Tuesday, 1 July 2025
POLITICS NEWS

เช็กชื่อ 31 ส.ส. แห่ยื่นใบลาออก พปชร. คาดเปิดตัวกับพรรคภูมิใจไทย 16 ธ.ค.นี้

หลังจากที่มีกระแสข่าวจะมีส.ส.ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งจำนวนมากในวันที่ 13-14 ธ.ค.เพื่อเตรียมไปเปิดตัวกับพรรคภูมิใจไทยในการประชุมพรรควันที่ 16 ธ.ค.นั้น เมื่อวันที่ 14 ธ.ค.ที่ผ่านมา ก็ได้มี ส.ส.จำนวน 31 คน ยื่นหนังสือลาออกต่อสำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรแล้ว โดยให้มีผลในวันที่ 15 ธ.ค.นี้ ประกอบด้วย พรรคพลังประชารัฐ 11 คน ได้แก่ 

1.นายจักรพันธ์ พรนิมิตร ส.ส.กทม. 
2.นายกษิดิ์เดช ชุติมันต์ ส.ส.กทม. 
3.น.ส.พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ ส.ส.กทม.
4.นายมณเฑียร สงฆ์ประชา ส.ส.ชัยนาท 
5.นายสัมฤทธิ์ แทนทรัพย์ ส.ส.ชัยภูมิ 
6.นายปฐมพงศ์ สูญจันทร์ ส.ส.นครปฐม 
7.นายกฤษณ์ แก้วอยู่ ส.ส.เพชรบุรี 
8.นายอนุชา น้อยวงศ์ ส.ส.พิษณุโลก 
9.นายประทวน สุทธิอํานวยเดช ส.ส.ลพบุรี กาญจนบุรี 
10.นายธรรมวิชญ์ โพธิพิพิธ ส.ส.กาญจนบุรี 
11.นายอัฎฐพล โพธิพิพิธ ส.ส.กาญจนบุรี

พรรคเพื่อไทย จำนวน 7 คน ได้แก่ 
1.นายธีระ ไตรสรณกุล ส.ส.ศรีสะเกษ 
2.นายประเดิมชัย บุญช่วยเหลือ ส.ส.กทม. 
3.นายนิยม ช่างพินิจ ส.ส.พิษณุโลก 
4.นายจักรพรรดิ ไชยสาส์น ส.ส.อุดรธานี 
5.นายวุฒิชัย กิตติธเนศวร ส.ส.นครนายก 
6.นายสุชาติ ภิญโญ ส.ส.นครราชสีมา 
7.นายนพ ชีวานันท์ ส.ส.พระนครศรีอยุธยา

พรรคก้าวไกล 5 คน ได้แก่ 
1.นายขวัญเลิศ พานิชมาท ส.ส.ชลบุรี 
2.นายเอกภพ เพียรพิเศษ ส.ส.เชียงราย 
3.นายพีรเดช คําสมุทร ส.ส.เชียงราย 
4.นายเกษมสันต์ มีทิพย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 
5.นายคารม พลพรกลาง ส.ส.บัญชีรายชื่อ 

‘อดีตบิ๊ก ศรภ.’ เผยต่างชาติสนใจไทยจัดการ ‘คดีตู้ห้าว’ พร้อมเตือนสติคนไทย อย่ามัวหลงทางเรื่องค่าแรง 600

‘พล.ท.นันทเดช’ เผยทั่วโลกกำลังจับตาดูไทยในการใช้กฎหมายจัดการทุนจีนสีเทา เตือนอย่าไปหลงทางกับเรื่องเล็ก ๆ อย่างค่าแรง 600 บาท

(15 ธ.ค. 65) พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊ก ในหัวข้อ ‘ตู้ห้าว’ กำลังเป็น ‘ตู้ว่างเปล่า’ มีเนื้อหาว่า ปรากฏการณ์ของ ‘มาเฟียทุนจีนสีเทา’ กำลังส่งผลกระทบต่อสังคมไทยอย่างรุนแรงตลอดระยะเวลาเกือบ 2 เดือนที่ผ่านมา ขอย้ำว่าเวลาผ่านมาแล้วถึง 2 เดือน แต่คดีคืบหน้าไปอย่างแผ่ว ๆ ถ้าไม่มีคุณชูวิทย์ ป่านนี้คงจะเงียบไปแล้ว

น่าเศร้าที่สังคมไทยกำลังตกเป็นเหยื่อของคนต่างชาติกลุ่มหนึ่ง องค์กรที่ดูแลสังคม รวมทั้งพรรคการเมืองต่าง ๆ ก็พลอยเงียบไปด้วย ที่มันแปลก คือ เงียบไปทั้งฝ่ายค้าน และฝ่ายรัฐบาล

'พิธา' ยัน!! ความสัมพันธ์ 'เพื่อไทย' แน่นแฟ้น ชี้!! ค่าแรงต้องขึ้นต่อเนื่องไม่ใช่แค่ช่วงเลือกตั้ง

(14 ธ.ค. 65) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยประกาศนโยบายค่าแรงวันละ 600 บาท ว่า ตนคิดว่า นโยบายค่าแรงเป็นสิ่งที่พรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยมีความคิดเห็นตรงกัน เป็นสิ่งที่ตนอยากจะชวนพรรคเพื่อไทยมาทำร่วมกันในระบบประชาธิปไตย ที่มีระบบรัฐสภาซึ่งสามารถเสนอนโยบายของแต่ละพรรคได้ เพื่อให้เกิดผลดีที่สุดกับประชาชน ถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีที่ทั้งสองพรรคเห็นผู้ใช้แรงงานเป็นจุดศูนย์กลาง เพราะฉะนั้นในภาพใหญ่เรายืนยันว่าเรามีความสัมพันธ์ที่ดีกับพรรคเพื่อไทยมาโดยตลอด รวมถึงในอนาคตอาจจะมีบางอย่างที่เห็นไม่ตรงกันบ้างในเรื่องของการทำงาน แต่ตนคิดว่าน่าจะหาจุดร่วมกันได้ ที่เห็นตรงกันชัดเจนที่สุดคือสวัสดิการความเป็นอยู่ของประชาชนผู้ใช้แรงงาน

“ผมขอยืนยันว่า เรามีความสัมพันธ์ที่ดีกับพรรคเพื่อไทยมาตลอด ตั้งแต่ในอดีต ปัจจุบัน และหวังว่าในอนาคต เมื่อเราเริ่มแถลงนโบายก็มีหลายเรื่องที่เห็นตรงกัน ถ้าเราเป็นรัฐบาลร่วมกันก็สามารถที่จะแบ่งงานกันทำได้ และทำงานไปในทิศทางเดียวกัน” นายพิธากล่าว

‘นักวิชาการ’ ชี้!! สารพัดปัจจัยหนุน ภท.เนื้อหอม ‘มีเอกภาพ-ไร้ขัดแย้ง’ พื้นที่ปลอดภัยเอื้อ ส.ส.แห่ซบ

นักวิชาการ ประสานเสียงวิเคราะห์เหตุ ‘ภูมิใจไทย’ เนื้อหอม ส.ส.แห่ย้ายร่วม เชื่อสารพัดปัจจัยหนุน มีเอกภาพ-ไร้ความขัดแย้ง ดันเป็นพรรคหลักตั้งรัฐบาล

ไม่นานมานี้ รศ.ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มองความเคลื่อนไหวดังกล่าวถึงกระแสข่าวเรื่อง 37 ส.ส.จากหลายพรรคการเมือง เตรียมสมัครเป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทยนั้น ว่า…

อันนี้น่าจะเป็นสัญญาณบวกของพรรคภูมิใจไทย ที่พรรคเขามีกระแสพอสมควร โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา เพราะนักการเมือง คงไม่ย้ายไปพรรคที่ไม่มีอะไรขายเลย แต่ย้ายมาขนาดนี้ แสดงว่า มีจุดขาย ข้อต่อมา คนที่ย้าย เขาคงมีความมั่นใจในนโยบายพรรค ว่าดีพอสู้กับคู่แข่ง ที่เห็นเด่น ๆ คือ เป็นนโยบายที่พูดได้ ทำได้ นอกจากนั้น ผลงานที่ผ่านมาในการผลักดันนโยบายของพรรคได้พิสูจน์ความตั้งใจที่จะทำให้สำเร็จ ตรงนี้ ประชาชนเห็น แม้ว่ามีพรรคการเมืองอื่นพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้นโยบายผ่านเป็นกฎหมาย เพราะบางพรรคกลัวเสียผลประโยชน์ในทางเศรษฐกิจการเมือง แต่พรรคก็สู้ยิบตาเพื่อรักษาสัจจะที่ให้ไว้กับประชาชน ที่ต้องไม่ลืม คือ ลักษณะเด่นในการทำงานการเมืองของพรรคภูมิใจไทย คือ ไม่สร้างเงื่อนไขทางการเมือง ไม่มีวาระซ่อนเร้นกับประชาชน มีจุดยืนชัดเจน ทำให้ ส.ส.ลูกพรรคสบายใจในการทำงาน ซึ่งความสบายใจดังกล่าว มันก็มาจากความเป็นเอกภาพในพรรค ที่ไม่มีการกลุ่มมุ้ง ไม่แบ่งก๊ก แบ่งกลุ่ม เพื่อต่อรองเรียกร้องผลประโยชน์ของกลุ่มเหมือนพรรคการเมืองอื่นๆ จนนำไปสู่ปัญหาความขัดแย้งภายในพรรคจนพรรคแตก แล้วพรรคพยายามวางบทบาทสถานะทางการเมืองที่ไม่เป็นคู่ขัดแย้งกับใคร นี่คือ พื้นที่ปลอดภัยสำหรับนักการเมืองจำนวนไม่น้อย

“ความมีเอกภาพทำให้ลูกพรรคไม่ต้องลำบากใจในการทำงานการเมือง และไม่มีแรงกดดันทางทั้งภายในภายนอก ไม่ต้องวิ่งหาอำนาจอื่น หรือผู้มีบารที่อยู่เหนือพรรคหรือนอกพรรคมากดดันผู้บริหารพรรค จนทำให้หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคเป็นเพียงตำแหน่งสมมติตั้งลอยให้ครบองค์ประกอบเท่านั้น สภาพปัญหาดังกล่าวที่เกิดขึ้นในพรรคการเมืองอื่นทำให้ ส.ส.เหล่านี้ต้องตัดสินใจทิ้งพรรคการเมืองที่ไม่มีระบบ มีอำนาจซับซ้อนเกินไป หัวหน้าพรรค กรรมการบริหารพรรคไม่มีอำนาจจริงตัดสินใจอะไรไม่ได้ จึงไม่น่าแปลกใจที่ ส.ส.เหล่านั้นต้องย้ายมาสังกัดพรรคภูมิใจไทยเพราะมีความเป็นระบบมากกว่า อย่างน้อยที่สุดก็มั่นใจได้แน่ว่าหัวหน้าพรรค คือ หัวหน้าพรรคตัวจริง และ มีอำนาจจริง ไม่ใช้ตุ๊กตามนุษย์ที่เขาอุปโลกน์ให้เป็นหัวหน้าพรรคแต่ในนาม จากนี้ พรรคภูมิใจไทย จะกลายเป็นพรรคขนาดใหญ่รองจากเพื่อไทยที่จะมีบทบาทการเมืองสูงหลังการเลือกตั้ง และในการจัดตั้งรัฐบาลหน้าภูมิใจไทยจะไม่ใช่พรรคตัวแปรอีกต่อไป แต่จะเป็นพรรคที่จะมีอิทธิพลทางการเมืองสูงในการจัดตั้งรัฐบาล เป็นพรรคที่จะกำหนดวาระการเมืองซึ่งจะทำให้ความขัดแย้ง 2 ขั้วคลี่คลายลงได้ การวางบทบาทในการกำหนดวาระการเมืองเพื่อคลี่คลายความขัดแย้ง 2 ขั้ว คือ การปูทางไปสู่อนาคตทางการเมืองของภูมิใจไทยในสมัยต่อไป”

ด้าน ผศ.ดร.วันวิชิต บุญโปร่ง อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ ม.รังสิต มองว่า นักการเมืองวิเคราะห์แล้วว่า ถนนทุกสายทางการเมือง ทุกค่าย ทุกขั้วกลุ่มการเมืองต่างยอมรับว่าพรรคภูมิใจไทย จะเป็นพรรคที่เติบโตมากขึ้นเป็นเท่าตัว หลังจากการเลือกตั้งปี 2566 อะไรที่ทำให้หลายๆ คนเชื่อเช่นนั้น แน่นอนว่าองค์ประกอบสำคัญยืนยันด้วยหลักฐานเชิงประจักษ์ดังนี้... 

‘หมอระวี’ จับมือ 6 พรรค ดิ้นสู้สูตรหาร 100 ตั้งกลุ่ม ‘ไม้ซีกงัดไม้ซุง’ หวังรอดตายรธน.ใหม่

(14 ธ.ค. 65) เวลา 09.00 น. ที่รัฐสภา นพ.ระวี มาศฉมาดล ส.ส. บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ กล่าวว่า กลุ่มพรรคเล็กในระบบเลือกตั้งบัตร 2 ใบและหาร 100 สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับบ้านเมืองคือการควบรวมกันอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ในรูปแบบอัมโนแบบไทย ๆ (United National Management Organization : UNMO) ตามหลักการไม้ซีกงัดไม้ซุง เราจึงชักชวนพรรคการเมืองต่างๆ 20 พรรคมารวมกลุ่มกัน โดยเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม ได้ตอบรับมาแล้ว 6 พรรค คือ พรรคกรีน พรรคไทยชนะ พรรคไทยรุ่งเรือง พรรคไทยรวมไทย พรรคไทยรุ่งโรจน์ และพรรคพลังธรรมใหม่ 

นพ.ระวี กล่าวต่อว่า การแบ่งฝ่ายแบ่งสีทางการเมืองทำให้ประชาชนเดือดร้อนจำนวนมาก และเศรษฐกิจเสียหาย สังเกตได้จากการลงทะเบียนคนจนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การเมืองไทยยังคงสับสนวุ่นวาย เพื่อประโยชน์สุขของคนไทยทั่วประเทศ พรรคการเมืองที่มีแนวคิดสอดคล้องกันหลายพรรคจึงยึดถือหลักการมีจุดยืนส่งเสริมคนดีให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง จึงขอเรียกร้องให้คนไทย มีความรักสามัคคีต่อกันภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เราจะเป็นกลุ่มกลางทางการเมือง โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เกิดความสมานฉันท์ มุ่งแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และอยากเรียกร้องประชาชนทั่วประเทศที่มีความเป็นกลาง ออกมาออกมาแสดงจุดยืนและขอให้โอกาสเลือกพรรคการเมืองที่เป็นกลาง เราจะมุ่งมั่นตั้งใจแน่วแน่เพื่อให้เกิดกลุ่มการเมืองที่เป็นกลาง และมุ่งไปสู่ยุคฟ้าสีทองผ่องอำไพ เราไม่ได้คิดที่จะมารวมเพื่อรอดตายจากรัฐธรรมนูญใหม่ แต่มารวมกันเพื่อความรอดของประชาชน ซึ่งประชาชนจะได้นโยบายที่จับต้องได้

‘จิตภัสร์’ โต้ข่าวเท็จ ถูกโยงคิดโค่น ‘จุรินทร์’ ซัด!! พวกปล่อยข่าว หยุดสร้างความแตกแยก

‘ตั๊น จิตภัสร์’ โต้ ข่าวเท็จ โยงรองเลขาฯ ปชป. คิดโค่น ‘จุรินทร์’ จี้ พวกปล่อยข่าวหยุดสร้างความแตกแยก ลั่นไม่คิดย้ายพรรค เตรียมพร้อมสู้ศึกเลือกตั้งกับประชาธิปัตย์

(14 ธ.ค. 65) น.ส.จิตภัสร์ ตั๊น กฤดากร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงกรณีมีการระบุว่าเป็น 5 ใน 6 คน ของรองเลขาธิการพรรคฯ ร่วมก่อการเข้าชื่อเพื่อกดดันให้นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคปชป. ลาออกจากตำแหน่งนั้นว่า... 

ขอปฏิเสธว่าไม่ใช่ข้อเท็จจริง เพราะตนไม่ได้ร่วมเคลื่อนไหวดำเนินการใด ๆ ในพรรค เพราะตนตระหนักดีว่าในห้วงเวลาที่เข้าสู่โหมดการเลือกตั้งที่ทุกพรรคการเมืองต้องเตรียมความพร้อม ทั้งนโยบายในการรณรงค์หาเสียง และคัดสรรว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ในนามพรรคเพื่อสู้ศึกการเลือกตั้ง จึงไม่ใช่เวลาที่จะมาสร้างข่าว หรือสร้างความแตกแยกด้วยการตอกลิ่มเพิ่มขึ้นในพรรคที่เปรียบเสมือนบ้านของพวกเรากันเอง แต่เป็นห้วงเวลาที่พรรคต้องเป็นเอกภาพ และต้องการความสมัครสมานสามัคคีของสมาชิกพรรคทุกระดับเพื่อรวมพลังในการสู้ศึกการเลือกตั้ง

‘เพื่อไทย’ จวก ‘ระบบราชการไทย’ เละเทะ เปิดช่องให้ธุรกิจสีเทาทำผิดกฎหมายได้ง่าย

‘เพื่อไทย’ สับระบบราชการเปิดช่องทุจริต ธุรกิจสีเทาบานเป็นดอกเห็ด ชี้สังคมจับตาคดี ‘ตู้ห่าว’ จะรอดหรือไม่ ตอกผู้นำปล่อยกลุ่มทุนจีนหนุนการเมือง ทำตัวเหนือกฎหมาย

เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 65 น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวกรณีธุรกิจทุนจีนสีเทาของนาย ‘ตู้ห่าว’ ซึ่งมีจุดเริ่มต้นจากการบุกทลายผับดังย่านเจริญราษฎร์ พบยาเสพติดและบ่อนการพนัน นำไปสู่การขยายผลให้เห็นว่าทุนจีนสีเทามีเครือข่ายที่เติบโต ฝังรากอยู่ในสังคมไทยจนมีมูลค่าเงินหมุนเวียนและทรัพย์สินเกือบหมื่นล้านบาทว่า ขอตั้งคำถามหากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ดำเนินการจริงจังมาตลอด 8 ปี ทุนจีนสีเทาคงไม่เติบโตเหมือนในวันนี้ใช่หรือไม่ กรณีของนายตู้ห่าว ไม่ใช่ความผิดส่วนบุคคล แต่เป็นเพราะการบริหารราชการแผ่นดินที่ล้มเหลว ปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชันจึงเติบโต ซึ่งสาเหตุของความล้มเหลวการตรวจสอบการทุจริตและทุนจีนสีเทา ดังนี้

'ก้าวไกล' เผย ตำรวจทุจริต-รับสินบนจนเป็นปกติ เสนอ ปฏิรูปวงการตำรวจ-สร้างรัฐเปิดเผย-ตรวจสอบได้

วันที่ 13 ธันวาคม 2565 สุพิศาล ภักดีนฤนาท ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะอดีตผู้บังคับการกองปราบปราม กล่าวถึงกรณีการทุจริตการสอบนายสิบของตำรวจภูธรภาค 5 และตำรวจภูธรภาค 9 ซึ่งมีการเรียกรับเงินเพื่อให้ช่วยสอบเข้าตำรวจ จนนำไปสู่การตั้งกรรมการสอบสวนและให้นักเรียนนายสิบที่ทุจริต พ้นสภาพหลายร้อยคนว่า กระบวนการทุจริตในการสอบของตำรวจมีมานานแล้ว และทำกันจนเป็นเรื่องปกติ ในอดีตที่ตนอยู่ในวงการตำรวจ ก็รับทราบถึงวิธีการทุจริตมากมาย เช่น การให้เข้าสอบแทนกัน โดยมีบุคคลที่เป็นหัวกะทิ ทำหน้าที่เป็น 'มือสอบ' ใช้วิธีการหลายรูปแบบ ตั้งแต่เข้าห้องสอบเพื่อจำข้อสอบแล้วกดรหัสมอร์สส่งเข้าไปให้ผู้เข้าสอบผ่านนาฬิกาหรือโทรศัพท์ หรืออาจจะนั่งสอบอยู่ด้วยกันแล้วใช้รหัสมือในการส่งสัญญาณมาทีละคำตอบ หรือการรับจ้างเข้าไปสอบโดยทั้งผู้จ้างและผู้รับจ้าง จะเขียนชื่อและรหัสผู้สอบลงบนข้อสอบสลับกัน เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมีการทุจริตที่เป็นแพ็คเกจใหญ่ ที่มีการนัดแนะลูกค้าอย่างเป็นระบบ ทั้งขั้นตอนการส่งรหัสสัญญาณ การใช้อุปกรณ์ ไปจนถึงการขโมยข้อสอบออกมาผ่านการซื้อตัวผู้ออกข้อสอบ ซึ่งโดยปกติจะถูกนำตัวไปกักบริเวณแล้วให้ออกข้อสอบแยกกัน

สุพิศาลกล่าวว่า แม้ปัจจุบันจะมีการตรวจสอบป้องกันการทุจริตการสอบที่เข้มงวดรัดกุมขึ้นแล้ว เช่น การให้ใส่แต่กางเกงวอร์มที่ไม่มีกระเป๋าเข้าห้องสอบ การมีอุปกรณ์ตรวจจับเครื่องมือทุจริต หรือการยึดเอาโทรศัพท์และนาฬิกาไว้ แต่การทุจริตก็ยังเกิดขึ้นได้จากวิธีการใหม่ ๆ ของขบวนการทุจริต และโดยเฉพาะเมื่อผู้คุมสอบเป็นพวกเดียวกัน ก็จะเกิดการปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตเกิดขึ้น

‘ก้าวไกล’ อัด ทร.ฟอกขาวเรือดำน้ำเครื่องยนต์จีน ชี้ รุ่นนี้ยังไม่เคยใช้ที่ไหนในโลก แม้แต่จีนเอง

‘ก้าวไกล’ ห่วง กองทัพเรือปล่อยคลิปฟอกขาวเรือดำน้ำเครื่องยนต์จีน แถมเห็นภาษากาย ‘บิ๊กตู่’ ต่อ ‘สีจิ้นผิง’ ยิ่งไม่น่าวางใจ ชี้ รุ่นนี้ยังไม่เคยใช้ที่ไหนในโลกแม้แต่จีนเอง ขอรอรัฐบาลใหม่ที่มีความชอบธรรม เข้ามาจัดการ

วันที่ 13 ธันวาคม 2565 พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่กองทัพเรือเผยแพร่คลิปวิดีโออธิบายการขับเคลื่อนเรือดำน้ำด้วยเครื่องยนต์จากจีน (CHD 620) แทนที่เครื่องยนต์จากเยอรมัน (MTU 396) ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ตามข้อตกลงระหว่างกองทัพเรือกับบริษัท CSOC ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของจีนว่า ตนไม่ทราบว่าเหตุใดกองทัพเรือต้องพยายามชี้แจง ดูเหมือนเป็นความพยายามอย่างเป็นขั้นเป็นตอนที่จะนำไปสู่การแก้ไขสัญญาและยอมรับเครื่องยนต์ดีเซล CHD620 ที่ผลิตจากจีน แทนเครื่องยนต์ MTU396 ของเยอรมันใช่หรือไม่ ซึ่งหากในการเจรจาวันที่ 13-14 ธันวาคมนี้ กองทัพเรือยอมแก้ไขสัญญา ไทยจะกลายเป็นประเทศแรกในโลกที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล CHD 620 ของจีนในเรือดำน้ำ เพราะที่ผ่านมา ไม่เคยมีประเทศใช้งานเครื่องยนต์ดังกล่าวมาก่อน แม้แต่ประเทศจีนเอง

พิจารณ์ กล่าวต่อไปว่า ขอเรียกร้องไปยังกองทัพเรือ อย่าอ้างกับประชาชนว่าถ้าไม่ยอมรับเครื่องยนต์ดีเซล CHD 620 จากจีนแล้วจะทำให้เงินที่จ่ายไปแล้วกว่า 7 พันล้านบาทไม่ได้คืน เพราะเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับการเจรจาต่อรองและสัญญาที่กองทัพทำกับฝ่ายจีน

‘บิ๊กป้อม’ หยอดหวาน ‘บิ๊กตู่’ อยู่ที่ไหนก็รักเหมือนเดิม

(13 ธ.ค. 65) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีกระแสข่าวส.ส.พลังประชารัฐ กว่า 10 คน เตรียมย้ายไปพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ว่า เขายังไม่ลาออก ยังไม่ทราบว่าเขาจะลาออกหรือเปล่า เพราะตอนนี้เขายังไม่ลาออก เมื่อถามว่าต้องเรียกส.ส.ที่จะไป มาพูดคุยหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่ต้องหรอก ก็แล้วแต่เขาเมื่อถามย้ำว่า จะไปก็ไปใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวย้ำว่า ก็แล้วแต่เขา ความคิดของคนไม่เหมือนกันซึ่งที่เข้ามาก็เยอะ 

เมื่อถามว่า ช่วงเช้าได้พูดคุยกับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยหรือไม่ พล.อ.ประวิตรส่ายหัวพร้อมกล่าวว่า ยังไม่ได้คุยเรื่องนี้ ไม่มีคุยเรื่องนี้ เมื่อถามว่าพรรคภูมิใจไทยจะดึงส.ส.จากพรรคพลังประชารัฐไปพอสมควร พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “ก็เอาไปให้หมดเลยก็ได้ ผมไม่ว่าอะไร ผมจะได้ปิดพรรคเลย” ทั้งนี้ทันทีที่พูดจบพล.อ.ประวิตรหัวเราะ เมื่อถามอีกว่าสรุปแล้วไปทั้งหมดเลยใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร หัวเราะไม่ตอบคำถาม 

เมื่อถามว่า ได้พูดคุยกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหมหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ทำไมนะ เมื่อถามว่า นายกฯ บอกว่ายังอยากอยู่กับพรรคพลังประชารัฐหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ท่านนายกฯ ดูเหมือนแสดงว่าจะไป จะไปแล้ว ยังไม่รู้ เมื่อถามว่า ทำไมมีคำว่าเหมือน พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ก็ตนยังไม่รู้ เพราะท่านนายกฯ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพรรคตั้งแต่แรก เมื่อถามว่านายกฯ มีโอกาสเปลี่ยนใจอยู่กับพรรคพลังประชารัฐหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า นายกฯ ไม่ได้อยู่ในพรรคพลังประชารัฐเป็นเพียงพรรคพลังประชารัฐสนับสนุนให้เป็นนายกฯ ส่วนท่านจะอยู่หรือไม่อยู่ ก็เป็นเรื่องของท่าน เพราะท่านก็ไม่ได้อยู่ ๆ แล้ว ใช่ไหม

เมื่อถามว่า ยังสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ต่อไป พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า อย่างนี้มันต้องแล้วแต่สมาชิกพรรคที่จะว่ากัน เมื่อถามว่า ไม่ว่าอยู่ที่ไหนจะยังเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกันใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า อ๋อใช่อยู่ที่ไหนมันก็รักกันเหมือนเดิม 

เมื่อถามว่า พล.อ.ประยุทธ์เหมือนกับว่ายังรอพรรคพลังประชารัฐทาบทามก็พร้อมจะมา พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะทาบทามหรือเปล่า เมื่อถามว่า จะคุยหรือไม่ในฐานะที่เป็นพี่ใหญ่และเป็นผู้จัดการรัฐบาล พล.อ.ประวิตร ย้อนถามว่า ใครเป็นผู้จัดการ เมื่อถามว่า เป็นบารมีของ พล.อ.ประวิตรที่ดูแลรัฐบาลได้ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ผมจะไปเป็นผู้จัดการที่ไหน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top