Friday, 20 June 2025
POLITICS NEWS

‘วันนอร์’ จ่อนัดเคลียร์ปัญหา จัดสรรอาหาร สส.ใหม่ ชี้!! ต้องยึดหลักความเหมาะสม และไม่ฟุ่มเฟือย

(8 ก.ย.66) ที่รัฐสภา นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่มีสส.นำอาหารที่ทางสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จัดให้ระหว่างการประชุมสภาฯ ไปรับประทานนอกสถานที่ ว่า เบื้องต้นเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้รายงานเรื่องดังกล่าวมาที่ตนเอง ซึ่งคาดว่าภายหลังจากรัฐสภาพิจารณานโยบายของคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้วเสร็จ จะหารือกับสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรอย่างเป็นทางการต่อไป ส่วนแนวทางเกี่ยวกับการบริการอาหารให้กับสส.นั้น ส่วนตัวคิดว่าจะต้องยึดหลักความเหมาะสม และไม่ฟุ่มเฟือย พร้อมทั้งต้องให้สส.ได้รับการบริการที่ดีด้วย แต่ในอนาตจะมีการปรับลดงบประมาณในเรื่องนี้หรือไม่ คงต้องพิจารณาในรายละเอียดร่วมกับรองประธานสภาฯ ทั้งสองคนอีกครั้ง

ถามว่าที่ผ่านมาการจัดสรรอาหารให้กับสส.ระหว่างประชุมสภาฯ ปรากฏว่ามีปริมาณอาหารเหลือเป็นจำนวนมาก ทางสภาฯ จะมีแนวทางการแก้ไขปัญหานี้อย่างไร นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า ยอมรับว่ามีปริมาณอาหารเหลือ แต่ในทางปฏิบัติที่ต้องเข้าใจว่าบางครั้งมีจำนวนสส.มาประชุมมาก หรือบางครั้งก็มีสส.เดินทางกลับไปก่อน ดังนั้น การจะแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ต้องร่วมหารือกันทุกฝ่ายเพื่อให้เกิดความสมดุล

“อาหารเตรียมไว้มากไปก็ไม่ดี หรือเตรียมอาหารไว้พอดี ถ้าเลิกประชุมเร็วก็ทำให้มีอาหารเหลือบ้าง จึงต้องมีมาตรการที่ทำให้เกิดความสมดุลให้ได้” นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าว

เมื่อถามถึงกรณีที่มีการเผยแพร่ภาพสส.นำอาหารของสภาฯ กลับไปรับประทานนอกอาคารรัฐสภา พร้อมกับมีการตอบโต้เป็นอาหารที่เหลือหลังจากการประชุมสภาฯเสร็จแล้ว นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า กรณีถ้ามีอาหารของสภาฯเหลือ เลขาธิการสภาฯแจ้งให้ทราบเบื้องต้นว่าจะนำไปบริจาคในทางสาธารณกุศล เช่น สถานรับเลี้ยงเด็ก เป็นต้น

‘เศรษฐา’ นำคณะลุยขอนแก่น สักการะศาลหลักเมืองเป็นสิริมงคล ชาวอีสานแห่ต้อนรับ ตะโกน “นายกฯ เศรษฐา พาไปเป็นเศรษฐี”

(8 ก.ย. 66) ที่จ.ขอนแก่น นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และรมว.คลัง พร้อมด้วยนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกฯ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ นายไชยา พรหมา รมช.เกษตรและสหกรณ์ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม นางมนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมว.วัฒนธรรม นายเกรียง กัลป์ตินันท์ รมช.มหาดไทย ลงพื้นที่พบปะชาวขอนแก่น โดยมี สส.ขอนแก่น และอดีต สส.ขอนแก่น ได้แก่ นายภาควัต ศรีสุรพล นายสิงหภณ ดีนาง นายสุรพจน์ เตาะเจริญสุข น.ส.วิภาณี ภูคำวงศ์ นายวันนิวัติ สมบูรณ์ นายชัชวาล พรอมรธรรม น.ส.รัมภามาศ ทีฆธนานนท์ นายจตุพร เจริญเชื้อ และนางมุกดา พงษ์สมบัติ รวมทั้งนายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าฯ ขอนแก่น ให้การต้อนรับ

เวลา 08.15 น. นายกฯ และคณะ ได้เดินทางมาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ศาลหลักเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น โดยมีกลุ่มชาวอีสาน 20 จังหวัดมารอต้อนรับ โดยได้ผูกผ้าขาวม้าและมอบพวงมาลัยให้กับนายกฯ พร้อมส่งเสียงตะโกนว่า “นายกฯ เศรษฐา พาไปเป็นเศรษฐี” ทั้งนี้ นายกฯ เดินทางมาด้วยรถยนต์โตโยต้าอัลพาร์ดสีดำ ทะเบียน กล 5558 อุดรธานี

นายเศรษฐาและคณะ ได้เดินทางมารับประทานอาหารเช้าที่ร้านเอมโอช ซึ่งเป็นร้านไข่กระทะชื่อดังใน จ.ขอนแก่น

'สวนดุสิตโพล' เผยผลสำรวจ ‘ประชาชนอยากบอกอะไร ครม.เศรษฐา 1’ พบ!! ขอให้บริหารชาติด้วยความโปร่งใสและอย่าลืมเงินดิจิทัล 10,000

