Thursday, 19 June 2025
POLITICS NEWS

รมว. แรงงาน ประชุม คบต. แก้ไขข้อขัดข้องการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวช่วงสถานการณ์โควิด ระลอกใหม่

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เตรียมเสนอครม.ปรับเวลาหานายจ้างของแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ เป็น 60 วัน ขยายเวลาตรวจโควิด-19 และยื่นขออนุญาติทำงาน (บต.48) ต่างด้าวกลุ่มมติ 29 ธ.ค. 63 ออกไป และผ่อนผันให้ต่างด้าวตามมติครม. 20 ส.ค. 62 มติครม. 4 ส.ค. 63 และมติครม. 10 พ.ย. 63 อยู่ในราชอาณาจักรและทำงานได้ชั่วคราว เพื่อดำเนินการตามประกาศที่กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงแรงงานกำหนดให้แล้วเสร็จ

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่กำกับดูแลกระทรวงแรงงาน  รับทราบข้อขัดข้องต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ระลอกใหม่ และมีความห่วงใยผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของนายจ้าง/สถานประกอบการ และการทำงานแรงงานต่างด้าว ทั้งสิ้น 2,150,663 คน และเพื่อแก้ไขข้อขัดข้องนี้ วันที่ 2 มิถุนายน 2564 ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว (คบต.) ครั้งที่ 4/2564 จึงมีมติเห็นชอบแนวทางแก้ไขข้อขัดข้องฯ เพื่อเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นชอบ ดังนี้

1.) ขยายระยะเวลาการตรวจคัดกรองโควิด-19 ของคนต่างด้าวที่ได้ดำเนินการตามมติครม. เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 63 โดยให้ดำเนินการจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล ถึงวันที่ 16 มิ.ย. 64 และขยายระยะเวลาตรวจคัดกรองโรคโควิด-19 พร้อมทำประกันสุขภาพ และยื่นขออนุญาตทำงาน (ยื่นบต. 48) กับกรมการจัดหางานผ่านระบบออนไลน์ออกไปตามที่ที่ประชุมคบต.เสนอ สำหรับผลการตรวจโรคต้องห้าม 6 โรค สามารถยื่นได้ถึงวันที่ 18 ต.ค. 64

2.) ขยายระยะเวลาการผ่อนผันให้คนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรและทำงาน ที่การผ่อนผันให้อยู่และทำงานในประเทศใกล้จะสิ้นสุด แบ่งเป็น

(1.) กลุ่มคนต่างด้าวตามมติครม. 20 ส.ค. 62 และมติครม. 4 ส.ค. 63 ให้ใช้อำนาจตามมาตรา 17 แห่งพรบ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 และอำนาจตามมาตรา 14 แห่งพรก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ให้อยู่ในราชอาณาจักรและทำงานได้เป็นการชั่วคราวต่อไป โดยที่ต้องยื่นขอก่อนการอนุญาตทำงานตามสิทธิปัจจุบันของแต่ละกลุ่มสิ้นสุด ทั้งนี้ กรณีหนังสือเดินทาง/เอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางสิ้นอายุ คนต่างด้าวต้องมีเอกสารฉบับใหม่ภายใน 1 ปี เพื่อให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ย้ายตราประทับการอนุญาตให้อยู่ในประเทศต่อไป

(2.) กลุ่มคนต่างด้าวตามมติครม. 10 พ.ย. 63 ให้ใช้อำนาจตามมาตรา 17 แห่งพรบ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 ผ่อนผันให้คนต่างด้าวที่หนังสือเดินทาง/เอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางสิ้นอายุ อยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษต่อไปอีก 1 ปี เพื่อทำเอกสารประจำตัวฉบับใหม่ และตรวจลงตราวีซ่ากับสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง

3.) แก้ไขข้อขัดข้องกรณีแรงงานต่างด้าวตาม MoU กลุ่มคนต่างด้าวตามมติครม. 20 ส.ค.62  มติครม. 4 ส.ค.63 มติครม. 10 พ.ย.63 และมติครม. 29 ธ.ค.63 (เฉพาะที่อนุมัติ บต.48 แล้ว) ที่ออกจากนายจ้างเดิมและไม่สามารถหานายจ้างใหม่ได้ทัน แบ่งเป็น

