Friday, 20 June 2025
POLITICS NEWS

กระทรวงรับลูกนายกฯ ตั้ง ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประจำกระทรวงฯ แจงข้อมูล-ดำเนินคดีคนบิดเบือน แพร่ข้อมูลเท็จ

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หลังจากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม สั่งการทุกส่วนราชการจัดตั้งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ข่าวบิดเบือนประจำกระทรวง เพื่อชี้แจงข่าวที่บิดเบือนไปจากข้อเท็จจริง เนื่องจากที่ผ่านมามีข้อมูลข่าวสารที่เผยแพร่หลายช่องทาง ที่สร้างความเข้าใจคลาดเคลื่อนให้ประชาชน โดยเฉพาะช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 พบผู้ที่เจตนาไม่หวังดี เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารอันเป็นเท็จหรือที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงผ่านสื่อออนไลน์จำนวนมาก ทำให้ประชาชนสับสนและเข้าใจผิด 

นายกฯ จึงให้ส่วนราชการช่วยกันตรวจสอบข่าวปลอมที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานตนเอง สกัดกั้นข่าวปลอม เร่งชี้แจงให้ข้อมูลที่ถูกต้องให้ประชาชนรับทราบอย่างรวดเร็ว และให้แต่ละหน่วยงานราชการดำเนินการทางกฎหมายกับบุคคลที่จงใจเผยแพร่ข่าวบิดเบือนหรือข้อมูลเท็จสร้างความตื่นตระหนกแก่สังคมอย่างเด็ดขาด ไม่ต้องรอให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการฝ่ายเดียว

นายอนุชา กล่าวว่า ขณะนี้มีหลายกระทรวงดำเนินการตั้งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯแล้ว อาทิ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงกลาโหม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น แต่บางกระทรวงมีภารกิจงานที่ทำหน้าที่ในการติดตามตรวจสอบและชี้แจงรวมทั้งทำหน้าที่ประสานศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมแห่งชาติ เช่น กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ ด้านกรมประชาสัมพันธ์ มีการชี้แจงผ่านเว็ปไซต์ เฟซบุ๊ก “ข่าวจริงประเทศไทย” 

พท.ติงคำสั่ง มท.เอื้อเอกชน จี้เร่งหาวัคซีนให้กำนัน ผญบ. อสม.ด่านหน้าก่อน

​นายไชยา พรหมา ส.ส.หนองบัวลำภู และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงหนังสือคำสั่งกระทรวงมหาดไทยที่มีถึงผู้ว่าฯ ทั่วประเทศ เพื่อจัดหาวัคซีนให้กับพนักงานของบริษัทเอกชนรายหนึ่งทั่วประเทศเกือบ 7 หมื่นคนที่กำลังเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้ว่า เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชน ทั้งๆ ที่ประชาชนทั่วประเทศโดยเฉพาะในต่างจังหวัด ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนอีกเป็นจำนวนมาก ตนเห็นว่าบริษัทเอกชนรายนั้นมีขีดความสามารถในการจัดหาวัคซีนทางเลือกให้กับพนักงานของตนเองได้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมาเบียดบังวัคซีนในส่วนที่จัดไว้เพื่อบริการประชาชนเลย ถ้าหากกระทรวงมหาดไทยมีความปรารถนาดีจะสนับสนุนงบประมาณในการจัดหาวัคซีนเพิ่ม ก็น่าจะจัดหาวัคซีนสำหรับกำนันผู้ใหญ่บ้าน อาสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ที่เป็นด่านหน้าในพื้นที่ เพราะขณะนี้ก็ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนเลย ดังนั้นการที่กาะทรวงมหาดไทยมีหนังสือถึงผู้ว่าฯ และผู้ว่าฯ กทม.ให้การสนับสนุนวัคซีนให้กับเอกชนรายใหญ่นั้น จึงไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องและจะถูกมองว่าเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนรายเดียว 

ศบค.มท.สั่งการผู้ว่าฯ ทุกจว.วางระบบการบริหารฉีดวัคซีนให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ครอบคลุม ทั่วถึง พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนเผชิญเหตุกรณีเกิดคลัสเตอร์ใหม่ เพื่อควบคุมการระบาดของโรคอย่างมีประสิทธิภาพ

ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย (ศบค.มท.) เปิดเผยว่า ได้รับแจ้งจากสำนักงานเลขาธิการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อขอรับการสนับสนุนวัคซีนสำหรับฉีดให้กับบุคลากรในสังกัดจากหลายองค์กร ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน อาทิ ส่วนราชการหลายหน่วยงาน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมตลาดสดไทย สมาคมการค้าตลาดกลางค้าส่งสินค้าเกษตรไทย บริษัทและสถานประกอบการขนาดใหญ่ ซึ่ง ศบค.มท.ได้แจ้งข้อมูลการขอรับการสนับสนุนวัคซีนข้างต้นให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นข้อมูลประกอบการวางแผน เพื่อให้การบริหารจัดการการฉีดวัคซีนเป็นไปด้วยความเรียบร้อย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทยในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการสั่งการ และประสานกับผู้ว่าฯ และผู้ว่าฯ กทม. ได้เน้นย้ำไปยังผู้ว่าฯ ในฐานะประธานกรรมการโรคติดต่อจังหวัด หารือคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด เพื่อวางระบบการบริหารการฉีดวัคซีนให้เป็น มาตรฐานเดียวกัน ครอบคลุม ทั่วถึง ไม่เลือกปฏิบัติ เป็นไปตามมติ ศบค. และแนวทางที่คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติกำหนด

โดยให้ความสำคัญกับกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่

1.บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้าที่ยังไม่ได้รับวัคซีน

2.เจ้าหน้าที่อื่นด่านหน้า และกลุ่มอาชีพเสี่ยงติดเชื้อ รวมทั้งผู้มีอาชีพ/กิจการที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีพของประชาชน เช่น สาธารณูปโภค อาหาร ยา

3.ผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปและผู้ที่มีโรคประจำตัว และ

4.ประชาชนทั่วไป พร้อมสร้างการรับรู้แก่องค์กรภาครัฐและภาคเอกชน โรงงาน สถานประกอบการ องค์กรต่างๆ ในพื้นที่ ในกรณีองค์กรภาครัฐและภาคเอกชนที่ประสงค์จะขอรับวัคซีนให้กับบุคลากร สามารถแจ้งความประสงค์ไปยังคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด

ในกรณีองค์กรขนาดใหญ่ที่มีบุคลากรอยู่ในหลายจังหวัด หรือองค์กรระหว่างประเทศ/หน่วยงานต่างชาติ ที่ติดต่อผ่านกระทรวงการต่างประเทศ สามารถแจ้งหนังสือไปยังอธิบดีกรมควบคุมโรค เพื่อขอรับวัคซีนไปฉีดให้บุคลากรในสังกัด โดยหาสถานพยาบาลรองรับการฉีดเอง และสำหรับผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม กระทรวงแรงงานโดยสำนักงานประกันสังคม เป็นหน่วยงานที่รับการจัดสรรวัคซีนเพื่อบริหารจัดการและจัดแผนการฉีดวัคซีนได้โดยตรง และรวบรวมข้อมูลจากสถานประกอบการเพื่อกำหนดสถานที่ให้บริการฉีดวัคซีน ทั้งในสถานพยาบาลตามสิทธิ และเชิงรุกนอกสถานพยาบาล เพื่อเพิ่มการเข้าถึงและให้ผู้ประกันตนได้รับการฉีดวัคซีนโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้สำนักงานประกันสังคมจังหวัด รวมทั้งหน่วยงานระดับจังหวัด สังกัดกระทรวงแรงงาน ประสานการดำเนินงานร่วมกับคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเพื่อบูรณาการการทำงานร่วมกัน ซึ่งการบริหารจัดการฉีดวัคซีนต้องเป็นไปตามเป้าหมายและความสำคัญเร่งด่วนที่ ศบค. กำหนดโดยเคร่งครัด 

นอกจากนี้ได้สั่งการให้ผู้ว่าฯ ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาคราชการ ภาคเอกชน บริษัท สถานประกอบการ แคมป์คนงาน ที่มีบุคลากรจำนวนมาก และอาจมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19 จัดทำข้อมูลสถานที่ จำนวนบุคลากร และแผนเผชิญเหตุ เพื่อเตรียมการกรณีเกิดการติดเชื้อโควิด-19 เป็นกลุ่มก้อน (คลัสเตอร์) เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสถานประกอบการใช้ปฏิบัติในการควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นไปตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข โดยหลีกเลี่ยงการเคลื่อนย้ายแรงงานไม่ให้เกิดการแพร่กระจายของโรคโควิด-19 ไปยังพื้นที่อื่นๆ พร้อมมอบหมายนายอำเภอดำเนินการแนวทางดังกล่าวในระดับอำเภอด้วย 

