Wednesday, 23 April 2025
POLITICS NEWS

เปิดตำนาน 'พรรคประชาชน' ไม่ใช่ชื่อใหม่ถอดด้าม แต่เคยเป็นรังเก่า 'กลุ่ม 10 มกราฯ' เข้าสภาฯ 19 คน

(9 ส.ค.67) จากกระแสข่าวที่ออกมาช่วงค่ำวันที่ 8 ส.ค.ที่ผ่านมาว่า พรรคการเมืองจัดตั้งใหม่ที่มาแทนพรรคก้าวไกล จะใช้ชื่อว่า 'พรรคประชาชน' ที่มีการแถลงเปิดตัวเวลา 12.00 น. ของวันที่ 9 สิงหาคม ที่ตึกไทยซัมมิทฯ นั้น

จากการตรวจสอบของ 'ไทยโพสต์' พบว่า ชื่อพรรคประชาชน ไม่ใช่ชื่อพรรคใหม่ทางการเมืองแต่อย่างใด เพราะเคยเป็นพรรคการเมือง ที่เคยส่งคนลงสมัครรับเลือกตั้งและได้ สส.มาแล้วในช่วงปี 2531 ซึ่งช่วงนั้น เป็นการเมืองในยุครัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรี

โดยแกนนำพรรค-ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคประชาชนเวลานั้น ก็คือนักการเมืองจาก 'กลุ่ม 10 มกรา' ที่เป็นกลุ่มการเมืองชื่อดัง จนเป็นตำนานของพรรคประชาธิปัตย์มาถึงทุกวันนี้ 

สำหรับ 'กลุ่ม 10 มกรา' มีแกนนำคือ นายเฉลิมพันธ์ ศรีวิกรม์ ที่เป็นนักธุรกิจ เคยเป็นนายทุนใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์มาก่อน จนขึ้นมาเป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ในยุคที่มีนายพิชัย รัตตกุล อดีตประธานรัฐสภา เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โดยนายเฉลิมพันธ์ คือ บิดาของนางทยา ทีปสุวรรณ อดีตแกนนำ กปปส.-อดีตรองผู้ว่าฯ กทม. จากพรรคประชาธิปัตย์

ทั้งนี้ ตำนานของ พรรคประชาชน เกิดขึ้นหลังเกิดปัญหาขัดแย้งทางการเมืองในพรรคประชาธิปัตย์ระหว่างกลุ่มของนายเฉลิมพันธ์ - นายวีระ มุกสิกพงษ์ โดยมีแนวร่วม เช่น กลุ่มวาดะห์ ที่กำลังเริ่มโด่งดังทางการเมือง กับกลุ่มของนายพิชัย รัตตกุล ที่เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เวลานั้น ซึ่งกลุ่มของนายพิชัย มีแนวร่วม เช่น นายชวน หลีกภัย - พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์, นายบัญญัติ บรรทัดฐาน, นายมารุต บุนนาค, นายเล็ก นานา

โดยพบว่ากลุ่มนายพิชัย ขัดแย้งกับกลุ่มของนายเฉลิมพันธ์ ในเรื่องโควตารัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์ และตำแหน่งหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ในช่วงรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์

นั่นจึง ทำให้สส.พรรคประชาธิปัตย์ ในปีของนายเฉลิมพันธ์ ตั้งกลุ่ม 10 มกราฯ ขึ้น เมื่อ 10 มกราคม 2530 ที่โรงแรมเอเชีย โดยมีการงัดข้อทางการเมืองกับกลุ่มนายพิชัย ตลอด จนมาถึงจุดแตกหัก ตอนโหวตร่าง พรบ.ลิขสิทธิ์ และสิทธิบัตร ที่เป็นร่างกฎหมายสำคัญของรัฐบาลพลเอกเปรมเวลานั้น เพราะทางประเทศมหาอำนาจโดยเฉพาะสหรัฐฯ กดดันให้รัฐบาลพลเอกเปรม รีบออกกฎหมายดังกล่าวเพื่อแก้ปัญหาสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ แต่ก็มีกระแสคัดค้านไม่เห็นด้วยมากมาย

จนเมื่อร่าง พรบ.ลิขสิทธิ์ฯ เข้าสภาฯ ทาง สส.กลุ่ม 10 มกราคม โหวตสวนไม่เห็นชอบร่างพรบ.ลิขสิทธิ์ฯทั้งที่ตัวเองเป็น สส.รัฐบาล ทำให้ พลเอกเปรม ตัดสินใจยุบสภาฯ โดยเป็นการยุบสภา ก่อนการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านเพียงไม่กี่วัน

และหลังจากนั้น เมื่อเข้าสู่การเลือกตั้ง กลุ่ม 10 มกราคม ก็ย้ายออกจากพรรคประชาธิปัตย์ ไปตั้งพรรคประชาชน ที่เป็นการตั้งพรรคโดยเปลี่ยนชื่อจากพรรคเดิมคือ พรรครักไทย โดยมีนายเฉลิมพันธ์ เป็นหัวหน้าพรรค และมี นายวีระ ที่ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นวีระกานต์ อดีตประธาน นปช.เสื้อแดง เป็นเลขาธิการพรรคประชาชน

