Monday, 23 June 2025
POLITICS NEWS

‘สัมพันธ์ มะยูโซ๊ะ’ แจ้งข่าวดีชาวสุไหงโก-ลก  ดันสร้างสะพานข้ามแม่น้ำสำเร็จ

(10 ก.ค. 66) นายสัมพันธ์ มะยูโซ๊ะ ส.ส.นราธิวาส เขต 3 พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเผยว่าพี่น้องประชาชนใน อ.สุไหงโก-ลก นราธิวาส และพี่น้องชาวรันเตาปันยัง ประเทศมาเลเซีย ได้รับข่าวที่ทางรัฐบาลไทยสามารถผลักดันสร้างโครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโก-ลก แห่งที่ 2 สุไหงโก-ลก - รันเตาปันยัง เพื่ออำนวยความสะดวกต่อการขนส่งสินค้า และบุคคลข้ามพรมแดน ซึ่งถือว่าเป็นการเชื่อมโยงด้านเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว โดยมีแผนการดำเนินงานโครงการดังกล่าวนี้ตามแผนระยะเวลา 5 ปี คือ พ.ศ. 2565 - 2569 ทั้งนี้ ตนพร้อมจะสนับสนุน ผลักดันทุกๆ โครงการ และต่อยอดให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อชาวนราธิวาส 

นายสัมพันธ์ กล่าวต่อว่า อีกหนี่งโครงการที่จะสร้างรายได้ให้กับคนในพื้นที่ก็คือ วิสาหกิจชุมชน กลุ่มหัตถกรรม หรือเย็บปักถักร้อย ล้วนแล้วแต่สร้างรายได้ ซึ่งผมให้ความสำคัญกับสตรี และเยาวชน เพราะสตรีคือลมใต้ปีกของทุกๆ องค์กรที่สามารถขับเคลื่อนองค์กรนั้นๆไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง โดยตนพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของทุกคนและทุกครัวเรือน

“ทุกข์เสียงจากพี่น้อง ผมเองก็เป็นทุกข์เช่นกัน การพัฒนามนุษย์ที่ยั่งยืน คือการให้เพื่อนมนุษย์ด้วยกันมีคุณภาพชีวิตที่ดี ผมเองพยายามผลักดันทุกๆ โครงการในขณะที่ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพื่อคลายความทุกข์ร้อนของพี่น้องอยู่เสมอๆ และหลังจากนี้ ผมพร้อมที่จะเป็นปากเป็นเสียงแทนพี่น้องทุกๆ ท่าน เพื่อให้สมกับเจตนารมณ์ในการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีของชาวนราธิวาสต่อไป”

เกม 'ล้มประชุม' เลือกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เบรกความฮอตขั้ว 'เฉลิมชัย' อีก 1 เดือนวัดกันใหม่

การประชุมใหญ่วิสามัญพรรคประชาธิปัตย์ เริ่มขึ้นเวลา 09.00 น.ของวันที่ 9 กรกฎาคม โดยการกล่าวต้อนรับสมาชิกโดยผู้อำนวยการพรรค จากนั้นนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รักษาการหัวหน้าพรรค ขึ้นทำหน้าที่ประธานการประชุม โดยดำเนินการไปตามระเบียบวาระ เมื่อจะเข้าวาระ 4 ว่าด้วยเรื่องการเลือกหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรค ที่ประชุมได้เชิญสื่อมวลชนออกจากห้องประชุม

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคกรุงเทพมหานคร เสนอให้ยกเว้นการบังคับใช้ข้อบังคับพรรค ในขณะที่นายสาธิต ปิตะเตชะ รองหัวหน้าพรรค เสนอให้งดเว้นการบังคับใช้ข้อบังคับพรรคเกี่ยวกับสัดส่วน-น้ำหนัก ส.ส.กับโหวตเตอร์อื่นๆ 70:30 ทำให้นายจุรินทร์ เปิดให้สมาชิกแสดงความคิดเห็น มีสมาชิกแสดงความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวาง นายองอาจจึงเสนอให้เลื่อนการประชุมออกไปก่อน พี่น้องภายในพรรคไปคุยตกลงกันให้เรียบร้อยก่อนว่าจะเอาอย่างไร

การประชุมยังเป็นไปอย่างเคร่งเครียด ในขณะที่ด้านนอกมีกระแสข่าวมาเรื่อยๆ 'อลงกรณ์ พลบุตร' ถอนตัวจากการชิงหัวหน้าพรรคกระทันหัน และไม่เข้าร่วมประชุมด้วย

ดร.เอ้ สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ให้คำตอบในนาทีสุดท้าย ปฏิเสธลงชิงหัวหน้าพรรค เกมเริ่มพลิก ขั้วของเฉลิมชัย ศรีอ่อน ขาดหัวในการชิงหัวหน้าพรรค จึงดึง 'นราพัฒน์ แก้วทอง' จากพิจิตร มาเสนอตัวแทน และ 'ติ่ง-มัลลิกา บุญมีตระกูล' ตัวจี๊ดขันอาสามาสมัครอีกคน