“พรรคกล้า กทม.” เรียกร้องผู้ประกอบการเปิดเผยรายชื่อผู้ติดเชื้อจริง ป้องกันการระบาดวงกว้าง ขอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าเยียวยาธุรกิจ หากได้รับผลกระทบหลังพบผู้ติดเชื้อ

นายเอกชัย ผ่องจิตร์ เลขานุการ กลุ่ม กทม.พรรคกล้า กล่าวถึงสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ในพื้นที่ว่า แม้จะมีการฉีดวัคซีนต่อเนื่อง แต่ตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ทั่วประเทศยังคงมากกว่า 3,600 คน ต่อวัน โดยเฉพาะกรุงเทพมหานครสูงกว่าถึง 1,200 คน (ข้อมูลวันที่ 19 มิ.ย. 64) ซึ่งจากการลงพื้นที่ ทราบจากประชาชนว่าบางโรงงานหรือบางบริษัทปกปิดข้อมูลลูกจ้างติดเชื้อ เพราะหวั่นกระทบธุรกิจ ประกอบกับถ้าลูกจ้างเป็นผู้แจ้งข้อมูลผู้ติดเชื้อ ก็เกรงกลัวว่าจะถูกเลิกจ้างทำให้ตกงาน จึงไม่มีใครกล้าแจ้งกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาจัดการดูแล อาจเป็นสาเหตุทำให้ผู้ติดเชื้อขยายวงกว้าง เกิดเป็นคลัสเตอร์ใหม่ต่างๆ ไม่จบสิ้น

“ผมจึงขอวอนไปยังบริษัทและโรงงาน ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ ที่มีผู้ติดเชื้อได้ โปรดให้ข้อมูลแจ้งกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเข้าดำเนินการรับตัวผู้ติดเชื้อมารักษาก่อนที่จะขยายวงกว้างในโรงงานหรือบริษัทของท่าน ทำให้ต้องปิดตัวลงและเสียหายไปมากกว่าเดิม” นายเอกชัย กล่าว

เลขานุการ กลุ่ม กทม.พรรคกล้า กล่าวว่า เข้าใจว่าผู้ประกอบการหลายคนไม่กล้าแจ้งข้อมูลผู้ติดเชื้อ เพราะกลัวธุรกิจหยุดชะงัก ดังนั้น หากจะให้มาตรการป้องกันการระบาดมีประสิทธิภาพ ได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการ จึงขอเรียกร้องทั้ง กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้โปรดเยียวยาธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ หากลูกจ้างพนักงานที่ติดเชื้อโควิด ต้องกักตัว เพื่อรักษากิจการต่อไป

รมว.มท. แจง หนังสือขอหนุนวัคซีน เอกชนดัง สื่อสารคลาดเคลื่อน ย้ำ เจตนาเพื่อดูแลประชาชน

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.อนุพงษ์​ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณีที่หนังสือปลัดกระทรวงมหาดไทย ลงนามสนับสนุนการวัคซีนบริษัทเอกชนชื่อดัง เพื่อฉีดให้กับพนักงานและครอบครัว แต่ได้ยกเลิกในภายหลัง ว่า เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน​ นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัด​กระทรวง​มหาดไทย ได้ออกหนังสือแก้ไขแล้วยืนยันว่าเป็นการสื่อสารที่คลาดเคลื่อน อย่างไรก็ตามการดำเนินการจะต้องเป็นไปตามนโยบายของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. โดยสรุปคือ มีช่องทางที่จะให้สนับสนุนให้กับบุคคลและกลุ่มบุคคลรวมไปถึงองค์กรได้ แต่ต้องเข้าสู่ช่องทางหมอพร้อม การกระจายวัคซีนเป็นของ ศบค. จะกระจายไปในพื้นที่ใดหรือจำนวนเท่าไหร่ เมื่อกระจายไปแล้วผู้ที่จะดำเนินการต่อคือ คณะกรรมการ​โรคติดต่อ​จังหวัด

พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ถือเป็นการสื่อสารที่คลาดเคลื่อนและไม่มีเจตนา​เอื้อประโยชน์ให้ใคร ทุกคนรู้ดีว่าการทำงานของข้าราชการ พรรคการเมือง และรัฐบาล หรือของใครก็แล้วแต่ ต้องตอบสนองต่อประชาชนส่วนใหญ่ ใครที่คิดจะไปตอบสนองต่อกลุ่มใคร สังคมก็จะไม่ยอม เป็นการสื่อสารคลาดเคลื่อนแต่ก็ได้แก้ไขแ​ล้​ว 

