Friday, 13 June 2025
POLITICS NEWS

‘บิ๊กป้อม’ เซ็นมอบ ‘วัน อยู่บำรุง’ คุม ‘พลังประชารัฐ กทม.’ ดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ตามอุดมการณ์-นโยบายพรรคฯ

(28 ส.ค. 67) มีรายงานข่าวจากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) แจ้งว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้ลงนามในคำสั่งพรรค พปชร.ที่ 7/2567 เรื่อง มอบหมายผู้รับผิดชอบพื้นที่กรุงเทพมหานคร มีเนื้อหาว่า เพื่อให้การบริหารงานของพรรคพลังประชารัฐเป็นไปด้วยความเรียบร้อย บรรลุตามอุดมการณ์ วัตถุประสงค์และนโยบายของพรรค

อาศัยอำนาจตามข้อบังคับพรรคพลังประชารัฐ พ.ศ. 2561 และแก้ไขเพิ่มเติม ข้อ 17 (1) (จ) จึงขอมอบหมายให้นายวัน อยู่บำรุง เป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินงานและการประสานงาน งานกิจกรรมทางการเมืองของพรรคในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

‘เอกนัฏ’ แจง ไปให้การศาลและเจ้าพนักงานเป็นประจำ ยัน!! ไม่เคยพูด “คำพูดของทักษิณ ไม่เข้ามาตรา 112”

(27 ส.ค. 67) รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Harirak Sutabutr' ระบุข้อความว่า...

คุณวัชระ เพชรทอง ออกมาให้ข่าวว่า คุณเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ มีชื่อเป็นพยานให้คุณทักษิณ ในคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่อัยการสั่งฟ้องไปแล้ว จากนั้นสำนักข่าวต่าง ๆ ต่างก็รายงานข่าวกันอย่างกว้างขวาง 

ฟังรายงานข่าวแล้วค่อนข้างสับสน บางสำนักรายงานว่า การไปเป็นพยานแต่ละฝ่ายคือ โจทก์และจำเลย จะต้องระบุรายชื่อพยานทางฝ่ายตัวเองยื่นต่อศาล แสดงว่าคุณทักษิณเสนอชื่อคุณเอกนัฏเป็นพยานฝ่ายจำเลย จึงมีคำถามว่า เหตุใดคุณทักษิณจึงเลือกคนที่เป็นศัตรูไปเป็นพยาน หรือเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับการที่พรรครวมไทยสร้างชาติเสนอชื่อคุณเอกนัฏเป็นรัฐมนตรี ทำให้คนที่ไม่ได้ตามข่าวอย่างละเอียดเข้าใจไปต่าง ๆ นานา จนกระทั่งคุณอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ออกมาให้ข่าวแทนคุณเอกนัฏว่า ที่คุณเอกนัฏไปเป็นพยานนั้น เป็นการให้ปากคำในชั้นการสอบสวนของตำรวจ ตำรวจมีหมายเรียกให้ไปให้ปากคำ ซึ่งเสร็จสิ้นไปแล้วตั้งแต่ต้นปี จึงไม่เกี่ยวกับตำแหน่งรัฐมนตรีแต่อย่างใด 

หลังจากนั้นก็มีการตอบโต้คำอธิบายของคุณอรรถวิชช์จากฝ่ายต่าง ๆ ว่า ตำรวจจะไม่เรียกตัวไปให้ปากคำเองโดยไม่มีการระบุชื่อจากโจทก์หรือจำเลย ดังนั้นคุณทักษิณจะต้องระบุชื่อให้คุณเอกนัฏเป็นพยานฝ่ายจำเลยอย่างแน่นอน การที่คุณอรรถวิชช์ให้ข่าวเช่นนั้น จึงน่าจะไม่ใช่ความจริง

ในฐานะที่ผมเคยมีประสบการณ์ให้ปากคำกับตำรวจในคดีความผิดตามมาตรา 112 มาครั้งหนึ่ง จึงขอให้ข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงดังนี้...

1. เมื่อมีผู้ไปร้องต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจว่ามีผู้ที่กระทำสิ่งที่เข้าข่ายเป็นความผิดตามมาตรา 112 เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เป็นพนักงานสอบสวน จะทำการรวบรวมพยานหลักฐาน และถามความเห็นจากบุคคลต่าง ๆ ซึ่งอาจใช้เวลานานเป็นปี จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจมีความมั่นใจในพยานหลักฐานแล้วก็จะส่งต่อไปที่สำนักงานอัยการสูงสุด หากเห็นว่าไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอ ก็อาจไม่ส่งไปยังอัยการ และคดีก็จะจบลงในชั้นตำรวจ

2. ในชั้นการสืบสวนของตำรวจ ยังไม่มีโจทก์หรือจำเลย มีแต่ผู้ถูกกล่าวหา จึงยังไม่มีการเสนอรายชื่อพยานในชั้นนี้ไม่ว่าฝ่ายใด 

3. กรณีคุณทักษิณ เรื่องผ่านการรวบรวมพยานหลักฐานของตำรวจไปถึงอัยการ และอัยการสูงสุดสั่งฟ้องไปแล้ว เรื่องในขณะนี้อยู่ที่ศาล และมีการนัดตรวจสอบพยานหลักฐานไปแล้ว แต่ยังไม่ได้มีการสืบพยานแต่อย่างใด จะมีการสืบพยานครั้งแรกในเดือนกรกฎาคมปีหน้า

การที่คุณอรรถวิชช์ให้ข่าวว่าคุณเอกนัฏได้ไปให้การกับตำรวจไปตั้งแต่ต้นปีแล้ว น่าจะคลาดเคลื่อนเพราะจากที่เป็นข่าว คดีนี้ผ่านจากตำรวจไปถึงสำนักงานอัยการสูงสุดหลายปีแล้ว แต่ที่ยังไม่สั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องเป็นเพราะตัวคุณทักษิณอยู่ต่างประเทศ ไม่สามารถมาฟังคำสั่งของอัยการได้ แต่ก็อาจเป็นไปได้ว่า ตำรวจ ได้เชิญคุณเอกนัฏไปให้ความเห็นในคดีคุณทักษิณหลายปีมาแล้ว ซึ่งคุณเอกนัฏเท่านั้นที่สามารถบอกได้ 

