ที่มาของ ‘ส.ว.’ โหวต ‘นายกรัฐมนตรี’
วันชัย สอนศิริ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ผู้ลงคะแนนเสียง ‘เห็นชอบ’ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 13 ก.ค. 66 ที่ผ่านมา เคยกล่าวไว้ว่า

วันชัย สอนศิริ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ผู้ลงคะแนนเสียง ‘เห็นชอบ’ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 13 ก.ค. 66 ที่ผ่านมา เคยกล่าวไว้ว่า
ไม่นานมานี้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์ ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง นักวิชาการ และ แพทย์ชาวไทย ได้กล่าวถึงเหตุผลที่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกฯ ต้องชวดตำแหน่งจากการโหวตของรัฐสภาในหนแรก ว่า...
"โอกาสที่หลุดลอยของพิธา"
เมื่อวานนี้ (13 ก.ค.66) ในการประชุมรัฐสภาเพื่อเลือกผู้ที่เหมาะสมเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เป็นผู้เสนอนายพิธา จากพรรคก้าวไกลเป็น Candidate เพียงคนเดียว ก่อนจะมีการลงคะแนน มีการอภิปรายแสดงความไม่เห็นด้วยที่จะเลือกนายพิธาเป็นนายกฯ โดยมีเหตุผลว่านายพิธามีความตั้งใจที่จะยกเลิกมาตรา 112 ซึ่งเชื่อว่าจะมีผลให้การหมิ่นสถาบันกษัตริย์มีมากขึ้น จึงมีข้อเสนอจากสมาชิกพรรคภูมิใจไทยท่านหนึ่งว่า หาก นายพิธาประกาศว่ายกเลิกความคิดที่จะแก้ไขมาตรา 112 พรรคภูมิใจไทยยินดีที่จะลงคะแนนเห็นชอบให้พิธาเป็นนายกฯ (ส.ว.หลายคนก็คงเห็นชอบด้วยเช่นกัน)
(14 ก.ค.66) นายพงศ์พรหม ยามะรัต ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Pongprom Yamarat' ระบุว่า...
แม้ว่าเมื่อวานผมจะไม่ค่อยเห็นด้วยกับกลไกการขัดขา ‘ก้าวไกล’
แต่อีกเรื่องที่ต้องติ ‘จุดอ่อน’ ก้าวไกลคือการขาดแนวทางในการพัฒนาประเทศ
หลังการโหวตในสภา คุณวิโรจน์ออกมาพูดว่า “ยังจะยึดการแก้ 112 เป็นนโยบายหลัก” ซึ่งขัดกับสิ่งที่ ‘ประชาชน’ ต้องการเห็น
คุณจะปฏิรูปการศึกษา เกษตร SME ปากท้อง การเข้าถึงโอกาส การจัดการการคอร์รัปชันอย่างไร
ไม่มี ไม่มี ไม่มี
แต่เมื่อวานคุณกลับพูดเรื่องๆ เดียว ‘จะแก้ 112’ ก็เพื่อลดบทบาทสถาบันพระมหากษัตริย์นั่นแหละ เอาตรงๆ
เมื่อวานนี้ (14 ก.ค. 66) นายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า "บรรพบุรุษผมมาจากพม่า หนีสงครามมา คนจีนยังดี มีเสื่อผืน หมอนใบ แต่บรรพบุรุษผม มีเเต่โสร่ง เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร จนทุกวันนี้ มีกินมีใช้ อยู่ดีกินดีกว่าเจ้าของประเทศ แล้วจะไม่ให้ผมสำนึกบุญคุณเเผ่นดินไทย และพระมหากษัตริย์ไทยได้อย่างไร ถ้าผมไม่สำนึกบุญคุณ ผมก็ไม่ใช่คนแล้ว"
'ฮุนเซน’ ทวีตเย้ยฝ่ายค้านกัมพูชา หลัง ‘พิธา’ พลาดนั่งนายกฯ เหตุหากพิธาได้เป็นนายกฯ กลุ่มเหล่านี้จะใช้ดินแดนไทย รณรงค์ต่อต้านรัฐบาลกัมพูชา
เมื่อวาน (13 ก.ค.66) สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัว ภายหลังจาก นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี มีมติไม่ได้รับการโหวตให้เป็นนายกรัฐมนตรี โดยระบุใจความดังนี้...