เมื่อถามว่า ต่อไปจะระวังเพิ่มขึ้นหรือไม่ พล.อ.อนุ​พงษ์​ กล่าวว่า ก็เป็นธรรมดาแต่เจตนาของศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019. กระทรวงมหาดไทย (ศบค. มท.)​ ไม่ได้มีเจตนา​ที่จะไปเอื้อใคร พูดง่ายๆ คือเจตนา​ที่จะดูแลประชาชน เป็นหลัก ใครก็ต้องทำอย่างงั้นสังคมจึงจะยอมรับได้ ไม่มีทางเป็นอย่างอื่นได้ 

“เลขาฯ สมช.” แจง​ องค์กรขอวัคซีนได้​ แต่ต้องเข้าหลักเกณฑ์ความจำเป็นเร่งด่วน​​ ปัดไม่มีใช้เส้นขอก่อน

ที่ทำเนียบรัฐบาล​ พล.อ.ณัฐพล​ นาคพาณิชย์​ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ​ (สมช.)​ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ภาคเอกชนขอรับการสนับสนุนวัคซีนจากกระทรวงมหาดไทยให้กับบุคลากรในองค์กร ว่า หากจำได้เมื่อช่วงกลางเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา เรามีแนวทางการขอรับวัคซีน คือทางแอปพลิเคชั่น หมอพร้อม หรือแอปพลิเคชันอื่น​ ผ่านทางอาสาสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน​ (อสม.)​ หรือฝ่ายปกครอง หรือผ่านองค์กร หรือแนวทางลงทะเบียน​ ณ​ จุดฉีดวัคซีน 

ซึ่งการขอรับวัคซีนในรูปแบบองค์กรก็มีหลายหน่วยงาน ทั้งรัฐและเอกชนขอมา บางทีขอไปที่กระทรวงมหาดไทย หรือขอไปที่กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งหลักเกณฑ์ที่ออกไปเป็นรูปแบบของการขอลงทะเบียน โดยศบค.ได้กำกับเรื่องของความเร่งด่วนเข้าไปด้วย​ ดังนี้​

1.บุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขด่านหน้า อสม.

2.เจ้าหน้าที่อื่นด่านหน้า หรืออาชีพเสี่ยง

3.ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป และผู้มีโรคประจำตัว

4.ประชาชนทั่วไป ฉะนั้นขั้นตอนปฏิบัติต้องดูตามลำดับเหล่านี้ เราต้องพิจารณารูปแบบการลงทะเบียนและความเร่งด่วน

ผู้สื่อข่าวถามย้ำการขอสนับสนุนฉีดวัคซีนให้องค์กรสามารถทำได้ แต่ต้องดูความเร่งด่วนใช่หรือไม่​ พล.อ.ณัฐพล​ กล่าวว่า ใช่​ เพราะช่วงที่ผ่านมาจะพบว่าการระบาดจะเกิดในสถานประกอบการ โรงงาน แคมป์คนงาน​ ​ไซต์ก่อสร้าง เป็นธรรมดาที่สถานประกอบการมีความห่วงใยว่าจะเกิดการแพร่เชื้อในหน่วยงาน จึงขอรับการสนับสนุนมา​ แต่การขอรับการสนับสนุนจะไม่รวมถึงบุคคลในครอบครัว​ และในทางปฏิบัติในแต่ละพื้นที่ ต้องดูความเร่งด่วนที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด​

เมื่อถามถึงมีข้อสังเกตว่าการขอในรูปแบบองค์กรอาจมีการใช้เส้น หรือมีข้อกำหนดพิเศษยกเว้นเฉพาะบางองค์กรหรือไม่ ถึงติดต่อมาที่ศบค.และกระทรวงมหาดไทย​ ไม่ได้ติดต่อทางช่องทางปกติ พล.อ.ณัฐพล​ กล่าวว่า อย่าไปมองอย่างนั้น ยกตัวอย่างหน่วยงานหนึ่งมีคนประมาณ 2-3 พันคน การจะให้แต่ละคนมาลงทะเบียนขอฉีดเอง กับการที่เราไปฉีดให้ทั้งองค์กรทีเดียวก็จะสะดวกกว่า ขอย้ำว่าไม่ใช่หน่วยงานไหนขอมาแล้วขอก่อนได้ก่อน เพราะสาธารณสุขในพื้นที่จะดูความเร่งด่วนตามที่ศบค.ได้กำหนดหลักเกณฑ์เอาไว้

