Monday, 23 June 2025
POLITICS NEWS

‘ชาดา ไทยเศรษฐ์’ ชี้!! อย่าหลงระเริงกับ 14 ล้านเสียง หากเป็นนายกฯ ต้องดูแลคนกว่า 60 ล้านคน

(13 ก.ค.66) ที่รัฐสภาฯ การประชุมร่วมกัน พิจารณาโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญมาตรา 272 นายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย ได้ลุกขึ้นอภิปรายโหวต โดยในบางช่วงบางตอนระบุว่า…

“คนไทยไม่ได้มีแค่ 14 ล้าน คนไทยไม่ได้มี 25 ล้าน ท่านต้องเป็นนายกฯ ของคน 60 กว่าล้านคน เป็นนายกฯ ของประเทศไทย ไม่ใช่ของพรรคใดพรรคหนึ่ง ท่านอย่าหลงระเริงคำว่า 14 ล้านเสียง มันไม่ถึง 20% มันไม่ใช่เรื่องชี้ขาดของประเทศนี้”

‘วราวุธ’ ย้ำจุดยืน ไม่เลือกพรรคหนุนแก้ ม.112 ยัน!! ไม่กดดัน แม้ม็อบชุมนุมหน้ารัฐสภาฯ

(13 ก.ค. 66) ที่รัฐสภา นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ให้สัมภาษณ์ถึงทิศทางการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีของพรรคชาติไทยพัฒนา ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญรับวินิจฉัยคำร้องนโยบายแก้ไขมาตรา 112 ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และพรรคก้าวไกล เข้าข่ายล้มล้างการปกครองว่า พรรคชาติไทยพัฒนายังยึดมั่นจุดยืนเดิมในเรื่องมาตรา 112 และมองว่าในที่ประชุมรัฐสภาวันนี้คงจะมีการถกกันในหลาย ๆ ความเห็น ส่วนจะให้ความเห็นชอบหรืองดออกเสียงนั้น พรรคชาติไทยพัฒนาต้องไปพิจารณากันอีกที 

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะไม่สนับสนุนนายพิธาใช่หรือไม่ เพราะสนับสนุนการแก้ไขมาตรา 112 นายวราวุธ กล่าวว่า ถ้าเป็นเช่นนั้นเราคงต้องยึดตามจุดยืนเดิมของพรรคชาติไทยพัฒนา ซึ่งแต่ละพรรคมีจุดยืนแตกต่างกันไป 

เมื่อถามว่า สถานการณ์วันนี้ควรเลื่อนการโหวตนายกฯ ออกไปก่อนหรือไม่ เพื่อรอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณีของนายพิธาก่อน นายวราวุธ กล่าวว่า ในที่ประชุมรัฐสภาคงมีการหารือกันในประเด็นนี้ ทั้ง ส.ส. และ ส.ว. มีความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างไร ในส่วนของพรรคชาติไทยพัฒนามีเพียง 10 เสียงเท่านั้น คงต้องฟังเสียงส่วนใหญ่ แต่หากจะโหวตกันวันนี้ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะมองว่าในอนาคตหากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยเราก็เคารพคำวินิจฉัยของศาล แต่ในขณะเดียวกัน ก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นว่านายพิธาเองก็ถูกสังคมจับตามอง และมีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้น ซึ่งเข้าใจในสถานการณ์ อย่างไรก็ตาม คนที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกฯ นั้นต้องมีความโปร่งใส และชัดเจนในระดับหนึ่ง เมื่อถามว่า จำเป็นต้องเลื่อนการประชุมรัฐสภาไปเป็นวันที่ 19 ก.ค.หรือไม่ นายวราวุธ กล่าวว่า คงต้องหารือกัน เพราะการจะประชุมรัฐสภา 750 คนไม่ใช่เรื่องง่าย 

เมื่อถามถึงการชุมนุมหน้ารัฐสภาของกลุ่มคนที่มาสนับสนุนนายพิธาในวันนี้ นายวราวุธ กล่าวว่า ถือเป็นการแสดงออกแบบหนึ่ง แต่การแสดงออกต้องเคารพสิทธิของประชาชนเสียงส่วนใหญ่ด้วย แสดงออกได้ แต่ต้องมีกรอบและแนวทางชัดเจน และไม่เลยเถิดไปประเด็นอื่น 

