Wednesday, 9 July 2025
POLITICS NEWS

‘บิ๊กป้อม’ ไม่ปรับครม.หลัง ‘นิพนธ์’ ไขก๊อก รอการตัดสิน!! หาก ‘บิ๊กตู่’ อยู่ต่อให้มาทำเอง

‘บิ๊กป้อม’ ย้ำ ไม่สามารถปรับครม.ได้ ต้องรอให้การตัดสินออกมาก่อน หากบิ๊กตู่อยู่ต่อ ให้นายกฯมาทำเอง

5 กันยายน 2565 ที่ศาลากลางจังหวัดกระบี่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังประชุมติดตามสถานการณ์น้ำ การคาดการณ์ และการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ภาคใต้ จังหวัดกระบี่ ถึงกรณีนายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่ง เพื่อต่อสู้คดีไม่เบิกจ่ายเงินค่ารถอเนกประสงค์ซ่อมบำรุงทาง 2 คัน วงเงินรวม 50 ล้านบาท ให้แก่บริษัท พลวิศว์เทค พลัส จำกัด เมื่อปี 2556 สมัยดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.) สงขลา ว่า “เดี๋ยวดูก่อน ผมเป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการ ไม่สามารถปรับครม.ได้ ต้องรอให้การตัดสินออกมาก่อน หากนายกฯ อยู่ต่อ นายกฯก็จะมาทำเอง”

'นิพนธ์' ลาออกจากตำแหน่ง รมช.มหาดไทย ขอแสดงสปิริตสู้คดี ไม่เอาตำแหน่งมากดดัน

เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2565 ที่ศาลอาญาคดีทุจริตเเละประพฤติมิชอบกลาง ถนนเรียบรางรถไฟ นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เดินทางมาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง กรณีที่ป.ป.ช. ส่งฟ้องคดีไม่จ่ายเงินค่ารถซ่อมบำรุงทางอเนกประสงค์ตามนัด

โดยเมื่อมาถึงนายนิพนธ์ แจ้งว่าในเช้าวันนี้ได้ แจ้งขอลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมทั้งแจ้งนายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เนื่องจากเห็นว่าคดีเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาลจึงตั้งใจที่จะสู้คดี โดยไม่อยากให้มองว่านำตำแหน่งหน้าที่มาเกี่ยวข้องหรือกดดัน 

ทั้งนี้ในการแจ้งต่อพลเอกประยุทธ์ ก็ได้กล่าวชื่นชมต่อการตัดสินใจและให้กำลังใจ  

นายนิพนธ์ ยืนยันการตัดสินใจเรื่องรถอเนกประสงค์ ยึดผลประโยชน์ประเทศ และไม่เสียใจที่เคยตัดสินใจเช่นนั้น

‘อรรถวิชช์’ ย้ำ ‘กรณ์’ ไม่ทิ้งเพื่อน ทำตรงไปตรงมา ลาออกจากพรรคกล้าไปสมัครชาติพัฒนา

‘อรรถวิชช์’ ย้ำ ‘กรณ์’  ไม่ทิ้งเพื่อน ทำตรงไปตรงมา ลาออกจากพรรคกล้าไปสมัครชาติพัฒนา โดยมีอดีตรองนายกกอปร์ศักดิ์ ประธานยุทธศาสตร์ตามไปด้วย กฎหมายปัจจุบันห้ามควบรวมพรรค จึงใช้วิธีตามกฎหมายปกติ 

ดร.อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคกล้า แถลงภายหลังมีข่าวว่านายกรณ์ จาติกวณิช ไปร่วมงานกับพรรคชาติพัฒนาว่า ผมกับพี่กรณ์รู้จักกันมานาน รู้จักกันดี พี่กรณ์เป็นคนมีความมุ่งมั่น มีความคิดอยากเห็นการเมืองที่ดีขึ้น พี่เขาก็ยังมุ่งมั่นทำสิ่งนั่นอยู่ ซึ่ง คุณกรณ์ และพี่ๆ น้องๆ ที่พรรคกล้ามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน คุณกรณ์เลือกทำอย่างตรงไปตรงมาตามกฎหมาย คือลาออกจากพรรคและไปสมัครพรรคใหม่ โดยมีท่านอดีตรองนายกรัฐมนตรีและประธานยุทธศาสตร์พรรคกล้าท่านกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ตามไปด้วย