เมื่อถามว่าได้มีการกำหนดกรอบปริมาณที่จะสนับสนุนวัคซีนให้แต่ละองค์กรหรือไม่​ พล.อ.ณัฐพล​ กล่าวว่า​ ไม่มี เพราะหน่วยงานก็ขอตามจำนวนคนที่มีอยู่ แต่ขึ้นอยู่กับจำนวนวัคซีนที่เรามี หากเรามีก็สามารถให้ได้ แต่หากวัคซีนมีจำกัดก็ยังให้ไม่ได้

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์​ และที่จะเดินทางไปดูความพร้อมในวันที่ 25 มิ.ย.นี้ ก่อนจะมีการเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ก.ค.นี้ ทางศบค.จะลงไปสังเกตการณ์หรือไม่ พล.อ.ณัฐพล​ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้มีผู้แทนจากศบค.ร่วมคณะไปด้วย

“เสกสกล” ตะเพิด “วิโรจน์” ไม่พร้อมช่วยปชช. อย่าเป็นส.ส. ทวงถามเมื่อไหร่จะลาออก

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ทวีตข้อความเรื่องข่าวเปิดประเทศ โดยระบุว่า “เพิ่งผ่านมาแค่วันเดียว เลื่อนไปเริ่ม 1 ก.ค.” ว่า วันที่ 1 ก.ค.คือ เปิดภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ นำร่องให้นักท่องเที่ยวที่ได้รับวัคซีนครบโดสแล้วสามารถเข้าประเทศไทยได้โดยไม่ต้องกักตัว 14 วัน ตามแผนที่วางไว้ โดยนายกฯ และคณะจะเดินทางไปรับนักท่องเที่ยวด้วยตัวเอง ส่วนการประกาศ 120 วัน ตามที่นายกรัฐมนตรี กล่าวเมื่อวันที่ 16  มิ.ย.ที่ผ่านมา หมายถึงเปิดให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติสามารถท่องเที่ยวในจังหวัดอื่นที่มีความพร้อมสามารถเปิดได้ก่อน เพื่อให้ประชาชน ภาคธุรกิจ ทำมาหากินได้

นายเสกสกล กล่าวว่า อธิบดีกรมควบคุมโรค ชี้แจงการฉีดวัคซีนให้ประชาชนในจ.ภูเก็ต ฉีดแล้วเกินร้อยละ 60 โดยข้อมูลวันที่ 16 มิ.ย. มีผู้ที่ได้รับวัคซีน 1 เข็มจำนวน 346,855 คน หรือร้อยละ 63.3 ผู้ที่ได้รับวัคซีน 2 เข็ม จำนวน 165,439 คน หรือร้อยละ 30.2 เหลือที่ยังไม่ได้รับวัคซีน เหลือเพียงจำนวน 119,732 คน สำหรับการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนทั่วประเทศ ยืนยันแล้วว่าภายในเดือนต.ค.นี้ จะฉีดวัคซีนให้ได้อย่างน้อยเข็มแรก 50 ล้านคน และจะฉีดวัคซีนให้ประชาชนโดยเฉลี่ย เดือนละกว่า 10 ล้านโดส และขณะนี้วัคซีนทยอยเข้ามาแล้ว

นายเสกสกล กล่าวว่า นายวิโรจน์ ควรยินดีที่จะได้เริ่มต้นเปิดประเทศ ฟื้นฟูเศรษฐกิจ ประชาชน พ่อค้า แม่ค้า ภาคธุรกิจ กลับมาค้าขายมีรายได้ และใช้ชีวิตตามปกติ ไม่ใช่ตำหนิ กล่าวโจมตีทุกเรื่องโดยไม่สนใจชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ขอถามที่นายวิโรจน์ ท้าจะลาออกจากส.ส.ทำไมไม่ทำตามคำพูด เพราะประชาชนรอดูว่าเมื่อไหร่จะลาออก และต่อไปจะพูดอะไรคงไม่มีน้ำหนัก ไม่มีใครเชื่อถือ ดังนั้นอย่าทำตัวเป็นเด็กเลี้ยงแกะ อยู่ฝ่ายค้านคงจะมีแต่ความคิดไร้เหตุผลแบบฝ่ายค้าน และคงเป็นได้แค่ฝ่ายค้านตลอดชีวิต เพราะคนที่มีแนวคิดคับแคบ คิดถึงแต่ประโยชน์ตัวเอง คงไม่เหมาะที่จะเข้ามาเป็นผู้แทนของประชาชนได้อีกต่อไป

