Monday, 23 June 2025
POLITICS NEWS

‘โบว์ ณัฏฐา’ กระเทาะมุมการเมือง ‘พอล ภัทรพล’ ชี้!! กดดัน 188 ส.ส.โหวตพิธา “มันไปกันใหญ่แล้ว”

(11 ก.ค. 66) จากประเด็นที่ ‘พอล ภัทรพล’ อดีตพิธีกรและนักแสดงชื่อดัง ได้ออกแสดงความเห็นทางการเมือง โดยการกดดัน ส.ส. 188 เสียง ให้มาโหวต ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ เป็นนายกฯ เนื่องจากบริบททางการเมืองที่ไม่ปกติ รวมถึงยังมีเสียงแตกของ ส.ว. เป็นการสื่อให้เห็นถึงการการเรียกร้องเพื่อที่จะทำให้เสียงข้างมากได้ทำงานนั้น ทาง ‘คุณโบว์ ณัฏฐา มหัทธนา’ ผู้ดำเนินรายการ Ringside การเมือง ได้กล่าวประเด็นดังกล่าว โดยมองว่ายังไม่ถูกต้อง

ขณะที่ด้านพิธีกรร่วมอย่าง คุณตรีณปางศ์ มณีชาตรี ก็ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “เรามองเห็นว่า ‘คุณพอล’ เป็นบุคคลที่มีศักยภาพที่จะให้ความเห็นในเรื่องของการลงทุน หรือการเทรดเงินต่าง ๆ ซึ่งอันนี้ก็ต้องยอมรับว่าเขามีความรู้ในเรื่องนี้จริง แต่พอมาให้ความเห็นในเรื่องทางการเมือง เขายังไม่รู้จริงในหลาย ๆ เรื่อง ซึ่งมันก็สะท้อนให้เห็นได้ง่าย ๆ ผ่านข้อความที่เหมือนกับถูกสคริปต์มา จากข้อมูลที่ไปได้มาอีกด้านหนึ่ง ซึ่งเจ้าตัวไม่ได้มองเห็นบริบททางการเมืองทั้งระบบ เพราะฉะนั้นเราเองก็รู้สึกว่าแค่พอฟังได้”

ด้าน ‘โบว์ ณัฏฐา’ เสริมต่อว่า “รับฟังได้ แต่รู้สึกว่ามันฟังไม่ขึ้น เพราะล่าสุดที่ได้ฟังมารู้สึกเลยว่า ในเชิงหลักการมันผิด อย่าง ส.ส. แต่ละคนจากพรรคการเมืองที่อยู่ในด้าน 188 เสียง ตอนเขาไปหาเสียง เขาพูดอะไร? นี่คือคุณรวมพวกแบบรวมไทยสร้างชาติด้วยนะ อย่างรวมไทยสร้างชาติตอนไปหาเสียงมันก็ตรงกันข้ามกับก้าวไกลและคุณพิธา คือไม่เอาแนวทางนำพาบ้านเมืองแบบนี้ และประชาชนก็ได้เลือกเขามา และคนเหล่านั้นเป็นประชาชนเช่นกัน เมื่อถึงเวลาคุณจะมาบอกให้เขาเอาเสียงที่ได้รับมาจากประชาชน เพื่อไปโหวตให้กับสิ่งที่ตรงกันข้ามกับเจตนารมณ์ของโหวตเตอร์เขาเหรอ? มันไปกันใหญ่แล้ว”

‘กกต.’ พิจารณาต่อพรุ่งนี้ 3 ปม ‘พิธา’ ถือหุ้นสื่อ ชี้!! เตรียมส่งหนังสือแจ้ง ‘พิธา’ ให้ทราบผล

(11 ก.ค. 66) ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต.เปิดเผยว่า ในการประชุม กกต.วันนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาหนังสือของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล จากกรณีที่เลขาธิการพรรคก้าวไกล ส่งหนังสือค้าน กกต.กรณีหุ้นสื่อ ว่าทำผิดขั้นตอนยื่นศาลรัฐธรรมนูญ ขอให้ กกต.ปฎิบัติตามระเบียบสืบสวนไต่สวนนั้น 