บรรยากาศในห้องประชุมยังดำเนินไปอย่างเคร่งเครียดกับข้อเสนอให้งบใช้ข้อบังคับการประชุม การประชุมลากยาวไปถึงภาคบ่าย และสไตล์ประชาธิปัตย์ เมื่อเห็นไม่ตรงกันก็จบลงด้วยการลงมติ ที่ประชุมไม่ให้เลื่อนการประชุมออกไป และยังใช้ข้อบังคับพรรคในสัดส่วน 70:30 ต่อไป

กว่าจะได้พักรับประทานอาหารการประชุมลากยาวมาถึงบ่ายโมง พัก 1 ชั่วโมง นัดประชุมใหม่ 14.00 น. 

ผู้ล้ำลึกในเกมวิเคราะห์ถึงการชิงไหวชิงพริบกันในภาคเช้า ขั้วของเฉลิมชัยยังอยู่ในฐานะได้เปรียบในทุกประตู ทั้งไม่เลื่อนการประชุม และงดใช้สัดส่วน 70:30

แต่หลังรับประทานอาหารเสร็จ ภาพที่เห็นคือ คนที่เป็นองค์ประชุมเริ่มเช็กเอาต์ ลากกระเป๋าออกจากห้องพัก ซึ่งเป็นไปตามกติกา ถ้าไม่พักต่อก็ต้องเช็กเอาต์ก่อนบ่ายสองโมง 

สัญญาณเริ่มได้ยิน "ล้มการประชุม" องค์ประชุมหลายคนจึงลากกระเป๋าออกจากโรงแรม บางคนอ้างจองตั๋วเครื่องบินไว้แล้ว จองตั๋วรถทัวร์ไว้แล้วบ้าง

14.00 น.การประชุมช่วงบ่ายเริ่มขึ้น คนเริ่มโหรงเหรง เหลือครึ่งหนึ่ง จึงมีคนเสนอให้นับองค์ประชุม เป็นไปตามคาด 'ไม่ครบองค์ประชุม'

จริงๆ แล้ว การนับองค์ประชุม เป็นเกมที่ไม่ต้องการให้การประชุมเดินต่อไปได้ ซึ่งหมายถึงไม่สามารถเดินไปสู่การเสนอชื่อบุคคลที่จะเป็นหัวหน้าพรรคต่อได้นั่นเอง และถ้าดูผลการประชุมในช่วงเช้า ขั้วของเฉลิมชัย ที่ดันนราพัฒน์ ยังเป็นต่ออยู่ เกมล้มการประชุมด้วยการนับองค์ประชุมจึงถูกกำหนดขึ้น และบรรลุเป้าหมาย ยังมีเวลาอีก 1 เดือนในการล็อบบี้ 

งานนี้นักการเมืองหนุ่มขั้วเฉลิมชัยถึงกับส่ายหน้ากับเกมล้มการประชุมที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน

ประเด็นเวลานี้คือ อลงกรณ์มีเหตุผลอะไรถึงถอนตัวจากการลงชิงหัวหน้าพรรค และไม่เข้าร่วมประชุม เกิดอะไรขึ้น 1 วันก่อนการประชุม เช่นเดียวกับ ดร.เอ้ ที่มาปฏิเสธในช่วงโค้งสุดท้าย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ดูท่าทีดีใจที่ถูกผู้ใหญ่ในพรรคทาบทามให้ลงชิงหัวหน้าพรรค แต่กลับมาตัดสินใจ และบอกกล่าวในนาทีสุดท้าย จนขั้วเฉลิมชัย เกือบพลิกตัวไม่ทัน ยังดีที่ไปคว้านราพัฒน์ไว้ได้ทัน

ชัดเจนครับว่า การประชุมครั้งหน้า ก็จะเริ่มต้นด้วยการเสนอชื่อผู้ที่จะลงชิงหัวหน้า ไม่ต้องมาหารือ หรือลงมติเรื่องอื่นกันให้เสียเวลาอีก แต่ 1 เดือนที่เหลือ น่าจะเป็นช่วงเวลาของการล็อบบี้-หาคะแนนกันอย่างแท้จริง ทั้งฝ่ายสนับสนุน 'นราพัฒน์ แก้วทอง' และฝ่ายสนับสนุน 'อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ'

‘ปรเมษฐ์ ภู่โต’ ย้ำ!! บทบาท ส.ว. ใต้รัฐธรรมนูญ 60  อย่าละเลย 'ตรรกะ' ที่ถูกต้อง บนอำนาจที่พึงมี

(10 ก.ค. 66) นายปรเมษฐ์ ภู่โต สื่อมวลชนอาวุโส พิธีกร ผู้ประกาศข่าว รายการคุยถึงแก่น ออกอากาศทางช่อง NBT ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี โดย ส.ว. ระบุว่า...