อย่างไรก็ตาม ผลการเลือกตั้งปี 2531 พรรคประชาชนได้ สส.เข้าสภาฯ ไม่มากเท่าใดนัก คือได้ประมาณ 19 คน และหลังเลือกตั้ง พรรคชาติไทย ที่มีพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นหัวหน้าพรรค ชนะเลือกตั้ง จนพลเอกชาติชาย ขึ้นเป็นนายกฯ หลังพลเอกเปรม ที่เป็นนายกฯ คนนอกมาแปดปี ประกาศไม่รับตำแหน่งนายกฯ กับวาทะอมตะ "ผมพอแล้ว"

โดยการตั้งรัฐบาลดังกล่าว ไม่มีพรรคประชาชนร่วมด้วย เพราะพลเอกชาติชาย ตั้งรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์ ที่ไม่ถูกกับพรรคประชาชน ทำให้พรรคประชาชนกลายเป็นฝ่ายค้าน ร่วมกับพรรคอื่น ๆ เช่น พรรครวมไทย ของนายณรงค์ วงศ์วรรณ - พรรคกิจประชาคม ของนายบุญชู โรจนเสถียร - พรรคก้าวหน้าของนายอุทัย พิมพ์ใจชน

จนต่อมาช่วง เมษายน 2532 ทั้งสี่พรรคฝ่ายค้าน คือ พรรคประชาชน-พรรครวมไทย-พรรคกิจประชาคม-พรรคก้าวหน้า ก็ได้ยุบรวมมาเป็นพรรคเดียวกันชื่อว่า 'พรรคเอกภาพ'

จากนั้นช่วงปี 2534 พลเอกชาติชาย ปรับครม.โดยดึงพรรคเอกภาพเข้าร่วมรัฐบาล แล้วปรับพรรคประชาธิปัตย์ออก แต่อยู่ได้ไม่นานก็เกิดรัฐประหาร รสช. เมื่อ 23 ก.พ.2534 ทำให้ พรรคประชาชน ชื่อก็หายไปจากการเมืองหลายสิบปี พร้อมกับการที่นายเฉลิมพันธ์ วางมือทางการเมือง

โดยพบว่า สส.-นักการเมือง ที่เคยอยู่กับพรรคประชาชน ที่ตอนนี้ยังเป็น สส.อยู่ ก็มีเช่น นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภาในปัจจุบัน ที่ตอนนั้นออกจากประชาธิปัตย์มาพร้อมกับกลุ่มวาดะห์ และยังมี นายจาตุรนต์ ฉายแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ที่เคยอยู่กับกลุ่ม 10 มกราฯ มาก่อน ตั้งแต่ยุคเป็น สส.ฉะเชิงเทรา สมัยแรก ในสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ โดยนายจาตุรนต์ ออกไปร่วมตั้งพรรคประชาชน พร้อมกับบิดา คือนายอนันต์ ฉายแสง อดีต สส.ฉะเชิงเทราหลายสมัย

ส่วนอดีตศิษย์เก่า พรรคประชาชน ที่ไม่ได้เป็นสส.แต่ยังมีบทบาทการเมืองก็เช่น นายนิกร จำนง ที่เคยเป็น สส.สงขลา กลุ่ม 10 มกราคม แต่ตอนที่ลงสมัคร สส.พรรคประชาชน ไม่ได้รับเลือกตั้ง โดยปัจจุบัน นายนิกร เป็นผอ.พรรคชาติไทยพัฒนามาหลายปี ล่าสุดก็เป็นกรรมาธิการของสภาฯหลายคณะเช่น กรรมาธิการวิสามัญศึกษาการตราพรบ.นิรโทษกรรมฯ เป็นต้น

ขณะที่ คนอื่น ๆ ที่ยังโลดแล่นการเมืองอยู่ก็มีเช่น นายถวิล ไพรสณฑ์ ที่เคยเป็นที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล หลังลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ ตอนช่วงหลังเลือกตั้งปี 2562 ที่มีสมาชิกพรรคลาออกหลายคนที่เรียกกันตอนนั้นว่า ประชาธิปัตย์เลือดไหลไม่หยุด โดยปัจจุบันนายถวิล ช่วยงานพรรคก้าวไกลในเรื่องท้องถิ่นมาหลายปีแล้ว จนน่าจับตาว่า นายถวิล อาจจะมีส่วนในการช่วยคิดชื่อ พรรคประชาชน รวมถึงยังมีศิษย์เก่า พรรคประชาชนอีกหลายคน เช่น นางอัญชลี วานิช เทพบุตร อดีตเลขาธิการนายกฯ (อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) อดีตนายกอบจ.ภูเก็ต ที่เคยลงสมัครสส.พรรคประชาชน เป็นต้น

'ดร.นิว' ชำแหละ!! 'ปิยบุตร' เปลือกนอกการละคร ภายในเลือดเย็นสูง สักวันจะถูกพวกเดียวกันที่ตาสว่าง 'ชำระแค้น-รุมประชาทัณฑ์'

(9 ส.ค. 67) ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ ดร.นิว นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า…

