Saturday, 26 April 2025
POLITICS NEWS

“ไทยไม่ทน” จี้ฝ่ายค้านลาออก หยุดเป็นเครื่องมือระบอบประยุทธ์ ด้าน “สุทิน” รับไปคุยพรรคร่วมฝ่ายค้าน หวั่นปิ้งปลาประชดแมวเข้าทางรัฐบาล

คณะไทยไม่ทนสามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทย นำโดย นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานญาติวีรชนพฤษภา 35 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น และนางพะเยาว์ อัคฮาด ยื่นหนังสือต่อนายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) เพื่อขอให้ฝ่ายค้านเสียสละลาออกจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) 

โดยนายวีระ กล่าวว่า ด้วยคณะไทยไม่ทนสามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทย เป็นกลุ่มประชาชนที่ไม่ต้องการให้ระบอบเผด็จการกบฏอยู่สืบทอดอำนาจอีกต่อไป ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม บริหารประเทศอย่างล้มเหลวทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม อีกทั้งยังมีพฤติกรรมอวดเก่ง ตระบัดสัตย์ จนพาประเทศไปสู่ความวิบัติล่มจม หากปล่อยให้บริหารประเทศต่อไปความพินาศจะทวียิ่งขึ้น จึงเรียกร้องต่อประธานวิปฝ่ายค้าน และพรรคร่วมฝ่ายค้าน 2 ข้อ คือ

1.) หากพรรคร่วมฝ่ายค้านไม่สามารถถ่วงดุล หรือไม่สามารถตรวจสอบการบริหารงานของเผด็จการกบฏที่ทำงานไม่เป็น และไม่สามารถทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้ ควรรีบลาออกเพื่อมาอยู่กับฝ่ายประชาชน และ

2.) หากไม่สามารถหยุดพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เงินกู้ 5 แสนล้านบาท และหยุดพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 ในการแก้ปัญหาโควิด-19 ซึ่งมีความล้มเหลว อีกทั้งพรรคฝ่ายค้านยังถูกข่มขู่ว่าอาจจะมีการยุบสภาแสดงถึงการไม่ให้คุณค่าแก่พรรคฝ่ายค้าน จึงควรลาออกมาให้หมด

ขณะที่ นายจตุพร กล่าวว่า ขอเรียกร้องให้พรรคฝ่ายค้านออกมาต่อสู้ร่วมกับประชาชน อย่าอยู่เป็นเครื่องมือให้ให้รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ เพราะวันนี้มีการข่มขู่ส.ส.ในหลายรูปแบบ ทั้งการขู่ยุบสภา ขู่ลาออก เพื่อเปิดทางให้ตัวเองได้กลับมาใหม่ และจะมีการซื้อขายนักการเมืองเปิดตลาดซื้องูเห่า เพื่ออ้างความชอบธรรมให้ตัวเองได้กลับมาเป็นนายกฯ อีกรอบ นักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยต้องไม่ปล่อยให้รัฐบาลเผด็จการได้ออกไปแบบดีๆ เพื่อที่จะกลับมาเอื้อประโยชน์ให้กับตัวเองอีกครั้ง และแม้ว่าการทำหน้าของประธานวิปฝ่ายค้าน จะทำหน้าที่ได้ดีแต่ก็ไม่สามารถยับยั้งรัฐบาลเผด็จการได้ เพราะมีพวกมากลากไปไม่สามารถตรวจสอบได้จริง ดังนั้น หากพรรคร่วมฝ่ายค้านยังอยู่ต่อไปก็มีแต่จะสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐบาลเผด็จการ

“ผมไม่เห็นประโยชน์ในการดำรงอยู่ของฝ่ายค้านยิ่งอยู่ประชาชนจะยิ่งเสื่อมศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย จึงอยากให้ฝ่ายค้านลาออกเพื่อร่วมต่อสู้กับประชาชนจะทรงคุณค่ากว่า และฝ่ายค้านจะได้กลับมาบริหารประเทศต่อไปในอนาคต แต่หากยังให้ระบอบประยุทธ์ดำรงอยู่ และมีอำนาจต่อไป ความเสื่อมจะยิ่งเกิด ระบอบประยุทธ์ไม่สามารถแก้ปัญหาของชาติได้ ซึ่งการทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริงทุกฝ่ายต้องเสียสละ” นายจตุพร กล่าว

ด้าน นายสุทิน กล่าวภายหลังรับหนังสือ ว่าจะนำเรื่องดังกล่าวเข้าหารือกับฝ่ายค้านต่อไป แต่ส่วนตัวเข้าใจเจตนา และความปรารถนาดีต่อชาติบ้านเมืองของกลุ่มไทยไม่ทนฯ ซึ่งฝ่ายค้านมีจุดร่วมไม่ต่างกัน ที่อยากให้รัฐบาลบริหารบ้านเมืองคำนึงถึงความต้องการหรือความเดือดร้อนประชาชน ที่สำคัญที่สุดคือเราต้องรักษาระบบรัฐสภาไว้ แต่ที่กลุ่มไทยไม่ทนฯ ดำเนินการ เพราะเห็นว่าระบบรัฐสภาที่มีฝ่ายค้านอยู่ด้วยกำลังจะเสื่อมไม่สามารถเป็นที่พึ่งของประชาชนได้ 

“ยอมรับว่าการทำงานของฝ่ายค้าน 2 ปีที่ผ่านมา ยังไม่สามารถหยุดยั้งความคิด วิถีทางที่รัฐบาลดำเนินมาที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย ถ้ามองอีกนัยหนึ่งคือฝ่ายค้านยังไม่สามารถตรวจสอบถ่วงดุลรัฐบาลได้ ด้วยปัจจัยแรก คือ บางครั้งการตรวจสอบรัฐบาลไปจบที่กระบวนการยุติธรรม และองค์กรอิสระ แต่หลายครั้งเราท้อแท้ อีกปัจจัยหนึ่งคือการใช้เสียงข้างมากไม่คำนึงถึงประชาชน หลายครั้งเราทำงานได้ดี แต่ไม่ได้จบบนหลักเหตุผล เจอเสียงข้างมากลากไป ดังนั้น มาตรการหนึ่งที่จะกดดันรัฐบาล คือการที่ให้ฝ่ายค้านลาออกจากระบบรัฐสภาก็เป็นวิธีที่มีเหตุผล ถ้าเราสามารถทำวิธีนี้แล้วรัฐบาลเปลี่ยนความคิด และหันมาคำนึงถึงประชาชนเรายินดีลงทุน ดังนั้น ส่วนตัวคิดว่าถ้าลาออกแล้วได้ผลเราก็พร้อม แต่ถ้าลาออกแล้วรัฐบาลไม่แยแส ไม่สนใจเหมือนในอดีตที่เคยเกิดขึ้น เราจะเสียโอกาสหรือไม่ เหมือนปิ้งปลาย่างให้แมวหรือไม่” นายสุทิน กล่าว