ดร.อรรถวิชช์ กล่าวถึง การจะรีแบรนด์ ปรับโครงสร้างต่างๆ ในส่วนของชาติพัฒนา เป็นส่วนของท่านเทวัญ และท่านสุวัจน์ ลิปตพัลลภ และสมาชิกของพรรคเขา ส่วนเราเองยังสังกัดพรรคกล้า จะไปข้องเกี่ยวไม่ได้ กฎหมายพรรคการเมืองก็ระบุไว้ชัดเจน โดยในส่วนตัวผมก็ยังต้องอยู่ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการพรรคกล้า เพื่อจัดประชุมใหญ่พรรคในเดือนนี้ให้แล้วเสร็จ

ในวันที่ ‘อดีตบิ๊กสีกากี’ จ่อผงาด ลือ พปชร.เล็งส่งแคนดิเดตชิงเก้าอี้นายกฯ

วันนี้ (วันที่ 2 กันยายน 2565) เหมือนช่วยกระพือข่าว “ป.ที่4” อีกเสียง หลังจากที่ โทนี วูดซัม หรือ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาจ้อผ่านคลับเฮาส์ถึงกระแสข่าวว่ารอบหน้า หากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่ได้ไปต่อเพราะศาลรัฐธรรมนูญ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รักษาการแทนนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ก็อาจจะเตรียมดัน ป.ที่4 ขึ้นเป็นแคนดิเดตนายกฯ แทนที่ พล.อ.ประยุทธ์ ที่พรรคพลังประชารัฐเคยเสนอชื่อเมื่อตอนเลือกตั้งใหญ่ปี 2562 

หากมองถึงกระแสการดัน “ป.ที่4” ขึ้นมาก็ต้องยอมรับว่ามีมานานพอสมควร ไม่ใช่เพิ่งมามีเมื่อวันสองวัน “คงไม่ใช่ประยุทธ์แน่ อาจเปลี่ยนจากทหารเป็นตำรวจ” ซึ่งหากจับเฉพาะประเด็นที่นายทักษิณได้พูดถึง ป.ที่4 ตรงนี้ว่าอาจเปลี่ยนจาก “ทหารเป็นตำรวจ” แล้วลองมาไล่ชื่อดูว่ามีบิ๊กสีกากีท่านใดพอจะมีความเป็นไปได้ถึงการเป็น ป.ที่4 ? ชื่อหนึ่งที่พอนึกออกก็คงจะไม่พ้นชื่อของ “ป.แป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ตอนนี้แว่วมาว่ากำลังซุ่มทำพื้นที่อยู่ในภาคอีสาน 

ในแง่ประวัติการรับราชการตำรวจของ “ป.แป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ บอกตรง ๆ ว่า “ครบเครื่อง” มีผลงานให้เห็นมาตั้งแต่ รับหน้าที่เป็นผู้เจรจากับนักโทษในเหตุการณ์จลาจลเรือนจำสมุทรสาคร การแก้ไขปัญหาชายแดนใต้ จนภายหลังมีสถิติการก่อเหตุลดลง ไปจนถึงผลงานด้านสืบสวนสอบสวนที่สามารถปิดคดีสะเทือนขวัญต่าง ๆ ได้ หลายผลงานก็เป็นของ พล.ต.อ.จักรทิพย์

'เด็กพรรคกล้า' โต้!! กระแส 'กรณ์' ทิ้งพรรคซบสุวัจน์ ชี้!! รีเทิร์นทีมศก. ยุควิกฤติแฮมเบอร์เกอร์อีกครั้ง