สักวันปิยบุตรจะถูกพวกเดียวกันรุมประชาทัณฑ์

นายปิยบุตรน่าจะคลุ้มคลั่งแล้วที่ออกมายั่วยุให้ยกเลิกความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ รวมถึงยุบศาลรัฐธรรมนูญไปให้พ้นทาง เจตนาส่อให้เห็นว่านายปิยบุตรไม่ได้เคารพหลักวิชาหรือหลักการประชาธิปไตยอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว หากแต่เป็นอนาธิปไตยตกขอบหัวรุนแรง เนื้อแท้ของนายปิยบุตรจึงเป็นเพียงแค่อาชญากรในคราบนักวิชาการ หรือเรียกได้ว่า ‘อาชญากรทางวิชาการ’

ตลอดระยะเวลานานกว่า 10 ปี นายปิยบุตรคอยยุยงปลุกปั่นสร้างความขัดแย้งและความแตกแยก มักสร้างวาทกรรมเซาะกร่อนบ่อนทำลายความมั่นคงในด้านต่าง ๆ ของประเทศไทย เดินตามตูดภรรยาชาวฝรั่งเศส มุ่งบิดเบือนให้ร้าย สร้างความเข้าใจที่ผิด ๆ ตลอดจนสร้างความเกลียดชังต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งล้วนแต่เป็นการแบ่งแยกประชาชนไปสู่การล้มล้างการปกครองทั้งสิ้น

ถ้าได้ประมือกับนายปิยบุตรและมีโอกาสเปิดโปงการบิดเบือนต่าง ๆ ของเขาอยู่เป็นประจำ ก็จะทราบได้ว่าคำแถลงปิดคดีของนายพิธา ตลอดจนข้อแถโง่ ๆ ทั้ง 9 ข้อของก้าวไกลที่ฟังไม่ขึ้นเลยแม้แต่น้อย น่าจะมาจากหัวสมองอันสกปรกโสมมของนายปิยบุตรทั้งสิ้น ทั้งความเป็นวาทกรรมสำนวนโวหารอันพิลึกพิลั่น ทั้งความเลวชาติในการบิดเบือนตีความกฎหมายแถทุกอย่างเข้าข้างตัวเองแบบข้าง ๆ คู ๆ

นับว่านายปิยบุตรมีความโดดเด่นอย่างมากในการเป็นอาชญากรทางวิชาการ เป็นนักปลุกปั่นตัวยงที่คอยชี้นำทางความคิดให้สาวกไร้สมองทำผิดติดคุกติดตะรางแทนตัวเอง แต่ระยะหลังบรรดาสาวกเริ่มฉลาดขึ้น ถ้าแกนนำจัดตั้ง ไม่ถอดใจ ไม่ลี้ภัย ก็ติดคุก ต่างเห็นความระยำตำบอนของเขาที่คอยชี้นำสาวกไม่ต่างจากไพร่และทาส ขณะที่ตัวเองมุดหัวอยู่ใต้กระโปรงและจิบไวน์อยู่บนหอคอยงาช้าง

ตอนนายปิยบุตรเป็นอาจารย์ นักศึกษาทำผิดติดคุกติดตะราง ตอนนายปิยบุตรเป็นมาเป็นนักการเมือง แกนนำและมวลชนม็อบสามนิ้วก็ทำผิดติดคุกติดตะราง เปลือกนอกนายปิยบุตรอาจเสแสร้งแสดงละครเป็นคนดีแต่ภายในมีความเลือดเย็นสูงมาก มันค่อนชัดเจนว่านายปิยบุตรต่อสู้เพื่อคนอื่นหรือหลอกใช้คนอื่นให้ต่อสู้เพื่อตัวเอง? สักวันนายปิยบุตรจะถูกพวกเดียวกันที่ตาสว่างรุมประชาทัณฑ์

ท้ายที่สุด เมื่อรู้ว่านายปิยบุตรหลอกใช้ทางความคิด ชี้นำให้ทำผิดติดคุกติดตะรางแทนตัวเอง ก็จะโกรธแค้นเกินกว่าที่จะให้อภัยกันได้ ไม่เพียงเท่านั้น บรรดาพ่อแม่ผู้ปกครองที่ลูก ๆ โดนนายปิยบุตรล้างสมองหลอกใช้ก็เช่นเดียวกัน เพราะชุดความคิดของนายปิยบุตรเปลี่ยนลูก ๆ ของพวกเขาให้ก้าวร้าวรุนแรงจนเกิดปัญหาภายในครอบครัว พวกเขาได้แต่กดข่มความคั่งแค้น รอคอยวันที่จะชำระสะสาง

ดร.ศุภณัฐ
8 สิงหาคม พ.ศ. 2567
#ประชาธิปไตยTheseries by ดร.ศุภณัฐ

เปิดโลโก้ ‘พรรคประชาชน’ ค่ายใหม่คณะส้ม ใช้สามเหลี่ยมเป็นสัญลักษณ์ พร้อมชื่อย่อ ‘ปชช.-PP’

(9 ส.ค.67) ที่ตึกไทยซัมมิท ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับชื่อใหม่ของอดีตพรรคก้าวไกล คือ พรรคประชาชน โดยใช้ชื่อย่อว่า ปชช. เขียนภาษาอังกฤษว่า ‘PEOPLE’S PARTY’ มีชื่อย่อในภาษาอังกฤษว่า PP

