Saturday, 26 April 2025
POLITICS NEWS

ทอ.สนับสนุนเกษตรกร โครงการ "เชื่อมโยงผลิตภัณฑ์การเกษตร” ระหว่างจ.ระนอง-บุรีรัมย์ สู้ภัยโควิด-19

พล.อ.ท.ตรีพล อ่องไพฑูรย์ รองเสนาธิการทหารอากาศ เป็นผู้แทนกองทัพอากาศ และหัวหน้าคณะโครงการ “เชื่อมโยงสินค้าและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร” ระหว่างจังหวัดระนอง และจังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งกองทัพอากาศให้การสนับสนุนโครงการดังกล่าว โดยจัดเครื่องบินลำเลียงแบบ C-130 ในการช่วยลำเลียงสินค้าและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร เพื่อแลกเปลี่ยนระหว่างจังหวัดระนอง และจังหวัดบุรีรัมย์ โดยมี นายสมเกียรติ ศรีษะเนตร ผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง พร้อมคณะร่วมพิธีแลกเปลี่ยนสินค้า ที่ท่าอากาศยานระนอง และนายดำรงชัย เนรมิตตกพงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมคณะ ร่วมพิธีแลกเปลี่ยนสินค้า ณ ท่าอากาศยานบุรีรัมย์

สำหรับการแลกเปลี่ยนสินค้าและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรในครั้งนี้ เป็นความร่วมมือระหว่างกองทัพอากาศ จังหวัดระนอง และจังหวัดบุรีรัมย์ โดยนำสินค้าเกษตรของสหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธ.ก.ส.ระนอง จำกัด ได้แก่ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ปลากระเบนวงขาว ปลาทูมัน ปลาทูหอม ปลาจวดเค็ม กาแฟระนอง น้ำมันพืชตรารินทิพย์ และกาแฟ Drip ปริมาณรวม 1,055 ตัน นำไปแลกเปลี่ยนกับสินค้าของสหกรณ์การเกษตรเพื่อการตลาดลูกค้า ธ.ก.ส.บุรีรัมย์ จำกัด ได้แก่ ข้าวไรซ์เบอรี่ ข้าวกล้อง และข้าวหอมมะลิ ตรา สกต.บุรีรัมย์ ปริมาณรวม 9.35 ตัน มาแลกเปลี่ยนกัน 

ซึ่งการแลกเปลี่ยนสินค้าในครั้งนี้ เป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กลุ่มเกษตรกรในการสร้างรายได้อย่างยั่งยืนผ่านกลไกสหกรณ์และการแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างชุมชน โดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง เป็นการนำกลไกสหกรณ์เข้ามาช่วยบริหารจัดการ ตามหลักการ อุดมการณ์ และวิธีการสหกรณ์ มุ่งเน้นการช่วยเหลือตนเองและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และนำการเชื่อมโยงเครือข่ายธุรกิจระหว่างสหกรณ์มาดำเนินการ 

พล.อ.อ.แอร์บูล สุทธิวรรณ ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) มีนโยบายให้กองทัพอากาศมีความพร้อมในทุกมิติ เพื่อจะให้ความช่วยเหลือประชาชน ในภาวะวิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ที่ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อชีวิตความเป็นอยู่ การทำมาหากินของพี่น้องประชาชน ดังนั้นการปฏิบัติภารกิจบินนำส่งแลกเปลี่ยนสินค้าเกษตรและอาหารทะเลแปรรูป ระหว่างจังหวัด จะช่วยให้มีการหมุนเวียนของสินค้าและกระแสเงินสด ช่วยให้เศรษฐกิจในพื้นที่ดีขึ้น

ทั้งนี้ กองทัพอากาศได้เตรียมความพร้อมทั้งกำลังพล อากาศยาน และทรัพยากรต่างๆ ของกองทัพอากาศ ในการให้ความช่วยเหลือประชาชนชาวไทยในภาวะวิกฤต COVID-19 รวมถึงภัยพิบัติต่างๆ เพื่อให้พี่น้องประชาชนสามารถกลับมาดำรงชีวิตได้โดยปกติสุขโดยเร็ว

ศบค.ชุดเล็ก ให้ สธ. เคาะ เปิดเทอม​ 14​ มิ.ย.ได้หรือไม่​ แย้ม​ อาจต้องเรียนออนไลน์​ต่อ ระบุ วันนี้เริ่ม ส่งทหาร-ตร.​-เทศกิจ​ สนธิกำลัง เฝ้าแคมป์ คนงานทั่วกรุง หลัง ตัวเลขคลัสเตอร์พุ่ง 

ที่ทำเนียบรัฐบาล​ พล.อ.ณัฐพล​ นาคพาณิชย์​ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ​ (สมช.)​ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19​ (ศปก.ศบค.)​ ให้สัมภาษณ์ถึงความชัดเจนในการเปิดภาคเรียนในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด​ จะยังคงกำหนดการเดิมในวันที่​ 14​ มิ.ย.นี้หรือไม่​ เนื่องจากยังมีตัวเลขผู้ติดเชื้อจำนวนมากอยู่ว่า กำลังรอกระทรวงสาธารณสุขประเมินสถานการณ์ในภาพรวมอยู่ โดยวันที่ 10 มิ.ย.นี้จะเริ่มมาตรการควบคุมโรคในพื้นที่แคมป์คนงานก่อสร้าง ให้มีความเข้มข้นมากขึ้น เพื่อจะทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อลดลง ดังนั้น​ เราจึงต้องรอฟังการประเมินของกระทรวงสาธารณสุขก่อน ทั้งนี้​ แม้จะเปิดการเรียนการสอนได้ แต่ก็เป็นการเรียนผ่านระบบออนไลน์ หากกระทรวงสาธารณสุขประเมินว่าสามารถเปิดภาคเรียนได้ก็จะเปิดตามกำหนดการเดิม แต่จะให้เป็นการเรียนการสอนผ่านระบบออนไลน์

ผู้สื่อข่าวถามว่า พื้นที่ที่มีการฉีดวัคซีนให้กับบุคลากรทางการศึกษาแล้ว เช่น​ ครู​ อาจารย์ จะสามารถเปิดการเรียนการสอนที่สถานศึกษาได้หรือไม่​ พล.อ.ณัฐพล​ กล่าวว่า​ จากการฟังรายงานของกระทรวงสาธารณสุข เห็นว่าพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดยังมีความน่าเป็นห่วง แต่หากเป็นการเรียนผ่านระบบออนไลน์ก็มีความเป็นไปได้ที่จะมีการเปิดภาคเรียนในวันที่ 14 มิ.ย.