สืบเนื่องจากวันที่ 2 ก.ย. 65 นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา ได้แถลงเปิดตัวนายกรณ์ จาติกวนิช หัวหน้าพรรคกล้า เข้ามาร่วมทำงานเป็นทีมเศรษฐกิจของพรรคชาติพัฒนาเพื่ออาสาทำหน้าที่กอบกู้และแก้วิกฤติเศรษฐกิจของประเทศนั้น ก็เกิดกระแส 'ทิ้งกล้า' ของนายกรณ์แพร่สะพัดตามหน้าสื่อโดยทันที ทั้งที่เรื่องนี้ยังไม่มีการเอ่ยปากจากหัวเรือใหญ่จากทั้ง 2 พรรคแต่อย่างใด

ล่าสุดคนในพรรคกล้าได้ออกมาชี้แจงถึงความจริง อาทิ เทมส์ ไกรทัศน์ ผู้สมัคร ส.ส.พรรคกล้า จังหวัดภูเก็ต โพสต์ข้อความชี้แจงถึงกระแสการรวมพรรคกล้ากับพรรคชาติพัฒนาเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งแพร่สะพัดเป็นอย่างมากในเวลานี้ ว่า...

ผนึกกำลัง!! ไม่ได้ทิ้ง ไม่มีใครซบใคร

ด้วยอุดมการณ์ตั้งแต่เริ่มและใน DNA ของพวกเรา คือ การเข้ามา #ลงมือทำ เพื่อช่วยเหลือประชาชนและประเทศชาติ เรื่องเศรษฐกิจ ปากท้อง เราให้ความสำคัญ เราตั้งใจทำงานการเมืองเพื่อส่วนรวม ไม่ได้มาเพื่อที่จะรักษาอำนาจหรือผลประโยชน์อะไร

และด้วยกติกาและเหตุผลทางการเมืองหลายปัจจัย พวกเราก็ย่อมต้องมองถึงยุทธศาสตร์เพื่อให้ได้ไปอยู่ในจุดที่โอกาสจะอำนวย ช่วยให้เราได้ทำงานตามปณิธานที่ตั้งไว้ จึงเกิดการจับมือกันของ “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ” และ “กรณ์ จาติกวณิช” ในวันนี้

แน่นอน คุณกรณ์ ชื่อชั้นเป็นที่ยอมรับด้านเศรษฐกิจ สะท้อนปัญหาปากท้อง ความเดือดร้อนของประชาชนอยู่บ่อยๆ และ DNA ของการลงมือทำก็ชัดเจน ส่วน คุณสุวัจน์ เอง ก็เป็นนักการเมืองนักปฏิบัติตัวจริงมาเนิ่นนาน ไม่สนความขัดแย้งใดๆ ที่ทำให้เสียโอกาสการทำงาน 

จับมือกันเพื่อผสานพลังมากขึ้น เห็นภาพความชัดเจน “#ลงมือทำด้านเศรษฐกิจ” และ “#ปฏิบัตินิยม” เดินหน้าแก้ปัญหาชีวิตความเป็นอยู่เป็นหลักชัย มีเป้าหมายเพื่อนำพาความเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่งสู่พี่น้องทั้งในชนบทและคนเมือง จากเหนือจรดใต้ จากกลุ่มชนชั้นกลางจนถึงพี่น้องที่ยังมีความยากไร้ ไม่เอาแล้ววังวนความขัดแย้งและการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายที่ฝังลึก การประท้วงที่ยืดเยื้อ สู่วงจรอุบาทว์ทางการเมือง รังแต่จะทำลายเศรษฐกิจ ทำร้ายครอบครัวและชีวิตชาวไทย

หากท่านเห็น #เศรษฐกิจปากท้อง เป็นเรื่องสำคัญยิ่ง ไม่อยากเห็นรัฐบาลที่มุ่งแต่หาผลประโยชน์ให้ตนและพวกพ้องและละเลยประชาชนโดยสิ้นเชิง เบื่อลัทธิบูชาตัวบุคคลที่พรรคการเมืองต่างเอามาชูต่อสู้สร้างความขัดแย้งเป็นกว่าสิบๆ ปี เบื่อการจาบจ้วงและการไม่รับฟังคนเห็นต่างอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย และอยากได้ #การเมืองสร้างสรรค์ ความร่วมมือนี้ จะเป็นทางเลือกใหม่ที่ดีขึ้นแก่ท่านได้