ผมเองเคยได้รับการติดต่อจากตำรวจซึ่งเป็นรองผู้กำกับจากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อไปให้ความเห็นเกี่ยวกับผู้ถูกร้องว่ากระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งไม่ใช่เป็นหมายเรียก และเราสามารถปฏิเสธไม่ไปก็ได้ แต่ผมก็ไป เมื่อไปถึงท่านรองผู้กำกับก็นำโพสต์ของบุคคลหนึ่งใน Social Media ซึ่งมีคำว่า 'เจ้านาย' ว่าอ่านแล้วคิดอย่างไร ซึ่งเราก็ต้องอ่านข้อความทั้งหมดเสียก่อน จึงจะให้ความเห็นได้ เพราะคำว่า 'เจ้านาย' จะหมายถึงใครย่อมขึ้นอยู่ว่าอยู่ในบริบทไหน ความเห็นเราจึงอาจเป็นคุณหรือเป็นโทษต่อผู้ถูกร้องก็ได้ ซึ่งก็น่าจะคล้าย ๆ กับคดีคุณทักษิณที่มีคำว่า 'Palace Circle' ที่จะต้องตีความว่า หมายถึงใครบ้าง 

ดังนั้นหากคุณเอกนัฏไปให้ความเห็นต่อตำรวจในลักษณะที่ผมเคยไป ก็แสดงว่าคุณเอกนัฏไม่ได้เป็นพยานให้แก่คุณทักษิณแต่อย่างใด เพียงไปให้ความเห็นต่อตำรวจที่เป็นพนักงานสอบสวนในคดีคุณทักษิณเท่านั้น 

อย่างไรก็ดี คุณเอกนัฏควรต้องออกมาแถลงด้วยตัวเองว่า ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ก่อนที่จะมีการวิพากษ์วิจารณ์กันจนเลอะเทอะ และทำให้เสียชื่อเสียงไปโดยใช่เหตุ 

หวังว่าที่ยังเงียบอยู่คงไม่ใช่เป็นเพราะคุณเอกนัฏมีชื่อเป็นพยานให้จำเลยคือ คุณทักษิณในชั้นศาลจริง ๆ ไม่ใช่เป็นแต่เพียงเป็นการให้ความเห็นในชั้นตำรวจอย่างที่คุณอรรถวิชช์ให้ข่าว หากเป็นเช่นนั้นจริงก็เป็นเรื่องน่าเสียดายมาก

ทั้งนี้ ด้านนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ออกมาโพสต์คอมเมนต์ข้อความขอบคุณ รศ.หริรักษ์ ที่ช่วยขยายความ พร้อมทั้งให้ข้อมูลเพิ่มเติมดังนี้ว่า...

"ตำรวจออกหมายเรียกโดยอ้างว่าอัยการสูงสุดมีคำสั่งให้ไปสอบเพิ่มเมื่อต้นปีจริงครับ ช่วงเดือนมีนาคม ผมไม่เคยเจรจา ซักซ้อมใด ๆ ครับ ในหมายเรียกไม่ได้ระบุว่าเหตุการณ์ช่วงไหน ระบุแต่ผู้ถูกกล่าวหา ข้อหา แต่ไม่ได้บรรยายพฤติกรรมครับ ซึ่งไม่นานมานี้ ผมเคยถูกเชิญโดยตำรวจไปให้ข้อมูลเกี่ยวกับกรณีอื่น เราก็ไปตามหนังสือ ส่วนว่าจะต้องไปเป็นพยานในชั้นศาลหรือไม่นั้น ถึงวันนี้ ไม่ทราบเลยครับ ทราบแต่ว่าอัยการได้ส่งฟ้องไปแล้วครับ"

ขณะที่ด้าน ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ได้ตอบคอมเมนต์ นายเอกนัฏ ด้วยว่า "ควรชี้แจงตั้งแต่ตอนโดนกล่าวหาแล้วนะครับ"

ขณะที่ รศ.หริรักษ์ ได้ตอบกลับคอมเมนต์ของ นายเอกนัฏ ด้วยว่า "เข้าใจแล้วครับ โล่งอกที่คุณเอกนัฏไม่ได้เป็นพยานให้จำเลย และไปให้ข้อมูลต่อตำรวจ เมื่ออัยการมีคำสั่งให้สอบเพิ่มเติม ขอบคุณที่ชี้แจงครับ"

ทั้งนี้ มีชาวเน็ตท่านหนึ่งเข้ามาถามคอมเมนต์ของนายเอกนัฏ ด้วยว่า "เรื่องตำรวจออกหมายเรียกหรือจะไปเองก็เรื่องนึง แต่สังคมอยากรู้ว่าคุณเอกนัฏพูดประโยคนี้ "…(การ)บอกว่าคำพูดของทักษิณไม่เข้ามาตรา 112 นั้น" ตามที่ วัชระ เพชรทอง กล่าวหา ว่าเป็นความจริงหรือป่าวก็แค่นั้นเอง"

ด้าน นายเอกนัฏ ตอบกลับทันทีว่า "ไม่เคยพูดประโยคนี้ครับ" ซึ่งชาวเน็ตก็มองว่า "หากมีการนำคำอ้างแบบนี้มาใช้ ก็สมควรดำเนินการฟ้องผู้กล่าวอ้างคืนเสียบ้าง"

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ในมุมมองของชาวเน็ตส่วนใหญ่ ยังเห็นไปในทางเดียวกันอีกด้วยว่า "นี่คือสิ่งที่น่าเป็นห่วงของพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ชอบทำอะไรเงียบๆ ไม่ค่อยออกมาตอบเรื่องใด ๆ ในทันที อย่างเรื่องดี ๆ ที่ทำไป ก็มักจะหายเข้ากลีบเมฆ แต่ถ้าเป็นเรื่องปมดรามาหรือประเด็นทางสังคม ก็มักจะปล่อยให้ถูกนำมาโจมตีและแพร่กระจายในโซเชียลโดยไม่มีการชี้แจงทันที... พรรค รทสช.ควรทำงานด้านการสื่อสารเพิ่มบ้าง"

'รศ.หริรักษ์' วิเคราะห์ปม 'เอกนัฏ' เชื่อ!! ไม่ได้เป็นพยานให้แก่คุณทักษิณแต่อย่างใด ด้านโซเชียล ติง!! 'เอกนัฏ' อย่าเป็น 'ผู้บริสุทธิ์' ที่สุดท้ายต้องถูกวิจารณ์กันเลอะเทอะ

(27 ส.ค.67) รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Harirak Sutabutr' ระบุข้อความว่า...