“เลขาฯ สมช.” แจง ปลดล็อก “เอกชน-อปท.” จัดหาวัคซีน ต้องสั่งจากหน่วยงานรัฐ-สอดคล้องแนวทางกระจายวัคซีน เผย อยากให้อปท.จัดคนฉีดจากรัฐมากกว่า ห่วงใช้งบจัดซื้อย้ำ ต้องผ่านกก.โรคติดต่อจังหวัดพิจารณาด้วย

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศปก.ศบค.) ให้สัมภาษณ์ถึงประกาศศบค.เรื่องแนวทางบริหารจัดการวัคซีน ป้องกันโรคโควิด-19 ที่ปลดล็อกให้องค์กรเอกชนและท้องถิ่นจัดซื้อวัคซีนได้ ว่าจากการที่ผู้ตรวจการแผ่นดินทำข้อเสนอแนะมาที่ศบค.อยากให้ศบค.กำหนดแนวปฏิบัติในการดำเนินการเกี่ยวกับวัคซีน จึงเรียนให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม รับทราบ และได้ออกเป็นประกาศในราชกิจจานุเบกษา มีผลบังคับใช้ในทันที

ผู้สื่อข่าวถามว่าการสั่งซื้อจะต้องซื้อจากหน่วยงานรัฐที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร ไม่สามารถซื้อโดยตรงกับบริษัทผู้ผลิตได้ใช่หรือไม่ พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ในระยะนี้ขอให้เป็นแบบนี้ไปก่อน เนื่องจากวัคซีนมีปริมาณจำกัดซึ่งแต่ละประเทศผู้ผลิต กำหนดเงื่อนไขจำหน่ายให้คือ จำหน่ายให้หนึ่งประเทศหนึ่งสัญญา สมมุติว่าถ้าทั้งรัฐและเอกชนต้องการซื้อจะต้องแบ่งปริมาณกันก็จะมีข้อจำกัดมากขึ้น โดยเนื้อหาประกาศมีสามส่วนสำคัญ คือ

1.) กำหนดหน่วยงานที่สามารถนำเข้ามาในราชอาณาจักร ได้แก่ กรมควบคุมโรค สถาบันวัคซีนแห่งชาติ องค์การเภสัช องค์การเภสัชกรรม สภากาชาดไทยและราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ที่สามารถนำเข้ามาได้ รวมทั้งหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องในโอกาสต่อไป 

2.) ให้เอกชนและรพ.เอกชน สามารถสั่งซื้อจากหน่วยงานที่กล่าวข้างต้น ไม่สามารถซื้อโดยตรงจากบริษัทได้  

3.) องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ให้ดูกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง แผนงานงบประมาณ แผนกระจายวัคซีนของ ศบค.เนื่องจากอปท.ต้องใช้เงินแผ่นดิน จึงใช้งบประมาณให้คุ้มค่ามากที่สุด และสอดคล้องกับแผนวัคซีนที่กำหนดแนวทางไว้และส่วนที่เพิ่มเติม คือ ทุกส่วนงานทั้งเอกชน และรพ.เอกชน หรือหน่วยงานใดก็ตาม ต้องประสานบูรณาการกับหมอพร้อม เนื่องจากแพลตฟอร์มหมอพร้อม จะเป็นแพลตฟอร์มสุดท้ายที่ควบคุมข้อมูลของประชาชนทั้งคนไทยและต่างชาติที่ฉีดวัคซีนให้เป็นระบบเดียวกัน 

เมื่อถามว่าในส่วนอปท.ต้องกำหนดวงเงินในการใช้จ่ายหรือไม่ เพราะอปท.แต่ละท้องที่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐไม่เท่ากัน ถ้านำมาใช้กับวัคซีนทั้งหมดอาจไม่พอกับการบริหารงานด้านอื่น พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า นี่คือคำตอบ สิ่งที่ถามเป็นคำตอบในตัวอยู่แล้ว เพราะศบค.เป็นห่วงแบบนั้น เนื่องจากศักยภาพด้านงบประมาณของท้องถิ่นที่แตกต่างกันอาจทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ หากเป็นไปได้อยากให้อปท. ทำหน้าที่แค่สนับสนุนและอำนวยความสะดวกในการจัดประชาชนเข้ามาฉีดวัคซีน ตามที่ศบค.หรือกระทรวงสาธารณสุขดำเนินการอยู่แล้ว

เมื่อถามว่า อปท.ควรให้ศบค.พิจารณาว่าจะจัดซื้อได้จำนวนเท่าไหร่ โดยดูจากรายได้เงินอุดหนุนของรัฐด้วยหรือไม่ พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า คงไม่ถึงขนาดนั้น แต่ย้ำว่าต้องดูกฎหมาย ดูแผนงานที่ศบค.แจกจ่ายให้ซึ่งเราพิจารณาอย่างเหมาะสมแล้ว โดยดูจากสัดส่วนของประชาชน จังหวัดใหญ่ประชากรมากก็ได้มาก พิจารณาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดจังหวัดใดที่มีการแพร่ระบาดสูงและรุนแรงจะได้รับสัดส่วนที่เติมเข้าไป และพิจารณากลุ่มจังหวัดเศรษฐกิจ ที่ต้องเตรียมความพร้อมด้านเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดก็จะได้รับเพิ่มเติมอีกส่วนแต่ไม่ได้หมายความว่าอปท.ทุกแห่งจะซื้อได้ ต้องดูหลักเกณฑ์แนวทางนี้ และการดำเนินการจะพิจารณามาตามลำดับ ตั้งแต่ คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดที่มีผู้ว่าราชการ เป็นประธาน จากนั้นนำเข้าศบค.พิจารณาอย่างรอบคอบ ไม่ใช่ว่าประกาศออกไปแล้วอปท.สามารถซื้อได้เองทันที