คุณกรณ์ถามไถ่ผมแล้ว ผมเห็นด้วยกับยุทธศาสตร์ความร่วมมือนี้ว่าจะเป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชนและทำให้เรามีโอกาสทำงานมากขึ้น ส่วนเรื่องขั้นตอนทางกฎหมายมี และ #ไม่นานก็จะเป็นภาพที่ชัดเจน ครับ… ณ ตอนนี้ ไม่มีทิ้งใคร ไม่มีใครซบใคร ผสานพลังเดินหน้าและลงมือทำต่อไป

ขณะที่ด้านนาย พัสณช เหาตะวานิช เลขานุการส่วนตัวของนายกรณ์ จาติกวณิช ก็ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุถึงความมุ่งมั่นในเป้าหมายและ ยืดหยุ่นในเส้นทาง ไว้ว่า...

หากเราย้อนดูข่าวที่ออกจากปากคุณกรณ์ หรือคุณสุวัจน์ มันจะมีแต่คำว่า “เศรษฐกิจ” - “ปากท้อง” - “ค่าครองชีพ” และ “ประชาชน” 

คุณกรณ์ย้ำตอนแถลงว่า ถึงเวลาของมืออาชีพทางเศรษฐกิจ ที่เข้าใจทั้งมิติการเมือง และเศรษฐกิจเข้ามาทำงานบริหารประเทศ เลยทำให้เราต้องย้อนดูผลของงานที่ทั้งสองทีมทำมา ก็จะพบว่า ประจักษ์ในการแก้วิกฤตเศรษฐกิจและพลังงาน 

การจับมือ หรือการร่วมมือกันทำงานในครั้งนี้ คุณกรณ์พูดไว้ตอนแถลงว่า.. ตัดสินใจง่ายมาก แกบอกว่า.. หลักคิดคือ จับมือแล้วเราสองคนช่วยประชาชนมากขึ้นหรือไม่ จับมือ ประชาชนได้ประโยชน์จากการกระทำครั้งนี้หรือไม่ คำตอบคือ แน่นอน!

ไม่มีอะไรสำคัญเท่าผลพิสูจน์จากการ #ลงมือทำ และคุณสุวัจน์เอง แกก็เป็นนักการเมืองสายนี้มานานแล้ว เป็นนักปฏิบัติตัวจริง ไม่สนความขัดแย้งใดๆ ที่ทำให้เสียโอกาสการทำงาน  

สำคัญที่สุดอีกอย่าง ทั้งสองคนทำงานเป็นนักการเมืองของประเทศไทย หลักที่ยึดไว้มั่นที่สุดคือการธำรงไว้ซึ้งสถาบันหลัก ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ หนักแน่นดังเดิม

นายพัสณช ยังโพสต์ต่ออีกว่า ในช่วงปี 2551-2554 คุณกอร์ปศักดิ์ เป็นรองนายกฯ เศรษฐกิจ / คุณกรณ์ เป็นรัฐมนตรีคลัง ทีมคุณสุวัจน์ โดยคุณหมอวรรณรัตน์ เป็นรัฐมนตรีพลังงาน 

ถอดรหัส ‘กรณ์-สุวัจน์’ สุญญากาศ ‘ควบรวมพรรค’ กับปัญหาทางกม.ที่สองฝ่ายยังพูดได้ไม่เต็มปาก!

เมื่อช่วงเช้าวันที่ 2 ก.ย. 65 นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนา เปิดบ้านแถลงข่าว พร้อมด้วยนายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า ทั้งสองฝ่ายได้เน้นย้ำในเป้าหมายและเหตุผลในการ “ทำงานร่วมกัน” ในฐานะมืออาชีพด้านเศรษฐกิจ 

มีการย้ำเรื่องเศรษฐกิจปากท้องอยู่แทบทุกคำพูด แต่แล้วก็ไม่วายนักข่าวสายดราม่าการเมือง ก็เน้นบี้ถามเอาคำตอบที่จะสร้างข่าวดราม่าได้ จนทำให้ทั้งสองฝ่ายต้องอ้ำอึ้ง พูดได้ไม่เต็มปาก

เรามาถอดรหัสกันว่า เป็นเพราะเหตุใด!?