ขณะที่เครื่องหมายพรรคมีภาพสัญลักษณ์ลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม และมุมทุกด้านของสามเหลี่ยมมุมแต่ละมุมเท่ากันกลายเป็นสามเหลี่ยมหกด้าน โดยใช้สีส้มเป็นสีของสามเหลี่ยม ภาพสัญลักษณ์

ตัวอักษรคำว่า พรรคประชาชน PEOPLE’S PARTY ซึ่งเป็นชื่อพรรคปรากฏอยู่ด้านล่างสามเหลี่ยมดังกล่าว โดยใช้สีกรมท่าเป็นสีของตัวอักษรคำว่า พรรคประชาชน และใช้สีส้มเป็นสีของตัวอักษรคำว่า ‘PEOPLE’S PARTY’

'อี้-แทนคุณ' เห็นใจ 'พิธา' ในฐานะหัวอกคนเป็นพ่อ ห่วงอนาคตลูก แต่คิดอะไรอยู่? ตอนฉวยอนาคตลูกคนอื่นให้ไปด่าพ่อของแผ่นดิน

(8 ส.ค. 67) ดร.แทนคุณ จิตต์อิสระ อดีตประธานคณะกรรมการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและความเสมอภาคระหว่างเพศ พรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกบทความถึงกรณีที่ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ได้ให้สัมภาษณ์หลังพรรคก้าวไกลถูกยุบพรรคและกรรมการบริหารถูกตัดสิทธิทางการเมือง 10 ปี ว่า...

ฟังคลิปนี้ของคุณพิธาแล้วเข้าใจความรู้สึกของคนเป็นพ่อที่รักและห่วงลูกที่สุด ถึงขนาดหลั่งน้ำตาเมื่อคิดถึงอนาคตของลูกเขา ห่วงเรื่องสิทธิเด็ก ห่วงนั่นห่วงนี่ห่วงยิ่งกว่าชีวิตตัวเอง ผมเข้าใจความรู้สึกตรงนี้ของพ่อทิม พิธาดีครับ และขอให้กำลังใจในส่วนนี้ รวมทั้งผมได้เคยแสดงจุดยืนว่าไม่เคยเห็นด้วยกับการยุบพรรคใด ๆ เลย 

แต่ถ้าได้ฟังแล้วได้คิด คิดก่อนว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นบ้างนะ ความห่วงใยที่ต้องมีถึงลูกของพ่อแม่คนอื่นที่เขาต้องเป็นห่วงลูกของเขาไหม ว่าจะเป็นอย่างไรกับการที่มีกระบวนการทางการเมืองแบบของคุณหรือไม่ที่ไปนำ 'เด็ก ๆ' ออกจากอ้อมกอดของพ่อแม่ ด้วยการผลิตสื่อ การสนับสนุนจัดชุมนุม การชี้นำประเด็นการเมืองตามใจที่คุณต้องการโดยเฉพาะการดูหมิ่น ด้อยค่า อาฆาตมาดร้ายต่อผู้ที่หลายคนสถาปนาให้เป็น 'พ่อ' ของแผ่นดิน พ่อของชาติ ไปจนถึงกลายเป็นการลดทอนความมั่นคงของชาติที่ควรปกป้องคุ้มครองให้ถึงที่สุดจากลูก ๆ เหมือนกัน

คุณและพวกคุณทำอย่างไรกับลูกของครอบครัวพวกเขาบ้างหรือ คุณนำเด็ก 10 ขวบขึ้นเวทีปราศรัย พูด Hate Speech คุณและพวกของคุณทำอย่างไรกับ 'หยก' ยังไม่นับรวมเยาวชนกลุ่มต่าง ๆ ที่ควรจะมีอนาคตที่สดใสหากไม่มีความพยายามทำการเมืองแบบมุ่งเป้าไปที่เด็กและเยาวชน 

'น้ำตา' ของคุณมันน่าจะมีส่วนผสมของความเป็นมนุษย์ มีจิตวิญญาณแห่งความรักและห่วงใยลูกในฐานะพ่อแม่ อย่างเต็มเปี่ยม ไม่ต่างจาก น้ำตาของพ่อแม่คนอื่น ๆ ที่รินไหลหลั่งรินออกมาเมื่อเวลาที่เขาห่วงใยลูกหลานของเขา 

มีไหมนะประเทศไหนในโลกที่ปล่อยให้มีการเมืองแบบสุดโต่ง โยงลงไปหาเด็กเยาวชนแบบเกลียดชังต่อสถาบันหลักของชาติจนแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง กลายเป็นความขัดแย้งระหว่างวัยภายในครอบครัว จนเกิดผลกระทบเมื่อต้องมีคดีเพราะทำผิดกฎหมายแบบที่มีอยู่

พวกคุณรู้อยู่แก่ใจว่าหลายเรื่องผิดกฎหมายคุณทำอะไรให้พวกเขาบ้าง นอกจากปลุกปั่นพวกเขาต่อไป สนับสนุนการทำผิดจนต้องติดคุกบ้าง หนีไปบ้าง หมดอนาคตบ้าง และตายบ้าง เว้นพวกเขาบ้างไม่ได้หรือ