คุณวัชระ เพชรทอง ออกมาให้ข่าวว่า คุณเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ มีชื่อเป็นพยานให้คุณทักษิณ ในคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่อัยการสั่งฟ้องไปแล้ว จากนั้นสำนักข่าวต่าง ๆ ต่างก็รายงานข่าวกันอย่างกว้างขวาง 

ฟังรายงานข่าวแล้วค่อนข้างสับสน บางสำนักรายงานว่า การไปเป็นพยานแต่ละฝ่ายคือ โจทก์และจำเลย จะต้องระบุรายชื่อพยานทางฝ่ายตัวเองยื่นต่อศาล แสดงว่าคุณทักษิณเสนอชื่อคุณเอกนัฏเป็นพยานฝ่ายจำเลย จึงมีคำถามว่า เหตุใดคุณทักษิณจึงเลือกคนที่เป็นศัตรูไปเป็นพยาน หรือเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับการที่พรรครวมไทยสร้างชาติเสนอชื่อคุณเอกนัฏเป็นรัฐมนตรี ทำให้คนที่ไม่ได้ตามข่าวอย่างละเอียดเข้าใจไปต่าง ๆ นานา จนกระทั่งคุณอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ออกมาให้ข่าวแทนคุณเอกนัฏว่า ที่คุณเอกนัฏไปเป็นพยานนั้น เป็นการให้ปากคำในชั้นการสอบสวนของตำรวจ ตำรวจมีหมายเรียกให้ไปให้ปากคำ ซึ่งเสร็จสิ้นไปแล้วตั้งแต่ต้นปี จึงไม่เกี่ยวกับตำแหน่งรัฐมนตรีแต่อย่างใด 

หลังจากนั้นก็มีการตอบโต้คำอธิบายของคุณอรรถวิชช์จากฝ่ายต่าง ๆ ว่า ตำรวจจะไม่เรียกตัวไปให้ปากคำเองโดยไม่มีการระบุชื่อจากโจทก์หรือจำเลย ดังนั้นคุณทักษิณจะต้องระบุชื่อให้คุณเอกนัฏเป็นพยานฝ่ายจำเลยอย่างแน่นอน การที่คุณอรรถวิชช์ให้ข่าวเช่นนั้น จึงน่าจะไม่ใช่ความจริง

ในฐานะที่ผมเคยมีประสบการณ์ให้ปากคำกับตำรวจในคดีความผิดตามมาตรา 112 มาครั้งหนึ่ง จึงขอให้ข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงดังนี้...

1. เมื่อมีผู้ไปร้องต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจว่ามีผู้ที่กระทำสิ่งที่เข้าข่ายเป็นความผิดตามมาตรา 112 เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เป็นพนักงานสอบสวน จะทำการรวบรวมพยานหลักฐาน และถามความเห็นจากบุคคลต่าง ๆ ซึ่งอาจใช้เวลานานเป็นปี จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจมีความมั่นใจในพยานหลักฐานแล้วก็จะส่งต่อไปที่สำนักงานอัยการสูงสุด หากเห็นว่าไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอ ก็อาจไม่ส่งไปยังอัยการ และคดีก็จะจบลงในชั้นตำรวจ

2. ในชั้นการสืบสวนของตำรวจ ยังไม่มีโจทก์หรือจำเลย มีแต่ผู้ถูกกล่าวหา จึงยังไม่มีการเสนอรายชื่อพยานในชั้นนี้ไม่ว่าฝ่ายใด 

3. กรณีคุณทักษิณ เรื่องผ่านการรวบรวมพยานหลักฐานของตำรวจไปถึงอัยการ และอัยการสูงสุดสั่งฟ้องไปแล้ว เรื่องในขณะนี้อยู่ที่ศาล และมีการนัดตรวจสอบพยานหลักฐานไปแล้ว แต่ยังไม่ได้มีการสืบพยานแต่อย่างใด จะมีการสืบพยานครั้งแรกในเดือนกรกฎาคมปีหน้า

การที่คุณอรรถวิชช์ให้ข่าวว่าคุณเอกนัฏได้ไปให้การกับตำรวจไปตั้งแต่ต้นปีแล้ว น่าจะคลาดเคลื่อนเพราะจากที่เป็นข่าว คดีนี้ผ่านจากตำรวจไปถึงสำนักงานอัยการสูงสุดหลายปีแล้ว แต่ที่ยังไม่สั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องเป็นเพราะตัวคุณทักษิณอยู่ต่างประเทศ ไม่สามารถมาฟังคำสั่งของอัยการได้ แต่ก็อาจเป็นไปได้ว่า ตำรวจ ได้เชิญคุณเอกนัฏไปให้ความเห็นในคดีคุณทักษิณหลายปีมาแล้ว ซึ่งคุณเอกนัฏเท่านั้นที่สามารถบอกได้ 

ผมเองเคยได้รับการติดต่อจากตำรวจซึ่งเป็นรองผู้กำกับจากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อไปให้ความเห็นเกี่ยวกับผู้ถูกร้องว่ากระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งไม่ใช่เป็นหมายเรียก และเราสามารถปฏิเสธไม่ไปก็ได้ แต่ผมก็ไป เมื่อไปถึงท่านรองผู้กำกับก็นำโพสต์ของบุคคลหนึ่งใน Social Media ซึ่งมีคำว่า 'เจ้านาย' ว่าอ่านแล้วคิดอย่างไร ซึ่งเราก็ต้องอ่านข้อความทั้งหมดเสียก่อน จึงจะให้ความเห็นได้ เพราะคำว่า 'เจ้านาย' จะหมายถึงใครย่อมขึ้นอยู่ว่าอยู่ในบริบทไหน ความเห็นเราจึงอาจเป็นคุณหรือเป็นโทษต่อผู้ถูกร้องก็ได้ ซึ่งก็น่าจะคล้าย ๆ กับคดีคุณทักษิณที่มีคำว่า 'Palace Circle' ที่จะต้องตีความว่า หมายถึงใครบ้าง 

ดังนั้นหากคุณเอกนัฏไปให้ความเห็นต่อตำรวจในลักษณะที่ผมเคยไป ก็แสดงว่าคุณเอกนัฏไม่ได้เป็นพยานให้แก่คุณทักษิณแต่อย่างใด เพียงไปให้ความเห็นต่อตำรวจที่เป็นพนักงานสอบสวนในคดีคุณทักษิณเท่านั้น 

อย่างไรก็ดี คุณเอกนัฏควรต้องออกมาแถลงด้วยตัวเองว่า ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ก่อนที่จะมีการวิพากษ์วิจารณ์กันจนเลอะเทอะ และทำให้เสียชื่อเสียงไปโดยใช่เหตุ 

หวังว่าที่ยังเงียบอยู่คงไม่ใช่เป็นเพราะคุณเอกนัฏมีชื่อเป็นพยานให้จำเลยคือ คุณทักษิณในชั้นศาลจริง ๆ ไม่ใช่เป็นแต่เพียงเป็นการให้ความเห็นในชั้นตำรวจอย่างที่คุณอรรถวิชช์ให้ข่าว หากเป็นเช่นนั้นจริงก็เป็นเรื่องน่าเสียดายมาก

ทั้งนี้ ด้านนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ออกมาโพสต์คอมเมนต์ข้อความขอบคุณ รศ.หริรักษ์ ที่ช่วยขยายความ พร้อมทั้งให้ข้อมูลเพิ่มเติมดังนี้ว่า...