เรื่องมีอยู่ว่า กฎหมายของพรรคการเมืองในการจะทำงานร่วมกันไม่เหมือนกับกฎหมายธุรกิจเหมือน TRUE ควบรวมกับ DTAC เพราะ 2 มาตราหลักนี้คือ

มาตรา28 ห้ามมิให้พรรคการเมืองยินยอมหรือกระทำการใดอันทำให้บุคคลอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกกระทำการอันเป็นการควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำ กิจกรรมของพรรคการเมืองในลักษณะที่ทำให้พรรคการเมืองหรือสมาชิกขาดความอิสระ ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม

'จิรายุ' โวย รัฐบาลห่วยแตก ปล่อยข้าวของแพง ชี้!! ค่าไฟพุ่งเกิน 5 บาทต่อหน่วยก่อนสิ้นปีแน่นอน

หลังรัฐบาลบิ๊กตู่อยู่มา 8 ปี โอบอุ้มแต่นายทุนพลังงาน ล่าสุดกู้แสนล้านชดเชยต้นทุนค่าไฟให้ EGAT ไปแล้วแสนล้าน แต่กลับไม่เจรจากับเอกชนที่รัฐต้องจ่ายค่าความพร้อมอีกปีแปดหมื่นล้าน แต่ดันจะซื้อไฟเอกชนไทยในลาวอีก 5 แห่ง 3,800 เมกฯ ทั้ง ๆ ที่เศรษฐกิจถดถอย ความต้องการไฟโอเวอร์ซัปพลายสุดท้ายกรรมตกไปที่ประชาชนต้องรับเวรค่าน้ำค่าไฟค่าน้ำมันแพงไปแทน

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ คณะกรรมาธิการกิจการศาล องค์กรอิสระ องค์กรอัยการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และกองทุน เปิดเผยว่าคณะกรรมาธิการได้พิจารณากรณีต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้นและแนวโน้มที่รัฐบาลจะพลักภาระที่เกิดจากความผิดพลาดในการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลไปให้กับประชาชน ด้วยการขึ้นค่าไฟเพิ่ม ซึ่งคาดว่าจะสูงขึ้นถึง 5 บาท/หน่วยก่อนสิ้นปีแน่นอน ถือเป็นความห่วยแตกในการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล กรรมาธิการส่วนใหญ่มีความเห็นว่า หากรัฐบาลยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อน กรรมจะตกกับคนไทยทั้งแผ่นดิน

ทั้งนี้ตนขอให้รักษาการนายกรัฐมนตรี เร่งแก้ไขเป็นวาระเร่งด่วนเนื่องจากจะเกิดสึนามิทางพลังงานและค่าครองชีพที่แพงมหาโหดจะโถมเข้าใส่ประชาชนตั้งแต่เดือนตุลาคมนี้เป็นต้นไป โดยกรรมาธิการมีความเห็นว่า 

1.) ขอให้ยกเลิกการกู้เงินเพื่อมาชดเชยให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตซึ่งกู้เงินไปแล้ว 110,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มที่จะขอกู้เพิ่มอีกเนื่องจากสถานการณ์พลังงานของประเทศและโลกจะเข้าสู่โหมดราคาสูงในช่วงหน้าหนาว

'ชวน' ย้ำเตือน อย่าทำให้การเมืองเป็นธุรกิจ แนะ!! ผู้กู้กยศ.ควรคืนเงิน เพื่อรุ่นต่อไป

'ชวน' เปิดงานโครงการส่งเสริมและปลูกฝังแนวคิดบ้านเมืองสุจริตไปสู่เยาวชน พร้อมบรรยายพิเศษ 'ประเทศรุ่งเรือง เมื่อบ้านเมืองสุจริต' ย้ำเตือนอย่าทำให้การเมืองเป็นธุรกิจ แนะผู้กู้กยศ.คืนเงิน เพื่อรุ่นต่อไป

(2 ก.ย.65) ที่รัฐสภา นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา เป็นประธานเปิดงานโครงการส่งเสริมและปลูกฝังแนวคิดบ้านเมืองสุจริตไปสู่เยาวชน เพื่อสร้างการเรียนรู้ และเกิดความตระหนักถึงความสำคัญของการประพฤติปฏิบัติตนเป็นสุจริตชนของนักเรียน นิสิต นักศึกษา และครูอาจารย์ พร้อมทั้งบรรยายพิเศษในหัวข้อ ‘ประเทศรุ่งเรือง เมื่อบ้านเมืองสุจริต’ โดยมีนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย, นิสิต, นักศึกษา และครูอาจารย์ในกทม. ภาคกลาง, ภาคใต้และภาคเหนือ ประมาณ 200 คนเข้าร่วมงาน

ทั้งนี้นายชวน กล่าวบรรยายพิเศษตอนหนึ่งว่า ตนเป็นนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง โดยได้รับการเลือกตั้งต่อเนื่องมาถึง 16 สมัย จึงได้เห็นบ้านเมืองด้วยตาตนเองและประจักษ์ว่าบ้านเมืองเป็นอย่างไร หรือการเมืองเป็นเช่นไร มิใช่การรู้จากคำบอกเล่าของผู้อื่น โดยเมื่อปี 2512 ตนได้รับการเลือกตั้งครั้งแรก ซึ่งสมัยนั้นเท่าที่ทราบยังไม่มีการใช้เงินเพื่อซื้อเสียงเลือกตั้ง แต่พบว่ามีผู้ลงสมัครเลือกตั้งบางคน บางจังหวัดแจกอาหารข้าวของให้ประชาชน

ในฐานะที่ตนอยู่บนเส้นทางการเมืองมานานกว่า 50 ปี เคยดำรงตำแหน่งทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ ตนจึงเป็นห่วงบ้านเมืองว่านักการเมืองทำการเมืองแบบไม่สุจริต โดยเฉพาะในลักษณะของธุรกิจการเมือง คือการใช้เงินปูทางขึ้นมาสู่อำนาจ ซึ่งถือเป็นการทุจริตอย่างหนึ่ง และการทุจริตในลักษณะเช่นนี้ ย่อมเอื้อต่อการทุจริตคอร์รัปชันในทุกระดับและในแทบทุกภาคส่วน เพราะนักการเมืองย่อมอาศัยกลไกในระบบบราชการและเครือข่ายในภาคส่วนธุรกิจ เป็นเครื่องมือสำคัญในการเข้ามาถอนทุน ผลเสียหายต่อบ้านเมืองและการพัฒนาประเทศย่อมมีมากมายมหาศาล

'เพื่อไทย' ชี้!! รัฐต้องหยุดจัดการน้ำแบบสะเปะสะปะ แนะควรเพิ่มบทบาท ‘ศูนย์เตือนภัยแห่งชาติ’ ให้มากขึ้น

เพื่อไทย ชี้รัฐบาล อยู่มา 8 ปี ‘ยิ่งแก้ น้ำยิ่งท่วม’ แนะเพิ่มบทบาท ‘ศูนย์เตือนภัยแห่งชาติ’ เตือน ปชช.ให้มีประสิทธิภาพ - ว่าที่ส.ส.กทม. ส.ก.เพื่อไทย จับมือสำรวจท่อรอบกรุง เปิดทางรอระบายน้ำ

ดร.ปลอดประสพ สุรัสวดี ประธานด้านนโยบายปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐานด้านการจัดการน้ำ พรรคเพื่อไทย อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า สถานการณ์น้ำในปี 2565 ภายใต้รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี บริหารประเทศมา 8 ปี ทำให้ประเทศตกอยู่ในสภาพ ‘ยิ่งแก้ น้ำยิ่งท่วม’ สาเหตุเป็นเพราะ 

1.) กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท เน้นสร้างถนนให้สูงขึ้น เพื่อหนีน้ำ ทำให้ถนนกลายเป็นเขื่อนกั้นน้ำ ป้องกันไม่ให้น้ำท่วมข้างล่าง แต่ด้านบนท่วมหมด เป็นการมองเพียงมิติวิศวกรรม ไม่ได้มองในเรื่องของการระบายน้ำ