หรือเขาไม่ใช่ลูกคุณ เพียงเพราะคุณไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี คุณต้องร้องไห้ ลูกของคนที่ต้องติดคุก ต้องตาย (อย่างบุ้ง ขออภัยเอ่ยถึง) และอีกหลาย ๆ คน คุณทำอะไรได้บ้าง

คนของคุณเอาเงินยัดใส่มือ ไปประกัน ไปเชียร์ไปเป่าหู ไปปลุกปั่นสนับสนุนแกนนำเยาวชน ให้เขาสู้เพื่อกระแสพวกคุณหรือไม่ผมไม่อยากวิจารณ์อีก เพราะผมตั้งใจถอยจากการเมืองแล้ว

แต่ผมอินกับเรื่องเด็กและเยาวชนมาก ผมไม่อยากว่าหรือซ้ำเติมคุณและพวกของคุณแต่หวังว่าบทเรียนครั้งนี้จะสร้างสำนึกใหม่ของพวกคุณว่า...

"อย่าเล่นการเมืองแบบสุดโต่งกับเด็ก ๆ จนกลายเป็นลัทธิคลั่งความก้าวร้าว"

เพื่อพ่อแม่คนอื่นจะไม่ต้องร้องไห้แบบที่คุณร้องอีกต่อไป

‘ศิริกัญญา’ เผย!! เตรียมเปิดตัว ‘ชื่อพรรคใหม่-สมาชิกร่วมทาง’ พรุ่งนี้ ไม่หวั่น!! กระแสนิยมพรรคใหม่บู่ ให้ดู 'อนาคตใหม่-ก้าวไกล' เป็นตัวอย่าง

(8 ส.ค. 67) นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล อดีตรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล และสส.อดีตพรรคก้าวไกล กล่าวถึงการเตรียมแถลงตั้งพรรคใหม่ในวันพรุ่งนี้ (9 ส.ค.67) ว่า วันพรุ่งนี้จะมีการประชุมกันเป็นกระบวนการภายใน จะมีการหยั่งเสียงและเลือกตั้งกรรมการบริหารชุดใหม่ โดยมั่นใจว่าจะราบรื่นและเป็นไปได้ด้วยดี โดยจะมีสมาชิกที่จะไปต่อด้วยกันมากันอย่างพร้อมหน้า ส่วนชื่อพรรคจะเป็นอะไร จะกี่พยางค์ ผู้นำจะเป็นใครขอให้รอฟังวันพรุ่งนี้ ซึ่งจะแจ้งสถานที่และเวลาในการแถลงข่าวกับสื่อมวลชนอีกครั้ง

“ส่วนกระแสข่าวที่ไม่มีใครกล้าขึ้นมาเป็นกรรมการบริหารพรรคเพราะหากถูกยุบพรรคแล้วจะถูกตัดสิทธิทางการเมืองนั้น เป็นเรื่องที่คิดกันได้ แต่ในวันพรุ่งนี้จะมีความชัดเจนว่ากรรมการบริหารพรรคจะมีกี่คน จะมีใครบ้าง ขอให้รอผลการประชุมวันพรุ่งนี้” นางสาวศิริกัญญา กล่าว

ส่วนจะต้องมีการสลับฟันปลาตัวบุคคล หากเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองจนเกิดการยุบพรรคในอนาคตอาจจะส่งผลให้คนไม่พอในการทำกิจกรรมทางการเมืองนั้น นางสาวศิริกัญญา ระบุว่า คงไม่ถึงขั้นนั้นแน่นอน แต่สิ่งที่จะต้องพิจารณาคือกรรมการบริหารพรรคที่ควรจะต้องมีวิจารณญาณและมีอุดมการณ์ มีหลักการที่มั่งคงที่จะตัดสินใจแทนสมาชิกพรรคในเรื่องสำคัญ ๆ ของพรรคได้ ดังนั้นเรื่องสลับฟันปลายังไม่ได้เอามาคำนึงถึง

ขณะที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค และอดีตสส.พรรคก้าวไกล กล่าวเพิ่มเติมถึงกรณีกระแสที่ไม่มีใครกล้าขึ้นมาเป็นกรรมการบริหารพรรค ว่า คงต้องถามไปถึงระบบด้วยในการที่จะมีคนขึ้นมาบริหารพรรคการเมือง เป็นตัวแทนของประชาชน ถูกระบบแบบไหนที่ทำให้คนไม่มีความกล้าขึ้นมาเป็นกรรมการบริหารพรรค ดังนั้นคนที่จะขึ้นมาเป็นภาวะผู้นำได้จะต้องมีความกล้าหาญ แล้วระบบควรที่จะเป็นอย่างไร ส่วนที่พูดกันของคนในอดีตพรรคก้าวไกล คงเป็นเรื่องล้อเล่นมากกว่า ไม่ได้มีอะไรซีเรียส เพราะเมื่อถึงเวลาทุกคนจะต้องสเต็ปอัพขึ้นมา เพื่อให้พรรคใหม่ของเพื่อน ๆ ตนเองยังสามารถเดินทางไปข้างหน้าต่อ เพื่อให้เกิดความมั่นใจในประชาชน แต่ก็เป็นเรื่องของพวกเขา อาจจะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกับตนเองซึ่งตนเองก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวแล้ว คงเป็นเรื่องของการบริหารจัดการ