ผมขอประกาศในวันนี้ว่า การที่ พิธา ไม่ได้รับคะแนนเสียงมากพอที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ถือเป็นความล้มเหลวครั้งใหญ่ของฝ่ายค้านหัวรุนแรงในกัมพูชา
มันไม่ได้หมายความว่าผมแทรกแซงกิจการภายในไทย แต่ในอดีตกลุ่มคนทรยศเหล่านี้มักคาดหวังเสมอว่าหาก พิธา ได้เป็นนายกรัฐมนตรีของไทยเมื่อไหร่ พวกเขาเหล่านี้ จะใช้ดินแดนไทยรณรงค์ต่อต้านรัฐบาลกัมพูชา แต่ตอนนี้ความหวังของกลุ่มผู้ต่อต้านที่น่าเดรัจฉาน ได้เลือนหายไปไม่ต่างจากเกลือในน้ำ
จงอย่าเล่นการเมืองโดยพึ่งพาคนอื่น นี่คือข้อความและคำปรารถนาดีจากผม ถึงพวกกลุ่มหัวรุนแรงในกัมพูชา
(14 ก.ค. 66) จากกรณี เมื่อวันที่ 6 ก.ค.66 เพจเฟซบุ๊ก ศูนย์ช่วยเหลือด้านกฎหมายผู้ถูกล่วงละเมิด bully ทางสังคมออนไลน์ ศชอ. ได้เปิดเผยความคืบหน้าคดีน.ส.อัครสร โอปิลันธน์ หรือ อั่งอั๊ง อายุ 19 ปี บุตรสาวของนางชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ ซึ่งเป็นบุตรสาวคนโตของนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ หลานสาวของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ในฐานความผิดมาตรา 112 โดยเรียงลำดับไทม์ไลน์ดังนี้
14 ก.พ. 64 อั่งอั๊ง บรรยายข้อความในคลิปที่โพสต์ลงบน twitter ส่วนตัว เนื้อหาโจมตีรัชกาลที่ 10 อย่างรุนแรง
16 ก.พ. 64 ศชอ. นำหลักฐานมอบให้ปอท. พร้อมแจ้งความดำเนินคดี
23 ก.ย. 64 ปอท.เรียกอั่งอั๊งมารับทราบข้อกล่าวหา
21 ต.ค. 65 อัยการสั่งฟ้อง
12 ก.ค. 66 ศาลนัดไต่สวนพยานโจทก์
ล่าสุดเพจเฟซบุ๊ก ศูนย์ช่วยเหลือด้านกฎหมายผู้ถูกล่วงละเมิด bully ทางสังคมออนไลน์ ศชอ. ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า
“อั่งอั๊ง รับสารภาพทุกข้อกล่าวหา เนื่องจากเป็นเยาวชน ผู้พิพากษาจึงให้ไปทำแผนบำบัดฟื้นฟู ร่วมกับสหวิชาชีพ ผู้พิพากษาศาลสมทบ นักจิตวิทยา มาส่งศาลพิจารณาอนุมัติเพื่อนำไปปฏิบัติในการปรับปรุงตัว
**ถ้าเป็นเยาวชนและไม่เคยกระทำความผิดและต้องโทษมาก่อน ศาลจะให้โอกาส”
มติที่ประชุม 'ไม่เห็นชอบ' นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
‘ศาสตรา ศรีปาน’ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรครวมไทยสร้างชาติ อภิปรายในการประชุมรัฐสภา ย้ำจุดยืน พรรครวมไทยสร้างชาติ ไม่เลือกนายกฯ ชื่อ ‘พิธา’ เหตุต้องปกป้องสถาบันหลักของชาติตามอุดมการณ์ของพรรคที่ไม่หนุนคนมีแนวคิดแก้ ม.112 ลั่น!! มีคนจำนวนมากพร้อมยอมตายเพื่อสถาบันฯ จึงอย่ามาขู่กันว่าจะลงถนน ถามกลับชอบหรือ? ชัยชนะบนซากปรักหักพัง