เมื่อถามว่า ทางพรรคชาติไทยพัฒนาและนายวราวุธได้รับแรงกดดันจากการชุมนุมหรือไม่ นายวราวุธ กล่าวว่า ตนอยู่การเมืองมาทั้งชีวิต โดนทั้งกดทั้งดันมาตลอด ฉะนั้น ไม่มีปัญหา แต่ตนเข้าใจความต้องการของประชาชนแต่ละฝ่ายว่ามีความต้องการเช่นไร การแสดงออกก็จะแตกต่างกันออกไป

‘อ.ไชยันต์’ ชี้!! ผู้ที่ใช้อำนาจข่มขู่ผู้ปฏิบัติหน้าที่ ใช้ชีวิตของประชาชนมาต่อรอง เป็น ‘มาเฟีย’ มากกว่า ‘นักการเมืองที่ดี’

(13 ก.ค.66) ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า…

ถ้าการนำข้อกล่าวหาการขาดคุณสมบัติของนักการเมืองคนหนึ่งเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม รัฐจะต้องมี ‘ราคาที่ต้องจ่ายสูง’

มันไม่น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับประชาชนทุกคนในประเทศนะครับ

คุณจะเป็นตัวอย่างของคนที่ไม่ยอมรับการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม 

และใช้อำนาจอิทธิพลข่มขู่ผู้ปฏิบัติหน้าที่ รวมทั้งนำความสงบสุขในการทำมาหากินและใช้ชีวิตของประชาชนมาต่อรอง เป็นตัวประกัน

ผมว่าคุณเข้าข่าย ‘มาเฟีย’ มากกว่า ‘นักการเมืองที่ดี’

มติ กกต. 4 ต่อ 1 ดันส่งศาล รธน. ฟัน ‘พิธา’ ‘ปกรณ์’ หนึ่งเสียงค้าน หวั่นด้อมส้มมองไม่เหมาะสม

วันนี้ ( 12 ก.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่ากรณี กกต. มีมติส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ว่าสมาชิกภาพ ส.ส.ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล จากเหตุมีชื่อถือครองหุ้นสื่อบริษัทไอทีวี จำกัด มหาชน จำนวน 42,000 หุ้น นั้นมีรายงานว่าบรรยากาศในการพิจารณา เรื่องดังกล่าวของที่ประชุม กกต. เป็นไปอย่างเคร่งเครียด ซึ่ง กกต. ทั้ง 5 คน เห็นตรงกันว่า บริษัทไอทีวีฯ ประกอบกิจการเป็นสื่อ หากมีการถือหุ้นก็จะเข้าข่ายขัดคุณสมบัติการเป็น ส.ส. จำเป็นต้องส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 ทั้งมีการพูดถึงว่า หาก กกต. ไม่ส่งศาลธรรมนูญในวันนี้ ก่อนที่รัฐสภาจะมีการโหวตนายกรัฐมนตรี อาจจะเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ขัดกฎหมายมาตรา 157 จึงมีการลงมติเห็นชอบด้วยคะแนน 4 ต่อ 1 เสียง

โดย 4 เสียงประกอบด้วย 
1. นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกกต.
2. นายฐิติเชฎฐ์ นุชนาฏ 
3.นายสันทัด ศิริอนันต์ไพบูลย์ 
และ 4. นายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ 

ส่วน 1 เสียง ที่ไม่เห็นด้วยกับการส่งศาลรัฐธรรมนูญในวันนี้ คือ นายปกรณ์ มหรรณพ โดยนายปกรณ์ แสดงความกังวลต่อที่ประชุมว่า การที่ กกต. ส่งเรื่องดังกล่าวให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในช่วงนี้อาจจะถูกมวลชนมองว่าการกระทำของ กกต. ไม่เหมาะสม และควรจะต้องมีสอบประเด็นอื่นเพิ่มเติม อาทิ ความเป็นเจ้าของหุ้นไอทีวี ว่านายพิธาเป็นเจ้าของหุ้นจริงหรือไม่ให้ชัดเจนกว่านี้ แม้ทุกคนจะเห็นตรงกันว่าไอทีวีเป็นธุรกิจสื่อก็ตาม

สำหรับ กกต. ที่ลงมติเรื่องนี้มีเพียง 5 คน เนื่องจากนายฉัตรไชย จันทร์พรายศรี และนายธวัชชัย เทอดเผ่าไทย พ้นจากตำแหน่งไปก่อน เพราะมีอายุครบ 70 ปี

‘ศาลรัฐธรรมนูญ’ มีคำสั่งให้บุคคลผู้เกี่ยวข้อง ส่งหลักฐานเพิ่มรอบ 2 คดี ‘ศักดิ์สยาม’ ถือหุ้นบุรีเจริญ