เมื่อถามว่า การพบผู้ติดเชื้อในหลายคัตเตอร์โดยเฉพาะในแคมป์คนงานก่อสร้างจะยังสามารถบล็อคพื้นที่ไว้ได้อยู่ใช่หรือไม่​ พล.อ.ณัฐพล​ กล่าวว่า เราได้เริ่มมาตรการตั้งแต่วันเดียวกันนี้โดยได้ขอกำลังจากหน่วยงานความมั่นคง​ ทั้งตำรวจและทหาร ให้มาช่วยควบคุม เนื่องจากพบว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมาแรงงานไทยและแรงงานต่างด้าวตามแคมป์คนงานต่างๆ ยังมีการเคลื่อนย้ายไปยังแคมป์คนงานอื่นๆ ทั้งที่มีการติดเชื้อในแคมป์ดังกล่าวแล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจึงต้องใช้ความเข้มข้นมากขึ้น ด้วยการนำกำลังจากฝ่ายความมั่นคงไปช่วยกรุงเทพมหานครตามที่มีการร้องขอมา ประกอบกับคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุขที่ระบุให้เพิ่มความเข้มข้นมากขึ้น

เมื่อถามว่า เหตุที่ยังมีการเคลื่อนย้ายแรงงานอยู่เป็นเพราะนายจ้างหรือผู้ประกอบการยังไม่ให้ความร่วมมือใช่หรือไม่ พล.อ.ณัฐพล​ กล่าวว่า ไม่ได้เรียกว่าไม่ให้ความร่วมมือแต่เขาอาจจะไม่เข้าใจ เพราะเห็นว่ามีผู้ติดเชื้อแค่บางส่วน จึงนำคนงานที่ยังไม่ติดเชื้อไปทำงานในแคมป์คนงานอื่น ทั้งนี้ เราเข้าใจดีว่าระบบงานก่อสร้าง แรงงานจะไม่ได้อยู่ประจำที่ ต้องมีการเคลื่อนย้ายไปทำงานยังที่ต่างๆอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามในกรุงเทพฯมีแคมป์คนงานก่อสร้างทั้งหมด 409 แห่ง และหลายแห่งเป็นบริษัทเดียวกัน เป็นธรรมดาที่เขาจะหมุนเวียนแรงงานไปมา แต่ในระยะนี้เราจำเป็นต้องควบคุมไม่ให้มีการเคลื่อนย้าย เพื่อให้การติดเชื้อน้อยลง

เมื่อถามว่า สถานการณ์ขณะนี้ต้องถึงขั้นต้องออกคำสั่งให้ระงับการก่อสร้างทุกไซต์งานในกรุงเทพฯและปริมณฑลเป็นการชั่วคราวหรือไม่​ พล.อ.ณัฐพล​ กล่าวว่า ยังไม่ถึงขั้นนั้น​ ตอนนี้เราจะใช้มาตรการเพิ่มความเข้มข้นก่อน หากทำไปได้สักระยะหนึ่งแล้วสถานการณ์ดีขึ้น ก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรมากขึ้นกว่านี้ เพราะศบค.เรามีความระมัดระวังในเรื่องของเศรษฐกิจ ถ้ามีการออกคำสั่งให้หยุดทำอะไร ก็อาจจะส่งผลต่อภาคเศรษฐกิจ ซึ่งตอนนี้ก็มีปัญหามากอยู่แล้ว จึงพยายามจะทำให้ดีที่สุดเพื่อผ่อนคลายสถานการณ์โดยรวม

เมื่อถามว่า จะใช้กำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงเข้าไปช่วยกรุงเทพฯ ในการตรวจแคมป์คนงานก่อสร้างมากน้อยแค่ไหน​ พล.อ.ณัฐพล​ กล่าวว่า ในการตรวจพื้นที่ย่อยเราจะใช้กำลังเจ้าหน้าที่ประมาณ 4-5 คน เป็นกำลังทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่เทศกิจ ทำงานร่วมกัน อย่างไรก็ตาม สำหรับมาตรการกรณีผู้ประกอบการมีความย่อหย่อนนั้น ทางกรุงเทพฯและศบค. มีมาตรการที่บังคับใช้อยู่แล้ว ทั้งในด้านมาตรการป้องกัน การตรวจตลาด การตรวจแคมป์ก่อสร้าง ในส่วนมาตรการเฝ้าระวัง มีการสุ่มตรวจผู้ติดเชื้อ​รวมถึงยังมีมาตรการควบคุมอีก

เมื่อถามว่า ขณะนี้มีผู้เสียชีวิตหลายรายที่เกิดขึ้นหลังการฉีดวัคซีน จะส่งผลกระทบต่อแผนการกระจายวัคซีนที่ตั้งเป้าไว้หรือไม่​ พล.อ.ณัฐพล​ กล่าวว่า ศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน (อีโอซี)​ กระทรวงสาธารณสุข​ กำลังมีการประชุมเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าวต้องแยกเป็น 2 ส่วน คือ กรณีที่มีผู้เสียชีวิต กระทรวงสาธารณสุขกำลังดำเนินการสอบสวน ว่าสาเหตุการเสียชีวิตมาจากอะไร และเรื่องการเยียวยา เราจะดำเนินการเยียวยาให้ทันที ไม่ต้องรอให้การสอบสวนสิ้นสุดก่อน ซึ่งสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ​ (สปสช.)​ แนวทางเรื่องการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการฉีดวัคซีนอยู่แล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้เสียชีวิตทั้งหมดมีสาเหตุมาจากการฉีดวัคซีน แต่เป็นการช่วยเหลือเยียวยาไปก่อน

"สุทิน" ตำหนิ "ประยุทธ์" ใช้อารมณ์ ข่มขู่สมาชิก ซัด ไม่เคยมีนายกฯคนไหนทำแบบนี้

ที่รัฐสภา นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการอภิปรายพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดระลอกใหม่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 วงเงินไม่เกิน 5 แสนล้านบาท หรือพ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท ว่าพอใจในการทำงานสมาชิกพรรคฝ่ายค้านที่ได้ชี้ให้เห็นข้อที่น่าจะเป็นปัญหาของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นวินัยการเงินการคลัง หรือจุดล่อแหลมที่อาจทำให้เกิดการทุจริต หรือการใช้เงินที่ไม่เป็นไปตามแผน สิ่งสำคัญคือเกรงว่าเงินก้อนนี้จะถูกนำมาใช้โดยไม่บรรลุผลและไม่ตอบโจทย์ นั่นคือการแก้ปัญหาโควิดและเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังเป็นการกู้แบบไม่มีแผนงานโครงการ และรัฐบาลก็ตอบได้คลุมเครือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องแผนงานที่จะนำไปใช้ 