(13 ก.ค. 66) ที่รัฐสภา นายศาสตรา ศรีปาน ส.ส.สงขลา พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.)ได้เป็นตัวแทนพรรคอภิปรายระหว่างการประชุมร่วมกันของรัฐสภาเพื่อลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ว่า วันนี้ตนเป็นตัวแทนของพรรครวมไทยสร้างชาติ ขอแสดงจุดยืนของพรรคในการเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย เสียงที่ตนส่งไปให้สมาชิกในสภาฯ และประชาชนนอกสภาฯ ขอเรียนให้ทราบว่าไม่ได้มีอคติหรือมีเรื่องใด ๆ ส่วนตัว แต่เป็นเรื่องของคนไทยที่รักชาติรักแผ่นดิน ที่จะมาบอกว่าวันนี้อุดมการณ์ของพรรครวมไทยสร้างชาติ คือความชัดเจนมาตั้งแต่เริ่มต้นว่า เราจะปกป้องและดำรงไว้ซึ่งสถาบันหลักของชาติ ดังนั้น เราจึงไม่สนับสนุน พรรคการเมืองใดหรือนักการเมืองคนใด ที่มีนโยบายในการแก้ไขมาตรา 112 เพราะเราเห็นว่าบ้านเมืองวันนี้ ก็สามารถเดินไปข้างหน้าได้สามารถพัฒนาไปข้างหน้าได้ โดยไม่จำเป็นต้องแก้ไขมาตรานี้เลย และไม่จำเป็นต้องมาทำลายขนบธรรมเนียมไทยหรือต้นทุนทางวัฒนธรรมไทยที่มีมานานตั้งแต่ในอดีต
นายศาตรา อภิปรายว่า ตนได้เห็นการขับเคลื่อนการเดินสายพูดถึงประวัติศาสตร์ที่สร้างบาดแผลให้กับชาติไทย ทำให้เกิดความสงสัย เช่น การแบ่งแยกดินแดน การแบ่งแยกแผ่นดิน สิ่งเหล่านี้ทำให้คนไทยและสังคมไทยดีขึ้นหรือไม่ ไม่มีเลย มีแต่สร้างความแตกแยกแบ่งแยกคน ออกเป็นฝักเป็นฝ่าย ไม่ได้มีประโยชน์ใด ๆ เลย รูปที่มีอยู่ทุกบ้าน ตนเชื่อว่ามีอยู่ในบ้านของใครหลาย ๆ คนข้างนอก โครงการพระราชดำริ เช่นที่อำเภอหาดใหญ่ มีโครงการพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 ทำให้เราไม่ต้องสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน วันนี้มีนักเรียนทุนจากคนยากจน พวกเขายังซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังนั้นอย่าเหยียบย่ำหัวใจคนไทยไปมากกว่านี้เลย
“ผมขอได้ไหมไม่แก้มาตรา 112 ไปแก้ปัญหาปากท้องของประชาชนยังมีอีกจำนวนมากที่จะเสนอการแก้ไขกฎหมาย เพื่อช่วยพี่น้องประชาชนได้ การแก้มาตรา 112 มีแต่สร้างความแตกแยก คุณบอกว่า 14 ล้านเสียงพร้อมจะลงถนน อีกกว่า 20 ล้านเสียงของผู้มีสิทธิเลือกตั้งก็พร้อมยอมตายถวายชีวิตเพื่อสถาบันฯ ฉะนั้น การแก้ไขมาตรา 112 จะสร้างแต่รอยร้าวรอยแตกแยกให้กับประเทศไทย คนลงถนนบ้านเมืองจะอยู่อย่างไร มีแต่พังพินาศ ชัยชนะบนซากปรักหักพังชอบกันหรือ ผมว่ามันไม่มีประโยชน์อันใด ถึงคุณจะบอกว่า 151 เสียงที่ได้มาหรือแม้แต่ทั้งรัฐสภา 750 เสียง คุณก็ไม่มีสิทธิ์ในการทำลายสิ่งที่บรรพบุรุษเขาสร้างกันมาตั้งแต่ต้น นี่คือประเด็นที่ประชาชน ที่อยู่ด้านนอกเขาคิด ฉะนั้นต้องฟังด้วย ไม่ว่าจะเป็นเสียงส่วนน้อยเสียงส่วนใหญ่ก็ต้องฟัง” นายศาสตรากล่าว