"ตำรวจออกหมายเรียกโดยอ้างว่าอัยการสูงสุดมีคำสั่งให้ไปสอบเพิ่มเมื่อต้นปีจริงครับ ช่วงเดือนมีนาคม ผมไม่เคยเจรจา ซักซ้อมใด ๆ ครับ ในหมายเรียกไม่ได้ระบุว่าเหตุการณ์ช่วงไหน ระบุแต่ผู้ถูกกล่าวหา ข้อหา แต่ไม่ได้บรรยายพฤติกรรมครับ ซึ่งไม่นานมานี้ ผมเคยถูกเชิญโดยตำรวจไปให้ข้อมูลเกี่ยวกับกรณีอื่น เราก็ไปตามหนังสือ ส่วนว่าจะต้องไปเป็นพยานในชั้นศาลหรือไม่นั้น ถึงวันนี้ ไม่ทราบเลยครับ ทราบแต่ว่าอัยการได้ส่งฟ้องไปแล้วครับ"

ขณะที่ด้าน ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ได้ตอบคอมเมนต์ นายเอกนัฏ ด้วยว่า "ควรชี้แจงตั้งแต่ตอนโดนกล่าวหาแล้วนะครับ"

ขณะที่ รศ.หริรักษ์ ได้ตอบกลับคอมเมนต์ของ นายเอกนัฏ ด้วยว่า "เข้าใจแล้วครับ โล่งอกที่คุณเอกนัฏไม่ได้เป็นพยานให้จำเลย และไปให้ข้อมูลต่อตำรวจ เมื่ออัยการมีคำสั่งให้สอบเพิ่มเติม ขอบคุณที่ชี้แจงครับ"

ทั้งนี้ มีชาวเน็ตท่านหนึ่งเข้ามาถามคอมเมนต์ของนายเอกนัฏ ด้วยว่า "เรื่องตำรวจออกหมายเรียกหรือจะไปเองก็เรื่องนึง แต่สังคมอยากรู้ว่าคุณเอกนัฏพูดประโยคนี้ "…(การ)บอกว่าคำพูดของทักษิณไม่เข้ามาตรา 112 นั้น" ตามที่ วัชระ เพชรทอง กล่าวหา ว่าเป็นความจริงหรือป่าวก็แค่นั้นเอง"

ด้าน นายเอกนัฏ ตอบกลับทันทีว่า "ไม่เคยพูดประโยคนี้ครับ" ซึ่งชาวเน็ตก็มองว่า "หากมีการนำคำอ้างแบบนี้มาใช้ ก็สมควรดำเนินการฟ้องผู้กล่าวอ้างคืนเสียบ้าง"

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ในมุมมองของชาวเน็ตส่วนใหญ่ ยังเห็นไปในทางเดียวกันอีกด้วยว่า "นี่คือสิ่งที่น่าเป็นห่วงของพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ชอบทำอะไรเงียบๆ ไม่ค่อยออกมาตอบเรื่องใด ๆ ในทันที อย่างเรื่องดี ๆ ที่ทำไป ก็มักจะหายเข้ากลีบเมฆ แต่ถ้าเป็นเรื่องปมดรามาหรือประเด็นทางสังคม ก็มักจะปล่อยให้ถูกนำมาโจมตีและแพร่กระจายในโซเชียลโดยไม่มีการชี้แจงทันที... พรรค รทสช.ควรทำงานด้านการสื่อสารเพิ่มบ้าง"

'อ.ไชยันต์' แชร์!! การยุบพรรคในฝรั่งเศส โดนมาแล้วเกือบ 100 พรรค จาก 'รัฐบาล-ศาล' ถาม!! อยากให้ไทย เปลี่ยนจากศาล รธน.มาเป็นรัฐบาลสั่งยุบพรรคได้แบบฝรั่งเศสไหม?

(27 ส.ค. 67) ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊ก Chaiyan Chaiyaporn ระบุว่า… “มารู้เรื่องการเมืองฝรั่งเศสกันครับ” / “การยุบพรรคการเมืองในฝรั่งเศส” รายงานตรงจากกรุงปารีส โดย คุณ ‘ณิเชล’

Bonjour de Paris, สวัสดีจากปารีสค่ะ

วันนี้ ณิเชลจะมาแชร์เรื่องการยุบพรรคการเมืองของประเทศฝรั่งเศสโดยย่อให้ค่ะ

พรรคการเมืองและกลุ่มการเมือง ต้องจดเป็นสมาคม (association) ก่อน ตามกฎหมายเกี่ยวกับสมาคม (la loi du 1er juillet 1901)

หากพรรคการเมืองและกลุ่มการเมือง ได้ละเมิด มาตรา 4 ของรัฐธรรมนูญ เกี่ยวกับความเป็นประชาธิปไตยและรัฐอธิปไตย (sovereign state), มาตรา 3 ของกฎหมายเกี่ยวกับสมาคม (la loi du 1er juillet 1901)

ทั้งรัฐบาลและศาล ‘ทริบูนาล จูดิซีแยร์’ (tribunal judiciaire) สามารถยุบพรรคการเมืองและกลุ่มการเมืองได้

รัฐบาลมีอำนาจยุบพรรคการเมืองและกลุ่มการเมือง โดยการออก ‘เดเคร’ (décret = decree) ตาม มาตรา L212-1 ของกฎหมายความมั่นคง หลังจากที่ได้มีมติในการประชุม ‘กงไซย์ เด มินิสตร์’ (Conseil des ministres = council of ministers) ของประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีและรัฐมนตรีความมั่นคง ‘มินิสตร์ ดังเตรีเยอร์’ (ministre d’Intérieur)

พรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมือง ที่เข้าเกณฑ์ถูกยุบ ส่วนมากเป็นพวกหัวรุนแรง ‘เอ็กซเทร็ม’ (extrême ) ทั้งฝ่ายซ้ายและขวา ที่ :

1.สร้าง Discrimination, เหยียด (racist), เกลียดชาวต่างชาติ (Xenophobia)

2.ยุยงให้มีการเกลียดชังหรือสร้างความรุนแรงต่อกลุ่มคน ด้วยเหตุผลเชื้อชาติ, เพศ และ sexual orientation

3.ก่อให้เกิดการชุมนุมประท้วงติดอาวุธ

4.มีลักษณะเป็น ‘มีลิส’ (milice) คือ กองกำลังกึ่งทหารทางการเมือง ตามกฎหมาย 10 มกราคม 1936 (แก้ไขเพิ่มเติมในปี 1972)

5.ต้องการแบ่งแยกดินแดนเพื่อปกครองเอง (independentist, separatist)

6.เข้าข่ายการก่อการร้าย (terrorist)