นายสุทิน กล่าวต่อว่า เมื่อวานนี้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ใช้อารมณ์มากจึงบดบังเรื่องสาระ ทั้งยังมีท่าทีและคำพูดที่ตีความได้ว่าเป็นการข่มขู่สมาชิก ซึ่งไม่ควรเกิดขึ้น พล.อ.ประยุทธ์ต้องระมัดระวังให้มาก เพราะการทำงานของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นเอกสิทธิ์ หากผู้นำประเทศใช้กิริยาเช่นนี้เป็นการคุกคามสิทธิ เสรีภาพของประชาชน ตนขอตำหนิกิริยาท่าทีเมื่อคืนนี้ ในอดีตไม่เคยมีนายกรัฐมนตรีคนใดใช้ท่วงทำนองในการข่มขู่สมาชิก

นายสุทิน กล่าวว่า วันนี้จะเป็นการอภิปรายสรุปโดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย หลังจากอภิปรายเสร็จจะเป็นการลงมติซึ่งสมาชิกบางส่วนการพูดคุยกันว่าอาจจะขอยื่นเรื่องให้มีกลไกในการตรวจสอบงบประมาณก้อนนี้ ซึ่งมีความเห็นเป็น 2 ส่วนว่าจะใช้คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญชุดที่ตรวจสอบเงิน 1 ล้านล้านบาท อีกส่วนคิดว่ากมธ.ชุดนั้นค่อนข้างล้มเหลว การตรวจสอบถูกขัดขวาง และการทำงานในชุดนั้นค่อนข้างมีปัญหา ควรจะตั้งชุดใหม่ขึ้นมา แต่กระบวนการจะเกิดขึ้นหลังจากพ.ร.ก.ฉบับนี้ผ่านหรือไม่ และพ.ร.ก.ฉบับนี้ยังต้องผ่านการพิจารณาของส.ว.อีกครั้งหนึ่ง

ผบ.ทสส. ประชุมร่วม ผู้บัญชาการกองกำลังสหรัฐอเมริกา ภาคพื้นอินโด-แปซิฟิกทผ่านระบบ VTC พร้อมกระชับความสัมพันธ์ทางทหาร การฝึกร่วมผสม Cobra Gold

เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. ที่กองบัญชาการกองทัพไทย จัดการประชุมทางไกลผ่านระบบ VTC เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางทหาร ระหว่าง พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) กับ พลร.อ John C. Aquilino (จอห์น อากีลีโน) ผู้บัญชาการกองกำลังสหรัฐอเมริกา ภาคพื้นอินโด-แปซิฟิก ห้องประชุม CAS 63 กองบัญชาการกองทัพไทย ถนนแจ้งวัฒนะ

การประชุมฯ ครั้งนี้เป็นการแนะนำตัวเนื่องในโอกาสเข้ารับตำแหน่งใหม่ พร้อมทั้งเป็นการกระชับความสัมพันธ์ทางทหารระหว่างกองทัพไทยกับกองทัพสหรัฐอเมริกาในระหว่างสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (COVID-19)

ทั้งสองกองทัพมีความร่วมมือทางทหารกันอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน ทั้งในด้านการฝึกร่วม ผสม โดยเฉพาะการฝึก Cobra Gold ซึ่งเป็นการฝึกที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค รวมถึงด้านการศึกษา การแลกเปลี่ยนข่าวกรอง การแลกเปลี่ยนการเยือน และ ความร่วมมือตามข้อตกลงว่าด้วยการจัดหาและบริการต่างๆ

ในโอกาสนี้ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้กล่าวชื่นชมบทบาทของกองทัพสหรัฐอเมริกาในการสนับสนุนส่งเสริม และการรักษาความมั่นคงเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันของทุกประเทศในภูมิภาค พร้อมทั้งได้กล่าวขอบคุณ พลเรือเอก John C. Aquilino (จอห์น อากีลีโน) ที่ได้ร่วมสนทนากันในครั้งนี้ พร้อมทั้งยืนยันว่าความร่วมมือระหว่างกองทัพสองประเทศจะเป็นรากฐานที่สำคัญในการยกระดับความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างสองประเทศ เพื่อผลประโยชน์แห่งชาติร่วมกันต่อไป

รมว.ยุติธรรม เผย ปปส.ภาค 6 สนธิกำลังตำรวจลงพื้นที่กวาดล้างยาเสพติดหมู่บ้านชุมแสง ได้ผู้เสพ 6 ราย เตรียมขยายผลจับเอเย่นต์ ยันรัฐบาลให้ความสำคัญ วอนช่วยเป็นหูเป็นตา พบเบาะแสแจ้งสายด่วน 1386

จากกรณีมีประชาชนในพื้นที่อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก เกรงกลัวจะได้รับความเดือดร้อน หลังมีการนัดหมายซื้อขายยาเสพติดในพื้นที่สวนยางของตัวเอง จึงเขียนป้ายประชดเกี่ยวกับการซื้อขายยาเสพติด เพราะเคยร้องเรียนผ่านหน่วยที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงานแต่เรื่องยังเงียบนั้น 

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า ตนได้รับรายงานกรณีดังกล่าวจากเจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดภาค 6 (ปปส.ภาค 6) ซึ่งจากการตรวจสอบฐานข้อมูลร้องเรียนพบว่า วันที่ 29 มกราคม 2564 ประชาชนในพื้นที่หมู่ 9 บ้านชุมแสง ตำบลบ้านกลาง อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก ร้องเรียนว่ามีการซื้อขายเสพยาเสพติดกันทั่วไป และยังสงสัยว่าเจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่ให้การสนับสนุนหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการแพร่ระบาดยาเสพติด และมีข้อมูลว่าเจ้าหน้าที่รัฐมีฐานะร่ำรวยขึ้นอย่างผิดปกติ รวมทั้งมีผู้เกี่ยวข้องเคยต้องโทษคดียาเสพติดและถูกจำคุก ปัจจุบันพ้นโทษออกมาแล้ว ซึ่งเจ้าหน้าที่ ปปส.ภาค 6 ตรวจสอบพฤติการณ์ของเจ้าหน้าที่รัฐตามผู้ร้องเรียนมาอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่พบการกระทำผิดใดๆ โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่ ปปส.ภาค 6 พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายได้รับทราบถึงปัญหา และกำลังดำเนินการแก้ไขให้มีความรวดเร็วมากขึ้น พร้อมทั้งเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชน ซึ่งหลังเกิดเรื่องร้องเรียนเจ้าหน้าที่ ปปส.ภาค 6 พร้อมชุดสายตรวจ สภ.แก่งโสภาได้เข้าตรวจสอบในพื้นที่ดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดยนำตู้แดงไปติดที่บริเวณพื้นที่จุดเสี่ยงในหมู่บ้าน และเมื่อคืนวันที่ 5 มิถุนายนที่ผ่านมา ได้ดำเนินการกวาดล้างในพื้นที่ จนสามารถจับกุมผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดได้ 6 ราย พร้อมเตรียมขยายผลไปยังเอเย่นต์ที่ค้ายาในพื้นที่ต่อไป 