ที่ประชุมเห็นว่า กกต.ได้ปฎิบัติโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว เนื่องจากกรณีนี้เป็นการดำเนินการของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งจะต้องเป็นไปตามระเบียบสืบสวนฯ ที่ต้องมีการแจ้งข้อกล่าวหาก่อน มิใช่การดำเนินการสืบสวนไต่สวนการกระทำฝ่าฝืนกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งและพรรคการเมือง โดยรัฐธรรมนูญตามมาตรา 82 กำหนดว่า ในกรณีที่ กกต.เห็นว่าสมาชิกภาพของ ส.ส.คนใดมีเหตุสิ้นสุดลงให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยได้

ทั้งนี้ สอดคล้องกับแนวคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่เคยให้ไว้ ในการพิจารณายื่นคำร้องตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 ซึ่งสำนักงาน กกต.จะได้มีหนังสือตอบผลการพิจารณาของที่ประชุมให้นายพิธาทราบต่อไป

‘มัลลิกา’ ลั่น!! ‘ปชป.’ไม่โหวต ‘พิธา’ แม้ยังไม่มีมติจากพรรค ชี้ การใช้มวลชนกดดัน ส.ว.ผ่านสื่อ ถือเป็นวิธีบีบบังคับแบบเผด็จการ

(11 ก.ค. 66) นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยที่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และคณะก้าวหน้ากับพรรคก้าวไกล ใช้วิธีนำมวลชนไปกดดันสมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในการประชุมวันที่ 13 กรกฎาคม 2566 ทั้งที่แกนนำพรรคก้าวไกลได้ประกาศต่อประชาชนแล้วว่าเสียงโหวตนายกรัฐมนตรีของนายพิธาครบแล้ว โดยเฉพาะได้เจรจากับสมาชิกวุฒิสภาจนได้เสียงครบมั่นใจแล้ว

“ดังนั้น ก็ไม่มีเหตุอันใดสมควรในการที่จะระดมมวลชนมากดดัน หรือใช้วิธีให้ด้อมส้มหรือผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกลบนโซเชียลมีเดีย เที่ยวไปทัวร์ลงหรือระรานกดดันผู้อื่นบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของสมาชิกวุฒิสภา กับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และผู้สนับสนุนของพรรคการเมืองอื่น เพราะแสดงให้เห็นถึงการไม่ยอมรับความคิดเห็นต่างและไม่ใช่วิถีแห่งเสรีประชาธิปไตย แต่ชัดเจนว่าเป็นวิถีของเผด็จการ” นางมัลลิกา กล่าว

นางมัลลิกา กล่าวด้วยว่า โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์แม้ว่ายังไม่มีมติ เพราะยังไม่มีคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ แต่ด้วยธรรมนูญและอุดมการณ์ของพรรคเรา มีรากเหง้าที่มาต้องดำรงไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ดังนั้นเชื่อว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคล้วนมีดุลพินิจเองได้ และทุกคนทราบถึงอุดมการณ์และธรรมนูญของพรรคดี ความมั่นคงต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ หมายถึงคุณลักษณะที่แสดงออกถึงการเป็นพลเมืองดีของชาติ ธำรงไว้ซึ่งความเป็นชาติ ศรัทธายึดมั่นในศาสนาและเคารพเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์

ดังนั้น ช่วงเลือกตั้งเราตอบคำถามสื่อต่อหน้าประชาชนว่าพรรคประชาธิปัตย์ชัดเจนว่า เราจะไม่แก้ไขและยกเลิกมาตรา 112 ซึ่งเป็นมาตราแห่งความมั่นคงและปกป้องรักษาไว้ซึ่งพระเกียรติยศของสถาบันสำคัญของชาติ

‘บิ๊กตู่’ ประกาศวางมือจากการเมือง พร้อมออกจากสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ

(11 ก.ค. 66) เพจ ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ United Thai Nation Party’ โพสต์ข้อความพร้อมรูปภาพ โดยระบุว่า…

พ่อแม่พี่น้องประชาชนคนไทยที่เคารพรัก และสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติทุกท่าน