ตั้งแต่มีการประกาศใช้กฎหมาย ‘มีลิส’ ในปี ค.ศ. 1936 มาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 5 มีกลุ่มการเมืองและพรรคการเมืองถูกยุบ รวมกันเกือบ 100 กลุ่ม/พรรค

ล่าสุด เป็น :

1.พรรคเล็กขวาจัด ชื่อ Civitas ‘ซีวีตัส’ มีแนวทางเน้นศาสนา, ต่อต้านชาวยิว (anti-semistism) และการสมรสเท่าเทียม ถูกยุบในวันที่ 4 ตุลาคม 2023 โดยรัฐบาล

2.กลุ่มการเมืองขวาจัด ใช้ความรุนแรง ชื่อ Les Remparts ‘เล ร็องปาร์’ อยู่ที่เมือง Lyon ‘ลียง’ ทางตอนใต้ มีแนวทางในการต่อต้านผู้อพยพ (immigrant) และเกลียดชาวต่างชาติ (Xenophobia) ถูกยุบในวันที่ 26 มิถุนายน 2024 โดยรัฐบาล

Voilà, à la prochaine (วัวลา อา ลา โพรเช็น) ไว้พบกันครั้งหน้าค่ะ

#ณิเชลการเมืองฝรั่งเศส

ศ.ดร.ไชยันต์ โพสต์ความเห็นเพิ่มเติมว่า คำถามสำหรับผู้ไม่เห็นด้วยกับศาลรัฐธรรมนูญในบ้านเรา คือ ถ้าบ้านเรา เปลี่ยนจากศาลรัฐธรรมนูญมาเป็นให้รัฐบาลมีอำนาจออกกฎหมายยุบพรรค และ ศาลสามารถยุบได้ ตามแบบฝรั่งเศส จะยอมรับและเป็นธรรมมากกว่าไหมครับ?

เบื้องหลังอุดมการณ์ 'บางพรรค' ที่ยังแน่วแน่-ยืนหนึ่งเรื่องแก้ 112 เพราะผลประโยชน์ในฐานะ 'เด็กเช็ดรองเท้าตะวันตก' มันหอมหวน

สำหรับพรรค 'ส้มสามกีบ' เราคงต้องยอมรับกันตามตรงว่า อุดมการณ์ที่ตั้งมั่นในเรื่องการแก้ 112 ให้โทษอ่อนลง หรือการเดินหน้าล้มล้างการปกครองนั้น ต้องยกนิ้วให้ว่าแน่วแน่ มั่นคงมาก ๆ หาได้ยากยิ่งที่จะมีพรรคการเมืองใดในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข กล้าหาญที่จะยืนหนึ่งในเรื่องการกัดเซาะสถาบันเบื้องสูงอย่างแข็งขันเช่นนี้

ขนาดถูก 'ยุบพรรคเดิม' ด้วยข้อหา 'ล้มล้างการปกครอง' ก็ยังประกาศชัดว่าจะนำแนวคิดอันเป็นอุดมการณ์เดิมมาใช้เป็นอาวุธหนัก หวังทะลุทะลวงทิ่มแทงสิ่งที่ตนเองฝังใจเกลียดชังให้มลายหายสูญไปให้ได้ในการ 'ตั้งพรรคใหม่'

อุดมการณ์แรงกล้าขนาดที่ว่า ปากท้องประชาชนไว้ทีหลัง นโยบายหลัก รอง หรือต่อจากนั้น หายใจเข้าออกก็จะมีแต่ทำยังไงก็ได้ที่ประเทศนี้ต้องไม่มีสถาบัน เพราะคือ 'งานหลัก' ที่ถ้าทำสำเร็จ โอกาสหลาย ๆ อย่างในการแอบเป็น 'เด็กเช็ดรองเท้าตะวันตก' ด้วยความซื่อสัตย์ ก็จะเข้ามาหา ทำให้มีอำนาจในการต่อรอง งานนี้เดิมพันจึงสูงลิบ และมาไกลเกินกว่าจะหันหลังกลับไปรักประเทศตัวเองเฉกเช่นคนส่วนใหญ่ของแผ่นดิน 

คนเราถ้าลองเดินหลงผิดไปแล้ว แต่ยังพอจะมี 'คนข้าง ๆ' ที่เฝ้ามองด้วยความปรารถนาดี และจริงใจ คอยบอก คอยห้าม คอยทักท้วงให้หยุดพฤติกรรมเลว ๆ ก็ยังถือว่า 'มีบุญมากกว่าบาป' แต่หากไร้คนคอยชี้แนะ ใครห้ามก็ไม่ฟัง ถือดีแบบโง่ ๆ ตะบี้ตะบันจะล้มล้างสิ่งที่คนมากกว่า 14 ล้านเสียงไม่เล่นด้วย อนาคตก็คงจะจบไม่ต่างจากที่เคย

การเป็นนักการเมืองที่มีจุดยืน มีอุดมการณ์ ไม่ว่อกแว่กเอนไหวไปตามกระแสนอกหลักการของตัวเองนั้นดี ควรค่าแก่การยกย่อง สรรเสริญ แต่ควรยึดถือในด้านที่ส่งเสริมให้คนไทยรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ รักแผ่นดินของตนเอง มิใช่คอยหลอกเด็ก หรือต้มผู้ใหญ่ปัญญาเบาให้ไป 'ชูสามนิ้ว' กัดเซาะ ดูหมิ่น ล้มล้างสถาบันเบื้องสูง จนหลายคนต้องไปหมดอนาคตในคุก 

ตราบที่มีอุดมการณ์ชัดเจนในทางชั่ว ๆ แบบนี้ จบแล้วฟื้นมาตั้งพรรคใหม่อีกกี่ครั้ง เป้าที่หวังก็ยากจะสำเร็จ ด้วยที่นี่คือประเทศไทย ไม่เหมือนประเทศใดในโลก มิเช่นนั้นสถาบันเบื้องสูงจะไม่ยืนยาวถึงวันนี้

'ลุงชวน' ยัน!! ไม่เห็นด้วยผู้บริหารพรรคเข้าร่วมรัฐบาลเพื่อไทย ไม่หวั่น!! แม้จะเหลือเพียงคนเดียวในพรรคฯ ก็จะอยู่ประชาธิปัตย์

เมื่อวานนี้ (26 ส.ค.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตตรัง นายชวน หลีกภัย สส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ และอดีตนายกรัฐมนตรี 2 สมัย เดินทางเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการศึกษามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตตรัง พร้อมเยี่ยมชมห้องประชุมมหาวิทยาลัยฯ และมีการประชุมหารือเตรียมเปิดโรงเรียนนานาชาติ ที่ จ.ตรัง โดยใช้เวลาในการประชุมกว่า 4 ชั่วโมง

