Tuesday, 1 July 2025
POLITICS NEWS

‘เต้น’ ลั่น ‘อิ๊งค์’ เป็นแคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทย เจ้าตัวยัน!! พร้อมทำเพื่อ ปชช. สุดความสามารถ

‘เต้น’ ย้ำหนุน ‘อิ๊งค์’ เป็นแคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทย เจ้าตัวเชื่อพรรคหาคนที่ดีที่สุด ได้เป็นหรือไม่พร้อมทำงานเพื่อพรรคเต็มที่ ฟาก ‘ชลน่าน’ เชื่อ ส.ส.ย้ายพรรคกระทบพิจารณา กม. บางฉบับ

เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. 65 ที่ จ.นครศรีธรรมราช นายณัฐวุฒิ ให้สัมภาษณ์กรณีปราศรัยว่า น.ส.แพทองธาร จะเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทยแน่นอนว่า แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคการเมืองมีได้ 3 คน ซึ่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทยพูดมาตลอดว่าจะส่งครบทั้ง 3 คน 1 ในนั้นน่าจะเป็น น.ส.แพทองธาร ตนใช้สิทธิส่วนบุคคลในฐานะกองเชียร์ก็เชียร์ แต่เมื่อประกาศทั้ง 3 คน ตนก็ต้องเชียร์ทั้ง 3 คน ซึ่งพี่น้องชาวใต้ขานรับขนาดนี้ หัวหน้าพรรคเพื่อไทยก็น่าจะรับไว้พิจารณา แต่ก็ต้องเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการบริหารพรรคซึ่งจะประกาศในภายหลัง 

ด้านน.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ขณะนี้พรรคยังไม่ได้ประกาศอย่างชัดเจน เชื่อว่าพรรคพท.จะหาแคนดิเดตนายกฯ ได้เหมาะสมมากที่สุด ถ้ามีคนที่เหมาะสมกว่าตนก็น้อมรับ อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวพร้อมทำงานกับพรรคพท. ซึ่งก็ต้องรอดูว่าประชาชนจะเมตตากับเรามากน้อยแค่ไหน ส่วนตัวไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนก็พร้อมทำงานกับพรรคพท. และพร้อมทำงานให้กับประชาชนสุดความสามารถ 

เมื่อถามว่าเมื่อประกาศตัวอย่างชัดเจนคะแนนในภาคใต้จะตีตื้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ได้หรือไม่ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า พรรคพท.ขายนโยบาย เราพูดและทำได้จริง เมื่อถามว่าเวลาที่เหมาะสมในการประกาศแคนดิเดตนายกฯ อยู่ในช่วงเวลาใด น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า เราพยายามหาตัวเลือกที่ดีที่สุดให้กับประชาชน อิ๊งค์เองไม่ว่าจะเป็นหรือไม่เป็น ก็ยังทำเต็มที่เหมือนเดิม ถ้าไม่เป็นก็ไม่โกรธเคือง ถ้าจะเป็นก็เป็นด้วยความเต็มใจ ก็มุ่งมั่นทำนโยบายเพื่อประชาชน ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของเรา

‘พิธา’ ย้ำจุดยืน เพิ่มค่าแรงเป็น 450 ในปี 66 ชี้!! ถือเป็นเรื่องดีที่มีพรรคการเมืองเห็นตรงกัน

‘พิธา’ พบเครือข่ายแรงงาน ชี้โจทย์ยุคเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมไม่ง่าย ย้ำก้าวไกลให้ความสำคัญแรงงาน ดันขึ้นค่าแรงทันทีปี 66 - เพิ่มสิทธิ - หนุนเรียนรู้ทักษะใหม่ ระบุเป็นนิมิตรหมายที่ดี พรรคการเมืองเห็นตรงกันต้องเพิ่มค่าแรง

วันที่ 11 ธันวาคม 2565 ที่ศูนย์การเรียนรู้สหภาพโตโยต้าประเทศไทย พรรคก้าวไกลจัดการประชุมใหญ่เครือข่ายผู้ใช้แรงงานทั่วประเทศ โดยมีพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล สุเทพ อู่อ้น ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และ วรรณวิภา ไม้สน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล พร้อมด้วยตัวแทนเครือข่ายแรงงาน นำโดย สุนทร บุญยอด อดีตกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ เซีย จำปาทอง และ ธนพร วิจันทร์ ขึ้นเวทีประกาศนโยบายก้าวไกลเพื่อชีวิตที่ดีขึ้นของผู้ใช้แรงงาน

พิธา กล่าวว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยกำลังเจอความท้าทายใน 2 อุตสาหกรรมที่สำคัญของประเทศ คืออุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเผชิญการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ดังนั้น คนที่เป็นผู้นำแรงงานต้องมาพูดคุยกันว่าจะรับมือความเปลี่ยนแปลงนี้อย่างไร ในส่วนพรรคก้าวไกล เราให้ความสำคัญกับพี่น้องแรงงานอย่างมาก และได้ออกแบบนโยบายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนทำงานทุกคนอย่างยั่งยืน เช่น ถ้าก้าวไกลเป็นรัฐบาล ค่าแรงขั้นต่ำต้องขึ้นทันที 450 บาท โดยคำนวณให้สอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อและดัชนีค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นทุกปี ตั้งต้นจากปี 2554 ที่ค่าแรงขั้นต่ำปรับขึ้นเป็น 300 บาทต่อวัน