“ผมยืนยันว่ารัฐบาลที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหายาเสพติดมาโดยตลอด เราทำงานเชิงรุกในด้านยาเสพติดทุกมิติ เช่น การตัดวงจรยึดทรัพย์เครือข่ายยาเสพติด รวมถึงกวาดล้างสกัดกั้นยาเสพติดจากแนวชายแดนที่จะใช้ชายแดนไทยเป็นทางผ่านไปประเทศอื่นๆ เวลานี้ยาเสพติดมีต้นทุนต่ำการผลิตจึงมีจำนวนมากขึ้น ทำให้มีการลักลอบขนยาเสพติดเพิ่มไปด้วย ผมอยากให้ทุกฝ่ายช่วยเป็นหูเป็นตาให้เจ้าหน้าที่หากพบเจอผู้ค้ายาเสพติดหรือมีข้อมูลให้แจ้งเบาะแสได้ที่สายด่วน 1386 ตลอด 24 ชั่วโมง” นายสมศักดิ์ กล่าว 

นายสมศักดิ์ เปิดเผยอีกว่า สำหรับการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในหมู่บ้าน/ชุมชน ในปีงบประมาณที่ผ่านมา สำนักงาน ปปส.ภาค 6 ร่วมกับศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจังหวัด ได้จัดทำโครงการสร้างพื้นที่ปลอดภัยในหมู่บ้าน/ชุมชน เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการป้องกันและเฝ้าระวังปัญหายาเสพติดในหมู่บ้าน/ชุมชน นำร่องในพื้นที่ 6 จังหวัด (ตาก สุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร นครสวรรค์ และกำแพงเพชร ) จำนวน 6,009 หมู่บ้าน/ชุมชน ผลจากการดำเนินงานตามโครงการดังกล่าว สามารถจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติด ได้จำนวน 8,465 คดี  ยึดทรัพย์สินผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด จำนวน 97 คดี มูลค่าทรัพย์สินที่ยึด/อายัด จำนวน 13,110,879 บาท และนำผู้เสพเข้าสู่การบำบัดรักษายาเสพติดได้จำนวน 6,851 ราย นอกจากนี้กรมการปกครอง ได้ดำเนินการสำรวจความเข้มแข็งของหมู่บ้าน/ชุมชน ผลการสำรวจปรากฏข้อมูลว่าหมู่บ้าน/ชุมชน เป้าหมายของโครงการมีการเปลี่ยนแปลงสถานะจากมีปัญหายาเสพติดเป็นไม่มีปัญหายาเสพติด ร้อยละ 50.8 และภาคประชาชนพึงพอใจโครงการดังกล่าวร้อยละ 99

ศบค. เผย ตัวเลข ฉีดวัคซีนแล้ว 5.1 ล้านโดส ชี้ เมื่อฉีดวงกว้าง อาจพบอาการไม่พึงประสงค์ได้ ย้ำ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ลดการแพร่ระบาด

ที่ศบค. ทำเนียบรัฐบาล นพ.เฉวตสรร นามวาท ผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวสรุปภาพรวมเรื่องการฉีดวัคซีนว่า เรื่องวัคซีนเป็นประเด็นที่อยู่ในความสนใจของประชาชนเป็นอย่างมาก นับจากที่มีการฉีดวัคซีนในวงกว้าง จึงทำให้โอกาสที่จะเจออาการไม่พึงประสงค์ต่างๆ ปรากฏขึ้นหรืออาจจะมีข่าวปรากฏในสื่อต่างๆ ดังนั้นต่อจากนี้จะมีการรายงานภาพรวมสัปดาห์ละครั้ง 

นพ.เฉวตสรร กล่าวว่า จากที่เราได้ฉีดวัคซีนกันไปตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ จำนวนวัคซีนที่จัดสรร ซิโนแวค 4,982,313 โดส อัตราเซเนก้า 1,774,180 โดส รวมทั้งสิ้นการจัดสรรวัคซีนสองชนิด 6,756,493 โดส ซึ่งถ้าแยกจำนวนการฉีดวัคซีนเพื่อแยกดูว่าในวงกว้างปูพรมในวันที่ 7-8 มิถุนายน ในส่วนของการฉีด วันนี้ที่เพิ่มขึ้นมา 472,128 โดส สะสมตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน เป็นจำนวน 888,975 โดส ดังนั้นจะเห็นว่าเราสามารถฉีดได้วันละเกินวันละ 400,000 โดส ทั้งนี้ยอดรวมของการฉีดมาตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์คือ 5,107,069 โดส 

นพ.เฉวตสรร กล่าวว่า การที่นำตัวเลขนี้มาหยามเนื่องจากเป็นประเด็นที่สำคัญเนื่องจากการฉีดในจำนวนมากๆ นี้เราต้องติดตามในเรื่องของความปลอดภัยจึงได้มีระบบการรายงานอาการไม่พึงประสงค์หลังจากการฉีดวัคซีน ซึ่งคำพูดที่ประชาชนหรือสื่อมวลชนมักใช้กันและเข้าใจง่ายบางครั้งจะพูดถึงคำว่า แพ้วัคซีน ผลข้างเคียง ซึ่งคำเหล่านี้ในทางวิชาการจะมีการแจกแจงแยกความหมายที่ชัดเจนเพราะว่ามีความสำคัญต่อการดูแล ประชาชนหลังการฉีดวัคซีนที่แตกต่างกัน

นพ.เฉวตสรร กล่าวว่า ระบบเฝ้าระวังอาการไม่พึงประสงค์ เราทำให้มีความไวถึงแม้จะเป็นอาการเล็กๆ น้อยๆ ที่จะสามารถติดตาม รายงานมาได้ ก็จะรวบรวมไว้ แต่ถ้าอาการไม่รุนแรง สามารถหายได้เองก็ไม่จำเป็นจะต้องไปติดตามดูข้อมูลลึกๆ แต่ถ้าเข้าขายอาการที่รุนแรงหรือเสียชีวิต ก็จำเป็นที่จะต้องมาดูในรายละเอียดว่าสาเหตุการเสียชีวิต สาเหตุของอาการเหล่านั้นคืออะไร ในบางส่วนอาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรงอาจจะเป็นแค่ปฏิกิริยาของร่างกาย ซึ่งนั่นจะมีอีกคำหนึ่งที่ใช้กันคือผลข้างเคียง เป็นปฏิกิริยาของร่างกายเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในร่างกาย วัคซีนก็เป็นสิ่งแปลกปลอมหนึ่งที่เข้าไปในร่างกายเพื่อวัตถุประสงค์จะไปก่อประโยชน์ในการกระตุ้นให้ร่างกายรู้จักว่าเวลาที่มีสารกระตุ้นแบบนี้ เป็นสารที่เราจำลองมาจากตัวเชื้อ เพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน เวลามีเชื้อโรคมาจริงๆ ภูมิคุ้มกันเหล่านี้จะเป็นเสมือนทหารคุ้มกัน ป้องกันที่จะไปต่อสู้เอาชนะ ทำให้ลดการเสียชีวิต ลดการป่วย ลดการติดเชื้อ ส่งผลไปถึงหยุดการแพร่กระจาย หรือลดการแพร่กระจาย ทำให้การแพร่ระบาดหยุดไปได้ 