เรื่องของการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งวันพฤหัสบดีที่ 13 กรกฎาคมนี้ ที่ประชุมร่วมรัฐสภา ก็จะลงคะแนนโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี โดยมีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคก้าวไกลเป็นตัวยืนในการโหวตครั้งนี้ หลังมีพรรคร่วม 8 พรรคเป็นผู้เสนอชื่อนั้น

ประเด็นที่น่าสนใจ นอกจากประเด็นที่ว่า พรรคก้าวไกลจะหาเสียงสนับสนุนจาก ส.ว. ได้หรือไม่ ซึ่งล่าสุดคุณไหม ศิริกัญญา ก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าได้เสียงจาก ส.ว. ครบถ้วนแล้ว ตอนนี้ก็กำลังหาเสียงสำรองไว้เผื่อเหลือเผื่อขาดไว้อีกจำนวนเล็กน้อย แต่ก็มีการตั้งข้อสังเกตว่า ถ้าหาเสียงได้ครบแล้วจริงๆ ทำไมพรรคก้าวไกลนั้นดูร้อนรนเหลือเกิน มีการเปิดเวที เพื่อขอบคุณประชาชน ในหลายจังหวัดไม่ว่าจะเป็นในนครราชสีมา หรือที่จังหวัดสุพรรณบุรี ล่าสุดก็เป็นที่เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ

สื่อหลายสำนักก็ยังได้วิเคราะห์ว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์นั้น ยังไม่สามารถหาเสียงจาก ส.ว. ได้ครบ แต่ก็มี ส.ว.อีกบางส่วนได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าจะสนับสนุนนายพิธา

ทั้งนี้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 272 ได้ให้อำนาจ ส.ว.ไว้ว่า มีหน้าที่ที่จะต้องให้ความเห็นชอบบุคคลที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งสำคัญที่เราจะพูดกัน และจะเป็นประเด็นสำคัญมากกว่าที่ ส.ว.จะเลือกหรือไม่เลือก พิธา หากแต่คุณจะใช้เหตุผลหรือตรรกะใดในการที่จะยกมือหรือไม่ยกมือให้นายพิธา เป็นนายกฯ ตรงนี้มากกว่าที่น่าสนใจ

แน่นอนว่า ส.ว.บางท่านที่ประกาศจุดยืนชัดเจนว่าจะ สนับสนุนให้พิธาเป็นนายกรัฐมนตรี ก็เพราะว่าพิธาได้รับเสียงส่วนใหญ่เสียงข้างมาก จากสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเท่ากับว่าเป็นเสียงแห่งฉันทามติของพี่น้องประชาชน ส.ว.ก็จะโหวตให้กับนายพิธา เพราะถือว่าทำตามฉันทามติของประชาชน...นี่คือเหตุผลของส.ว.คนที่มีจุดยืนในการเลือกนายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี

ทว่า การที่ ส.ว. ใช้เรื่องฉันทางมติมาเพื่อจะโหวตสนับสนุนนายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี ผมก็อยากจะขอถามไปยังท่าน ส.ว. ด้วยว่า ทำไมท่านใช้ตรรกะนี้ในการเลือกโดยไม่พิจารณาคุณสมบัติอื่น โดยเฉพาะคุณสมบัติส่วนบุคคล ว่าเหมาะหรือไม่เหมาะ จะมีปัญหาหรือไม่มีปัญหาในการทำงาน 

ที่ถามเช่นนี้ เพราะถ้าใช้ตรรกะนี้ในการทำงานอีกหน่อย ส.ส. พิจารณากฎหมายขึ้นมา จนมาถึงชั้นส.ว. ทาง ส.ว. ก็ต้องให้ผ่านไปเลย โดยไม่ต้องพิจารณาอะไรอีก เพราะว่าเสียงข้างมากของสภาฯ ผู้แทนราษฎรเขาผ่านเขาเห็นชอบกฎหมายฉบับนั้นๆมาแล้ว จะใช้ตรรกะเดียวกันแบบนี้จริงๆ หรือ?

แล้ว ถ้าท่าน ส.ว. อ้างเสียงส่วนใหญ่ที่เป็นฉันทามติมาจากประชาชน แล้ว ส.ว. ภายใต้รัฐธรรมนูญปี 60 นี้มีที่มาอย่างไร ส.ว.ก็มาจากรัฐธรรมนูญ แล้วรัฐธรรมนูญปี 60 มาจากไหน รัฐธรรมนูญปี 60 ก็มาจากประชาชน

ร่างรัฐธรรมนูญปี 60 ประชาชนไปลงรับร่างประมาณ 16,800,000 คน คิดเป็นประมาณ 61% ของผู้มาใช้สิทธิ์ ในขณะที่คำถามพ่วงเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของ ส.ว. อำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรีของ ส.ว. ก็ได้รับคะแนนเสียงประมาณ 15,100,000 คิดเป็น 58% ของผู้ที่เดินทางมาใช้สิทธิ์ 

คำถาม คือ เจตจำนงของคนที่ไปลงคะแนนเมื่อปี 2560 คืออะไร? ประชาชนเหล่านี้เขาได้ให้อำนาจ ส.ว. ในการเลือกนายกรัฐมนตรี ให้อำนาจ ส.ว. ในการกลั่นกรองนายกรัฐมนตรีอีกชั้นหนึ่งหลังจากที่ผ่าน ส.ส.มาแล้ว ซึ่งก็กระทำการกันอย่างเป็นขั้นเป็นตอนใช่หรือไม่?