(8 ก.ย. 66) ‘สวนดุสิตโพล’ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง ‘ประชาชนอยากบอกอะไร ครม.เศรษฐา 1’ กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,042 คน (สำรวจทางภาคสนามและออนไลน์) ด้วยแบบสอบถามแบบปลายเปิด (ให้ผู้ตอบเขียนคำตอบด้วยตนเอง) สำรวจระหว่างวันที่ 4 - 7 กันยายน 2566 พบว่า

สิ่งที่อยากบอกกับนายกรัฐมนตรี คือ อยากให้บริหารประเทศด้วยความโปร่งใส คำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ร้อยละ 45.99 ใช้ความสามารถในการเป็นผู้บริหารธุรกิจมาใช้ในการบริหารประเทศ ร้อยละ 31.02 และทำตามนโยบายที่ให้ไว้ โดยเฉพาะเงินดิจิทัล 10,000 บาท ร้อยละ 28.10

สิ่งที่ประชาชนอยากบอกรัฐมนตรีแต่ละกระทรวง อันดับ 1 มีดังนี้

1.รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทำงานรวดเร็ว สื่อสารชัดเจน ร้อยละ 51.43

2.รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม บังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียม ไม่เลือกปฏิบัติ ร้อยละ 65.76

3.รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ ควบคุมราคาสินค้ าไม่ให้แพงเกินไป ร้อยละ 65.47

4.รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ไม่เป็นเครื่องมือทางการเมือง รับฟังความเห็นทุกฝ่าย ร้อยละ 48.90

5.รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข เพิ่มสิทธิสวัสดิการรักษาให้กับประชาชนอย่างทั่วถึง ร้อยละ 72.50

6.รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ยกระดับประเทศไทยสู่สากล สร้างชื่อเสียงให้เป็นที่ยอมรับ ร้อยละ 61.11

7.รัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน ควบคุมราคาพลังงาน แก้ปัญหาราคาแพง ร้อยละ 68.25

8.รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง บริหารงบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุด มีวินัยทางการเงิน ร้อยละ 70.77

9.รัฐมนตรีกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระตุ้นการท่องเที่ยวและการกีฬา ร้อยละ 40.96

10.รัฐมนตรีกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ดูแลผู้ด้อยโอกาส ผู้สูงอายุ คนยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ ร้อยละ 46.13

11.รัฐมนตรีกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พัฒนาการวิจัยเทคโนโลยี นำนวัตกรรมใหม่ ๆ มาใช้ ร้อยละ 42.26

12.รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แก้ปัญหาราคาพืชผลตกต่ำ ประกันราคา ร้อยละ 64.14

13.รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคม ขยายเส้นทาง เชื่อมต่อการคมนาคม ร้อยละ 54.79

14.รัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม แก้ปัญหามิจฉาชีพ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ร้อยละ 42.51

15.รัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อนุรักษ์ ฟื้นฟูธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง ร้อยละ 59.45

16.รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย ไม่รับสินบน โปร่งใส ตรวจสอบได้ ร้อยละ 43.61

17.รัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ร้อยละ 65.97

18.รัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม สืบสานวัฒนธรรมไทยให้สืบต่อไป ร้อยละ 53.98

19.รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ มีนโยบายทุนเรียนฟรีถึงปริญญาตรี ร้อยละ 53.09

20.รัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรม ส่งเสริมสินค้าอุตสาหกรรมไทย สินค้าการเกษตร ร้อยละ 45.45 

นางสาวพรพรรณ บัวทอง นักวิจัย สวนดุสิตโพล กล่าวว่า จากผลการสำรวจจะเห็นได้ว่า หลังจากที่มีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่และประกาศรายชื่อคณะรัฐมนตรีเศรษฐา 1 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ประชาชนก็อยากให้แต่ละกระทรวงทำงานบนความรับผิดชอบตามเนื้องานของแต่ละกระทรวงให้ดียิ่งขึ้น ทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้ แก้และสะสางปัญหาเก่า พัฒนาสิ่งใหม่ ส่งเสริมจุดเด่นของประเทศไทยนำไปต่อยอด นำเทคโนโลยีมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ทั้งนี้มาตรฐานขั้นพื้นฐานในการทำงานคือต้องมีความซื่อสัตย์ โปร่งใส และทำเพื่อประเทศชาติ จึงนับว่าเป็นโอกาสอันดีที่รัฐบาลใหม่จะสร้างผลงานให้เป็นรูปธรรมเพื่อพิสูจน์ผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ต่อไป

 

‘รังสิมา รอดรัศมี’ โวย!! ค่าอาหาร สส. 1 วัน 5 แสนบาท แนะ!! ให้ ‘บัตร 1 พันบาท’ สำหรับคนเข้าประชุมดีกว่า