นพ.เฉวตสรร กล่าวว่า ในกรณีที่ปรากฏในสื่อที่เห็นชัด และผู้คนสนใจคือเรื่องของการเสียชีวิต ตามที่รายงานมาแล้วจำนวน 28 ราย ซึ่งต้องเรียนว่าไม่ใช่ว่าจะเป็นผลจากวัคซีน ตามหลักการของเราเมื่อมีเหตุรุนแรง จะต้องมีการหาสาเหตุให้ชัดเจน โดยระบบเฝ้าระวังอาการไม่พึงประสงค์ ในระดับพื้นที่จะมีการรวบรวมข้อมูล รายงานสถานการณ์ว่าเกิดเหตุอะไรบ้างในเบื้องต้นได้ในระดับจังหวัด โดยมีการจัดตั้งคณะผู้เชี่ยวชาญในระดับเขต เพราะเมื่อมีการฉีดวัคซีนในวงกว้างมากๆ หากมีอาการที่เข้าข่ายผู้เชี่ยวชาญก็ต้องดูสาเหตุว่าเป็นอย่างไร ดูความเชื่อมโยงเกี่ยวข้อง กลับวัคซีนหรือไม่ เพราะบางกรณีอาจจะเกี่ยวข้อง แต่บางกรณี อาจจะไม่เกี่ยวข้องจึงต้องให้เวลาในการเก็บข้อมูล ดังนั้นการจะรู้สาเหตุที่แท้จริง ที่ชัดเจนขอเรียนว่า ต้องมีกระบวนการที่ดูในเรื่องการดูแลรักษา การส่งตรวจในโรงพยาบาล การผ่าชันสูตรหลังเสียชีวิต สิ่งเหล่านี้มีความสำคัญมาก ซึ่งนอกจากดูรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว ต้องผ่าชิ้นเนื้อ ส่งตรวจเพื่ออธิบายสาเหตุนั้นก็มีความสำคัญเช่นกัน

นพ.เฉวตสรร กล่าวว่า ตัวอย่างกรณีของจังหวัดปทุมธานีจะเห็นว่ามีผู้เสียชีวิตหลังการฉีดวัคซีนแต่เมื่อมีการตรวจชนะสูตรแล้วพบว่ามีการอักเสบของเยื่อหุ้มสมอง ซึ่งเป็นสาเหตุคนละเรื่องกับวัคซีน เพราะฉะนั้นกรณีเหล่านั้นเป็นการเสียชีวิต เป็นอาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรง แต่ไม่ได้เกี่ยวข้อง ไม่ได้เป็นสาเหตุ ที่มาจากวัคซีน ดังนั้น 28 รายที่รายงานเข้ามา 12 รายมีการสรุป สาเหตุชัดเจนแล้วว่าทุกรายมีสาเหตุของการเสียชีวิตที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับวัคซีน ขอให้ประชาชนมั่นใจในความปลอดภัยของวัคซีน และจะติดตามเรื่องเหล่านี้มานำเสนอให้ทราบเป็นระยะ เพื่อให้เกิดความมั่นใจแล้วทุกคนได้ประโยชน์จากการฉีดวัคซีนในวงกว้าง เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ และทำให้หยุดการระบาดได้ในที่สุด

นพ.เฉวตสรร กล่าวว่า โดยทั่วไปโรคประจำตัว โดยรวมๆ แล้วฉีดได้เกือบทุกโรคหากในวันที่ฉีดมีสุขภาพแข็งแรงดีไม่ได้มีอาการอ่อนเพลียหรือไม่มีอาการกำเริบของโรค หลายคนอาจมีความกังวลใจแต่ถ้าได้ปรึกษากับแพทย์ประจำก็สามารถขอคำปรึกษาเพิ่มเติมได้ ดังนั้นถ้าไม่ได้มีอาการกำเริบของโรค ควบคุมไม่ได้ ก็สามารถฉีดวัคซีนได้โดยที่ไม่ต้องเลื่อนวันนัด

นพ.เฉวตสรร กล่าวว่า หลังฉีดวัคซีนแล้วหากมีอาการไมเกรน ปวดศีรษะก็ใช้การประเมินของตัวเองได้ ถ้าปวดเล็กน้อยอาจจะทานยาพาราเซตามอล แก้ปวดแล้วพักผ่อน ก็จะดีขึ้นแต่ถ้าดูไม่ดีขึ้น หรือปวดรุนแรงตั้งแต่ต้น หรือดูว่ามีความกังวลว่าอาจจะเป็นมาก ก็สามารถติดต่อแพทย์ได้โดยที่ไม่ควรจะรอ

ผบ.ทร. เป็นประธาน เปิดกิจกรรม “รวมใจภักดิ์ อนุรักษ์พันธุ์ปลา รักษาป่าชายเลน”ในมูลนิธิอนุรักษ์แนวปะการัง และสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา”

พล.ร.อ.ชาติชาย ศรีวรขาน ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร) เป็นประธาน ในพิธีเปิดกิจกรรม “รวมใจภักดิ์ อนุรักษ์พันธุ์ปลา รักษาป่าชายเลน” ในมูลนิธิอนุรักษ์แนวปะการัง และสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทยในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ครั้งที่ 3/2564 ณ หมวดเรือที่ 3 กองเรือทุ่นระเบิด กองเรือยุทธการ ตำบลแหลมฟ้าผ่า อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ โดยมี พล.ร.อ.สุทธินันท์ สมานรักษ์ ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ และ พล.ร.ต.ธาดาวุธ ทัดพิทักษ์กุล ผู้บัญชาการกองเรือทุ่นระเบิด กองเรือยุทธการให้การต้อนรับ

ทั้งนี้นางจุฬารัตน์ ศรีวรขาน นายกสมาคมภริยาทหารเรือ นำคณะอุปนายก และผู้บริหารสมาคมภริยาทหารเรือ ร่วมในพิธีมูลนิธิอนุรักษ์แนวปะการังและสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทย ในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรีนารีรัตนราชกัญญา จัดตั้งขึ้นเพื่อสนองพระดำริ ที่ทรงมีเจตนารมณ์ในการอนุรักษ์แนวปะการัง กัลปังหา และสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทย และเพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการอนุรักษ์ แนวปะการัง และสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทย

ในพระดำริให้แนวปะการังกัลปังหา และสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทย มีความอุดมสมบูรณ์อย่างยั่งยืน สามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลได้อย่างมีความสมดุลและยั่งยืน กองทัพเรือในฐานะที่เป็นหน่วยงานสนองพระดำริ จึงได้จัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์และพระประสงค์ของพระองค์ ที่ผ่านมา ชายฝั่งบริเวณพื้นที่ด้านทิศใต้ของหมวดเรือที่ 3 กองเรือทุ่นระเบิด ประสบปัญหาการกัดเซาะของแม่น้ำเจ้าพระยา และปัญหาน้ำท่วมสูงตามฤดูกาล ทำให้ชายฝั่งเกิดการพังทลายเป็นบริเวณกว้าง คิดเป็นพื้นที่ประมาณ 0.6 ไร่ หรือ 25 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่บริเวณนี้ทั้งหมด

ทั้งนี้ หากปล่อยให้เกิดการพังทลายต่อไป จะเกิดผลกระทบต่อพื้นที่ที่ตั้งหน่วยแห่งนี้มากยิ่งขึ้น ดังนั้นเพื่อเป็นการบรรเทาปัญหาดังกล่าว กองเรือยุทธการ จึงได้มอบหมายให้กองเรือทุ่นระเบิด จัดกิจกรรม “รวมใจภักดิ์ อนุรักษ์พันธุ์ปลา รักษาป่าชายเลน” ในมูลนิธิอนุรักษ์แนวปะการังและสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทยฯ ครั้งที่ 3/2564 โดยมีวัตถุประสงค์ที่สำคัญคือ

การรักษาระบบนิเวศ และสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทย อนุรักษ์ป่าชายเลนให้มีความสมบูรณ์ พร้อมเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และแหล่งศึกษาทางนิเวศวิทยา พัฒนาแนวชายฝั่ง และป้องกันการพังทลายของหน้าดินในพื้นที่ที่เป็นที่ตั้งหน่วย โดยมีการดำเนินการ กิจกรรมย่อย 3 กิจกรรม ประกอบด้วย กิจกรรมปลูกต้นโกงกางจำนวน 350 ต้น กิจกรรมปล่อยพันธุ์ปูจำนวน 918 ตัว พันธุ์ปลา 9,918 ตัว และกิจกรรมเก็บขยะโดยรอบพื้นที่

สำหรับการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการสนับสนุนการดำเนินโครงการตามพระดำริแล้วยังเป็นการพัฒนาแนวชายฝั่ง และป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งการป้องกันการกัดเซาะโดยการปลูกต้นโกงกาง นับได้ว่าเป็นวิธีการตามธรรมชาติและประหยัดงบประมาณ ซึ่งนอกจากจะสามารถป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งได้แล้ว ยังส่งผลประโยชน์ในการเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำวัยอ่อน เป็นที่หลบภัยและที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำนานาชนิด สร้างความอุดมสมบูรณ์ให้กับระบบนิเวศและเป็นการอนุรักษ์สิ่งมีชีวิตใต้ทะเล อีกทั้งยังเป็นการสร้างจิตสำนึกที่ดี ให้กับข้าราชการและประชาชน ในการร่วมกันอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติสามารถเป็นต้นแบบให้กับหน่วยงานต่าง ๆ นำไปใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการป้องกันปัญหาการกัดเซาะและการพังทลายของหน้าดินได้

“บิ๊กป้อม” สั่ง หน่วยมั่นคง ตอบโต้ Fake News ช่วงโควิด-19  ป้องกันปชช. สับสนตามนโยบายนายกฯ เอาผิดตามกม.ทันที ไม่ละเว้นพร้อมสนับสนุนภารกิจ ศบค.

พล.ต.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าวันนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีคำสั่งไปยังฝ่ายความมั่นคง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่รับผิดชอบ ในการตอบโต้ข่าวปลอม หรือเฟคนิวส์ สืบเนื่องจากในสถานการณ์ โควิด-19 ของประเทศในปัจจุบัน ยังมีความวิกฤติ และประชาชนจำเป็นต้องปฏิบัติตามมาตรการของศบค. โดยเคร่งครัด เพื่อให้การช่วยเหลือพี่น้องประชาชน มีความต่อเนื่อง ปลอดภัย และเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังมีข่าวปลอม (Fake News) ในโซเชียล และสื่อต่างๆ  ซึ่งทำให้ประชาชนเกิดความสับสน ขาดความเชื่อมั่น และส่งผลกระทบต่อการดำเนินการแก้ไขปัญหาตามมาตรการ ของศบค. และเป็นอุปสรรคต่อแผนงานในอนาคต ของรัฐบาล ดังนั้นวันนี้ พล.อ.ประวิตร จึงได้ กำชับไปยังฝ่ายความมั่นคง, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, กระทรวงยุติธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้บูรณาการทำงานร่วมกันอย่างจริงจัง โดยเฉพาะศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Fake News) จะต้องดำเนินคดีตามกม. อย่างเด็ดขาด รวดเร็ว และให้กรมประชาสัมพันธ์ เร่งสร้างความเข้าใจ ผ่านทุกช่องทางให้ประชาชนได้รับทราบข่าวสารที่ถูกต้อง อย่างรวดเร็วต่อไป

‘ก้าวไกล’ ย้ำจุดยืนคว่ำร่างพ.ร.ก. 5 แสนล้าน ไม่ต่อลมหายใจประยุทธ์ ชี้ กู้ซ้ำซาก ใช้ไม่ตรงจุด ไม่ครอบคลุมงบสาธารณสุข และวัคซีนสำหรับประชาชน

เมื่อเวลา 09.15 น. วันที่ 9 มิ.ย. ที่รัฐสภา นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงจุดยืนของพรรคก้าวไกลในการพิจารณาพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดระลอกใหม่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 วงเงินไม่เกิน 5 แสนล้านบาท หรือ พ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท ว่าพรรคก้าวไกลเข้าใจถึงสถานการณ์ทางการเงินการคลังของประเทศที่มีช่องว่างให้รัฐบาลนี้ได้กู้เงินเพิ่มเติมได้อีก แต่พรรคก้าวไกลยังคงมีมติเดิมว่าไม่สามารถที่จะเห็นชอบอนุญาตให้รัฐบาลกู้เงินเพิ่มเติมอีก ด้วยเหตุผล 3 ประการ ได้แก่

1.) ล้มเหลว เราเห็นแล้วจากการกู้เงินผ่านพ.ร.ก. 1 ล้านล้านบาท ทั้งในส่วนงบสาธารณสุขที่เบิกจ่ายได้ล่าช้า งบส่วนการเยียวยาประชาชนที่ไม่มีประสิทธิภาพ หรืองบฟื้นฟูประเทศ 4 แสนล้านบาทที่ไม่เกิดผล