ผมต้องขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่งที่พี่น้องประชาชนได้ให้การสนับสนุนพรรครวมไทยสร้างชาติและผม ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ผ่านมา จนทำให้ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบเขตเลือกตั้งของเรา ได้รับเลือกตั้งเป็นจำนวน 23 คน และเรายังได้รับการสนับสนุนในการเลือกพรรครวมไทยสร้างชาติอีกถึง 4,766,408 เสียง จากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่มาใช้สิทธิ 38,057,074 คน หรือร้อยละ 12.52 สูงเป็นอันดับสามของประเทศ ทำให้เรามีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่ออีก 13 คน รวมทั้งสิ้น 36 คน ซึ่งนับว่าเป็นจำนวนไม่น้อยสำหรับพรรคการเมืองที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นใหม่

การที่ผมตัดสินใจเข้ามาเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาตินั้น เพราะผมต้องการร่วมสร้างพรรครวมไทยสร้างชาติ เพื่อให้เป็นพรรคการเมืองที่มีคุณภาพ มีอุดมการณ์ที่แข็งแกร่ง มีความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และเป็นหลักให้กับบ้านเมืองต่อไปในอนาคต

ช่วงเวลาที่ผมได้ร่วมเดินทางกับพรรคไปพบปะพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ ผมได้รับฟังข้อคิดเห็นของสมาชิกพรรคและประชาชนที่ให้การสนับสนุนอย่างล้นหลาม ผมสัมผัสได้ถึงความเข้าใจ ความเห็นอกเห็นใจ และความเชื่อมั่นในตัวผมตลอดมา ผมรู้สึกซาบซึ้งอย่างยิ่ง และเป็นประสบการณ์ที่ผมจะไม่มีวันลืม

ผมเชื่อว่าทุกท่านทราบดีว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเก้าปีเศษ ผมในฐานะนายกรัฐมนตรี ได้ทำงานอย่างมุ่งมั่นทุ่มเทอย่างเต็มกำลัง เพื่อปกป้องรักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และเพื่อประโยชน์ของประชาชนอันเป็นที่รักยิ่ง และสิ่งเหล่านี้กำลังผลิดอกออกผลให้กับประเทศชาติโดยส่วนรวม ผมได้ใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดในการที่จะทำให้ประเทศชาติแข็งแกร่งขึ้นในทุกๆ ด้าน มีเสถียรภาพ มีความสงบ และฟันฝ่าอุปสรรคทั้งในประเทศและต่างประเทศ จนมีความสำเร็จก้าวหน้าเป็นรูปธรรมหลายๆ ด้าน อาทิ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ทั้งทางด้านคมนาคม ขนส่ง การสื่อสาร เครือข่ายอินเตอร์เน็ต สาธารณูปโภค การเร่งรัดการลงทุนจากต่างประเทศในพื้นที่เศรษฐกิจต่างๆ การสนับสนุนการวิจัยพัฒนา การจัดหาที่ดินทำกิน การจัดระบบการบริหารจัดการน้ำเพื่อให้มีน้ำใช้และบรรเทาการเกิดอุทกภัย การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลในการอำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชนทั้งการทำมาค้าขาย การใช้ชีวิตประจำวัน และการรับบริการจากภาครัฐ 

การต่อสู้กับการระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 จนได้รับการยอมรับจากนานาชาติว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีระบบการบริหารจัดการโรคอุบัติใหม่ที่ดีที่สุดในโลก การแก้ไขสิ่งที่เป็นปัญหาต่อการค้าการลงทุนมายาวนาน เช่น การค้ามนุษย์ การทำประมงผิดกฎหมาย การรักษามาตรฐานกิจการการบิน ตลอดจนการดูแลประชาชนอย่างเป็นระบบอย่างทั่วถึงด้วยความเป็นธรรมกับทุกกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มประชาชนผู้เปราะบาง มีรายได้น้อย เด็ก คนชรา คนพิการ เป็นต้น ซึ่งผมได้บริหารราชการแผ่นดินอย่างเต็มความสามารถ ระมัดระวังการใช้จ่ายงบประมาณซึ่งเป็นภาษีของพี่น้องประชาชน ให้ถูกต้องตามระเบียบกฎหมาย วินัยการเงินการคลัง มาโดยตลอด