(8 ก.ย. 66) กรรมกรข่าวคุยนอกจอ ได้สัมภาษณ์ ‘รังสิมา รอดรัศมี’ อดีต สส.สมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์ สมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวถึงประเด็นเรื่องงบประมาณข้าวของ สส. ว่า งบประมาณวันหนึ่ง 500,000 บาท เอาไปทิ้งๆ ขว้างๆ บางวันเหลือมากมาย บางวันอาหารยังมาไม่ถึง ประชุมล่ม อาหารเสียหมด เพราะเขาคิดเป็นรายหัว หัวละ 1,000 ต่อวันอยู่แล้ว แต่ถ้าวันไหน มีวุฒิสภาก็จะเป็น 750,000 บาท ตนจึงอยากฝากไปยัง คณะ สส. ชุดใหม่ ว่าใครอยู่กิจการสภา ให้เปลี่ยนแปลงการจ่ายเงิน สส. เช่น ถ้าใครมาให้ไปเซ็นชื่อ แล้วมีบัตรให้ 1,000 บาท เพื่อไปกินร้านอาหารต่างๆ เท่านี้ ถ้าเหลือเงินก็จะคืนเข้าคลังวันละ 4-5 แสนต่อวัน

นอกจากนี้ ยังฝากอีกว่า สส.บางคนให้ลูกน้องมากวาดไปทั้งชั้น ย้ำ เขาเอาไว้ให้ สส. ไม่ได้เอาให้เลี้ยงทั้งโคตร ทั้งตระกูล บาง สส. ไม่เข้าอภิปราย ไม่เคยจะอ้าปากพูดในสภา แต่ว่ารอจ้องอย่างเดียวอยู่แถว ๆ ห้องอาหาร เหลือเชื่อ ไม่มียางอาย ตนก็ไปตักเตือนไปว่าแทบจะตลอดเพราะคุณชวน หลีกภัย มอบหมายให้ไปจับตา แต่ก็เห็นจนชินตา

‘2 ผัวเมียทะลุแก๊ส’ เจอคุก 1 ปี 6 เดือน ฐานร่วมแก๊งป่วนปี 64 - ครอบครองยุทธภัณฑ์

(7 ก.ย. 66) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีร่วมกันมั่วสุมชุมนุมหมายเลขดำ อ596/2565 ที่พนักงานฝ่ายคดีอาญา เป็นโจทก์ฟ้องนายรังสรรค บุญพึ่ง และนางปราณี บุญพึ่ง สองสามีภรรยา เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันมั่วสุมกันตั้งแต่10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้ายฯ ให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองฯ ร่วมกันมียุทธภัณฑ์ไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตฯ

โดยอัยการระบุฟ้องความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 29 ส.ค. 2564 เวลากลางวันถึงเวลากลางคืน จำเลยทั้งสองได้บังอาจร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายบทหลายกรรมต่างกันกล่าวคือ

จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันมีเสื้อเกราะป้องกันกระสุน จำนวน 1 ตัว อันเป็นยุทธภัณฑ์ ไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต มีหนังสติ๊ก ลูกแก้วไว้ใช้ประทุษร้ายร่างกาย แล้วจำเลยได้ร่วมกันขับขี่รถยนต์ ทะเบียน กษ 8960 ภูเก็ต ไปบริเวณถนนดินแดง แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร โดยใช้หน้ากากอนามัย จำนวน 2 อันปิดบังแผ่นป้ายทะเบียนรถทั้งด้านหน้าและด้านหลัง อันเป็นการเปลี่ยนแปลงโดยวิธีใด ๆ หรือปิดบังทั้งหมดหรือแต่บางส่วนซึ่งแผ่นป้ายทะเบียนรถหรือเครื่องหมายประจำรถและเป็นการไม่แสดงแผ่นป้าย และเครื่องหมายครบถ้วนแล้ว

จำเลยร่วมกับพวกมากกว่า 25 คน จัดกิจกรรมชุมนุมมั่วสุม ที่บริเวณแยกใต้ทางด่วนดินแดงและถนนวิภาวดีรังสิตโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานซึ่งเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด โดยการชุมนุมทางการเมืองดังกล่าวไม่มีการจำกัดทางเข้า-ออก ทุกคนสวมหน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันการติดต่อโควิด-19

ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจควบคุมฝูงชน (คฝ.) ได้สั่งให้จำเลย และกลุ่มผู้ชุมนุมยุติการชุมนุม แต่จำเลยทั้งสองกับพวก ขัดขืนไม่เลิกกระทำและจุดไฟเผายางรถยนต์และวัสดุอื่น ๆ รวมทั้งใช้กำลังประทุษร้ายขว้างปาเจ้าพนักงานด้วยประทัด ลูกแก้ว และของแข็งต่าง ๆ โดยเจตนาใช้ประทุษร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่อันเป็นการกระทำให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง โดยมีอาวุธ

ขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ.2530 มาตรา 15, 34, 42 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 91, 215, 216, พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 พ.ร.ก.กำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ฯ

จำเลยให้การปฏิเสธฐานร่วมกันมั่วสุมชุมนุม แต่ข้อหาอื่นรับสารภาพ

พิพากษาว่าจำเลยทั้งสอง มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 215 วรรคสอง พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์พ.ศ. 2530 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 42 พ.ร.บ.รถยนต์ พ.ศ. 2522 มาตรา 11, 60 พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 มาตรา 35 (1), 53 พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มาตรา 9, 18

การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปฐานร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งยุทธภัณฑ์โดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุกคนละ 1 ปี ฐานร่วมกันนำรถยนต์มาใช้โดยไม่แสดงแผ่นป้ายและเครื่องหมายครบถ้วนถูกต้อง ปรับคนละ 2,000 บาท ฐานร่วมกันมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองโดยมีอาวุธ ฐานร่วมกันจัดกิจกรรมรวมกลุ่มของบุคคลที่มีจำนวนรวมกันมากกว่า 5 คนในลักษณะที่มีความเสี่ยงต่อโรคในพื้นที่ควบคุมสูงสุด อันเป็นการฝ่าฝืนข้อกำหนดตาม มาตรา 9 แห่งพ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ฯ เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองโดยมีอาวุธ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุกคนละ 1 ปี

จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ เฉพาะความผิดฐานร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งยุทธภัณฑ์โดยไม่ได้รับใบอนุญาต และฐานร่วมกันนำรถยนต์มาใช้โดยไม่แสดงแผ่นป้ายทะเบียนให้ถูกต้องครบถ้วน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษในความผิดทั้งสองฐานให้กระทงละกึ่งหนึ่ง ฐานร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งยุทธภัณฑ์โดยไม่ได้รับใบอนุญาต คงจำคุกคนละ 6 เดือน ฐานร่วมกันนำรถยนต์มาใช้โดยไม่แสดงแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ให้ถูกต้องครบถ้วน คงปรับคนละ 1,000 บาท รวมจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 1 ปี 6 เดือน ไม่รอลงอาญา และปรับคนละ 1,000 บาท ริบเสื้อเกราะป้องกันกระสุนและหน้ากากอนามัยของกลาง ข้อหาและคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

‘ธีระชัย’ สับ!! ‘ดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท’ กระตุ้น ศก.แบบ ‘ไม่ถูกที่’ และ ‘ไม่ถูกเวลา’

(7 ก.ย. 66) คุณธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และคณะกรรมการด้านนโยบายเศรษฐกิจของพรรคพลังประชารัฐ ได้ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลเศรษฐา 1 โดยเฉพาะกับนโยบาย ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ (Digital Wallet) 10,000 บาท ถึงผลพวงที่จะตามมาทั้งในแง่บวกและลบ ผ่านรายการ ‘คุยข่าว ถึงเครื่อง’ ประจำวันที่ 7 ก.ย. 66 เผยแพร่ผ่านช่องทางรับชมในเครือ THE STATES TIMES, คุยถึงแก่น, เปรี้ยง, NAVY AM RADIO/ MAYA Channel ช่อง 44 และ FM101 โดยมีนายปรเมษฐ์ ภู่โต สื่อมวลชนอาวุโส พิธีกร ผู้ประกาศข่าวรายการคุยถึงแก่น เป็นผู้ดำเนินรายการ สาระสำคัญ ดังนี้…

ในประเด็นของนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้ ที่มีการปล่อยออกมา พอจะเห็นภาพความหวังต่อระบบเศรษฐกิจไทยมากน้อยเพียงใด? คุณธีระชัย มองว่า โดยภาพรวมของเนื้อนโยบายมีความน่าสนใจ แต่จะติดอยู่ 2 ส่วน นั่นก็คือ 1.ในเรื่องของเงินดิจิทัล และ 2.ในเรื่องของการลดราคาพลังงาน ซึ่งเข้าใจว่าต้องการช่วยประชาชน แต่ก็ต้องใช้งบประมาณบนความระมัดระวัง 

อย่างไรก็ตามในนโยบายที่ คุณธีระชัย ดูจะห่วงเป็นพิเศษ คือ นโยบายแจกเงินดิจิทัล หรือ ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ (Digital Wallet) 10,000 บาท โดยกล่าวว่า ตอนนี้คนไทยส่วนใหญ่ตั้งหน้าตั้งตารอกันแล้ว ยิ่งมีแรงสนับสนุนจากเสียงนักวิชาการในฟากฝั่งรัฐบาล ที่เชื่อว่าทำให้เกิด ‘พายุหมุนทางเศรษฐกิจ’ ช่วยปลุกเศรษฐกิจไทยให้กลับมามีชีวิตชีวา ก็ยิ่งทำให้นโยบายดีถูกมองในด้านบวกด้านเดียว

ทั้งที่ในความเป็นจริง จำเป็นต้องเข้าใจก่อนว่า การดำเนินนโยบายการคลังด้วยการอัดเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจ ล้วนต้องการผลลัพธ์ในการกระตุ้นตัวเลขจีดีพีให้สูงขึ้น แต่กลับกันนโยบายแจกเงินดิจิทัลส่วนนี้ จะมีกลไกใดที่ช่วยกระตุ้นจีดีพี เพราะนี่คือการแจกแบบหว่าน ไม่ว่าจะรวยหรือจนด้วย ในสถานการณ์ที่หนี้สาธารณะไทยยังสูง และไม่ได้อยู่ในช่วงวิกฤติอย่างโควิด-19 ยิ่งไปกว่านั้นไทยจะเอาเงินมาจากไหน? ที่จะไม่กระทบต่อสถานะทางการคลังของประเทศ