เมื่อถามกรณีที่เอกชนหรือสถานพยาบาลเอกชน ที่จะซื้อวัคซีนจากหน่วยงานตามที่รัฐกำหนดจะต้องรายงานจำนวนที่จัดซื้อให้กับศบค. ด้วยหรือไม่ พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ไม่ต้อง เพราะหน่วยงานรัฐที่จะสั่งเข้ามาในราชอาณาจักร ส่วนใหญ่จะหารือกับศบค.ว่าจะสั่งวัคซีนชนิดนี้ จำนวนเท่าไหร่ เพื่อแจกจ่ายให้ใครบ้าง 

เมื่อถามว่าจำนวนที่จะให้เอกชนหรือหน่วยงานซื้อได้ กำหนดช่วงเวลาของการจัดซื้อในช่วงเวลาใด พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ไม่ได้กำหนด เพราะยิ่งได้ฉีดมากขึ้นเร็วขึ้นยิ่งดี แต่เราจะดูปริมาณที่มา ขณะนี้รัฐบาลเตรียมวัคซีนให้ประชาชน 100 ล้านโดส สำหรับ 50 ล้านคน คนไทยมีประมาณ 67 ล้านคน ต่างชาติที่อยู่ในประเทศไทยประมาณ 2.6 ล้านคน รวมประมาณ 70 ล้านคน การที่เตรียมไว้สำหรับ 50 ล้านคน เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ แต่ถ้าสามารถฉีดให้ได้มากกว่านี้ก็ดี 

แต่ปัจจุบันยังไม่ทราบจำนวนทั้งหมดของคนไทยที่ต้องการฉีดวัคซีนว่ามีเท่าไหร่ ยังไม่สามารถประเมินได้ ดังนั้นถ้าสั่งวัคซีนเข้ามาในปริมาณที่มากเกินไปอาจเกิดปัญหาภายหลังไม่มีคนมาฉีดแล้ววัคซีนเหลือ ขอให้เห็นใจเวลานี้จะคิดเผื่อไปถึงอนาคตก็ลำบาก แต่เมื่อถึงเวลานั้นก็อาจจะถูกตำหนิว่าทำไมทำอย่างนั้นอย่างนี้ ขอให้คิดถึงปัจจุบันและอยากให้คิดว่าเมื่อเดือนกันยายน หรือตุลาคม สถานการณ์ดีขึ้นจะมีคนให้ฉีดอีกกี่คน สรุปคือเราต้องเตรียมไว้จำนวนหนึ่งที่คิดว่ามากพอและเป็นไปได้

เมื่อถามว่ามีรายงานหรือยังว่าวัคซีนที่จะเข้ามาจำหน่ายให้กับองค์กรหรือหน่วยงานต่างๆ จะมาประมาณเดือนใด พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า เบื้องต้นจะมาประมาณ 3-5 ล้านโดส ของโมเดอร์นา และชิโนฟาร์ม ที่ติดต่อเข้ามา แต่ยังไม่ทราบว่าจะมาในเดือนใด ต้องรอหลังจากประกาศนี้ไปแล้ว จะมีการติดต่อจริงจังอย่างไร

“บิ๊กเล็ก” แบะท่า “พปชร.” ประชุมใหญ่จ.ขอนแก่น ทำได้ กำชับ ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด 

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศปก.ศบค.) ให้สัมภาษณ์กรณีที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เตรียมจัดประชุมใหญ่พรรค ที่จังหวัดขอนแก่น ในวันที่ 20 มิ.ย.นี้ ว่าจะประชุมได้หรือไม่ ทางจังหวัดทราบดีอยู่แล้วถึงวิธีปฏิบัติ รวมถึงเงื่อนไขต่างๆ ซึ่งจังหวัดขอนแก่น ไม่ได้เป็นจังหวัดที่อยู่ในพื้นที่สีแดง สามารถดำเนินการได้ ในทางความมั่นคงไม่ได้มีปัญหาอะไร ที่ผ่านมาเราจะห่วงเฉพาะในพื้นที่สีแดงหรือแดงเข้ม 

เมื่อถามว่าหากพรรคพปชร.ประชุม อาจจะทำให้เป็นตัวอย่างให้พรรคการเมืองอื่นๆ สามารถประชุมในจังหวัดต่างๆได้ พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ทำได้ถ้าดำเนินการถูกต้องตามข้อจำกัดของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด หรือกระทรวงสาธารณสุข (สธ.)

เมื่อถามว่าการที่พรรคการเมืองจะใช้สถานที่ต่างจังหวัดประชุมจะต้องมาขอที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค.ก่อนหรือไม่ พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเขาทราบดีว่าหลักเกณฑ์ของศบค.อะไรที่ทำได้ อะไรที่ทำไม่ได้ อะไรที่เป็นข้อห้ามหรือข้อกำหนดที่ผ่อนคลายได้ ดังนั้นถ้าคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดพิจารณาแล้วเห็นว่าสามารถดำเนินการได้ก็อนุญาติได้เลย แต่ถ้าเมื่อไรก็ตามที่เขาไม่แน่ใจเขาก็จะหารือมาที่ศบค. 