ถ้าใช่!! ที่มาของท่าน ส.ว.นั้น ก็ไม่สำคัญเท่ากับสิ่งที่ท่านจะทำ เพราะเมื่อท่าน ส.ว.ได้ถูกเลือกมาแล้วโดยรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายที่ระบุอำนาจหน้าที่ของท่าน ส.ว.ไว้อย่างชัดเจนว่ามีอะไรบ้าง และที่สำคัญก็เป็นรัฐธรรมนูญที่คุณพิธา และพรรคก้าวไกลใช้ในการเลือกตั้งด้วย

แต่หากพวกท่าน ส.ว.ไม่คิดจะทำการอันใด รอฟังแต่เสียงจาก ส.ส.ส่วนใหญ่...ถ้าเป็นอย่างนั้น ท่านก็ไม่ควรที่จะทำหน้าที่ ส.ว. อีกต่อไป

'อี้ แทนคุณ' ประณาม 'พิธา-ก้าวไกล' นำเด็ก 10 ขวบเอี่ยวการเมือง หลังให้ขึ้นเวทีกล่าว Hate Speech ขัดอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก

(10 ก.ค. 66) ดร.แทนคุณ จิตต์อิสระ รักษาการประธานคณะกรรมการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและความเสมอภาคระหว่างเพศ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีพรรคก้าวไกลนำเด็ก 10 ขวบขึ้นไปพูดบนเวทีการเมือง เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม ถือเป็นการกระทำที่สิ้นคิดไร้สำนึกทางสิทธิมนุษยชน ขัดหลักการสากล ว่าด้วยสิทธิเด็กที่องค์กรสหประชาชาติก็ให้ความสำคัญ กับหลักการ 'กันเด็กออกจากการเมือง' และ 'เด็กต้องได้รับความคุ้มครองจากการแสวงประโยชน์กับเด็กในทุกรูปแบบจากรัฐ' 

โดยหลักการอนุสัญญา ว่าด้วยสิทธิเด็กที่จัดทำขึ้นในปี พ.ศ.2532 เป็นข้อตกลงด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศที่ได้รับการรับรองมากที่สุดในโลกถึง 196 ประเทศ ข้อตกลงฉบับประวัติศาสตร์นี้คือ การที่ผู้นำทั่วโลกได้มาร่วมให้สัญญากับเด็กๆ ทุกคนให้ได้รับความคุ้มครองดูแลอย่างเต็มที่ โดยประเทศไทยลงนามภาคยานุวัติรับรอง เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2535 นั่นหมายความว่า รัฐบาลมีพันธะผูกพันที่จะดำเนินการให้เด็กๆ ทุกคนในประเทศให้ได้รับสิทธิตามอนุสัญญาฯ ดังกล่าว 

การที่พรรคก้าวไกลนำเด็ก 10 ขวบขึ้นเวทีสัมภาษณ์โดยมีการพูด Hate Speech ซึ่งเป็นเแนวคิดเดียวกันกับสิ่งที่พรรคก้าวไกลและขบวนการปลุกปั่นทางสังคมและการเมืองส่งผลต่อเด็กและเยาวชนตามปรากฏในโซเชียลมีเดียต่างๆ ดังที่คนเคยตั้งข้อสังเกตไว้แล้วก่อนหน้านี้ ตนจึงขอให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง คือ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และรัฐสภา ได้เข้ามามีส่วนในการตรวจสอบพฤติกรรมของ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) โดยเฉพาะนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่จัดเวทีดังกล่าวที่มีการนำเด็กมา สัมภาษณ์ทางการเมืองบนเวทีดังกล่าว ซึ่งเป็นที่แน่ชัดว่าเป็นเวทีการเมืองของพรรคก้าวไกล

นอกจากนี้ ยังขอเรียกร้องไปยังขบวนการภาคประชาสังคมด้านสิทธิมนุษยชน สิทธิเด็ก ให้มาช่วยเหลือดูแล ดำเนินการกับกรณีดังกล่าวโดยเร่งด่วนอย่านิ่งเฉยหายเงียบเหมือนกรณี ส.ส.ทำร้ายแฟนสาว เพื่อปกป้องคุ้มครองสิทธิของเด็ก ไม่ให้ถูกพรรคการเมืองใดนำไปเป็นเครื่องมือทางการเมืองอีกต่อไป

'ก้าวไกล' ส่งหนังสือด่วนถึง กกต. คัดค้านส่งเรื่องวินิจฉัย กรณี 'พิธา' ถือหุ้นสื่อไอทีวีไปยังศาลรัฐธรรมนูญ 