นายศาสตรา อภิปรายต่อว่า การที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ อย่ามาโทษใครทั้งสิ้น อย่ามาโทษส.ส. อย่ามาโทษกกต. หรือศาลรัฐธรรมนูญ อยู่ที่ตัวของนายพิธาเองที่ต้องตอบคำถามสังคมให้ได้ เพราะวันนี้กฎหมายเขียนชัดเจนว่า การจะเป็นนายกรัฐมนตรีจะเป็นส.ส.ห้ามถือหุ้นสื่อเขียนไว้ชัดเจนตั้งแต่ก่อนพรรคอนาคตใหม่จะตั้งขึ้นมาพอเขาบอกว่าให้ถอนร่างแก้ไข ก็ถอนได้แต่ทำไมไม่ถอนออกตั้งแต่แรก จะได้ไม่ต้องมีการอภิปราย จะได้เลือกนายกคนที่ 30 กันเลย ดังนั้น ไม่ต้องโทษใครทั้งสิ้น และวันนี้นายพิธาก็ต้องตอบสังคมให้ได้ เพราะวันหนึ่งบอกว่ามาตรา 112 จะแก้ไข อีกวันหนึ่งบอกว่าจะยกเลิก บางวันขึ้นเวทีติดสติ๊กเกอร์บอกว่าแก้ไขแล้วค่อยไปยกเลิก แล้วจะให้พวกตนคิดอย่างไร?
“นักการเมืองที่ปากอย่างใจอย่างถามว่าประชาชนจะเชื่อได้หรือไม่? นี่คือสิ่งที่คุณต้องตอบ และผมเชื่อว่า ประชาชนก็ติดตามอยู่ โดยเฉพาะร่างแก้ไขมาตรา 112 ร่างมาจนไม่เหลือความคุ้มครองอะไรเลย และไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญมาตรา 6 ที่บัญญัติว่า องค์พระมหากษัตริย์ให้ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่สักการะผู้ใดจะละเมิดไม่ได้” ส.ส.สงขลา พรรครวมไทยสร้างชาติกล่าว
นายศาสตรา อภิปรายย้ำว่า ตนเกิดมารุ่นราวคราวเดียวกับนายพิธา 40 ปี ไม่เคยโดนฟ้องมาตรา 112 เลย กฎหมายก็อยู่ในส่วนของกฎหมายไม่มีนิติสงคราม มีแต่นิติรัฐทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น ฉะนั้น วันนี้พรรคก้าวไกล มีการยื่นเสนอ มีนโยบายที่จะแก้ไขมาตรา 112 ซึ่งขัดกับอุดมการณ์ของพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งเราเห็นว่า การแก้มาตรา 112 มีแต่สร้างความเกลียดชังและแตกแยกของคนในสังคมไทย และกระทบต่อความรู้สึกของคนไทยในช่วงที่ประเทศชาติต้องการความรักความสามัคคี ดังนั้นพรรครวมไทยสร้างชาติตัวแทนของประชาชนคนไทย ผู้ที่รักและเทิดทูนสถาบันฯ จึงไม่ขอโหวตสนับสนุน นายกคนที่ 30 ของประเทศไทยชื่อ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’
(13 ก.ค. 66) นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล กล่าวอภิปรายในรัฐสภา ในวาระการเสนอชื่อบุคคลเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ว่า…
“คำถามที่สำคัญสำหรับสมาชิกรัฐสภา ไม่ใช่คำถามว่าพวกเรา 750 คนนั้น มีความคิดเห็นอย่างไรกับคุณสมบัติของคุณพิธา ในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หรือมีความคิดเห็นอย่างไรกับนโยบายของพรรคก้าวไกล แต่คำถามที่สำคัญที่สุด ต่อหน้าสมาชิกรัฐสภาทุกท่านในวันนี้ ก็คือ พวกเรา 750 คน พร้อมจะเคารพเสียงของประชาชน 14 ล้านคน ที่ออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งหรือไม่”
(13 ก.ค. 66) นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา ได้พูดอภิปรายในรัฐสภา วาระการเสนอชื่อบุคคลเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ย้ำว่าจะไม่โหวต เลือกนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พร้อมยกกรณีการเสนอร่างแก้มาตรา 112 ที่หลายคนอาจยังไม่เคยเห็น ว่า...