“บิ๊กช้าง” สั่งหน่วยมั่นคงคุมเข้มชายแดนหยุดต่างด้าวไหลเข้าเมือง ทำเกิดปัจจัยเสี่ยงกระจายโรค พร้อมเสริมกำลังหนุน กทม. คุมแพร่ระบาดในชุมชนและแค้มป์คนงาน

ที่กระทรวงกลาโหม พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่าพล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม และ พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม ได้ประชุมร่วมกับ กอ.รมน. หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม เหล่าทัพ และ ตำรวจ เพื่อติดตามการสนับสนุนรัฐบาลและการช่วยเหลือประชาชนในการแก้ปัญหาโควิด ณ ศาลาว่าการกลาโหม

พล.ต.คงชีพ กล่าวอีกว่า ในที่ประชุมได้สรุปสถานการณ์และการปฏิบัติที่สำคัญ กองกำลังป้องกันชายแดนทหารและตำรวจ ยังคงตรวจพบและจับกุมผู้ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย ในพื้นที่ชายแดนตามช่องทางธรรมชาติและพื้นที่ชั้นในได้อย่างต่อเนื่อง โดยพบมากขึ้นใน 3 วันที่ผ่านมา (เฉลี่ย 250 คน/วัน) ส่วนใหญ่เป็นชาวเมียนมาและกัมพูชา โดยเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจได้ร่วมกันจัดตั้งจุดตรวจ จุดสกัดกว่า 1,500 จุด และจัดกำลังลาดตระเวนป้องปรามและพิสูจน์ทราบในพื้นที่ต่างๆ กว่า 2,000 ชุด 

โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ขณะเดียวกันในพื้นที่ชั้นใน ทุกเหล่าทัพและตำรวจ ได้เข้าไปช่วยสนับสนุน กทม. เร่งเข้าไปแก้ปัญหาและควบคุมพื้นที่เสี่ยง โดยจัดกำลังและแบ่งมอบพื้นที่ร่วมกับ กทม. 50 เขต เสริมเข้าไปดูแลพื้นที่เสี่ยงชุมชน 2,069 แห่ง ตลาด 486 แห่ง แค้มป์คนงานก่อสร้าง 575 แห่ง และโรงงานขนาดใหญ่ 278 แห่ง เร่งตรวจคัดกรองเชิงรุกและสนับสนุนจัดตั้ง บก.ควบคุมการปฏิบัติในพื้นที่พบการติดเชื้อจำนวนมาก โดยขณะนี้ได้จัดตั้ง บก.ควบคุมและจัดกำลังร่วมกับ ตร.และส่งตัวผู้ป่วยเข้ารับการรักษาแล้วใน 5 พื้นที่ และกำลังพิจารณาจัดตั้ง บก.ควบคุมเพิ่มตามผลการตรวจในแต่ละพื้นที่

ทั้งนี้รมช.กลาโหม ได้ย้ำนโยบายและสั่งการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ขอให้ทุกเหล่าทัพ และตำรวจ ยังคงต้องทำงานหนักร่วมกันคุมเข้มสกัดกั้นและปราบปรามผู้ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายในพื้นที่ชายแดนและพื้นที่ชั้นในอย่างต่อเนื่อง โดยถือเป็นปัจจัยเสี่ยงสูงของการนำพาเชื้อโรคเข้ามายังพื้นที่ชั้นในเชื่อมโยงกับแรงงานต่างด้าวและผู้หลบหนีเข้าเมืองที่ต้องคุมให้อยู่ ควบคู่ไปกับ การสนับสนุนจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่สีแดงเข้ม เสริมกำลังเข้าไปเพื่อควบคุมโรคเป็นพื้นที่ พร้อมกับขอบคุณและเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ทุกนายในการปฏิบัติงาน