(10 ก.ค. 66) นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล (ก.ก.) เปิดเผยว่า ในช่วงเช้าที่ผ่านมา พรรคก้าวไกลได้ส่งหนังสือด่วนไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อคัดค้านการที่ กกต. จะส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้วินิจฉัยกรณีหุ้นสื่อของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล เนื่องจากเป็นการกระทำที่ผิดขั้นตอนที่ระเบียบ กกต. ระบุไว้เอง มีความเร่งรัดเกินกว่าเหตุ จนน่าสงสัยในเจตนาของ กกต. ว่ากระทำโดยความเป็นกลางหรือไม่

นายชัยธวัชกล่าวว่า ตามระเบียบของ กกต. เมื่อมีการร้องเรียนผู้สมัครคนใดเกี่ยวกับการกระทำหรือการขาดคุณสมบัติ คณะกรรมการต้องไต่สวน สืบสวน รวบรวมข้อเท็จจริง จากนั้นให้แจ้งข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ รวมถึงข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ผู้ถูกร้องทราบ และให้ผู้ถูกร้องเข้าไปชี้แจง จากนั้นจึงดำเนินการต่อไปในการส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย แต่ในกรณีนี้ เมื่อมีการไต่สวนรวบรวมข้อเท็จจริงแล้ว ยังไม่มีการแจ้งข้อเท็จจริงให้พิธาทราบ และยังไม่มีการเรียกเจ้าตัวไปชี้แจงด้วย แต่กลับจะมีการเร่งรัดส่งศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเท่ากับ กกต. กำลังทำผิดระเบียบของตนเองอยู่

“ในวันที่ 13 กรกฎาคมนี้ อีกเพียง 4 วัน ก็จะถึงการโหวตนายกรัฐมนตรี การที่จู่ๆ กกต.จะเร่งรัด ทำข้ามขั้นตอน ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยทันที อาจทำให้สังคมตั้งคำถามได้ว่าองค์กรอิสระทำหน้าที่อย่างไม่เป็นกลาง มีเป้าประสงค์ทางการเมืองหรือไม่ ผมเชื่อว่าประชาชนเฝ้ารอการโหวตนายกรัฐมนตรีกันทั้งประเทศ จึงไม่ควรมีการกระทำใดๆ ที่จะขัดขวางการตั้งรัฐบาลตามครรลองประชาธิปไตย” นายชัยธวัชกล่าว

'สมศักดิ์ เจียม' ซัด!! ผู้ใหญ่ใช้ปากเด็กสื่อสาร อยากแสดงความคิดเห็นเอง แต่ขี้ขลาด

(10 ก.ค. 66) รศ.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

เด็กอายุ 10 ขวบ ย่อมจะมีความคิดเห็นได้ คุยกับเพื่อน คุยกับผู้ใหญ่ แต่เราไม่ถือว่า การคุยเหล่านี้ต้องมีรับผิดชอบตามมา อาจจะเปลี่ยนใจ อาจจะเลิก ฯลฯ ดังนั้น เราจึงไม่ให้เด็กขนาดนี้ไปแสดงความคิดเห็นในที่สาธารณะ เพราะอย่างหลังต้องมีความรับผิดชอบ

ผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบแล้ว ให้เด็กไปพูด #เท่ากับเป็นผู้ใหญ่ที่ขี้ขลาด คืออยากจะแสดงความคิดเห็นดังกล่าว แต่ให้เด็กพูด บอกว่า "ก็เรื่องของเด็ก" ครั้นฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย จะทำอะไรเด็กก็ไม่ได้ จะทำอะไรผู้ใหญ่ก็ไม่ได้ เพราะไม่ได้พูดเอง "ก็เด็กมันพูด" โดยสรุปแล้ว นับเป็นผู้ใหญ่ที่ขี้ขลาดและไร้ความรับผิดชอบโดยแท้

‘อนุชา’ ลาออกจากตำแหน่งรองเลขาธิการนายกฯ พร้อมกราบลา ‘บิ๊กตู่’ ไปทำหน้าที่ ส.ส. ในสภาฯ

(10 ก.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ในช่วงเช้าวันเดียวกันนี้ (10 ก.ค.66) ตนได้ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และได้กราบลา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เพื่อไปทำหน้าที่ ส.ส.ในสภา

ทั้งนี้ นายกฯ อวยพรให้มีกำลังกาย กำลังใจที่ดี เพื่อปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.ได้อย่างเต็มความสามารถ เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติบ้านเมืองและประชาชน ตนขอขอบคุณนายกฯ ที่กรุณาให้ความไว้วางใจตลอดเวลากว่า 3 ปีที่ผ่านมาให้ดำรงตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี 2 ครั้ง และมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง กำกับดูแลงานสำคัญ ทั้งเรื่องต่างประเทศ เรื่องนโยบายและยุทธศาสตร์ การประสานงานการเมือง และภารกิจของนายกฯ ในด้านต่าง ๆ รวมถึงกำกับดูแลสำนักโฆษกฯ