หลังจากเสร็จสิ้นการประชุม นายชวน หลีกภัย ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว ถึงกรณีนายชวน ไม่เห็นด้วยกับการที่พรรคประชาธิปัตย์ จะเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย และนายชวน อาจจะถูกขับออกจากพรรคประชาธิปัตย์ได้นั้น

นายชวน กล่าวว่า ตนต้องขอขอบพระคุณพี่น้องชาวตรัง ผมเกิดมาจากพี่น้อง ผมได้เป็นผู้แทนราษฎรมาจากระบบไม่ซื้อเสียงไม่โกงเลือกตั้ง เหมือนนักการเมืองบางกลุ่ม มาด้วยความบริสุทธิ์ตลอดมา และพี่น้องเมตตาผมมาตลอด 50 กว่าปี  เป็น สส.คนเดียวที่อยู่มานานที่สุด 17 สมัย ไม่เคยแพ้ ไม่เคยตก ไม่เคยหยุด และผมก็ยังมั่นคงในขณะที่พรรคฯ จะรุ่งเรือง จะตกต่ำ ผมไม่เคยทิ้ง เหมือนบ้านเก่าที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา ตนเองไม่ไป แต่ก็มีคนในพรรคฯ บางกลุ่มเขาอยากไปร่วม

ขอเรียนพี่น้องว่าคนที่อยากเป็นรัฐบาลไม่ได้ผิดอะไรหรอก แต่ผมเป็นคนรณรงค์กับพี่น้องเองว่า พี่น้องปักษ์ใต้อย่าเลือกพรรคไทยรักไทย อย่าเลือกพรรคเพื่อไทย เพราะเขามีนโยบายเลือกปฏิบัติแกล้งพวกเรา เขาบอกว่าจะพัฒนาเฉพาะจังหวัดที่เลือกเขา จังหวัดอื่นไว้ที่หลัง ไม่เคยมีรัฐบาลชุดไหน ไม่ว่ามาจากชุดยึดอำนาจ หรือชุดประชาธิปไตย ที่ใช้นโยบายแกล้งประชาชน เพราะไม่เลือกแล้วไม่พัฒนา แต่คุณทักษิณ เจ้าของพรรคเขาใช้มาตรการอันนี้ผมบอกว่าอย่าเลือก ปรากฏว่าเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ปักษ์ใต้เขาไม่ได้เลยแม้แต่คนเดียว ขณะที่ภาคอื่น ๆ เขาได้มาท่วมท้น แต่ภาคใต้ไม่ได้คนของพรรคเพื่อไทยเลย

ผมเป็นหนี้บุญคุณมากที่พี่น้องกรุณา เชื่อผมส่วนหนึ่งแล้วไม่เลือกพรรคฯ นี้ ดังนั้น เมื่อมีคนอยากจะไปร่วมรัฐบาลผมบอกว่าการไปร่วมก็ปกติ แต่ผมเคยประกาศไม่ให้เลือก บัดนี้ผมจะมาร่วมรัฐบาลที่ผมบอกว่าไม่ให้เลือก เท่ากับตนเองทรยศต่อประชาชน ผมขออนุญาตที่จะไม่เห็นในการไปร่วม เพราะฉะนั้นพี่น้องอย่างห่วง ผมเป็นเด็กบ้านนอก ผมเป็นคนต่างจังหวัด ที่พูดคำไหนคำนั้น แล้วก็เป็นคนรุ่นเก่า ยึดมั่นความกตัญญูรู้คุณต่อบ้านเมือง ต่อพรรคการเมือง ต่อผู้มีพระคุณ ผมรู้สึกบุญคุณที่พี่น้องทุกท่าน ท่านสนับสนุนมาโดยตลอด 

ในชีวิตการเมืองตั้ง 50 กว่าปี ซึ่งในประเทศไทยถือว่าผมเป็นผู้ที่อยู่นานที่สุดแล้ว ไม่เคยแพ้ ไม่เคยหยุด เพราะฉะนั้นผมก็ยังมั่นคงอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าพรรคฯ จะรุ่งเรืองหรือตกต่ำ แต่การที่คนส่วนหนึ่ง กรรมการชุดปัจจุบันนี้ เขามีความคิดแตกต่างกันไป ก็เป็นเรื่องของคนเหล่านั้น ถ้ายกมือผมก็คงแพ้ แต่ว่าผมก็บอกให้เขารู้ว่าตนเองไม่เห็นด้วย

ผู้สื่อข่าวสอบถามว่า กลัวว่าท่านชวนจะถูกขับออกจากพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ นายชวนยืนยันว่า ผมไม่ไป มีคนอื่นออกไปจากพรรคฯ หลายคน เสียดาย แม้กระทั่งคุณอภิสิทธิ์ฯ ซึ่งท่านเองก็ยังมีความผูกพันอยู่ ยังพบกันอยู่ประจำ ที่ท่านตัดสินใจลาออก เพราะว่าไม่สามารถที่จะเจรจาตกลงกันได้ แต่ผมอยู่ แม้เหลือผมคนเดียวผมก็จะอยู่ ไม่มีปัญหา

ทั้งนี้นายชวนฯ ได้พนมมือไหว้ขอบคุณพี่น้องประชาชนทุกคนด้วยความเคารพ ยืนยันว่ายังทำงานอยู่เหมือนเดิม ยังดูแลปัญหาพี่น้องอยู่ตลอดเวลาไม่ได้หยุด ในสภาฯ ก็ยังอภิปรายในเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อพี่น้อง ห่วงเรื่องราคายางจะตกก็พูดแทนพี่น้องชาวตรังและภาคใต้

‘บิ๊กป้อม’ ห่วงใยผู้ประสบภัยน้ำท่วมจังหวัดแพร่ ส่ง ‘ชัยวุฒิ-พล.ต.ท.ปิยะ’ ลงพื้นที่มอบถุงยังชีพ

(26 ส.ค. 67) พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ มอบหมายให้ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และพลตำรวจโทปิยะ ต๊ะวิชัย ทีมโฆษกพลังประชารัฐ ลงพื้นที่ วัดปากจอก ต.ทุ่งแล้ง อ.ลอง จ.แพร่ เป็นตัวแทนมอบถุงยังชีพให้แก่ประชาชนที่ประสบปัญหาอุทกภัยในเขต พื้นที่อำเภอลอง จังหวัดแพร่ จำนวน 400 ชุด พร้อมทั้งมอบถุงยังชีพจำนวน 600 ชุด ให้กับตัวแทนนายอำเภอเด่นชัย และตัวแทนนายอำเภอวังชิ้น รับมอบถุงยังชีพ