(12 ก.ค.66) สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ออกเอกสารข่าวเผยแพร่ผลการประชุมกรณีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ รับคำร้องที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่าความเป็นรัฐมนตรีของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) ประกอบมาตรา 187 หรือไม่ไว้พิจารณาและมีคำสั่งให้นายศักดิ์สยาม ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2566 จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยนั้น 

ทั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญอภิปรายเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยแล้วเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งการพิจารณาให้บุคคลที่เกี่ยวข้องจัดส่งเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมต่อศาลรัฐธรรมนูญ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคำร้องดังกล่าว ส.ส. พรรคร่วมฝ่ายค้าน จำนวน 54 คนได้ยื่นคำร้องต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรว่านายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ยังคงไว้ซึ่งหุ้นส่วนและเป็นผู้ถือหุ้นและเจ้าของห้างหุ้นส่วนจำกัดบุรีเจริญคอนสตรัคชั่น ทำให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการหุ้นหรือกิจการของห้างหุ้นส่วนเป็นการกระทำต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 187 ประกอบพระราชบัญญัติการจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี 2543 มาตรา 4 (1) เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) หรือไม่

‘พิธา’ โอด!! กระบวนการเร่งรัด กกต.ไม่เปิดโอกาสให้ชี้แจง แต่กำลังใจยังดี ขอเข้าสภาฯ ตามเดิม ยันพร้อมแจงทุกข้อสงสัย

(12 ก.ค. 66) ที่รัฐสภา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณีถือครองหุ้นสื่อว่า คิดว่ากระบวนการในวันพรุ่งนี้ (13 ก.ค.) ยังเหมือนเดิมทุกอย่าง ต้องขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ส่งกำลังใจมาให้เสมอ ตนยังกำลังใจดีอยู่

เมื่อถามว่า มีความกังวลหรือไม่ว่าจะถูกนำเรื่องดังกล่าวไปเป็นปัจจัยในการโหวตนายกรัฐมนตรีของสมาชิกรัฐสภา นายพิธา กล่าวว่า ไม่กังวล มองเป็นเรื่องปกติ คิดว่าวุฒิสภาจะแยกแยะได้ว่าแต่ละเรื่องเป็นอย่างไร และเรื่องที่ร้องไปก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นสื่อมวลชนที่หยุดไปนานแล้ว และตนถือในฐานะผู้จัดการมรดกไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้อง ซึ่งคุณสมบัติแคนดิเดตนายกฯก็ยังมีอยู่

เมื่อถามว่า การที่ กกต.ไม่ได้เรียกไปชี้แจงเลย มองว่าเป็นธรรมหรือไม่? นายพิธา กล่าวว่า รู้สึกว่าไม่เป็นธรรม เท่าที่ฟังการแถลงเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น โดยเอาไปเทียบเคียงกับคดีที่เป็นคดีเกี่ยวกับการกู้เงินของพรรค แต่นี่เป็นคนละรูปแบบกัน ดังนั้น ระเบียบของ กกต.ควรเปิดโอกาสให้ชี้แจง รวมถึงระยะเวลาถือว่าสั้น พอมานั่งคำนวณดูพบว่าเป็นเวลา 32 วัน ครึ่งหนึ่งของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ 1 ใน 10 ของรัฐมนตรีที่อยู่ในยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) 4 คน ซึ่งบรรทัดฐานต่างกัน ก็เป็นสิ่งที่ดูว่าเร่งรัดเกินไป และเป็น 1 วันก่อนโหวตนายกฯ ซึ่งเป็นอะไรที่ไม่ควรเกิดขึ้น แต่ตนยังเชื่อว่าเดินหน้าตามปกติ และตนยังสติดี กำลังใจดีแน่นอน ขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจ

เมื่อถามว่า กังวลกระแสข่าวล็อบบี้ ส.ว.ไม่ให้โหวตให้หรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ตนดูสภาพแล้วจากการที่มีการเคลื่อนไหวนอกสภาแบบนี้ แสดงให้เห็นว่าในสภามีความมั่นใจมากขึ้นว่าจะไปถึง 376 เสียง จึงได้มีการใช้องค์กรอิสระข้างนอกหรือไม่ ตรงนี้เป็นการตั้งคำถามไว้ แต่เท่าที่เขาคุยกันในสภาพรุ่งนี้มีแนวโน้มที่ดี แต่พอมีแนวโน้มที่ดีก็มีกระบวนการเคลื่อนไหวนอกสภาหรือไม่อย่างไร ซึ่งตนก็ไม่รู้ แต่เป็นสิ่งที่เขาพูดกันในสภาฯ เฉยๆ