2.) กรมโยธาธิการและผังเมือง เน้นทำกำแพงป้องกันตลิ่งจนเกิดปัญหา ‘ล้ำลำน้ำ’ ทำให้คลองมีความแคบลง การระบายน้ำทำได้ยากขึ้น ทำให้เกิดน้ำท่วมพื้นที่ท้ายน้ำ

3.) ฝ่ายทหารขยันขุดลอกคลอง เอาดินที่ขุดออกมาเสริมกั้นหรือแปะสองข้างตลิ่ง ทำให้ตลิ่งและคลองแคบลง การระบายน้ำจึงเป็นไปได้ยาก 

ดังนั้น รัฐบาลไม่ควรสร้างแหล่งน้ำและระบบชลประทานที่ไม่มีประสิทธิภาพ และต้องหยุดบริหารแบบ ‘สะเปะสะปะ’ เพราะจะทำให้เกิดสถานการณ์ ‘เดี๋ยวท่วมเดี๋ยวแล้ง’ ควรบริหารแต่ละลุ่มน้ำให้ดีก่อน และผันน้ำอย่างเป็นระบบ ขอให้ระมัดระวัง ‘น้ำฟ้า’ มากกว่า’ น้ำท่า’  เป็นหลัก เวลานี้สภาพอากาศแปรปรวนมาก ยากต่อการคาดคะเน จึงเลี่ยงไม่ได้ที่ประเทศไทยจะเสี่ยงวิกฤต ซึ่งการรับมือและการจัดการกับสถานการณ์ไม่ปกติแบบนี้ จะคิดแบบเดิมไม่ได้ เตือนไทยเตรียมรับมือสถานการณ์ขั้นเลวร้ายที่สุด เช่น ระเบิดฝน (Rain Bomb) แบบที่ขึ้นแล้วในเกาหลีและปากีสถาน สามารถเกิดในไทยได้ 

ดร.ปลอดประสพ กล่าวอีกว่า ขณะที่การรายงานและเตือนภัยของรัฐบาล ควรปรับปรุงอย่างเร่งด่วน เพราะที่ผ่านมาทำแบบ ‘ต่างคนต่างพูด’ การรายงานและการเตือนภัยเป็นไปคนละทิศคนละทาง กรมอุตุวิทยา พูดเรื่องอากาศ และน้ำฝน, กรมชลประทาน พูดเรื่องน้ำท่า, สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA พูดเรื่องภาพถ่ายทางอากาศ ทำให้ประชาชนเอาภาพมาต่อกันไม่ได้ 

ดังนั้น รัฐบาลมีความจำเป็นต้องเพิ่มบทบาทการรายงานและเตือนภัยให้กับ ‘ศูนย์เตือนภัยแห่งชาติ’ เพิ่มมากขึ้น เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนอย่างรอบด้าน หน่วยงานนี้ตนเองเป็นผู้ก่อตั้ง เพื่อทำหน้าที่สื่อสารให้ประชาชนเข้าใจ และจัดการมหาวิกฤต 2554 มาแล้ว  เสียดายที่หน่วยงานนี้ปัจจุบันไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร

'บิ๊กตู่' ขอโทษแฟนคลับอยุธยา เหตุไม่ได้แวะทักทาย เพราะเปิดกระจกรถไม่ได้ เนื่องจากเป็นรถกันกระสุน

(2 ก.ย. 65) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่ชาวบ้าน จ.พระนครศรีอยุธยา ที่มารอต้อนรับและให้กำลังใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รมว.กลาโหม ที่หน้าวัดกษัตราธิราชวรวิหาร แสดงความไม่พอใจ เพราะไม่ได้พบพล.อ.ประยุทธ์ นั้น

ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ ได้ฝากเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ ขอโทษชาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยาแทนตนเอง พร้อมบอกเปิดกระจกรถไม่ได้ เนื่องจากเป็นรถยนต์กันกระสุน อีกทั้งมาในนามรมว.กลาโหม จึงไม่อยากให้มีการบิดเบือนเปรียบเทียบ แต่ส่วนตัวรู้สึกดีใจที่ได้เห็นหน้าประชาชน และได้โบกมือทักทายในรถแล้ว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top