นายพิจารณ์ กล่าวต่อว่า

2.) มักง่าย รัฐบาลต้องการให้สภาพิจารณาอนุญาตให้กู้เงิน 5 แสนล้าน แต่นำเอกสารมาเสนอแค่ 5 แผ่นกับโครงการและแผนงานคร่าวๆ เท่านั้นว่าจะใช้เงินอย่างไร หากรัฐบาลคิดว่าจะเป็นต้องใช้เงินเพื่อการเยียวยาประชาชนให้ถอนพ.ร.ก. ฉบับนี้ออกแล้วทำแผนงานที่ชัดเจนว่าจะใช้เงินอย่างไร ด้วยโครงการอะไร ผ่านหน่วยงานใด มีเป้าหมาย ตัวชี้วัด ผลสัมฤทธิ์ที่คาดหวังคืออะไร และทำเป็นพ.ร.บ.กลับสู่สภาด้วยการชี้แจงที่เหมาะสม

นายพิจารณ์ กล่าวอีกว่า

3.) ความเสียหาย การผ่านพ.ร.ก. ฉบับนี้เป็นการต่ออายุ ลมหายใจให้กับรัฐบาลและเป็นการต่อเวลาให้รัฐบาลสร้างความบอบซ้ำให้ประเทศมากขึ้นอีก เราเห็นแล้วผ่านแผนการคลังระยะปานกลางว่างบประมาณในปี 2566 มีแผนการวางไว้ว่าจะตั้งงบประมาณอยู่ที่ 3.2 ล้านล้านบาท คาดการณ์การจัดเก็บรายได้อยู่ที่ 2.46 ล้านล้านบาท ซึ่งต้องกู้เพิ่ม 7.4 แสนล้านบาท หากการบริหารจัดการ 5 แสนล้านล้มเหลวอีก โอกาสที่จะจัดเก็บรายได้ตามแผนที่วางเอาไว้ก็จะพลาดเป้าอีกและจะต้องกู้เพิ่มอีก รัฐบาลต้องไปแก้ตราสังข์ที่มัดตนเองไว้จากเพดานเงินกู้ที่ตั้งไว้ที่ 60% ของจีดีพี เพื่อให้สามารถกู้ได้เกินเพดาน มิหนำซ้ำหากการจัดหาวัคซีนที่จะเป็นโดสที่ 3 และ

4.) เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดสายพันธุ์ใหม่ทำได้ล้มเหลว เราอาจมีการแพร่ระบาดระลอกใหม่อีก รัฐบาลก็ต้องกลับมาขอกู้เงินอีกครั้ง ทางออกของประเทศไทยตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่จะต้องหยุดการบริหารประเทศของพล.อ.ประยุทธ์


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

"แรมโบ้" ฟัดกลับ "คุณหญิงหน่อย" ไทยสร้างไทย “ชี้” ถ้าประธานพรรคฯ เล่นการเมืองด่าทอสาดสีใส่ร้ายคนอื่นรายวัน พรรคจะถอยหลังลงคลองน้ำเสีย เลือกตั้งอย่าหวังมีส.ส.เข้าสภา แยกตัวออกจากพรรคเพื่อไทยระวังถูกด่า "เนรคุณทักษิณ"

เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ุ ประธานพรรคไทยสร้างไทย ให้สัมภาษณ์พาดพิงและกล่าวหาพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอขา นายกรัฐมนตรี ว่า ประเด็นที่คุณหญิงกล่าวหาว่า นายกรัฐมนตรีเป็นเผด็จการภายใต้เสื้อคลุมประชาธิปไตย มาตามรัฐธรรมนูญซ่อนเงื่อน นั้นขอเตือนว่า คุณหญิงสุดารัตน์จะหาเสียงให้พรรคใหม่อย่างไทยสร้างไทยแล้วไปประดิษฐ์คำสวยหรูอะไรมาก็ไม่ว่าแต่อย่ามาเที่ยวประดิษฐ์สำนวนโวหารป้ายสีคนอื่น แทนที่คุณหญิงควรที่จะนึกถึงสมัยอยู่พรรคไทยรักไทยและเพื่อไทยเป็นรัฐบาล ถูกประชาชนประนามว่าเป็นระบอบทักษิณ เป็นเผด็จการรัฐสภาเสียงข้างมากลากไป ออกกฎหมายผ่านสภาฯ หลายฉบับเพื่อเอื้อประโยชน์ของผู้นำบางคนในพรรคขณะนั้น ทำไมคุณหญิงจึงไม่ออกมาต่อว่าด่าทอโจมตีเหมือนเช่นทุกวันนี้บ้าง หรือมีอะไรปิดหูปิดตาปิดปากคุณหญิงไว้

“ขอให้คุณหญิงมีจิตใจเป็นธรรม เป็นกลางบ้าง อย่าคิดเพียงแค่ใครไม่ใช่พวกคุณหญิงก็จะใส่ความโจมตีให้แหลกคามือแบบไร้เหตุผลเพราะความอาฆาตแค้นส่วนตัวหรือเปล่า การจะเป็นนักการเมืองที่ดีต้องมีจุดยืน มีอุดมการณ์ที่มั่นคงมีเหตุผลเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับนักการเมืองรุ่นใหม่ ไม่ใช่เอาแต่เรื่องเท็จมาบิดเบือนเพื่อให้เข้าใจผิดต่อนายกฯ และรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ยึดอำนาจจากรัฐบาลในอดีตของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพราะรัฐบาลปล่อยปะละเลยให้มีการทุจริตมากมายหลายโครงการ มีการเตรียมอภิมหาโปรเจค เพื่อหาเงินทอนส่วนต่างใส่กระเป๋า มีการทุจริตเสียหายจากโครงการจำนำข้าว ทำชาติเสียหาย ชาวนาเดือดร้อน จนรัฐบาลปัจจุบันต้องมาแก้ปัญหาและใช้หนี้จนทุกวันนี้ ตลอดจนเกิดปัญหาความวุ่นวาย ในบ้านเมืองขัดแย้งกันอย่างรุนแรงนำไปสู่การทะเลาะถึงขั้นประกาศรบราฆ่าฟันกันบนท้องถนน อาจถึงขั้นแผ่นดินนองเลือด เป็นยุคที่เกิดการจลาจลวุ่นวายที่สุดในประเทศ 