“ผมเข้าใจดีว่าการแจกเงิน ก็เพื่อให้เกิดการหมุนในภาคอุปโภคบริโภค แต่ตอนนี้สถานการณ์ไม่เหมือนตอนโควิด19 ที่ต้องมีการแจกเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ ซึ่งมีผลพวงจากการล็อกดาวน์ ทำให้ส่งผลกระทบไปถึงร้านค้าที่ขายไม่ได้ เพราะต้องปิดร้าน รวมถึงกำลังซื้อหาย จากรายได้ประชาชนหด นั่นจึงทำให้การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการแจกเงินผ่านโครงการที่โฟกัสลงไปเฉพาะกิจเป็นกลุ่มๆ ในช่วงรัฐบาลท่านพลเอกประยุทธ์จึงเกิดขึ้น

“แต่ตอนนี้ ล็อกดาวน์ ไม่มีแล้ว การหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ ระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายก็กลับมาแล้ว ลักษณะของการแจกเงินในช่วงเวลานี้ จึงเหมือนกับเป็นการให้ ‘ปลา’ แก่ประชาชน ซึ่งมันไม่ได้ช่วยให้เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันใด ๆ ต่อเศรษฐกิจของประเทศ เพราะเมื่อประชาชนได้เงินมา ก็แค่เอาใช้บริโภคให้หมด ๆ ไป แน่นอนว่า มันอาจจะเกิดผลดีในการกระตุ้นกำลังซื้อ แต่ก็แค่รอบเดียว แค่ระยะสั้นหมด แล้วก็จบ” 

คุณธีระชัย กล่าวอีกว่า สิ่งที่ประเทศไทยควรทำกับเศรษฐกิจในตอนนี้ ‘ไม่ใช่การแจก’ แต่ต้องสร้างพลังกระตุ้นหรือหาทางที่จะให้เม็ดเงินงอกเงยขึ้นมาจากหนึ่งร้อย เป็นร้อยยี่สิบ เป็นร้อยห้าสิบ อะไรประมาณนี้มากกว่า เพื่อทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้นในระยะยาวและยั่งยืน

ในส่วนของการเลือกแพลตฟอร์มเพื่อจ่ายเงินดิจิทัล คุณธีระชัย ก็ยังตั้งข้อสังเกตอีกว่า “ทางรัฐบาลจะทำบนแพลตฟอร์มใหม่ ทั้ง ๆ ที่มีการแนะนำให้ใช้ผ่านแอปฯ ‘เป๋าตัง’ ซึ่งก็ไม่ผิดคาด เพราะพรรคเพื่อไทยเขาก็คงไม่เอาด้วย เพราะเท่ากับเป็นการยอมรับว่า ดิจิทัล 10,000 นี้ เป็นการให้ ‘เงินบาท’ ปกติ ไม่ใช่ ‘เงินดิจิทัล’ ที่มาในลักษณะเหรียญดิจิทัล และมีการวงเล็บว่า (คูปอง) แบบที่ใช้ในศูนย์อาหาร ซึ่งตรงนี้ผมก็อยากฝากให้ระวังความเสี่ยงที่จะผิดกฎหมายไว้ด้วย ควรปรึกษาหารือกับทางธนาคารแห่งประเทศไทยให้ชัดเสียก่อนจะทำ เพราะอย่างที่บอกมันไม่ใช่เงินจริงๆ ที่โอนกันถึงมือประชาชนแบบโครงการของรัฐบาลลุงตู่ (คนละครึ่ง / ม.33 เรารักกัน) ที่อันนั้นก็คือเป็นเงินสดเข้าบัญชีในแอปฯ เป๋าตัง แล้วก็ไปใช้จ่ายแลกเปลี่ยนหมุนเวียนกัน มีเงินไหลเข้าสู่ร้านค้าทันที”

โดยสรุปแล้ว หากให้พูดถึงความเป็นจริงในเรื่องนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจ ณ วันนี้ คุณธีระชัย ยังเชื่อว่าไทยควรต้องเดินตามบริบทของประเทศในปัจจุบัน ว่าเหมือนหรือเดือดร้อนอย่างตอนโควิดระบาดหรือไม่ ซึ่งนาทีนี้ค่อนข้างจะแตกต่างกันแล้ว นั่นหมายความว่าการใช้เครื่องมือเดิมในสถานการณ์ใหม่ ซึ่งดูเหมือนจะใช้เครื่องมือนั้นหนักกว่าเดิมอีกนั้น (กู้มาแจก) หากสถานการณ์ไม่ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ จะเกิดอะไรขึ้นตามมา ต้องระวังมาตรการที่ทำแบบ ‘ไม่ถูกที่’ และ ‘ไม่ถูกเวลา’ ให้ดี

คุณธีระชัย ทิ้งท้ายอีกว่า “ในทางการเมืองนโยบายในลักษณะนี้ มักตอบโจทย์ประชาชน เพราะเวลาพรรคการเมืองจะไปหาเสียง แล้วบอกหรือนำเสนอโครงการที่จะเพิ่มขีดความสามารถจากเงินที่ลงไปในระบบเศรษฐกิจ เพื่อสร้างความงอกเงยนั้น ส่วนใหญ่มันไม่โดนใจ เพราะไม่ใช่การแจกหรือให้ที่ถึงมือประชาชนทันที ไม่มีความหวือหวาที่พร้อมกระชากใจประชาชน ต่างจากนโยบายหวือหวา แต่ไม่ได้คำนึงถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา ซึ่งเรื่องนี้น่าห่วง”