เหล่านี้เป็นสิ่งที่ผมในฐานะนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลได้ทำให้กับประเทศชาติและประชาชนตลอดเก้าปีเศษที่ผ่านมา ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารัฐบาลต่อไปจะดำเนินการพัฒนาต่อไป

จากนี้ไป ผมขอประกาศวางมือทางการเมือง ด้วยการลาออกจากสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ และขอให้หัวหน้าพรรค กรรมการบริหาร และสมาชิกพรรคได้ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองด้วยอุดมการณ์ที่แข็งแกร่ง ปกป้องรักษาสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และดูแลพี่น้องประชาชนชาวไทยต่อไป และขอให้พี่น้องประชาชนให้ความไว้วางใจสนับสนุนการทำงานของพรรครวมไทยสร้างชาติต่อไปด้วย

ขอขอบพระคุณครับ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา

ส.ว.สายโหวต ‘พิธา’ จี้ กกต. ส่งศาล รธน.สอบคุณสมบัติ หวั่น!! โหวตผู้มีลักษณะต้องห้ามเข้าสู่ตำแหน่ง

รีบเลย!! ‘ดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม’ ส.ว. ซึ่งมีชื่อว่าจะโหวตเลือก ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ เป็นนายกรัฐมนตรี แต่กลับออกมาจี้ กกต. รีบส่ง #ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัย คุณสมบัติ #พิธา โดยเร็ว ก่อน #โหวตนายก 13 ก.ค. กลัวต้องโหวตผู้มีลักษณะต้องห้ามเข้าสู่ตำแหน่ง ยันที่ประชุมรัฐสภา สามารถเลื่อนการประชุมโหวตได้ 

พฤหัสบดีที่ 13 กรกฎาคม จะเป็นวันนัดโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งก้าวไกลจะเสนอชื่อ ‘พิธา’ เป็นนายกรัฐมนตรี โดยแกนนำบางคนออกมายืนยันแล้วว่า มีเสียงสมาชิกวุฒิสภาให้การสนับสนุนครบแล้ว ถ้าครบแล้ว หมายถึงได้รับการสนับสนุนจาก สว.แล้วไม่น้อยกว่า 66คน

ต้อง 66เสียง เพราะว่า พรรคก้าวไกลหายไป 1 คน จากเหตุเมาแล้วขับ และ กกต.ยังไม่รับรองในการเลื่อนลำดับถัดมา จึงยังไม่ได้เข้าสาบานตนรับตำแหน่ง ส่วนอีกคน ต้องทำหน้าที่ประธาน จะงดออกเสียงหรือไม่

แต่ประเด็นมาถึงวันนี้ สว.บางคนที่เคยเอ่ยปากสนับสนุน ‘พิธา’ เริ่มลังเลในการโหวต กลัวว่าจะเป็นการรับรองคนผิดเข้าสู่ตำแหน่ง แล้วจะถูกเล่นงานตลบหลัง ส่วนคนที่ตั้งใจ มุ่งมั่นแล้วก็ว่ากันไป แต่จำนวนเท่าไหร่แน่ ไม่มีใครยืนยัน

วันนี้ กกต.นัดประชุมสรุปอีกรอบในการดำเนินการตามคำร้องของเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ให้ตรวจสอบคุณสมบัติของพิธาว่าเข้าข่ายต้องห้ามหรือไม่กรณีถือหุ้นสื่อ (ไอทีวี) ซึ่งเมื่อวานได้พิจารณาแล้ว แต่พรรคก้าวไกลทำหนังสือแย้งไปว่า กกต.ยังไม่ได้ดำเนินการตามขั้นตอน คือเรียกผู้ถูกกล่าวหาไปชี้แจง กกต.จึงเลื่อนมาพิจารณาต่อในวันนี้

‘ครูหยุย’ เช็ก!! ตัวเลข ส.ว.โหวตเลือกพิธา  ปั่นข่าวกระพือ 20 แต่ตัวเลขแท้จริงคือ 10 

เมื่อวานนี้ (10 ก.ค. 66) เฟซบุ๊ก ‘วัลลภ ครูหยุย ตังคณานุรักษ์’ ของนายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ได้โพสต์ภาพอินโฟกราฟิกของสำนักข่าวออนไลน์ชื่อดังแห่งหนึ่ง เปิดรายชื่อ 20 ส.ว. โหวตให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ตามเสียงข้างมาก ส.ส. โดยได้กากบาทคนที่ตรวจสอบแล้วไม่ใช่ พร้อมระบุว่า เพื่อความชัดเจน ตามนี้เลยครับ สอบถามทุกคนในภาพมาแล้ว ตัวเลขปั่นจนข่าวเอาไปลงคือ 20 ตัวเลขแท้จริงคือ 10 ครับ"

สำหรับ ส.ว.ที่นายวัลลภระบุว่าสนับสนุนนายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี ประกอบด้วย 
1. นายวุฒิพันธุ์ วิชัยรัตน์ 
2. นพ.อำพล จินดาวัฒนะ 
3. นายทรงเดช เสนอคำ 
4. นายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม
5. นายวันชัย สอนศิริ 
6. นายมณเทียร บุญตัน 
7. นางประภาศรี สุฉันทบุตร 
8. นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ 
9. นายพิศาล มาณวพัฒน์ 
และ 10. นายพีระศักดิ์ พอจิต

ศาลรับคดี ‘สว.อุปกิต’ ฟ้อง ‘โรม’ หมิ่นประมาท  ปมอภิปรายในสภาฯ เรื่อง ‘เช็กบิลไทยดำ-จีนเทา’

(11 ก.ค. 66) ที่ห้องพิจารณา 909 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำสั่งชั้นไต่สวนมูลฟ้อง คดีดำอ.468/2566 ที่นายอุปกิต ปาจริยางกูร วุฒิสมาชิก (ส.ว.) ยื่นฟ้องนายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ในความผิดฐานหมิ่นประมาทฯ

กรณีช่วงคืนวันที่ 15 ก.พ. 2565 ในการอภิปรายทั่วไป เพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรีนายรังสิมันต์ ได้อภิปรายในหัวข้อ ‘เช็กบิลไทยดำ-จีนเทา’ โดยมีเนื้อหาพาดพิง ใส่ความให้ผู้อื่นเข้าใจว่า นายอุปกิต มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งล้วนเป็นเท็จทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นเกลียดชัง พร้อมกับเรียกค่าเสียหาย 100 ล้านบาทด้วย

โดยวันนี้ทั้งนายอุปกิต ปาจรียางกูร และนายรังสิมันต์ โรม ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โจทก์และจำเลยไม่ได้มาศาล แต่มอบหมายให้ทนายความมาฟังคำสั่งแทน

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การอภิปรายและนำคลิปวิดีโอมาเปิดในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ของนายรังสิมันต์ โรม จำเลยซึ่งมีหน้าที่และเอกสิทธิ์คุ้มครองตามกฎหมายอยู่แล้ว แต่การที่จำเลยนำคลิปวิดีโอในการอภิปรายดังกล่าวนั้น ออกมาเผยแพร่ทางช่องทั้ง YouTube และ Facebook ซึ่งเป็นสื่อโซเชียล ถือว่าเข้าข่ายหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา คดีมีมูลจึงมีคำสั่งประทับรับฟ้อง พร้อมให้เจ้าหน้าที่ศาลมีหมายแจ้งให้จำเลยทราบนัด เพื่อมาสอบคำให้การจำเลยและตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 21 ส.ค. เวลา 09.00 น.

เศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย ได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก ‘เศรษฐา ทวีสิน - Srettha Thavisin’

วันก่อนผมได้พบกับคุณริชาร์ด หลี่ นักธุรกิจใหญ่ในวงการประกันชีวิตและสาธารณูปโภคพื้นฐานชาวฮ่องกง เจ้าของหลากหลายเครือบริษัทยักษ์ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น FWD Group, PCCW, Hong Kong Telecom และ Pacific Century Group นอกจากนี้ยังเป็นลูกชายของคุณหลี่ กาชิง มหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในฮ่องกงปัจจุบัน คุณริชาร์ดเดินทางมาที่ประเทศไทยเพื่อศึกษาตลาดและโอกาสในการขยายการลงทุนในไทยเพิ่มเติม หลังจากที่เครือ FWD Group ได้ทำงานร่วมกับธนาคารไทยพานิชย์เป็นอย่างดีมาโดยตลอด และส่วนตัวคุณริชาร์ดเองก็ชื่นชอบประเทศไทยมาก 