“พรรคก้าวไกลเสนอว่าค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มขึ้นทันที 450 บาทในปี 2566 ส่วนพรรคการเมืองอื่นก็ได้เสนอตัวเลขและระยะเวลาเป้าหมายที่ต่างออกไป ผมคิดว่าเป็นนิมิตรหมายที่ดี ที่พรรคการเมืองเห็นตรงกันว่าต้องเพิ่มรายได้ของผู้ใช้แรงงานให้สูงขึ้น ให้ทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าปัจจุบัน” พิธากล่าว

หัวหน้าพรรคก้าวไกลกล่าวต่อว่า การแก้ปัญหาของผู้ใช้แรงงานนั้น ทำแค่เรื่องค่าแรงอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องเพิ่มการคุ้มครองสิทธิแรงงานด้วย ไม่ว่าจะเป็น ชั่วโมงการทำงานไม่เกิน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ สิทธิวันหยุด สิทธิลาคลอดที่เพิ่มขึ้น สิทธิการรวมตัวกันของแรงงานตามอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ผลกระทบจากโควิด-19 ที่ผ่านมา ทำให้เราเห็นความสำคัญของการที่แรงงานทุกคนต้องมีสิทธิประกันสังคม นอกจากนี้ รัฐต้องสนับสนุนการพัฒนาทักษะของแรงงานเพื่อเพิ่มเติมประสิทธิภาพการทำงานในโลกปัจจุบัน เช่น นโยบายคูปองคนวัยทำงานเพื่อเรียนรู้ทักษะใหม่ รัฐร่วมจ่าย 80% จากราคาหลักสูตร แต่ไม่เกิน 5,000 บาทต่อคนต่อปี

‘อุ๊งอิ๊ง’ นำทีมเพื่อไทยลุยเมืองคอน อ้อนขอใจชาวใต้ ดันแลนด์สไลด์

‘แพทองธาร’ นำทีมเพื่อไทย ลงพื้นที่จังหวัดภาคใต้ ‘ชลน่าน’ พร้อมดันเมืองนครศรีธรรมราช เป็นฮับโลจิสติกส์-ม.วลัยลักษณ์เป็นฮับการแพทย์ 7 จว.ภาคใต้ตอนบน อ้อนขอใจชาวใต้ดันแลนด์สไลด์เพื่อไทยกลบ ส.ว.เลือกนายกฯ ‘อุ๊งอิ๊ง’ โชว์อ้อนอย่าทิ้ง ‘นุ้ย’ นะ  

วันนี้ (11 ธ.ค65) เมื่อเวลา 07.40 น. ที่ท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช จ.นครศรีธรรมราช นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย, น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วน ในฐานะหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย พร้อมด้วยผู้บริหาร แกนนำพรรคเพื่อไทย เดินทางมาถึง จ.นครศรีธรรมราช เพื่อร่วมกิจกรรม ‘ครอบครัวเพื่อไทย แหลงจริง ทำได้ คนใต้หรอยแรง’ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ น.ส.แพทองธารได้ร่วมลงพื้นที่ภาคใต้ พร้อมกับนายปิฎก สุขสวัสดิ์ สามีของ น.ส.แพทองธาร โดย น.ส.แพทองธารถือเป็นสะใภ้ของคนใต้ เพราะสามีเป็นคนนครศรีธรรมราช โดยมีนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัว, นายก่อแก้ว พิกุลทอง, นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท อดีต ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และมีประชาชนที่มารอให้กำลังใจมอบดอกกุหลาบสีแดงให้กับน.ส.แพทองธาร

จากนั้นเวลา 08.30 น. คณะครอบครัวเพื่อไทย พร้อมแกนนำพรรคเพื่อไทย เดินทางไปกราบสักการะพระบรมสารีริกธาตุ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร วัดอารามหลวงชั้นเอก ซึ่งมีนายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ อดีตประธาน นปช. พร้อมคณะรอต้อนรับ จากนั้น น.ส.แพทองธาร นพ.ชลน่าน พร้อมคณะได้เข้าสักการะพระบรมสารีริกธาตุ โดยมีพระเทพวินยาภรณ์ (สมปอง ปัญญาทีโป) เจ้าอาวาสวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.นครศรีธรรมราช มอบพระพุทธสิหิงค์ ให้กับ น.ส.แพทองธารและคณะ

พระเทพวินยาภรณ์ กล่าวตอนหนึ่งระหว่างให้พรกับ น.ส.แพทองธารว่า ทุกท่านที่มามียศมีตำแหน่งจะอยู่ในช่วงการทำงาน แต่ตำนานจะอยู่ในจิตใจประชาชน การจะเป็นตำนานได้จะต้องสร้างประโยชน์ให้แก่สังคมและประเทศชาติ พร้อมอนุโมทนาและขอให้คณะของ น.ส.แพทองธาร ปราศจากทุกข์ โรคภัย อันตรายทั้งหลายทั้งปวง ปรารถนาสิ่งใดขอให้สมพรทุกประการ