โดยพล.อ.ชัยชาญ ยังได้กำชับเพิ่มเติม ให้ทุกเหล่าทัพ เร่งเข้าไปสนับสนุนควบคุมการแพร่ระบาดเป็นพื้นที่ในกรุงเทพ โดยเฉพาะการเร่งเข้าไปสนับสนุนตรวจคัดกรองเชิงรุกในชุมชนและกลุ่มผู้ใช้แรงงาน รวมทั้งให้ประสานและสนับสนุนกรมราชทัณฑ์ เร่งควบคุมการแพร่ระบาดในเรือนจำที่พบผู้ติดเชื้อจำนวนมาก พร้อมกันนี้ ขอให้เตรียมความพร้อมในการปรับเปลี่ยนถ่ายโอนภารกิจการทำหน้าที่สถานกักกันควบคุมโรคของรัฐ ที่กห.รับผิดชอบตั้งแต่ 4 ก.พ.63 ต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน รวม 175 แห่ง (SQ 33 แห่งและ ASQ 142) ให้เป็นไปตามนโยบายของ ศบค.ตั้งแต่ 1 ก.ค.64 เป็นต้นไป ขณะเดียวกัน ขอให้เตรียมความพร้อมจัดตั้งสถานกักกันควบคุมโรคของแต่ละเหล่าทัพ (OQ) เพื่อรองรับกำลังพลของทุกเหล่าทัพตามนโยบายของ ศบค.ต่อไป 

“ศรีสุวรรณ” โวย “ธนารักษ์” นำถนน-สวนสาธารณะ ริมคลองเปรม ให้เอกชนเช่าทำบ้านมั่นคง ถังแตกแล้วหรือ!

นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน กล่าวว่า ตามที่กทม.ก่อสร้างเขื่อนและทางเดินริมคลองเปรมประชากร เพื่อพัฒนาภูมิทัศน์และป้องกันการบุกรุกของชุมชนอย่างผิดกฎหมาย บริเวณซอยงามวงศ์วาน 59 ริมคลองเปรมประชากร โดยประชาชนในพื้นที่กว่า 400 หลังคาเรือน ช่วยกันบริจาคเงินจัดซื้อดิน ปุ๋ยและพันธุ์ไม้ ปลูกต้นไม้ดอก ไม้ประดับ พืชผักสวนครัว พัฒนาพื้นที่ริมคลองเพื่อให้เกิดภูมิทัศน์ที่สวยงามตามนโยบายของรัฐบาลและ กทม.แต่ต่อมามีป้ายมาติดบริเวณสวนหย่อม ระบุว่ากรมธนารักษ์ได้ให้เอกชนในนามสหกรณ์เคหสถานบ้านมั่นคง จำกัด และได้เช่าพื้นที่ดังกล่าวประมาณ 8 ไร่ 21 ตรว.เพื่อปลูกสร้างบ้านมั่นคง และห้ามไม่ให้เข้ามาใช้ประโยชน์หรือทำให้ทรัพย์สินเสียหาย หากฝ่าฝืนจะดำเนินคดีตามกฎหมาย ทั้งที่พื้นที่ดังกล่าวเป็นถนนสาธารณะชาวบ้านใช้เป็นเส้นทางสัญจรเข้าออกหมู่บ้านและชุมชนมานาน

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า กรมธนารักษ์ นำพื้นที่ดังกล่าวไปแสวงหาประโยชน์ ให้เอกชนเช่าในระยะยาวเสีย สะท้อนว่ารัฐกำลังถังแตกแล้วหรือจึงเอาพื้นที่สาธารณะมาให้เช่า และตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม.1304 (2) บัญญัติให้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน เพื่อสาธารณประโยชน์หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน และตาม พ.ร.บ.ที่ราชพัสดุ 2562 บัญญัติไว้ว่า ที่ราชพัสดุ หมายความว่า อสังหาริมทรัพย์อันเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินทุกชนิด เว้นแต่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน คือ อสังหาริมทรัพย์สําหรับพลเมืองใช้หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ของพลเมืองใช้ร่วมกันเช่น ที่ชายตลิ่ง ทางน้ำ ทางหลวง ทะเลสาบ

ดังนั้นการที่กรมธนารักษ์นำที่ชายตลิ่งริมคลอง ซึ่งเป็นพื้นที่และสวนสาธารณะมาให้เอกชนเช่าทำบ้านมั่นคง ย่อมเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย หากผู้ใดเข้ามาทำลายถนน ทำลายสวนสาธารณะดังกล่าวย่อมเข้าข่ายความผิดตาม ป.อ.มาตรา 306 ที่บัญญัติว่า ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ ไร้ประโยชน์ซึ่งทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ ต้องระวาง โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนและชมรมคนรักคลองเปรมจะไม่ยอมให้ใครมาใช้อำนาจเหนือกฎหมายแน่นอน