(1.) กลุ่มที่การอยู่สิ้นสุดแล้ว (1 ม.ค. 64 จนถึงก่อนวันที่ ครม.มีมติ) ให้ใช้อำนาจตามมาตรา 17 แห่งพรบ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522  และอำนาจตามมาตรา 14 แห่งพรก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวฯ ผ่อนผันให้คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษถึง 13 ก.พ. 66 และ2.กลุ่มที่การอยู่ยังไม่สิ้นสุด (วันที่ ครม.มีมติ -13 ก.พ. 66) ให้ใช้อำนาจตามมาตรา 14 แห่งพรก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวฯ ให้ปรับระยะเวลาหานายจ้างจาก 30 วัน เป็น 60 วัน

ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า คนต่างด้าวที่ได้รับการผ่อนผันให้อยู่ในราชอาณาจักร และทำงานในประเทศไทย ที่การผ่อนผันดังกล่าวใกล้จะสิ้นสุด มีจำนวนถึง 2,150,663 คน แบ่งเป็น

1.) กลุ่มคนต่างด้าวถือบัตรชมพู จำนวน 1,364,214 คน แยกตามมติครม. 20 ส.ค. 62 จำนวน 1,162,443 คน และตามมติครม. 4 ส.ค. 63 จำนวน 201,771 คน

2.) กลุ่มคนต่างด้าวที่เข้ามาทำงานตาม MoU ซึ่งวาระการจ้างงานครบ 4 ปี จำนวน 131,585 คน และ

3.) กลุ่มคนต่างด้าวที่สิ้นสุดการให้อยู่ในราชอาณาจักรหรือได้รับอนุญาตทำงานตามมติครม.เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 63 จำนวน 654,864 คน คบต.จึงจำเป็นต้องแก้ไขข้อขัดข้องนี้โดยเร็ว เพื่อให้การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานต่างด้าวของนายจ้าง/สถานประกอบการด้วย

ทั้งนี้ หากนายจ้าง/สถานประกอบการ และคนต่างด้าว มีข้อสงสัยหรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่ไลน์ @Service_Workpermit หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร.1694 ซึ่งมีการจัดล่ามในภาษากัมพูชา เมียนมา และอังกฤษ ให้บริการข้อมูลข่าวสาร และแนะนำวิธีการดำเนินการ

ราเมศ จวก โรม อย่าคิดว่าพรรคอื่น จะเหมือนก้าวไกล แน่จริงโหวตคว่ำ พรบ งบ ไม่ร่วม เป็น กมธ.

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงกรณีที่นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวถึงการอภิปรายร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ของพรรคประชาธิปัตย์ว่าเป็นแค่การปาหี่ว่า

คำพูดของนายโรมบ่งบอกถึงความรู้สึกนึกคิด ประสิทธิภาพของการทำหน้าที่ผู้แทนราษฏรเป็นอย่างมาก ที่ยังไม่เข้าใจการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี ที่โดยหลักการสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรสามารถอภิปรายในวาระที่หนึ่งชั้นรับหลักการได้อย่างกว้างขวาง มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยแต่คนที่อภิปรายไว้ ติติงไว้ ความเห็นอันมีค่านั้นจะถูกส่งต่อไปยังวาระที่สองในชั้นกรรมาธิการคือในชั้นการพิจารณารายละเอียดต่างๆ คนที่ทำหน้าที่กรรมาธิการของทุกพรรคการเมืองก็จะสามารถปรับปรุงได้อยู่แล้วเพื่อให้การจัดสรรงบประมาณเกิดความเหมาะสมและเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมให้มากที่สุด