เมื่อถามว่า เหลือเวลาอีก 1 วัน จะโหวตเลือกนายกฯ แล้วเป็นห่วงอะไรมากที่สุด นายพิธา กล่าวว่า ยังไม่มีอะไรน่าห่วง คิดว่ากระบวนการยังเป็นไปตามปกติ และไม่ได้เป็นสิ่งที่เกินความคาดหมายแต่อย่างใด ก็สามารถบริหารจัดการได้ ในวันพรุ่งนี้ตนจะเข้าสภาตามปกติ ซึ่งในการอภิปราย 6 ชม. ตนจะตอบทุกข้อซักถามทุกข้อกังวลใจ พร้อมกับการแสดงวิสัยทัศน์ ไม่มีอะไรน่ากังวล

‘วิษณุ’ ชี้!! ทักษิณกลับไทย ‘ต้องเข้าคุกก่อนขออภัยโทษ’ ปัดตอบขัง ‘คุกพิเศษ’ อ้างกระทบสิทธิ-ความสงบเรียบร้อย

(12 ก.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีเอกสารหลุดของกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ถึงแผนรักษาความปลอดภัย กรณีมีผู้ต้องหาตามหมายจำคุกเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยเครื่องบินโดยสาร ว่า ก็เป็นธรรมดา เพราะนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ประกาศเองว่าจะเดินทางกลับประเทศไทยช่วงวันคล้ายวันเกิดวันที่ 26 ก.ค.นี้ แต่ขณะนี้ใกล้ถึงวันเกิดก็ยังไม่ได้ข่าวคืบหน้า ซึ่งหากเดินทางกลับมาเมื่อไหร่ เขาก็คงติดต่อมาและจะได้ดำเนินการตามกระบวนการขั้นตอน ก็เป็นเรื่องธรรมดาซึ่งการเดินทางกลับมาก็เกี่ยวพันกับตำรวจ กรมราชทัณฑ์ ซึ่งผู้ที่เกี่ยวข้องจะต้องเตรียมการในส่วนของเขา

เมื่อถามว่าจะมีการประชุมหรือหารือกันอย่างไรบ้าง นายวิษณุ กล่าวว่า ขอไม่เปิดเผยในเรื่องนี้

เมื่อถามย้ำว่าแสดงว่าการข่าวมีความเป็นไปได้ใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ท่านเป็นคนพูดเอง ถ้าท่านไม่พูดก็คงไม่มีอะไรต้องทำ ทั้งนี้ หากเจ้าหน้าที่มีการขยับหรือเคลื่อนไหวอะไร ตนในฐานะรักษาการ รมว.ยุติธรรมก็ต้องได้รับรายงาน ซึ่งจากที่ตนได้สอบถามก็ยังไม่มีรายงานว่าจะกลับหรือไม่เมื่อไหร่ เพราะที่บอกว่าจะกลับท่านเป็นคนพูดเอง ว่าจะกลับก่อนวันเกิด แต่ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า ซึ่งก็ไม่ทราบอาจจะกลับก่อนหรือหลังก็ได้

เมื่อถามอีกว่าโดยหลักการแล้วหากนายทักษิณจะเดินทางกลับจะต้องมีการประสานตรงจุดไหนอย่างไร นายวิษณุ กล่าวว่า ขอไม่ตอบตรงนี้ เพราะมันไม่ดีกับตัวนายทักษิณและรัฐบาล ซึ่งหากนายทักษิณกลับมาก็จะต้องเข้าสู่กระบวนการ และตัวนายทักษิณเองก็ทราบว่าจะต้องเผชิญกับอะไรบ้าง 

เมื่อถามด้วยว่าจะต้องเข้าสู่กระบวนการก่อนถึงจากขอพระราชทานอภัยโทษได้ใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ใช่ ซึ่งไม่มีการกำหนดว่าจะต้องจำคุกกี่วัน ถึงจะขอพระราชทานอภัยโทษได้ ส่วนจะโปรดเกล้าฯ พระราชทานเมื่อใด นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง 

เมื่อถามย้ำว่าหากนายทักษิณเดินทางกลับประเทศไทยจะสามารถเข้าไปอยู่ในสถานที่คุมขังพิเศษหรือเฮาท์ อาเรซได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ต้องขออภัยที่ตนอธิบายไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องสิทธิและเสรีภาพของเขา ซึ่งมันกระทบกับความสงบเรียบร้อยด้วย แต่ก็ไม่ผิดที่สื่อจะอยากรู้แต่ถ้าตนตอบตนก็ผิด