ผมอยากนำเสนอเอกสารจากทางพรรคก้าวไกล ซึ่งได้เสนอร่างกฎหมายแก้ไขมาตรา 112 ของพรรคก้าวไกล ตัวจริง ซึ่งพรรคร่วมทั้ง 7 ไม่เคยเห็น ประชาชนก็ไม่เคยเห็น ร่างที่บอกไม่เคยเสนอเข้าสู่สภาฯ ลงเลขที่ 27/2564 ของสภาฯ วันที่ 25 มีนาคม 2564 และลงเลขรับอีกครั้งวันที่ 3 พฤศจิกายน 2564
ทำไมถึงมีเลขรับ 2 ครั้ง และเหตุใด ส.ว.จึงไม่ไว้วางใจให้ก้าวไกลให้แก้ไข/ยกเลิกมาตรา112 และรัฐธรรมนูญมาตราที่เกี่ยวข้องกับชาติและสถาบันฯ ลองมาดูกันจะจะอีกครั้งครับ
ร่างกฎหมายดังกล่าว ถูกเสนอโดยพรรคก้าวไกลเข้าสภาผู้แทนราษฎร แต่ถูกท่านประธานสภาให้ไปปรับแก้ไข แต่ก้าวไกลก็ไม่ยอมแก้ไข และยืนยันจะเอาเข้าสภาฯ ให้ได้นั้น โดยในสาระสำคัญของร่างนั้น ได้แยกมาตรา 112 ที่ป้องไม่ให้ผู้ใดหมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้าย ต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี องค์รัชทายาท ออกจากกัน
พร้อมทั้งลดโทษจำคุกลงเหลือแค่ไม่เกิน 6 เดือนไม่เกิน 1ปี และปรับลดโทษลงโดยไม่ต้องรับโทษเลย หากอ้างว่าทำเพื่อประโยชน์สาธารณะหรือหากเป็นความจริง
ทั้งนี้ หากแยกดูในบางรายละเอียดจะพบข้อความระบุโทษที่มีการปรับลดกฎหมายซึ่งถือเป็นกฎหมายคุ้มครองประมุขของแผ่นดินไว้ดังนี้… ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ จะระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปีหรือปรับไม่เกิน 300,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
ผู้ใดหมิ่นประมาทดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระราชินีรัชทายาทหรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือนหรือปรับไม่เกิน 200,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
>> ยิ่งไปกว่านั้น หากผู้ใดติชม แสดงความคิดเห็นหรือแสดงข้อความใดโดยสุจริต เพื่อประโยชน์สาธารณะ >> ‘ผู้นั้นไม่มีความผิด’ เพราะมองว่า ความผิดในลักษณะนี้ เป็นความผิดอันยอมความได้
หรือบางมาตราก็มีตัดโทษจำคุกทิ้งหมดเหลือแค่โทษปรับเล็กน้อย เช่น มาตราที่คุ้มครองพระราชอาคันตุกะ เจ้าพนักงาน ผู้พิพากษาในศาลยุติธรรม เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้มีหลักฐาน เป็นลายลักษณ์อักษรในร่างกฎหมายที่พรรคก้าวไกลพยายามที่จะนำเข้าสู่สภาในสมัยที่แล้ว เพื่อที่จะแก้ไขถึง 2 ครั้งและก็ยังคงดำเนินการอยู่อย่างต่อเนื่อง
ผมจึงไม่ขอสนับสนุนให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตของก้าวไกล ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี