซเชียล 

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2564 ได้เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการป้องกันปราบปรามและแก้ไขปัญหาการเผยแพร่ข้อมูลเท็จทางสื่อสังคมออนไลน์ ครั้งที่ 1/2564 โดยที่ประชุมได้รับทราบผลการดำเนินงานด้านการปรับปรุงกฎหมายลำดับรองตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เพื่อปรับปรุงประกาศกระทรวงฯ ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ที่ใช้บังคับมานานเพื่อให้ทันสมัย สอดคล้องกับแนวปฏิบัติที่เป็นสากล และสามารถพิสูจน์และยืนยันตัวตนของผู้ใช้งานทั้งในโซเชียลมีเดีย และดิจิทัลแพลตฟอร์มต่าง ๆ 

โดยคณะทำงานอยู่ระหว่างการพิจารณา (ร่าง) ประกาศกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เรื่องหลักเกณฑ์การจัดเก็บข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการ พ.ศ. .... และแนวทางการกำกับดูแลและการลงทะเบียนผู้ใช้งาน Social Media โดยดูจากแนวทางของต่างประเทศเป็นต้นแบบ คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายนนี้ และจะรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้องต่อไป สำหรับสรุปผลการดำเนินงานด้านการป้องกันปราบปรามของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม โดยกระทรวงดิจิทัลฯ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (สอท.) ศปอส.ตร. (PCT) ในช่วง 2 เดือนนี้ (เม.ย.- พ.ค. 64) ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ดำเนินการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง (Verify) ทั้งหมดจำนวน 683 เรื่อง ได้รับการตรวจสอบแล้ว 348 เรื่อง ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบแล้ว 160 เรื่อง แบ่งเป็น ข่าวปลอม 121 เรื่อง ข่าวจริง 15 เรื่อง บิดเบือน 24 เรื่อง

นอกจากนี้ กระทรวงฯ ได้ดำเนินการปิดกั้นข้อมูลที่เข้าข่ายการกระทำความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ โดยยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอปิดกั้น จำนวน 16 คำร้อง 349 ยูอาร์แอล ศาลมีคำสั่งให้ระงับแล้ว 4 คำร้อง และเรื่องอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล จำนวน 12 เรื่อง 256 ยูอาร์แอล อีกทั้ง ได้ดำเนินการแจ้งเตือนแพลตฟอร์มให้ปิดกั้นข้อมูลตามคำสั่งศาล 35 คำสั่ง 726 ยูอาร์แอล และแจ้งความดำเนินคดีในกรณีที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล ตามมาตรา 27 แบ่งเป็น เฟซบุ๊ก 321 ยูอาร์แอล ทวิตเตอร์ 155 ยูอาร์แอล 

ขณะที่ (ศปอส.ตร.) ได้ดำเนินคดีตาม พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ จำนวน 4 เรื่อง 6 รายและดำเนินการตักเตือนให้ลบโพสต์และแก้ไขข่าว โดยใช้อำนาจตาม พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ จำนวน 4 เรื่อง 12 ราย กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (สอท.) ได้ดำเนินการสืบสวนพิสูจน์ตัวตนผู้ใช้บัญชี Social Media ที่ใช้กระทำความผิดเกี่ยวกับข่าวปลอม เรื่อง โรงพยาบาลเมดพาร์ค เปิดให้ลงทะเบียนจองวัคซีนโควิด-19 ของ Moderna จำนวน 11 กรณี ระบุตัวตนได้ 5 ราย อยู่ระหว่างสืบสวน (อวาตาร) 6 ราย และกรณีบิดเบือนวัคซีนไฟเซอร์ จำนวน 25 กรณี ระบุตัวตนได้ 19 ราย และอยู่ระหว่างสืบสวน 6 ราย  

นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ กล่าวว่า แนวทางการดำเนินงานของคณะกรรมการป้องกันปราบปราม และแก้ไขปัญหาการเผยแพร่ข้อมูลเท็จทางสื่อสังคมออนไลน์ ในวันนี้มีความพร้อมและจะเพิ่มประสิทธิภาพการแก้ไขปัญหาข่าวปลอม โดยจะมีการแต่งตั้ง โฆษกกระทรวง/ส่วนราชการ ร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรมการประสานงานและแก้ไขปัญหาข่าวปลอมฯ เพื่อประสานและดำเนินการตอบโต้ข่าวปลอมให้เป็นไปด้วยความรวดเร็ว  

โดยมีแนวทางให้ทุกกระทรวง จัดตั้งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมของกระทรวงขึ้นโดยด่วน เพื่อติดตาม ตรวจสอบและชี้แจงข้อเท็จจริงให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบอย่างรวดเร็ว และเพื่อประสานการปฏิบัติกับคณะกรรมการประสานงานและแก้ไขปัญหาข่าวปลอมฯ กับกระทรวงดิจิทัลฯ อย่างใกล้ชิด รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อกำชับให้ กระทรวง/ส่วนราชการ ที่ได้รับความเสียหายจากการให้ข้อมูล/ข่าวสารที่เป็นเท็จ/บิดเบือน รีบดำเนินการแจ้งความดำเนินคดีตามกฎหมาย ทั้งนี้ ให้ตำรวจเร่งรัดดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดโดยเร็ว รวมทั้งรายงานผลการปฏิบัติ เพื่อประกอบการประเมินผลการดำเนินงานตามวงรอบที่เหมาะสมต่อไป

“บิ๊กตู่” นั่งหัวโต๊ะถก ศบค.ชุดใหญ่ จับตาพิจารณาต่อขยาย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 2 เดือน ถึง 31 ก.ค.นี้ หลังพบคลัสเตอร์ใหม่ทำยอดผู้ติดเชื้อ-เสียชีวิตยังพุ่งไม่หยุด

เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2564  ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ในฐานะ ผู้อำนวนการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. พร้อมด้วยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย และพล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เป็นประธานการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ ครั้งที่ 7/2564 ผ่านระบบ Video Conference

ทั้งนี้คาดว่า ศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) จะเสนอให้ที่ประชุมศบค.ชุดใหญ่ พิจารณาขยายระยะเวลาประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ออกไปอีก 2 เดือน ตั้งแต่ 1 มิ.ย.-31 ก.ค. โดยยึดตามเหตุผลของกระทรวงสาธารณสุข ที่ได้มีการประเมินสถานการณ์ไว้ว่า ต้องใช้ระยะเวลาอีกประมาณ 2 เดือน ในการควบคุมการการแพร่ระบาดของโควิด-19 หากต่อเพียง 1 เดือน หรือ 30 วัน เหมือนเดิม อาจจะไม่เพียงพอ พร้อมทั้งจะพิจารณาถึงแผนการให้บริการวัคซีนโควิด-19 ตามที่ที่ประชุมอีโอซีกระทรวงสาธารณสุขเสนอด้วย

นอกจากนี้คาดการณ์ด้วยว่าจะมีการรายงานถึงมาตรการควบคุมเข้มงวดเฝ้าระวังและสกัดกั้นชายแดนป้องกันการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายยาเสพติดและการค้ามนุษย์ที่อาจเข้ามาพร้อมโควิดสายพันธุ์ใหม่ และตั้งด่านจุดสกัดการลักลอบเข้าเมืองทางน้ำซึ่งถือว่ายังเป็นอีกหนึ่งจุดที่ยังคงมีปัญหา หลังพบผู้ติดเชื้อลอยลำในน่านน้ำ

นอกจากนี้ที่ประชุม อาจมีการหารือ การกระจายวัคซีนแบบ on-site รวมไปถึงกระจายวัคซีนไปยังพื้นที่เสี่ยง เนื่องจากพบการแพร่ระบาดของคลัสเตอร์ใหม่เพิ่มมากขึ้น อย่างในพื้นที่โรงงานอุตสาหกรรม อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งขณะนี้พบผู้ติดเชื้อกว่า 600 คน รวมไปถึงพื้นที่ชุมชนแออัด ที่จะต้องนำวัคซีนเข้าไปเสริม เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่อย่างเร่งด่วน