นายเสกสกล กล่าวว่า เมื่อเรามีรัฐธรรมนูญ ที่ผ่านการลงประชามติของประชาชน 16 ล้านเสียง พล.อ.ประยุทธ์ ก็เข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย ด้วยการไปอยู่ในบัญชีรายชื่อของผู้ถูกเสนอเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคการเมือง จากนั้นรัฐสภาก็เลือกเข้าเป็นนายกฯ ไม่มีอะไรที่เป็นเผด็จการ พล.อ.ประยุทธ์มาตามครรลองทั้งนั้น มีแต่พรรคเพื่อไทย ของคุณหญิงต่างหากที่กลับไปสนับสนุน นายธนาธร มาแข่งขันเป็นนายกฯ ทั้งที่คุณหญิงฯ เป็นผู้ถูกเสนอชื่อในนามพรรคเพื่อไทย ทำไมคุณหญิงฯ จึงไม่เสนอตัวเองให้สภาเลือกเป็นนายกฯ พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่มีเสียงมากกว่ากลับไปหนุนพรรคอนาคตใหม่ของนายธนาธร ที่มีเสียงน้อยกว่า อย่างนี้เขาเรียกว่าประชาธิปไตยแบบไหนกัน  คุณหญิงคิดได้อย่างไร ไม่ใช่เป็นเพราะพรรคเพื่อไทยของคุณหญิงขณะนั้นหรือไม่เห็นหัวประชาชนที่ลงคะแนนให้พรรคเพื่อไทยใช่หรือไม่ มีเสียงมากกว่ากลับไปสนับสนุนพรรคที่มีเสียงน้อยกว่ามาเป็นนายกฯ เป็นการทรยศเสียงประชาชนที่ลงคะแนนให้พรรคเพื่อไทยหรือไม่ คิดแค่นี้ก็ไม่เป็นประชาธิปไตยแล้ว คิดแต่ประโยชน์ส่วนตัวที่จะเอาชนะพล.อ.ประยุทธ์ให้ได้ เพราะความอิจฉาริษยาอาฆาตโกรธแค้นส่วนตัว ตนสงสัยมาก ประชาชนภาคอีสานที่เลือกพรรคเพื่อไทยยังมีเสียงบ่นมาว่า เสียใจผิดหวังอุตส่าห์เลือกส.ส.พรรคเพื่อไทย แต่กลับไปเลือกธนาธร คนที่คิดก้าวล่วงจาบจ้วงสถาบันฯ จะมาเป็นนายกฯ เรื่องนี้คุณหญิงจะตอบคำถามอย่างไร

“ตลอดระยะเวลาที่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ บริหารมา 2 ปีเศษ ได้ให้ความเท่าเทียมและความเสมอภาคกับธุรกิจทุกขนาด ที่บอกว่าคนตัวเล็กเสียเปรียบและเสียโอกาสในการเจริญเติบโตทางธุรกิจนั้นไม่เป็นความจริง รัฐบาลให้การสนับสนุนและให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาตลอด แต่คิดว่าประชาชนคงไม่โง่หลงเชื่อแค่คำพูดสวยหรูของคุณหญิงอย่างแน่นอน” นายเสกสกลกล่าว

นายเสกสกล กล่าวว่า ส่วนประเด็นที่คุณหญิงระบุว่าแยกทางจากนายทักษิณ เด็ดขาด ไม่มียุทธการแตกแบงค์พันนั้น ตนไม่เชื่อและประชาชนก็คงไม่เชื่อเช่นกันเพราะคนที่เติบโตได้ดิบได้ดีจากนายทักษิณ จะมาทิ้งกันแบบง่ายดายหรือ คุณหญิงอยู่มายาวนาน กับนายทักษิณตั้งแต่สมัยพรรคพลังธรรมปี 2538 จึงไม่เชื่อว่า คุณหญิงจะกล้าเนรคุณนายทักษิณคนที่ให้รางวัลคุณหญิงเป็นรัฐมนตรีหลายกระทรวงฯ วันนี้คุณหญิงจะบอกชาวบ้านอย่างไร จึงจะเชื่อว่าคุณหญิงฯ ไม่เป็นคนเนรคุณต่อนายทักษิณ เหมือนกับที่ตนเคยโดนคนในพรรคเพื่อไทยกล่าวหามาแล้ว ไม่กลัวโดนต่อว่าเหมือนตนอย่างนั้นหรือ ทั้งที่มีจุดยืนไม่อยากเป็นสมุนโจร ไม่อยากเป็นเครื่องมือใครและไม่อยากให้ใครเหยียบหัวขึ้นไปเพื่อแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตนเองและครอบครัว ไม่อยากอยู่กับคนที่มือไม่สะอาดจิตใจสกปรก คิดแต่มีอำนาจเพื่อธุรกิจครอบครัวเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าส่วนรวม

“การที่คุณหญิงฯ ประกาศว่าพรรคไทยสร้างไทย เป็นฝ่ายประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข กล่าวหาพล.อ.ประยุทธ์และบอกว่าจะไม่ร่วมรัฐบาลกับขั้วพรรคพลังประชารัฐ ที่เป็นเผด็จการเป็นคำพูดแผ่นเสียงตกร่อง ฟังจนนับครั้งไม่ถ้วน ทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคพวกคุณหญิงดาหน้าด่าทอว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นเผด็จการ ถ้าเป็นจริงทำไมพรรคเพื่อไทยจึงส่งผู้สมัครลงสนามเลือกตั้งในปี 62 อย่าทำตัวเกลียดปลาไหลกินน้ำแกง ปากว่าตาขยิบ อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ อย่าคิดว่าประชาชนโง่ ประชาชนรู้ดีว่าพรรคไทยสร้างไทยเป็นพรรคนอมินี หรือสาขาพรรคเพื่อไทยหย่อย และอยากให้ถึงวันเลือกตั้งเร็วๆ อยากเห็นพรรคไทยสร้างไทย ว่าจะได้ส.ส.กี่คนถ้าผู้ใหญ่ของพรรคฯ ยังเล่นการเมือง แบบเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่นเช่นนี้ สุดท้ายพรรคฯอาจจะไม่ได้ส.ส.เข้าสภาเลย แม้แต่คนเดียว ถ้าประธานพรรคยังใช้วิธีพ่นพิษน้ำลายใส่คนอื่นรายวัน 

"คุณหญิงอย่าได้ให้ลิ่วล้อออกมาตอบโต้คนอย่างแรมโบ้ เพราะที่ผ่านมานายกฯ ไม่เคยพูดใส่ร้ายใครก่อนและไม่คิดตอบโต้ใคร มีแต่คุณหญิงที่กัดนายกฯ ไม่เคยปล่อยเอง คุณหญิงเริ่มก่อนทุกครั้ง ทั้งที่นายกฯ ไม่เคยตำหนิหรือต่อว่าอะไรคุณหญิงเลยแม้แต่นิดเดียว มีแต่คุณหญิงและลิ่วล้อด่าว่านายกฯ ฝ่ายเดียว ตนยืนยันว่าถ้าคุณหญิงไม่ยอมโตเป็นผู้ใหญ่ ไม่ยอมหยุดใส่ร้ายป้ายสีนายกฯ ตนก็จะไม่ยอมหยุดเช่นกัน ตนจะไม่ยอมให้คุณหญิงและลิ่วล้อหรือสมุนของคุณหญิงออกมาด่าทอใส่ร้ายป้ายสีนายกฯฝ่ายเดียว ตนคงยอมไม่ได้เด็ดขาด นายกฯ ไม่มีเวลามาเล่นการเมือง จะไม่เสียเวลามาทะเลาะกับใคร มีแต่เวลาทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนกับประชาชนเท่านั้น " นายเสกสกล กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top