จากนั้น ที่หอประชุมเมืองนครศรีธรรมราช (ทุ่งท่าลาด) นพ.ชลน่าน กล่าวในกิจกรรม ครอบครัวเพื่อไทย จังหวัดนครศรีธรรมราช ‘ครอบครัวเพื่อไทย แหลงจริง ทำได้ คนใต้หรอยแรง’ ว่า วิกฤตที่พี่น้องประชาชนต้องพบเจอมาตลอด 8 ปีที่ผ่านมา เป็นความทุกข์ทรมาน ไร้เสรีสิทธิเสรีภาพ  ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป พี่น้องชาวใต้และพรรคเพื่อไทยจะจับมือสู้ไปด้วยกัน หากพี่น้องประชาชนต้องการออกจากความทุกข์ยาก อยากมีอนาคตที่ดี เตรียมพร้อมไว้สำหรับลูกหลาน ขอฝากพรรคเพื่อไทยไว้ในหัวใจของพี่น้องชาวใต้ทุกคน หากเราร่วมแรงร่วมใจ ขอเพียงพี่น้องชาวใต้ มอบใจ มอบคะแนนให้พรรคเพื่อไทยแลนด์สไลด์ในภาคใต้ แลนด์สไลด์ทั้งแผ่นดิน ต้องชนะอย่างถล่มทลาย ได้ที่นั่ง ส.ส. 250 คน ขึ้นไป เพื่อให้ได้เสียงชนะ ส.ว.ที่มี 250 คน หากชนะ ส.ว.ได้ เขาจะยอมก้มหัวให้เรา

พรรคเพื่อไทยมาพบปะพี่น้องชาวใต้ในครั้งนี้ พร้อมนำเสนอเสาหลักของพรรคที่จะนำพาพี่น้องออกจากวิกฤต ได้แก่

1.ว่าที่แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ที่มีความรู้ ความสามารถ และมีความเห็นอกเห็นใจพี่น้องประชาชน เชื่อว่าว่าที่แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทยได้เข้าไปอยู่ในหัวใจของพี่น้องชาวใต้แล้วจากผลโพลในช่วงที่ผ่านมา และเชื่อมั่นว่าหลังจบกิจกรรมครอบครัวเพื่อไทย จ.นครศรีธรรมราช คะแนนผลโพลความนิยมของว่าที่แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย อาจจะขยับขึ้นจาก 13% เป็นเท่าตัว หรือ 25%

2.ผู้ซึ่งประสงค์รับสมัคร ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย ครบทั้ง 400 เขต ซึ่งในส่วนของพื้นที่ภาคใต้ พรรคเพื่อไทยส่งครบ 58 เขต จะต่อสู่ในสนามเลือกตั้งจนกว่าจะได้รับความไว้วางใจ หากพี่น้องประชาชนชาวใต้ มีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับผู้ซึ่งประสงค์รับสมัคร ส.ส.ของพรรค เรายินดีรับฟังและปรับเปลี่ยนเพื่อพี่น้องประชาชน ซึ่งเป็นข้อตกลงที่ได้แจ้งผู้ซึ่งประสงค์รับสมัคร ส.ส.ของพรรค ซึ่งทั้งหมดรับฟังและยินดีที่จะช่วยเหลือพรรคเพื่อไทยไปสู่ชัยชนะในการเลือกตั้ง

3.นโยบายของพรรคเพื่อไทย ภาคใต้มีทรัพยากรที่มีความหลากหลาย มีความอุดมสมบูรณ์  อย่างอำเภอทุ่งสง เคยถูกวางเป็นศูนย์กลางการขนส่งในภาคใต้ หากมีการพัฒนาด้วยการสร้างถนนฝั่งอันดามัน ที่ จ.พังงา จ.กระบี่ ตัดเข้ามาในพื้นที่ มารวมเข้ากับสิ่งที่พี่น้องประชาชนเสนอแนวคิดพรรคเพื่อไทยเพื่อให้ผลักดันมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ เป็นศูนย์กลางทางการแพทย์รองรับการรักษาพยายาลพี่น้องประชาชนใน 7 จังหวัดภาคใต้ตอนบน เพื่อแบ่งเบาการรักษาพยาบาลจากมหาวิทยาสงขลานครินทร์ ที่รักษาพยาบาลพี่น้องชาวใต้ 14 จังหวัด ได้ประโยชน์ทั้งการขนส่งและการรักษาพยาบาล ซึ่งในเรื่องนี้ตนพร้อมนำเสนอเข้าสู่ทีมนโยบายของพรรคเพื่อไทย ทำได้ ไม่ยาก เพราะเพื่อไทยทำเป็น

“หากพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งถล่มทลาย เราจะประสบความสำเร็จไปด้วยกัน ความสำเร็จนั้นหมายถึงคนไทยทั่วประเทศทุกภูมิภาค พรรคเพื่อไทยต้องการเอาตัวตนของพรรคไปอยู่ในหัวใจของพี่น้องประชาชนชาวใต้ เป็นส่วนหนึ่งในชีวิต เป็นสถาบันการเมืองที่ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด พรรคเพื่อไทยจะเป็นคำตอบให้กับทุกคน” นพ.ชลน่าน กล่าว

‘อุ๊งอิ๊ง’ ปลื้ม!! ร้านบะหมี่ในกรุงเก่า ขานรับขึ้นค่าแรง ‘เศรษฐา’ ชง เป็นนโยบายสร้างแรงบันดาลใจและความหวัง

(11 ธ.ค. 65) จากรณีที่พรรคเพื่อไทย ประกาศนโยบายแบบคิดใหญ่ ปรับค่าแรงขั้นต่ำวันละ 600 บาท ภายในปี 2570 ทำให้เป็นกระแสวิจารณ์อย่างกว้างขวางนั้น ทั้งสนับสนุนและไม่เห็นด้วย ซึ่งหนึ่งในนั้นมีร้านก๋วยเตี๋ยว บะหมี่เกี๊ยวเย่หลิว สาขาอยุธยา โพสต์รูปภาพป้ายหน้าร้านขนาดใหญ่ผ่านทวิตเตอร์ โดยมีข้อความในป้ายดังกล่าว ว่า พร้อมจ่ายค่าแรงขั้นต่ำวันละ 600 บาท ภายในปี 2570

ล่าสุด ‘อุ๊งอิ๊ง’ แพทองธาร ชินวัตร โพสต์ข้อความทวิตเตอร์ส่วนตัว @ingshin ระบุว่า...อมยิ้มแล้ว 1

จากนั้นนายเศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ได้ทวีตข้อความ น.ส.แพทองธาร พร้อมระบุข้อความว่า “คนเราอยู่ได้เพราะมีความหวัง หน้าที่ผู้นําคือสร้างแรงบันดาลใจที่มีความเป็นไปได้ให้เขาลุกขึ้นมาทำงานทุกวัน ค่าแรงขั้นต่ำที่สูงขึ้นเป็นหนึ่งในหลาย ๆ วิธีที่จะลดความเหลื่อมล้ำที่ถ่างขึ้นทุก ๆ วัน ผมมีความหวังครับ และพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของแรงบันดาลใจ”

ทั้งนี้ มีชาวทวิตเตอร์เข้ามาขอให้นายเศรษฐา ขยายความประโยชน์ที่ว่า ‘พร้อมจะเป็นส่วนหนึ่งของแรงบันดาลใจ’ ตามที่ทวีตข้อความ โดยนายเศรษฐาตอบว่า ‘CEO แสนสิริ มีเครือข่ายเยอะครับ’

‘นิด้าโพล’ เผยผลสำรวจ ‘6 พรรคกับโอกาสได้เป็น รบ.’ ชี้!! ‘เพื่อไทย’ พุ่งอันดับ 1 ส่วน ‘ก้าวไกล’ ครองอันดับ 2

(11 ธ.ค. 65) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง ‘6 พรรคกับโอกาส ได้เป็นรัฐบาล’ ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 7-9 ธันวาคม 2565 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับ 6 พรรคกับโอกาสได้เป็นรัฐบาล การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ ‘นิด้าโพล’ สุ่มตัวอย่างด้วยวิธีแบบง่าย (Simple Random Sampling) เก็บข้อมูล ด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0

จากการสำรวจเมื่อให้ประชาชนวิเคราะห์ถึงโอกาสที่พรรคการเมือง ทั้ง 6 พรรค ซึ่งกำลังมีกระแสข่าวการไหลเข้า-ออก ของนักการเมือง จะได้เป็นรัฐบาล ภายหลังการเลือกตั้งสมัยหน้า พบว่า

1. พรรคเพื่อไทย (นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว/น.ส.แพทองธาร ชินวัตร) 

ร้อยละ 40.38 ระบุว่า โอกาสได้เป็นรัฐบาลค่อนข้างมาก 

ร้อยละ 32.44 ระบุว่า ได้เป็นรัฐบาลแน่นอน

ร้อยละ 16.88 ระบุว่า โอกาสได้เป็นรัฐบาลค่อนข้างน้อย

ร้อยละ 8.24 ระบุว่า ไม่ได้เป็นรัฐบาลแน่นอน 

ร้อยละ 2.06 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

2. พรรคก้าวไกล (นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์) 

ร้อยละ 31.45 ระบุว่า โอกาสได้เป็นรัฐบาลค่อนข้างน้อย 

ร้อยละ 30.23 ระบุว่า โอกาสได้เป็นรัฐบาลค่อนข้างมาก

ร้อยละ 23.66 ระบุว่า ไม่ได้เป็นรัฐบาลแน่นอน

ร้อยละ 11.00 ระบุว่า ได้เป็นรัฐบาลแน่นอน 

ร้อยละ 3.66 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

3. พรรคพลังประชารัฐ (พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ) 

ร้อยละ 33.51 ระบุว่า ไม่ได้เป็นรัฐบาลแน่นอน 

ร้อยละ 32.60 ระบุว่า โอกาสได้เป็นรัฐบาลค่อนข้างน้อย

ร้อยละ 20.38 ระบุว่า โอกาสได้เป็นรัฐบาลค่อนข้างมาก 

ร้อยละ 10.76 ระบุว่า ได้เป็นรัฐบาลแน่นอน 

ร้อยละ 2.75 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

4. พรรครวมไทยสร้างชาติ (นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค/พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) 

ร้อยละ 43.12 ระบุว่า ไม่ได้เป็นรัฐบาลแน่นอน 

ร้อยละ 31.45 ระบุว่า โอกาสได้เป็นรัฐบาลค่อนข้างน้อย

ร้อยละ 15.73 ระบุว่า โอกาสได้เป็นรัฐบาลค่อนข้างมาก

ร้อยละ 5.73 ระบุว่า ได้เป็นรัฐบาลแน่นอน 

ร้อยละ 3.97 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

5. พรรคภูมิใจไทย (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) 

ร้อยละ 39.16 ระบุว่า โอกาสได้เป็นรัฐบาลค่อนข้างน้อย 

ร้อยละ 30.84 ระบุว่า ไม่ได้เป็นรัฐบาลแน่นอน

ร้อยละ 21.60 ระบุว่า โอกาสได้เป็นรัฐบาลค่อนข้างมาก

ร้อยละ 4.96 ระบุว่า ได้เป็นรัฐบาลแน่นอน

ร้อยละ 3.44 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

6. พรรคประชาธิปัตย์ (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) 

ร้อยละ 40.69 ระบุว่า โอกาสได้เป็นรัฐบาลค่อนข้างน้อย 

ร้อยละ 38.93 ระบุว่า ไม่ได้เป็นรัฐบาลแน่นอน

ร้อยละ 13.20 ระบุว่า โอกาสได้เป็นรัฐบาลค่อนข้างมาก

ร้อยละ 4.58 ระบุว่า ได้เป็นรัฐบาลแน่นอน 

ร้อยละ 2.60 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ท้ายที่สุดเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนต่อกระแสข่าวข้อตกลงการจัดตั้งรัฐบาลร่วมกันระหว่างพรรคพลังประชารัฐกับพรรคเพื่อไทย ภายหลังการเลือกตั้งสมัยหน้า พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 45.65 ระบุว่า ไม่เชื่อเลย เพราะ เป็นเพียงแค่กระแสข่าวลือ โอกาสเป็นไปได้ยาก เนื่องจากอุดมการณ์ทางการเมืองแตกต่างกัน

รองลงมา ร้อยละ 29.24 ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อ เพราะ ทั้งสองพรรคต่างต้องการจัดตั้งรัฐบาลภายใต้ การนำของตนเองจึงไม่น่าจะร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลได้

ร้อยละ 16.64 ระบุว่า ค่อนข้างเชื่อ เพราะ การเมืองเป็นเรื่องของการหาผลประโยชน์ จึงมีความเป็นไปได้ที่ทั้งสองพรรคจะตกลงจัดตั้งรัฐบาลร่วมกัน

ร้อยละ 5.19 ระบุว่า เชื่อมาก เพราะ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐกับพรรคเพื่อไทยเคยมีความสัมพันธ์กันในอดีต จึงอาจมีการหารือเพื่อตกลงเรื่องผลประโยชน์หากได้เป็นรัฐบาลร่วมกัน และร้อยละ 3.28 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่แน่ใจ

‘พิธา’ ชี้!! กอ.รมน. เบิกงบซ้ำซ้อนหน่วยงานอื่น กร้าว!! หากเป็น รบ. จะโยกงบหนุน ศก. - ศิลปะ

‘พิธา’ ประกาศ ถ้าก้าวไกลเป็นรัฐบาล พร้อมตัดงบ กอ.รมน. โยกไปทำเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ชี้ซอฟต์พาวเวอร์ไทยจะรุ่ง ต้องมีรัฐสวัสดิการให้คนทำงานกล้าลอง-บ้านเมืองมีเสรีภาพ-เป็นประชาธิปไตย

เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2565 ที่จังหวัดเชียงใหม่ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ร่วมเวทีและนิทรรศการ ‘เทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ 2022 - Chiang Mai Design Week 2022’ โดยได้ร่วมเสวนาพูดคุยกับศิลปินอิสระ พร้อมชูนโยบายพรรคก้าวไกลในการส่งเสริมวงการศิลปะสร้างสรรค์และซอฟต์พาวเวอร์ในประเทศไทย

พิธากล่าวในการเสวนาช่วงหนึ่งว่า แม้ที่ผ่านมาหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องจะพยายามยกคำว่า ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ และคำว่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์มาใช้มากมาย แต่ในความเป็นจริง วงการศิลปวัฒนธรรมในประเทศไทยกลับเป็นวงการหนึ่งที่ได้รับการส่งเสริมน้อยที่สุด เห็นได้จากงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ที่อยู่กับหน่วยงานอย่างสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ สศส. กลับได้รับงบประมาณต่อปีเพียง 300 ล้านบาทเท่านั้น หรือกระทรวงวัฒนธรรมเอง งบประมาณกว่า 4 พันล้านบาทจากกว่า 6.7 พันล้านบาท ได้ถูกใช้ไปกับการส่งเสริมวัฒนธรรมแบบแช่แข็ง ตายตัว และรับใช้การเมืองของฝ่ายอนุรักษ์นิยม เช่น เรื่องค่านิยม 12 ประการ ขณะที่งบประมาณเกี่ยวกับซอฟต์พาวเวอร์มีเพียง 60 ล้านบาท และงบเกี่ยวกับการส่งเสริมวัฒนธรรมร่วมสมัยมีเพียง 180 ล้านบาท

พิธากล่าวว่า ที่ผ่านมาวัฒนธรรมที่ได้รับการส่งเสริมจากรัฐ มักเป็นวัฒนธรรมเพื่อการควบคุมประชาชน มีมุมมองต่อวัฒนธรรมไทยว่าเป็นสิ่งตายตัว เปลี่ยนแปลงไม่ได้ และยังใช้โครงสร้างทางสังคมการเมืองมาปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์ของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายอย่าง พ.ร.บ.ภาพยนตร์, พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์, พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ รวมถึงกฎหมายที่ถูกใช้เล่นงานคนเห็นต่างทางการเมือง เช่น ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ในทางกลับกัน หน่วยงานที่อยู่ภายใต้สำนักนายกรัฐมนตรีอย่างกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) กลับได้รับงบประมาณปีหนึ่งๆ ถึง 8 พันล้านบาท หรือศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) ที่มีภารกิจและงบประมาณส่วนใหญ่ซ้ำซ้อนกับหน่วยงานอื่น ๆ ได้รับงบประมาณถึง 1,400 ล้านบาท สะท้อนการไม่ให้ความสำคัญกับซอฟต์พาวเวอร์และเศรษฐกิจสร้างสรรค์อย่างจริงจังของผู้มีอำนาจในปัจจุบัน เมื่อเทียบกับต่างประเทศ เช่น เกาหลีใต้ที่ทุ่มงบประมาณมากกว่าไทยอย่างมหาศาล หน่วยงาน KOCCA (Korean Creative Content Agency) ได้รับงบประมาณปีละ 1.5 หมื่นล้านบาท กระทรวงวัฒนธรรมของเกาหลีใต้ได้งบประมาณปีละ 2 แสนล้านบาท ครั้งหนึ่งเกาหลีใต้เคยมาดูงานที่บริษัทชั้นนำของวงการเพลงไทย แต่วันนี้วงการเพลงป็อปของเกาหลีใต้ไปไกลกว่าไทยมากแล้ว

พิธายังระบุต่อไปว่า การผลักดันซอฟต์พาวเวอร์และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในประเทศไทย ต้องเริ่มต้นที่วิธีคิดของผู้มีอำนาจ ที่ต้องไม่ใช่แค่การอนุรักษ์ของเดิม แต่เป็นการปรับตัวตามยุคสมัย สร้างรัฐสวัสดิการเพื่อให้คนทำงานสร้างสรรค์กล้าลองผิดลองถูก และทำให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย ที่ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น

‘เพื่อไทย’ แฉกระจุย ปมบีทีเอสทวงหนี้ 4 หมื่นล้าน เผย!! เตรียมยื่นหนังสือถึงผู้ว่าฯ ชัชชาติ สะสางปัญหา

เมื่อวันที่ 10 ธ.ค. 65 ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่รถไฟฟ้าสายสีเขียวที่มีการทวงหนี้ 4 หมื่นล้านบาท ว่า บีทีเอส ได้ปล่อยคลิปที่มีภาพนายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บมจ. บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) นำทีมผู้บริหารและพนักงาน อธิฐานขอพรท้าวมหาพรหม ให้ช่วยแก้ไขปัญหาภาระหนี้สินโดยเร็ว ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ตลอดที่ตนเล่นการเมืองมา 20 ปี ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ ส่วนหนี้สิน 4 หมื่นล้านนั้น ทำไมกรุงเทพมหานคร (กทม.) จ่ายไม่ได้ เป็นเพราะผู้ว่าฯกทม.ในอดีตก่อนนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เจาะใจทำผิดสัญญา สร้างหนี้ขึ้นมา 4 หมื่นล้านบาทเอื้อประโยชน์ให้บีทีเอส 

นายยุทธพงศ์ กล่าวว่า กทม.ให้กรุงเทพธนาคม จ้างบีทีเอส ติดตั้งระบบรถไฟฟ้าสายสีเขียวเหนือและสายเขียวใต้ โดยไม่มีการประมูล ทำให้เกิดหนี้ก้อนแรก จำนวน 2.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งกทม. ปล่อยให้ประชาชนนั่งฟรี โดยไม่มีการเก็บค่าโดยสารส่วนต่อขยายที่ 2 มาตั้งแต่ปี 61 แต่มีค่าวิ่งรถเกิดเป็นหนี้ส่วนที่ 2 จำนวน 1.4 หมื่นล้านบาท และกทม.หยุดจ่ายค่าจ้างเดินรถส่วนต่อขยายที่ 1 มาตั้งแต่ปี 62 ทำให้เกิดหนี้ส่วนที่ 3 จำนวน 4 พันล้านบาท เนื่องจากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ออกคำสั่ง คสช.มาตรา 44 ไม่ต้องจ่ายค่าจ้างเดินรถส่วนต่อขยายที่ 1 ที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ นี่จึงเป็นที่มาของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ปล่อยเหลวปล่อยให้เกิดหนี้ 

‘ก้าวไกล’ รับฟังปัญหาชุมชนแออัดในเชียงใหม่ พร้อมชงปลดล็อกท้องถิ่น กระจายที่ดินสู่ปชช.

‘พิธา’ พร้อมว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ก้าวไกล สำรวจชุมชนแออัดเชียงใหม่ ชี้ปัญหาประชาชนไม่มีที่อยู่มั่นคง ที่ดินถูกทิ้งร้าง-กระจุกในมือเอกชนรายใหญ่ ชงแก้ปัญหาระยะยาว สร้างรัฐสวัสดิการ-ปลดล็อกท้องถิ่น-กระจายที่ดินให้ประชาชน

วันที่ 10 ธันวาคม 2565 ที่จังหวัดเชียงใหม่ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วยว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เชียงใหม่ ของพรรคก้าวไกล ประกอบด้วย เขต 1 เพชรรัตน์ ใหม่ชมภู, เขต 3 ณัฐพล โตวิจักษณ์ชัยกุล และ เขต 4 พุธิตา ชัยอนันต์ ร่วมสำรวจและรับฟังปัญหาชาวชุมชนริมคลองแม่ข่า หลังวัดโลกโมฬี อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นหนึ่งในชุมชนแออัดที่อยู่ในพื้นที่ของเทศบาลนครเชียงใหม่ และกำลังได้รับผลกระทบจากแผนพัฒนาแม่บทคลองแม่ข่า รวมถึงการไล่รื้อชุมชนออกจากพื้นที่ด้วย

.จากการรับฟังปัญหา พบว่าชุมชนแออัดในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ มีจำนวนกว่า 21 ชุมชน รวม 2,169 หลังคาเรือน คิดเป็น 3% ของประชากรในเขตเทศบาล โดยที่ดินที่อาศัยอยู่ทั้งหมดเป็นที่ดินของรัฐ ส่วนใหญ่เป็นที่ดินราชพัสดุและเทศบาลนครเชียงใหม่ และหน่วยงานอื่น ๆ รวมกันกว่า 9 หน่วยงาน ชาวชุมชนมีทั้งที่อยู่อาศัยโดยมีสัญญาเช่าและไม่มีสัญญาเช่า ซึ่งตามแผนพัฒนาแม่บทคลองแม่ข่าไม่ได้มีแผนในการจัดการที่อยู่อาศัยหรือการชดเชยที่ชัดเจนหากการไล่รื้อเกิดขึ้น

.เพชรรัตน์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาตัวแทนชุมชนมีข้อเสนอในการจัดการ โดยขอให้ทางจังหวัดหยุดการไล่รื้อหรือย้ายประชาชนออกจากชุมชนจนกว่าจะมีแผนแม่บทการจัดการที่อยู่อาศัยที่ชัดเจน โดยชุมชนพร้อมจะปรับปรุงในที่ดินเดิมผ่านคณะทํางานที่อยู่อาศัยระดับชุมชน ในการร่วมกำหนดระยะร่นของอาคารและการปรับปรุงที่เหมาะสม ส่วนประชาชนที่ไม่สามารถอยู่ที่เดิมได้ จะขอเช่าอยู่ในพื้นที่ของรัฐใกล้เคียงที่เดิมและขอมีส่วนร่วมในการกําหนดเกณฑ์การพิจารณาสิทธิในการอยู่อาศัยร่วมกับคณะทํางาน

นิพนธ์ มั่นใจ เลือกตั้งส.ส.ปี 66 ภาคใต้ ปชป.ได้ 35-40 ที่นั่ง โว มีหลายเขตคนแย่งกันลง จนต้องมีการทำโพลหาคนที่แข็งแกร่งที่สุด ซัด บางคนพอไม่ผ่านการทำโพลก็หันมาทำลายพรรค

เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2565 ที่สำนักงานสาขาพรรคประชาธิปัตย์ เขต 1 สงขลา นายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวเปิดการประชุมใหญ่สามัญสาขาพรรคประชาธิปัตย์ ประจำจังหวัดสงขลา เขตเลือกตั้งที่ 1 โดยมี นายถนอมศักดิ์ แป๊ะเส้ง ประธานสาขาพรรค พร้อมด้วย นายสรรเพชญ บุญญามณี ผู้สมัคร ส.ส.พรรคปชป.เขตเลือกตั้งที่ 1 สงขลา กรรมการบริหารพรรค สมาชิกสภา อบจ.สงขลา สมาชิกสภาเทศบาลเมืองเขารูปช้าง สมาขิกพรรค และผู้เข้าร่วมสังเกตการณ์ เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมสาขาพรรคปชป.เขตเลือกตั้งที่ 1 สงขลา  

ทั้งนี้เพื่อให้สมาขิกพรรคทุกคนได้รับทราบถึงกิจกรรมต่างๆของทางสาขาพรรคที่ได้ดำเนินการตลอดเวลาที่ผ่านมา และเลือกตั้งกรรมการบริหารสาขาพรรคแทนชุดเก่าที่ครบวาระ โดยมีพนักงานการเลือกตั้งชำนาญการ ตัวแทนผู้สังเกตุการณ์จากสำนักงาน กกต.ประจำจังหวัดสงขลา ร่วมสังเกตการณ์ และกล่าวทักทายผู้เข้าร่วมประชุมพร้อมทั้งชี้แจงข้อกฏหมายที่สำคัญเกี่ยวกับการเลือกตั้ง และบรรยายถึงบทบาทหน้าที่ของสมาชิกพรรค มีต่อสาขาพรรค 