“บิ๊กบี้” ส่งหน่วยทหารลงพท. รณรงค์ “ฉีดวัคซีนป้องโควิด” สร้างภูมิคุ้มกันหมู่เพื่อชาติ

เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2564 ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พล.ท.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ ผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 กองทัพบก ในฐานะ โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่าสถานการณ์โควิด-19 ของไทยในขณะนี้ได้เริ่มเข้าสู่การฉีดวัคซีนให้กับประชาชนตามการบริหารจัดการวัคซีนของ ศบค. และ กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งการฉีดวัคซีนเป็นหนึ่งในมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด และเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องสร้างการรับรู้ให้กับประชาชน ทั้งนี้ที่ผ่านมา กองทัพบกได้ให้หน่วยทหารและชุดปฏิบัติการกิจการพลเรือน มวลชนเครือข่าย เข้าพบปะให้คำแนะนำเรื่องการป้องกันโรคและการปฏิบัติตนให้กับประชาชนในทุกพื้นที่และเพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง เป็นไปตามแนวทางการบริหารจัดการวัคซีนของรัฐบาล

พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้มอบให้หน่วยทหารทุกกองทัพภาคจัดชุดรณรงค์ประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจในแนวทางการให้วัคซีนโควิด-19 ที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ โดยหน่วยทหารของกองทัพบกจะสื่อสารทุกช่องทางทั้งภายในองค์กรและการสื่อสารกับประชาชนให้มีความรู้ความเข้าใจทันต่อข้อมูลข่าวสาร สามารถเข้าร่วมและได้รับประโยชน์จากโครงการฉีดวัคซีนของรัฐบาลอย่างเต็มที่ เน้นการให้คำแนะนำช่องทางที่ประชาชนจะเข้าถึงการฉีดวัคซีน และช่วยอำนวยความสะดวกในการลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน “หมอพร้อม”

สำหรับการรณรงค์ประชาสัมพันธ์จะเป็นไปในลักษณะ การจัดชุดปฏิบัติการกิจการพลเรือนออกรณรงค์ตามชุมชน สถานที่สาธารณะ แหล่งที่มีผู้คนมาใช้บริการเป็นจำนวนมาก เพื่อส่งข้อมูลถึงระดับบุคคล รวมถึงการใช้สื่อ วิทยุ โทรทัศน์ สื่อสังคมออนไลน์ในเครือข่ายกองทัพบกกระจายข้อมูลข่าวสารและเชิญชวนประชาชนเข้ารับบริการฉีดวัคซีนอย่างกว้างขวาง ส่วนโรงพยาบาลค่ายในสังกัดกองทัพบก จะเน้นให้ความรู้และคำแนะนำเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนโควิด รวมทั้งร่วมกับสาธารณสุขในพื้นที่ออกให้คำแนะนำและบริการประชาชน

พล.ท.สันติพงษ์ กล่าวอีกว่า การรณรงค์ดังกล่าว ผู้บัญชาการทหารบกมีเจตนารมย์เพื่อให้ประชาชนมีข้อมูลข่าวสารและเข้าถึงบริการสาธารณสุข ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคระบาดตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ลดความรุนแรงเมื่อมีการติดเชื้อ และป้องกันการเสียชีวิต การฉีดวัคซีนนอกจากจะเป็นการป้องกันตนเอง ครอบครัว ยังเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม ที่สำคัญจะช่วยให้ประเทศไทยผ่านสถานการณ์วิกฤติโควิด และกลับมาดำเนินชีวิตได้ตามปกติ 

ผู้การแต้ม-ดรุณวรรณ ปชป. มอบกล่องยังชีพ รพ.จุฬาภรณ์ ช่วยคนเดือดร้อนโควิด

พล.ต.ต. วิชัย สังข์ประไพ คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ อดีตผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขตหลักสี่-จตุจักร พร้อมด้วย นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ และคณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมคณะฯ ร่วมบริจาคกล่องยังชีพที่ประกอบไปด้วยข้าวสาร 5 กก. ปลากระป๋อง ขนมขบเคี้ยว หน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์ พร้อมถ้วยและจานกระดาษให้กับโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ โดยมี พล.อ.ต.นพ.สันติ. ศรีเสริมโภค รองเลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เป็นตัวแทนรับมอบเพื่อช่วยแจกจ่ายให้กับพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 

ทั้งนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของโครงการช่วยเหลือประชาชนที่ผู้ประสบภัยโควิด-19 ของมูลนิธิ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช และศูนย์บริหารสถานการณ์ฉุกเฉินโควิด-19 พรรคประชาธิปัตย์ (ศปฉ.ปชป.) ที่ได้ดำเนินการไปแล้ว ทั้งการช่วยจัดหาเตียงให้กับผู้ติดเชื้อ การแจกหน้ากากอนามัย 2 ล้านชิ้นที่ได้กระจายผ่านภาคส่วนต่าง ๆ ทั้ง ส.ส. ของพรรค สาขาพรรค อดีต ส.ส. อดีต ส.ก. ส.ข. และโครงการข้าวกล่องเดลิเวอรี 40,000 กล่อง ส่งตรงถึงบ้าน ซึ่งได้ดำเนินการไปแล้ว สำหรับกลุ่มเสี่ยงที่ต้องกักตัวอยู่บ้านและโครงการถุงยังชีพเดลิเวอรีผ่านเคอรี่ส่งตรงถึงบ้าน ที่มีพล.ต.ต. วิชัย สังข์ประไพ เป็นผู้บริหารจัดการ

“ธนาธร” ย้ำไม่เห็นด้วยแผนฟื้นฟู “การบินไทย” ล่าสุดดึงกลับเป็นรัฐวิสาหกิจ-ชี้ เสี่ยงล้มละลายอีกรอบ ประชาชนเป็นผู้แบกแต่กลุ่มทุนได้ประโยชน์

นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ได้โพสต์ข้อความลงเพจเฟซบุ๊ค Thanathorn Juangroongruangkit - ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ถึงกรณีแผนฟื้นฟูกิจการการบินไทย ที่เจ้าหนี้เห็นชอบล่าสุดเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ที่ผ่านมา

โดยนายธนาธร โพสต์ข้อความระบุว่าตนไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพราะแผนฟื้นฟูกิจการฉบับนี้ จะทำให้การบินไทยกลับมาเป็นรัฐวิสาหกิจอีกครั้ง และหากเกิดปัญหาขึ้นอีกในอนาคต ภาษีประชาชนจะต้องถูกนำไปอุ้มการบินไทยอีกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นายธนาธรระบุต่อไป ว่าการที่รัฐบาลตัดสินใจให้แผนฟื้นฟูนี้ผ่าน ทั้ง ๆ ที่ไม่สมเหตุสมผลทางธุรกิจ ไม่มีการปรับโครงสร้างงบการเงินอย่างมีนัยสำคัญ เป็นเพราะ พล.อ.ประยุทธ์ รู้สึกไม่มั่นคงกับสถานะทางการเมืองของตนเอง จึงไม่อยากเผชิญหน้าใครเพื่อผลักดันแนวทางที่ควรจะเป็น เพราะอาจจะเสียพันธมิตรและเสียคะแนนนิยมทางการเมือง

“ไม่มีที่ไหนเขาทำกัน ที่บริษัทขนาดใหญ่จะผ่านกระบวนการฟื้นฟูกิจการ โดยยังคงมีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สินถึงประมาณ 1.2 แสนล้านบาท เหตุผลสำคัญที่เจ้าหนี้และผู้เกี่ยวข้อง สนับสนุนแผนฟื้นฟูนี้ คือความเชื่อที่ว่าหาก “การบินไทย” เกิดปัญหาอีกในอนาคต รัฐบาลจะเข้ามาอุ้มการบินไทยต่อไปเรื่อย ๆ ความคิดเช่นนี้จะไม่ทำให้เกิดการพัฒนา หรือนวัตกรรมขึ้นในการบินไทย การบินไทยจะยังเป็นเด็กที่ไม่รู้จักโต ไม่สามารถยืนได้ด้วยตัวเองในการแข่งขันระดับโลก รอคอยการช่วยเหลือจากรัฐตลอดเวลา”

นายธนาธรยังระบุอีก ว่าแผนฟื้นฟูฉบับนี้ตั้งอยู่บนสมมติฐานว่า การบินไทยที่ปรับโครงสร้างการบริหาร เมื่อสถานการณ์โควิดคลี่คลายแล้ว จะสามารถทำกำไรก่อนภาษี ได้เฉลี่ยปีละ 1.8 หมื่นล้านบาท ตั้งแต่ปีพ.ศ.2566-2578 ติดกันเป็นเวลา 13 ปี ซึ่งจะทำให้บริษัทล้างยอดขาดทุนสะสมได้หมด

แต่ภาวะวิกฤตอาจเกิดขึ้นได้เสมอ และเพียงมีวิกฤตใดก็ตามอีกสักครั้งในช่วง 13 ปีนี้ การบินไทย อาจต้องเข้ากระบวนการฟื้นฟูกิจการอีกรอบ และรอบหน้า อาจต้องใช้เงินภาษีประชาชนอุ้มการบินไทยมากกว่านี้

“และอย่าลืมว่า การคาดการณ์ว่าการบินไทยจะกำไรติดต่อกัน 13 ปี ปีละเกือบ 2 หมื่นล้าน ทันทีที่พ้นวิกฤตโควิด ก็ออกจะมองโลกในแง่ดีเกินจริงไปมาก เพราะ ในช่วงปีพ.ศ. 2558-2562 ซึ่งยังไม่มีโควิด การบินไทยยังขาดทุนไปแล้ว 4.1 หมื่นล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละ 8,200 ล้านบาท”

โพสต์ของนายธนาธรยังระบุด้วยว่า การแก้ปัญหาเช่นนี้ กลุ่มที่ได้รับประโยชน์กลุ่มสำคัญคือกลุ่มทุนธนาคารที่ใกล้ชิดกับคณะรัฐประหาร และเคยร่วมอยู่ในโครงการทุนประชารัฐ ส่วนคนที่เสียประโยชน์มากที่สุดคือประชาชน ที่ต้องนำเงินไปค้ำประกันเงินกู้ให้กับการบินไทย

ที่สำคัญกว่านั้น การดึงการบินไทยกลับเป็นรัฐวิสาหกิจอาจส่งผลกระทบกับเสรีภาพการเดินทางของประชาชน การเปิดน่านฟ้าเสรีในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา ทำให้ค่าตั๋วเครื่องบินถูกลง ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพในการเดินทางมากขึ้น ประชาชนสามารถเดินทางค้าขายติดต่อธุรกิจได้อย่างว่องไวมากขึ้น ปลอดภัยมากขึ้น มีทางเลือกมากขึ้น และค่าใช้จ่ายน้อยลง

“การผลักดันให้เกิดการแข่งขันในธุรกิจการบิน การเปิดน่านฟ้าเสรีจึงสำคัญกว่าการปกป้องการบินไทย สถานการณ์เดินมาไกลมากแล้ว ความเห็นของผมในวันนี้คงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ แต่หากผมเป็นนายกรัฐมนตรี ผมจะอธิบายให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้าใจว่าการยอมรับการเจ็บปวดในระยะสั้น แก้ปัญหาอย่างตรงไปตรงมา เพื่อผลประโยชน์ของบริษัท และของประชาชนในระยะยาว ย่อมดีกว่าการเลี่ยงเผชิญหน้ากับปัญหาเช่นนี้”