“ขอบคุณนายกฯ ที่ไว้วางใจให้ดำเนินการในช่วงที่ผ่านมา และขอบคุณเพื่อนร่วมงานที่ทำงานมากว่า 3 ปีในสำนักนายกฯ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ปฏิบัติภารกิจร่วมกันมา และขอบคุณสื่อมวลชน ที่กรุณานำเสนอข่าวเพื่อเป็นประโยชน์กับประชาชนตลอดเวลาที่ผ่านมา ส่วนภารกิจโฆษกฯ นายกฯ ได้มอบหมายให้รองโฆษกฯ ที่เหลืออยู่สามคนทำงานไปอย่างต่อเนื่อง” นายอนุชา กล่าว

นายอนุชา กล่าวอีกว่า ขณะนี้อยู่ในระหว่างรอเอกสารจากสภาฯที่จะส่งไปที่พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ในวันเดียวกันนี้ เพื่อเตรียมนำไปรายงานตัวต่อสภาฯในวันที่ 12 ก.ค.และจะได้ร่วมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในวันที่ 13 ก.ค.นี้ผู้สื่อข่าวถามว่า ในการประชุมพรรค รทสช.ในวันที่ 11 ก.ค.นี้ จะมีทิศทางการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีอย่างไร นายอนุชา กล่าวว่า ยังไม่ทราบวาระการประชุม ที่ผ่านมาไปตนไปร่วมในฐานะผู้ติดตามของนายกฯ จึงไม่รู้ว่าจะคุยเรื่องใดบ้าง ต้องรอดูว่าในพรรคจะเสนอความเห็นอย่างไร จากนั้นโฆษกพรรคจะเป็นผู้แถลงรายละเอียดเพื่อให้ ส.ส.ทุกคนเข้าใจก่อนประชุมสภาฯ

‘นันทิวัฒน์’ กระตุกต่อมจิตสำนึก ‘ส.ส. - ส.ว.’ หากรักชาติ-รักสถาบัน อย่าให้คนคิดไม่ดีได้มีอำนาจ

(10 ก.ค. 66) นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวหัวข้อ ‘เรียกหาจิตสำนึก’ ระบุว่า ใกล้วันเลือกนายกฯ ในรัฐสภา เสียงจากพรรคการเมืองอ้างว่า เสียงเพียงพอ ส.ว.ให้การสนับสนุนจริงหรือไม่จริงไม่รู้ แต่มีข่าวลือมาเข้าหูว่า มีรถขนกล้วยคว่ำแถวหน้าสภา ขอให้เป็นข่าวปลอม คนแถวนั้นไม่ได้มาจากลพบุรี ไม่กินกล้วย สาธุ

มีเสียงจาก ส.ว.หลายคนชี้แจงว่า จะเลือกตามเสียงประชาชน มีคำถามว่า ส.ว.มีไว้ทำไม คำถามนี้ ต้องไปโทรถามคุณปรีดี เพราะปรีดีเป็นคนออกแบบให้รัฐสภาไทยมี ส.ว.ตั้งแต่เริ่มแรก จะให้เหมือนรัฐสภาอังกฤษที่มีสภาขุนนาง ที่มาจากการแต่งตั้งและสืบสายสกุล เพื่อเป็นพี่เลี้ยงและคอยถ่วงดุล ส.ส. ให้ทำเพื่อประเทศชาติ ไม่ต้องคำนึงถึงเสียง ส.ส. ที่มักอ้างเสียงประชาชน

แน่นอน ประชาธิปไตยต้องมีการเลือกตั้ง แต่ผลเลือกตั้งไม่ได้มีหลักประกันอะไรว่าจะนำพาประเทศชาติไปในทิศทางที่ถูกต้อง ฮิตเลอร์ผู้นำเผด็จการและก่อสงครามโลกครั้งที่สอง ส่งผลให้คนตายหลายล้านคนก็มาจากการเลือกตั้ง สงครามยูเครน บ้านแตกสาแหรกขาด บ้านเมืองย่อยยับ คนตายคนอพยพนับล้านคน ก็มาจากการเลือกตั้ง นั่นคือ เลือกคนผิด บ้านเมืองฉิบ….

ชัดเจนว่า พรรคแกนนำประกาศนโยบายชัดเจน ต้องการแก้ไขล้มล้าง ม.112 ผลักดันการเลือกปกครองตนเองด้วยคำสวยหรู การตัดสินใจอนาคตของตนเองของจังหวัดชายแดนภาคใต้ สุดท้ายจะจบอย่างไร ส.ส.และส.ว. จะยอมเสี่ยงหลับหูหลับตาเดินลงเหวทั้ง ๆ ที่มีคนตะโกนเตือนอย่างนั้นหรือ

อยากถามหาจิตสำนึกความรักชาติและรักสถาบันของ ส.ส.และส.ว.ทั้งหลายว่ามีอยู่จริงหรือไม่ อย่าทำตัวเป็นคนซื่อบริสุทธิ์ อย่าทำตัวเป็นคนไร้เดียงสาทางการเมือง จนไม่รู้ว่า อะไรดีหรืออะไรไม่ดีต่อประเทศชาติ อย่าจมน้ำตายเพราะเกาะตำราตะวันตกไม่ยอมปล่อย อย่าให้โอกาสคนที่คิดไม่ดีต่อสถาบันได้เป็นใหญ่