ส่องปฏิกิริยา 'พิธา' หลัง กกต.มีมติส่งศาล รธน.ปมไอทีวี ท่าทีเคร่งขรึม รับวันรัฐสภาเดินหน้าโหวตเลือกนายกฯ

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี รับเดินทางออกจากห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎรทันที หลังทราบข่าวคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคุณสมบัติขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ กรณีถือหุ้นสื่อ (ไอทีวี) 42,000 หุ้น พร้อมให้ฝ่ายสำนักงาน ส่งเรื่องถึงศาลรัฐธรรมนูญทันที

พิธาเดินออกไปด้วยท่าทีเคร่งขรึม ผิดไปจากแต่ก่อน ซึ่งก็ควรจะเคร่งขรึม เพราะพรุ่งนี้รัฐสภานัดลงมติโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ที่พรรคก้าวไกลเป็นแกนนำ และเสนอชื่อพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี กำลังจะโหวตอยู่แล้ว แต่กลับมีเรื่องใหญ่มาดักหน้าพอดี

แต่ต้องยอมรับความเป็นจริงว่า คุณสมบัติของพิธาในเวลานี้ยังครบถ้วนสมบูรณ์ จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยออกมา ขบวนการในวันนี้ จะเป็นแค่งานธุรการ สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญก็จะรับเรื่องไว้ แต่โดยขั้นตอนยังไม่น่าจะนำเข้าสู่ที่ประชุมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ทันในวันนี้ คงต้องผ่านขั้นตอนปกติในคณะอนุกรรมการกลั่นกรอง ก่อนนำเข้าที่ประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ

โดยสรุปพรุ่งนี้ (13 ก.ค.) ก็จะเป็นการประชุมตามปกติของรัฐสภา และเดินหน้าโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ส.ส.ได้เวลาอภิปราย 4 ชม. สว.ได้เวลา 2 ชม.ส่วนฝ่ายตอบยังไม่ได้จำกัดเวลา ขึ้นกับดุลยพินิจของประธานรัฐสภา

‘ปรเมษฐ์’ ยก ‘ลุงตู่’ เหนื่อยเพื่อชาติ ผลงานเด่นชัด แต่ ‘ก้าวไกล’ คงเหนื่อยหนัก ยิ่งใกล้วันตัดสินชะตา

(12 ก.ค.66) จากไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊กของ ‘นายปรเมษฐ์ ภู่โต’ สื่อมวลชนอาวุโส พิธีกร ผู้ประกาศข่าว รายการคุยถึงแก่น ออกอากาศทางช่อง NBT ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการประกาศวางมือทางการเมืองอย่างเป็นทางการของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยมีใจความว่า...

“การประกาศวางมือทางการเมืองอย่างเป็นทางการของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยโพสต์ลงในเพจ Facebook ของพรรครวมไทยสร้างชาติ นั้น ถือว่าเป็นที่ชัดเจนแน่นอนและปลดล็อกในหลายเรื่อง โดยในสาระสำคัญของประกาศดังกล่าวนั้น ได้มีการพูดถึงความตั้งใจของท่านที่ได้เข้ามาทำงาน เพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้กับประเทศชาติ แล้วก็ขอบคุณพี่น้องประชาชน รวมทั้งฝากฝังพี่น้องประชาชนให้สนับสนุนพรรครวมไทยสร้างชาติต่อไป

“ฉะนั้นหากใครที่ยังคิดว่า ลุงตู่จะมีแผนไม้ 1 ไม้ 2 ไม้ 3 เพื่อวางแผนจะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ถึงเวลานี้ก็น่าจะ ‘เลิกคิดกันได้แล้ว’ แต่แน่นอนว่ายังมีคนมองไปอีกหลายมุม ว่าถ้าลุงตู่ไม่อยู่แล้ว เงื่อนไขในการเข้าร่วมรัฐบาลของพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็น่าจะเปิดกว้างมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ‘คุณพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค’ หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ หรือแม้แต่ ‘คุณเอกนัฎ พร้อมพันธุ์’ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็ได้ประกาศจุดยืนอย่างชัดเจนแล้วว่า ประการแรก จะไม่ขอร่วมรัฐบาลกับพรรคที่จะแก้หรือยกเลิกกฎหมายมาตรา 112 และ ประการที่ 2 จะไม่เอาแนวทางรัฐบาลเสียงข้างน้อย”

อย่างไรก็ตาม หากมองตามเกมการเมืองแล้ว นายปรเมษฐ์ เชื่อว่า “หลายคนคงเริ่มมองออกว่า พรรคก้าวไกล อย่างไรก็ไม่น่าจะไปต่อได้ และนั่นก็อาจจะเกิดสมการ ‘พรรคเพื่อไทย’ ดึงพรรคภูมิใจไทย, พรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติไปรวมกัน เพื่อจัดตั้งรัฐบาล เพราะว่า ‘เมื่อไม่มีลุงอยู่แล้ว’ ก็จะหมดเงื่อนไขในการไม่มาร่วม

“ถึงกระนั้น ด้านนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็ได้โพสต์ Facebook เกี่ยวกับการลาออกของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยบอกว่า ท่านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้หารือเกี่ยวกับเส้นทาง ทางการเมือง โดยได้บอกกับคุณพีระพันธุ์ว่า ตัวพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชานั้นไม่มีความประสงค์จะแสวงหาอำนาจทางการเมือง เพื่อประโยชน์ส่วนตัว แค่อยากขอโอกาส สอนงานต่อในสิ่งที่มุ่งหวังตั้งใจ แต่เมื่อไม่มีโอกาสนั้น หรือก็คือการเลือกตั้งไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ได้เสียงมาไม่มากพอ รวมทั้งตัวท่านพลเอกประยุทธ์เองก็ถูกนำไปโยงให้พรรครวมไทยสร้างชาติถูกวิพากษ์วิจารณ์...ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษของท่าน ซึ่งมีความเกรงใจคนอื่นอยู่เสมอ และเกรงว่าจะทำให้พรรครวมไทยสร้างชาตินั้นมีปัญหา รวมทั้งมีการพยายามสร้างประเด็นว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มีความพยายามที่จะจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย จึงมีประกาศดังกล่าวออกมา”

นายปรเมษฐ์ กล่าวต่ออีกว่า “หากมองภาพการณ์ดังนี้ ก็พอจะสรุปได้ว่า ลุงตู่ คงอยากจะทำงานทางการเมืองต่อ แต่ไม่ใช่เพราะอยากจะแสวงหาอำนาจ แต่อยากจะเข้ามาสานงานต่อ อย่างที่พวกเราคนไทยก็ได้รู้กันว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ได้ทำงานหลายสิ่งหลายอย่างไว้ เยอะแยะ ซึ่งหลายโครงการนั้นก็ต้องการ การสานงานต่อ มิเช่นนั้นประเทศชาติจะเสียโอกาส อย่างเช่นโครงการ EEC ที่ตอนนี้กำลังได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติจำนวนมาก หรือแม้กระทั่ง แนวคิดแกนหลักในการพัฒนาเศรษฐกิจ ของประเทศนั่นก็คือ การวางรากฐานอุตสาหกรรมใหม่ อย่างเช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งนักลงทุนต่างชาติก็ได้มาลงทุนตั้งโรงงานเพื่อผลิตขายในประเทศไทยและก็ส่งออก โดยประเทศไทยก็ตั้งไว้ว่าจะเป็น ศูนย์กลางของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศภูมิภาคอาเซียน ซึ่งนี้ก็คือสิ่งที่จะต้องสั่งงานต่อเพราะว่าเราได้ทำมาเยอะแล้ว แต่ก็น่าเป็นห่วงว่า ถ้าหากรัฐบาลใหม่ไม่สานงานต่อมันก็จะเสียโอกาสของประเทศชาติ”

นายปรเมษฐ์ ชี้ให้เห็นภาพอีกว่า “สิ่งที่อยากจะคุยในวันนี้ก็คือว่า ถ้าเราไม่ปิดตาปิดใจกันจนเกินไปกับสิ่งที่ลุงตู่ทำมา เราก็จะเห็นว่า ‘วาทกรรม 8 ปีไม่มีอะไรนั้น’ มันเป็นวาทกรรมที่ถูกสร้างขึ้น เพื่อด้อยค่าคนทำงานคนหนึ่ง ถ้าเราเอาเรื่องหนัก ๆ ในการทำงานลุงตู่มาวิเคราะห์กัน ก็จะเห็นว่า ท่านเข้ามาในช่วงที่บ้านเมืองมีปัญหา มีขยะอยู่ใต้พรมมากมาย ยกตัวอย่างเช่น ปัญหาเรื่องของประมง ที่เราถูกสารภาพยุโรป EU ให้ใบเหลือง ทำให้เรามีปัญหาในการส่งสินค้าประมงออกไปขายในสหภาพยุโรป ทำให้เขามีมาตรการที่กีดกันเรา ซึ่งรัฐบาลก็ต้องเข้ามาแก้ไขปัญหา สะสางปัญหา สุดท้ายก็แก้ปัญหาได้จนสหภาพยุโรป EU ยกเลิกใบเหลือง หรือแม้แต่เรื่องของการบินพลเรือน ที่เราถูกสหภาพการบินพลเรือนให้ธงแดงเพราะว่า เราไม่มีมาตรฐาน สุดท้ายเราก็แก้ปัญหานี้ได้จากความร่วมมือกันของทุก ๆ ฝ่าย

“ท่านพลเอกประยุทธ์พูดเสมอ ว่าประเทศไทยติดอยู่ในกับดักของประเทศที่มี ‘รายได้ปานกลาง’ มายาวนาน ซึ่งถ้าถามว่าทำไมถึงไม่สามารถหลุดพ้นจากกลับจากนี้ได้ นั่นก็เพราะว่าเรา ‘ไม่มีโครงการใหญ่ ๆ ที่จะพาให้ประเทศนั้นพุ่งไปข้างหน้า ได้อย่างมีพลัง’ ท่านพลเอกประยุทธ์ จึงพยายามที่จะผลักดันโครงการ EEC ให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา รวมทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ สิ่งนี้เป็นที่ประจักษ์ให้เราเห็นแล้วว่า ท่านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เขาเข้ามาทำงานนะ”

นายปรเมษฐ์ กล่าวอีกว่า “หลายคนอาจจะยังไม่รู้ ว่ารัฐบาลได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหลายอย่างยกตัวอย่างเช่นรถไฟรางคู่ มีทั้งที่ทำเสร็จแล้วมีทั้งที่อนุมัติโครงการไปแล้ว มีทั้งที่กำลังก่อสร้าง ก็ต้องถือว่าประเทศไทยได้พัฒนาระบบรางไปมากมาย ถือว่าเป็นยุคที่มีการก่อสร้างทางรางมากที่สุด ยกตัวอย่าง 1 โครงการ ก็คือ รถไฟทางคู่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ซึ่งเส้นทางนี้มีการศึกษากันมาตั้งแต่ปี พ.ศ 2503 แต่ก็ไม่ได้ก่อสร้างกันสักทีมาถึงยุครัฐบาลพลเอกประยุทธ์ที่กำลังลงมือก่อสร้างกัน ขณะที่อีกหนึ่งผลงานชิ้นโบว์แดง อย่างการก่อสร้างระบบรางในกรุงเทพฯและปริมณฑล นั่นก็คือ ‘การสร้างรถไฟฟ้า’ ที่ครอบคลุมทั้งกรุงเทพฯ และปริมณฑล ก็คือผลงานซึ่งเป็นที่ประจักษ์”

นายปรเมษฐ์ เสริมด้วยว่า “แต่ก็ต้องยอมรับกันว่า ท่านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ตกอยู่ในวงล้อมของสงครามสื่อ ที่เสียเปรียบ เวลาทำเรื่องอะไรที่มันดี ๆ ที่เป็นประโยชน์แก่บ้านเมือง ก็ไม่มีการเอาไปขยายผลเท่าที่ควร แต่ถ้าหากพลาดอะไรไปนิดเดียว หรือบางทีไม่ได้พลาดเลย แต่ก็มีเฟกนิวส์เข้ามาโจมตีกันเต็มไปหมด กลายเป็นการสร้างความรู้สึก ‘เบื่อลุงตู่’ แบบผลิตซ้ำขึ้นมาเรื่อย ๆ ซึ่งคนส่วนหนึ่งที่รับข้อมูลแค่บางด้านบางมุม ก็รู้สึกคล้อยตาม แต่อย่างไรก็ตาม เราก็ควรต้องให้ความเป็นธรรมกับคนที่เขาทำงาน”

หลังจากจบประเด็นการประกาศวางมือทางการเมืองของ พลเอกประยุทธ์ แล้ว นายปรเมษฐ์ ยังได้วิเคราะห์ต่อถึงอนาคตของ ‘พรรคก้าวไกล’ อีกด้วยว่า “ความคืบหน้าของการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จะไปถึงฝั่งฝันหรือไม่ วันนี้พรรคก้าวไกล รวบรวมเสียงของ ส.ว.ได้เท่าไหร่แล้ว เพราะจุดชี้ขาดที่แท้จริงที่จะทำให้ ‘นายพิธา’ ได้เป็นนายกรัฐมนตรี นั่นก็คือเสียงของ ส.ว. ต้องได้เสียงของ ส.ว. อย่างน้อย 67 เสียง 