ทั้งนี้ หากเทียบกับสมัยตนเอง ตั้งแต่ตอนอนาคตใหม่ เป็นก้าวไกล เวลาที่ประชุม มีกระบวนการ จะให้ตอบชัดเจนว่ากรรมการบริหารเป็นใครก็ต้องมีกระบวนการที่จะหารือกันก่อนภายในก่อนที่จะมาตอบข้างนอก ส่วนจากก้าวไกลจะเป็นอะไรยังไงต่อก็ต้องรอดูวันที่ 9 ส.ค. ส่วนกรรมการบริหารพรรค ก็คงจะดูที่ความสามารถของการบริหารจัดการ ไม่ได้ดูว่าจะเป็นสส.หรือไม่เป็นสส.ว่าเป็นลักษณะอย่างไร ส่วนผลลัพธ์เป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับเพื่อน ๆ

ส่วนความกังวลใจเรื่องกระแสนิยมของผู้นำในพรรคใหม่มีการประเมินไว้อย่างไรบ้างนั้น นางสาวศิริกัญญา ระบุว่า เป็นเรื่องของความเสี่ยงในอนาคตที่เกิดขึ้นได้ แต่หากมองตั้งแต่สมัยอนาคตใหม่ มาก้าวไกล ก็โดนคำสบประมาท โดนคำปรามาสเหมือนกัน แต่เราก็สามารถสั่งสมความนิยมมาได้ จนกลายมาเป็นพรรคที่ชนะการเลือกตั้งในปี 66 ซึ่งน่าจะเป็นบทพิสูจน์ได้แล้ว และคงจะต้องดูกันยาว ๆ ยังตัดสินวันนี้ไม่ได้

ขณะที่นายพิธา กล่าวเสริมว่า “ผมก็ยังไม่ได้หายไปไหน เพราะคนที่ยังอยู่เขาก็ยังเป็นคนที่สนับสนุนผมตอนผมเป็นผู้นำ ตอนนี้ผมก็ยังจะสนับสนุนพวกเขาตามที่กฎหมายอนุญาต”

‘อรรถวิชช์’ ชี้!! ‘ก้าวไกล’ แก้ ม.112 โดยย้ายออกจากหมวดความมั่นคงฯ เสมือนเป็นการนิรโทษกรรมคดีทั้งหมด-เปิดช่องให้คนหมิ่นสถาบันได้เสรี

(8 ส.ค. 67) นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี อดีต สส.กรุงเทพฯ โพสต์วิดีโอที่ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ เจาะข่าวเด็ด MONO 29 เมื่อวันที่ 7 ส.ค.67 ลงในบัญชีติ๊กต็อก @atavit ถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญพิพากษายุบพรรคก้าวไกล มีพฤติการณ์กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบ ผิดมาตรา 112 ระบุว่า…

“กรณีผมก้าวไกล ผมคิดว่าในขณะนั้นมีคนเตือนหลายท่านแล้วว่าการแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 หากจะลดโทษก็ไปแก้ไขเรื่องบทลงโทษ ให้อยู่มาตราไหนก็อยู่มาตรานั้น แต่ลักษณะการแก้ของก้าวไกลเป็นการแก้แบบยกเลิก ย้ายหมวดจากหมวดความมั่นคงแห่งรัฐ ออกมาเป็นหมวดเหมือนหมิ่นประมาททั่วไป…

“ทำให้มาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญาก็สิ้นสลายหายไป คนที่ชุมนุมอยู่ก็ชุมนุมต่อ ที่เคยพูดได้ หมิ่นได้ก็หมิ่นได้ต่อ ไม่ผิด มาตรา 112 อีกต่อไปแล้ว ส่วนที่ติดอยู่ในคุกก็ต้องออกมายุติการดําเนินคดี ก็จะเป็นการนิรโทษกรรมคดีทั้งหมดที่ดําเนินอยู่”

นายอรรถวิชช์ กล่าวต่อว่า หากแก้ปกติจะไม่เป็นอะไร เช่น บทลงโทษ 3-15 ปี ทางก้าวไกลบอกจะแก้ให้เหลือ 1 ปี ก็ถือเป็นสิทธิ์ของพรรคการเมือง หรือหากจะพูดคุยในสภาก็พูดได้ ฉะนั้นศาลรัฐธรรมนูญจึงออกมาเบรกว่า “แก้ได้ในสภานะ แต่เอามาหาเสียงทําแคมเปญไม่ได้” การกระทำของก้าวไกลไม่ใช่การแก้ไข แต่เป็นการยกเลิก แล้วไปกําหนดโทษให้เบาลงในมาตราอื่น