นายนิพนธ์กล่าวช่วงหนึ่งว่า ในฐานะที่เป็นรองหัวหน้าพรรคดูแลสาขาพรรคประจำเขตเลือกตั้งสาขาพรรคปชป. ต้องขอขอบคุณกรรมการสาขา และสมาชิกพรรค ในรอบปีที่ผ่านมาที่ได้ข่วยทำกิจกรรมของสาขาพรรคด้วยดีตลอดมา ในนามตัวแทนพรรคปชป.จึงต้องขอขอบคุณ เพราะพรรคอยู่ได้ด้วยความเข้มแข็งเพราะสาขาพรรค  ผู้แทนพรรค สมาชิกพรรค เราจึงอยู่ได้ตลอด 76 ปี เข้าปีที่ 77 ซึ่งพรรคปชป.เป็นการเมืองเดียวที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ เป็นพรรคของมวลสมาชิกทุกคน นี่คือความต่าง ความไม่เหมือนจากพรรคการเมืองอื่นๆ จึงขอให้มั่นใจในพรรคปชป. ตั้งแต่นี้ไปจะเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง การเลือกตั้งที่จะ ซึ่งกกต.ประกาศแล้วว่าถ้าครบวาระ ในวันที่ 7 พ.ค. 66 จะเป็นวันเลือกตั้ง คืออยู่ครบวาระ 23 มี.ค. ซึ่งตนขอยืนยันว่าภาคใต้คราวที่ แล้ว ส.ส. 50 คนเราได้ 22 คน ถือว่าเราเสียหายมาก โดยการเลือกตั้งครั้งใหม่ที่จะถึงนี้ ในฐานะที่เป็นผอ.เตรียมการเลือกตั้งของพรรคคาดว่าพรรคจะได้ 35 - 40 ที่นั่ง  เพราะครั้งนี้ปชป.ประกาศสู้เต็มที่ ในทุกเขตเลือกตั้งโดยเฉพาะในจังหวัดชายแดนใต้ คนไทยในมาเลเซีย ที่ตนได้เดินทางไปพบปะกับพี่น้องในมาเลเซียเครือข่ายต้มยำกุ้งที่มีพื้นเพอยู่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้  ซึ่งจะนำไปสู่การแก้ปัญหาในจชต. นั่นคือแก้ความยากจนในพื้นที่ให้มีอาชีพ มีรายได้ และ มีงานทำ เพราะ ปชป.เข้าใจและเข้าถึงในเรื่องนี้ตนจึงได้นำคณะเดินทางไปพบเครือข่ายต้มยำกุ้งที่ประเทศมาเลเซียและพบกลุ่มที่มีความคิดเห็นที่ต่างกันในหลายเรื่อง เพื่อนำไปสู่การร่วมกันแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนในพื้นที่ และได้รับการต้อนรับอย่างดียิ่ง 

‘ยุทธพงศ์’ ชี้!! ปชช. มีรายรับไม่พอกับรายจ่าย เชื่อ!! นโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ช่วยแก้ปัญหาถูกจุด

เมื่อวันที่ 10 ธ.ค. 2565 ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงนโยบายพรรคเพื่อไทยค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท และมีการวิจารณ์อาจทำให้นักลงทุนไปต่อไม่ไหว ว่า ปัจจุบันทานอาหารหนึ่งมื้อแค่ในพื้นที่ต่างจังหวัด อ.พยัคฆภูมิพิสัย จ.มหาสารคาม เฉลี่ย 50 บาทต่อจาน ยังไม่รวมค่าใช้ค่าอื่น ๆ เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์มือถือ ค่าน้ำมัน และค่าส่งเสียบุตรหลาน สะท้อนให้เห็นว่าหากไม่มีการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำชาวบ้านจะอยู่ไม่ได้ จึงเป็นที่มาของนโยบายพรรคเพื่อไทย​ ว่า ภายในปี 70 ค่าแรงขั้นต่ำต้องไปถึง 600 บาท

นายยุทธพงศ์ กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ​รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม บริหารประเทศ 8 ปี ชาวบ้านมีแต่หนี้สิน 

ส่วนที่พล.อ.ประยุทธ์ ถามว่า ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะเอาเงินมาจากไหนนั้น พร้อมขอถามกลับว่า แค่จะช่วยชาวบ้านบอกไม่มีเงิน แต่มีเงินไปซื้อเรือดำน้ำจีน 3 ลำ แถมเรือดำน้ำลำแรกมีปัญหาเรื่องเครื่องยนต์ที่จีนไม่มีเครื่องยนต์ MTU ของประเทศเยอรมันมาติดตั้งให้ ก็ยังไม่ยอมยกเลิกสัญญาเลย ล่าสุด​ จะมีการซื้อเครื่องบินรบ F-35 A ลำละ 5 พันล้านบาทมาอีกฝูง แบบนี้ทำไมถึงมีเงินแล้วเงินช่วยชาวบ้านทำไมไม่มี


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top