“จตุพร” ปลุกปชช.ร่วมเปลี่ยนแปลงประเทศไม่ทนระบอบประยุทธ์ เชื่อ ทันทานพลังประชาชนไม่ไหวแน่ ด้าน อดีต ส.ว.นครศรีธรรมราช ชี้ รัฐประหารเป็นภัยร้ายแรง 

เครือข่ายรามคำแหงเพื่อประชาธิปไตย จัดงานรำลึกครบรอบ 29 ปี พฤษภาทมิฬ 35 ที่ลานสวป. ลานประวัติศาสตร์ของการต่อสู้ มหาวิทยาลัยรามคำแหง โดยช่วงแรกเป็นส่วนของพิธีสงฆ์ เพื่ออุทิศแด่วีรชนผู้ล่วงลับจากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ จากนั้น เป็นการเสวนาในหัวข้อ “มองอดีต คุยอนาคต” ผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) นายสิริวัฒน์ ไกรสินธุ์ อดีต ส.ว.นครศรีธรรมราช และอดีตแกนนำนักศึกษารามฯ พฤษภา 35 และนายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน

นายสิริวัฒน์ กล่าวว่า ทุกการรัฐประหารจะตามมาด้วยความรุนแรง ความไม่สงบ และความตกต่ำของประเทศเสมอ ขณะที่ระบอบประชาธิปไตยจะทำให้ความขัดแย้งเดินไปได้อย่างสันติ ซึ่งการทำรัฐประหารทำไม่ได้ แต่วงจรอุบาทว์เกิดขึ้นอยู่เสมอ เพราะพวกที่ถือว่าวุธไม่เคยเรียนรู้ที่จะปรับตัว แต่หาข้ออ้างแบบเดิม ๆ มาทำรัฐประหาร หากย้อนกลับไปสังคมไทยโชคดีที่หลังเกิดเหตุการณ์พฤษภาประชาธรรม 35 เราได้รัฐธรรมนูญฉบับที่เป็นประชาธิปไตยมากที่สุดฉบับหนึ่ง ผลพวงจากรัฐธรรมนูญฉบับนั้น ทำให้เกิดรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพ ตนเชื่อว่าไม่ว่าใครจะเป็นนายกรัฐมนตรี หากเรามีรัฐธรรมนูญ และประชาชนที่ยอมรับหลักการประชาธิปไตย ปฏิเสธหลักการหรืออำนาจอื่น ๆ ประเทศจะเจริญรุ่งเรืองแน่นอน แต่สังคมไทยไม่เคยสรุปบทเรียน ว่าความขัดแย้งหรือความรุนแรงไม่สามารถยุติได้ด้วยความรุนแรง อำนาจนิยม และอำนาจปืน ซึ่งล้าสมัยไปนานแล้ว ประเทศต่าง ๆ ในโลกเขาหายไปนานแล้ว เหลือไม่กี่ประเทศในโลกที่ยังตัดสินด้วยอาวุธ 

“นับจากปี 57 ความเหลื่อมล้ำสูงขึ้น ประชาชนยากจนเศรษฐกิจตกต่ำ คนที่รักชาติถ้าชาติหมายถึงประชาชน คนที่รักความเป็นธรรมจะไม่อาจจะยอมรับระบอบเผด็จการได้เลย เราไม่สามารถยอมรับอภิสิทธิ์ชนไม่กี่ตระกูลได้เอาอำนาจ เอาทรัพย์สิน ผลระโยชน์ทุกอย่างไป แล้วปล่อยให้ประชาชนเดือดร้อนแสนสาหัส เราไม่ได้ใส่ร้ายรัฐบาลนี้ แต่ตัวเลขทุกอย่างมันฟ้อง เหตุการณ์ทางการเมืองที่ผ่านมา รัฐประหารเป็นภัยร้ายแรงที่สุดอย่างหนึ่ง วัฒนธรรมอำนาจนิยมเป็นภัยร้ายแรงอย่างมหาศาล วันนี้ขอชื่นชมเยาวชนคนหนุ่มสาวที่ร่วมกันค้นหาความจริง เพราะความจริงนำไปสู่ความเจริญ” นายสิริวัฒน์ กล่าว