‘บิ๊กทิน’ แง้ม!! นายกฯ มีทางออกเรื่อง ‘เครื่องยนต์เรือดำน้ำ’ เชื่อ!! หาจุดที่ยอมรับได้ ‘ไทย - เยอรมัน - จีน’ ไม่หมางใจกัน

(7 ก.ย. 66) ที่บ้านพักย่านเกษตร-นวมินทร์ นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงจุดยืนของกองทัพเกี่ยวกับสถานการณ์ในประเทศเพื่อนบ้าน อย่างเมียนมา และการสร้างจุดสมดุลระหว่าง 2 ขั้วมหาอำนาจ ว่า ทำงานเรื่องนี้ตนมีคณะทำงานที่กำลังศึกษาร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ ว่าจุดยืนควรจะเป็นอย่างไร ถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และหลังจากที่ตนได้เข้าทำงานที่กระทรวงกลาโหมแล้วคณะทำงานชุดนี้จะสรุปให้ฟังว่าปัญหาเมียนมาจะเอาอย่างไร

เมื่อถามว่า ปัญหาเรื่องเรือดำน้ำ จะเป็นอย่างไร นายสุทิน กล่าวว่า นายกฯ จะมีทางออกที่เหมาะสม และสังคมไม่ผิดหวัง

เมื่อถามว่านายกฯ จะใช้เวทีการประชุมสหประชาชาติ ในการพูดคุยเรื่องนี้หรือไม่ นายสุทิน กล่าวว่า อาจเป็นไปได้ แต่นายกฯ มีทางออกที่ดี

เมื่อถามย้ำว่า มีเรื่องที่เกี่ยวกับกองทัพ เรื่องชายแดน เรื่องเมียนมาหรือไม่ เพราะว่าที่ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เดินทางไปด้วย นายสุทิน กล่าวว่า ก็ถือเป็นโอกาสที่ดีในการพบปะกับนานาชาติ เรื่องไหนที่เป็นประโยชน์ เรื่องไหนที่จะแก้ปัญหาได้ ท่านคงทำ

เมื่อถามว่า มีความเป็นไปได้หรือไม่ ที่จะเจรจากับเยอรมนี ให้ขายเครื่องยนต์เรือดำน้ำให้กับไทย และเจรจากับจีนหากไม่ใช้เครื่องยนต์ของจีน นายสุทิน บอกว่า ก็เป็นไปได้ซึ่งอาจเป็นแนวทางที่นายกฯ เตรียมไว้ในใจ ซึ่งมีโอกาสเปลี่ยนแปลง ได้หากผู้ใหญ่ระดับรัฐบาลคุยกัน

เมื่อถามว่า จะไม่มีปัญหาระดับประเทศใช่หรือไม่ นายสุทิน ย้ำว่า เราจะทำให้ไม่กระทบ ทั้งจีน เยอรมนี ไทย หากจุดที่พอใจ และกองทัพไม่เสียโอกาส ประเทศชาติไปเสียประโยชน์ พันธมิตรก็ไม่เสียใจ และตนเชื่อว่านายกฯ และ นายปานปรีย์ มหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะหาจุดสมดุล และ โจทก์ที่อยู่ในใจตนก็จะหารือกับนายกฯ เช่นกัน

'สนธิญา' ร้อง ปอท. ตรวจสอบ 'วิโรจน์ ก้าวไกล' พูดมั่วในรายการกรรมการข่าวฯ กรณี 'บิ๊กตู่' พ้นนายกฯ แล้วยังเป็น ปธ.ยุทธศาสตร์ชาติ มีอำนาจปลดคนได้

(7 ก.ย.66) ที่ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ถนนพหลโยธิน จตุจักร กทม. นายสนธิญา สวัสดี เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.ศุภภัทร สวัสดี รอง ผกก.3 บก.ปอท.เพื่อร้องทุกข์ให้ ตรวจสอบการให้สัมภาษณ์ของนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคก้าวไกล ที่มีการไปร่วมรายการกรรมกรข่าวคุยนอกจอของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา โดยมีใจความในช่วงท้ายของการให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรีที่มีการกล่าวอำลาตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปล่าสุดเมื่อช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ว่าแม้พลเอกประยุทธ์ จะพ้นสภาพจากการเป็นนายกรัฐมนตรีแต่ก็จะยังคงเป็นประธานยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งถือว่ายังคงสามารถกำกับดูแลการทำงานหรือสามารถปลดคนทำงานได้

ทั้งนี้ หลังจากตนได้ศึกษาข้อมูลทั้งหมดจึงพบว่า คำพูดดังกล่าวของนายวิโรจน์ถือว่าเป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง เนื่องจากประธานยุทธศาสตร์ชาติจะต้องเป็นบุคคลที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งการที่พลเอกประยุทธ์พ้นวาระจากการเป็นนายกรัฐมนตรีก็ไม่สามารถ เป็นประธานยุทธศาสตร์ชาติได้ตามที่นายวิโรจน์เก่าอ้าง ซึ่งถือว่าการออกมาให้ข้อมูลผ่านสื่อแบบนี้เป็นการให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ในวันนี้จึงเดินทางมาพร้อมกับคลิปรายการและข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับวันเกิดเหตุทั้งหมด มาให้พนักงานสอบสวน บก.ปอท. ตรวจสอบว่าเข้าข่ายการกระทำความผิด การนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จตามพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ฯ หรือไม่

ส่วนนายสรยุทธ์ ผู้ประกาศคนดังเบื้องต้นตนเองไม่ได้มีการร้องขอให้ตำรวจตรวจสอบเนื่องจากเข้าใจว่าเป็นการทำงานของสื่อมวลชนในการสอบถามข้อมูลซึ่งควรต้องเป็นหน้าที่ของผู้ให้ข้อมูลในการให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับประชาชนซึ่งก็คือตัวนายวิโรจน์

"ยืนยันว่าในวันนี้ที่เดินทางมาเป็นการเดินทางมาด้วยตนเองในฐานะประชาชนคนไทยที่ต้องการเห็นความถูกต้อง ไม่ได้มีการรับงานมาจากใคร และส่วนตัวอยากให้นายวิโรจน์ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอย่างตรงไปตรงมา ไม่ใช่การออกมาให้ข้อมูลที่บิดเบือนกับประชาชนแบบนี้"นายสนธิญา กล่าว

สำหรับกรณีนี้ เบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้รับเรื่องไว้เพื่อเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

สภาไฟเขียว!! แถลงนโยบาย 2 วัน รวม 30 ชั่วโมง ด้าน ‘วันนอร์’ เผย ‘ก้าวไกล’ รับปากไม่ใช้เป็นเวทีซักฟอก

(7 ก.ย. 66) ที่รัฐสภา ในการประชุมคณะกรรมการประสานงานร่วม 3 ฝ่าย (วิป 3 ฝ่าย) โดยมีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะประธานรัฐสภา เป็นประธานการประชุม และมีตัวแทนจากวุฒิสภา (สว.) สส. และคณะรัฐมนตรี (ครม.) อาทิ นายสมคิด เชื้อคง ตัวแทน ครม. นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย นายภราดร ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ นายประมวล พงษ์ถาวราเดช สส.ประจวบคีรีขันธ์ และประธานสส.พรรคประชาธิปัตย์ นายมหรรณพ เดชพิทักษ์ สว. เป็นต้น เพื่อวางกรอบเวลาการอภิปรายการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อที่ประชุมรัฐสภา และแบ่งสัดส่วนเวลาของแต่ละฝ่าย ซึ่งใช้เวลาการประชุมประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที

จากนั้น นายวันมูหะมัดนอร์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุม ว่าบรรยากาศการประชุมเป็นไปด้วยดี ทุกฝ่ายได้แสดงความคิดเห็นผ่อนปรนไปมา เพื่อให้การประชุมเรียบร้อย โดยการประชุมเพื่อแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา ที่จะมีขึ้นในวันที่ 11 ก.ย.นี้ จะใช้เวลา 2 วัน รวมทั้งสิ้น 30 ชั่วโมง โดยแบ่งเป็น ประธานรัฐสภา 1 ชั่วโมง ฝ่าย ครม.แถลง และชี้แจง 5 ชั่วโมง ฝ่าย สว. 5 ชั่วโมง ฝ่ายรัฐบาล 5 ชั่วโมง ฝ่ายค้าน 14 ชั่วโมง ซึ่งคิดว่าคงเพียงพอในการที่ทุกฝ่ายจะปรับเวลาที่ชัดเจนให้ตามจำนวนคน คาดว่าคงไม่เกินในเวลาที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ ต้องขอบคุณทุกฝ่ายที่ทำให้การประชุมจบด้วยดี ไม่มีใครไม่ยอม แม้ทุกฝ่ายจะอยากได้เวลา แต่เมื่อทราบข้อจำกัดของเวลา และความสนใจของพี่น้องประชาชนแล้ว จึงตกลงกันเช่นนี้

นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวต่อว่า ในวันแรกอาจจะเลิกประชุมดึก แต่คงไม่เกินเที่ยงคืน และวันที่สองคงไม่เกิน 23.00 น. แม้บางฝ่ายจะบอกว่าไม่อยากให้เกิน 21.00 น. แต่เพื่อให้การอภิปรายในวันถัดมามีคุณภาพมากขึ้น และความสนใจของพี่น้องประชาชน รวมถึงครม. แจ้งว่าในวันที่ 13 ก.ย. 66 จะมีการประชุมครม. ทุกฝ่ายจึงบอกว่าจะกลับไปเตรียมทั้งตัวบุคคลและเนื้อหาสาระให้ดี เพื่อให้เป็นประโยชน์มากที่สุด

เมื่อถามว่า อยากฝากอะไรถึงฝ่ายค้านหรือไม่ เนื่องจากฝ่ายค้านอยากใช้เวทีนี้ในการซักฟอกรัฐบาล? นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า ฝ่ายค้านยืนยันเองว่า จะอยู่ในกรอบของการอภิปรายเรื่องนโยบายและความเป็นไปได้ในการปฏิบัติตามนโยบายนั้น แต่ไม่ใช่การอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตนคิดว่าฝ่ายค้านตอนนี้เป็นฝ่ายค้านที่มีคุณภาพ มีข้อมูลพร้อมที่จะอภิปรายในกรอบกฎหมายและข้อบังคับ รวมถึงความสนใจของพี่น้องประชาชน