ตั้งแต่เลือกตั้งก้าวไกลได้ 151 สส. และเขาขับสส. 3 คนพ้นพรรคออกไป 2 คนแรกผิดมาตรฐานจริยธรรมของพรรค ส่วนอีกท่านหนึ่งที่ต้องขับออกก็คือ ‘หมออ๋อง’ รองประธานสภา เพราะถ้าไม่ขับออก หมออ๋องเป็นรองประธานสภาไม่ได้ เพราะประธานสภาต้องมาจากพรรครัฐบาลเท่านั้น ก็เหลืออยู่ 148 ถ้าวันนี้ศาลตัดสินว่ายุบก้าวไกล สส. ก็จะหายไปอีก 5 คน จะเหลือ 143 ถ้าเกิดกรรมการบริหารพรรคโดนยุบวันนี้ (7 ส.ค.) ต้องไปดูคําพิพากษาไส้ในอีกว่ามันจะมีผลกระทบระลอก 2 หรือเปล่า เพราะตอนที่ก้าวไกลเขาเสนอยกเลิกกฎหมายมาตรา 112 ในขณะนั้น มี สส.ปัจจุบันในสภาที่สังกัดพรรคก้าวไกลอีก 30 คน ถ้าหากมีใครไปร้อง ปปช. ต่อเนื่อง และมีการนําสืบต่อ สส. 30 คนของก้าวไกลก็อาจจะต้องถูกหยุดปฏิบัติหน้าที่ไปอีก ก็จะเหลืออยู่ 113 แต่คงไม่เร็ว ๆ นี้ 

นายอรรถวิชช์ เสริมต่อว่า เป็นบทเรียนสําคัญของการเมืองและก็เป็นบทเรียนสําคัญสำหรับก้าวไกล และผมก็เชื่อว่า สส. ต้องใช้เวลาภายใน 60 วันไปหาพรรคใหม่ ถ้าเขาย้ายทั้งแพ็กไปอยู่พรรคใหม่ โอกาสของพรรคและอนาคตทางการเมืองก็ยังมี และไม่แน่ อาจจะดีกว่าเดิมด้วยซ้ำไป และจะเป็นการเรียนรู้หนึ่งเรื่องว่า ‘อะไรควร’ หรือ ‘อะไรไม่ควร’

‘แอ๊ด คาราบาว’ เสียใจต่อ ‘ก้าวไกล’ ในความไม่เป็นธรรม พร้อมหวังให้สู้ต่อ ย้ำ!! อย่าท้อ ขอให้อดทนถึงวันฟ้าดินเห็นใจ

(7 ส.ค. 67) ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเอกฉันท์ยุบ พรรคก้าวไกล และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคชุด 1 และชุด 2 รวม 11 คน มีกำหนด 10 ปี นับแต่ศาลมีคำสั่งยุบพรรค ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุด ‘แอ๊ด คาราบาว’ หรือยืนยง โอภากุล โพสต์เฟซบุ๊ก ‘Add Bao’ โดยระบุว่า “ขอแสดงความเสียใจต่อพรรคก้าวไกลในความไม่เป็นธรรมของบ้านเมืองเราในยุคนี้ครับ หวังว่าพวกคุณจะยังคงมุ่งมั่นสู้ต่อไปในอุดมส์การณ์ที่พวกคุณเชื่อมั่น ผมจะเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้พวกคุณ ‘คนรุ่นใหม่ผู้เป็นความหวังในระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง’ อย่าท้อขอให้ทนอดทน อดทนถึงวันฟ้าดินเห็นใจ…”

‘ชัชชาติ’ โพสต์ให้กำลังใจ ‘ก้าวไกล’ หลังถูกยุบ ผ่านบทเพลง ‘ฤดูที่แตกต่าง’ ของบอยโกสิยพงษ์

เมื่อวานนี้ (7 ส.ค.67) จากกรณีศาลรัฐธรรมนูญมีมติสั่งยุบพรรคก้าวไกล และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคชุดที่มีการกระทำผิด ให้ไม่สามารถไปจดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่หรือเป็นกรรมการบริหารพรรค มีส่วนร่วมในการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่ภายในกำหนดเป็นเวลา 10 ปี

ล่าสุดเมื่อวันที่ 7 ส.ค.67 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โพสต์ข้อความลงในเพจ ‘ชัชชาติ สิทธิพันธุ์’ โดยระบุว่า…

”อดทนเวลาที่ฝนพรำ อย่างน้อยก็ทำให้เราได้เห็นถึงความแตกต่าง

เมื่อวันเวลาที่ฝนจาง ฟ้าก็คงสว่างและทำให้เราได้เข้าใจ ว่ามันคุ้มค่าแค่ไหนที่เฝ้ารอ”

เป็นกำลังใจให้กับ คุณพิธา คุณชัยธวัช คุณวิโรจน์ และ พรรคก้าวไกลทุก ๆ ท่านครับ

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่าข้อความที่ นายชัชชาติ ยกมานั้น คือ เพลง ‘ฤดูที่แตกต่าง’ โดย บอย โกสิยพงษ์ นักแต่งเพลงชื่อดัง

ด้าน นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ได้เข้ามาคอมเมนต์ ตอบกลับข้อความดังกล่าว ด้วยว่า “ขอบคุณอาจารย์มาก ๆ นะครับ ^^ จะฝนตก หรือฝนจาง ผมก็พร้อมยืนเด่นท่ามกลางแสงแดด และสายฝนเสมอครับ”

'ปวิน' ลั่น!! ศาล รธน.เป็นเครื่องมือของสถาบันฯ เอาไว้ใช้กำจัดศัตรูทางการเมืองครั้งแล้วครั้งเล่า

(8 ส.ค. 67) นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการประจำสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต และผู้ต้องหาคดี 112 ซึ่งขอลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