ด้าน นายจตุพร กล่าวว่า สิ่งหนึ่งที่เราพึงเชื่อ คือไม่มีอำนาจของผู้ปกครองที่ได้มาด้วยความไม่ถูกต้องจะชนะประชาชน บ้านเมืองนี้หากฝ่ายประชาชน ฝ่ายประชาธิปไตย ลุกขึ้นมาต่อสู้ก็ยากที่ใครจะรับมือ เราต้องต่อสู้เพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ถูกต้องที่เรียกว่าประชาธิปไตย เพราะหากบ้านเมืองเสียหลักการเรื่องประชาธิปไตย ย่อมเกิดกติกาที่ไม่ชอบธรรม เมื่อเป็นเช่นนั้นก็เป็นปัญหา และแม้ว่าวงจรอุบาทว์ทางการเมืองของไทยจบลงแบบเดิมทุกครั้ง คือประชาชนและนักศึกษาตาย ซีกอำนาจทางการเมืองเปลี่ยน แต่ประชาชนไม่เคยเปลี่ยน 

นายจตุพร กล่าวอีกว่า สถานการณ์โควิด-19 ปีหน้าก็ไม่จบ หากประชาชนไม่คิดที่จะเปลี่ยนหรือต่อสู้ เราก็ต้องน้อมรับชะตากรรมนี้ต่อไป ตนเคยพูดหลายครั้งว่า คนไทยตื่นยากแต่เมื่อตื่นแล้วจะเอาเรื่องและชนะทุกครั้ง แต่พอชนะแล้วคนไทยจะกลับไปหลับต่อ เป็นการเปิดช่องให้ความอยุติธรรมเผด็จการกลับมา วันนี้จึงอยากเชิญชวนให้ประชาชนตื่นมาเอาเรื่องอีกครั้ง เพื่อให้ประเทศเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่ถูกต้อง ถ้าเราทนระบอบประยุทธ์ได้เราก็ทนไป แต่ถ้าเราเห็นว่าระบอบประยุทธ์ไม่ถูกต้อง สร้างความเสียหายให้ประเทศ ก็ต้องลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลง ประเทศจะเปลี่ยนแปลงได้ด้วยประชาชน เพียงแต่ว่าประชาชนจะพร้อมหรือไม่ ทั้งนี้ ไม่มีผู้นำคนไหนจะทัดทานพลังประชาชนได้ นี่คือความหวัง และตนเชื่อว่าคนหนุ่มสาวคือจุดเปลี่ยนแปลงของประเทศนี้

นายวีระ กล่าวว่า อำนาจของประชาชนยิ่งใหญ่ที่สุด วันนี้ต้องทำให้จบในรุ่นเราคือรุ่นของเยาวชน เรายังมีความหวังเต็มเปี่ยมกับคนรุ่นปัจจุบัน ที่จะทำให้เกิดประชาธิปไตยที่แท้จริงในสังคมไทยแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เมื่อเรามีบทเรียนเราไม่ควรจะผิดพลาดซ้ำซาก เผด็จการพัฒนาตลอด วันนี้เขาเข้มแข็ง เพราะเขาเอาความผิดพลาดในอดีตมาปรับเปลี่ยนเสริมให้เข้มแข็งขึ้น เราก็ต้องเอาบทเรียนมาทำให้เกิดชัยชนะ เอาความผิดพลาดมาแก้ไขปรับปรุง ถ้าเราไม่เข้มแข็งเผด็จจะปราบเราแล้วขึ้นมายึดอำนาจ ประเทศไทยจะไม่ว่างเว้นจากเผด็จการ ไม่ว่างเว้นจากการยึดอำนาจ และฉีกรัฐธรรมนูญ 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top