‘ชูวิทย์’ แนะ ‘ก้าวไกล’ ต้องรู้จัก ‘ประนีประนอม’ หากดึงดัน ‘แก้ ม.112’ จะถูกผลักกลับไปเป็นฝ่ายค้าน

(10 ก.ค. 66) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ‘ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์’ หัวข้อ ‘ทางเลือกของก้าวไกล’ ระบุว่า ก้าวไกลได้รับเสียงจากประชาชนกว่า 14 ล้านเสียง แต่ยังต้องลุ้นเสียง ส.ว. อีกว่าจะโหวตผ่านให้พิธาเป็นนายกฯ หรือแม้แต่จะให้ก้าวไกลอยู่ในสูตรจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่

อย่างที่ผมเคยบอกไว้ว่า ‘มีก้าวไกล ไม่มี ส.ว.’ ก้าวไกลต้องเลือก หากต้องการเป็นรัฐบาลต้องเลิกแตะ ม.112 แต่การถอย คือการฆ่าตัวตายทางการเมือง เพราะมีจุดยืนหาเสียงไว้ชัดเจน ก้าวไกลยืนกรานไม่ถอย และเดินสายขอบคุณประชาชนถี่ยิบเพื่อให้เห็นว่า ‘เข้าตามตรอก ออกตามประตู’ เดินตามกติกาประชาธิปไตย สร้างความหวังให้คนเห็น แต่อำนาจในการบริหารประเทศไม่มีใครยกให้ง่าย ๆ เหมือนอย่างที่พูด ‘มีลุง ไม่มีเรา’

ก้าวไกลต้องตัดสินใจครั้งสำคัญเพื่อจะได้โอกาสบริหารประเทศต่อไป หากยุ่งเกี่ยวกับ ม.112 ได้ไปเป็นฝ่ายค้านแน่ แต่การผลักให้ก้าวไกลเป็นฝ่ายค้าน เป็นแค่การเลื่อนเวลา และกลับจะทำให้ก้าวไกลเข้มแข็งขึ้น หากก้าวไกลได้บริหารประเทศ จะได้เห็นข้อผิดพลาดมากกว่าจากมือใหม่ ที่ต้องไปเจอระบบราชการที่เขี้ยวลาก อย่าคิดว่าจะจัดการได้ทุกเรื่องในเวลาที่จำกัด และเงื่อนไขที่ไม่เอื้ออำนวย

ก้าวไกลจะถูกโดดเดี่ยว แม้ว่าได้คะแนนเสียงมาก แต่เป็นพรรคของคนรุ่นใหม่ที่ต้องต่อสู้กับระบบเก่า การเมืองคือการประนีประนอม หากไม่ประนีประนอม ก็หมายถึงสงคราม ก้าวไกลต้องเรียนรู้เพื่อก้าวไปข้างหน้า ไม่ใช่ก้าวไปเป็นเงื่อนไขให้ถูกผลักกลับไปแบบเดิมอีก

ทุกวันนี้ประชาชนมองก้าวไกลเสมือนหนุ่มสาวที่มีไฟอุดมการณ์คุกรุ่น ในประเทศที่การเมืองอยู่ในมือของคนรุ่นเก่า เลือกมาผิดหรือถูก อนาคตตัดสินได้ เป็นบทพิสูจน์ว่าความหวังฝากไว้ที่คนรุ่นใหม่ได้หรือไม่ ไม่มีประเทศไหนฝากอนาคตไว้กับคนรุ่นเก่า มันแค่ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น

‘โบว์ ณัฏฐา’ แจงเหตุผล 'ก้าวไกล' ชนะที่ 1 แต่ไม่ได้เป็น ‘นายกฯ’ ทันที ชี้!! เพราะต้องเลือกผ่านสภาฯ แม้ไร้ ส.ว. ก็ต้องรวมเสียงให้เกินครึ่ง

(9 ก.ค. 66)  ‘โบว์’ ณัฏฐา มหัทธนา นักกิจกรรม นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ทวีตข้อความบนทวิตเตอร์ส่วนตัว ‘@NuttaaBow’ โดยระบุว่า…

คำอธิบายว่าทำไมได้ที่หนึ่งแล้วไม่ได้เป็นนายกฯ โดยอัตโนมัติ มีคนบ่นมากว่า 1.ถ้าพรรคที่ชนะ ที่ 1 ไม่ได้เป็นนายกจะเลือกตั้งไปทำไม 2.ทำไมเลือกตั้งเสร็จแล้วไม่ได้นายกเลย ทำไมยังไม่จบง่าย