นักการเมืองและพรรคการเมืองที่ดีไม่ต้องกังวลเพราะจะมีคำตอบให้กับประชาชนได้อยู่แล้ว และต้องคิดให้เป็นว่าสิ่งใดที่เป็นประโยชน์กับประชาชนและประเทศก็ควรมองและทำตามความเป็นจริง ไม่ใช่อยู่ตรงกันข้ามกันแล้วสิ่งที่อีกฝ่ายทำอะไรก็ผิดไปทั้งหมด เรื่องงบประมาณก็เช่นกันเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่เกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ของประชาชนและประเทศ ไม่ควรใช้อารมณ์และความรู้สึกหรือประโยชน์ส่วนตนหรือประโยชน์ส่วนพรรคมาอยู่เหนือส่วนรวม แต่หากพรรคก้าวไกลคิดว่าเรื่องงบประมาณไม่สำคัญกับประชาชนและประเทศก็ประกาศโหวตไม่รับและไม่ต้องส่งคนไปร่วมเป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณางบประมาณ ก็ลองคิดดู

นายราเมศ กล่าวตอนท้ายว่า ยืนยันการอภิปรายของ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เป็นการอภิปรายอย่างสร้างสรรค์ จริงใจ ตรงไปตรง มีข้อเสนอที่เป็นประโยชน์ไม่ใช่เป็นการปาหี่อย่างที่กล่าวหา และจะมีมติรับหลักการในวาระที่หนึ่ง ส่วนไหนที่ต้องปรับแก้ กรรมาธิการในส่วนของพรรคก็จะไปทำหน้าที่ให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม ประชาชนและประเทศต่อไป

“อนุทิน” เผย เริ่มส่งวัคซีนแอสตราเซเนกา-ซิโนแวค ลงพื้นที่ทั่วประเทศไทยแล้ว ย้ำ หลักการกระจายวัคซีน ต้องเป็นธรรม 

ที่กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวหลังการประชุมเรื่องวัคซีนโควิด-19 ระบุว่า เรื่องการจัดหา และกระจายวัคซีน ยังเป็นไปตามแผนงานที่นายกรัฐมนตรี และ ศบค. มอบให้กระทรวงสาธารณสุข นำไปปฏิบัติ ข่าวสารต่างๆ ขอให้รับจากกระทรวงสาธารณสุข เพราะทางกระทรวงฯ เป็นฝ่ายจัดหา และจัดการ ล่าสุด วานนี้ ได้ส่งวัคซีนประมาณ 1.1 ล้านโดส ทั้งของแอสต้ราเซนเนกา และซิโนแวค ลงพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศไทย กระจายไปตามหน่วยงานด้านสาธารณสุข วัคซีน จะต้องให้บริการกับพี่น้องประชาชนมากที่สุด 

สำหรับการจัดหาวัคซีนจากแอสตร้าเซนเนกา ขอย้ำว่า ผู้ผลิต และรัฐต่างมีสัญญาระหว่างกันที่ต้องยึดถือ ตามสัญญา กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค จะต้องตกลงกับแอสต้ราเซนเนกา ในเรื่องของความต้องการ และกำลังการจัดส่งที่ต้องสอดคล้องกัน และต้องหารือให้ได้บทสรุปในแต่ละเดือน การจัดสรรวัคซีน ทางรัฐบาลยึดหลักความเป็นธรรม คำนึงถึงสถานการณ์ของแต่ละพื้นที่

"วัชระ" จ่อ ยื่นหนังสือ จี้ "บิ๊กตู่" เอาผิด "สมศักดิ์" จัดงานเลี้ยงสงกรานต์ ฝ่าฝืนกม.คุมโควิดหลายฉบับ

ที่รัฐสภา นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตนได้ทำจดหมายถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ขอให้ดำเนินคดีตามกฎหมายและพิจารณาการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ประพฤติฝ่าฝืนกฎหมายในสถานการฉุกเฉิน โดยมีเนื้อหาว่า เมื่อวันที่ 12 เม.ย. เวลา 19.00 น. นายสมศักดิ์ และคณะ ได้เดินทางไปร้านคาเฟ่ เดอทรี จ.สุโขทัย เพื่อร่วมกิจกรรมชุมนุม มีการจัดรดน้ำตามประเพณีสงกรานต์ งานเลี้ยงสังสรรค์ มีการร้องเพลงคาราโอเกะ ดื่มไวน์ต่างประเทศ โดยไม่สวมใส่หน้ากากอนามัย มีผู้ร่วมงานประมาณ 21 คน ถือเป็นการกระทำผิดกฎหมายหลายฉบับ และฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่ห้ามมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป และพ.ร.บ.โรคติดต่อ ฝ่าฝืนประกาศหรือคำสั่งของนายกฯและจ.สุโขทัย ซึ่งผลจากการจัดงานครั้งนี้ ทำให้มีผู้เสียชีวิตด้วยโรคโควิด-19 จำนวน 3 คน 

นายวัชระ กล่าวต่อว่า การกระทำของนายสมศักดิ์ เข้าข่ายผิดมาตรฐานตามจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วนงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ.2561 ข้อ 7, 11, 17, 21 และ 23 จึงส่งหนังสือมาถึง พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป และในวันนี้ตนจะเดินทางไปยื่นหนังสือถึงนายกฯ และจะเดินทางไปหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

เพื่อไทยซัด “ประยุทธ์” ติดหล่ม เลิกยกจำนำข้าวมาปกปิดความล้มเหลวของตัวเองได้แล้ว

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม ระบุในการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2565 ว่าด้วยสถานการณ์ที่หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น เพราะต้องใช้หนี้โครงการจำนำข้าวสมัยรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ว่า พล.อ.ประยุทธ์อ่านงบประมาณแล้วไม่รู้เลยหรือว่านายกฯ คนใดใช้งบประมาณ ใช้เงินกู้ อย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ อยู่มา 7 ปี ใช้งบจากภาษีประชาชนไปถึง 24.9 ล้านล้านบาท กู้ตั้งแต่ยังไม่เกิดโควิด หลังโควิดก็ยิ่งกู้ แทนที่เศรษฐกิจไทยจะโตแบบก้าวกระโดด แต่ 7 ปีผ่านไปเศรษฐกิจไทยมีแต่ทรุดกับทรุด ความล้มเหลว ความไร้ประสิทธิภาพในการแก้ไขฟื้นฟูเศรษฐกิจเป็นอย่างไร หลักฐานมันฟ้อง 

ประชาชนที่ติดตามการอภิปรายของ พล.อ.ประยุทธ์ แยกไม่ออก ไม่รู้ว่าเป็นคลิปการอภิปรายปีไหน ไม่รู้อันไหนเป็นคลิปใหม่คลิปเก่า เพราะตลอด 7 ปีที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ ท่องคาถาพูดเหมือนเดิม ติดหล่มวาทกรรมจำนำข้าวที่พวกเดียวกันสร้างขึ้นมา พอจวนตัวไปไม่เป็น ก็จะงัดเอาเรื่องจำนำข้าวมาใช้เป็นเครื่องป้องกันความผิดพลาดล้มเหลวตลอดการบริหาร 7 ปีของตัวเอง คนดีชอบแก้ไข นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ใช้หนี้ไอเอ็มเอฟหมดก่อนกำหนด ไม่เห็นต้องไปโทษรัฐบาลเก่าพร่ำเพรื่อ อย่าคิดว่าจะรื้อฟื้นคดีได้ฝ่ายเดียว เมื่อลมเปลี่ยนทิศ ความจริงจะได้ปรากฏ ใครคือไอ้โม่งที่สั่งให้นำข้าวดีไปจัดเกรด ไปขายเป็นอาหารสัตว์ เป็นพลังงานในราคาต่ำกว่าราคาจริง เพื่อให้เกิดความเสียหายให้มากขึ้น ปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริต เอื้อพวกพ้อง 

“การจัดทำงบครั้งนี้อาจเป็นครั้งสุดท้ายของรัฐบาล-รัฐสภาชุดนี้ ใจคอพล.อ.ประยุทธ์ จะโทษรัฐบาลเก่าอีกกี่ปี จะยกจำนำข้าวมาปกปิดความล้มเหลวของตัวเองอีกนานแค่ไหน” นายอนุสรณ์ กล่าว

"จิรายุ” ย้ำมติฝ่ายค้านไม่รับร่างพ.ร.บ.งบ 65 เผยถ้าได้โอกาสนั่ง กมธ.งบ เตรียมตรวจสอบเข้ม พร้อมจับตาค่ำนี้ พรรคไหนลงมติเป็นสะพานทอด “ประยุทธ์” อยู่ต่อ 8 ปี

ที่รัฐสภา นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการทำงานของคณะกรรรมาธิการงบประมาณว่า ถ้าตนได้มีโอกาสเข้าไปเป็นกรรมาธิการงบประมาณก็จะติดตามตรวจสอบโดยเฉพาะงบเหลือจ่ายว่ามีการใช้จ่ายงบเหลือจ่ายไปในทางที่ถูกหรือไม่ ไม่ใช่เป็นการเทกระจาดใช้ และนี่จะเป็นครั้งแรกที่พรรคฝ่ายค้านจะทำหน้าที่ในชั้นกรรมาธิการงบประมาณใหญ่อย่างเข้มข้นและเราจะส่งขุนพลฝีมือดีเข้าไปในกมธ.ในฐานะฝ่ายค้านเพื่อติดตามตรวจสอบการใช้งบประมาณอย่างจริงจัง ทั้งนี้ยังคงย้ำมติของพรรคเพื่อไทยและพรรคฝ่ายค้านว่ายังคงยืนยันเจตนารมณ์เหมือนเดิมคือลงมติไม่รับร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 65 ในร่างแรก ซึ่งเรามีความจำเป็นที่จะลงมติไม่รับร่างเพราะจำเป็นต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ทั้งนี้การที่งบประมาณไม่ผ่านก็เป็นเรื่องของรัฐบาลว่าจะลาออกหรือยุบสภาตามแต่ดุลยพินิจที่จะรับผิดชอบต่อสังคมและการเงิน 

นายจิรายุ กล่าวต่อว่า ตลอดทั้ง 2 วันของการอภิปรายพรรคร่วมรัฐบาลยังคตำหนิติเตียนรัฐบาลในการจัดทำงบประมาณ ซึ่งเราไม่ได้คาดหวังว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะตัดสินใจอย่างไร แต่เชื่อว่าสังคมจะตัดสินใจในสิ่งที่พรรคร่วมรัฐบาลได้ให้สัตยาบรรณกับประชาชนในช่วงเลือกตั้งว่าไม่อยากร่วมกับรัฐบาลเผด็จการ ฉะนั้นในช่วงค่ำของวันนี้ขอให้ประชาชนได้ติดตามการลงมติ ว่าพรรคการเมืองใดจะเป็นสะพานทอดให้กับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี อยู่ต่อเข้าสู่ปีที่ 8 หรือไม่

นายจิรายุ กล่าวถึงกรณีงบประมาณกระทรวงกลาโหม ว่า เวลาที่มาของบประมาณกับสภา ท่านก็เขียนมาอย่างชัดเจนโดยเฉพาะแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีระบบไว้ในยุทธศาสตร์ชาติจนถึงปี 80 ว่าจะค่อยๆ เพิ่มวัสดุอุปกรณ์โดยนำเข้าจากต่างประเทศ 50% และใช้ของไทยอีก 50% โดยเมื่อปีที่แล้วทางกองทัพอากาศได้มานำเสนอลดปริมาณการนำเข้าและจะใช้วัสดุอุปกรณ์ในประเทศ ทางกมธ.งบยังได้ชื่นชมกองทัพอากาศแต่เมื่อต้นปีที่ผ่านมาอยากให้ตรวจสอบว่าเหล่ากองทัพได้ใช้งบประมาณอย่างถูกต้องตามที่ให้ไว้กับรัฐสภาหรือไม่ หรือมีการไปคุยกับพ่อค้าอาวุธยุทโธปกรณ์หรือไม่ ฉะนั้นจึงควรมีคำตอบต่อประชาชน

กบฉ.ต่ออายุพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฯ 20มิ.ย.-19 ก.ย. ปรับลด ‘อ.กาบัง จ.ยะลา’ จากพื้นที่ประกาศฉุกเฉินฯ สั่ง ลักลอบเข้าเมือง หวั่นแพร่โควิด