โดย นายชัยวุฒิ กล่าวว่า พลเอกประวิตร เข้าใจถึงความเดือดร้อนของประชาชนที่บางครัวเรือนยังไม่สามารถกลับเข้าบ้านเรือนได้ เนื่องจากบ้านถูกน้ำท่วมและประชาชนหลายคนยังขาดแคลนเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม รวมถึงการใช้ชีวิตประจำวันก็ได้รับผลกระทบอย่างหนัก พลเอกประวิตร จึงห่วงใยพี่น้องประชาชนที่ประสบภัย โดยขอให้กำลังให้ทุกคนให้ผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งพรรคพลังประชารัฐหวังว่ามอบถุงยังชีพที่เรานำมาแจกจ่ายให้กับประชาชนจะสามารถบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้นได้

“พรรคพลังประชารัฐ นำโดยท่านหัวหน้ามีความเป็นห่วงใยความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน ที่กำลังได้รับกับความเดือดร้อน และยากลำบากในครั้งนี้ และขอเป็นกำลังใจให้พี่น้องชาวแพร่ทุกท่าน ผ่านพ้นวิกฤติในครั้งนี้ไปโดยเร็ว” นายชัยวุฒิกล่าว 

‘พีระพันธุ์’ ส่งมอบความช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วมต่อเนื่อง จัดตั้งโรงครัว-แจกน้ำดื่ม-ส่งทีมงานติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด

(26 ส.ค. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยว่า นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ มีความห่วงใยกับพี่น้องประชาชนที่ประสบอุทกภัยภาคเหนือ โดยได้ส่งมอบถุงยังชีพไปในพื้นที่ประสบภัยตั้งแต่วันแรก และมอบหมายให้นางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ตั้งศูนย์ช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนตั้งแต่วันแรก โดยได้จัดพื้นที่จอดรถ จัดตั้งโรงครัวแจกจ่ายอาหาร และน้ำดื่ม แก่ผู้ประสบภัย พร้อมจัดส่งถุงยังชีพไปยังชุมชนต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง 

นายอัครเดช กล่าวต่อไปว่า ล่าสุดในวันนี้ ทางพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้มอบหมายให้นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อและเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย จ.แพร่ อย่างใกล้ชิด

ด้าน นายเอกนัฏ เปิดเผยว่า วันนี้ลงพื้นที่เข้าไปในชุมชนต่าง ๆ ได้พบเห็น บ้านเรือนอยู่ใต้น้ำ ชาวบ้านขาดที่พักพิง ผู้ป่วยที่ติดเตียง ผู้สูงอายุที่ไม่ยอมออกจากบ้าน ซึ่งน่าเป็นห่วงในเรื่อง ความปลอดภัย ความสะอาด สุขอนามัย ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นความเดือดร้อนของชาวบ้านที่ต้องการการดูแล อยากวอนขอให้ทุกภาคส่วน ได้มาร่วมมือกันบรรเทาความทุกข์ของพี่น้องประชาชนที่ประสบเหตุน้ำท่วม

"ทางพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยหัวหน้าพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค มีความเป็นห่วงสถานการณ์น้ำท่วมตั้งแต่วันแรก กำชับให้ช่วยกันดูแลพี่น้องประชาชน ในวันนี้ได้ส่งให้ผมลงพื้นที่อย่างเร่งด่วน เมื่อได้เห็นถึงความเดือดร้อนของชาวบ้าน และเห็นการร่วมแรงร่วมใจของทีมงาน และอาสาสมัครทุกท่าน ขอให้เป็นกำลังใจให้กับทุกท่านที่ประสบภัยในครั้งนี้ ขอฝากไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เข้ามาดูแลและติดตามอย่างใกล้ชิด และเมื่อสู่ภาวะปกติน้ำลดลงแล้ว ยังมีเรื่องความเสียหายของบ้านเรือน ชีวิต ทรัพย์สิน ที่จะต้องช่วยกันดูแลและเยียวยาให้พี่น้องประชาชนกันต่อไป" นายเอกนัฏ กล่าว

‘ทักษิณ’ กับปรากฏการณ์ 4 จบ บาดลึก ‘เนวิน-หญิงหน่อย-ลุงป้อม-ชวน’

ในปี 2551 มีวลีฮิตทางการเมือง “มันจบแล้วครับนาย” รับทราบกันว่าเป็นคำพูดคำจาจาก...ครูใหญ่เนวิน ถึงนายใหญ่ทักษิณ ก่อนแยกกันทางเดิน เป็น 16 ปีแห่งความหลัง

ถึงพ.ศ.นี้ 2567 ไม่น่าเชื่อ.. ‘ทักษิณ ชินวัตร’ ที่ระเหเร่ร่อนอยู่ต่างประเทศ ข้ามผ่านกาลเวลาจากคนหนีคุกโทษ 10 ปี เหลือ 8 ปี เพราะคดีที่ดินรัชดา (2 ปี) หมดอายุความ และปี 2566 ได้รับพระราชทานอภัยลดโทษเหลือ 1 ปี ก่อนสุดท้าย 17 ส.ค. 2567 ที่ผ่านมา..ได้พ้นโทษเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กลับมาเป็น ‘ศูนย์กลางอำนาจ’ ทางการเมือง

ทักษิณผลักดันลูกสาวเป็นนายกฯ ได้สำเร็จ แคนดิเดตนายกฯ อย่างอนุทิน ชาญวีรกูล ลูกศิษย์ครูใหญ่เนวินยังต้องหลีกทางให้ตามปฏิญญาเขาใหญ่…

“มันจบแล้วครับเน...” บางทีวลีนี้อาจเป็นวลีที่ทักษิณ ชินวัตร ร้องดัง ๆ อยู่ในใจด้วยความสะใจ...

ไม่เพียง “มันจบแล้วครับเน..” จากปรากฏการณ์การจัดตั้งรัฐบาลอุ๊งอิ๊งรอบนี้ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าทักษิณคือ ‘ผู้จัดการรัฐบาล’ ตัวจริง ยังได้ปฏิบัติการอีก 3 จบ...

“มันจบแล้วครับหน่อย..” อันหมายถึงกรณีที่ 6 สส.พรรคไทยสร้างไทย พรรคฝ่ายค้าน ที่คุณหญิงหน่อย-สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เป็นแม่ทัพได้พร้อมใจกันโหวตสนับสนุนแพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกฯ ฉีกหน้าหญิงหน่อย..!!