“ประยุทธ์” ย้ำเวที UN ไทยพร้อมร่วมมือแก้ไขปัญหาโรคเอดส์และรับรองปฏิญญาทางการเมืองเรื่องเอชไอวีและเอดส์ปี 2564 

ณ สำนักงานใหญ่ องค์การสหประชาชาติ สหรัฐอเมริกา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ร่วมกล่าวถ้อยแถลงในการประชุมระดับสูงว่าด้วยโรคเอดส์ (High Level Meeting on HIV/AIDS) ผ่านระบบการประชุมทางไกล

นายกรัฐมนตรี แสดงความเชื่อมั่นว่า การประชุมครั้งนี้ะเป็นโอกาสสำคัญที่จะทำให้ทุกภาคส่วนร่วมกันติดตามและสานต่อความก้าวหน้าของการดำเนินการตามปฏิญญาทางการเมืองเรื่องเอชไอวีและเอดส์ ปี 2559 และร่วมรับรองปฏิญญาฉบับใหม่ เพื่อนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในการยุติปัญหาการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ภายในปี 2573 พร้อมแสวงหาแนวทางใหม่ ๆ เพื่อรับมือกับความท้าทายของโรคนี้ เนื่องจากในปัจจุบันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนทั่วโลกและยังส่งผลกระทบต่อกระบวนการแก้ไขปัญหาโรคเอดส์ด้วย โดยเฉพาะผู้ติดเชื้อที่ได้กลายเป็นกลุ่มคนที่มีความเปราะบางยิ่งขึ้น จนนำไปสู่การเกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มมากขึ้น

นายกรัฐมนตรี กล่าวนำเสนอ 3 มุมมองของไทยที่จะเร่งรัดการดำเนินการต่าง ๆ ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ ดังนี้

1.) พัฒนาด้านนวัตกรรมและขยายความครอบคลุม ด้วยการให้บริการตรวจวินิจฉัยหาเชื้อเอชไอวีด้วยนวัตกรรมใหม่ ๆ และการจัดสรรชุดบริการป้องกันแบบผสมผสาน โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนและกลุ่มเป้าหมายหลักต่าง ๆ ทั้งนี้ การมีระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า มีส่วนสำคัญอย่างมากต่อการให้บริการที่ครอบคลุม

2.) มีเจตจำนงทางการเมืองที่แน่วแน่ เพื่อขจัดปัญหาความเหลื่อมล้ำ การตีตรา และการเลือกปฏิบัติ ซึ่งความร่วมมือและความเข้าใจของทุกฝ่ายมีส่วนสำคัญต่อการลดอุปสรรคของการเข้าถึงบริการป้องกัน ตรวจวินิจฉัย และรักษาการติดเชื้อ

3.) ผลักดันการมีส่วนร่วมของสังคม เป็นหัวใจของการรับมือกับปัญหาโรคเอดส์อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทุกฝ่ายควรมีส่วนร่วมในการกำหนด พัฒนานโยบาย และการให้บริการที่เกี่ยวกับโรคในทุกระดับให้สอดคล้องกับความต้องการของสังคม

ช่วงท้าย นายกรัฐมนตรี กล่าวเน้นย้ำว่า ไทยพร้อมจะร่วมรับรองปฏิญญาทางการเมืองเรื่องเอชไอวีและเอดส์ปี 2564 เพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมตามที่กำหนดไว้ และในปีหน้าที่ไทยจะดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการบริหารโครงการโรคเอดส์แห่งสหประชาชาติ ซึ่งยืนยันว่าจะร่วมมือกับทุกประเทศในการส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์โรคเอดส์ปี 2564 และปฏิญญาฉบับใหม่เพื่อนำไปสู่การยุติปัญหาอย่างยั่งยืนภายในปี 2573

ทั้งนี้ การประชุม High Level Meeting on HIV/AIDS ได้จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นประจำทุก 5 ปี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทบทวนความก้าวหน้าตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ในปฏิญญาฯ และแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นต่อการดำเนินการที่ผ่านมา โดยมีหัวหน้าคณะผู้แทนจากแต่ละประเทศเข้าร่วมประชุม และมีผู้นำระดับประเทศร่วมกล่าวถ้อยแถลง ซึ่งปีนี้มีกำหนดการประชุมระหว่างวันที่ 8-10 มิถุนายน 2564 ณ สำนักงานใหญ่ องค์การสหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา 

"ชินวรณ์" เผย 3 พรรคร่วมรัฐบาลต้องยื่นร่างรธน. ก่อนประชุมรัฐสภา 29 มิ.ย.นี้ 

ที่รัฐสภา นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรองประธานวิปรัฐบาล กล่าวถึงความคืบหน้ายื่นร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ร่างรัฐธรรมนูญ ทั้ง 6 ฉบับ ของพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย และพรรคชาติไทยพัฒนา เสร็จแล้ว จะเหลือก็เพียงรายละเอียดเล็กน้อย และถึงอย่างไรพวกเราก็จะต้องยื่นร่างรัฐธรรมนูญต่อประธานรัฐสภาให้ทันก่อนที่จะมีการบรรจุระเบียบวาระในการประชุมร่วมรัฐสภา วันที่ 29 มิ.ย. แน่นอน

“ศ.ดร.กนก” แนะ 3 แนวทางใช้เงินกู้ 5 แสนล้าน ให้บริหารราชการแบบวิกฤติ-ทวนปัญหาจากเงินกู้ 1 ล้านล้าน-ห้ามพลาดเป้าใช้ให้ตรงจุด หวังฟื้นเศรษฐกิจฐานราก

ศ.ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง พรก.เงินกู้ 500,000 ล้าน ที่เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในวันนี้ว่า เป็นความจำเป็นของรัฐบาลเพื่อการแก้ไขปัญหาความเดือนร้อนของพี่น้องประชาชน ดังนั้นการใช้เงินกู้ก้อนนี้จึงจำเป็นต้องให้เกิดประโยชน์กับประชาชนโดยตรง ซึ่งจะทำได้ในสามประเด็น คือ  

1.) รัฐบาลต้องไม่บริหารเงินกู้นี้แบบราชการปกติ แต่บริหารราชการแบบวิกฤติ ที่ต้องการความรวดเร็วทั่วถึง เป็นธรรม และโปร่งใส ต้องบริหารอย่างแม่นยำ รู้จริง ตรงเป้า 

2.) ทบทวนปัญหาและข้อผิดพลาดที่เกิดจากการใช้เงินกู้ 1 ล้านล้านในปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะเรื่องการจัดหาและบริหารการฉีดวัคซีน ที่ตอบคำถามไม่ได้ว่า ทำไมจึงได้วัคซีนช้า, ทำไมจึงได้วัคซีนเพียง 2 ยี่ห้อ, ทำไมบางจังหวัดจึงได้วัคซีนก่อนและมากกว่าจังหวัดอื่นๆ เป็นต้น ส่วนเรื่องการเยียวยาและช่วยเหลือประชาชน ทำไมจึงยุ่งยาก ไม่ทั่วถึง จนถึงทำไมกลุ่มเกษตรกร รัฐวิสาหกิจชุมชน และ SME ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของภาคธุรกิจฐานราก จึงไม่ได้รับการช่วยเหลือให้รักษาธุรกิจไว้ได้ คำถามเหล่านี้ควรนำไปสู่การประเมินและแก้ไข 

3.) การใช้เงินกู้ก้อนสุดท้ายนี้จะพลาดไม่ได้ เพราะจะชนเพดานเงินกู้ 60% ของ GDP แล้ว ต้องรักษาชีวิตและธุรกิจของประชาชนให้สำเร็จ โดยเฉพาะเศรษฐกิจฐานราก ถ้าเศรษฐกิจฐานรากอยู่ได้ ประเทศจึงจะอยู่รอด ดังนั้นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวและอาหารจึงเป็นภาคเศรษฐกิจสำคัญ เพราะเกี่ยวข้องกับคนส่วนใหญ่ของประเทศและสามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศได้รวดเร็ว

ดังนั้น รัฐบาลจึงควรเร่งจัดหาวัคซีนให้มาก และเร่งฉีดวัคซีนให้ประชาชนอย่างน้อย 45-46 ล้านคน โดยเร็วที่สุดเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ทั้งประเทศ เราจะได้เปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกที่อยากออกไปเที่ยวมากแล้ว คนไทยจะได้กลับมาประกอบอาชีพตามปกติได้ รัฐบาลต้องแสดงความสามารถให้เต็มที่ เพื่อรักษาความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ และป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ ตามหลักการและเหตุผลของพรก.เงินกู้นี้คนไทยทุกคนเอาใจช่วย

โฆษกพรรคเพื่อไทย สงสัยนัดฉีดวัคซีนโควิดเข็มสองทิ้งช่วงห่าง เหตุเพราะวัคซีนไม่พอ ใช่หรือไม่?

น.ส.อรุณี กาสยานนท์ โฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณีที่ประชาชนได้รับวัคซีนแอสตราเซนเนก้าเข็มที่ 1 และได้รับนัดหมายฉีดเข็มที่ 2 ในระยะเวลา 2-3 เดือน บางรายระบบแจ้งเลื่อนการฉีดวัคซีนที่จองไว้ออกไปอีก ว่าเรื่องนี้อยากเรียกร้องให้ ศบค. ออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงกับประชาชนโดยเร็ว รวมทั้งแสดงข้อมูลทางการแพทย์ที่เชื่อถือได้เกี่ยวกับการเว้นระยะการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 ที่ถูกต้องปลอดภัย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน

ขณะนี้สังคมมีการตั้งคำถามว่าสิ่งเกิดขึ้นเป็นเพราะวัคซีนมีไม่เพียงพอหรือไม่ จากการรายงานของ Our world in data ซึ่งรวบรวมข้อมูลการฉีดวัคซีนทั่วโลก ณ 6 มิ.ย. 64 พบว่า คนไทยได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มเพียง 1.35 ล้านคน หรือ 1.9% ของประชากรเท่านั้น น้อยกว่าเมียนมา ที่ฉีดไปแล้ว 2.3% และอินโดนีเซีย ที่ฉีดไปแล้ว 4.6% ของประชากรทั้งหมด และยังห่างไกลจากการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ที่ 70% ซึ่งไม่มีการตั้งเป้าหมายว่าจะสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้เมื่อไหร่อีกด้วย

โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า รัฐบาลจะต้องเร่งเดินหน้าจัดหา วัคซีนหลักเพิ่มเติม ที่มีคุณภาพสูง นอกเหนือจาก 2 ยี่ห้อ ที่ทยอยส่งนำเข้ามาให้ได้มากกว่า 150 ล้านโดสตามที่พลเอกประยุทธ์ ได้เคยประกาศเอาไว้ ขณะนี้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ประชาชนบางส่วนที่ได้รับวัคซีนซิโนแวคไปก่อนหน้านี้มีความเป็นไปได้ที่จะรับวัคซีนยี่ห้ออื่นที่มีคุณภาพดีกว่าอีกครั้ง

"การบริหารจัดการผิดพลาดเอาแต่ชี้หน้าด่าประชาชนว่าการ์ดตก มาวันนี้พลเอกประยุทธ์ยอมรับผิดทำได้แค่ขอโทษที่ทำให้ไม่สบายใจเรื่องวัคซีน ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง เวลานี้ประชาชนจะรับคำขอโทษเป็นวัคซีนที่มีคุณภาพสูงเท่านั้น" น.ส.อรุณีกล่าว


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ก้าวประวัติศาสตร์!! มติที่ประชุม ส.ส. 'ก้าวไกล' เห็นชอบ ชงร่าง พ.ร.บ.ชาติพันธุ์ เข้าสภา เพื่อคืนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ส่งเสริมคนให้เท่ากัน ยอมรับบทบาทให้เท่าเทียม

เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ.2564 ที่อาคารรัฐสภา ในการประชุมประจำสัปดาห์ของพรรคก้าวไกล ที่ประชุมส.ส.พรรคก้าวไกล มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ยื่นร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและคุ้มครองกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. .... เพื่อเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร โดยมี ณัฐพงษ์ สืบศักดิ์วงศ์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ สัดส่วนกลุ่มชาติพันธุ์ และณัฐวุฒิ บัวประทุม รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะกรรมาธิการในคณะกรรมาธิการกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กลุ่มชาติพันธุ์ และผู้มีความหลากหลายทางเพศ เป็นผู้เสนอ

สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว คือ มุ่งส่งเสริมและให้ความคุ้มครองชาวไทยกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ให้มีสิทธิดำรงชีวิตในสังคมตามวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตดั้งเดิมตามความสมัครใจได้อย่างสงบสุข ไม่ถูกรบกวน ซึ่งประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์ที่แตกต่างและหลากหลาย แต่ละกลุ่มล้วนมีวิถีชีวิต ภาษา ภูมิปัญญา และวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเองมาช้านาน โดยประเทศไทยได้ให้สัตยาบันต่อพันธกรณีระหว่างประเทศเกี่ยวกับการส่งเสริมและอนุรักษ์วิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์หลายฉบับ แต่ปัจจุบันกลับไม่มีกฎหมายส่งเสริมและคุ้มครองกลุ่มชาติพันธุ์โดยตรง ส่งผลให้กลุ่มชาติพันธุ์ต้องเผชิญปัญหาด้านต่างๆ โดยเฉพาะการขาดสิทธิทางวัฒนธรรม ขาดสิทธิทางทรัพยากร และเผชิญกับอคติทางสังคมต่อกลุ่มชาติพันธุ์

ดังนั้นเพื่อให้ภาครัฐมีบทบาทและอำนาจตามกฎหมายอย่างถูกต้องสอดคล้องกับสภาพสังคม วัฒนธรรมของประเทศไทยที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติและวัฒนธรรม และเพื่อให้กลุ่มชาติพันธุ์ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลรักษาและสืบทอดวัฒนธรรมอันดีงามตลอดจนการดูแลและสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่ตามธรรมชาติในท้องถิ่นของตนได้อย่างยั่งยืนถูกต้องตามกฎหมายโดยไม่ถูกดูถูก เหยียดหยามหรือการกีดกันจากกลุ่มบุคคลภายนอกที่มีความแตกต่างทางเชื้อชาติและวัฒนธรรม และรัฐพึงส่งเสริมและให้ความคุ้มครองชาวไทยกลุ่มชาติพันธุ์ ให้มีความสามารถในการพึ่งพาตนเองมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และมีโอกาสในการเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศอย่างแท้จริง

ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้จึงมีความสอดคล้องกับทั้งทางความเป็นจริงของสังคมวัฒนธรรมไทยและรัฐธรรมนูญ เเละในฐานะที่พรรคก้าวไกล ถือว่าเป็นพรรคการเมืองพรรคเเรกในประเทศไทย ที่เปิดโอกาสให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นตัวแทนจากพี่น้องกลุ่มชนชาติพันธุ์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย โดยมุ่งเน้นส่งเสริมให้คนเท่ากัน มีบทบาทเท่าเทียมกันในสังคม สืบทอดเจตนารมณ์ของอดีตพรรคอนาคตใหม่ เพื่อคุ้มครองสิทธิเเละเสรีภาพของกลุ่มคนชาติพันธ์ให้มีฐานะเท่าเทียมเเละสามารถอยู่ร่วมกันในสังคมไทยในระยะยาว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันพรุ่งนี้ (9 มิย. 64) เวลา 11.00 น. ทางพรรคก้าวไกล นำโดยณัฐพงษ์ สืบศักดิ์วงศ์ จะยื่นร่างกฎหมายดังกล่าวต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเข้าสู่การพิจารณาเป็นกฎหมายต่อไป


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ครม.ไฟเขียวงบกลาง 2,254 ล. จ้างพนักงานราชการเฉพาะกิจ 10,000 อัตรา

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าที่ประชุมครม. เห็นชอบให้มีการจ้างพนักงานราชการเฉพาะกิจ 10,000 อัตรา เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 เป็นวงเงิน กว่า 2,254 ล้านบาท 

ทั้งนี้จะเปิดรับผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีที่จบใหม่ จัดสรรอัตราเข้าสู่หน่วยงานราชการที่มีภารกิจสำคัญ และเร่งด่วนทั่วประเทศโดยเฉพาะในส่วนภูมิภาค ซึ่งจะได้รับค่าตอบแทน 18,000 บาทต่อเดือน มีสัญญาการจ้างงาน ไม่เกินหนึ่งปี และได้รับสิทธิประโยชน์เทียบเท่า พนักงานราชการปกติรวมถึงเงินประกันสังคมด้วย ถือเป็นมาตรการหนึ่งที่รัฐบาลต้องการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เรียกว่าได้เข้าเป็นพนักงานราชการเฉพาะกิจ

สำหรับจ้างพนักงานราชการรวม 10,000 อัตราครั้งนี้ รวมทั้งรัฐบาลจะจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม 750 บาท และเงินสมทบเข้ากองทุนทดแทนเดือนละ 36 บาท ให้ด้วย และจะได้สิทธิประโยชน์เช่นเดียวกับพนักงานราชการปกติ ยกเว้นสิทธิในการลาอุปสมบท หรือประกอบพิธีฮัจญ์ ซึ่งกำหนดไว้ไม่เกิน 120 วัน โดยมีระยะเวลาจ้างงานไม่เกิน 1 ปีนับจากวันทำสัญญาหรือไม่เกินวันที่ 30 ก.ย. 2565 ฉะนั้น ให้เร่งจ้างให้แล้วเสร็จภายในเดือนส.ค. 2564 และไม่มีการต่อสัญญาจ้าง แต่หากตำแหน่งว่างลงระหว่างปีก็ให้ทำการจ้างคนใหม่ได้ 

ทั้งนี้ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีมีข้อสังเกตให้รีบการสรรหาบุคคลให้แล้วเสร็จ ภายในเดือนมิ.ย. และให้พิจารณาคุณสมบัติผู้ที่มีทักษะความเข้าใจและการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อสอดคล้องกับนโยบายเวิร์ค ฟอร์ม โฮมของรัฐบาลในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ด้วย