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน (กบฉ.)ครั้งที่ 2/2564 

โดยที่ประชุมเห็นชอบขยายเวลา การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่ทุกอำเภอในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาค ยกเว้น อ.แม่ลาน อ.ไม้แก่น จ.ปัตตานี อ.เบตง อ.กาบัง จ.ยะลา และอ.สุไหงโก-ลก อ.สุคิริน,อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส ออกไปอีก 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 20 มิ.ย.-19 ก.ย.64 เพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง และมีประสิทธิภาพในการดูแลรักษาความปลอดภัยชีวิต และทรัพย์สิน ของประชาชนในพื้นที่ และเห็นชอบตามที่กอ.รมน.ภาค 4 เสนอปรับลดพื้นที่การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ซึ่งผ่านเกณฑ์การประเมินแล้ว ได้แก่พื้นที่ อ.กาบัง จ.ยะลา เป็นไปตามแผนงานปรับลดพื้นที่ฯสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล และเห็นชอบให้เพิ่มเติมตัวชี้วัด ความพึงพอใจของประชาชน ต่อเศรษฐกิจ สังคม ควบคู่สถิติทางคดี

นอกจากนั้นรับทราบ ผลการปฎิบัติงานตามพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ของกอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ระหว่างวันที่ 20 มี.ค.-18 พ.ค.ที่ผ่านมา สถานการณ์ภาพรวมดีขึ้น การก่อเหตุความรุนแรงมีแนวโน้มลดลงและประชาชนเข้าใจการปฏิบัติงานของภาครัฐ

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ขอให้กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เฝ้าระวังการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19  และขอบคุณเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงทุกนายที่เสียสละ ทุ่มเทการทำงาน จนสามารถปรับลดพื้นที่ประกาศฉุกเฉินบางส่วนได้ผล ส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศ ตามนโยบายของรัฐบาล และขอเป็นกำลังใจการปฏิบัติงานของจนท.ให้ประสบความสำเร็จปลอดภัยจากภารกิจ และโควิด-19 ทุกคน

“องอาจ” ย้ำ ส.ส. ปชป. วิพากษ์งบเพื่อส่วนรวม ไม่มีวาระซ่อนเร้น

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค และประธาน ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีปรารภในที่ประชุม ครม. ถึง ส.ส. พรรคร่วมรัฐบาลอภิปรายวิพากษ์วิจารณืการจัดทำงบประมาณโดยระบุว่า “ขอให้ช่วยๆ กัน ตรงไหนเกี่ยวข้อง ก็ให้ช่วยเร่งตอบ ปากก็ว่าโอเค แต่ปล่อยให้ลูกพรรคซัดโครมๆ” ว่า ในส่วนของ ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ ขอยืนยันว่าเราทำหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอภิปรายวิพากษ์วิจารณ์บนพื้นฐานของการทำหน้าที่เพื่อส่วนรวม ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ของใครคนใดคนหนึ่ง

การเป็น ส.ส. ที่มาจากการเลือกตั้งจากประชาชน เราจึงคำนึงถึงประโยชน์ของราษฎร และเอาส่วนรวมเป็นตัวตั้ง ขณะเดียวกันในฐานะที่เป็น ส.ส. พรรคร่วมรัฐบาล เราก็อภิปรายบนพื้นฐานของ ส.ส. พรรคร่วมรัฐบาล นอกจากจะวิพากษ์วิจารณ์ข้อด้อยของการจัดทำงบประมาณแล้ว เรายังมีข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์

ถ้ารัฐบาล ผู้บริหารกระทรวง หน่วยงาน องค์กรต่างๆ ที่ใช้งบประมาณ นำไปปรับปรุงแก้ไขก็จะช่วยทำให้เกิดการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อประโยชน์ของราษฎรและส่วนรวมอย่างแท้จริง

ขอยืนยันว่าการอภิปรายวิพากษ์วิจารณ์การจัดทำงบประมาณของ ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ ไม่มีวาระซ่อนเร้นทางการเมือง ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง หรืออภิปรายเพื่อต่อรองทางการเมืองแต่อย่างใด แต่เป็นการอภิปรายงบประมาณอย่างตรงไปตรงมา ว่าไปตามเนื้อผ้า เพื่อให้ได้งบประมาณที่เหมาะสมต่อการพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้ามากยิ่งขึ้นต่อไป