“มันจบแล้วครับลุง..” หรือ “มันจบแล้วครับป้อม..” กรณีพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ถูกผ่าเป็นสองซีก ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค ประกาศอิสรภาพ ปลดแอกแยกทางกับพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือ ‘บิ๊กป้อม’ หัวหน้าพรรค แบบไม่ไว้หน้า...แม้ฝ่ายบิ๊กป้อมจะงัดเอาระเบียบข้อบังคับพรรคมาใช้แต่ก็ไร้ผล เพราะประมุขบ้านจันทร์ส่องหล้าเคาะมาหลายเพลาแล้วว่า รอบนี้ไม่มีป้อม พปชร. แต่จะมี ปชป. มาเสียบแทน…

“มันจบแล้วครับนายหัวชวน..” นี่ก็น่าจะเป็นอีก 1 กรณีที่สถานการณ์เข้าทางทักษิณในการเอาคืนชวน  หลีกภัย เจ้าของวลี “ระวังไม่มีแผ่นดินจะอยู่” วลีที่กล่าวเตือนทักษิณเมื่อ 2 ทศวรรษก่อน…และเป็นที่รู้กันว่ากว่า 20 ปีที่พรรคประชาธิปัตย์กับเพื่อไทยเป็นคู่ต่อสู้หลักทางการเมืองกันมา...20 กว่าปีที่พรรคทักษิณแจ้งเกิด สส.ภาคใต้ได้เพียง 1 ที่นั่งหลังเหตุการณ์สึนามิ (สส.กฤษณ์ ศรีฟ้า) นอกจากนั้นผุดเกิดไม่ได้เพราะนายหัวชวนกับพลพรรคสะกดมนต์...

แต่การเมืองรอบนี้ทักษิณเปิดทาง 25 เสียง ปชป. ให้เข้าร่วมรัฐบาล...ว่ากันว่านี่คือเป็นการเชือดสยองพรรคการเมืองที่มีอายุ 78 ปี อย่างปชป. ที่แกนนำพรรคขณะนี้พยายามอธิบายการเข้าร่วมรัฐบาลแบบไม่กลัวปลาหมอคางดำว่า…เราไม่จมอยู่กับอดีต..!!??  

อีกไม่กี่เพลา...โฉมหน้าครม.นายกฯ อิ๊งก็จะปรากฏเป็นทางการ…ในแง่บวกอานิสงส์จากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเรื่อง ‘มาตรฐานทางจริยธรรม’ กรณี ‘เศรษฐา ทวีสิน’ ก็ทำให้การตรวจสอบคุณสมบัติ ครม. เข้มข้นขึ้น นักการเมืองสีเทาบางรายต้องเสียสละพักรบ...เพื่อเซฟตี้คัทให้นายกฯ อิ๊ง...

แต่ขณะเดียวกันตัวนายกฯ อิ๊ง ก็คงกระวนกระวายอยู่ไม่น้อย เพราะบรรดานักร้องได้จองกฐินที่จะยื่นคำร้อง…อันเนื่องจากคุณสมบัติที่อาจจะโยงใยกับมาตรฐานจริยธรรม…โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีถือหุ้นในบริษัทอัลไพน์ฯ 30% อันเป็นบริษัทที่โยงใยการใช้ที่ดินที่เป็นที่ธรณีสงฆ์…

แต่เชื่อว่าทีมงานนายกฯ คงจะจัดระบบ ‘เซฟตี้ คัท’ ไว้หมดแล้ว…จากนี้ไปหลัก ๆ ก็คือรอฟังปฏิกิริยาประชาชนต่อหน้าตาของ ครม. และนโยบายที่แถลงหลังการถวายสัตย์ฯ ในเดือนก.ย.

22 ส.ค.ที่ผ่านมาคุณพ่อทักษิณไปปาฐกถา ‘VISION FOR THAILAND’ เสนอนโยบาย-มาตรการ 13-14 เรื่องสำคัญ ๆ ตั้งแต่ปรับรูปแบบดิจิทัล วอลเล็ต, เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ยันรีบเอาพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา มาใช้...ก็คาดว่าอย่างน้อย 60 % ที่คุณพ่อพูด คุณลูกในฐานะนายกฯ ก็คงนำมาใช้เป็นนโยบายรัฐบาล…

เชื่อพ่อครึ่งหนึ่งคงไม่เท่าไหร่...แต่ถ้าเชื่อทุกเรื่อง ตามใจทุกอย่างนายกฯ อิ๊งอาจจะปิดฉากเร็วอย่างที่ใครต่อใครเขาเป็นห่วง...!!

'ทนายบอน' ชี้!! บุคคลที่ได้รับหมายเรียกในคดีอาญา มีหน้าที่ต้องไปให้การตามหมาย หากไม่ไปจะมีความผิด

(26 ส.ค. 67) นายณัฐนันท์ กัลยาศิริ หรือ 'ทนายบอน' อดีตผู้สมัคร สส.กทม. พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่า..

[บุคคลที่ได้รับหมายเรียกในคดีอาญามีหน้าที่ต้องไปให้การตามหมาย]

ช่วงนี้มีประเด็นเรื่อง [การเข้าไปเป็นพยานในคดีอาญา] เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจน บุคคลจะเข้าไปเป็นพยานในคดีอาญาได้กรณีไหน ถ้าได้รับหมายเรียกแล้วต้องทำอย่างไร มีข้อกฎหมายที่สรุปได้ดังนี้ครับ

1. ในชั้นสอบสวนของตำรวจ พนักงานสอบสวน มีหน้าที่รวบรวมหลักฐานทุกชนิด เพื่อพิสูจน์ให้เห็นความผิดหรือความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหา ดังนั้น การเรียกบุคคลเข้าเป็นพยาน จึงเกิดได้ทั้งจากพนักงานสอบสวนเห็นสมควรเรียก หรือผู้ต้องหาจะร้องขอให้พนักงานสอบสวนเรียกก็ได้

2. ในชั้นอัยการ เมื่อพนักงานสอบสวนส่งสำนวนไปยังอัยการแล้ว พนักงานอัยการมีอำนาจสั่งฟ้อง หรือสั่งไม่ฟ้อง หรือสั่งให้พนักงานสอบสวนดำเนินการสอบสวนเพิ่มเติมหลักฐานใด หรือพยานปากใดก็ได้

3. ไม่ว่ากรณีที่ 1 หรือ 2 พนักงานสอบสวนจะออก [หมายเรียกพยาน] โดยในหมายเรียกพยาน จะไม่มีการแจ้งว่าพนักงานสอบสวนเห็นสมควรเรียกเอง, พนักงานอัยการสั่งสอบเพิ่มเติม หรือผู้ต้องหาอ้างเป็นพยาน มีระบุแค่ ให้ไปพบพนักงานสอบสวนด้วยเรื่องใด ในวันใด เท่านั้น

4. ในกรณีตามข้อ 3 ผู้รับหมายเรียกมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องไปพบพนักงานสอบสวนตามวันเวลาที่นัดหมาย ไม่ว่าหมายเรียกพยานนั้นจะเกิดจากสาเหตุใดก็ตาม...ไม่ไปมีความผิดตามกฎหมาย

ได้รับหมายเรียกต้องไป...ให้การต้องเป็นไปตามข้อเท็จจริง...เรื่องมันมีแค่นั้นครับ

#ทนายบอน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top