ตอบดังนี้ 1.พูดให้ง่ายเข้า ประเทศประชาธิปไตย บนโลกนี้ มีวิธีเลือก ผู้นำ สองแบบ คือ 1.1 ประชาชนเลือกผู้นำโดยตรง เช่น อเมริกา (ความจริงมีตัวแทนเลือกอีกที เรียกว่า electoral college แต่ช่างมันข้ามก่อน) และ 1.2 ผู้นำที่ถูกเลือกจากสภา (ที่ประชาชนเลือกมาอีกที) เช่น อังกฤษ เป็นต้น ไทย (ถ้าไม่มี สว.) เป็นแบบหลัง ดังนั้น มันจึงไม่ได้จบหลังเลือกตั้ง ชนะที่ 1 จึงไม่ได้เป็นนายกออโตเมติก ไม่เหมือนระบบแรก ที่ชนะเท่าไหร่ ชนะน้อยชนะมาก ก็เป็น ประธานาธิบดีเลย

เอ๊า แล้วทำไมหลายประเทศ เขาถึงเลือกแบบที่สองกัน อันนี้เป็นเรื่องปรัชญาและการออกแบบรัฐธรรมนูญแล้ว ซึ่งเรื่องมันยาว แต่ขอย่อสั้นๆ ดังนี้

A : เหตุผลด้านความชอบธรรมของเสียงส่วนใหญ่ ถ้าเลือกตรง คะแนนออกมาสี่คนที่ลงแข่ง 30%, 20%, 20%, 20% รวมกัน 100% จะเห็นว่า ที่ 1 ชนะเลย ทั้งที่เสียงไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ ดังนั้นพูดในแง่นี้ ระบบเลือกผู้นำในสภา (ให้ได้เสียงเกินครึ่ง) จึงตอบโจทย์เสียงส่วนใหญ่กว่า ในระบบเลือกผู้นำตรง จะมีข้อเสียดังว่า เขาจึงพยายามออกแบบถ่วงดุล อำนาจ ปธน. กับ สภา ด้วยวิธีอื่น เช่น ตอนผ่านงบประมาณประจำ จะมีขั้นตอนที่ทั้งสองฝ่ายต้องดุลอำนาจกันเป็นต้น หรือในหลายประเทศใช้วิธีเลือก ปธน. หลายขั้นตอน เพื่อให้ได้เสียงเกินครึ่งจริงๆ

B : ในระบบที่ใช้สภาเลือกผู้นำ หากเกิดวิกฤตที่ทำให้ไปไม่รอด สภาเปลี่ยนผู้นำได้ โดยไม่ต้องกลับไปสู่การเลือกตั้งทุกครั้ง เช่น เมืองอังกฤษ สภาชุดนี้ก็เปลี่ยนนายกมาสามคนแล้วมั้ง ด้วยวิกฤตต่างๆ นายกคนที่แล้วท่านพลาดเรื่องแนวเศรษฐกิจมาก จนมีอายุอยู่ได้ เดือนกว่าๆ นึกภาพ ว่าต้องเลือกตั้งทุกครั้งที่นายกสิ้นสภาพ มันจะเป็นอย่างไร พูดง่ายๆว่า การเลือกผ่านสภา มันก็มีข้อดีในทางปฏิบัติด้วยและยึดโยงกับประชาชนอยู่

ถามว่ามีไหม ที่พรรคที่ 2 ได้เป็นนายก ในระบบ ปชต.

มีสิท่านๆ ลองไปเสิร์ชดู กระผมจะไปทำงานต่อไม่ว่างเสิร์ชให้แล้ว ดังนั้น ท่านต้องวางมายด์เซต ให้ถูกต้องก่อนเด้อขรั่บ ความวุ่นวายในการจับขั้ว หลังเลือกตั้งมันเป็นเรื่องปกติถูกแล้ว ที่ไม่ปกติ ก็เพราะมี สว. ที่ลากตั้งมายุ่งนี่เอง

แต่ แต่ แต่ สมมติว่าไม่มี สว. (สมมติเราเปลี่ยนผ่านไปสู่ปชตแล้ว แก้ รธน แล้ว) ก็ใช่ว่าท่านพิธา จะแบเบอร์ ท่านต้องรวมเสียงให้ได้เกินครึ่ง ครับ ถ้าไม่ได้ก็อด ก็เท่านั้นแหละครับ

ไม่อีกทีท่าน ท่านก็แก้ รธน เปลี่ยนไปสู่การเลือกนายกโดยตรง นับคะแนนดิบ แล้วเอาเลย ซึ่งในทางเทคนิคเพื่อให้สอดคล้อง ก็ต้องแก้หลายอย่างเพื่อดุลอำนาจใหม่ ระหว่าง สภา กับ นายกที่มาจากการเลือกตั้งตรง

หวังว่า ข้อมูลที่พี่เขียวนำเรียน จะคลายความหงุดหงิดของหลายท่านได้บ้าง ว่าทำไมนะ ท่านพิธาจึงไม่ได้เป็นนายกฉลุยๆ แบบนี้สักที เรื่องก็เป็นดังที่นำเรียนนี่เอง” จากมิตรสหายท่านหนึ่ง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top