‘บิ๊กตู่’ เปิดไทม์ไลน์รัฐบาลเหลือ 1 ปี สั่งครม. เร่งเดินกิจกรรมส่งต่อรัฐบาลหน้า ลั่น จากนี้งานต้องมีผลสำเร็จจับต้องได้ ย้ำฝ่ายการเมือง-ข้าราชการ ทิ้งกันไม่ได้ อ้อนอยู่ด้วยกันมานาน ขอทุกคนเข้าใจ จะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 8 มิ.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ปัจจุบันสถานการณ์เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ได้มีการอนุมัติไปแล้ว 984,000 ล้านบาท จนถึงวันนี้เบิกจ่ายไปแล้ว 73 เปอร์เซ็นต์ ยังคงเหลือเงินกู้อีกประมาณ 15,000 ล้านบาท ซึ่งต้องมีเงินไว้ส่วนหนึ่งเพื่อสำรองในการลดค่าน้ำค่าไฟให้กับประชาชนต่อไป ทั้งนี้หลายเรื่องที่ได้มีการหารือในที่ประชุมครม. ซึ่งตนมีความเป็นห่วงกังวลเกี่ยวกับเกษตรกร ชาวนา ชาวไร่ ชาวสวน ว่าทำอย่างไรจะให้หลุดพ้นจากความยากจนได้โดยเร็วที่สุด โดยตนได้สั่งการและมอบนโยบายไปแล้วว่าจำเป็นต้องเร่งรัดหลายกิจกรรมในช่วงระยะเวลา 1 ปีที่ยังเหลืออยู่ในรัฐบาลปัจจุบัน และเตรียมพร้อมที่จะทำอะไรให้เกิดผลสัมฤทธิ์ส่งต่อให้กับรัฐบาลวันข้างหน้าต่อไป ทั้งนี้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ ตามแผนงาน 1 ปี และแผนงานระยะปานกลาง 3 ปี ยุทธศาสตร์ 5 ปี นั่นคือความต่อเนื่องและสอดคล้อง สุดแล้วแต่รัฐบาลใดจะเข้ามารับผิดชอบกันต่อไป ถ้าไม่ทำแบบนี้ก็ไม่ต่อเนื่อง แล้วจะทำไม่ได้

“ผมไม่ได้ขัดข้องเรื่องแผนงานโครงการที่เสนอขึ้นมา แต่เราจำเป็นต้องมีการตรวจสอบคัดกรอง โดยคณะอนุกรรมการ คณะกรรมการหลายระดับด้วยกัน จากภาครัฐและภาคเอกชน มีส่วนร่วมในการพิจารณาแผนงานโครงการทั้งสิ้น ซึ่งไม่ได้ต้องการให้ไปเกิดประโยชน์อะไรกับใครทั้งสิ้น ประโยชน์ต้องตกอยู่กับพี่น้องคนไทยทุกคนในแต่ละพื้นที่ แต่ละจังหวัด ให้เกิดความทั่วถึงและเป็นธรรม” นายกฯ กล่าว

“รัฐบาลยืนยันงบประมาณที่มีอยู่จะใช้อย่างคุ้มค่า รัฐบาล นายกรัฐมนตรี ก็ได้มีการย้ำในที่ประชุมครม. เสมอมาให้ระมัดระวังการทุจริต ระมัดระวังความไม่โปร่งใสไม่เป็นธรรมอะไรก็แล้วแต่ ซึ่งมีคำพูดคำกล่าวมามากมายในขณะนี้ ขอให้เข้าใจว่ารัฐบาลหรือ ครม. มีหน้าที่ในการอนุมัติหลักการและการดำเนินการ อนุมัติการใช้จ่ายเงิน แต่ในขั้นตอนการดำเนินการเป็นเรื่องของหน่วยงาน คณะกรรมการต่างๆ จะต้องรับผิดชอบ ผมเองรับผิดชอบในฐานะเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร ผมรับผิดชอบตามลำดับชั้นของผม

อย่างไรก็ตามขอยืนยันว่าจะทำทุกอย่างให้กับพี่น้องคนไทยทั้งประเทศ ไม่ละเว้นใครแม้แต่คนเดียว จะทำให้มากที่สุด และทุกจังหวัด ไม่ใช่เฉพาะคนรักคนชอบ มันไม่ใช่ ผมไม่ได้ทำงานแบบนั้น จะเห็นได้ว่าหลายอย่างมีทั้งเข้าใจและไม่เข้าใจ ผมก็ไปโกรธเคืองกับใครไม่ได้ ขอให้ระมัดระวังความขัดแย้งที่มันจะเกิดขึ้น ทำให้บ้านเมืองไม่มีเสถียรภาพ และทำให้การทำงานต่างๆ มันเป็นไปไม่ได้ แผนงานโครงการต่างๆ เดินหน้าต่อไปไม่ได้ ขอให้รับฟังคำชี้แจงอันเป็นประโยชน์เป็นข้อเท็จจริงในการพิจารณางบประมาณต่างๆ ในชั้นกรรมาธิการ และยืนยันว่าหากมีงบประมาณอะไรที่มีการแปรญัตติมาแล้ว ผมจะนำมาดำเนินการบริหารเพิ่มให้มากขึ้นในส่วนที่ลดน้อยลงตามความจำเป็น อันนี้เป็นเรื่องของฝ่ายบริหารที่จะต้องรับผิดชอบต่อไปในอนาคตด้วย ขอความร่วมมือกับทุกท่านแค่นั้น” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอเป็นกำลังใจให้ข้าราชการทุกคนที่ทำงานอย่างหนักในการแก้ปัญหาสถานการณ์โควิดหลายเดือนมาแล้ว เป็นปีมาแล้ว บางคณะทำงานทุกวัน 24 ชั่วโมง มีการประชุมทุกวันไม่มีวันหยุด หลายคนเจ็บป่วยเป็นไข้บ้าง ขอให้เห็นใจเจ้าหน้าที่ บุคคลากรทางการแพทย์ สาธารณสุข อสม. แม้กระทั่งหน่วยงานท้องถิ่นจังหวัดทุกคน นั่นคือพลังของคนไทยที่เราจะต้องชนะไปด้วยกันในเรื่องของโควิด และสถานการณ์เศรษฐกิจที่กำลังมีปัญหาในขณะนี้ แต่ยินดีที่ภาคเศรษฐกิจในภาพรวม มหภาค ยังดีอยู่ในส่วนของการส่งออกที่ปริมาณการส่งออกมากขึ้น ในปัจจุบันสถานการณ์หลายประเทศเริ่มฟื้นฟูเรื่องเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องสุขภาพด้วย ซึ่งหน่วยงานต่างประเทศประเมินว่าในปี 65 หลายอย่างน่าจะดีขึ้นในทุกภูมิภาคของเรา

ดังนั้นเราจะต้องเดินหน้าไปสู่เป้าหมายอย่างท้าทายว่าจะทำอย่างไรให้เศรษฐกิจของเราเดินหน้าได้ วันนี้ต้องหวังพึ่งเศรษฐกิจรอบบ้าน ซึ่งมีสถิติสูงขึ้นหลายเปอร์เซ็นต์ หรือ 20 กว่าเปอร์เซ็นต์ 5 แสนกว่าล้านบาทในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งเราตั้งเป้าไว้ประมาณ 1 แสนล้านบาท จากเศรษฐกิจชายแดน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์รอบประเทศเราด้วย ซึ่งเราต้องติดตามสถานการณ์ในทุกมิติ