รัฐบาล ชวน ปชช.ลงทะเบียนโครงการ ”ยิ่งใช้ยิ่งได้” เริ่ม 21 มิ.ย. จำนวน 4 ล้านสิทธิ คาดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ 268,000 ล้านบาท

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเชิญชวนผู้สนใจร่วมโครงการ “ยิ่งใช้ยิ่งได้” ซึ่งจะเปิดให้ลงทะเบียนในวันที่ 21 มิ.ย.นี้ เป็นวันแรก ตั้งแต่เวลา 06.00 น.-22.00 น.ผ่านเว็บไซต์ www.ยิ่งใช้ยิ่งได้.com หรือผ่านจี-วอลเล็ต บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง ได้ทุกวันจนกว่าจะครบ 4 ล้านสิทธิ และเริ่มใช้จ่ายจริง 1 ก.ค.นี้ เพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศผ่านผู้มีกำลังซื้อ หากมีประชาชนเข้าร่วมเต็มจำนวน 4 ล้านคน ใช้จ่ายเต็มสิทธิ จะทำให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของประเทศ 240,000 ล้านบาท และเมื่อมีการนำบัตรกำนัลอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Voucher กลับมาใช้ก็จะมีเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเพิ่มอีก 28,000 ล้านบาท รวมเป็น 268,000 ล้านบาท

นายอนุชา กล่าวว่า โครงการ ยิ่งใช้ยิ่งได้ เป็นการใช้จ่ายค่าสินค้าหรือบริการ เช่น ค่าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าทั่วไป ค่าบริการนวด สปา ทำผมทำเล็บ แต่ไม่รวมถึงสลากกินแบ่ง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ บัตรกำนัลบัตรเงินสด และสินค้าหรือบริการที่เป็นการชำระค่าสินค้าหรือบริการล่วงหน้า โดยชำระผ่านกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (จี-วอลเล็ต) บนแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ระหว่างวันที่ 1 กก-30 ก.ย.นี้ กับผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ติดตั้งแอปพลิเคชัน ถุงเงิน ที่เข้าร่วมโครงการ โดยจะได้รับวงเงินสนับสนุนในรูปของบัตรกำนัลอี-วอชเชอร์  ซึ่งวงเงินใช้จ่ายที่จะนำมาคำนวณสิทธิบัตรกำนัลไม่เกิน 60,000 บาทต่อคน ยอดใช้จ่ายที่นำมาคำนวณสิทธิต้องไม่เกิน 5,000 บาทต่อคนต่อวัน และจะได้รับสิทธิสะสมสูงสุดไม่เกิน 7,000 บาทต่อคน ตลอดระยะเวลาโครงการ โดยยอดใช้จ่ายจริงตั้งแต่ 1-40,000 บาทแรก ได้รับ อี-วอชเชอร์ ร้อยละ 10 ของยอดใช้จ่าย แต่ไม่เกิน 4,000 บาทต่อคน และยอดใช้จ่ายจริงตั้งแต่ 40,001-60,000 บาท ได้รับร้อยละ 15 ของยอดใช้จ่าย แต่ไม่เกิน 3,000 บาทต่อคน ซึ่งสิทธิจะคืนเป็นวงเงินใน g-Wallet ทุกวันที่ 7 ของเดือนถัดไปโดยสามารถใช้จ่ายได้ตั้งแต่เดือนส.ค.-31 ธ.ค.นี้ โดยอี-วอชเชอร์ โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ไม่สามารถแลกเป็นเงินสดได้

นายอนุชา กล่าวว่า คุณสมบัติผู้ที่มีสิทธิเข้าร่วมโครงการฯต้อง มีสัญชาติไทย อายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ไม่เป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือได้รับสิทธิโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ หรือไม่ใช้สิทธิโครงการคนละครึ่งระยะที่ 3 ซึ่งโครงการดังกล่าวสามารถลงทะเบียนได้ทุกวัน จนกว่าจะครบ 31 ล้าน ตั้งแต่เวลา 06.00-22.00 น. ทั้งนี้ผู้ที่ร่วมวงเงินสิทธิ์เหลือในโครงการเราชนะ ขอเชิญชวนใช้จ่ายก่อนสิทธิจะหมดลงในวันที่ 30 มิ.ย.นี้ เพื่อให้ทุกคนได้รับประโยชน์สูงสุดจากโครงการฯที่เข้าร่วม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top