หวังว่านากยรัฐมนตรีจะพิจารณาทำหน้าที่ของพรคการเมือง ส.ส. พรรคร่วมรัฐบาลแบบแยกแยะ และเรียนรู้ทำความเข้าใจถึงบทบาทหน้าที่ของ ส.ส. ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนให้มากยิ่งขึ้น เพื่อให้การทำงานร่วมกันของพรรคร่วมรัฐบาลทั้งใน ครม. ทั้งในสภาเป็นไปอย่างราบรื่น เพื่อให้รัฐบาลเดินหน้าแก้ปัญหาประชาชนได้ตามเจตนารมณ์ที่ตั้งเป้าหมายไว้ต่อไป

"ชาดา" ปัดชวน "อนุทิน" กลับบ้าน ลั่นไม่มีอะไรแค่คุยกันก็จบ ยันการแสดงความเห็นไม่เกี่ยวโหวตงบฯ 65 

เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2564 ที่รัฐสภา นายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส. อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกรณีที่เคยอภิปรายชวนนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคถูมิใจไทยให้กลับบ้าน หากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ไม่รัก โดยเป็นการกล่าวเพียงสั้นๆ ว่า สิ่งที่อภิปรายในวันนั้น ไม่ได้มีผลต่อการลงมติรับหรือไม่รับร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 วงเงิน 3.1 ล้านล้านบาท วาระแรก เพราะการลงมติพรรคจะมีการหารือกันอีกครั้งวันนี้ ในเวลา 13.00 น. ยืนยันว่า เป็นคนละเรื่องกัน เพราะได้มีการพูดคุยทำความเข้าใจแล้วก็จบ ไม่มีปัญหาอะไร

“โรม” ยื่น ร่างแก้ไข ป.อาญา เอาผิด “ผู้พิพากษา-ศาล” เข้าสภา ชี้ เป็นจุดเริ่มต้นปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมไทย

เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2564 ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ยื่นร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฏหมายาญา (ฉบับที่...) พ.ศ... ต่อนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ผ่าน นพ.สุกิจ อัถโถปกรณ์ ที่ปรึกษาประธานสภาผู้แทนราษฎร

โดยนายรังสิมันต์ กล่าวว่า มีวัตถุประสงค์ในการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา โดยเพิ่มฐานความผิดใหม่ที่ไม่มีในระบบกฎหมาย คือ ความผิดฐานบิดเบือนกฎหมาย ซึ่งจะบังคับใช้ต่อพนักงานการยุติธรรม รวมไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ จะเห็นได้ว่าการตัดสินคดีที่เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติรัฐมนตรี กรณีของบริษัทโตโยต้า กรณีการไม่ให้ประกันตัวแกนนำราษฎรโดยไม่มีเหตุผลที่อยู่บนพื้นฐานของกฎหมาย สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่าความยุติธรรมกำลังผิดเพี้ยนและต้องการได้รับการแก้ไข บางคนอาจตั้งคำถามว่าร่างฉบับนี้ที่เราทำขึ้นมาต่างกับเรื่องอื่นๆ อย่างไร เช่นเรื่องผู้พิพากษารับสินบนก็มีกฎหมายที่กำหนดฐานความผิดเอาไว้แล้ว แต่ในระบบกฎหมายของไทยมีช่องว่างคือหากไม่ใช่กรณีรับสินบนแต่เป็นความสัมพันธ์ส่วนตัว หรือมีมูลเหตุจูงใจทางการเมืองแล้วบิดเบือนกฎหมาย ซึ่งไทยยังไม่มีกฎหมายที่กำหนดฐานความผิดนี้เลย ดังนั้นนี่จึงเป็นการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมที่พรรคก้าวไกลทราบดีว่าไม่สามารถทำให้เสร็จสิ้นด้วยกฎหมายฉบับเดียว แต่ยังมีอีกหลายวาระที่ต้องดำเนินการต่อไป ฃกระบวนการยุติธรรมที่ดีคือกระบวนการยุติธรรมที่สามารถตรวจสอบได้ กระบวนการยุติธรรมที่ดีและได้รับความเห็นด้วยชอบธรรมจากประชาชน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top