เมื่อถามว่า การรักษาความปลอดภัยในวันนั้น จะเป็นไปตามกฎระเบียบ หรือต้องมีการรักษาความปลอดภัยเข้มที่เป็นพิเศษหรือไม่ เนื่องจากอาจจะมีกลุ่มผู้ชุมนุมมาในบางวัน? นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า คิดว่าคงไม่มีกลุ่มผู้ชุมนุม หรือมีการกดดันสภา เพราะพี่น้องประชาชนติดตามการประชุมตลอดเวลาผ่านการถ่อยสดในหลายช่องทาง เนื่องจากทุกฝ่ายคงอยากให้การอภิปรายเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีคุณภาพ ไม่มีแรงกดดันใดๆ นอกจากเนื้อหาที่จะพูดอย่างเต็มที่ หากมีกลุ่มผู้ชุมนุมมาที่สภาคงไม่เกิดประโยชน์อะไร ไม่ได้หมายความสภาจะรังเกียจ การมีผู้ชุมนุมหรือผู้สนับสนุนก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ช่วงอภิปรายต้องใช้เวลา หากมาคงเสียงทั้งค่าใช้จ่าย และเวลามาก

รองประธานสภาฯ แจง 'หมิว สิริลภัส' ห่ออาหารกลับบ้าน 'ไม่ผิด' ชี้!! หากเหลือเยอะนำฝากผู้อื่นได้ ลดขั้นตอนขนไปบริจาคตามที่ต่างๆ

(7 ก.ย.66) จากประเด็นดราม่า เมื่อมี สส.ท่านหนึ่ง แอบถ่ายภาพ 'หมิว สิริลภัส' น.ส.สิริลภัส กองตระการ สส.กทม. พรรคก้าวไกล ขณะกำลังตักอาหาร ห้องอาหารรัฐสภา กลับบ้าน และแขวนประจานว่า “พบเห็นอดีตดาราสาว ลักลอบนำอาหารสภากลับบ้าน” ทำให้เจ้าตัว ต้องออกมาชี้แจง ยืนยันเป็นการใช้สิทธิ์ที่มี ขณะที่ล่าสุด รองประธานสภาฯ 'พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน' ยืนยัน ห่ออาหารกลับบ้านได้ไม่ผิด

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทางด้านนายประเสริฐพงศ์ ศรนุวัฒน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้หารือต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยขอให้ประธานสภาผู้แทนราษฎร ชี้แจงถึงกติกาการใช้ห้องอาหาร สส.กรณี สส. พรรคก้าวไกล 'หมิว สิริลภัส' ถูก สส.ชาย จากพรรคการเมืองหนึ่ง แอบถ่ายภาพ ไปเผยแพร่บนโลกออนไลน์ ซึ่งถือว่าผิดกฎหมาย จึงขอให้ประธาน กำชับต่อที่ประชุมด้วย

โดย นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะประธานการประชุม ได้ชี้แจงว่า สส.สามารถนำอาหารกลับบ้านหลังเลิกประชุมได้ และปัจจุบันยังมีห้องทำงานส่วนตัว ซึ่งอาจมีผู้ช่วย สส., ผู้ติดตาม สส. ก็สามารถให้ผู้ช่วย หรือผู้ติดตาม นำอาหารไปให้ สส.ที่ห้องได้ หรือ สส.จะนำอาหารไปให้ทีมงานรับประทานได้เช่นกัน

ทั้งนี้ หากปิดประชุมแล้ว อาหารยังเหลือเยอะ ซึ่งปกติเจ้าหน้าที่ ก็จะนำไปบริจาคตามหน่วยงานต่างๆ ซึ่งบริจาคเท่าไรก็เหลือ จนเน่า รับประทานไม่ทัน ไม่มีที่เก็บ จึงคิดว่า ไม่มีกฎหมายห้ามไม่ให้นำอาหารกลับบ้าน และจากนี้ไป หากตอนเย็นอาหารเหลือ เจ้าหน้าที่จะนำใส่ถุงให้ สส. และข้าราชการรัฐสภา นำกลับไปรับประทานที่บ้านได้ เพื่อไม่ให้เหลือทิ้ง เพราะหากจะนำไปบริจาค ก็เหนื่อยที่จะใช้คน หรือรถ ขนไปที่ต่างๆ ดังนั้น หากเหลือก็สามารถใส่ถุงให้ สส. หรือเจ้าหน้าที่ นำกลับบ้านได้ และหาก สส.มีญาติ มีเพื่อน มีทีมงานอยู่ในห้องทำงาน ก็สามารถนำไปเผื่อได้

นอกจากนี้ กรณีปัญหาที่จอดรถ สส. ที่มีการร้องเรียนว่า มีการจอดรถซ้อนคัน ไม่จอดรถเข้าที่จอด รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะประธานการประชุม ชี้แจงว่า ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ (8 ก.ย.66) เป็นต้นไป สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จะจัดระเบียบลานจอดรถ ให้ สส.จอดรถตามช่องจอดรถของตนเอง ซึ่งจะมี 535 ช่อง และหากมีผู้อื่นมาจอดในช่องของ สส.คนอื่น ก็จะถูกล็อกล้อ และห้าม สส.จอดซ้อนคัน 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top