“โดยปัจจุบันฟากแนวร่วมก่อตั้งรัฐบาลก็มีเสียงของ ส.ส. 312 เสียงแล้ว แต่ต้องได้เสียงรวมกันอย่างน้อย 376 เสียง ซึ่งก่อนหน้านี้ คุณศิริกัญญา ตันสกุล ผู้ที่ถูกวางตัวไว้ให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ออกมาให้ข่าวว่าได้เสียงสนับสนุนครบแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าคำพูดนี้ ก็ทำให้บรรดาด้อมส้มก็ตีปีกกันใหญ่เลย แต่เมื่อมาดูความเป็นจริงกัน เสียงของ ส.ว.ประมาณ 70 เสียง ที่คุณศิริกัญญา พูดถึงก็ยังไม่เห็นว่ามีใครบ้าง แต่จากแหล่งข่าวก็เห็นอยู่ว่ามีเสียงอยู่แค่ประมาณ 20 คน และ 1 ใน 20 คนนั้นก็คือ ‘ครูหยุย’ นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ ซึ่งครูหยุยก็ได้โพสต์ Facebook บอกว่าตัวเลข ส.ว. ที่สนับสนุนนั้นมีอยู่แค่เพียง 10 คน เท่านั้น ซึ่งตัวเลขนี้ก็ตรงกับสำนักข่าวหลายๆ สำนักที่ได้คำนวณกันไว้

“ยิ่งล่าสุด นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ก็ได้เล่าให้ฟังว่า ในการประชุมพรรคร่วม ก็มีการถามไถ่พรรคก้าวไกลด้วยว่า ได้รวบรวมเสียง ส.ว. ได้กี่เสียงแล้ว? ซึ่งคุณชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ก็ได้ตอบว่า ไม่ได้มีเสียง ส.ว. หนุนเท่าไร แต่ก็กำลังพยายามหาอยู่ ซึ่งมันขัดแย้งกับสิ่งที่คุณศิริกัญญา ได้เคยพูดไว้ โดยตรงกันข้ามกันเลย”

ฉะนั้น หากให้พูดตามความจริง แบบไม่ปั้นแต่ง...สถานการณ์ของ ‘พรรคก้าวไกล’ กับความหวังในการดันนายพิธาเป็นนายกฯ ก็ร่อแร่พอสมควร...

‘ชัยวุฒิ’ โพสต์ข้อความสุดซึ้งถึง ‘บิ๊กตู่’ พร้อมขอบคุณที่ให้โอกาสทำงานรับใช้ ปชช.

(12 ก.ค. 66) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ถึง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ที่ได้ประกาศวางมือทางการเมือง โดยระบุว่า สำหรับผมขอขอบคุณท่านนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ให้โอกาสผมได้เข้ามาทำงาน... 

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผมสัมผัสได้ถึงความตั้งใจ และความเป็นคนจิตใจดีของท่านนายก ฯ ท่านอาจจะพูดไม่หวาน เป็นคนตรงไปตรงมา แต่เหนือสิ่งอื่นใด ความจริงใจ ความตั้งใจ พลังศรัทธา ความเสียสละ ที่มีต่อชาติ เเละบ้านเมืองของเรา ทำให้ 9 ปี ที่ผ่านมา ประเทศไทยของเรา พัฒนาและก้าวหน้าไปในทุก ๆ ด้าน อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แม้จะเกิดวิกฤติที่เข้ามาทั้งสถานการณ์โควิด 19 และสถานการณ์การเมืองบนความขัดแย้ง 

“ความขัดแย้ง” ทำให้สิ่งที่ผมพูดวันนี้ บางคนอาจจะยังมองไม่เห็น หรือ ไม่เข้าใจ เเต่ถ้าวันที่ไม่มีนายกรัฐมนตรีคนนี้เเล้ว ผมเชื่อว่าในที่สุดทุกคนจะมองเห็นและเข้าใจครับ 

ผมอยากฝากเพลงนี้ถึงท่านเป็นเพลงที่ผมชอบ เป็นเพลงที่ผมคิดถึง เพลง ของลุงตู่ครับ …คนดีไม่มีวันตาย 

ขอบคุณคลิปจาก PMOC


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top