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ขณะนี้มีการประชุมร่วมกันหลายกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มเศรษกิจใหญ่ๆ ทั้ง จี 7 จี 10 และอีกหลายเวทีโลก ซึ่งได้มีการประชุมหารือในเรื่องเศรษฐกิจในอนาคต เราก็ต้องเตรียมการให้พร้อมรับมือกับพันธสัญญาในเรื่องต่างๆ ที่มีอยู่ เพราะเราอยู่ในห่วงโซ่ของเขาหมด ทั้งเรื่องของการค้า การลงทุน ซึ่งมีกติกามากมายออกมา เราต้องเตรียมความพร้อม ทุกคนต้องเข้มแข็ง อดทน และเพิ่มขีดความสามารถของตัวเองให้สอดคล้องกับมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลได้ออกมาในช่วงเวลานี้ ซึ่งก็มีมาตรการออกมาเป็นจำนวนมากที่บางทีก็ดูว่า ไม่สำเร็จซักเรื่อง แต่อย่าลืมว่า เรามีคนจำนวนมากที่เดือดร้อนในหลายอาชีพ เราจึงจำเป็นต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่องให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ของเรา

ซึ่งก็ได้ย้ำว่าใน 1 ปีนี้ จะต้องมีผลสำเร็จที่จับต้องเป็นรูปธรรมได้ว่าเรามีการแก้ไขปัญหาอะไรไปแล้วบ้าง และอีก 1 ปี ข้างหน้าจะทำอะไร เตรียมแผนเอาไว้ ทั้งนี้ แผนงานทั้งหมดไม่ใช่นายกฯ เป็นคนกำหนดทั้งหมด แต่เป็นแผนงานที่เสนอมาจากข้างล่าง จำนวนหลายหมื่นโครงการ ผ่านอนุกรรมการ ผ่านคณะกรรมการ จนมาถึงระดับนโยบายบริหาร ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันทั้งฝ่ายการเมือง ข้าราชการ เราทิ้งกันไม่ได้ เพราะทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมาย เป็นไปตามระเบียบราชการทุกกรณี

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า รัฐบาลพยายามแก้ปัญหาอีกเรื่องในขณะนี้ คือ การแก้ปัญหาเรื่องของโรงแรม สถานประกอบการต่างๆ รัฐบาลกำลังจะหาวิธีที่จะแก้ปัญหาในกรณีที่มีปัญหาเรื่องการจดทะเบียนต่างๆ ต้องใช้เวลาในการแก้ไขอีกนิดนึงเพื่อจะได้เตรียมการรองรับการท่องเที่ยวในปีหน้าว่าจะทำอย่างไรต่อไป อย่างไรก็ตามเรื่องนี้เป็นปัญหากดทับมานานแล้ว อย่างเช่นเรื่องของหนี้กยศ. หนี้ครู ทุกอย่างอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการทั้งสิ้น ก็ต้องขอเวลาเพราะมีคนจำนวนมาก มีหนี้จำนวนมาก จะบริหารจัดการกันได้อย่างไรเพราะเราก็มีงบประมาณจำกัด ทำอย่างไรเราจะแก้ปัญหานี้ได้ให้มากที่สุด และทำอย่างไรจะไม่ให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมาภายหลัง นี่คือสิ่งที่เราต้องทำงานให้รอบคอบ

“ในฐานะนายกรัฐมนตรี อยู่กับท่านมาหลายปีมาแล้ว ทุกคนก็คงทราบดีว่ามีความตั้งใจอย่างไร เจตนาของผมเป็นอย่างไร ขอเพียงให้ทุกคนเข้าใจ ผมไม่เคยบังคับอะไรท่านได้ เพราะเป็นเรื่องของประชาชนที่ต้องการ ผมก็ฟังทุกคนทุกภาคส่วน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วานนี้ (7 มิ.ย.) ได้คุยกับสมาคมชาวนา ว่าจะพัฒนากันอย่างไรก็รับฟังความคิดเห็นมา และนำสู่การขับเคลื่อนโดยกระทรวงเกษตรฯ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ดูว่าจะทำอย่างไรให้ชาวนามีรายได้ที่สูงขึ้น ตนก็รับฟังข้อมูลมาจากหลายๆ ทาง ทั้งคนที่ทำนาเอง หรือ การจ้างแรงงาน เพราะฉะนั้นปัญหาของชาวนาคือเรื่องของการลดต้นทุน บริหารโดยวิสาหกิจชุมชนแบบครบวงจร ทั้งเมล็ดพันธุ์ทางการเกษตรที่มีคุณภาพ ปุ๋ยถือเป็นต้นทุนทั้งสิ้น บางคนไม่มีที่ของตัวเองก็ต้องไปเสียค่าเช่า เพราะฉะนั้นต้นทุนจะสูงแต่ขายข้าวมาได้จำนวนจำกัด

และนอกจากนี้เมื่อไปถึงโรงสีก็มีการตรวจในเรื่องของความชื้นอีก ซึ่งถ้าเราช่วยคนส่วนใหญ่ของประเทศเหล่านี้ได้ก็จะทำให้ หลุดพ้นจากการติดกับดักตัวเอง ซึ่งตนและครม. ของตนจะดำเนินการเรื่องเหล่านี้ให้ดีที่สุด ปัญหาอะไรที่ทับซ้อนยาวนาน บางอย่างมีความเกี่ยวข้องกับกฎหมาย กฎกระทรวง ก็พยายามแก้ไขให้ได้ทุกอย่าง ขอเพียงความเข้าใจ ความร่วมมือ ตนขอเพียงเท่านี้ และขอขอบคุณกำลังใจที่ทุกท่านส่งมาให้ตนเองและข้าราชการทุกคน โดยเฉพาะให้กับกระทรวงสาธารณสุขและบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหา ก็ยืนยันจะดูแลแก้ปัญหาให้ดีที่สุด


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top