หลังจากเดินทางไปสหรัฐอเมริกาและแคนาดากว่า 2 อาทิตย์ บวกกับอาการเบื่อการเมืองไทย เลยไม่อยากพูดหรือเชียนอะไรในช่วงที่ผ่านมา แต่วันนี้ขอเขียนนิดนึงเรื่องการยุบพรรคก้าวไกล 

...คุณไม่จำเป็นต้องเป็นติ่งส้มที่ต้องมีความโกรธในวันนี้ เพียงแต่ถ้าคุณเป็นคนที่มีใจเป็นธรรม คุณจะรู้ว่า สิ่งที่ก้าวไกลโดน มันเป็นความอยุติธรรมและเป็นความถดถอยของระบอบประชาธิปไตย

...ศาลรัฐธรรมนูญ คือเครื่องมือของสถาบันกษัตริย์ที่ใช้กำจัดศัตรูทางการเมืองครั้งแล้วครั้งเล่า ความน่ากลัวที่ดิชั้นพูดไปในหลายโอกาสก็คือ ในประเทศหนึ่ง ๆ การล่มสลายของสถาบันใดๆ อาจยังทำให้ประเทศไปต่อได้ เราอาจไม่จำเป็นต้องมีสถาบันกองทัพ (ญี่ปุ่น) เราอาจไม่จำเป็นต้องมีสถาบันกษัตริย์ (ฝรั่งเศส) แต่ถ้าสถาบันยุติธรรมล่มสลาย นั่นคือการล่มสลายของชาติ เราจะอยู่อย่างไรถ้าประเทศไร้ซึ่งความยุติธรรม

...ดิชั้นไม่อยากให้ผู้สนับสนุนก้าวไกลยอมรับความพ่ายแพ้นี้ โดยการพูดว่า ยุบแล้วไง ยักไหล่แล้วไปต่อ ไม่ค่ะ คุณพูดแบบนั้นไม่ได้ เพราะเท่ากับคุณยอมรับความชอบธรรมและความเป็นปกติ (normalisation) ของกระบวนการพิกลพิการนี้ เราต้องลุกสู้กับความอยุติธรรมนี้ เราต้องส่งเสียง เท่าที่เราสามารถทำได้ การรอให้มีการตั้งพรรคใหม่ เลือกตั้งครั้งหน้าแล้วหวังจะกลับมาชนะพวกมัน แม้จะเป็นความพยายามที่มีเกียรติและน่าชื่นชม แต่ไม่มีอะไรการันตีว่า การชนะจากหีบเลือกตั้งจะนำไปสู่ชัยชนะของพรรคที่จะเกิดขึ้นใหม่ในที่สุด

....การต่อสู้วันนี้จึงไม่ใช่แค่การดึงเอาระบบยุติธรรมกลับมาสู่สภาพปกติ แต่เราต้องสู้เพื่อให้พื้่นที่ของการพูดถึงมาตรา 112 ต้องมีอยู่ เราไม่สามารถอยู่โดยไม่เห็นว่ามีช้างอยู่ในห้องอีกต่อไป

‘อียู’ ออกแถลงการณ์ แซะ 'ศาล รธน.' ยุบก้าวไกล ทำให้ไทยถอยหลังจากความหลากหลายทางการเมือง

เมื่อวานนี้ (7 ส.ค. 67) คณะผู้แทนสหภาพยุโรป (EEAS) ออกแถลงการณ์ Thailand: Statement by the Spokesperson on the dissolution of the main opposition party เนื้อหาระบุว่า การตัดสินใจของศาลรัฐธรรมนูญของประเทศไทยในการยุบพรรคการเมืองใหญ่พรรคหนึ่ง คือ พรรคก้าวไกล ถือเป็นการถอยหลังของความหลากหลายทางการเมืองของประเทศไทย ซึ่งพรรคก้าวไกลเป็นพรรคการเมืองที่นำหน้าในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนพฤษภาคม 2566 โดยมีคะแนนเสียงมากกว่า 14 ล้านเสียง (จากทั้งหมด 39 ล้านเสียง)

ระบอบประชาธิปไตยไม่สามารถทำงานได้หากขาดพรรคการเมืองและผู้สมัครจำนวนมาก การจำกัดการใช้เสรีภาพในการรวมตัวและการแสดงออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านกิจกรรมและการจัดตั้งพรรคการเมือง จะต้องสอดคล้องกับบทบัญญัติและหลักการที่เกี่ยวข้องของตราสารระหว่างประเทศ รวมถึงอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองระหว่างประเทศ

สิ่งสำคัญคือทางการต้องแน่ใจว่าสมาชิกรัฐสภาที่ได้รับการเลือกตั้งโดยชอบธรรมทุกคนสามารถปฏิบัติหน้าที่ในรัฐสภาต่อไปได้ โดยไม่คำนึงถึงพรรคการเมืองที่พวกเขาได้รับเลือก

สหภาพยุโรป (EU) พร้อมที่จะขยายการมีส่วนร่วมกับประเทศไทยภายใต้ความตกลงความเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือที่ลงนามเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2565 รวมถึงในประเด็นของความหลากหลายทางประชาธิปไตย เสรีภาพขั้นพื้นฐาน และสิทธิมนุษยชน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top