ดีใจครับที่ไทยเรายังมีเสน่ห์ดึงดูดให้นักลงทุนต่างชาติอยากมาร่วมลงทุน โดยเฉพาะหลังจากนี้ที่เราจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลฝั่งประชาธาธิปไตยได้สำเร็จ สถานการณ์ก็ย่อมดียิ่งขึ้นไปอีก ยินดีต้อนรับเสมอครับ

'พีระพันธุ์' กร้าว!! ไม่เสนอแคนดิเดตนายกฯ แข่ง แต่ก็ไม่โหวตให้แคนดิเดตฯ ที่หวังแก้ไข 112 เช่นกัน

เมื่อวานนี้ (10 ก.ค. 66) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กแสดงจุดยืนทางการเมืองของพรรครวมไทยสร้างชาติ ระบุว่า...

ผมในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ขอประกาศยืนยันว่าผมได้แจ้งเลขาธิการพรรคให้เสนอที่ประชุมพรรคในวันพรุ่งนี้ (11 ก.ค. 66) ให้พิจารณามีมติ 

1) ไม่เสนอแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเราฟทั้งสองคนเพราะเราไม่เห็นด้วยกับแนวทางรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่จะทำให้เกิดผลเสียต่อบ้านเมือง 

เราไม่ได้อาสามาเพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือส่วนพรรค 

2) เราไม่โหวตให้แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่มีนโยบายหรือแนวทางการทำงานที่ขัดรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 การแบ่งแยกการปกครอง การล้มล้างสถาบันครอบครัว ระบบการศึกษา วัฒนธรรมประเพณีที่ดี และสถาบันหลักทั้งสามของชาติ อันมีผลกระทบต่อความมั่นคงของบ้านเมือง 

ชัดเจน ตรงไปตรงมานะครับ ไม่ต้องวิเคราะห์วิจารณ์ซับซ้อนซ่อนเงื่อนอะไรทั้งสิ้น

หน้าที่ของเราคือทำอย่างไรก็ได้ไม่ให้บ้านเมืองตกอยู่ในอันตราย 

ผมขอเชิญชวนทุกท่านที่รักชาติรักแผ่นดิน ให้ละทิ้งความบาดหมาง และหันกลับมาทำหน้าที่ของแต่ละคน 

ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง ข้าราชการ พ่อค้าแม่ค้า นักธุรกิจ และประชาชนทั่วไป 

ลืมความแตกแยกหันกลับมาช่วยกันทำหน้าที่ทึ่มีต่อบ้านเกิดเมืองนอนของเรา 

หากบ้านเมืองล่มสลายทุกท่านก็ล่มสลายตามไปด้วย ทุกอย่างที่แต่ละท่านสร้างสมมาก็จะล่มสลายตามไป 

สำหรับ รทสช. แม้เป็นพรรคเล็กแต่สู้เสมอกับภัยของชาติ สู้ด้วยใจทะนงเช่นเดิมครับ 

สู้ไปด้วยกันนะครับ

นายพีระพันธุ์ ทิ้งท้ายอกด้วยว่า "สำหรับผมต้องลาประชุมพรรคในวันที่ 11 ก.ค. 2566 เพราะติดภารกิจด้านสุขภาพ เลยแจ้งให้เลขาธิการพรรคทำหน้าที่แทนครับ"

'พิธา ลิ้มเจริญรัตน์' ตอบข้อซักถามที่ว่า... "ถ้านายกฯ ไม่ใช่พิธา แล้วพรรคเพื่อไทยขึ้นมาจัดตั้งรัฐบาล พิธาจะสนับสนุนหรือไม่?"

"ถ้านายกฯ ไม่ใช่พิธา แล้วพรรคเพื่อไทยขึ้นมาจัดตั้งรัฐบาล พิธาจะสนับสนุนหรือไม่?"
 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top